• FED ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี เพื่อให้เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจสหรัฐsoft landing

    19 กันยายน 2567-คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งประชุมกันเมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ในระดับ 4.75-5% อย่างไรก็ตาม มติครั้งนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการ 1 คนคัดค้าน โดยเห็นว่าควรลดเพียง 0.25%

    เหตุผลของกรรมการส่วนใหญ่ที่เห็นว่าควรลด 0.5% ก็เพราะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อลดลงอย่างยั่งยืนและเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2% ขณะเดียวกัน ก็เพื่อรักษาอัตราการจ้างงานไปด้วย โดยสภาวการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างมีความสมดุลที่จะเอื้อให้บรรลุเป้าหมายทั้งด้านเงินเฟ้อและอัตราการจ้างงาน

    การลดดอกเบี้ย 0.5% ถูกมองว่าเป็นการลดแบบ “จัมโบ้” หรือค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย หลังจากในระยะหลังนักลงทุนเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% มาเป็น 0.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจถดถอย

    ขณะเดียวกัน เมื่อดูจากคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล หรือ “Dot Plot” บ่งชี้ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปี 2024 นี้ ซึ่งจะมีการประชุมเหลืออยู่ 2 ครั้ง คือ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จากนั้นปี 2025 จะลดอีก 1% และปีถัดไป 2026 ลดอีก 0.5%

    “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการ “ปรับปรุง” นโยบายการเงินให้เหมาะสมเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน และขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้เงินเฟ้อมีเสถียรภาพ เป้าหมายของเฟดคือรักษาอัตราเงินเฟ้อให้มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ก็ต้องแน่ใจว่าอัตราว่างงานจะไม่สูงขึ้น เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาไปพร้อม ๆ กับรักษาการจ้างงานเอาไว้

    ดังนั้น นักลงทุนควรมองว่าการลด 0.5% เป็นการแสดงความ “แน่วแน่” ของเฟดที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขณะนี้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี เติบโตแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังเข้มแข็ง เงินเฟ้อลดต่ำลง

    พาวเวลล์ย้ำว่า ไม่ต้องการให้นักลงทุนหรือตลาดสันนิษฐานเอาเองว่าการลด 0.5% ในครั้งนี้ จะหมายถึงว่าในอนาคตเฟดจะลดในอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ อย่าคิดว่านี่คืออัตราใหม่สำหรับเฟด เพราะเฟดจะไม่เร่งรีบในการผ่อนคลายด้านการเงิน เฟดจะยังทำเหมือนเดิมคือพิจารณาอย่างระมัดระวังในการประชุมแต่ละครั้งก่อนตัดสินใจ

    “ที่ผ่านมาจะเห็นว่าความอดทนรอของเราให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา เห็นได้จากเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลงอย่างยั่งยืน จนกระทั่งทำให้เราสามารถลดดอกเบี้ยได้มากในวันนี้” พาวเวลล์ระบุ

    ถึงแม้การลด 0.5% จะเป็นที่ชอบใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มีมุมมองต่างออกไป เช่น สก๊อต เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของโกลบอล เอ็กซ์ ระบุว่า การลด 0.5% อาจมากเกินไป เพราะตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในระยะหลังนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตน้อยลง ไม่จำเป็นต้องลดมากขนาดนั้น ซึ่งอัตรานี้จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

    แนนซี เทนเกลอร์ ประธานบริหารของลาฟเฟอร์ เทนเกลอร์ อินเวสต์เมนต์ เห็นว่า เฟดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้การว่างงานจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีการเลิกจ้าง อีกทั้งการเปิดรับตำแหน่งงานใหม่ในสหรัฐยังคงมีจำนวนมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดด้วยซ้ำ “คำวิพากษ์วิจารณ์ของฉันที่มีต่อเฟดก็คือเน้นการมองในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นดูข้อมูลย้อนหลัง แค่ข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอเพียงสัปดาห์เดียว ก็ทำให้ลดดอกเบี้ยมากขนาดนี้”

    ฟิลิป สแตรล ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน ของมอร์นิ่งสตาร์ เวลธ์ ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น วิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในปี 2008 และโควิด-19 ระบาดในปี 2020 สำหรับในครั้งนี้ถือว่าลดมากเกินไปและเร็วเกินไป ทั้งที่ข้อมูลเศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับการผ่อนคลายทางการเงินช่วงอื่น ๆ ภายใต้การว่างงานที่ 4.2% นอกจากนี้จีดีพีไตรมาส 2 ก็ขยายตัวถึง 3%

    “การลดมากขนาดนี้เป็นตัวชี้ว่าเฟดมีความสบายใจที่เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืน และตอนนี้ก็ปรับเปลี่ยนทิศทางไปมุ่งเน้นการทำให้เศรษฐกิจชะลอลงอย่างSoft Landing “

    ที่มา : https://youtu.be/EgW_pSJqQEc?si=uk4HLrZSsqAVl2AL

    #Thaitimes
    FED ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี เพื่อให้เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจสหรัฐsoft landing 19 กันยายน 2567-คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งประชุมกันเมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.5% นับเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปอยู่ในระดับ 4.75-5% อย่างไรก็ตาม มติครั้งนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการ 1 คนคัดค้าน โดยเห็นว่าควรลดเพียง 0.25% เหตุผลของกรรมการส่วนใหญ่ที่เห็นว่าควรลด 0.5% ก็เพราะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อลดลงอย่างยั่งยืนและเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2% ขณะเดียวกัน ก็เพื่อรักษาอัตราการจ้างงานไปด้วย โดยสภาวการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างมีความสมดุลที่จะเอื้อให้บรรลุเป้าหมายทั้งด้านเงินเฟ้อและอัตราการจ้างงาน การลดดอกเบี้ย 0.5% ถูกมองว่าเป็นการลดแบบ “จัมโบ้” หรือค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย หลังจากในระยะหลังนักลงทุนเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% มาเป็น 0.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกัน เมื่อดูจากคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยของกรรมการรายบุคคล หรือ “Dot Plot” บ่งชี้ว่า จะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปี 2024 นี้ ซึ่งจะมีการประชุมเหลืออยู่ 2 ครั้ง คือ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จากนั้นปี 2025 จะลดอีก 1% และปีถัดไป 2026 ลดอีก 0.5% “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการ “ปรับปรุง” นโยบายการเงินให้เหมาะสมเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน และขณะเดียวกัน ก็สามารถทำให้เงินเฟ้อมีเสถียรภาพ เป้าหมายของเฟดคือรักษาอัตราเงินเฟ้อให้มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ก็ต้องแน่ใจว่าอัตราว่างงานจะไม่สูงขึ้น เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาไปพร้อม ๆ กับรักษาการจ้างงานเอาไว้ ดังนั้น นักลงทุนควรมองว่าการลด 0.5% เป็นการแสดงความ “แน่วแน่” ของเฟดที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ขณะนี้กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะที่ดี เติบโตแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังเข้มแข็ง เงินเฟ้อลดต่ำลง พาวเวลล์ย้ำว่า ไม่ต้องการให้นักลงทุนหรือตลาดสันนิษฐานเอาเองว่าการลด 0.5% ในครั้งนี้ จะหมายถึงว่าในอนาคตเฟดจะลดในอัตรานี้ไปเรื่อย ๆ อย่าคิดว่านี่คืออัตราใหม่สำหรับเฟด เพราะเฟดจะไม่เร่งรีบในการผ่อนคลายด้านการเงิน เฟดจะยังทำเหมือนเดิมคือพิจารณาอย่างระมัดระวังในการประชุมแต่ละครั้งก่อนตัดสินใจ “ที่ผ่านมาจะเห็นว่าความอดทนรอของเราให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา เห็นได้จากเงินเฟ้อค่อย ๆ ลดลงอย่างยั่งยืน จนกระทั่งทำให้เราสามารถลดดอกเบี้ยได้มากในวันนี้” พาวเวลล์ระบุ ถึงแม้การลด 0.5% จะเป็นที่ชอบใจของนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มีมุมมองต่างออกไป เช่น สก๊อต เฮลฟ์สไตน์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนของโกลบอล เอ็กซ์ ระบุว่า การลด 0.5% อาจมากเกินไป เพราะตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในระยะหลังนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตน้อยลง ไม่จำเป็นต้องลดมากขนาดนั้น ซึ่งอัตรานี้จะสนับสนุนให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น แนนซี เทนเกลอร์ ประธานบริหารของลาฟเฟอร์ เทนเกลอร์ อินเวสต์เมนต์ เห็นว่า เฟดเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้การว่างงานจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีการเลิกจ้าง อีกทั้งการเปิดรับตำแหน่งงานใหม่ในสหรัฐยังคงมีจำนวนมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดด้วยซ้ำ “คำวิพากษ์วิจารณ์ของฉันที่มีต่อเฟดก็คือเน้นการมองในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นดูข้อมูลย้อนหลัง แค่ข้อมูลจ้างงานที่อ่อนแอเพียงสัปดาห์เดียว ก็ทำให้ลดดอกเบี้ยมากขนาดนี้” ฟิลิป สแตรล ประธานเจ้าหน้าที่ลงทุน ของมอร์นิ่งสตาร์ เวลธ์ ชี้ว่า การลดดอกเบี้ยถึง 0.5% เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น วิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในปี 2008 และโควิด-19 ระบาดในปี 2020 สำหรับในครั้งนี้ถือว่าลดมากเกินไปและเร็วเกินไป ทั้งที่ข้อมูลเศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับการผ่อนคลายทางการเงินช่วงอื่น ๆ ภายใต้การว่างงานที่ 4.2% นอกจากนี้จีดีพีไตรมาส 2 ก็ขยายตัวถึง 3% “การลดมากขนาดนี้เป็นตัวชี้ว่าเฟดมีความสบายใจที่เงินเฟ้อขยับลงอย่างยั่งยืน และตอนนี้ก็ปรับเปลี่ยนทิศทางไปมุ่งเน้นการทำให้เศรษฐกิจชะลอลงอย่างSoft Landing “ ที่มา : https://youtu.be/EgW_pSJqQEc?si=uk4HLrZSsqAVl2AL #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • จับตาประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง 20 ก.ย.นี้ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศยากที่จะเป็นจริง คนในวงการอุตสาหกรรมแฉขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ‘นายจ้างเจ๊ง-เจ้าสัวรวย-แรงงานต่างชาติ’ ได้ประโยชน์ เสนอรัฐทำ ‘Pay by Skills-ลดค่าครองชีพ’ นายจ้างอยู่ได้ แรงงานได้ประโยชน์ แนะสังคมย้อนฟังคลิป ‘ทักษิณ-นายกฯ อิ๊ง’ ไม่พูดถึงค่าแรง ทั้งที่เพื่อไทยหาเสียงไว้ที่ 600 บาท

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000087586

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    จับตาประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง 20 ก.ย.นี้ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศยากที่จะเป็นจริง คนในวงการอุตสาหกรรมแฉขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ‘นายจ้างเจ๊ง-เจ้าสัวรวย-แรงงานต่างชาติ’ ได้ประโยชน์ เสนอรัฐทำ ‘Pay by Skills-ลดค่าครองชีพ’ นายจ้างอยู่ได้ แรงงานได้ประโยชน์ แนะสังคมย้อนฟังคลิป ‘ทักษิณ-นายกฯ อิ๊ง’ ไม่พูดถึงค่าแรง ทั้งที่เพื่อไทยหาเสียงไว้ที่ 600 บาท อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000087586 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    Sad
    21
    0 Comments 0 Shares 665 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลและสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด ๒ ครั้งในเลบานอน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา - ผู้เชี่ยวชาญ

    “เป้าหมายหลักของอิสราเอลคือการเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในปาเลสไตน์ และเพื่อเปลี่ยนวาระสาธารณะระดับโลก,” เมห์เมต ราคิโปกลู, นักวิจัยจากสถาบัน Dimensions for Strategic Studies ซึ่งตั้งอยู่ในลอนดอน, กล่าวกับสปุตนิก, โดยอ้างถึงเหตุระเบิดชุดใหม่ในเลบานอน

    หลังจากเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ด้วยเครื่องรับส่งวิทยุ, ประเทศในตะวันออกกลางแห่งนี้ก็เผชิญกับเหตุระเบิดอีกครั้งในวันที่ ๑๘ กันยายน ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน, แหล่งข่าวในเลบานอนบอกกับสปุตนิกว่า อุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ใช่เครื่องรับส่งวิทยุ ได้ระเบิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆของประเทศเมื่อวันพุธ มุสตาฟา ไบราม รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของเลบานอน เรียกเหตุระเบิดดังกล่าวว่าเป็น “อาชญากรรมโดยเจตนาและการก่อการร้าย” ของอิสราเอลในการให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก

    “ประเด็นสำคัญประการที่สองเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๐๒๓,” ราคิโปกลู กล่าวต่อ “ความผิดพลาดนี้เผยให้เห็นจุดอ่อนที่สำคัญในความสามารถด้านข่าวกรองของอิสราเอล ผ่านการโจมตี, การลอบสังหาร, และการโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์, อิสราเอลตั้งเป้าที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงด้านข่าวกรองที่เสื่อมถอยของตน”

    เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา, อเล็กเซย์ เลออนคอฟ นักวิเคราะห์ด้านการทหาร กล่าวกับสปุตนิกว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯอาจอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด, โดยอ้างถึงเครื่องมือเฝ้าระวังขั้นสูงและความสามารถในการแทรกแซงการทำงานของอุปกรณ์สื่อสารจากระยะไกล สหรัฐฯได้พัฒนาความสามารถนี้มาตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๖๐, ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯเริ่มโครงการสอดแนม Echelon, ผู้เชี่ยวชาญกล่าว ในปี 2013, เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตผู้รับเหมาของ NSA ได้เปิดเผยเครื่องมือใหม่ที่สายลับของสหรัฐฯใช้

    ราคิโปกลูเห็นด้วยกับเลออนคอฟโดยกล่าวว่า สหรัฐฯอาจมีส่วนในการโจมตีก่อวินาศกรรมที่เลบานอนและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มชิอะห์เมื่อไม่นานนี้

    “ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าสหรัฐฯมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้,” นักวิจัยกล่าว “เนื่องจากสหรัฐฯเป็นพันธมิตรระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อิสราเอล, สงครามในฉนวนกาซา และสงครามในเลบานอน”
    .
    Israel and US behind two waves of blasts in Lebanon to divert attention from Gaza genocide - expert

    "Israel's primary objective is to deflect attention from its responsibility for the massacres and genocide occurring in Palestine and to shift the global public agenda," Mehmet Rakipoglu, a researcher with the London-based think tank Dimensions for Strategic Studies, tells Sputnik, referring to a new series of explosions in Lebanon.

    After a massive pager detonation, the Middle Eastern country faced another wave of blasts on September 18. Earlier in the day, a Lebanese source told Sputnik that devices other than pagers had exploded in different parts of the country on Wednesday. Lebanese Labor Minister Mustafa Bayram called the blasts "a deliberate crime and a terrorist act" by Israel in an interview with Sputnik.

    "The second critical issue is related to Israel's intelligence failures on October 7, 2023," Rakipoglu continued. "This lapse revealed a significant weakness in Israeli intelligence capabilities. Through these attacks, assassinations, and strikes against Hezbollah, Israel is aiming to restore its diminished intelligence reputation."

    Speaking to Sputnik on Tuesday, military analyst Alexei Leonkov alleged that US intelligence services could be behind the explosions, referring to their advanced surveillance tools and ability to remotely interfere with the work of communication devices. The US has been developing this capability since the 1960s, when it kicked off the Echelon spying program, the expert noted. In 2013, ex-NSA contractor Edward Snowden shed light on new instruments employed by American spooks.

    Rakipoglu echoes Leonkov by saying that the US could have had a hand in the recent sabotage attack against Lebanon and Shiite movement Hezbollah.

    "I'm definitely sure that the United States has some finger on it," the researcher said. "Now that since the US has been a partner during this Israeli genocide, the war on Gaza and also in Lebanon."
    .
    1:47 AM · Sep 19, 2024 · 2,376 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1836477139958534245
    อิสราเอลและสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด ๒ ครั้งในเลบานอน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา - ผู้เชี่ยวชาญ “เป้าหมายหลักของอิสราเอลคือการเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อการสังหารหมู่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในปาเลสไตน์ และเพื่อเปลี่ยนวาระสาธารณะระดับโลก,” เมห์เมต ราคิโปกลู, นักวิจัยจากสถาบัน Dimensions for Strategic Studies ซึ่งตั้งอยู่ในลอนดอน, กล่าวกับสปุตนิก, โดยอ้างถึงเหตุระเบิดชุดใหม่ในเลบานอน หลังจากเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ด้วยเครื่องรับส่งวิทยุ, ประเทศในตะวันออกกลางแห่งนี้ก็เผชิญกับเหตุระเบิดอีกครั้งในวันที่ ๑๘ กันยายน ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน, แหล่งข่าวในเลบานอนบอกกับสปุตนิกว่า อุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ใช่เครื่องรับส่งวิทยุ ได้ระเบิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆของประเทศเมื่อวันพุธ มุสตาฟา ไบราม รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของเลบานอน เรียกเหตุระเบิดดังกล่าวว่าเป็น “อาชญากรรมโดยเจตนาและการก่อการร้าย” ของอิสราเอลในการให้สัมภาษณ์กับสปุตนิก “ประเด็นสำคัญประการที่สองเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๐๒๓,” ราคิโปกลู กล่าวต่อ “ความผิดพลาดนี้เผยให้เห็นจุดอ่อนที่สำคัญในความสามารถด้านข่าวกรองของอิสราเอล ผ่านการโจมตี, การลอบสังหาร, และการโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์, อิสราเอลตั้งเป้าที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงด้านข่าวกรองที่เสื่อมถอยของตน” เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา, อเล็กเซย์ เลออนคอฟ นักวิเคราะห์ด้านการทหาร กล่าวกับสปุตนิกว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯอาจอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด, โดยอ้างถึงเครื่องมือเฝ้าระวังขั้นสูงและความสามารถในการแทรกแซงการทำงานของอุปกรณ์สื่อสารจากระยะไกล สหรัฐฯได้พัฒนาความสามารถนี้มาตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๖๐, ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯเริ่มโครงการสอดแนม Echelon, ผู้เชี่ยวชาญกล่าว ในปี 2013, เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตผู้รับเหมาของ NSA ได้เปิดเผยเครื่องมือใหม่ที่สายลับของสหรัฐฯใช้ ราคิโปกลูเห็นด้วยกับเลออนคอฟโดยกล่าวว่า สหรัฐฯอาจมีส่วนในการโจมตีก่อวินาศกรรมที่เลบานอนและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มชิอะห์เมื่อไม่นานนี้ “ฉันมั่นใจอย่างแน่นอนว่าสหรัฐฯมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้,” นักวิจัยกล่าว “เนื่องจากสหรัฐฯเป็นพันธมิตรระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อิสราเอล, สงครามในฉนวนกาซา และสงครามในเลบานอน” . Israel and US behind two waves of blasts in Lebanon to divert attention from Gaza genocide - expert "Israel's primary objective is to deflect attention from its responsibility for the massacres and genocide occurring in Palestine and to shift the global public agenda," Mehmet Rakipoglu, a researcher with the London-based think tank Dimensions for Strategic Studies, tells Sputnik, referring to a new series of explosions in Lebanon. After a massive pager detonation, the Middle Eastern country faced another wave of blasts on September 18. Earlier in the day, a Lebanese source told Sputnik that devices other than pagers had exploded in different parts of the country on Wednesday. Lebanese Labor Minister Mustafa Bayram called the blasts "a deliberate crime and a terrorist act" by Israel in an interview with Sputnik. "The second critical issue is related to Israel's intelligence failures on October 7, 2023," Rakipoglu continued. "This lapse revealed a significant weakness in Israeli intelligence capabilities. Through these attacks, assassinations, and strikes against Hezbollah, Israel is aiming to restore its diminished intelligence reputation." Speaking to Sputnik on Tuesday, military analyst Alexei Leonkov alleged that US intelligence services could be behind the explosions, referring to their advanced surveillance tools and ability to remotely interfere with the work of communication devices. The US has been developing this capability since the 1960s, when it kicked off the Echelon spying program, the expert noted. In 2013, ex-NSA contractor Edward Snowden shed light on new instruments employed by American spooks. Rakipoglu echoes Leonkov by saying that the US could have had a hand in the recent sabotage attack against Lebanon and Shiite movement Hezbollah. "I'm definitely sure that the United States has some finger on it," the researcher said. "Now that since the US has been a partner during this Israeli genocide, the war on Gaza and also in Lebanon." . 1:47 AM · Sep 19, 2024 · 2,376 Views https://x.com/SputnikInt/status/1836477139958534245
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • #วิมานลอย

    วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง

    เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง

    และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก

    เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น

    เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์

    ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน

    ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

    เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน

    ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง

    ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน

    จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป

    ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้

    การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม

    สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม

    ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ

    นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน

    ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย
    สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า

    ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ

    #นิยายแปล
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    #วิมานลอย
    #gonewiththewind
    #หนังสือน่าอ่าน
    #สงครามกลางเมือง
    #สหรัฐอเมริกา
    #ชนชั้น
    #แรงงาน
    #บริวาร
    #ทาส
    #คนผิวดำ
    #thaitimes
    #นิยาย
    #หนังสือ
    #วิมานลอย วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์ ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้ การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ #นิยายแปล #วรรณกรรมคลาสสิก #วิมานลอย #gonewiththewind #หนังสือน่าอ่าน #สงครามกลางเมือง #สหรัฐอเมริกา #ชนชั้น #แรงงาน #บริวาร #ทาส #คนผิวดำ #thaitimes #นิยาย #หนังสือ
    0 Comments 0 Shares 783 Views 0 Reviews
  • นายสุรัจ กีรี คนพม่าถือบัตรไทย สนิทสนมสส.พรรคล้มล้าง และเข้าร่วมม็อบสามกีบมาตลอด ใครกันแน่ที่บ่อนทำลายชาติ หลอกใช้แรงงานจาประเทศเพื่อนบ้าน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นายสุรัจ กีรี คนพม่าถือบัตรไทย สนิทสนมสส.พรรคล้มล้าง และเข้าร่วมม็อบสามกีบมาตลอด ใครกันแน่ที่บ่อนทำลายชาติ หลอกใช้แรงงานจาประเทศเพื่อนบ้าน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 494 Views 0 Reviews
  • ค่ายรถจีนแซงหน้ายักษ์ใหญ่ในตะวันตกด้านต้นทุนและคุณภาพ
    ขอบคุณภาพจาก CGTN
    16.09.2024
    ผู้ผลิตรถยนต์จีนใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ลดต่ำลง การเข้าถึงวัตถุดิบที่ถูกกว่า และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตยานยนต์ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถเสนอราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้

    แบรนด์รถยนต์จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการควบคุมคุณภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ขั้นตอนการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด และระบบการจัดการการจัดการซัพพลายเออร์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือเกินกว่านั้น การเน้นย้ำด้านคุณภาพนี้ช่วยปรับปรุงการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์จีนในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก

    ผู้ผลิตรถยนต์จีนยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยทุ่มลงทุนมหาศาลในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบขับขี่อัตโนมัติ และฟีเจอร์ขั้นสูงอื่นๆ แบรนด์จีนจึงมักแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมในแง่ของฟีเจอร์และความสามารถทางเทคโนโลยี โดยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในอนาคตของการเดินทาง

    ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังขยายฐานการผลิตทั่วโลกอย่างแข็งขัน โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำลังสร้างโรงงานผลิต จัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่าย และจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อสร้างฐานที่มั่นในภูมิภาคเหล่านี้ กลยุทธ์การขยายตัวนี้ช่วยให้แบรนด์จีนเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตกอย่าง Ford และ GM ได้

    By IMCT NEWS
    อ้างอิงจาก: https://www.njcee.org/finance/chinese-automakers-are-far-ahead-of-ford-and-gm-on-cost-and-quality.html





    ค่ายรถจีนแซงหน้ายักษ์ใหญ่ในตะวันตกด้านต้นทุนและคุณภาพ ขอบคุณภาพจาก CGTN 16.09.2024 ผู้ผลิตรถยนต์จีนใช้ประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ลดต่ำลง การเข้าถึงวัตถุดิบที่ถูกกว่า และกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพื่อผลิตยานยนต์ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถเสนอราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้ แบรนด์รถยนต์จีนได้ก้าวหน้าอย่างมากในการควบคุมคุณภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ขั้นตอนการทดสอบคุณภาพที่เข้มงวด และระบบการจัดการการจัดการซัพพลายเออร์ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือเกินกว่านั้น การเน้นย้ำด้านคุณภาพนี้ช่วยปรับปรุงการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์จีนในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก ผู้ผลิตรถยนต์จีนยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยทุ่มลงทุนมหาศาลในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบขับขี่อัตโนมัติ และฟีเจอร์ขั้นสูงอื่นๆ แบรนด์จีนจึงมักแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมในแง่ของฟีเจอร์และความสามารถทางเทคโนโลยี โดยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในอนาคตของการเดินทาง ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังขยายฐานการผลิตทั่วโลกอย่างแข็งขัน โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำลังสร้างโรงงานผลิต จัดตั้งเครือข่ายการขายและการจัดจำหน่าย และจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทในท้องถิ่นเพื่อสร้างฐานที่มั่นในภูมิภาคเหล่านี้ กลยุทธ์การขยายตัวนี้ช่วยให้แบรนด์จีนเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตกอย่าง Ford และ GM ได้ By IMCT NEWS อ้างอิงจาก: https://www.njcee.org/finance/chinese-automakers-are-far-ahead-of-ford-and-gm-on-cost-and-quality.html
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 381 Views 0 Reviews
  • ทุกศาสนามีมูลเหตุมาจากความกลัว นับตั้งแต่ กลัวภัยธรรมชาติ จนถึงกลัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส วิธีปฏิบัติเพื่อให้รอดพ้นจากความกลัวนั้นๆ เรียกว่า “ศาสนา” เช่นมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอน เป็นต้น

    พุทธศาสนา มีมูลมาจากกลัวความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส อันเป็นตัวทุกข์หรือเหตุให้เกิดทุกข์วิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ คือ การพิจารณาให้รู้แ เป็นจริงในสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วยตนเองว่า “อะไร” อะไร” เมื่อเห็นจริงก็ปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง การปฏิบั ถูกนั่นเองเป็นทางดับทุกข์ การบูชา บวงสรวง อ้อน การรดน้ำมนต์ ตลอดจนการนับถือเทวดา หรือดวง มิใช่ทางดับทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา

    พุทธศาสนาดูได้หลายเหลี่ยม เช่นเดียวกับศาสน อื่นๆ ตามแต่สติปัญญาความรู้ความเข้าใจของผู้ดู คัม ของศาสนาต่างๆ หรือพระไตรปิฎกของพระพุทธศาส จึงมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกมาก ตามความเห็นของคน หลัง จนเกินขอบเขต โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา การหลงถือเอาพิธีต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เช่น พิธี วิญญาณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นว่าเป็นพุทธศาสนา บางอย่างได้ห่อหุ้มความหมายเดิมให้สาบสูญไป เช่น บวชนาค” ได้มีการทำขวัญนาค มีการฉลองกันใน วชไม่กี่วัน สึกออกมายังเหมือนเดิม การบวชสมัย

    พระพุทธเจ้า ผู้ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วปลีกตัว ออกจากเรือนไปหาพระ การบวชเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ ทางบ้านไม่มีหน้าที่ทำอะไรเลย พิธีที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นไม่ได้ ทำให้ผู้บวชดีขึ้น บางคนฝึกไปแล้วกลับเลวกว่าเก่าก็มี จึงเป็นการทำให้หมดเปลืองทรัพย์ และแรงงานไปเปล่าๆ


    เรื่อง “กฐิน” ก็เช่นกัน ความมุ่งหมายเดิมมีว่า ให้พระทุกรูปทำจีวรใช้เอง ให้พร้อมเพรียงกัน ทำด้วยมือ ” คนให้หมดความถือตัว โดยให้ลดตัวเองมาเป็นกุลีเท่ากัน หมด แต่เดี๋ยวนี้กฐินกลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบ พิธีหรูหราหาเงิน เอิกเกริกเฮฮาสนุกสนานพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริง

    ลักษณะดังกล่าวมานี้ เรียกว่าเป็น “เนื้องอก” ของ พุทธศาสนา ซึ่งมีมากมายหลายร้อยอย่าง จัดเป็นเนื้อ ร้ายชนิดหนึ่งที่งอกออกมาปิดบังเนื้อดีหรือแก่นแท้ของ พุทธศาสนาให้ค่อยๆ เลือนหายไป นิกายต่างๆ ก็เกิดขึ้น

    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน
    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/12/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5/
    ทุกศาสนามีมูลเหตุมาจากความกลัว นับตั้งแต่ กลัวภัยธรรมชาติ จนถึงกลัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส วิธีปฏิบัติเพื่อให้รอดพ้นจากความกลัวนั้นๆ เรียกว่า “ศาสนา” เช่นมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอน เป็นต้น พุทธศาสนา มีมูลมาจากกลัวความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส อันเป็นตัวทุกข์หรือเหตุให้เกิดทุกข์วิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ คือ การพิจารณาให้รู้แ เป็นจริงในสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วยตนเองว่า “อะไร” อะไร” เมื่อเห็นจริงก็ปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง การปฏิบั ถูกนั่นเองเป็นทางดับทุกข์ การบูชา บวงสรวง อ้อน การรดน้ำมนต์ ตลอดจนการนับถือเทวดา หรือดวง มิใช่ทางดับทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา พุทธศาสนาดูได้หลายเหลี่ยม เช่นเดียวกับศาสน อื่นๆ ตามแต่สติปัญญาความรู้ความเข้าใจของผู้ดู คัม ของศาสนาต่างๆ หรือพระไตรปิฎกของพระพุทธศาส จึงมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกมาก ตามความเห็นของคน หลัง จนเกินขอบเขต โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา การหลงถือเอาพิธีต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เช่น พิธี วิญญาณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นว่าเป็นพุทธศาสนา บางอย่างได้ห่อหุ้มความหมายเดิมให้สาบสูญไป เช่น บวชนาค” ได้มีการทำขวัญนาค มีการฉลองกันใน วชไม่กี่วัน สึกออกมายังเหมือนเดิม การบวชสมัย พระพุทธเจ้า ผู้ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วปลีกตัว ออกจากเรือนไปหาพระ การบวชเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ ทางบ้านไม่มีหน้าที่ทำอะไรเลย พิธีที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นไม่ได้ ทำให้ผู้บวชดีขึ้น บางคนฝึกไปแล้วกลับเลวกว่าเก่าก็มี จึงเป็นการทำให้หมดเปลืองทรัพย์ และแรงงานไปเปล่าๆ เรื่อง “กฐิน” ก็เช่นกัน ความมุ่งหมายเดิมมีว่า ให้พระทุกรูปทำจีวรใช้เอง ให้พร้อมเพรียงกัน ทำด้วยมือ ” คนให้หมดความถือตัว โดยให้ลดตัวเองมาเป็นกุลีเท่ากัน หมด แต่เดี๋ยวนี้กฐินกลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบ พิธีหรูหราหาเงิน เอิกเกริกเฮฮาสนุกสนานพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริง ลักษณะดังกล่าวมานี้ เรียกว่าเป็น “เนื้องอก” ของ พุทธศาสนา ซึ่งมีมากมายหลายร้อยอย่าง จัดเป็นเนื้อ ร้ายชนิดหนึ่งที่งอกออกมาปิดบังเนื้อดีหรือแก่นแท้ของ พุทธศาสนาให้ค่อยๆ เลือนหายไป นิกายต่างๆ ก็เกิดขึ้น สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/03/12/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5/
    0 Comments 1 Shares 169 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 441 Views 0 Reviews
  • ทองคำฟิวเจอร์สสร้างสถิติพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญ

    ในสัปดาห์ประวัติศาสตร์สำหรับตลาดโลหะมีค่า โกลด์ฟิวเจอร์สได้ทำลายสถิติ โดยทะลุระดับ 2,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์เป็นครั้งแรก

    ณ เวลา 17.00 น. EDTของวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาเซื้อขายทองคำสำหรับเดือนธันวาคมอยู่ที่ 2,606.20 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ 19 ดอลลาร์หรือ 0.73% สำหรับวันนั้น การพุ่งขึ้นนี้ถือเป็นวันที่สองติดต่อกันของการทำลายสถิติสูงสุด โดยจุดสูงสุดระหว่างวันแตะระดับ $2,614.60 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    การเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งของราคาทองคำเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของเมื่อวันศุกร์ที่ 47 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม การเพิ่มขึ้นอย่างมากของสัปดาห์นี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าก้าวข้ามหลักชัยที่ 2,600 ดอลลาร์

    ในขณะที่ฝุ่นจางหายไปในเหตุการณ์สำคัญนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังมุ่งความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการตลาดกลางของรัฐบาลกลาง (FOMC) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ปี 2020 มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้สังเกตการณ์ตลาดก็คือการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน

    เวทีสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางมีความพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง จุดยืนของพาวเวลล์สะท้อนจากเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าการผ่อนคลายทางการเงินกำลังใกล้เข้ามา

    เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Austan Goolsbee ประธานเฟดแห่งชิคาโกเน้นย้ำว่าแนวโน้มระยะยาวทั้งในตลาดแรงงานและข้อมูลเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น Goolsbee เตือนไม่ให้ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานาน โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระดับการจ้างงาน

    แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีสูง แต่ประเด็นสำคัญยังคงเป็นประเด็นถกเถียง นักเศรษฐศาสตร์ที่ Fitch คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดจุดพื้นฐาน 0.25%สองครั้ง หนึ่งครั้งในสัปดาห์หน้าและอีกครั้งในเดือนธันวาคม

    อย่างไรก็ตาม เสียงบางส่วน เช่น Krishna Guha จาก Evercore ISI สนับสนุนการลดดอกเบี้ยพื้นฐาน 0.50%เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    ที่มา Kitco
    ทองคำฟิวเจอร์สสร้างสถิติพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญ ในสัปดาห์ประวัติศาสตร์สำหรับตลาดโลหะมีค่า โกลด์ฟิวเจอร์สได้ทำลายสถิติ โดยทะลุระดับ 2,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์เป็นครั้งแรก ณ เวลา 17.00 น. EDTของวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาเซื้อขายทองคำสำหรับเดือนธันวาคมอยู่ที่ 2,606.20 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ 19 ดอลลาร์หรือ 0.73% สำหรับวันนั้น การพุ่งขึ้นนี้ถือเป็นวันที่สองติดต่อกันของการทำลายสถิติสูงสุด โดยจุดสูงสุดระหว่างวันแตะระดับ $2,614.60 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งของราคาทองคำเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของเมื่อวันศุกร์ที่ 47 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม การเพิ่มขึ้นอย่างมากของสัปดาห์นี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าก้าวข้ามหลักชัยที่ 2,600 ดอลลาร์ ในขณะที่ฝุ่นจางหายไปในเหตุการณ์สำคัญนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังมุ่งความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการตลาดกลางของรัฐบาลกลาง (FOMC) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ปี 2020 มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้สังเกตการณ์ตลาดก็คือการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน เวทีสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางมีความพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง จุดยืนของพาวเวลล์สะท้อนจากเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าการผ่อนคลายทางการเงินกำลังใกล้เข้ามา เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Austan Goolsbee ประธานเฟดแห่งชิคาโกเน้นย้ำว่าแนวโน้มระยะยาวทั้งในตลาดแรงงานและข้อมูลเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น Goolsbee เตือนไม่ให้ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานาน โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระดับการจ้างงาน แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีสูง แต่ประเด็นสำคัญยังคงเป็นประเด็นถกเถียง นักเศรษฐศาสตร์ที่ Fitch คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดจุดพื้นฐาน 0.25%สองครั้ง หนึ่งครั้งในสัปดาห์หน้าและอีกครั้งในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม เสียงบางส่วน เช่น Krishna Guha จาก Evercore ISI สนับสนุนการลดดอกเบี้ยพื้นฐาน 0.50%เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่มา Kitco
    Like
    Love
    Haha
    13
    0 Comments 1 Shares 629 Views 0 Reviews
  • 12 กันยายน 2567-พบกับ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจเรื่อง ภาษี แรงงาน ทุนข้ามชาติ วิกฤตและโอกาส ที่จะวัดฝีมือรัฐบาลแพทองธาร ในรายการคนเคาะข่าว โดย กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ

    ที่มา https://youtu.be/XG6gq0c66bI?si=d-aGu0fg7dy1zC6D

    #Thaitimes
    12 กันยายน 2567-พบกับ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจเรื่อง ภาษี แรงงาน ทุนข้ามชาติ วิกฤตและโอกาส ที่จะวัดฝีมือรัฐบาลแพทองธาร ในรายการคนเคาะข่าว โดย กิตติชัย ไพโรจน์ไชยกุล ดำเนินรายการ ที่มา https://youtu.be/XG6gq0c66bI?si=d-aGu0fg7dy1zC6D #Thaitimes
    Like
    11
    0 Comments 0 Shares 733 Views 0 Reviews
  • Elon Musk เตือนสหรัฐกำลังจะล้มละลายอย่างรวดเร็ว ในบทสัมภาษณ์กับพอดแคสต์ All-In Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ SpaceX ได้อ้างว่า ดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ตอนนี้ คิดเป็นมูลค่าเกินงบกลาโหมไปแล้ว และประเทศกำลังจะล้มละลายอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศในปลายเดือนกรกฎาคมว่าหนี้สาธารณะของประเทศเกิน 35 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 1,176 ล้านล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา

    เมื่อเดือนมิถุนายน ส.ส.สหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายนโยบายกลาโหมประจำปี ซึ่งอนุญาตให้จ่ายงบได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 8.9 แสนล้านดอลลาร์ (29 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า Musk จึงเตือนว่า " ดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะตอนนี้สูงกว่างบประมาณทั้งหมดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียอีก และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ"

    เขาเน้นย้ำด้วยว่า หนี้ที่เพิ่มขึ้น ทุก ๆ ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่ "ลูกหลานของพวกเรา จะต้องจ่ายคืนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง" โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ Muskได้แชร์โพสต์บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ระบุว่าสหรัฐฯ จะต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้มากกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (40 ล้านล้านบาท) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับประมาณ 25% ของรายรับรัฐบาล

    ต้นเดือนนี้ Musk ยังเตือนอีกว่าอัตราการใช้จ่ายของรัฐบาลในปัจจุบันกำลังทำให้สหรัฐฯ เข้าใกล้ภาวะล้มละลายอย่างรวดเร็ว และการใช้จ่ายเกินดุลของรัฐบาลกำลังกระตุ้นเงินเฟ้อด้วย โดยในเดือนสิงหาคม กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีลดลงต่ำกว่า 3% ในเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 2.9% ขณะที่เงินเฟ้อ ซึ่งไม่รวมอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

    12/9/2024
    Elon Musk เตือนสหรัฐกำลังจะล้มละลายอย่างรวดเร็ว ในบทสัมภาษณ์กับพอดแคสต์ All-In Elon Musk ซีอีโอของ Tesla และ SpaceX ได้อ้างว่า ดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ตอนนี้ คิดเป็นมูลค่าเกินงบกลาโหมไปแล้ว และประเทศกำลังจะล้มละลายอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศในปลายเดือนกรกฎาคมว่าหนี้สาธารณะของประเทศเกิน 35 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 1,176 ล้านล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เมื่อเดือนมิถุนายน ส.ส.สหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายนโยบายกลาโหมประจำปี ซึ่งอนุญาตให้จ่ายงบได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 8.9 แสนล้านดอลลาร์ (29 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า Musk จึงเตือนว่า " ดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะตอนนี้สูงกว่างบประมาณทั้งหมดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เสียอีก และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ" เขาเน้นย้ำด้วยว่า หนี้ที่เพิ่มขึ้น ทุก ๆ ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่ "ลูกหลานของพวกเรา จะต้องจ่ายคืนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง" โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ Muskได้แชร์โพสต์บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ระบุว่าสหรัฐฯ จะต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้มากกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (40 ล้านล้านบาท) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับประมาณ 25% ของรายรับรัฐบาล ต้นเดือนนี้ Musk ยังเตือนอีกว่าอัตราการใช้จ่ายของรัฐบาลในปัจจุบันกำลังทำให้สหรัฐฯ เข้าใกล้ภาวะล้มละลายอย่างรวดเร็ว และการใช้จ่ายเกินดุลของรัฐบาลกำลังกระตุ้นเงินเฟ้อด้วย โดยในเดือนสิงหาคม กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีลดลงต่ำกว่า 3% ในเดือนก่อนหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 2.9% ขณะที่เงินเฟ้อ ซึ่งไม่รวมอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 3.2% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 12/9/2024
    Like
    Love
    Haha
    26
    0 Comments 2 Shares 727 Views 0 Reviews
  • นิด้าโพลสำรวจเสียงคนใต้เกินครึ่งไม่เห็นด้วย พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มีผลเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์

    ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เสียงพี่น้องชาวใต้ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ กระจายระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.19 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 14.58 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 11.91 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 6.34 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.37 ระบุว่า ไม่เลือก รองลงมา ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.48 ระบุว่า เลือก

    เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 16.87 มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้อยละ 15.27 จังหวัดสงขลา ร้อยละ 11.53 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้อยละ 8.01 จังหวัดนราธิวาส ร้อยละ 7.10 จังหวัดปัตตานี ร้อยละ 6.95 จังหวัดตรัง ร้อยละ 5.80 จังหวัดพัทลุง ร้อยละ 5.57 จังหวัดชุมพร ร้อยละ 5.34 จังหวัดยะลา ร้อยละ 4.96 จังหวัดกระบี่ ร้อยละ 4.43 จังหวัดภูเก็ต ร้อยละ 3.36 จังหวัดสตูล ร้อยละ 2.90 จังหวัดพังงา และร้อยละ 1.91 จังหวัดระนอง ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

    ตัวอย่าง ร้อยละ 14.35 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 19.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.00 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.89 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 22.29 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 72.22 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 27.25 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.53 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

    ตัวอย่าง ร้อยละ 34.73 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.74 สมรส และร้อยละ 1.53 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 15.65 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.41 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 33.66 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

    ตัวอย่าง ร้อยละ 11.98 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.73 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.59 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.06 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.82 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.17 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.65 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

    ตัวอย่าง ร้อยละ 18.86 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 16.72 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 32.82 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 6.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้

    ที่มา https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=716

    #Thaitimes
    นิด้าโพลสำรวจเสียงคนใต้เกินครึ่งไม่เห็นด้วย พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มีผลเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เสียงพี่น้องชาวใต้ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ กระจายระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.19 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 14.58 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 11.91 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 6.34 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.37 ระบุว่า ไม่เลือก รองลงมา ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.48 ระบุว่า เลือก เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 16.87 มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้อยละ 15.27 จังหวัดสงขลา ร้อยละ 11.53 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้อยละ 8.01 จังหวัดนราธิวาส ร้อยละ 7.10 จังหวัดปัตตานี ร้อยละ 6.95 จังหวัดตรัง ร้อยละ 5.80 จังหวัดพัทลุง ร้อยละ 5.57 จังหวัดชุมพร ร้อยละ 5.34 จังหวัดยะลา ร้อยละ 4.96 จังหวัดกระบี่ ร้อยละ 4.43 จังหวัดภูเก็ต ร้อยละ 3.36 จังหวัดสตูล ร้อยละ 2.90 จังหวัดพังงา และร้อยละ 1.91 จังหวัดระนอง ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 14.35 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 19.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.00 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.89 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 22.29 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 72.22 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 27.25 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.53 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ ตัวอย่าง ร้อยละ 34.73 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.74 สมรส และร้อยละ 1.53 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 15.65 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.41 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 33.66 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่าง ร้อยละ 11.98 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.73 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.59 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.06 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.82 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.17 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.65 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 18.86 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 16.72 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 32.82 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 6.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้ ที่มา https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=716 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 703 Views 0 Reviews
  • แอดมิน ได้มีโอกาสคุยกับน้องที่มาจาก
    เวียงจันทน์ ประเทศลาว
    เลยลองถามเหตุผลว่า ทำไมถึงมาทำงานที่เมืองไทย?
    และค่าครองชีพ ที่ไทยกับเวียงจันทน์ ที่ไหนสูงกว่ากัน?

    น้องตอบว่า :

    1. สาเหตุที่มาทำงานที่เมืองไทย เพราะค่าเงินบาท
    แข็งค่ากว่า ค่าเงินกีบ(ลาว) เมื่อนำไปแลกที่เวียงจันทน์ จะได้
    จำนวนเงินที่เยอะกว่า (ดูอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 10 ก.ย.2567
    ค่าเงิน 1 บาท= 653.01 กีบ)

    2. ค่าครองชีพ ไม่น่าเชื่อว่าที่เมืองไทยจะถูกกว่า น้องบอกว่า
    ที่นี่สามารถซื้อหมูปิ้ง และไก่ย่าง ไม้ละ 5-10 บาท ได้
    แต่ที่เวียงจันทน์ อย่างต่ำต้องเจอไม้ละ 20 บาท
    เมืองไทยสามารถอยู่ได้สบายๆ
    (อัตราเงินเฟ้อที่ลาว ปัจจุบัน อยู่ที่ 25%) ทำให้สินค้าอุปโภค
    บริโภคภายในประเทศมีราคาที่สูง)


    เรื่องนี้สะท้อนได้หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ

    *การเคลื่อนย้ายแรงงาน จากประเทศเพื่อนบ้าน
    เพื่อเข้ามาทำงานที่เมืองไทย มีแนวโน้มสูงขึ้น

    *ค่าครองชีพ ที่เมืองไทย ถือว่า อยู่ในระดับที่ไม่สูง
    ดังนั้น ชาวต่างชาติ จึงสนใจเข้ามาอยู่ที่เมืองไทย
    มีแนวโน้มที่สูงขึ้น จุดนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งที่สำคัญ
    ของเมืองไทย


    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥 แอดมิน ได้มีโอกาสคุยกับน้องที่มาจาก เวียงจันทน์ ประเทศลาว เลยลองถามเหตุผลว่า ทำไมถึงมาทำงานที่เมืองไทย? และค่าครองชีพ ที่ไทยกับเวียงจันทน์ ที่ไหนสูงกว่ากัน? น้องตอบว่า : 🚩1. สาเหตุที่มาทำงานที่เมืองไทย เพราะค่าเงินบาท แข็งค่ากว่า ค่าเงินกีบ(ลาว) เมื่อนำไปแลกที่เวียงจันทน์ จะได้ จำนวนเงินที่เยอะกว่า (ดูอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 10 ก.ย.2567 ค่าเงิน 1 บาท= 653.01 กีบ) 🚩2. ค่าครองชีพ ไม่น่าเชื่อว่าที่เมืองไทยจะถูกกว่า น้องบอกว่า ที่นี่สามารถซื้อหมูปิ้ง และไก่ย่าง ไม้ละ 5-10 บาท ได้ แต่ที่เวียงจันทน์ อย่างต่ำต้องเจอไม้ละ 20 บาท เมืองไทยสามารถอยู่ได้สบายๆ (อัตราเงินเฟ้อที่ลาว ปัจจุบัน อยู่ที่ 25%) ทำให้สินค้าอุปโภค บริโภคภายในประเทศมีราคาที่สูง) เรื่องนี้สะท้อนได้หลายเรื่อง ที่สำคัญคือ 🚩*การเคลื่อนย้ายแรงงาน จากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเข้ามาทำงานที่เมืองไทย มีแนวโน้มสูงขึ้น 🚩*ค่าครองชีพ ที่เมืองไทย ถือว่า อยู่ในระดับที่ไม่สูง ดังนั้น ชาวต่างชาติ จึงสนใจเข้ามาอยู่ที่เมืองไทย มีแนวโน้มที่สูงขึ้น จุดนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งที่สำคัญ ของเมืองไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 564 Views 0 Reviews
  • นายก รัฐมนตรี แพรทองธาร ชินวัตร
    มีแผนจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทยดังนี้
    (โดยส่วนตัวแอดมินชอบข้อ 10)
    1. ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
    2. ส่งเสริมและยกระดับ Soft Power ในประเทศ
    3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
    4. ต่อยอดพัฒนา เศรษฐกิจดิจิทัล
    เช่น Data Center (ศูนย์ข้อมูลด้าน IT) ,โรงงานผลิตชิป
    โรงานผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ , AI (ปัญญาประดิษฐ์)
    5. มุ่งเน้นเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and wellness)
    Health tech , Biotechnologyุ6. เป้าหมาย เป็นศูนย์กลาง การเงินโลก (Financial Hub)
    7. ยกระดับความสามารถในงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม
    8. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ในประเทศ (Mega Project)
    9. พัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศ
    เช่น โซลาร์เซล์ ระบบไฟฟ้า การประปา ให้ครอบคลุม
    10. รัฐบาลจะดึงแรงงานที่อยู่นอกระบบภาษี (รวมถึงร้านค้า)
    ที่ปัจจุบัน มีอยู่มากกว่าร้อยละ 50 เข้ามาสู่ระบบภาษี

    ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
    🔥🔥 นายก รัฐมนตรี แพรทองธาร ชินวัตร มีแผนจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทยดังนี้ (โดยส่วนตัวแอดมินชอบข้อ 10) 1. ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 2. ส่งเสริมและยกระดับ Soft Power ในประเทศ 3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) 4. ต่อยอดพัฒนา เศรษฐกิจดิจิทัล เช่น Data Center (ศูนย์ข้อมูลด้าน IT) ,โรงงานผลิตชิป โรงานผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ , AI (ปัญญาประดิษฐ์) 5. มุ่งเน้นเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and wellness) Health tech , Biotechnologyุ6. เป้าหมาย เป็นศูนย์กลาง การเงินโลก (Financial Hub) 7. ยกระดับความสามารถในงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม 8. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ในประเทศ (Mega Project) 9. พัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศ เช่น โซลาร์เซล์ ระบบไฟฟ้า การประปา ให้ครอบคลุม 10. รัฐบาลจะดึงแรงงานที่อยู่นอกระบบภาษี (รวมถึงร้านค้า) ที่ปัจจุบัน มีอยู่มากกว่าร้อยละ 50 เข้ามาสู่ระบบภาษี ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC
    เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่

    1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME
    ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ
    ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง
    กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
    ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจอยู่ในระดับต่ำ

    2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทายรอบด้าน
    จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน
    กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย

    3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ
    ศักยภาพธุรกิจในระยะยาวโดย SME ไทย จะเน้นการลงทุน
    เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
    สารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า และบริการให้
    มีคุณภาพสูง

    4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ
    กับกระแส ESG

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่ 🚩1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจอยู่ในระดับต่ำ 🚩2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทายรอบด้าน จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย 🚩3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ ศักยภาพธุรกิจในระยะยาวโดย SME ไทย จะเน้นการลงทุน เพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า และบริการให้ มีคุณภาพสูง 4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ กับกระแส ESG #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 667 Views 200 0 Reviews
  • ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC
    เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่

    1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME
    ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ
    ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง
    กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
    ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ
    อยู่ในระดับต่ำ

    นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นสัญญาณความกังวลใจ
    ต่อปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์
    ที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้านำเข้า

    ทั้งนี้การเรียกคืนความเชื่อมั่นให้แก่เหล่าธุรกิจ SME
    ควรเริ่มจากการเพิ่มบทบาทของภาครัฐและภาคการเงิน
    ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายส่งเสริมการใช้จ่าย
    และท่องเที่ยว เร่ง/เพิ่มการลงทุนภาครัฐ ลดความเข้มงวด
    การปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงิน
    ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ในระยะยาว ควรมีมาตรการสนับสนุน
    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ
    ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรม
    การผลิต เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ

    2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ
    กับความท้าทายรอบด้าน
    จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน
    กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย
    ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME ไทย กำลังเผชิญความท้าทาย

    อีกทั้ง ยังขาดความสามารถในการรักษาฐานลูกค้า เพราะเผชิญ
    กับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง จากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ

    อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในแต่ละขนาดวิสาหกิจมีการรับมือ
    กับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
    โดยธุรกิจขนาดย่อม (Micro) จะเน้นมาตรการลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก
    ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางส่วนใหญ่จะหันมายกระดับธุรกิจ
    ผ่านการพัฒนาสินค้า กระบวนการผลิต และการตลาดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

    3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ
    ศักยภาพธุรกิจในระยะยาว
    โดย SME ไทย จะเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
    การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า
    และบริการให้มีคุณภาพสูง ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาธุรกิจเหล่านี้
    เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาด้านต้นทุน ความล้าสมัย
    ของกระบวนการทำงาน และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรอบด้าน
    ซึ่งพบว่าอุตสาหกรรมที่มีความตื่นตัวมากที่สุด คือ กลุ่มผู้ผลิตอาหาร
    และเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก

    ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักสำหรับธุรกิจ SME ยังคงพึ่งพาสินเชื่อ
    จากสถาบันการเงินเป็นหลัก จะมีเพียงวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro)
    ที่จำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินทุน จากกำไรสะสมของธุรกิจ
    และทรัพย์สินของผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่เผชิญปัญหา
    ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์
    เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการจัดทำบัญชียังไม่เป็นระบบ

    4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ
    กับกระแส ESG
    SME ไทยส่วนใหญ่ได้กำหนดแผนการดำเนินงานภายใต้เป้าหมาย
    ความยั่งยืนแล้ว ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างในอุตฯ ปั๊มน้ำมัน จำหน่ายเคมีภัณฑ์
    รับเหมาและขายวัสดุก่อสร้าง นับว่าตื่นตัวกับกระแสดังกล่าวมากที่สุด
    โดยการปรับตัวจะเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

    ทั้งนี้การปรับตัวของ SME ให้สอดรับกับกระแส ESG จำเป็นต้องอาศัย
    โครงการจัดอบรมให้ความรู้ และโครงการมีที่ปรึกษาที่กระจายตัว
    อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดย่อมและธุรกิจ
    ในจังหวัดเมืองรอง ยังเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือเหล่านี้
    ได้ค่อนข้างจำกัด จนมีส่วนทำให้การปรับตัวทำได้ค่อนข้างยาก
    และมีต้นทุนสูง

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #SCBEIC
    #ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ SCBEIC เผยแพร่ข้อมูล SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทาย 4 ด้าน ได้แก่ 🚩1. มุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME ของไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำ ความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง กอปรกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SME ไทย มีมุมมองความเชื่อมั่นของธุรกิจ อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ เรายังเริ่มเห็นสัญญาณความกังวลใจ ต่อปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ ที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้านำเข้า ทั้งนี้การเรียกคืนความเชื่อมั่นให้แก่เหล่าธุรกิจ SME ควรเริ่มจากการเพิ่มบทบาทของภาครัฐและภาคการเงิน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายส่งเสริมการใช้จ่าย และท่องเที่ยว เร่ง/เพิ่มการลงทุนภาครัฐ ลดความเข้มงวด การปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงิน ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ในระยะยาว ควรมีมาตรการสนับสนุน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรม การผลิต เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดใหม่ ๆ 🚩2. การดำเนินธุรกิจ SME ไทย กำลังเผชิญ กับความท้าทายรอบด้าน จากต้นทุนการผลิต/การดำเนินงานสูงและผันผวน กอปรกับปัญหากลยุทธ์การตลาดและกระบวนการผลิตล้าสมัย ทำให้การดำเนินธุรกิจของ SME ไทย กำลังเผชิญความท้าทาย อีกทั้ง ยังขาดความสามารถในการรักษาฐานลูกค้า เพราะเผชิญ กับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง จากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในแต่ละขนาดวิสาหกิจมีการรับมือ กับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยธุรกิจขนาดย่อม (Micro) จะเน้นมาตรการลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางส่วนใหญ่จะหันมายกระดับธุรกิจ ผ่านการพัฒนาสินค้า กระบวนการผลิต และการตลาดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น 🚩3. SME ไทย เริ่มหันมาให้ความสำคัญ กับการยกระดับ ศักยภาพธุรกิจในระยะยาว โดย SME ไทย จะเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการพัฒนาสินค้า และบริการให้มีคุณภาพสูง ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาธุรกิจเหล่านี้ เกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาด้านต้นทุน ความล้าสมัย ของกระบวนการทำงาน และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรอบด้าน ซึ่งพบว่าอุตสาหกรรมที่มีความตื่นตัวมากที่สุด คือ กลุ่มผู้ผลิตอาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักสำหรับธุรกิจ SME ยังคงพึ่งพาสินเชื่อ จากสถาบันการเงินเป็นหลัก จะมีเพียงวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro) ที่จำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินทุน จากกำไรสะสมของธุรกิจ และทรัพย์สินของผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่เผชิญปัญหา ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการจัดทำบัญชียังไม่เป็นระบบ 🚩4. SME มีมุมมองเชิงบวก และ กำลังเตรียมพร้อมรับมือ กับกระแส ESG SME ไทยส่วนใหญ่ได้กำหนดแผนการดำเนินงานภายใต้เป้าหมาย ความยั่งยืนแล้ว ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างในอุตฯ ปั๊มน้ำมัน จำหน่ายเคมีภัณฑ์ รับเหมาและขายวัสดุก่อสร้าง นับว่าตื่นตัวกับกระแสดังกล่าวมากที่สุด โดยการปรับตัวจะเน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ทั้งนี้การปรับตัวของ SME ให้สอดรับกับกระแส ESG จำเป็นต้องอาศัย โครงการจัดอบรมให้ความรู้ และโครงการมีที่ปรึกษาที่กระจายตัว อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดย่อมและธุรกิจ ในจังหวัดเมืองรอง ยังเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือเหล่านี้ ได้ค่อนข้างจำกัด จนมีส่วนทำให้การปรับตัวทำได้ค่อนข้างยาก และมีต้นทุนสูง #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SME #เอสเอมอี #SCBEIC #ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 689 Views 0 Reviews
  • ประกันสังคมแจง 65 ปี ไม่ใช่อายุเกษียณ

    7 กันยายน 2567-นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ชี้แจงสื่อมวลชนประเด็นข่าวเรื่องการขยายฐานอายุผู้ประกันตน มาตรา 33 ในการจ่ายเงินชราภาพ ยืดไปเป็น 65 ปี นั้น ข้อเท็จจริงคือการแก้ไข พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ.…. (ฉบับที่ 5) ที่อยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาตามขั้นตอนนั้น มิได้เป็นการแก้ไขอายุการเกิดสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจากอายุ 55 ปี เป็น 65 ปี แต่อย่างใด เป็นเพียงการแก้ไขอายุแรกเข้าของการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งปัจจุบัน กำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะต้องมีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ ได้แก้ไขอายุแรกเข้าการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นอายุระหว่าง 15 – 65 ปี ทั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี หากได้รับการว่าจ้างงานจะสามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทุกกรณีได้อย่างครบถ้วน เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุอีกด้วย สำหรับผู้ประกันตนที่เกษียณ หรือสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน เมื่ออายุ 55 ปี ยังคงสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพได้ตามปกติ

    นายบุญสงค์ กล่าวต่อไปว่า การขยายฐานอายุผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นมาตรการหนึ่งที่สำนักงานประกันสังคมให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมถึงสร้างหลักประกันทางสังคมอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค และพร้อมดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ประกันตนทุกช่วงวัย ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด

    ที่มา : เพจสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
    https://www.facebook.com/share/p/G7mQrsXgSC3bBfYA/

    #Thaitimes
    ประกันสังคมแจง 65 ปี ไม่ใช่อายุเกษียณ 7 กันยายน 2567-นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ชี้แจงสื่อมวลชนประเด็นข่าวเรื่องการขยายฐานอายุผู้ประกันตน มาตรา 33 ในการจ่ายเงินชราภาพ ยืดไปเป็น 65 ปี นั้น ข้อเท็จจริงคือการแก้ไข พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ.…. (ฉบับที่ 5) ที่อยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาตามขั้นตอนนั้น มิได้เป็นการแก้ไขอายุการเกิดสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจากอายุ 55 ปี เป็น 65 ปี แต่อย่างใด เป็นเพียงการแก้ไขอายุแรกเข้าของการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งปัจจุบัน กำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะต้องมีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ ได้แก้ไขอายุแรกเข้าการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นอายุระหว่าง 15 – 65 ปี ทั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 65 ปี หากได้รับการว่าจ้างงานจะสามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทุกกรณีได้อย่างครบถ้วน เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุอีกด้วย สำหรับผู้ประกันตนที่เกษียณ หรือสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน เมื่ออายุ 55 ปี ยังคงสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพได้ตามปกติ นายบุญสงค์ กล่าวต่อไปว่า การขยายฐานอายุผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นมาตรการหนึ่งที่สำนักงานประกันสังคมให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ รวมถึงสร้างหลักประกันทางสังคมอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค และพร้อมดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ประกันตนทุกช่วงวัย ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ที่มา : เพจสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน https://www.facebook.com/share/p/G7mQrsXgSC3bBfYA/ #Thaitimes
    Like
    Sad
    6
    0 Comments 2 Shares 542 Views 0 Reviews
  • การจ้างงานของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้
    ในเดือนสิงหาคม
    แต่การลดลงเหลือ 4.2% บ่งชี้ว่าตลาดแรงงาน
    ยังคงชะลอตัว และอาจไม่รับประกันการปรับลด
    อัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่จากธนาคารกลางสหรัฐในเดือนนี้

    โดยสำนักงานสถิติแรงงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐ
    เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตร
    เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
    หลังจากที่เพิ่มขึ้น 89,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม
    ซึ่งเป็นการปรับลดลง

    นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า
    การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง หลังจากที่
    ก่อนหน้านี้มีการรายงานเพิ่มขึ้น 114,000 ตำแหน่ง
    ในเดือนกรกฎาคม โดยประมาณการอยู่ที่ระหว่าง
    100,000 ถึง 245,000 ตำแหน่ง
    ที่มา : Reuters
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การจ้างงานสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥การจ้างงานของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดไว้ ในเดือนสิงหาคม แต่การลดลงเหลือ 4.2% บ่งชี้ว่าตลาดแรงงาน ยังคงชะลอตัว และอาจไม่รับประกันการปรับลด อัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่จากธนาคารกลางสหรัฐในเดือนนี้ 🚩โดยสำนักงานสถิติแรงงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 89,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการปรับลดลง 🚩นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง หลังจากที่ ก่อนหน้านี้มีการรายงานเพิ่มขึ้น 114,000 ตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม โดยประมาณการอยู่ที่ระหว่าง 100,000 ถึง 245,000 ตำแหน่ง ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การจ้างงานสหรัฐ #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน
    นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้

    โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI
    ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล
    การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ
    จะประกาศในคืนนี้

    สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า
    นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด
    ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข
    เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว
    ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง

    สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
    ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า
    ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด
    ในการประชุมเดือนกันยายน นี้

    โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000
    ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง
    ในเดือนกรกฎาคม

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้นักลงทุนทั่วโลก ต่างจับตามอง ตัวเลขการจ้างงาน นอกภาคการเกษตรของสหรัฐ ที่จะประกาศในวันนี้ 🚩โดยเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนีหุ้นทั่วโลกของ MSCI ร่วงลงเล็กน้อย ในวันพฤหัสบดีก่อนข้อมูล การจ้างงานภาคการเกษตรของสหรัฐฯ จะประกาศในคืนนี้ 🚩สำหรับข้อมูลของวันพฤหัสบดี (เมื่อวาน) แสดงให้เห็นว่า นายจ้างภาคเอกชนของสหรัฐฯ จ้างคนงานน้อยที่สุด ในรอบ 3 ปีครึ่ง ในเดือนสิงหาคม ในขณะที่ตัวเลข เดือนกรกฎาคมถูกปรับลดลง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว ของตลาดแรงงานอย่างรุนแรง 🚩สำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคมในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าจะชี้แจงได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเพียงใด ในการประชุมเดือนกันยายน นี้ 🚩โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานใหม่ 160,000 ตำแหน่ง ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 114,000 ตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #เศรษฐกิจสหรัฐ #การจ้างงาน #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 764 Views 0 Reviews
  • ยุคนี้.....กัญชามาแรงแซงโค้ง....!!!

    คือเมื่อคืนนะคะ ดิฉันดูละครโทรทัศน์ เรื่อง ทองเอก หมอยา
    ทุ่งโฉลง เพราะได้ดูตัวอย่างนิดนึงแล้วติดใจ อยากติดตาม เพราะเป็นของใหม่ที่จะให้การศึกษากับคนไทยแบบเนียนด้วยการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพร..

    อันว่าดิฉันเนี่ยยย เป็นคนที่ค่อนข้างต่อต้านยาฝรั่ง คือพยายามใช้ให้น้อยที่สุด เช่น เฉพาะไมเกรนเจ้าประจำ กับฉีดวัคซีนต่างๆ
    แต่ไม่พยายามพร่ำเพรื่อ อย่างที่น้องมาแวะเยี่ยม ก็ได้ขอให้ติด”ยาน้ำระดมพล” มาให้ด้วย ขอบคุณน้องหลายๆเด้อ
    เพราะสรรพคุณของยาน้ำนี้ คือการ”รุ” เพื่อระบบไฟธาตุในร่างกายได้ทำงานสะดวก (ตามคำของผู้ใหญ่ที่สั่งสอนมา)
    ดิฉันก็ถือมาเป็นวิถีปฏิบัติมาสามสิบปีนี่แล้วค่ะ อาทิตย์ละจอก..
    ที่เห็นๆคือ ไมเกรนห่างหายไปมาก และ สบายตัว

    เลยเถิดไปได้ยังไงเนี่ยยย ว่าจะพูดถึงกัญชา...!!!

    เอาว่าเริ่มจากกัญชาฝรั่งก่อนนะคะ กัญชาไทย หรือ Thai stick เราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นสุดยอด....ที่ฝรั่งหลงไหลถึงขนาดจับเครื่องบินมาเพื่อเชยชม ดูดดมเจ้า...
    ตอนนี้ “กัญชา” เป็นที่หอมหวนในวงการธุรกิจ เพราะมันหมายถึงเงินจำนวนแสนล้าน...
    ในปี 2014 อุรุกวัย เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวใช้กัญชาได้
    ตามกฏหมายกำหนด
    ตามด้วย แคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2018
    ตั้งแต่อุรุกวัย เปิดเสรีเรื่องกัญชาขึ้นมา พลอยสร้างกระแสแรงกระเพื่อมในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนเหล่านิยมกัญชา เขาคือ กลุ่ม AUMA (Adult Use of Marijuana Act)
    พากันเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณากฏหมายผ่อนปรนด้วยเรื่องสารเสพติด โดยมีการวิจัยออกมาว่า กัญชามีโทษต่อร่างกายน้อยมาก
    น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ และยารักษาโรคอื่นๆ
    อีกทั้งช่วยรักษาได้อีกสารพัดโรค

    ในความจริงคือ ตั้งแต่ปี 2003 บริษัท Bayer AG ได้แอบทุ่มทุนร่วมกับ GW Pharmaceuticals ในการทำวิจัยเรื่องกัญชาในการรักษาโรคมาแล้ว

    ปี 2007 Bayer เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ประเทศเยอรมัน ได้ร่วมมือร่วมทุนกันกับ Monsanto (อเมริกา) เป็นบริษัทที่ทุกคนรู้ๆกันว่า ยิ่งใหญ่มากทางด้านเคมีเกษตร และผันตัวมาทำเรื่อง GMO ในพืชทุกชนิด รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ผัก ผลไม้ จากในอดีตที่เคยเป็นผู้ผลิต “ฝนเหลือง” ที่คร่าชีวิตชาวเวียดนามไปมากมาย...และผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ George Soros

    แต่ในขณะเดียวกันนั้น ประชาชนผู้บริโภคได้ตื่นตัวต่อวิธีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมในพืชผักของมอนซานโตที่มีข้อเสียซ่อนไว้มากมาย
    และเริ่มมีการต่อต้านกันไปอย่างแพร่หลาย
    มอนซานโตมาถึงจุดตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ได้ถูกฟ้องร้องว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
    รายที่ฟ้องได้ค่าเสียหายมากสุด คือ 289 ล้านยูเอส ในเดือนสิงหาคม 2018
    คือคนสวน Dewayne Johnson อายุ 46 ปี ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าหญ้าของมอนซานโตในชื่อว่า Roundup

    แต่คนอย่าง โซรอส เขามีทางออกที่สวยสุด คือ รีบเทขาย Monsanto ให้กับ Bayer อย่างว่องไว เพราะไหนๆก็ร่วมมือกันทำวิจัยเรื่อง “กัญชา” มาตั้งแต่ 2007 แล้ว ด้วยจำนวนเงิน หกหมื่นล้านยูเอส
    เท่ากับเป็นการล้างชื่อ มอนซานโต ออกไปจากตำแหน่งของบริษัทที่ชั่วช้าที่สุดในโลกไปได้...

    จากนี้ไป เราไม่มีมอนซานโตก็จริง แต่...ใครจะรู้ว่าจะอวตารขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ เพราะสูตรเคมีล้างโลก และ พันธุ์พืชที่ได้แต่งเปลี่ยนนั้น
    อยู่ที่ไหน...?

    และ ที่ Bayer ซื้ออะไรไปด้วยเงินจำนวนขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นสัญญาซื้อขาย ไม่มีสื่อไหนกล้าหาข้อมูลมาตีแผ่
    เพราะในอดีตของ Bayer ก็ถือว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่ามอนซานโตเลย

    Bayer ก็เคยเปลี่ยนชื่อเพราะความฉาวโฉ่มาแล้ว จากชื่อเก่า คือ
    IG Farben เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ผลิตยาให้กับนาซี ตั้งแต่แอสไพรินจนถึงไซยาไนด์
    รวมทั้ง Zyklon B คือแก๊สที่ใช้รมเชลยยิวในค่ายนรก ซึ่งบริษัทนี้ได้เกณฑ์แรงงานยิวมาใช้ตั้งแต่ต้นสงครามจนถึงวันสุดท้ายที่ปราชัย
    พอสงครามเลิก IG Farben ก็ยุบไป และเจ้าหน้าที่ พนักงาน ได้ถูกเป็นจำเลยในศาลกันพร้อมหน้า ติดคุกกันไม่กี่ปีก็ออกมาเดินปร๋อ
    และต่อมาได้มีอวตารบริษัทเกิดขึ้นใหม่ ในนาม Bayer ที่ผู้บริหารตัวบิ๊กๆนั้น มาจาก IG Farben ทั้งแผง

    ในปี 1995 Bayer ได้ออกมาขอโทษกับชาวยิวที่มีส่วนในการผลิตแก๊สทำลายล้างเผ่าพันธุ์

    ส่วน จอร์จ โซรอส นั้น เกิดในฮังการีในปี 1930 และเติบโตมาในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นาซีได้แผ่เข้ามาในฮังการี และได้ฆ่ายิวไปกว่าห้าแสนคน
    ครอบครัวของเขาต้องอยู่ในสถานะปลอมๆ ต้องแอ๊บเป็นอารยัน
    แถมได้ทำงานในออฟฟิศให้กับหน่วยงานของนาซี หน้าที่ของเขาคือ
    นำคนไปตามจับและยึดทรัพย์ชาวยิว...จนถึงสงครามเลิก

    แต่ฮังการี...ต้องไปสู่เขตการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์
    ครอบครัวเขาจึงอพยพมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน เขาได้เข้าเรียนระดับวิทยาลัย ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 1947
    จากนั้น เขาจึงไปเริ่มชีวิตใหม่ที่อเมริกา ในปี 1956 โดยเริ่มจากเซลส์แมนกิ๊กก๊อก นักเก็งกำไรหุ้น ค้าอสังหาฯ
    และเพียง สิบกว่าปี เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี...

    เรื่องที่เขาขายมอนซานโตออกไปอย่างไม่เสียดมเสียดายเพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่า และจะเป็นที่รักใคร่ของประชาชนนั้นคือ
    “กัญชา”
    เขาทุ่มเงินสนับสนุนโอบามา จนได้เป็นประธานาธิบดี เพื่อสนองนโยบายได้เร็วทันใจ เพราะ กัญชาได้เปลี่ยนมาเป็นสารเสพติดร้ายแรงประเภทที่หนึ่ง มาเป็นประเภทที่สอง คือ สารเสพติดที่ใช้ทางการแพทย์
    จากนั้นก็คือหน้าที่ของกลุ่ม AUMA ในรัฐต่างๆที่จะเคลื่อนไหวกันเอง...
    ส่วนโซรอส (ในนามของมอนซานโต) ได้เข้าไปยึดครองการเพาะปลูกกัญชาในอุรุกวัย อันว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกต่อเกษตรกรรมกัญชา ตั้งแต่ 2003 และเขาคือแรงผลักดันให้อุรุกวัยประกาศตนเป็นประเทศที่กัญชาค้าขายได้ถูกกฎหมาย
    รวมทั้งการครอบคลุมเมล็ดพันธุ์

    และที่สำคัญสุดคือ จอร์จ โซรอส ได้มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดของ DPA (Drug Policy Alliance) สำนักงานตั้งอยู่ในนิวยอร์ค
    ประมาณว่า เป็นกลุ่มดูแลนโยบายสิ่งเสพติดในการรักษาโรค
    ที่มีข้อปฎิบัติละเอียดยิบย่อย
    และ DPA นี้ ไม่ใช่ครอบคลุมในเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
    เขาได้กระจายไปในอุรุกวัยและประเทศอื่นในแถบลาตินด้วย

    นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะมีสมาชิกใหม่ในกลุ่ม ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเขา ปลูกได้ตามที่เขาสั่ง ขายได้ในราคาตามที่เขากำหนด ใช้ได้ตามจำนวนที่เขาจะพิจารณา
    และ ถ้าไม่เป็นสมาชิก...แต่จะมาค้าขายกัญชาตามใจชอบ
    ก็อาจจะมี “สงครามกัญชา”เกิดขึ้น

    เงินไม่เข้าใครออกใคร...
    ถ้าจำนวนมหาศาลพอ ...ยิวกับนาซี ยังจูบปากกันได้เลย...!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ยุคนี้.....กัญชามาแรงแซงโค้ง....!!! คือเมื่อคืนนะคะ ดิฉันดูละครโทรทัศน์ เรื่อง ทองเอก หมอยา ทุ่งโฉลง เพราะได้ดูตัวอย่างนิดนึงแล้วติดใจ อยากติดตาม เพราะเป็นของใหม่ที่จะให้การศึกษากับคนไทยแบบเนียนด้วยการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะพืชสมุนไพร.. อันว่าดิฉันเนี่ยยย เป็นคนที่ค่อนข้างต่อต้านยาฝรั่ง คือพยายามใช้ให้น้อยที่สุด เช่น เฉพาะไมเกรนเจ้าประจำ กับฉีดวัคซีนต่างๆ แต่ไม่พยายามพร่ำเพรื่อ อย่างที่น้องมาแวะเยี่ยม ก็ได้ขอให้ติด”ยาน้ำระดมพล” มาให้ด้วย ขอบคุณน้องหลายๆเด้อ เพราะสรรพคุณของยาน้ำนี้ คือการ”รุ” เพื่อระบบไฟธาตุในร่างกายได้ทำงานสะดวก (ตามคำของผู้ใหญ่ที่สั่งสอนมา) ดิฉันก็ถือมาเป็นวิถีปฏิบัติมาสามสิบปีนี่แล้วค่ะ อาทิตย์ละจอก.. ที่เห็นๆคือ ไมเกรนห่างหายไปมาก และ สบายตัว เลยเถิดไปได้ยังไงเนี่ยยย ว่าจะพูดถึงกัญชา...!!! เอาว่าเริ่มจากกัญชาฝรั่งก่อนนะคะ กัญชาไทย หรือ Thai stick เราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นสุดยอด....ที่ฝรั่งหลงไหลถึงขนาดจับเครื่องบินมาเพื่อเชยชม ดูดดมเจ้า... ตอนนี้ “กัญชา” เป็นที่หอมหวนในวงการธุรกิจ เพราะมันหมายถึงเงินจำนวนแสนล้าน... ในปี 2014 อุรุกวัย เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวใช้กัญชาได้ ตามกฏหมายกำหนด ตามด้วย แคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ตั้งแต่อุรุกวัย เปิดเสรีเรื่องกัญชาขึ้นมา พลอยสร้างกระแสแรงกระเพื่อมในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนเหล่านิยมกัญชา เขาคือ กลุ่ม AUMA (Adult Use of Marijuana Act) พากันเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณากฏหมายผ่อนปรนด้วยเรื่องสารเสพติด โดยมีการวิจัยออกมาว่า กัญชามีโทษต่อร่างกายน้อยมาก น้อยกว่าเหล้า บุหรี่ และยารักษาโรคอื่นๆ อีกทั้งช่วยรักษาได้อีกสารพัดโรค ในความจริงคือ ตั้งแต่ปี 2003 บริษัท Bayer AG ได้แอบทุ่มทุนร่วมกับ GW Pharmaceuticals ในการทำวิจัยเรื่องกัญชาในการรักษาโรคมาแล้ว ปี 2007 Bayer เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ ประเทศเยอรมัน ได้ร่วมมือร่วมทุนกันกับ Monsanto (อเมริกา) เป็นบริษัทที่ทุกคนรู้ๆกันว่า ยิ่งใหญ่มากทางด้านเคมีเกษตร และผันตัวมาทำเรื่อง GMO ในพืชทุกชนิด รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ผัก ผลไม้ จากในอดีตที่เคยเป็นผู้ผลิต “ฝนเหลือง” ที่คร่าชีวิตชาวเวียดนามไปมากมาย...และผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ George Soros แต่ในขณะเดียวกันนั้น ประชาชนผู้บริโภคได้ตื่นตัวต่อวิธีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมในพืชผักของมอนซานโตที่มีข้อเสียซ่อนไว้มากมาย และเริ่มมีการต่อต้านกันไปอย่างแพร่หลาย มอนซานโตมาถึงจุดตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ได้ถูกฟ้องร้องว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง รายที่ฟ้องได้ค่าเสียหายมากสุด คือ 289 ล้านยูเอส ในเดือนสิงหาคม 2018 คือคนสวน Dewayne Johnson อายุ 46 ปี ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าหญ้าของมอนซานโตในชื่อว่า Roundup แต่คนอย่าง โซรอส เขามีทางออกที่สวยสุด คือ รีบเทขาย Monsanto ให้กับ Bayer อย่างว่องไว เพราะไหนๆก็ร่วมมือกันทำวิจัยเรื่อง “กัญชา” มาตั้งแต่ 2007 แล้ว ด้วยจำนวนเงิน หกหมื่นล้านยูเอส เท่ากับเป็นการล้างชื่อ มอนซานโต ออกไปจากตำแหน่งของบริษัทที่ชั่วช้าที่สุดในโลกไปได้... จากนี้ไป เราไม่มีมอนซานโตก็จริง แต่...ใครจะรู้ว่าจะอวตารขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ เพราะสูตรเคมีล้างโลก และ พันธุ์พืชที่ได้แต่งเปลี่ยนนั้น อยู่ที่ไหน...? และ ที่ Bayer ซื้ออะไรไปด้วยเงินจำนวนขนาดนั้น ในเมื่อไม่มีใครได้เห็นสัญญาซื้อขาย ไม่มีสื่อไหนกล้าหาข้อมูลมาตีแผ่ เพราะในอดีตของ Bayer ก็ถือว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่ามอนซานโตเลย Bayer ก็เคยเปลี่ยนชื่อเพราะความฉาวโฉ่มาแล้ว จากชื่อเก่า คือ IG Farben เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ผลิตยาให้กับนาซี ตั้งแต่แอสไพรินจนถึงไซยาไนด์ รวมทั้ง Zyklon B คือแก๊สที่ใช้รมเชลยยิวในค่ายนรก ซึ่งบริษัทนี้ได้เกณฑ์แรงงานยิวมาใช้ตั้งแต่ต้นสงครามจนถึงวันสุดท้ายที่ปราชัย พอสงครามเลิก IG Farben ก็ยุบไป และเจ้าหน้าที่ พนักงาน ได้ถูกเป็นจำเลยในศาลกันพร้อมหน้า ติดคุกกันไม่กี่ปีก็ออกมาเดินปร๋อ และต่อมาได้มีอวตารบริษัทเกิดขึ้นใหม่ ในนาม Bayer ที่ผู้บริหารตัวบิ๊กๆนั้น มาจาก IG Farben ทั้งแผง ในปี 1995 Bayer ได้ออกมาขอโทษกับชาวยิวที่มีส่วนในการผลิตแก๊สทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ส่วน จอร์จ โซรอส นั้น เกิดในฮังการีในปี 1930 และเติบโตมาในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นาซีได้แผ่เข้ามาในฮังการี และได้ฆ่ายิวไปกว่าห้าแสนคน ครอบครัวของเขาต้องอยู่ในสถานะปลอมๆ ต้องแอ๊บเป็นอารยัน แถมได้ทำงานในออฟฟิศให้กับหน่วยงานของนาซี หน้าที่ของเขาคือ นำคนไปตามจับและยึดทรัพย์ชาวยิว...จนถึงสงครามเลิก แต่ฮังการี...ต้องไปสู่เขตการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ครอบครัวเขาจึงอพยพมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน เขาได้เข้าเรียนระดับวิทยาลัย ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 1947 จากนั้น เขาจึงไปเริ่มชีวิตใหม่ที่อเมริกา ในปี 1956 โดยเริ่มจากเซลส์แมนกิ๊กก๊อก นักเก็งกำไรหุ้น ค้าอสังหาฯ และเพียง สิบกว่าปี เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี... เรื่องที่เขาขายมอนซานโตออกไปอย่างไม่เสียดมเสียดายเพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่า และจะเป็นที่รักใคร่ของประชาชนนั้นคือ “กัญชา” เขาทุ่มเงินสนับสนุนโอบามา จนได้เป็นประธานาธิบดี เพื่อสนองนโยบายได้เร็วทันใจ เพราะ กัญชาได้เปลี่ยนมาเป็นสารเสพติดร้ายแรงประเภทที่หนึ่ง มาเป็นประเภทที่สอง คือ สารเสพติดที่ใช้ทางการแพทย์ จากนั้นก็คือหน้าที่ของกลุ่ม AUMA ในรัฐต่างๆที่จะเคลื่อนไหวกันเอง... ส่วนโซรอส (ในนามของมอนซานโต) ได้เข้าไปยึดครองการเพาะปลูกกัญชาในอุรุกวัย อันว่ากันว่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในโลกต่อเกษตรกรรมกัญชา ตั้งแต่ 2003 และเขาคือแรงผลักดันให้อุรุกวัยประกาศตนเป็นประเทศที่กัญชาค้าขายได้ถูกกฎหมาย รวมทั้งการครอบคลุมเมล็ดพันธุ์ และที่สำคัญสุดคือ จอร์จ โซรอส ได้มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดของ DPA (Drug Policy Alliance) สำนักงานตั้งอยู่ในนิวยอร์ค ประมาณว่า เป็นกลุ่มดูแลนโยบายสิ่งเสพติดในการรักษาโรค ที่มีข้อปฎิบัติละเอียดยิบย่อย และ DPA นี้ ไม่ใช่ครอบคลุมในเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เขาได้กระจายไปในอุรุกวัยและประเทศอื่นในแถบลาตินด้วย นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะมีสมาชิกใหม่ในกลุ่ม ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเขา ปลูกได้ตามที่เขาสั่ง ขายได้ในราคาตามที่เขากำหนด ใช้ได้ตามจำนวนที่เขาจะพิจารณา และ ถ้าไม่เป็นสมาชิก...แต่จะมาค้าขายกัญชาตามใจชอบ ก็อาจจะมี “สงครามกัญชา”เกิดขึ้น เงินไม่เข้าใครออกใคร... ถ้าจำนวนมหาศาลพอ ...ยิวกับนาซี ยังจูบปากกันได้เลย...!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    Yay
    2
    0 Comments 1 Shares 350 Views 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน

    เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ

    จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน

    และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ

    ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี

    วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
    .
    .
    .
    นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น

    ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน

    อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ

    วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า

    พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป

    โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว

    เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก

    แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง

    ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด

    แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย)

    แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า

    เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon"

    เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
    .
    .
    .
    ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที

    ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล

    และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา

    ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)

    แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย

    นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย

    แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน

    และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    .
    .
    .
    พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู

    ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา

    ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด

    โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“

    จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม

    ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด

    พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน

    ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง

    โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
    .
    .
    .
    บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย

    เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่

    พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่

    ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า

    เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้

    พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน

    ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง

    ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว

    รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“

    รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ

    จะเอาไม่เอาก็บอกมา

    ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป

    ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย

    แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ

    ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน

    แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่

    ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี

    ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
    .
    .
    .
    ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย

    อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ

    ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้

    มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย

    อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย.....

    ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ

    https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA
    https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS
    https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ . . . นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย) แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon" เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง . . . ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร . . . พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“ จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน . . . บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่ พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่ ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้ พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“ รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ จะเอาไม่เอาก็บอกมา ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่ ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย . . . ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้ มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย..... ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX นัทแนะ
    6 Comments 0 Shares 1018 Views 0 Reviews
  • #ต่างด้าวเตรียมเฮคนไทยเตรียมอวก
    ใครจะเรียกคะแนนนิยมจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    คิงส์ฯบอกเลยเชยอิ๊บอ๋าย
    เค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าคนที่จะได้ประโยชน์คือแรงงานต่างด้าว
    เพราะคนไทยปัจจุบันเป็นแรงงานที่ผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงาน
    ได้มากกว่าแรงงานขั้นต่ำกันอยู่แล้ว จะมีแรงงานไทย
    ที่ได้ประโยชน์จากแรงงานขั้นต่ำประมาณหนึ่งล้านคน ที่เหลือคือต่างด้าวทั้งหมด แต่สิ่งที่จะตามมาคือราคาสินค้าจะปรับราคาขึ้น
    มากยิ่งกว่าเปอร์เซ็นที่ได้รับค่าแรงขึ้นไปหลายเท่า
    เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่พี่คิงส์ฯจำความได้
    มูลค่าเงินถดถอยอย่างแรงที่สุดตอนมีการขยับขึ้นค่าแรง
    จริงๆแค่รัฐบาลอิ๊ง ไปช่วยพีรพันธ์แก้โครงสร้างพลังงานให้เสร็จ
    ค่าไฟลด ค่าน้ำมันลง ค่าแก๊ซลดลง ค่าครองชีพก็ต่ำลง
    มูลค่าเงินมันก็จะเด้งสูงขึ้นมาเอง
    ถามจริงๆ เรื่องแค่นี้ทำไมคิดไม่ได้
    แล้วถ้าเป็นจริง ตามที่แถลงหลังโปรดเกล้า
    ว่าจะดันถึง 600 ข้าวของจะแพงอีกกี่เท่า
    โรงงานจะหนีไปเวียดนามจนเกลี้ยงประเทศไหม
    แค่ประกาศ โรงงานต่างชาติก็วางแผนเผ่นกันแล้ว
    ขอเหอะ แสดงความฉลาดออกมาหน่อย
    เลิกซักที นักการเมืองกับการหาเสียงด้วยค่าแรงขั้นต่ำ
    คนไทยไม่เกินล้านคนที่ได้ประโยชน์ นอกนั้นต่างด้าวเป็นสิบล้านคนเฮ
    และผลกระทบจะไปถึงคนไทยเจ็ดสิบกว่าล้านคน
    รีบเลย เอาสมองมาคิด อย่าเริ่มต้นด้วยการใช้ส้งทรีนคิด
    ขอร้อง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ต่างด้าวเตรียมเฮคนไทยเตรียมอวก ใครจะเรียกคะแนนนิยมจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คิงส์ฯบอกเลยเชยอิ๊บอ๋าย เค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าคนที่จะได้ประโยชน์คือแรงงานต่างด้าว เพราะคนไทยปัจจุบันเป็นแรงงานที่ผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้มากกว่าแรงงานขั้นต่ำกันอยู่แล้ว จะมีแรงงานไทย ที่ได้ประโยชน์จากแรงงานขั้นต่ำประมาณหนึ่งล้านคน ที่เหลือคือต่างด้าวทั้งหมด แต่สิ่งที่จะตามมาคือราคาสินค้าจะปรับราคาขึ้น มากยิ่งกว่าเปอร์เซ็นที่ได้รับค่าแรงขึ้นไปหลายเท่า เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่พี่คิงส์ฯจำความได้ มูลค่าเงินถดถอยอย่างแรงที่สุดตอนมีการขยับขึ้นค่าแรง จริงๆแค่รัฐบาลอิ๊ง ไปช่วยพีรพันธ์แก้โครงสร้างพลังงานให้เสร็จ ค่าไฟลด ค่าน้ำมันลง ค่าแก๊ซลดลง ค่าครองชีพก็ต่ำลง มูลค่าเงินมันก็จะเด้งสูงขึ้นมาเอง ถามจริงๆ เรื่องแค่นี้ทำไมคิดไม่ได้ แล้วถ้าเป็นจริง ตามที่แถลงหลังโปรดเกล้า ว่าจะดันถึง 600 ข้าวของจะแพงอีกกี่เท่า โรงงานจะหนีไปเวียดนามจนเกลี้ยงประเทศไหม แค่ประกาศ โรงงานต่างชาติก็วางแผนเผ่นกันแล้ว ขอเหอะ แสดงความฉลาดออกมาหน่อย เลิกซักที นักการเมืองกับการหาเสียงด้วยค่าแรงขั้นต่ำ คนไทยไม่เกินล้านคนที่ได้ประโยชน์ นอกนั้นต่างด้าวเป็นสิบล้านคนเฮ และผลกระทบจะไปถึงคนไทยเจ็ดสิบกว่าล้านคน รีบเลย เอาสมองมาคิด อย่าเริ่มต้นด้วยการใช้ส้งทรีนคิด ขอร้อง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 507 Views 0 Reviews
  • ห้าองค์กรแกนนำ.……ที่เป็นเข็มทิศของอนาคตโลก..!!!

    วันนี้นอกจากงานในบ้าน นอกบ้าน ดิฉันใช้เวลาอ่านข้อความที่กำลังฮิตในตอนนี้ คือเรื่องเสื้อสวัสดิกะ ที่สร้างความตื่นตัวให้กับเยาวชนไทยเป็นอย่างมาก ต้องขอขอบคุณน้องนำ้ใสจริงๆ
    เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า เพจทุกเพจต่างแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง...
    ความคิดเห็นที่มาแสดง...มีทั้งน่าหมั่นไส้ น่าสมเพช น่าขำและ…
    น่าทึ่ง...
    จึงหวังว่า คงไม่ใช่ไฟลามทุ่ง...

    แต่สถานทูตอิสราเอลก็ได้ออกมารับคำขอโทษ และเสนอให้คณะเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แบบ work shop
    เลยรู้สึกสงสารกระทรวงศึกษาธิการยังไงก็ไม่รู้...
    จะบอกให้ว่า...เด็กฝรั่ง (อเมริกา) เขาเรียนเรื่องนี้ตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้น
    มีการพาไปดูพิพิธภัณฑ์ เข้าไปเรียนเป็นกลุ่มในห้องสมุด
    ฉายภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง...และบางทีก็เชิญวิทยากรจากกองทัพมาบรรยาย...
    อย่างที่ดิฉันได้พร่ำบอกหนักหนาว่า ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องของสงครามโลก และผลกระทบที่ตามมาแล้ว เราจะไม่รู้เรื่องของโลกปัจจุบัน และ ไม่สามารถคาดคะเนได้เลยสำหรับโลกในอนาคต

    ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งน่าหวั่นใจ เพราะจากเมื่อวานที่เล่าเรื่องของ องค์กรลับ
    Illuminati ไป ว่าเขาสลายตัวไปก็จริง แต่รากได้หยั่งลึกไปแล้ว
    ทันทีที่อเมริกาได้ถือกำเนิดขึ้นมา...เหล่ายูโรเปี้ยนก็ล่องเรืออพยพไปสู่ดินแดนใหม่ ที่ว่ากันว่า ถือเสรีภาพเป็นหัวใจในการปกครอง

    และ เหล่านักปรัชญา นักปฏิบัติ ต่างก็พากันไปปักหลัก..ทำให้เกิดองค์กรต่างๆมากมาย รวมทั้งกลุ่มแรงงานที่พยายามรวมตัวกันเป็นสหภาพ

    แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ทฤษฎีของอิลลุมินาติ นั้น...ยังไม่หายไปไหน
    เขากลับเกิดขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งไม่โดดเดี่ยว เดียวดาย เพราะมีผู้ร่วมอุดมการณ์ในรูปแวบขององค์กรลับอื่นๆขึ้นตามมาอีก
    ในปัจจุบันนี้ โลกมีด้วยกันถึง 5 องค์กร(ลับ) ที่สำคัญ
    เริ่มจาก พี่เต้ยที่ทุกคนเกรงกลัวก่อนไปก่อน คือ

    1 Bilderberg Group

    ก่อตั้งเมื่อปี 1954 โดยพระราชวงค์ของเนเธอร์แลนด์ ที่ใช้ชื่อนี้ เพราะตั้งตามชื่อของสถานที่ที่มีการประชุมสมาชิกที่ โรงแรม Bilderberg
    วัตถุประสงค์และเป้าหมายคือ เพื่อที่จะผนวกยุโรปเข้ากับอเมริกาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
    และการเมืองรวมไปถึงการร่วมมือกันต้านภัย
    (จากรัสเซีย)
    สมาชิกคนสำคัญคือ Angela Merkel, Bill Clinton, Henry Kissinger, Tony Blair, David Cameron และ Margaret Thatcher
    ประชุมปีละครั้งทุกครั้งที่มีการประชุม ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าไป และถ้านักข่าวพยายามที่จะเข้าใกล้สมาชิก จะถูกดำเนินคดีทุกราย

    ข้อติติงหรือกระแสตีกลับว่า กลุ่มนี้พยายามที่จะครองโลกทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี่ โดยใช้การเมืองเป็นเครื่องมือ

    ลับมากหรือลับน้อย ไม่มีใครรู้ได้เพราะข้อมูลในการประชุมไม่มีการเสนอต่อสื่อ แต่เครือข่ายเขากว้างไกลมากคลุมได้เกือบหมดโลก
    ส่วนเรื่องสมาชิกนั้น มีทุกสาขาวิชาชีพในระดับท๊อป
    ซึ่งกล่าวกันว่า ในยุคนี้...มีเงินเท่าไหร่หรือรวยแค่ไหน ไม่สำคัญ
    สำคัญที่ว่า คุณมาจากองค์กร(ลับ) ไหน และถ้าใช่...
    จากนั้นจะไม่มีการถามอะไรกันอีก เพราะเขารู้โปรไฟล์ของคุณหมดแล้ว
    ถ้าไม่มี...ไม่ใช่....ไม่ได้เป็น..ก็ถือว่าเป็นแค่ นักการเมือง หรือเศรษฐีหางแถว (ต่อให้รวยล้นฟ้า)
    และนี่คือ สิ่งที่เราจะเห็นในการซื้อทีมฟุตบอล, ประมูลภาพวาด,
    ซื้อสายการบิน และ ซื้อกิจการพลังงาน
    มีกิจการเท่านั้นไม่พอนะคะ....จะต้องเคยมีบทบาทในการสนับสนุนพรรคการเมืองนอกประเทศของตัวเองด้วย
    ก็ไปเลือกเอา...ว่า อยากจะอยู่สายไหน รีพับลิกัน หรือเดโมแครต...

    กลุ่มนี้ได้ขยายตัวเร็วมาก ตอนนี้เป็นที่เข้าข่ายหน้าสิ่วหน้าขวานกับเรื่องของ Brexit ถึงขนาด จอร์จ โซรอส (สมาชิกระดับฝังเพชร) ได้ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกขู่อังกฤษฟ่อว่า
    “จะได้เห็นดีกัน เงินปอนด์จะแหลกสลาย ผู้คนจะต้องลำบากไปยิ่งกว่าเดิม คนที่รวยอยู่แล้ว จะกลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน”

    นี่คือสิ่งที่ทุกคนจับตาดูกันว่า ในปลายเดือนมีนาคม...อะไรจะเกิดขึ้นกับอังกฤษ....หากว่ายังแก้ไขสถานการณ์ว่าจะออกให้”สวย”ไม่ได้...?!!

    ตาข่ายคลุมโลกในนามนี้....กลุ่ม Rothschild คือผู้วางกลไกทั้งหมด....

    2. Bohemian Grove

    ก่อตั้งในปี 1872 สถานที่ คือ Bohemian Avenue, Monte Rio, California
    เป็นที่พบปะชุมนุมแบบหลุดโลกๆของเหล่ามหาเศรษฐี นักการเมืองอเมริกัน ที่อยากปลดปล่อยความเครียดในการสังสรรแบบชิวๆแต่ทุกอย่างคือเรื่องระดับโลกที่แฝงด้วยการเอาจริง ทำจริง
    เช่นการประชุมเกี่ยวกับเรื่อง Manhattan Project (ทดลองระเบิดนิวเคลียร์)

    3 The Freemasons

    ก่อตั้งในปี 1717 สถานที่ คือ Four English Lodges, London
    เป็นองค์กรที่มุ่งหน้าสนับสนุนให้สมาชิกเกิดความรู้ต่อความเป็นไปในบ้านเมือง พัฒนาอาชีพ ไม่ก้มหัวให้กับความไม่เท่าเทียม
    สนับสนุนสหภาพแรงงาน...ตื่นตัวต่อการเรียกร้องสิทธิ
    สมาชิกที่โดดเด่นในอดีต คือ
    George Washington, Benjamin Franklin, Winston Churchill, Mozart, Harry Houdini

    องค์กรนี้ มีขนาดใหญ่มาก เพราะสมาชิกร่วม หกล้านคน
    ซ้ำยังแตกย่อยออกไปเป็นสมาคมอื่นๆอีก เช่น โรตารี่, ไลอ้อนส์,
    Elfs Club...ไปถึงบรรเทาสาธารณภัย...ในชื่อต่างๆกัน

    4 Illuminati เกิดขึ้นใน ปี 1776 ที่ รัฐ Bavaria, Germany

    ที่ได้เกิดการรวมตัวขึ้นมาใหม่ในอเมริกา...จากทฤษฎีของ Professor Adam Weishaupt ที่ยังออกแนวซ้ายในทางเสมอภาค และไม่ยอมรับชนชั้นที่จะให้มามีอำนาจ
    สมาชิกที่เป็นคนดังคือ Barack Obama, Jay Z, Madonna, and Beyonce
    กลุ่มนี้จะใช้สื่อทางเอนเตอร์เทนเม้นต์ ในการเผยแพร่ลัทธิ
    ดูได้จากอิทธิพลในฮอลลีวู๊ด ที่สามารถทำให้ Mel Gibson ดาราและผู้กำกับภาพยนตร์ที่กำลังรุ่งๆในยุค 2004-2006 ร่วงลงไปดับสนิท
    เพียงแต่เผลอตัว “ด่ายิว” ออกสื่อ ว่า...
    “ไม่ว่าสงครามไหน....ก็เกิดจากไอ้พวกยิว ห่...นี่ทั้งนั้น....”

    ผลคือ ชื่อ เมล กิบสัน ก็หายไปจากโลกมายาราวกับถูกเสก.....

    5. Skull and Bones

    เกิดขึ้นในปี 1832 ที่ Yale University
    ที่มีวัตถุประสงค์คือการสานความสัมพันธ์ของศิษย์เก่าในทุกสาย
    ตำแหน่ง และ สถานที่คือ ตึกที่อยู่ติดกับบริเวณมหาวิทยาลัย เรียกว่า “Tomb” (อันแปลว่า สุสาน)
    สมาคม(ลับ) หัวกะโหลก กระดูกไขว้นี้ ถือว่าเล็กตามจำนวนสมาชิก แต่ยิ่งใหญ่มากทางการเมืองอเมริกา เพราะสมาชิกนั้นคือ
    อดีตสามประธานาธิบดี William Taft, George H.W. Bush และ George W. Bush
    ที่เกือบจะเป็นประธานาธิบดี ก็คือ John Kerry ที่ลงแข่งหาเสียงพร้อมกับเพื่อนซี้ร่วมสมาคมลับ จอร์จ บุช (ลูก) จนสื่อไล่จี้ให้ตอบว่า
    มาจากที่เดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน แล้วจะมาไล่บี้ตำแหน่งประธานาธิบดีกันได้ยังไง...ใครจะมาเชื่อในเรื่องดีเบต!!

    ทั้งสองคนได้แต่ยิ้มแหะๆ ไม่ตอบอะไรไปมากกว่า เรื่อง
    งานกับเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกัน
    แต่...ใครๆก็รู้ว่า...นายทุนที่ให้เงินสนับสนุนทั้งสองคน คือ จอร์จ โซรอส
    สมาคมนี้...ทุกอย่างระหว่างสมาชิกคือความลับที่ยิ่งยวด
    ไม่มีใครเคยได้ยินหรือได้ฟังอะไรจากกลุ่มนี้ทั้งสิ้น
    และ Yale เกือบจะได้ประธานาธิบดีคนที่สี่ คือ ฮิลลารี่ คลินตัน
    แต่เพราะเธอเป็นหญิง……ไม่ใช่สมาชิกของสมาคมหัวกะโหลกกระดูกไขว้ จึงไม่มีการผลักดันอย่างเต็มที่
    อีกทั้งดูเหมือนจะชัวร์เป้ง……ว่า เธอจะต้องได้คะแนนนำโต่ง ทุกคนเชื่อในกองทุนหนุนหลัง ซึ่งก็คือ จอร์จ โซรอส เจ้าเก่า

    แต่ในโค้งสุดท้าย ที่เกิด Wikileaks จากการแฮคข้อมูลของรัสเซีย(ตามข้อกล่าวหา) ว่า ฮิลลารี่ได้รับเงินใครมาบ้าง และ ปลุกปั่นสงครามซีเรีย...คะแนนหล่นวูบ..
    ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงตกลงสู่ Donald Trump ผู้ซึ่ง จอร์จ โซรอส
    ได้เคยบอกกับใครๆว่า “เป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน”

    สมาคมหัวกะโหลกกระดูกไขว้ จึงได้จัดพิธีมอบรางวัลปลอบใจให้กับฮิลลารี่ ในฐานะศิษย์เก่าร่วมสถาบัน คือ การเข้ารับเป็นสมาชิก”หญิง” คนแรก
    ในวันพิธี ตอนที่เธอขึ้นไปกล่าวขอบคุณ มีการ”ตัดพ้อ” เล็กๆว่า
    สมาคมนี้สามารถทำให้ใครต่อใครเป็นประธานาธิบดีได้...แต่ทำไมไม่ทำให้ฉันมั่ง...?!!

    แล้วเราก็มาดูกันนะคะ ว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป เธอจะลงสมัครอีก
    และคราวนี้ก็เป็นสมาชิกสมาคมแล้ว...
    จะได้หรือไม่ได้.....?!!

    Wiwanda W. Vichit
    ห้าองค์กรแกนนำ.……ที่เป็นเข็มทิศของอนาคตโลก..!!! วันนี้นอกจากงานในบ้าน นอกบ้าน ดิฉันใช้เวลาอ่านข้อความที่กำลังฮิตในตอนนี้ คือเรื่องเสื้อสวัสดิกะ ที่สร้างความตื่นตัวให้กับเยาวชนไทยเป็นอย่างมาก ต้องขอขอบคุณน้องนำ้ใสจริงๆ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า เพจทุกเพจต่างแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง... ความคิดเห็นที่มาแสดง...มีทั้งน่าหมั่นไส้ น่าสมเพช น่าขำและ… น่าทึ่ง... จึงหวังว่า คงไม่ใช่ไฟลามทุ่ง... แต่สถานทูตอิสราเอลก็ได้ออกมารับคำขอโทษ และเสนอให้คณะเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แบบ work shop เลยรู้สึกสงสารกระทรวงศึกษาธิการยังไงก็ไม่รู้... จะบอกให้ว่า...เด็กฝรั่ง (อเมริกา) เขาเรียนเรื่องนี้ตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้น มีการพาไปดูพิพิธภัณฑ์ เข้าไปเรียนเป็นกลุ่มในห้องสมุด ฉายภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง...และบางทีก็เชิญวิทยากรจากกองทัพมาบรรยาย... อย่างที่ดิฉันได้พร่ำบอกหนักหนาว่า ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องของสงครามโลก และผลกระทบที่ตามมาแล้ว เราจะไม่รู้เรื่องของโลกปัจจุบัน และ ไม่สามารถคาดคะเนได้เลยสำหรับโลกในอนาคต ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งน่าหวั่นใจ เพราะจากเมื่อวานที่เล่าเรื่องของ องค์กรลับ Illuminati ไป ว่าเขาสลายตัวไปก็จริง แต่รากได้หยั่งลึกไปแล้ว ทันทีที่อเมริกาได้ถือกำเนิดขึ้นมา...เหล่ายูโรเปี้ยนก็ล่องเรืออพยพไปสู่ดินแดนใหม่ ที่ว่ากันว่า ถือเสรีภาพเป็นหัวใจในการปกครอง และ เหล่านักปรัชญา นักปฏิบัติ ต่างก็พากันไปปักหลัก..ทำให้เกิดองค์กรต่างๆมากมาย รวมทั้งกลุ่มแรงงานที่พยายามรวมตัวกันเป็นสหภาพ แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ทฤษฎีของอิลลุมินาติ นั้น...ยังไม่หายไปไหน เขากลับเกิดขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งไม่โดดเดี่ยว เดียวดาย เพราะมีผู้ร่วมอุดมการณ์ในรูปแวบขององค์กรลับอื่นๆขึ้นตามมาอีก ในปัจจุบันนี้ โลกมีด้วยกันถึง 5 องค์กร(ลับ) ที่สำคัญ เริ่มจาก พี่เต้ยที่ทุกคนเกรงกลัวก่อนไปก่อน คือ 1 Bilderberg Group ก่อตั้งเมื่อปี 1954 โดยพระราชวงค์ของเนเธอร์แลนด์ ที่ใช้ชื่อนี้ เพราะตั้งตามชื่อของสถานที่ที่มีการประชุมสมาชิกที่ โรงแรม Bilderberg วัตถุประสงค์และเป้าหมายคือ เพื่อที่จะผนวกยุโรปเข้ากับอเมริกาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองรวมไปถึงการร่วมมือกันต้านภัย (จากรัสเซีย) สมาชิกคนสำคัญคือ Angela Merkel, Bill Clinton, Henry Kissinger, Tony Blair, David Cameron และ Margaret Thatcher ประชุมปีละครั้งทุกครั้งที่มีการประชุม ไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าไป และถ้านักข่าวพยายามที่จะเข้าใกล้สมาชิก จะถูกดำเนินคดีทุกราย ข้อติติงหรือกระแสตีกลับว่า กลุ่มนี้พยายามที่จะครองโลกทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี่ โดยใช้การเมืองเป็นเครื่องมือ ลับมากหรือลับน้อย ไม่มีใครรู้ได้เพราะข้อมูลในการประชุมไม่มีการเสนอต่อสื่อ แต่เครือข่ายเขากว้างไกลมากคลุมได้เกือบหมดโลก ส่วนเรื่องสมาชิกนั้น มีทุกสาขาวิชาชีพในระดับท๊อป ซึ่งกล่าวกันว่า ในยุคนี้...มีเงินเท่าไหร่หรือรวยแค่ไหน ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า คุณมาจากองค์กร(ลับ) ไหน และถ้าใช่... จากนั้นจะไม่มีการถามอะไรกันอีก เพราะเขารู้โปรไฟล์ของคุณหมดแล้ว ถ้าไม่มี...ไม่ใช่....ไม่ได้เป็น..ก็ถือว่าเป็นแค่ นักการเมือง หรือเศรษฐีหางแถว (ต่อให้รวยล้นฟ้า) และนี่คือ สิ่งที่เราจะเห็นในการซื้อทีมฟุตบอล, ประมูลภาพวาด, ซื้อสายการบิน และ ซื้อกิจการพลังงาน มีกิจการเท่านั้นไม่พอนะคะ....จะต้องเคยมีบทบาทในการสนับสนุนพรรคการเมืองนอกประเทศของตัวเองด้วย ก็ไปเลือกเอา...ว่า อยากจะอยู่สายไหน รีพับลิกัน หรือเดโมแครต... กลุ่มนี้ได้ขยายตัวเร็วมาก ตอนนี้เป็นที่เข้าข่ายหน้าสิ่วหน้าขวานกับเรื่องของ Brexit ถึงขนาด จอร์จ โซรอส (สมาชิกระดับฝังเพชร) ได้ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกขู่อังกฤษฟ่อว่า “จะได้เห็นดีกัน เงินปอนด์จะแหลกสลาย ผู้คนจะต้องลำบากไปยิ่งกว่าเดิม คนที่รวยอยู่แล้ว จะกลายเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน” นี่คือสิ่งที่ทุกคนจับตาดูกันว่า ในปลายเดือนมีนาคม...อะไรจะเกิดขึ้นกับอังกฤษ....หากว่ายังแก้ไขสถานการณ์ว่าจะออกให้”สวย”ไม่ได้...?!! ตาข่ายคลุมโลกในนามนี้....กลุ่ม Rothschild คือผู้วางกลไกทั้งหมด.... 2. Bohemian Grove ก่อตั้งในปี 1872 สถานที่ คือ Bohemian Avenue, Monte Rio, California เป็นที่พบปะชุมนุมแบบหลุดโลกๆของเหล่ามหาเศรษฐี นักการเมืองอเมริกัน ที่อยากปลดปล่อยความเครียดในการสังสรรแบบชิวๆแต่ทุกอย่างคือเรื่องระดับโลกที่แฝงด้วยการเอาจริง ทำจริง เช่นการประชุมเกี่ยวกับเรื่อง Manhattan Project (ทดลองระเบิดนิวเคลียร์) 3 The Freemasons ก่อตั้งในปี 1717 สถานที่ คือ Four English Lodges, London เป็นองค์กรที่มุ่งหน้าสนับสนุนให้สมาชิกเกิดความรู้ต่อความเป็นไปในบ้านเมือง พัฒนาอาชีพ ไม่ก้มหัวให้กับความไม่เท่าเทียม สนับสนุนสหภาพแรงงาน...ตื่นตัวต่อการเรียกร้องสิทธิ สมาชิกที่โดดเด่นในอดีต คือ George Washington, Benjamin Franklin, Winston Churchill, Mozart, Harry Houdini องค์กรนี้ มีขนาดใหญ่มาก เพราะสมาชิกร่วม หกล้านคน ซ้ำยังแตกย่อยออกไปเป็นสมาคมอื่นๆอีก เช่น โรตารี่, ไลอ้อนส์, Elfs Club...ไปถึงบรรเทาสาธารณภัย...ในชื่อต่างๆกัน 4 Illuminati เกิดขึ้นใน ปี 1776 ที่ รัฐ Bavaria, Germany ที่ได้เกิดการรวมตัวขึ้นมาใหม่ในอเมริกา...จากทฤษฎีของ Professor Adam Weishaupt ที่ยังออกแนวซ้ายในทางเสมอภาค และไม่ยอมรับชนชั้นที่จะให้มามีอำนาจ สมาชิกที่เป็นคนดังคือ Barack Obama, Jay Z, Madonna, and Beyonce กลุ่มนี้จะใช้สื่อทางเอนเตอร์เทนเม้นต์ ในการเผยแพร่ลัทธิ ดูได้จากอิทธิพลในฮอลลีวู๊ด ที่สามารถทำให้ Mel Gibson ดาราและผู้กำกับภาพยนตร์ที่กำลังรุ่งๆในยุค 2004-2006 ร่วงลงไปดับสนิท เพียงแต่เผลอตัว “ด่ายิว” ออกสื่อ ว่า... “ไม่ว่าสงครามไหน....ก็เกิดจากไอ้พวกยิว ห่...นี่ทั้งนั้น....” ผลคือ ชื่อ เมล กิบสัน ก็หายไปจากโลกมายาราวกับถูกเสก..... 5. Skull and Bones เกิดขึ้นในปี 1832 ที่ Yale University ที่มีวัตถุประสงค์คือการสานความสัมพันธ์ของศิษย์เก่าในทุกสาย ตำแหน่ง และ สถานที่คือ ตึกที่อยู่ติดกับบริเวณมหาวิทยาลัย เรียกว่า “Tomb” (อันแปลว่า สุสาน) สมาคม(ลับ) หัวกะโหลก กระดูกไขว้นี้ ถือว่าเล็กตามจำนวนสมาชิก แต่ยิ่งใหญ่มากทางการเมืองอเมริกา เพราะสมาชิกนั้นคือ อดีตสามประธานาธิบดี William Taft, George H.W. Bush และ George W. Bush ที่เกือบจะเป็นประธานาธิบดี ก็คือ John Kerry ที่ลงแข่งหาเสียงพร้อมกับเพื่อนซี้ร่วมสมาคมลับ จอร์จ บุช (ลูก) จนสื่อไล่จี้ให้ตอบว่า มาจากที่เดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน แล้วจะมาไล่บี้ตำแหน่งประธานาธิบดีกันได้ยังไง...ใครจะมาเชื่อในเรื่องดีเบต!! ทั้งสองคนได้แต่ยิ้มแหะๆ ไม่ตอบอะไรไปมากกว่า เรื่อง งานกับเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกัน แต่...ใครๆก็รู้ว่า...นายทุนที่ให้เงินสนับสนุนทั้งสองคน คือ จอร์จ โซรอส สมาคมนี้...ทุกอย่างระหว่างสมาชิกคือความลับที่ยิ่งยวด ไม่มีใครเคยได้ยินหรือได้ฟังอะไรจากกลุ่มนี้ทั้งสิ้น และ Yale เกือบจะได้ประธานาธิบดีคนที่สี่ คือ ฮิลลารี่ คลินตัน แต่เพราะเธอเป็นหญิง……ไม่ใช่สมาชิกของสมาคมหัวกะโหลกกระดูกไขว้ จึงไม่มีการผลักดันอย่างเต็มที่ อีกทั้งดูเหมือนจะชัวร์เป้ง……ว่า เธอจะต้องได้คะแนนนำโต่ง ทุกคนเชื่อในกองทุนหนุนหลัง ซึ่งก็คือ จอร์จ โซรอส เจ้าเก่า แต่ในโค้งสุดท้าย ที่เกิด Wikileaks จากการแฮคข้อมูลของรัสเซีย(ตามข้อกล่าวหา) ว่า ฮิลลารี่ได้รับเงินใครมาบ้าง และ ปลุกปั่นสงครามซีเรีย...คะแนนหล่นวูบ.. ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงตกลงสู่ Donald Trump ผู้ซึ่ง จอร์จ โซรอส ได้เคยบอกกับใครๆว่า “เป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน” สมาคมหัวกะโหลกกระดูกไขว้ จึงได้จัดพิธีมอบรางวัลปลอบใจให้กับฮิลลารี่ ในฐานะศิษย์เก่าร่วมสถาบัน คือ การเข้ารับเป็นสมาชิก”หญิง” คนแรก ในวันพิธี ตอนที่เธอขึ้นไปกล่าวขอบคุณ มีการ”ตัดพ้อ” เล็กๆว่า สมาคมนี้สามารถทำให้ใครต่อใครเป็นประธานาธิบดีได้...แต่ทำไมไม่ทำให้ฉันมั่ง...?!! แล้วเราก็มาดูกันนะคะ ว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป เธอจะลงสมัครอีก และคราวนี้ก็เป็นสมาชิกสมาคมแล้ว... จะได้หรือไม่ได้.....?!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 378 Views 0 Reviews
  • แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
    ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง
    ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้

    การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก
    เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม
    ถดถอย

    ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ
    55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
    ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4%
    หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ
    เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน
    ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ
    ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ
    ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ
    นโยบายอย่างไร

    รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง
    การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า
    กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล
    เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น
    สกุลเงินดิจิทัล

    ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น
    เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย
    แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
    หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน
    ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่
    เดือนมิถุนายน
    ที่มา : cointelegraph
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ
    #thaitimes
    🔥🔥แนวโน้ม และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ได้กดดันให้ราคาบิทคอยน์ และคริปโตเคอเรนซี รวมทั้ง ราคาหุ้นตกต่ำในวันนี้ 🚩การที่ราคาลดลงในวันนี้ สะท้อนการลดลงในตลาดเสี่ยงทั่วโลก เนื่องมาจากความกลัวเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้ม ถดถอย 🚩ณ วันที่ 4 กันยายน บิทคอยน์ ร่วงลง 3.30% เหลือประมาณ 55,600 ดอลลาร์สหรัฐ/BTC ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน ในทำนองเดียวกัน สัญญาฟิวเจอร์ส S&P 500 ก็ร่วงลง 0.4% หลังจากทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่ตลาดตกต่ำ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา 🚩ผู้ค้าคริปโต กำลังเตรียมตัวรับมือกับความผันผวน ของตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากพวกเขารอข้อมูลเศรษฐกิจ ที่สำคัญเพื่อดูว่าสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยหรือไม่ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับ นโยบายอย่างไร 🚩รายงานการจ้างงานในวันที่ 4 กันยายน น่าจะแสดงให้เห็นถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่า กิจกรรมการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยความกังวล เปลี่ยนจากภาวะเงินเฟ้อ เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลมหภาคที่อ่อนแอนี้ กดดันหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สกุลเงินดิจิทัล 🚩ตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ว่าตลาดงานจะเย็นลงนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับกระแสเงินไหลออกจากกองทุนซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin (ETF) มูลค่า 287.80 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นกระแสเงินไหลออกที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ เดือนมิถุนายน ที่มา : cointelegraph #หุ้นติดดอย #การลงทุน #บิทคอยน์ #เศรษฐกิจสหรัฐ #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 800 Views 0 Reviews
  • รายย่อยแบบนี้น่าจะสงวนให้คนไทย รายได้น้อยกำไรแทบไม่เหลือ เพราะ ผู้ค้าส่วนหนึ่งเผ็นต่างด้าว แล้วยังผู้ค้าส่งผัก ผลไม้ ก็แรงงานต่างด้าว คนไทยไม่มีโอกาสต่อรอง หรือ ทำงานเกี่ยวกับผักผลไม้ เพราะ มีการเหยียดเชื้อชาติจากต่างด้าว เจ้าของเองก็ห่วงกิจการ พูดอะไรไม่ได้มาก
    รายย่อยแบบนี้น่าจะสงวนให้คนไทย รายได้น้อยกำไรแทบไม่เหลือ เพราะ ผู้ค้าส่วนหนึ่งเผ็นต่างด้าว แล้วยังผู้ค้าส่งผัก ผลไม้ ก็แรงงานต่างด้าว คนไทยไม่มีโอกาสต่อรอง หรือ ทำงานเกี่ยวกับผักผลไม้ เพราะ มีการเหยียดเชื้อชาติจากต่างด้าว เจ้าของเองก็ห่วงกิจการ พูดอะไรไม่ได้มาก
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

    ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

    ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

    ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

    ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้

    ที่มา : นิด้าโพล

    #Thaitimes
    ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้ ที่มา : นิด้าโพล #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 425 Views 0 Reviews
  • สตาร์บัคส์ปลดซีอีโอ นายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งมีผลทันที แล้วแต่งตั้งคนใหม่ Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโกซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของเครือยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟแห่งนี้ในวันที่ 9 กันยายน เพราะยอดขายของ Starbucks ตกต่ำสุดในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากผลงานการตลาดและยอดขายที่หดตัวลงมากในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง

    14 สิงหาคม 2567 -รายงานข่าวcnbc ระบุว่า บริษัทสตาร์บัคส์ ประกาศเมื่อเช้าวันอังคารนี้แถลงการณ์ปลดนายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งซีอีโอ โดยมีผลทันที แล้วแต่งตั้งนายไบรอัน นิโคล Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโก เข้ารับตำแหน่งซีอีโอสตาร์บัคส์ในวันที่ 9 กันยายนนี้

    นาย ลักษมัน นาราซิมฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ ซึ่งเตรียมจะลาออกในสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่มาโดนไล่ออกทันที หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสที่น่าผิดหวังส่งผลให้ทั้งกำไรและรายรับพลาดเป้าจากที่นักวิเคราะห์ Wall Street คาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่รายงานผลประกอบการออกมา หุ้นของบริษัทได้ร่วงลง 17% ลากมูลค่าตลาดลงมาอยู่ที่ 8.28 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท)

    นักวิเคราะห์ต่างประหลาดใจกับผลงานที่ต่ำกว่าคาดของเชนกาแฟรายนี้ และพยายามหาคำอธิบายว่า ทำไมลูกค้าชาวอเมริกันลดการสั่งซื้อของ Starbucks ถึง 7% ในไตรมาสล่าสุด Sara Senatore นักวิเคราะห์จาก Bank of America Securities ระบุว่า อาจเป็นกระแสตีกลับบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจุดยืนของ Starbucks ต่อความขัดแย้งในสงครามฉนวนกาซาตะวันออกกลาง

    หลังจากข่าวปลด ลักษมัน นาราซิมฮาน หุ้นสตาร์บัคส์ราคาพุ่งขึ้น20% แต่ของบริษัท Chipotleตก10% จากการประกาศลาออกของ Brian Niccol

    สำหรับ Laxman Narasimhan เป็นชาวอินเดีย จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล และเรียนต่อบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภาษาเยอรมัน และการศึกษาระหว่างประเทศ

    ประวัติทำงานบริหารเคยทำงานที่บริษัทแมคคินซีย์ และเป๊ปซี่โค และเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Reckitt Benckiser เจ้าของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Dettol ก่อนที่จะลาออกในเดือนกันยายน 2022 และเริ่มดำรงตำแหน่ง CEO ของสตาร์บัคส์ในวันที่ 1 เมษายน 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอย่างมาก เพราะ Narasimhan ยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน แต่ถือว่ามีความสามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ, เยอรมัน, อินเดีย และสเปน และเขายังได้เข้าไปทำงานร่วมกับพนักงานในสาขากว่า 30 แห่ง เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นบาริสต้า โดยเมนูที่เขาชอบมากที่สุดคือ Doppio Espresso Macchiato แต่ต่อมา สตาร์บัคส์ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าสหภาพแรงงานแสดง “การสนับสนุนความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยฮามาส” และอ้างว่าการฟ้องร้องมีความจำเป็นเพื่อปกป้องตนเองจากการใช้ชื่อและโลโก้โดยไม่ได้รับอนุญาต ท่ามกลางข่าวการสนับสนุนทางการเงินทางอ้อมสำหรับอิสราเอล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายของ Starbucks ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในบริษัทการทหารที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลอีกด้วย ทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการคว่ำบาตรสตาร์บัคส์

    #Thaitimes
    สตาร์บัคส์ปลดซีอีโอ นายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งมีผลทันที แล้วแต่งตั้งคนใหม่ Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโกซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของเครือยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟแห่งนี้ในวันที่ 9 กันยายน เพราะยอดขายของ Starbucks ตกต่ำสุดในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากผลงานการตลาดและยอดขายที่หดตัวลงมากในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง 14 สิงหาคม 2567 -รายงานข่าวcnbc ระบุว่า บริษัทสตาร์บัคส์ ประกาศเมื่อเช้าวันอังคารนี้แถลงการณ์ปลดนายลักษมัน นาราซิมฮาน (Laxman Narasimhan )ออกจากตำแหน่งซีอีโอ โดยมีผลทันที แล้วแต่งตั้งนายไบรอัน นิโคล Brian Niccol ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Chipotle เชนร้านอาหารเม็กซิโก เข้ารับตำแหน่งซีอีโอสตาร์บัคส์ในวันที่ 9 กันยายนนี้ นาย ลักษมัน นาราซิมฮาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ ซึ่งเตรียมจะลาออกในสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่มาโดนไล่ออกทันที หลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสที่น่าผิดหวังส่งผลให้ทั้งกำไรและรายรับพลาดเป้าจากที่นักวิเคราะห์ Wall Street คาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่รายงานผลประกอบการออกมา หุ้นของบริษัทได้ร่วงลง 17% ลากมูลค่าตลาดลงมาอยู่ที่ 8.28 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท) นักวิเคราะห์ต่างประหลาดใจกับผลงานที่ต่ำกว่าคาดของเชนกาแฟรายนี้ และพยายามหาคำอธิบายว่า ทำไมลูกค้าชาวอเมริกันลดการสั่งซื้อของ Starbucks ถึง 7% ในไตรมาสล่าสุด Sara Senatore นักวิเคราะห์จาก Bank of America Securities ระบุว่า อาจเป็นกระแสตีกลับบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจุดยืนของ Starbucks ต่อความขัดแย้งในสงครามฉนวนกาซาตะวันออกกลาง หลังจากข่าวปลด ลักษมัน นาราซิมฮาน หุ้นสตาร์บัคส์ราคาพุ่งขึ้น20% แต่ของบริษัท Chipotleตก10% จากการประกาศลาออกของ Brian Niccol สำหรับ Laxman Narasimhan เป็นชาวอินเดีย จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล และเรียนต่อบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภาษาเยอรมัน และการศึกษาระหว่างประเทศ ประวัติทำงานบริหารเคยทำงานที่บริษัทแมคคินซีย์ และเป๊ปซี่โค และเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ Reckitt Benckiser เจ้าของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Dettol ก่อนที่จะลาออกในเดือนกันยายน 2022 และเริ่มดำรงตำแหน่ง CEO ของสตาร์บัคส์ในวันที่ 1 เมษายน 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอย่างมาก เพราะ Narasimhan ยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน แต่ถือว่ามีความสามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ, เยอรมัน, อินเดีย และสเปน และเขายังได้เข้าไปทำงานร่วมกับพนักงานในสาขากว่า 30 แห่ง เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์การเป็นบาริสต้า โดยเมนูที่เขาชอบมากที่สุดคือ Doppio Espresso Macchiato แต่ต่อมา สตาร์บัคส์ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าสหภาพแรงงานแสดง “การสนับสนุนความรุนแรงที่ก่อขึ้นโดยฮามาส” และอ้างว่าการฟ้องร้องมีความจำเป็นเพื่อปกป้องตนเองจากการใช้ชื่อและโลโก้โดยไม่ได้รับอนุญาต ท่ามกลางข่าวการสนับสนุนทางการเงินทางอ้อมสำหรับอิสราเอล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายของ Starbucks ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในบริษัทการทหารที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอลอีกด้วย ทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการคว่ำบาตรสตาร์บัคส์ #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 468 Views 0 Reviews
  • ออสเตรเลีย=รัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ?
    โดย นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย

    ผมได้ยินชื่อของพอล คีทติ้ง บ่อย เพราะแกเป็นอดีตหัวหน้าพรรคแรงงานของออสเตรเลีย

    สมัยก่อนตอนโน้น เคยมีผู้สมัคร สส.ของพรรคแรงงานมาพักที่บ้านเราที่กรุงเทพฯ และเล่าเรื่องของนายคีทติ้งให้พวกเราฟังบ่อย

    ช่วงที่พ่อของผมเรียนอยู่ที่ St. Arnaud High School รัฐวิคตอเรีย ตอนนั้นนายคีทติ้งดังมาก แกเป็น สส.มาตั้งแต่ ค.ศ.1969 จนถึง 1996 เปิดทีวีดูหรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็จะเจอเรื่องราวของ สส.คีทติ้ง

    ต่อมาคีทติ้งเป็นรัฐมนตรีคลัง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของออสเตรเลีย

    ครอบครัวผมตามการทำงานของนายคีทติ้งมานานกว่า 45 ปี ทำให้เราทราบว่านายคีทติ้งมองโลกอย่างคนที่ตกผลึกมีประสบการณ์ที่ชั่วเคยมีดีเคยผ่านมาก่อน

    ออสเตรเลียเป็นประเทศของพวกฝรั่งมังค่าผิวขาวที่มาลงหลักปักฐานในซีกโลกใต้ อยู่ใกล้กับจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกหลายแห่ง

    ดูเหมือนนายคีทติ้งมองว่าออสเตรเลียควรรักษาความสัมพันธ์กับประเทศใกล้บ้านไว้เพื่อความสุขสงบในปัจจุบันและในภายภาคหน้า

    นโยบายของสหรัฐฯคือต้องยับยั้งการเจริญเติบโตของจีนให้ได้ สหรัฐฯจึงสร้างกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านจีน ที่น่าสนใจคือ AUKUS หรือออคัส ซึ่งเป็นอักษรย่อจากชื่อของออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

    เป็นกติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคี ภายใต้กติกาออคัส สหรัฐฯและอังกฤษจะช่วยออสเตรเลียพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์สำหรับการเพิ่มบทบาททางการทหารของชาติตะวันตกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

    ในการประกาศร่วมของนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน (ออสเตรเลีย) นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน (อังกฤษ) และประธานาธิบดีไบเดน (สหรัฐฯ) แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าตั้งกลุ่มออคัสขึ้นมาเพื่อจะต่อต้านอิทธิพลของใครในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

    แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า 3 ประเทศตะวันตกมีเป้าหมายที่จะเหยียบจีน ทั้ง 3 ประเทศรอจังหวะความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันเพื่อจะใช้สร้างความชอบธรรมในการลุยกับจีน

    ออคัสยังครอบคลุมอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ สมรรถนะใต้น้ำ สมรรถนะในการโจมตีระยะไกล ฯลฯ

    สหรัฐฯเข้ามาสร้างกลุ่มหลายกลุ่มในภูมิภาคนี้เพื่อเตรียมลุยกับจีน ไม่ว่าจะเป็นกติกาสัญญาแอนซัส (สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ไฟฟ์อายส์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตร แบ่งปันข่าวกรองระหว่างสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย

    มีนาคม 2023 ออสเตรเลียประกาศจะซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯจำนวน 5 ลำ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสมัยนั้นคือ นายอัลบาเนซี ประกาศว่า ‘นี่คือการยกระดับการทหารครั้งใหญ่สุดของประเทศ’ ส่วนประธานาธิบดีไบเดนโม้ว่า ‘นี่จะทำให้ภูมิภาคแปซิฟิกมีความเปิดกว้างและเสรี’

    ขณะที่นักการเมืองออสเตรเลียจำนวนหนึ่งเอาเรื่องเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่จะซื้อจากสหรัฐฯไปโม้กับประชาชน ผู้ที่อยู่กับการเมืองมายาวนานกว่า 55 ปี เป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลานานถึง 21 ปี อย่างนายคีทติ้งกลับบอกว่า “นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่”

    “ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่มองว่านี่เป็นความหายนะ” นายคีทติ้งพูดต่อว่า “หลายคนบอกว่าจีนต้องการครอบครองซิดนีย์และเมลเบิร์น ผมขอถามว่าเพื่ออะไร เพื่อการทหารอย่างนั้นหรือ” “นี่เป็นการเดินทางที่อันตรายและไม่จำเป็น และจะนำผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา เมื่อประเทศถูกนำไปพัวพันกับความขัดแย้งในอนาคต”

    8 สิงหาคม 2024 นายคีทติ้งให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ว่า ข้อตกลงออคัสจะทำให้สหรัฐฯเข้ามาประจำการแทนที่ทหารของเรา (ออสเตรเลีย) และล้อมประเทศของเราด้วยฐานทัพ

    แคนเบอร์รา (ออสเตรเลีย) ต้องสละสิทธิ์ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศและกลาโหมของตนเอง ออสเตรเลียจะสูญเสียความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง

    “นี่คือการควบคุมออสเตรเลียทางด้านการทหาร” และ “เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนออสเตรเลียให้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ”

    ผู้นำที่จัดเจนโลกอย่างคีทติ้งพยายามทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่น (อย่างเช่นจีน) เบาลง

    แต่สหรัฐฯจะไม่มีวันยอม.

    ที่มา : เฟซบุ๊ก นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย
    https://www.facebook.com/share/p/pssHLmKwqPJRatV4/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ออสเตรเลีย=รัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ? โดย นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย ผมได้ยินชื่อของพอล คีทติ้ง บ่อย เพราะแกเป็นอดีตหัวหน้าพรรคแรงงานของออสเตรเลีย สมัยก่อนตอนโน้น เคยมีผู้สมัคร สส.ของพรรคแรงงานมาพักที่บ้านเราที่กรุงเทพฯ และเล่าเรื่องของนายคีทติ้งให้พวกเราฟังบ่อย ช่วงที่พ่อของผมเรียนอยู่ที่ St. Arnaud High School รัฐวิคตอเรีย ตอนนั้นนายคีทติ้งดังมาก แกเป็น สส.มาตั้งแต่ ค.ศ.1969 จนถึง 1996 เปิดทีวีดูหรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็จะเจอเรื่องราวของ สส.คีทติ้ง ต่อมาคีทติ้งเป็นรัฐมนตรีคลัง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ของออสเตรเลีย ครอบครัวผมตามการทำงานของนายคีทติ้งมานานกว่า 45 ปี ทำให้เราทราบว่านายคีทติ้งมองโลกอย่างคนที่ตกผลึกมีประสบการณ์ที่ชั่วเคยมีดีเคยผ่านมาก่อน ออสเตรเลียเป็นประเทศของพวกฝรั่งมังค่าผิวขาวที่มาลงหลักปักฐานในซีกโลกใต้ อยู่ใกล้กับจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกหลายแห่ง ดูเหมือนนายคีทติ้งมองว่าออสเตรเลียควรรักษาความสัมพันธ์กับประเทศใกล้บ้านไว้เพื่อความสุขสงบในปัจจุบันและในภายภาคหน้า นโยบายของสหรัฐฯคือต้องยับยั้งการเจริญเติบโตของจีนให้ได้ สหรัฐฯจึงสร้างกลุ่มขึ้นมาหลายกลุ่มเพื่อต่อต้านจีน ที่น่าสนใจคือ AUKUS หรือออคัส ซึ่งเป็นอักษรย่อจากชื่อของออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นกติกาสัญญาความมั่นคงไตรภาคี ภายใต้กติกาออคัส สหรัฐฯและอังกฤษจะช่วยออสเตรเลียพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์สำหรับการเพิ่มบทบาททางการทหารของชาติตะวันตกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในการประกาศร่วมของนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน (ออสเตรเลีย) นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน (อังกฤษ) และประธานาธิบดีไบเดน (สหรัฐฯ) แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าตั้งกลุ่มออคัสขึ้นมาเพื่อจะต่อต้านอิทธิพลของใครในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า 3 ประเทศตะวันตกมีเป้าหมายที่จะเหยียบจีน ทั้ง 3 ประเทศรอจังหวะความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันเพื่อจะใช้สร้างความชอบธรรมในการลุยกับจีน ออคัสยังครอบคลุมอีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ สมรรถนะใต้น้ำ สมรรถนะในการโจมตีระยะไกล ฯลฯ สหรัฐฯเข้ามาสร้างกลุ่มหลายกลุ่มในภูมิภาคนี้เพื่อเตรียมลุยกับจีน ไม่ว่าจะเป็นกติกาสัญญาแอนซัส (สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ไฟฟ์อายส์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตร แบ่งปันข่าวกรองระหว่างสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีเกาหลีใต้และญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย มีนาคม 2023 ออสเตรเลียประกาศจะซื้อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯจำนวน 5 ลำ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสมัยนั้นคือ นายอัลบาเนซี ประกาศว่า ‘นี่คือการยกระดับการทหารครั้งใหญ่สุดของประเทศ’ ส่วนประธานาธิบดีไบเดนโม้ว่า ‘นี่จะทำให้ภูมิภาคแปซิฟิกมีความเปิดกว้างและเสรี’ ขณะที่นักการเมืองออสเตรเลียจำนวนหนึ่งเอาเรื่องเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่จะซื้อจากสหรัฐฯไปโม้กับประชาชน ผู้ที่อยู่กับการเมืองมายาวนานกว่า 55 ปี เป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลานานถึง 21 ปี อย่างนายคีทติ้งกลับบอกว่า “นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่” “ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่มองว่านี่เป็นความหายนะ” นายคีทติ้งพูดต่อว่า “หลายคนบอกว่าจีนต้องการครอบครองซิดนีย์และเมลเบิร์น ผมขอถามว่าเพื่ออะไร เพื่อการทหารอย่างนั้นหรือ” “นี่เป็นการเดินทางที่อันตรายและไม่จำเป็น และจะนำผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา เมื่อประเทศถูกนำไปพัวพันกับความขัดแย้งในอนาคต” 8 สิงหาคม 2024 นายคีทติ้งให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ว่า ข้อตกลงออคัสจะทำให้สหรัฐฯเข้ามาประจำการแทนที่ทหารของเรา (ออสเตรเลีย) และล้อมประเทศของเราด้วยฐานทัพ แคนเบอร์รา (ออสเตรเลีย) ต้องสละสิทธิ์ในการตัดสินใจนโยบายต่างประเทศและกลาโหมของตนเอง ออสเตรเลียจะสูญเสียความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง “นี่คือการควบคุมออสเตรเลียทางด้านการทหาร” และ “เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนออสเตรเลียให้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ” ผู้นำที่จัดเจนโลกอย่างคีทติ้งพยายามทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างออสเตรเลียกับประเทศอื่น (อย่างเช่นจีน) เบาลง แต่สหรัฐฯจะไม่มีวันยอม. ที่มา : เฟซบุ๊ก นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย https://www.facebook.com/share/p/pssHLmKwqPJRatV4/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 577 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าวอิศรารายงานจาก VOA สื่อสหรัฐฯเผยเรือนจำระนองปล่อยตัวนักโทษเมียนมากลับไปถูกเกณฑ์ทหารนับร้อยทุกเดือน ขณะสภาทหารเมียนมาโต้ข่าวยืนยันไม่มีนโยบายบังคับเกณฑ์ทหารชาวเมียนมากลับจากประเทศไทย

    11 สิงหาคม 2567-สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวอ้างอิงสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกาเกี่ยวกับกรณีที่นักโทษถูกปล่อยตัวจากเรือนจำใน จ.ระนอง และถูกส่งตัวกลับไปยังภูมิภาคเกาะสอง ประเทศเมียนมา พบว่าบุคคลเหล่านี้ถูกบังคับให้เกณฑ์ทหารทันทีเมื่อถึงประเทศบ้านเกิด

    นักโทษเหล่านี้ถูกระบุว่าถูกจับตัวมาจากหลายพื้นที่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดถูกปล่อยตัวที่ จ.ระนอง ถูกควบคุมตัวและถูกส่งตัวกลับไปยัง เมืองตะนาวศรี ภูมิภาคเกาะสองเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นาย U Moe Wai ผู้รับผิดชอบศูนย์ทรัพยากรแรงงานข้ามชาติ (MWRC) ซึ่งเป็นสังกัดของมูลนิธิของมูลนิธิการศึกษาและพัฒนาของเกาะสองกล่าวว่ามีส่วนเมียนมามากกว่า 100 คน ที่ถูกส่งตัวกลับ

    “มีชาวเมียนมาเป็นจำนวน 135 คน 39 คนเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งหมดถูกจับมาจากหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย หลายคนเพิ่งมาถึงใหม่ บางคนมีนายจ้างและสถานที่พักอาศัยแตกต่างกันออกไป” นาย U Moe Wai กล่าวและกล่าวต่อไปว่านักโทษเหล่านี้มาจากหลายพื้นที่ในเมียนมาด้วยกันอาทิ รัฐยะไข่ รัฐมอน เมืองตะนาวศรี,พะโค,ทวาย และย่างกุ้ง

    นาย U Moe Wai กล่าวว่าสืบเนื่องจากว่ามีข่าวว่าสภาทหารเมียนมาได้เกณฑ์ทหารจากบุคคลที่กลับมาจากประเทศไทย โดยเฉพาะกับนักโทษที่ชดใช้โทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตัวเขาจึงได้สอบถามไปยังบุคคลที่ถูกจับว่าพวกเขาถูกจับแค่เพียงครั้งเดียว ตอนที่อยู่ที่เมืองตะนาวศรีใช่หรือไม่ พวกเขาจึงได้เล่าเรื่องที่ว่านี้

    มีรายงานว่ามีชาวเมียนมาอย่างน้อย 100 คนถูกส่งตัวกลับในทุกเดือน ในหลายเรือนจำของไทยเต็มไปด้วยนักโทษชาวเมียนมา และก็มีกรณีประท้วงในเรือนจำใน จ.ระนอง เกี่ยวกับกรณีการส่งตัวกลับ เนื่องจากว่าการส่งตัวกลับนั้นต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่ทางเมียนมาสามารถจะรับไหวด้วย ซึ่งมีกรณีที่ทางเมียนมารับไม่ไหวแล้วส่งตัวกลับมายังประเทศไทย

    ขณะที่ทางสภาทหารเมียนมาออกมาตอบโต้แล้วโดยระบุว่าข่าวเรื่องการบังคับเกณฑ์ทหารกับชาวเมียนมาที่กลับมาจากประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

    เรียบเรียงจาก:https://burmese.voanews.com/a/7736903.html

    ที่มา : สำนักข่าวอิศรา

    #Thaitimes
    สำนักข่าวอิศรารายงานจาก VOA สื่อสหรัฐฯเผยเรือนจำระนองปล่อยตัวนักโทษเมียนมากลับไปถูกเกณฑ์ทหารนับร้อยทุกเดือน ขณะสภาทหารเมียนมาโต้ข่าวยืนยันไม่มีนโยบายบังคับเกณฑ์ทหารชาวเมียนมากลับจากประเทศไทย 11 สิงหาคม 2567-สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวอ้างอิงสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกาเกี่ยวกับกรณีที่นักโทษถูกปล่อยตัวจากเรือนจำใน จ.ระนอง และถูกส่งตัวกลับไปยังภูมิภาคเกาะสอง ประเทศเมียนมา พบว่าบุคคลเหล่านี้ถูกบังคับให้เกณฑ์ทหารทันทีเมื่อถึงประเทศบ้านเกิด นักโทษเหล่านี้ถูกระบุว่าถูกจับตัวมาจากหลายพื้นที่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดถูกปล่อยตัวที่ จ.ระนอง ถูกควบคุมตัวและถูกส่งตัวกลับไปยัง เมืองตะนาวศรี ภูมิภาคเกาะสองเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นาย U Moe Wai ผู้รับผิดชอบศูนย์ทรัพยากรแรงงานข้ามชาติ (MWRC) ซึ่งเป็นสังกัดของมูลนิธิของมูลนิธิการศึกษาและพัฒนาของเกาะสองกล่าวว่ามีส่วนเมียนมามากกว่า 100 คน ที่ถูกส่งตัวกลับ “มีชาวเมียนมาเป็นจำนวน 135 คน 39 คนเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งหมดถูกจับมาจากหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย หลายคนเพิ่งมาถึงใหม่ บางคนมีนายจ้างและสถานที่พักอาศัยแตกต่างกันออกไป” นาย U Moe Wai กล่าวและกล่าวต่อไปว่านักโทษเหล่านี้มาจากหลายพื้นที่ในเมียนมาด้วยกันอาทิ รัฐยะไข่ รัฐมอน เมืองตะนาวศรี,พะโค,ทวาย และย่างกุ้ง นาย U Moe Wai กล่าวว่าสืบเนื่องจากว่ามีข่าวว่าสภาทหารเมียนมาได้เกณฑ์ทหารจากบุคคลที่กลับมาจากประเทศไทย โดยเฉพาะกับนักโทษที่ชดใช้โทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตัวเขาจึงได้สอบถามไปยังบุคคลที่ถูกจับว่าพวกเขาถูกจับแค่เพียงครั้งเดียว ตอนที่อยู่ที่เมืองตะนาวศรีใช่หรือไม่ พวกเขาจึงได้เล่าเรื่องที่ว่านี้ มีรายงานว่ามีชาวเมียนมาอย่างน้อย 100 คนถูกส่งตัวกลับในทุกเดือน ในหลายเรือนจำของไทยเต็มไปด้วยนักโทษชาวเมียนมา และก็มีกรณีประท้วงในเรือนจำใน จ.ระนอง เกี่ยวกับกรณีการส่งตัวกลับ เนื่องจากว่าการส่งตัวกลับนั้นต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่ทางเมียนมาสามารถจะรับไหวด้วย ซึ่งมีกรณีที่ทางเมียนมารับไม่ไหวแล้วส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ขณะที่ทางสภาทหารเมียนมาออกมาตอบโต้แล้วโดยระบุว่าข่าวเรื่องการบังคับเกณฑ์ทหารกับชาวเมียนมาที่กลับมาจากประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องจริง เรียบเรียงจาก:https://burmese.voanews.com/a/7736903.html ที่มา : สำนักข่าวอิศรา #Thaitimes
    BURMESE.VOANEWS.COM
    ထိုင်းကပြန်ပို့တဲ့ လွတ်ရက်စေ့ မြန်မာတွေ စစ်မှုထမ်းခိုင်းမှာ စိုးရိမ်
    ထိုင်းနိုင်ငံထဲမှာလွတ်ရက်စေ့တဲ့ အကျဉ်းသားတွေကို ရနောင်း လူဝင်မှုကြီးကြပ်ရေး အချုပ်ကနေ မြန်မာနိုင်ငံဘက် တနင်္သာရီတိုင်း၊ ကော့သောင်းမြို့ကို ဩဂုတ်လ ၇ရက်နေ့က နေရပ်ပြန်ပို့ခဲ့ပါတယ်။ နေရာပြန်ပို့ခံရသူတချို့ဟာ သူ့နေရပ်ကိုပြန်ရောက်တဲ့အခါမှာတော့ စစ်မှုထမ်းဆင့်ခေါ်တာတွေကို ကြုံကြရတယ်လို့လည်း ဆိုပါတယ်။
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • 8 สิงหาคม 2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไม...ยุบก้าวไกล" ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาดังนี้

    ถาม เห็นพวกทูตฝรั่ง และประธานกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐ ดาหน้าออกมาท้วงติงไม่ให้ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว อาจารย์รับได้ไหมครับ ?

    ตอบ ฝรั่งตะวันตกถือตนเองเป็นจ้าวจักรวาล มีอเมริกาเป็นรัฐดวงอาทิตย์มีฝูงรัฐดาวเทียมในยุโรปเป็นบริวาร ร่วมกันถือประชาธิปไตยเป็นบัตรเสือก เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงประเทศเล็กๆที่เป็นรัฐอุกกาบาตล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ทั่วไป ถ้ารัฐบาลรัฐอุกาบาตใดขืนมือขืนเท้า เขาก็เปลี่ยนเอาได้ง่ายๆ
    ใครจะรับรัฐฝรั่งเหล่านี้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว มันสำคัญที่คนไทยเราเองต่างหากว่า เราเข้าใจและรับได้ในคำพิพากษานี้หรือไม่ สำหรับผม..ผมรับได้ครับ

    กษัตริย์แตะต้องไม่ได้ ?

    ถาม ฝรั่งมันว่า เสนอกฎหมายลดความคุ้มครองกษัตริย์ มันจะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร?

    ตอบ ต้องบอกเขาเลยว่า ร่างกฎหมายก้าวไกล ไม่ได้ลดความคุ้มครองนะครับ แต่เลิกการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ไปเลย ใครไปด่าว่าในหลวง ก็ต้องให้ในวังไปแจ้งความกล่าวโทษเอาเอง กษัตริย์เลยกลายเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ใช่สถาบันที่รัฐต้องคุ้มครองอีกต่อไป

    อำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญ!

    ถาม ถ้าร่างกฎหมายก้าวไกลขัดรัฐธรรมนูญ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสิครับ ว่ากฎหมายอย่างนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ใช้บังคับได้หรือเปล่า ไปสั่งปิดปากเขาก่อน แล้วฝังกลบยุบพรรคเขาเลยได้อย่างไร

    ตอบ สิ่งที่ศาลเห็นว่าผิดคือ “ความเคลื่อนไหว” ไม่ใช่ “ความคิด ” ตอนฮิตเลอร์สถาปนาพรรคนาซี เขาก็มีร่างกฎหมายชาตินิยมเสนอขึ้นมามากมาย แต่อันตรายต่อรัฐธรรมนูญมันอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของขบวนการนาซี ทั้งความคิด ทั้งการชุมนุม ทั้งการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังฮึกเหิม ที่มุ่งปฏิวัติกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยเยอรมันทั้งระบอบเลย

    พอหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศฝรั่งก็สร้างกฎหมายขึ้นมาป้องปรามความเคลื่อนไหวมวลชนปฏิวัติแบบนี้ขึ้นหลายแนวทาง ไทยเราก็คิดขึ้นมาใช้เหมือนกันในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๓ เกิดเป็น “สิทธิปกป้องรัฐธรรมนูญ ”ขึ้นมา แล้วมันผิดจากมาตรฐานโลกที่ตรงไหน

    ถาม ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถึง “ความเคลื่อนไหว” อันเป็นภัยนี้ ไว้ที่ตรงไหน ผมไม่เห็น

    ตอบ ต้องดูในคำวินิจฉัยแรกที่ศาลได้สั่งให้ก้าวไกลหยุดความเคลื่อนไหวทั้งปวงเลย

    “เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมือง นำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการปกครองที่สำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง ”

    “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค รวมทั้ง มีการรณรงค์ ให้มีการยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ”

    “ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย”

    อนาคตใหม่ ๓

    ถาม อาจารย์ว่าพรรค “อนาคตใหม่ ๓” จะยอมเลิกเคลื่อนไหวกร่อนเซาะสถาบันหรือไม่ ?

    ตอบ โลกนี้มันมีความฝัน ความคิด ให้นำมาปรุงแต่งเป็นธงนำได้หลายประการ เรื่องโลกแห่งความเสมอภาคนั้น คอมมูนิสต์ก็พยายามชี้นำ อธิบายเหมาโลกมาแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ชนชั้นนายทุน มาวันนี้ธงชี้นำนี้ก็เก่าไปแล้ว

    พอมาช่วงไล่ คสช. ก็มีผู้นำ “สถาบันกษัตริย์” มาเหมาให้เป็นจำเลยใหม่อีก แถมเอาไปโยงเชื่อมต่อกับปฏิวัติ ๒๔๗๕ ให้ดูขลังขึ้นอีกด้วย จากนั้นก็ปรุงแต่งเพิ่มความเสมอภาคของเพศ,ของเด็ก,ของผู้ใช้แรงงาน และของผู้อพยพเข้าไปอีก “ความใหม่” มันก็ก่อตัวจนดูดี มีแรงดึงดูดขึ้นมาได้

    เมื่อผนวกกับฝ่ายผู้บริโภคคือคนรุ่นใหม่ ที่กำลังหลงเริงอยู่ในยุคแห่งอิสระภาพ จากพ่อแม่ จากสังคมชาติ จากวัฒนธรรม พวกเขาก็เลยสมาทานความใหม่เหล่านี้ผ่านโลกโซเชียล เข้าไปในตัวตนได้ในที่สุด

    ถาม “อนาคตใหม่ ๓” จะไม่ยอมเปลี่ยน “ความใหม่ ”ข้างต้นนี้หรือครับ

    ตอบ เราได้แต่หวังเท่านั้นว่าเขาจะเปลี่ยน คิดใหม่แล้วชูธงใหม่ไปในทางสร้างสรรค์ มุ่งแก้ปัญหาจริงในบ้านเมืองอย่างจริงจัง แล้วชักนำพลังคนรุ่นใหม่ไปสร้างบ้านเมืองใหม่ของเขาได้ต่อไป คนดีที่รู้จักคิดอ่านผมก็เห็นว่าพอมีอยู่บ้างเหมือนกัน

    เฉพาะวันนี้วิกฤตโลกาภิวัฒน์เกิดชัดเจนแล้วทั้งสงครามและเศรษฐกิจ

    “อนาคตเก่า” อยู่ไม่ได้แล้วล่ะครับ

    ที่มา : ไทยโพสต์
    8 สิงหาคม 2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไม...ยุบก้าวไกล" ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาดังนี้ ถาม เห็นพวกทูตฝรั่ง และประธานกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐ ดาหน้าออกมาท้วงติงไม่ให้ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว อาจารย์รับได้ไหมครับ ? ตอบ ฝรั่งตะวันตกถือตนเองเป็นจ้าวจักรวาล มีอเมริกาเป็นรัฐดวงอาทิตย์มีฝูงรัฐดาวเทียมในยุโรปเป็นบริวาร ร่วมกันถือประชาธิปไตยเป็นบัตรเสือก เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงประเทศเล็กๆที่เป็นรัฐอุกกาบาตล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ทั่วไป ถ้ารัฐบาลรัฐอุกาบาตใดขืนมือขืนเท้า เขาก็เปลี่ยนเอาได้ง่ายๆ ใครจะรับรัฐฝรั่งเหล่านี้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว มันสำคัญที่คนไทยเราเองต่างหากว่า เราเข้าใจและรับได้ในคำพิพากษานี้หรือไม่ สำหรับผม..ผมรับได้ครับ กษัตริย์แตะต้องไม่ได้ ? ถาม ฝรั่งมันว่า เสนอกฎหมายลดความคุ้มครองกษัตริย์ มันจะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร? ตอบ ต้องบอกเขาเลยว่า ร่างกฎหมายก้าวไกล ไม่ได้ลดความคุ้มครองนะครับ แต่เลิกการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ไปเลย ใครไปด่าว่าในหลวง ก็ต้องให้ในวังไปแจ้งความกล่าวโทษเอาเอง กษัตริย์เลยกลายเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ใช่สถาบันที่รัฐต้องคุ้มครองอีกต่อไป อำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญ! ถาม ถ้าร่างกฎหมายก้าวไกลขัดรัฐธรรมนูญ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสิครับ ว่ากฎหมายอย่างนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ใช้บังคับได้หรือเปล่า ไปสั่งปิดปากเขาก่อน แล้วฝังกลบยุบพรรคเขาเลยได้อย่างไร ตอบ สิ่งที่ศาลเห็นว่าผิดคือ “ความเคลื่อนไหว” ไม่ใช่ “ความคิด ” ตอนฮิตเลอร์สถาปนาพรรคนาซี เขาก็มีร่างกฎหมายชาตินิยมเสนอขึ้นมามากมาย แต่อันตรายต่อรัฐธรรมนูญมันอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของขบวนการนาซี ทั้งความคิด ทั้งการชุมนุม ทั้งการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังฮึกเหิม ที่มุ่งปฏิวัติกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยเยอรมันทั้งระบอบเลย พอหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศฝรั่งก็สร้างกฎหมายขึ้นมาป้องปรามความเคลื่อนไหวมวลชนปฏิวัติแบบนี้ขึ้นหลายแนวทาง ไทยเราก็คิดขึ้นมาใช้เหมือนกันในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๓ เกิดเป็น “สิทธิปกป้องรัฐธรรมนูญ ”ขึ้นมา แล้วมันผิดจากมาตรฐานโลกที่ตรงไหน ถาม ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถึง “ความเคลื่อนไหว” อันเป็นภัยนี้ ไว้ที่ตรงไหน ผมไม่เห็น ตอบ ต้องดูในคำวินิจฉัยแรกที่ศาลได้สั่งให้ก้าวไกลหยุดความเคลื่อนไหวทั้งปวงเลย “เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมือง นำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการปกครองที่สำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง ” “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค รวมทั้ง มีการรณรงค์ ให้มีการยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ” “ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย” อนาคตใหม่ ๓ ถาม อาจารย์ว่าพรรค “อนาคตใหม่ ๓” จะยอมเลิกเคลื่อนไหวกร่อนเซาะสถาบันหรือไม่ ? ตอบ โลกนี้มันมีความฝัน ความคิด ให้นำมาปรุงแต่งเป็นธงนำได้หลายประการ เรื่องโลกแห่งความเสมอภาคนั้น คอมมูนิสต์ก็พยายามชี้นำ อธิบายเหมาโลกมาแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ชนชั้นนายทุน มาวันนี้ธงชี้นำนี้ก็เก่าไปแล้ว พอมาช่วงไล่ คสช. ก็มีผู้นำ “สถาบันกษัตริย์” มาเหมาให้เป็นจำเลยใหม่อีก แถมเอาไปโยงเชื่อมต่อกับปฏิวัติ ๒๔๗๕ ให้ดูขลังขึ้นอีกด้วย จากนั้นก็ปรุงแต่งเพิ่มความเสมอภาคของเพศ,ของเด็ก,ของผู้ใช้แรงงาน และของผู้อพยพเข้าไปอีก “ความใหม่” มันก็ก่อตัวจนดูดี มีแรงดึงดูดขึ้นมาได้ เมื่อผนวกกับฝ่ายผู้บริโภคคือคนรุ่นใหม่ ที่กำลังหลงเริงอยู่ในยุคแห่งอิสระภาพ จากพ่อแม่ จากสังคมชาติ จากวัฒนธรรม พวกเขาก็เลยสมาทานความใหม่เหล่านี้ผ่านโลกโซเชียล เข้าไปในตัวตนได้ในที่สุด ถาม “อนาคตใหม่ ๓” จะไม่ยอมเปลี่ยน “ความใหม่ ”ข้างต้นนี้หรือครับ ตอบ เราได้แต่หวังเท่านั้นว่าเขาจะเปลี่ยน คิดใหม่แล้วชูธงใหม่ไปในทางสร้างสรรค์ มุ่งแก้ปัญหาจริงในบ้านเมืองอย่างจริงจัง แล้วชักนำพลังคนรุ่นใหม่ไปสร้างบ้านเมืองใหม่ของเขาได้ต่อไป คนดีที่รู้จักคิดอ่านผมก็เห็นว่าพอมีอยู่บ้างเหมือนกัน เฉพาะวันนี้วิกฤตโลกาภิวัฒน์เกิดชัดเจนแล้วทั้งสงครามและเศรษฐกิจ “อนาคตเก่า” อยู่ไม่ได้แล้วล่ะครับ ที่มา : ไทยโพสต์
    0 Comments 0 Shares 576 Views 0 Reviews
  • แม่ค้าเพิ่งรู้วอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้
    กระแสของร้องให้แจกเป็นเงินสด
    ของบมาเป็นเงินสดแต่กลับให้ประชาชนเป็นกิฟว็อยเชอร์
    ถ้าเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินสดไมไ่ด้ แต่ภาษีกลับต้องจ่ายด้วยเงินสด
    รวมถึงค่าแรงงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าขนมลูกต่างต้องใช้เงินสด
    ให้ไปซื้อแต่ของมาสต็อคแล้วกระแสเงินสดที่ต้องใช้จะไปเอาจากใคร
    เป็นเสียงจากพ่อค้าแม่ค้าที่คิดจะเข้าร่วมโครงการ
    เพราะคิดว่าคงคล้ายกับโครงการคนละครึ่ง
    เพราะอึ้งที่วอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ เพิ่งรู้ที่รัฐบาล
    แถลงจริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    แม่ค้าเพิ่งรู้วอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ กระแสของร้องให้แจกเป็นเงินสด ของบมาเป็นเงินสดแต่กลับให้ประชาชนเป็นกิฟว็อยเชอร์ ถ้าเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินสดไมไ่ด้ แต่ภาษีกลับต้องจ่ายด้วยเงินสด รวมถึงค่าแรงงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าขนมลูกต่างต้องใช้เงินสด ให้ไปซื้อแต่ของมาสต็อคแล้วกระแสเงินสดที่ต้องใช้จะไปเอาจากใคร เป็นเสียงจากพ่อค้าแม่ค้าที่คิดจะเข้าร่วมโครงการ เพราะคิดว่าคงคล้ายกับโครงการคนละครึ่ง เพราะอึ้งที่วอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ เพิ่งรู้ที่รัฐบาล แถลงจริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    Yay
    2
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่

    พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม

    ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง

    แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้

    รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
    ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000

    1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์

    2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย”

    3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ”

    4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี

    5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก

    6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล”

    7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001

    8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน

    9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้

    10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.”

    11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี

    12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ

    13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน”

    14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่”

    15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999

    16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ"

    17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล

    18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope"

    19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี

    20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์

    21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง

    22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23.
    Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม

    24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี

    25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์

    26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง

    27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต

    28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน

    29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย"

    30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่

    31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน"

    32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน

    33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก

    34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน”

    35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ”

    36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น”

    37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง”

    38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ

    39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา”

    40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree

    41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น”

    42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม

    43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น”

    44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980

    45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ

    46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี

    47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน

    48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน

    49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ”

    50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว

    51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016

    52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา”

    53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว

    54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022

    55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี”

    ที่มา : Politico.com

    #Thaitimes
    พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ กมลา แฮร์ริสและทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาอย่างเป็นทางการ วอลซ์มีพื้นฐานประสบการณ์เป็นครู เคยสอนที่จีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนกลางได้และ ยังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 7 สิงหาคม 2567-ในแถลงการณ์ พรรคเดโมแครตระบุว่าผู้แทนการประชุมใหญ่ 99 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้แฮร์ริสลงคะแนนเสียงซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันจันทร์ วอลซ์ "ได้รับการรับรอง" ให้เป็นคู่ตัวแทนในการเลือกตั้งของเธอโดยมินยาน มัวร์ ประธานการประชุมใหญ่ พรรคยังคงวางแผนที่จะจัด "พิธีการเรียกชื่อ" ในชิคาโกในช่วงปลายเดือนนี้ แม้ว่าจะไม่มีการผูกมัดเหมือนปีที่แล้วก็ตาม ขณะทึ่ พรรคเดโมแครตบางคนกลัวว่าการฟ้องร้องอาจทำให้ผู้สมัครของตนต้องออกจากการลงคะแนนเสียง กรณี ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง แม้ว่าแฮร์ริสจะไม่คาดว่าจะชนะคะแนนเสียงเลือกตั้ง 17 เสียงของรัฐโอไฮโอ แต่พรรคยังมีการเลือกตั้งอื่นๆ ตามมา พวกเขากลัวว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับผู้สมัครคนสำคัญอาจส่งผลต่อการแข่งขันที่สูสีเพื่อชิงที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งพรรคจะต้องรักษาโอกาสที่แท้จริงในการรักษาการควบคุมสภาแห่งนั้นของรัฐสภาไว้ รายงานข่าว Politico ระบุว่า 55 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tim Walz ผู้ได้รับเลือกจาก Kamala Harris ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเคยทำงานในกองกำลังป้องกันประเทศและเป็นครูมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 1.Walz เกิดที่เวสต์พอยต์ เมืองในเนแบรสกาที่มีประชากรเพียง 3,500 คน แต่เขาเติบโตในเมืองที่เล็กกว่าชื่อบิวต์ 2.Walz สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมบิวต์ในปี 1982 “ผมมาจากเมืองที่มีประชากร 400 คน มีเด็ก 24 คนในหนึ่งห้อง ลูกพี่ลูกน้อง 12 คน ทำฟาร์ม มีเรื่องแบบนี้ด้วย” 3.Walz ยกย่องการเติบโตในชนบทของเขาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของค่านิยมของเขา: “เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริการแบบนั้นและมีโรงเรียนรัฐบาลที่มีครูของรัฐ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมานั่งอยู่ที่นี่จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในเมืองเล็กๆ” 4.Walz เข้าร่วมกองกำลังป้องกันประเทศเมื่ออายุได้ 17 ปี 5.ในสำนักงานรัฐสภาของเขา Walz ได้จัดแสดงเหรียญ "ท้าทาย" หลายร้อยเหรียญที่เขาสะสมและแลกเปลี่ยนมาหลายปีทั่วโลก 6.พ่อของ Walz ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ Walz อายุได้ 19 ปี Walz กล่าวว่าช่วงเวลานี้จุดประกายความคิดของเขาเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ: “สัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพ่อทำให้แม่ของผมต้องกลับไปทำงานเป็นเวลาสิบปีเพื่อชำระหนี้โรงพยาบาล” 7.Walz สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสังคมศาสตร์จาก Chadron State College ในปี 1989 เขาได้รับปริญญาโทสาขาความเป็นผู้นำทางการศึกษาจาก Minnesota State University, Mankato ในปี 2001 8.หลังจากเรียนจบวิทยาลัย เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการสอนที่ประเทศจีน ก่อนจะกลับมาทำงานเต็มเวลาในกองทัพ เขาเดินทางไปประเทศจีนกับกลุ่มครูชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล เพื่อสอนในโรงเรียนมัธยมของจีน 9.เขายังคงพูดภาษาจีนกลางได้ 10.เขาสอนหนังสือในเขตสงวน Pine Ridge ในเซาท์ดาโคตา “ผมบอกกับผู้คนว่าการจัดการโรงอาหารของโรงเรียนมัธยมมาหลายปีช่วยฝึกให้ผมรับมือกับความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.” 11.เขาเลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก ก่อนจะเกษียณจากกองพันปืนใหญ่ภาคสนามที่ 1-125 ในปี 2005 เขาทำหน้าที่ทั้งหมด 24 ปี 12.Walz ได้พบกับ Gwen Whipple ซึ่งเป็นภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งเป็นชาวมินนิโซตาโดยกำเนิด เนื่องจากทั้งคู่เป็นครูโรงเรียนมัธยมในห้องเรียนชั่วคราว สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดังรบกวนห้องเรียนของเธอ 13.ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายไปที่เมือง Mankato รัฐมินนิโซตา ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่โรงเรียนมัธยม Mankato West “Gwen ชอบใช้ชีวิตในมินนิโซตาตอนใต้มาก เราคว้าโอกาสที่จะย้ายไปที่เมือง Mankato และเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน” 14.Walz สอนภูมิศาสตร์และเป็นโค้ชฟุตบอลในโรงเรียนมัธยม “ฉันไม่รู้ว่าครูภูมิศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมทุกคนคาดหวังว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งนี้ในสักวันหนึ่งหรือไม่” 15.เขาเป็นที่ปรึกษาคณะสำหรับกลุ่มพันธมิตรเกย์-กลุ่มแรกของโรงเรียนในปี 1999 16.Walz วัย 60 ปี ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแก่กว่าวัย Walz ตอบโต้เรื่องนี้ในรายการ X โดยกล่าวว่าเป็นเพราะเขา "ดูแลโรงอาหารมา 20 ปี คุณไม่สามารถออกจากงานนั้นโดยมีผมเต็มหัว เชื่อฉันเถอะ" 17.เขามีลูกสองคนคือ Hope และ Gus Hope เพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยในมอนทานา และ Gus กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมของรัฐในเซนต์พอล 18.ลูกทั้งสองคนเกิดจากกระบวนการ IVF และการรักษาภาวะมีบุตรยาก: "มีเหตุผลที่เราตั้งชื่อ [ลูกสาวของเรา] ว่า Hope" 19.งานแรกของ Walz ในแวดวงการเมืองคือเป็นสมาชิกแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ John Kerry ในปี 2004 แคมเปญดังกล่าวจ้างเขาให้เป็นผู้ประสานงานแคมเปญระดับมณฑลและผู้ประสานงานระดับมณฑลของทหารผ่านศึกสำหรับเคอร์รี 20.เขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมแคมเปญของเคอร์รีหลังจากที่เขาพาเด็กนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งไปร่วมชุมนุมหาเสียงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ซักถามนักเรียนคนหนึ่งของเขาเนื่องจากเขามีสติกเกอร์ของเคอร์รีติดอยู่บนกระเป๋าสตางค์ 21.วอลซ์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาคองเกรสครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในปีนั้น เขตเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ตั้งของทั้งคลินิกเมโยและบริษัทแปรรูปเนื้อฮอร์เมล เคยลงคะแนนเสียงให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุชมาแล้วถึงสองครั้ง 22.เขาเป็นทหารเกณฑ์ที่มียศสูงสุดที่เคยรับใช้ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของรัฐมินนิโซตาคนที่สี่ที่เป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งของเขา 23. Walz เอาชนะ Gil Gutknecht สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคนปัจจุบันได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะใช้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งล้านดอลลาร์ก็ตาม 24.Walz ชนะการเลือกตั้งซ้ำอีก 5 ครั้งในเขตที่ 1 ของมินนิโซตา ซึ่งเป็นเขตชนบทส่วนใหญ่และอนุรักษ์นิยม โดยดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลา 12 ปี 25.เมื่อ Walz เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร Walz ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมกับ Paul Hodes สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 26.เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกอาวุโสของคณะกรรมการกิจการทหารผ่านศึกของสภาผู้แทนราษฎรในปี 2017 โดยเขาเน้นที่ประเด็นต่างๆ เช่น สุขภาพจิตของทหารผ่านศึก การฆ่าตัวตาย และการจัดการความเจ็บปวด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้มีเงินทุนเพื่อวิจัยการบำบัดด้วยกัญชาทางการแพทย์สำหรับทหารผ่านศึกที่ต่อสู้กับโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเจ็บปวดเรื้อรัง 27.ร่างกฎหมายมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ Walz ร่วมสนับสนุนระหว่างปี 2015-2017 ได้รับการเสนอโดยผู้ที่ไม่ใช่พรรคเดโมแครต 28.ครั้งหนึ่ง Walz เคยได้รับคะแนน "A" จาก National Rifle Association และการรับรองของกลุ่ม ในปี 2016 นิตยสาร Guns & Ammo ได้รวมเขาไว้ในรายชื่อนักการเมือง 20 อันดับแรกสำหรับผู้เป็นเจ้าของปืน 29.ต่อมา เขาประณาม NRA และสนับสนุนมาตรการควบคุมปืน เช่น การห้ามใช้อาวุธจู่โจม ในช่วงหาเสียงครั้งแรกเพื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐในปี 2018 NRA ได้ลดระดับคะแนนของเขาลงอย่างสิ้นเชิง "ผมได้รับคะแนน A จาก NRA ตอนนี้ผมได้ F ตลอดเลย และผมก็หลับสบาย" 30.ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ยิงกันที่ลาสเวกัสในปี 2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 59 ราย เขาบริจาคเงินบริจาคหาเสียงจาก NRA ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ช่วยเหลือครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะปฏิบัติหน้าที่ 31.Walz เป็นนักล่าตัวยงและเยาะเย้ย JD Vance ที่พูดถึงปืนในขณะที่ "ฉันรับรองได้ว่าเขายิงไก่ฟ้าไม่ได้เหมือนฉัน" 32.ในปี 2019 Walz ออกจากสภาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เขาเอาชนะ Jeff Johnson จากพรรครีพับลิกันไปมากกว่า 11 คะแนน 33.Walz มักจะปกป้องนโยบายของเขา เช่น ร่างกฎหมายอาหารกลางวันในโรงเรียนทั่วไปที่ลงนามในกฎหมายของรัฐมินนิโซตาเมื่อต้นปีนี้ โดยอ้างว่าเป็นสามัญสำนึก "ช่างเป็นสัตว์ประหลาด! เด็กๆ กินอิ่มและอิ่มท้องเพื่อที่พวกเขาจะได้ไปเรียนรู้ และผู้หญิงก็ตัดสินใจเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง" Walz พูดติดตลก 34.ความรุนแรงปะทุขึ้นหลังจากที่ตำรวจสังหาร George Floyd ในมินนิอาโปลิสเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจทั่วประเทศ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันออกรายงานในช่วงปลายปี โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของวอลซ์ที่ไม่เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วพอที่จะป้องกันการปล้นสะดมและวางเพลิง “ฉันเชื่ออย่างแน่นอนว่าการบริหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันประเทศ ตำรวจทางหลวง หรือกรมทรัพยากรธรรมชาติ บุคลากรแนวหน้าของเราตอบสนองอย่างมีเกียรติและกล้าหาญ พวกเขาช่วยชีวิตคนไว้ได้” วอลซ์กล่าว “รายงานด้านเดียวที่ออกมาก่อนการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ถ้ามีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะใช้แน่นอน” 35.ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา วอลซ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวทางการโจมตีล่าสุดของพรรคเดโมแครตต่อบัตรลงคะแนนของพรรครีพับลิกัน เมื่อเขาเรียกทรัมป์และแวนซ์ว่า “คนพวกนี้ประหลาดจริงๆ” 36.เขาให้สัมภาษณ์กับ POLITICO ในปี 2023 ว่า “เมื่อเราลงแข่งกับพรรครีพับลิกันทั่วไป การแข่งขันของเรามักจะสูสีกันมาก แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า [พรรครีพับลิกันทั่วไป] พวกนี้ประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มลงสมัคร ความแปลกประหลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ได้รับการเสนอชื่อในฝั่งตรงข้าม ฉันไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกใจขนาดนั้น” 37.Walz บอกกับ The New York Times ว่าความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดนั้นเกี่ยวกับ Trump และ Vance ไม่ใช่พรรครีพับลิกันโดยทั่วไป “และคำว่า ‘แปลกประหลาด’ นั้นเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้พูดถึงพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน ฉันไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้น ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนพรรครีพับลิกันของฉัน เพราะว่าคนที่อยู่ในการชุมนุมเหล่านั้นคือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากข้อความที่เรากำลังส่งถึง” 38.เมื่อปีที่แล้ว บารัค โอบามายกย่อง Walz เมื่อพรรคเดโมแครต-เกษตรกร-แรงงานของมินนิโซตาได้ควบคุมคฤหาสน์ของผู้ว่าการ รัฐสภา และวุฒิสภาของรัฐ 39.Walz พบกับรองผู้ว่าการรัฐ Peggy Flanagan เป็นครั้งแรกเมื่อเขาเข้าร่วม Wellstone Action ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของวุฒิสมาชิก Paul Wellstone ในปี 2002 เพื่อฝึกอบรมผู้จัดงาน นักเคลื่อนไหว และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีแนวคิดก้าวหน้า “ฉันไปที่นั่นและได้พบกับผู้ฝึกสอนสาวที่ยอดเยี่ยมซึ่งกลายเป็น Peggy Flanagan นั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของเรา” 40.หลังจากที่รัฐมินนิโซตาประกาศให้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจถูกกฎหมายเมื่อปีที่แล้ว Walz ได้แต่งตั้งเจ้าของร้านขายกัญชาให้เป็นผู้กำกับดูแลกัญชาชั้นนำของรัฐ วันรุ่งขึ้น Erin DuPree ผู้ประกอบการด้านกัญชาได้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ Star Tribune รายงานว่าเธอขายผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในร้านกัญชาของเธอและถูกยึดภาษีของรัฐบาลกลางและถูกตัดสินจำคุก ต่อมาสำนักงานผู้ตรวจสอบนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลมินนิโซตาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้พบว่าสำนักงานของผู้ว่าการรัฐได้ละเลยขั้นตอนการตรวจสอบประวัติพื้นฐานบางขั้นตอนก่อนที่จะแต่งตั้ง DuPree 41.ในเดือนธันวาคม 2023 วอลซ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมผู้ว่าการรัฐของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องและเพิ่มส่วนแบ่งของผู้บริหารสูงสุดของพรรคในแต่ละรัฐ “ตอนนี้ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งแล้วว่าผู้ว่าการรัฐสามารถสร้างความแตกต่างได้ เราเห็นสิ่งนี้ในมินนิโซตา เราเห็นสิ่งนี้ในมิชิแกน เราเห็นสิ่งนี้ในโคโลราโด เราเห็นว่ารัฐทั้งสามแห่งนี้ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น” 42.เครื่องดื่มที่เขาเลือกคือ Diet Mountain Dew เขาถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในเนแบรสกาในปี 1995 ก่อนที่จะเลิกดื่ม 43.วอลซ์เป็นนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการในเมืองแฝดของมินนิโซตา: “ฉันพบว่าแม้กระทั่งก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กดดันที่สุด หากฉันออกไปวิ่ง ฉันจะสงบและมีสติมากขึ้น” 44.เขาชอบซ่อมแซม International Scout สีน้ำเงินแบบวินเทจของเขา ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่บริษัท International Harvester หยุดผลิตในปี 1980 45.เขามีป้ายทะเบียนพิเศษที่เขียนว่า “ONE MN” ซึ่งเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ 46.Walz สัญญากับ Gus ลูกชายของเขาว่าจะเลี้ยงสุนัขหากเขาชนะการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้ง Gus ก็อุทานออกมาว่า “ฉันจะเลี้ยงสุนัข!” Walz ทำตามสัญญาโดยรับ Scout ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ผสมสีดำมาเลี้ยงในช่วงปลายปี 47.Walz และ Scout มักจะไปเยี่ยมสวนสาธารณะสำหรับสุนัขใน Twin Cities โดยไม่ต้องจูงสายจูงในตอนเช้าทุกวัน 48.Walz ลงนามในร่างกฎหมายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขยายสิทธิในการลงคะแนนเสียงให้กับผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกประมาณ 55,000 คน 49.Walz ได้พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐอเมริกาเพื่อลงนามในจดหมายแสดงความเข้าใจซึ่งสร้างความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างมินนิโซตาและภูมิภาคทางตอนเหนือของยูเครนที่เรียกว่าเชอร์นิฮิฟ “เมื่อเราขับไล่พวกรัสเซียออกไปแล้ว เราก็จะมีความร่วมมือกัน” Walz กล่าว “มันเป็นการแสดงมิตรภาพที่สำคัญจริงๆ และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญจริงๆ” 50.ในปี 2023 Walz ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อปกป้องการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ “ในขณะที่รัฐต่างๆ ทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อห้ามการเข้าถึงการดูแลที่ยืนยันเพศ เราต้องการให้ชาวมินนิโซตาที่เป็น LGBTQ รู้ว่าพวกเขาจะยังคงปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการต้อนรับในมินนิโซตาต่อไป” Walz กล่าว 51.อาหารจานร้อนมันฝรั่งทอดของเขา ซึ่งเป็นอาหารไม่เป็นทางการของมินนิโซตา เป็นแชมป์รายการอาหารจานร้อนของคณะผู้แทนรัฐสภามินนิโซตาถึงสามสมัย เขาชนะในปี 2013, 2014 และ 2016 52.เขาประกาศตัวเองว่าเป็นนักอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีเมื่อพูดถึงหนังสือ “ผมเพิ่งอ่านซีรีส์ Mortal Engines จบไป ผมอ่านนิยายสำหรับวัยรุ่นหลายเล่มเพราะผมอ่านกับลูกๆ ผมอ่านเล่มนั้นกับ Gus” เขากล่าวในปี 2019 “และผมเพิ่งอ่านเล่มหนึ่งจบซึ่งผมไม่แนะนำให้อ่านเพราะมันน่ากลัวมาก: Command and Control หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์คลังอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา” 53.เพลงโปรดของเขาโดย Bob Dylan หนึ่งในคนดังที่โด่งดังที่สุดของรัฐมินนิโซตาคือเพลง “Forever Young” ซึ่งมี “ข้อความอมตะจากพ่อถึงลูกชาย” ตามที่ Walz กล่าว 54.เขามีความสุขกับการได้ดื่มนมไม่อั้นที่งาน Minnesota State Fair มากจนถึงขนาดที่เขาอาสาทำงานที่บูธในปี 2022 55.Walz เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อพูดถึงรัฐบาล เขาพยายามวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ผมคิดว่าผู้คนควรคาดหวังให้รัฐบาลมีแนวคิดก้าวหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้า” เขากล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2019 “หลายๆ สิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือโอกาส แท้จริงแล้วเป็นเพียงการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี” ที่มา : Politico.com #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 805 Views 0 Reviews
  • #ร้านค้ารับวอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้
    เรื่องสำคัญที่ร้านค้าต้องรู้ วอลเลทไม่เหมือนกับคนละครึ่ง
    ถ้าประชาชน ลูกค้าใช้วอลเลทที่ร้านท่าน
    ท่านไม่สามารถไปเปลี่ยนเป็นเงินจริงๆได้
    แต่ท่านสามารถซื้อของเข้าร้านของท่านได้เฉพาะตามเงื่อนไข
    แต่กำไรของธุรกิจไม่ได้มีไว้ใช้จ่ายเฉพาะสิ่งของอุปโภคบริโภคเท่านั้น
    ยังมีค่าไฟฟ้า ค่าแรงงาน ที่ไ่ม่สามารถนำวอลเลทไปจ่ายแทนได้
    สรุปวอลเลทก็ไม่ต่างจากกิฟว็อยเชอร์ที่ใช้ได้กับเฉพาะบางอย่าง
    ร้านค้าใดที่รับวอลเลท ต้องรับสภาพกับการขาดสภาพคล่องขาดเงินสดไว้ด้วย
    และหลังวอลเลทหมดฤดู สต็อคสินค้ากองเต็มร้าน
    ก็ต้องเลหลังเพื่อให้ได้เงินสดกลับคืนมาใหม่ อีกที
    คนคิดโครงการฉลาดมาก ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ร้านค้ารับวอลเลทเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ได้ เรื่องสำคัญที่ร้านค้าต้องรู้ วอลเลทไม่เหมือนกับคนละครึ่ง ถ้าประชาชน ลูกค้าใช้วอลเลทที่ร้านท่าน ท่านไม่สามารถไปเปลี่ยนเป็นเงินจริงๆได้ แต่ท่านสามารถซื้อของเข้าร้านของท่านได้เฉพาะตามเงื่อนไข แต่กำไรของธุรกิจไม่ได้มีไว้ใช้จ่ายเฉพาะสิ่งของอุปโภคบริโภคเท่านั้น ยังมีค่าไฟฟ้า ค่าแรงงาน ที่ไ่ม่สามารถนำวอลเลทไปจ่ายแทนได้ สรุปวอลเลทก็ไม่ต่างจากกิฟว็อยเชอร์ที่ใช้ได้กับเฉพาะบางอย่าง ร้านค้าใดที่รับวอลเลท ต้องรับสภาพกับการขาดสภาพคล่องขาดเงินสดไว้ด้วย และหลังวอลเลทหมดฤดู สต็อคสินค้ากองเต็มร้าน ก็ต้องเลหลังเพื่อให้ได้เงินสดกลับคืนมาใหม่ อีกที คนคิดโครงการฉลาดมาก ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 Reviews
  • สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67)
    โดย อ.รุ่งโรจน์
    ///////

    เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ
    ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก

    1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว
    - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา..
    คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด

    2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67
    - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์
    - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์
    คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ
    - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก
    - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
    ค่อย ๆ ทะยอยตามมา

    3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ
    - Sub Contract, งานรายวัน
    - อัตรากำลังเกิน
    - Performance ต่ำ
    - น้องใหม่อายุงานไม่มาก

    4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง
    - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น
    - ปลด Sub Contracts
    - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต
    - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ
    - ปรับผัง ลดคน
    - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง
    - ไม่รับคนใหม่
    - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น

    HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า
    เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน

    ~ อ.รุ่งโรจน์

    *****
    หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย
    ค้ากสิกร

    - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้

    ชลบุรี 118 แห่ง
    สมุทรปราการ 45 แห่ง
    กรุงเทพฯ 44 แห่ง
    ปทุมธานี 36 แห่ง
    พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง

    - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด
    ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ

    ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67) โดย อ.รุ่งโรจน์ /////// เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก 1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา.. คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด 2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67 - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์ คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ค่อย ๆ ทะยอยตามมา 3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ - Sub Contract, งานรายวัน - อัตรากำลังเกิน - Performance ต่ำ - น้องใหม่อายุงานไม่มาก 4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น - ปลด Sub Contracts - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ - ปรับผัง ลดคน - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง - ไม่รับคนใหม่ - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ~ อ.รุ่งโรจน์ ***** หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย ค้ากสิกร - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้ ชลบุรี 118 แห่ง สมุทรปราการ 45 แห่ง กรุงเทพฯ 44 แห่ง ปทุมธานี 36 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    Facebook
    Sieh dir auf Facebook Beiträge, Fotos und vieles mehr an.
    0 Comments 0 Shares 360 Views 0 Reviews
  • จีนฉลาดไงไม่รู้ มาลงทุนในไทย แต่จ้างแรงงานต่างด้าวไม่รับคนไทย ขึ้นป้ายรับสมัครกลางเมือง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    จีนฉลาดไงไม่รู้ มาลงทุนในไทย แต่จ้างแรงงานต่างด้าวไม่รับคนไทย ขึ้นป้ายรับสมัครกลางเมือง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    Sad
    3
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • ก้าวไกลผลักดันแรงงานต่างด้าวมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง หวังต่างด้าวเพิ่มคะแนนเสียงให้ คิดได้ไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ก้าวไกลผลักดันแรงงานต่างด้าวมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง หวังต่างด้าวเพิ่มคะแนนเสียงให้ คิดได้ไง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เมื่อไหร่ นักการเมืองจะตื่นฟร๊ะ
    ตอนหาเสียง แข่งกันใครจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้มากกว่ากัน
    ส้งทรีนอะไรนักหนา ค่าแรงขั้นต่ำ คือค่าแรงต่างด้าว
    แห่กันเข้ามาทำงานในไทย
    โรงงานรับไม่ไหวกับค่าแรง เผ่นแน็บ
    ข้าวของแข่งกันขึ้น
    ส่วนแรงงานไทยมีฝีมือ ก็นั่งตาลอย
    เงินเดือนเท่าเดิม แต่ของแพงขึ้นทุกสิ่งอย่าง
    พวกเมิงไปหาทางให้ค่าไฟลด ให้ค่าน้ำมันลด ค่าครองชีพลด
    ให้ข้าวของมันถูกลง แค่นี้ เงินที่คนไทยทำงานก็จะซื้อของได้มากขึ้น
    นี่ ห่านอะไร ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อต่างด้าวซะส่วนใหญ่
    แต่ผลกระทบ ถึงคนไทยทั่วทั้งประเทศ
    รอบหน้า พรรคไหน หาเสียงด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
    คิงส์โพธิ์แดงบอกเลย คนไทยต้องเททิ้ง ถือว่าเรื่องตื้นๆแค่นี้
    คิดไม่ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แค่นี้ก็คิดไม่ได้
    #เมื่อไหร่จะตื่น
    เมื่อไหร่ นักการเมืองจะตื่นฟร๊ะ ตอนหาเสียง แข่งกันใครจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้มากกว่ากัน ส้งทรีนอะไรนักหนา ค่าแรงขั้นต่ำ คือค่าแรงต่างด้าว แห่กันเข้ามาทำงานในไทย โรงงานรับไม่ไหวกับค่าแรง เผ่นแน็บ ข้าวของแข่งกันขึ้น ส่วนแรงงานไทยมีฝีมือ ก็นั่งตาลอย เงินเดือนเท่าเดิม แต่ของแพงขึ้นทุกสิ่งอย่าง พวกเมิงไปหาทางให้ค่าไฟลด ให้ค่าน้ำมันลด ค่าครองชีพลด ให้ข้าวของมันถูกลง แค่นี้ เงินที่คนไทยทำงานก็จะซื้อของได้มากขึ้น นี่ ห่านอะไร ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อต่างด้าวซะส่วนใหญ่ แต่ผลกระทบ ถึงคนไทยทั่วทั้งประเทศ รอบหน้า พรรคไหน หาเสียงด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คิงส์โพธิ์แดงบอกเลย คนไทยต้องเททิ้ง ถือว่าเรื่องตื้นๆแค่นี้ คิดไม่ได้ #คิงส์โพธิ์แดง #แค่นี้ก็คิดไม่ได้ #เมื่อไหร่จะตื่น
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • 1 พฤษภาคม ”วันแรงงานแห่งชาติ”
    .
    “วันแรงงานแห่งชาติ” ที่ถือเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไป เพื่อให้ระลึกถึงหน้าที่และความสำคัญของผู้ใช้แรงงานทุกคน ดังนั้น ทุกวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี จึงถือเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ที่กำหนดให้ผู้ใช้แรงงานและมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ได้หยุดพักผ่อนกับครอบครัวและเฉลิมฉลองกันในวันนี้
    1 พฤษภาคม ”วันแรงงานแห่งชาติ” . “วันแรงงานแห่งชาติ” ที่ถือเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไป เพื่อให้ระลึกถึงหน้าที่และความสำคัญของผู้ใช้แรงงานทุกคน ดังนั้น ทุกวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี จึงถือเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ที่กำหนดให้ผู้ใช้แรงงานและมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ได้หยุดพักผ่อนกับครอบครัวและเฉลิมฉลองกันในวันนี้
    0 Comments 0 Shares 539 Views 0 Reviews