• 5 ปี คนไทยรายแรกติดเชื้อโควิด-19 จุดเริ่มต้นโครงการ “คนละครึ่ง-เราไม่ทิ้งกัน”

    ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 คนไทยรายแรก เป็นชายวัย 50 ปี อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งติดเชื้อมาจากผู้โดยสาร ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของการรับมือ กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายเป็น วิกฤตการณ์ระดับโลก

    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับ ความท้าทายด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม โควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการล็อกดาวน์ การปิดประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือ โครงการ "คนละครึ่ง" และ "เราไม่ทิ้งกัน" ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพยุงเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชน

    จากอู่ฮั่นสู่การระบาดทั่วโลก
    "โควิด-19" เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเกิดจาก ไวรัส SARS-CoV-2 เริ่มต้นระบาดในนครอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก

    การประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO)
    30 มกราคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ
    11 มีนาคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ระดับโลก (Pandemic)

    ลักษณะการแพร่เชื้อ
    โควิด-19 สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอย จากการไอหรือจาม โดยมีระยะฟักตัว 2-14 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
    ✅ มีไข้
    ✅ ไอแห้ง
    ✅ หายใจลำบาก

    มาตรการป้องกันเบื้องต้น
    ✅ ล้างมือบ่อยๆ
    ✅ สวมหน้ากากอนามัย
    ✅ เว้นระยะห่างทางสังคม
    ✅ กักตัวเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ

    จากผู้ติดเชื้อรายแรก สู่การล็อกดาวน์
    ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองของโลก ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากจีน โดยในช่วงต้นของการระบาด รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการที่เข้มงวด เพื่อควบคุมสถานการณ์

    มาตรการสำคัญที่ไทยใช้รับมือกับโควิด-19
    🔹 ปิดประเทศและล็อกดาวน์ ควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ
    🔹 มาตรการ Work From Home ให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ ทำงานที่บ้าน
    🔹 Social Distancing จำกัดการรวมตัวในที่สาธารณะ
    🔹 การเร่งตรวจหาเชื้อและกักตัว สร้างศูนย์ตรวจโควิด-19 และสถานกักตัว

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    📉 ธุรกิจปิดตัวจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว
    📉 อัตราการว่างงานสูงขึ้น
    📉 ประชาชนมีรายได้ลดลง และเกิดปัญหาความยากจน

    โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" และ "คนละครึ่ง" ตัวช่วยสำคัญของประชาชน
    เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชน รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือที่สำคัญ ได้แก่

    💰 โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” 💰
    📍 เริ่มต้นในปี 2563
    📍 แจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
    📍 ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ

    🛍 โครงการ “คนละครึ่ง” 🛍
    📍 เริ่มต้นในปี 2563
    📍 รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุด 150 บาท/วัน)
    📍 ใช้ได้กับร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ
    📍 กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่รอด

    ผลกระทบทางสังคมและการศึกษา
    📉 รายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน
    💸 ประชาชนกว่า 70% รายได้ลดลง
    💸 50% ของแรงงาน ได้รับผลกระทบโดยตรง
    💸 ครัวเรือนในชนบท ได้รับผลกระทบหนัก รายได้ลดลงมากกว่า 80%

    📚 ผลกระทบต่อการศึกษา
    🏫 โรงเรียนปิด และปรับเปลี่ยนเป็น การเรียนออนไลน์
    📶 เด็กที่ยากจน ขาดอุปกรณ์การเรียน และอินเทอร์เน็ต
    📉 คุณภาพการศึกษาลดลง ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษา ในอนาคต

    วัคซีนโควิด-19 จุดเปลี่ยนของการระบาด
    ในช่วงแรกของการระบาด ประเทศไทยประสบปัญหา การจัดหาวัคซีนล่าช้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2564-2565 รัฐบาลได้เร่งนำเข้าวัคซีน และกระจายวัคซีนให้ประชาชน

    แผนการฉีดวัคซีนในไทย
    ✅ Sinovac & AstraZeneca เป็นวัคซีนชุดแรกที่ใช้ในไทย
    ✅ Pfizer & Moderna เพิ่มตัวเลือกให้ประชาชน
    ✅ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

    ผลของการฉีดวัคซีน
    📉 อัตราการเสียชีวิตลดลง
    📉 ระบบสาธารณสุขรับมือได้ดีขึ้น
    📉 เปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

    บทเรียนจากโควิด-19 อนาคตประเทศไทย
    ตลอด 5 ปีของโควิด-19 ประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและประชาชนร่วมมือกัน รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่

    📌 บทเรียนสำคัญจากโควิด-19
    🔹 ต้องมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือโรคระบาดในอนาคต
    🔹 การช่วยเหลือประชาชน ต้องรวดเร็วและทั่วถึง
    🔹 การพึ่งพาเทคโนโลยี และการทำงานออนไลน์ เป็นเรื่องสำคัญ
    🔹 ต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว

    ประเทศไทยหลังโควิด-19
    ✅ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
    ✅ การท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอีกครั้ง
    ✅ การแพทย์และระบบสาธารณสุข พัฒนาไปอีกขั้น

    นี่คือภาพรวม 5 ปี ของโควิด-19 ในประเทศไทย จากวันแรกที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก สู่ มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ การฟื้นตัวของประเทศ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญในการรับมือกับวิกฤต ในอนาคต 🚀💙

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311121 ม.ค. 2568

    🔖 #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #ไทยหลังโควิด #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #วัคซีนโควิด #NewNormal #ล็อกดาวน์ #ช่วยเหลือประชาชน #ชีวิตหลังโควิด
    5 ปี คนไทยรายแรกติดเชื้อโควิด-19 จุดเริ่มต้นโครงการ “คนละครึ่ง-เราไม่ทิ้งกัน” ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563 ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 คนไทยรายแรก เป็นชายวัย 50 ปี อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งติดเชื้อมาจากผู้โดยสาร ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของการรับมือ กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายเป็น วิกฤตการณ์ระดับโลก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับ ความท้าทายด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม โควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการล็อกดาวน์ การปิดประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือ โครงการ "คนละครึ่ง" และ "เราไม่ทิ้งกัน" ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพยุงเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชน จากอู่ฮั่นสู่การระบาดทั่วโลก "โควิด-19" เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเกิดจาก ไวรัส SARS-CoV-2 เริ่มต้นระบาดในนครอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ก่อนแพร่กระจายไปทั่วโลก การประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) 30 มกราคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ 11 มีนาคม 2563 WHO ประกาศให้โควิด-19 เป็นการระบาดใหญ่ระดับโลก (Pandemic) ลักษณะการแพร่เชื้อ โควิด-19 สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอย จากการไอหรือจาม โดยมีระยะฟักตัว 2-14 วัน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ✅ มีไข้ ✅ ไอแห้ง ✅ หายใจลำบาก มาตรการป้องกันเบื้องต้น ✅ ล้างมือบ่อยๆ ✅ สวมหน้ากากอนามัย ✅ เว้นระยะห่างทางสังคม ✅ กักตัวเมื่อสงสัยว่าติดเชื้อ จากผู้ติดเชื้อรายแรก สู่การล็อกดาวน์ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองของโลก ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากจีน โดยในช่วงต้นของการระบาด รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการที่เข้มงวด เพื่อควบคุมสถานการณ์ มาตรการสำคัญที่ไทยใช้รับมือกับโควิด-19 🔹 ปิดประเทศและล็อกดาวน์ ควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ 🔹 มาตรการ Work From Home ให้หน่วยงานและบริษัทต่างๆ ทำงานที่บ้าน 🔹 Social Distancing จำกัดการรวมตัวในที่สาธารณะ 🔹 การเร่งตรวจหาเชื้อและกักตัว สร้างศูนย์ตรวจโควิด-19 และสถานกักตัว ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 📉 ธุรกิจปิดตัวจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว 📉 อัตราการว่างงานสูงขึ้น 📉 ประชาชนมีรายได้ลดลง และเกิดปัญหาความยากจน โครงการ "เราไม่ทิ้งกัน" และ "คนละครึ่ง" ตัวช่วยสำคัญของประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชน รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือที่สำคัญ ได้แก่ 💰 โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” 💰 📍 เริ่มต้นในปี 2563 📍 แจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน 📍 ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ 🛍 โครงการ “คนละครึ่ง” 🛍 📍 เริ่มต้นในปี 2563 📍 รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% (สูงสุด 150 บาท/วัน) 📍 ใช้ได้กับร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ 📍 กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กอยู่รอด ผลกระทบทางสังคมและการศึกษา 📉 รายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน 💸 ประชาชนกว่า 70% รายได้ลดลง 💸 50% ของแรงงาน ได้รับผลกระทบโดยตรง 💸 ครัวเรือนในชนบท ได้รับผลกระทบหนัก รายได้ลดลงมากกว่า 80% 📚 ผลกระทบต่อการศึกษา 🏫 โรงเรียนปิด และปรับเปลี่ยนเป็น การเรียนออนไลน์ 📶 เด็กที่ยากจน ขาดอุปกรณ์การเรียน และอินเทอร์เน็ต 📉 คุณภาพการศึกษาลดลง ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษา ในอนาคต วัคซีนโควิด-19 จุดเปลี่ยนของการระบาด ในช่วงแรกของการระบาด ประเทศไทยประสบปัญหา การจัดหาวัคซีนล่าช้า อย่างไรก็ตาม ในปี 2564-2565 รัฐบาลได้เร่งนำเข้าวัคซีน และกระจายวัคซีนให้ประชาชน แผนการฉีดวัคซีนในไทย ✅ Sinovac & AstraZeneca เป็นวัคซีนชุดแรกที่ใช้ในไทย ✅ Pfizer & Moderna เพิ่มตัวเลือกให้ประชาชน ✅ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ผลของการฉีดวัคซีน 📉 อัตราการเสียชีวิตลดลง 📉 ระบบสาธารณสุขรับมือได้ดีขึ้น 📉 เปิดประเทศและฟื้นฟูเศรษฐกิจ บทเรียนจากโควิด-19 อนาคตประเทศไทย ตลอด 5 ปีของโควิด-19 ประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและประชาชนร่วมมือกัน รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่ 📌 บทเรียนสำคัญจากโควิด-19 🔹 ต้องมีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือโรคระบาดในอนาคต 🔹 การช่วยเหลือประชาชน ต้องรวดเร็วและทั่วถึง 🔹 การพึ่งพาเทคโนโลยี และการทำงานออนไลน์ เป็นเรื่องสำคัญ 🔹 ต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว ประเทศไทยหลังโควิด-19 ✅ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ✅ การท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอีกครั้ง ✅ การแพทย์และระบบสาธารณสุข พัฒนาไปอีกขั้น นี่คือภาพรวม 5 ปี ของโควิด-19 ในประเทศไทย จากวันแรกที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก สู่ มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ การฟื้นตัวของประเทศ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญในการรับมือกับวิกฤต ในอนาคต 🚀💙 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311121 ม.ค. 2568 🔖 #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #ไทยหลังโควิด #ฟื้นฟูเศรษฐกิจ #วัคซีนโควิด #NewNormal #ล็อกดาวน์ #ช่วยเหลือประชาชน #ชีวิตหลังโควิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 8 ราย ประกอบด้วยชาวอิสราเอล 3 คน และคนไทย 5 ราย หลังถูกกักขังในกาซานานกว่า 1 ปี จากการเปิดเผยของรัฐบาลอิสราเอล ในขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยึดถือข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว
    .
    เจ้าหน้าที่อิสราเอล ระบุว่าตัวประกันอิสราเอลที่จะได้รับการปล่อยตัวประกอบด้วย กาดี โมเซส วัย 80ปี, อาร์เบล เยฮุด วัย 29 ปี และอากัม เบอร์เกอร์ วัย 20 ปี ในขณะที่ฮามาสก็ยืนยันเกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวอิสราเอลทั้ง 3 รายเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งอิสราเอลและฮามาส ไม่ได้เปิดเผยชื่อพลเมืองไทย 5 คน ที่จะได้รับการปล่อยตัวออกมา
    .
    ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าอิสราเอลจะปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์มากกว่า 100 คน แลกกับตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) ในนั้นรวมถึงพวกที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โทษฐานเกี่ยวกับกับเหตุโจมตีนองเลือดเล่นงานชาวอิสราเอล
    .
    การปล่อยตัวครั้งนี้ ถือเป็นหนที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่อิสราเอลและฮามาสปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 6 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงหลายขั้นที่พวกคนกลางการเจรจาหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามในกาซา ในขณะที่มีผู้คนมากกว่า 45,000 นาย ที่ต้องเสียชีวิตในฉนวนแห่งนี้ ระหว่างปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเล่นงานแก้แค้นพวกฮามาส
    .
    ระหว่างการหยุดยิงเบื้องต้น 42 วัน ฮามาส รับปากว่าจะปล่อยตัวประกันอย่างน้อย 33 คน จาก 97 คนที่เหลืออยู่ในกาซา แลกกับการที่อิสราเอลถอนกำลังบางส่วนและปล่อยชาวปาเลสไตน์กว่า 1,500 คน ที่ถูกจองจำโดยอิสราเอล ภายใต้ข้อตกลงนี้ มีการเสนอให้ปล่อยตัวนางสาวเยฮุด หนึ่งในตัวประกันหญิงคนท้ายๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ในสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    แต่หลังจากที่เธอไม่ได้รับการปล่อยตัวในตอนนั้น อิสราเอลตอบโต้ด้วยการเลื่อนไม่เปิดเส้นทางผ่านให้พวกชาวปาเลสไตน์ผู้ไร้ถิ่นฐานหลายแสนคนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิทางเหนือของกาซา ตามเงื่อนไขของข้อตกลง ก่อนสุดท้ายกองทัพอิสราเอลจะยอมเปิดทาง หลังบรรดาชาติคนกลางแถลงในวันอาทิตย์(25ม.ค. )ว่าพวกเขาได้รับคำสัญญาแล้วว่านางสาวเยฮุด จะได้รับการปล่อยตัว
    .
    ตัวประกันทั้ง 8 คน ที่ได้รับคาดหมายว่าจะได้รับการปล่อยตัวเป็นกลุ่มถัดไป ทั้งหมดถูกลักพาตัวระหว่างที่พวกฮามาสปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบเล่นงานทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1,200 คน ในเหตุจู่โจมดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและอีก 250 คน ถูกจับเป็นตัวประกัน
    .
    มูซา อาบู มาร์ซูค เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนิวยอร์กไทม์ส ว่าแรงงานไทย 5 คนจะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) พร้อมเผยว่าคนงานไทยเหล่านี้ถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (Palestinian Islamic Jihad) อ้างถึงกลุ่มนักรบเล็กๆในกาซา ที่ใกล้ชิดกับฮามาส แต่มีความแตกต่างกันทั้งเชิงกลยุทธ์และอุดมการณ์
    .
    นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล ยืนยันเช่นกันว่าตัวประกันคนไทย 5 คน จากทั้งหมด 8 คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) แต่ไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้นมีใครบ้าง
    .
    รายงานของนิวยอร์กไทม์อ้างคำกล่าวของนางสาวพรรณนภา ระบุด้วยว่ายังมีตัวประกันไทยอยู่ในกาซาอีก 8 ราย แบ่งเป็นยังมีชีวิตอยู่ 6 รายและเสียชีวิตแล้ว 2 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 28 ปี ถึง 42 ปี โดยทั้งหมดเป็นแรงงานภาคการเกษตร ณ ฟาร์ม 4 แห่งใกล้ชายแดนกาซา และถูกลักพาตัวระหว่างการโจมตีที่นำโดยพวกฮามาสในเดือนตุลาคม 2023
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009508
    ..............
    Sondhi X
    ฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 8 ราย ประกอบด้วยชาวอิสราเอล 3 คน และคนไทย 5 ราย หลังถูกกักขังในกาซานานกว่า 1 ปี จากการเปิดเผยของรัฐบาลอิสราเอล ในขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยึดถือข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว . เจ้าหน้าที่อิสราเอล ระบุว่าตัวประกันอิสราเอลที่จะได้รับการปล่อยตัวประกอบด้วย กาดี โมเซส วัย 80ปี, อาร์เบล เยฮุด วัย 29 ปี และอากัม เบอร์เกอร์ วัย 20 ปี ในขณะที่ฮามาสก็ยืนยันเกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวอิสราเอลทั้ง 3 รายเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งอิสราเอลและฮามาส ไม่ได้เปิดเผยชื่อพลเมืองไทย 5 คน ที่จะได้รับการปล่อยตัวออกมา . ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าอิสราเอลจะปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์มากกว่า 100 คน แลกกับตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) ในนั้นรวมถึงพวกที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โทษฐานเกี่ยวกับกับเหตุโจมตีนองเลือดเล่นงานชาวอิสราเอล . การปล่อยตัวครั้งนี้ ถือเป็นหนที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่อิสราเอลและฮามาสปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 6 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงหลายขั้นที่พวกคนกลางการเจรจาหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามในกาซา ในขณะที่มีผู้คนมากกว่า 45,000 นาย ที่ต้องเสียชีวิตในฉนวนแห่งนี้ ระหว่างปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเล่นงานแก้แค้นพวกฮามาส . ระหว่างการหยุดยิงเบื้องต้น 42 วัน ฮามาส รับปากว่าจะปล่อยตัวประกันอย่างน้อย 33 คน จาก 97 คนที่เหลืออยู่ในกาซา แลกกับการที่อิสราเอลถอนกำลังบางส่วนและปล่อยชาวปาเลสไตน์กว่า 1,500 คน ที่ถูกจองจำโดยอิสราเอล ภายใต้ข้อตกลงนี้ มีการเสนอให้ปล่อยตัวนางสาวเยฮุด หนึ่งในตัวประกันหญิงคนท้ายๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ในสัปดาห์ที่แล้ว . แต่หลังจากที่เธอไม่ได้รับการปล่อยตัวในตอนนั้น อิสราเอลตอบโต้ด้วยการเลื่อนไม่เปิดเส้นทางผ่านให้พวกชาวปาเลสไตน์ผู้ไร้ถิ่นฐานหลายแสนคนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิทางเหนือของกาซา ตามเงื่อนไขของข้อตกลง ก่อนสุดท้ายกองทัพอิสราเอลจะยอมเปิดทาง หลังบรรดาชาติคนกลางแถลงในวันอาทิตย์(25ม.ค. )ว่าพวกเขาได้รับคำสัญญาแล้วว่านางสาวเยฮุด จะได้รับการปล่อยตัว . ตัวประกันทั้ง 8 คน ที่ได้รับคาดหมายว่าจะได้รับการปล่อยตัวเป็นกลุ่มถัดไป ทั้งหมดถูกลักพาตัวระหว่างที่พวกฮามาสปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบเล่นงานทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1,200 คน ในเหตุจู่โจมดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและอีก 250 คน ถูกจับเป็นตัวประกัน . มูซา อาบู มาร์ซูค เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนิวยอร์กไทม์ส ว่าแรงงานไทย 5 คนจะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) พร้อมเผยว่าคนงานไทยเหล่านี้ถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (Palestinian Islamic Jihad) อ้างถึงกลุ่มนักรบเล็กๆในกาซา ที่ใกล้ชิดกับฮามาส แต่มีความแตกต่างกันทั้งเชิงกลยุทธ์และอุดมการณ์ . นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล ยืนยันเช่นกันว่าตัวประกันคนไทย 5 คน จากทั้งหมด 8 คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) แต่ไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้นมีใครบ้าง . รายงานของนิวยอร์กไทม์อ้างคำกล่าวของนางสาวพรรณนภา ระบุด้วยว่ายังมีตัวประกันไทยอยู่ในกาซาอีก 8 ราย แบ่งเป็นยังมีชีวิตอยู่ 6 รายและเสียชีวิตแล้ว 2 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 28 ปี ถึง 42 ปี โดยทั้งหมดเป็นแรงงานภาคการเกษตร ณ ฟาร์ม 4 แห่งใกล้ชายแดนกาซา และถูกลักพาตัวระหว่างการโจมตีที่นำโดยพวกฮามาสในเดือนตุลาคม 2023 . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009508 .............. Sondhi X
    Like
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 856 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะกำหนดภาษีศุลกากรสูงขึ้นสำหรับชิปเซมิคอนดักเตอร์และสินค้าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าจะมีคำเตือนเกี่ยวกับราคาที่สูงขึ้นของพีซีและสมาร์ทโฟนก็ตาม

    ทรัมป์กล่าวว่าการกำหนดภาษีศุลกากรสูงจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตนำการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ โดยเขาได้กล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันว่า "วิธีเดียวที่คุณจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้คือการสร้างโรงงานของคุณ...ที่นี่ในอเมริกา" ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าเขาตั้งใจที่จะกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่าปัจจุบันที่ 2.5% โดยอาจสูงถึง 25%, 50% หรือแม้กระทั่ง 100%

    ทรัมป์ยังวิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น Apple, AMD, Broadcom, Nvidia และ Qualcomm ที่พึ่งพาการนำเข้าชิปจาก TSMC ของไต้หวัน โดยเขาเชื่อว่าการกำหนดภาษีศุลกากรสูงจะบังคับให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนในการผลิตชิปในประเทศ

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวถึงความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI โดยเฉพาะ DeepSeek ว่าเป็น "พัฒนาการที่ดี" และเป็น "ทรัพย์สิน" สำหรับภาคเทคโนโลยีทั่วโลก เขาเชื่อว่าความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI ควรเป็น "สัญญาณเตือน" สำหรับบริษัทเทคโนโลยีของอเมริกา

    การกำหนดภาษีศุลกากรสูงอาจทำให้ราคาของพีซี สมาร์ทโฟน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ สูงขึ้นอย่างมาก ผู้สนับสนุนการกำหนดภาษีศุลกากรเชื่อว่าจะลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ ส่งเสริมการผลิตในประเทศ และสร้างงานหลายพันตำแหน่งสำหรับแรงงานที่มีทักษะและไม่มีทักษะ

    https://www.techspot.com/news/106535-trump-threatens-tariffs-imported-chips-despite-warnings-about.html
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะกำหนดภาษีศุลกากรสูงขึ้นสำหรับชิปเซมิคอนดักเตอร์และสินค้าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าจะมีคำเตือนเกี่ยวกับราคาที่สูงขึ้นของพีซีและสมาร์ทโฟนก็ตาม ทรัมป์กล่าวว่าการกำหนดภาษีศุลกากรสูงจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตนำการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ โดยเขาได้กล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันว่า "วิธีเดียวที่คุณจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้คือการสร้างโรงงานของคุณ...ที่นี่ในอเมริกา" ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าเขาตั้งใจที่จะกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่าปัจจุบันที่ 2.5% โดยอาจสูงถึง 25%, 50% หรือแม้กระทั่ง 100% ทรัมป์ยังวิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น Apple, AMD, Broadcom, Nvidia และ Qualcomm ที่พึ่งพาการนำเข้าชิปจาก TSMC ของไต้หวัน โดยเขาเชื่อว่าการกำหนดภาษีศุลกากรสูงจะบังคับให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนในการผลิตชิปในประเทศ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวถึงความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI โดยเฉพาะ DeepSeek ว่าเป็น "พัฒนาการที่ดี" และเป็น "ทรัพย์สิน" สำหรับภาคเทคโนโลยีทั่วโลก เขาเชื่อว่าความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI ควรเป็น "สัญญาณเตือน" สำหรับบริษัทเทคโนโลยีของอเมริกา การกำหนดภาษีศุลกากรสูงอาจทำให้ราคาของพีซี สมาร์ทโฟน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ สูงขึ้นอย่างมาก ผู้สนับสนุนการกำหนดภาษีศุลกากรเชื่อว่าจะลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ ส่งเสริมการผลิตในประเทศ และสร้างงานหลายพันตำแหน่งสำหรับแรงงานที่มีทักษะและไม่มีทักษะ https://www.techspot.com/news/106535-trump-threatens-tariffs-imported-chips-despite-warnings-about.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump threatens tariffs on imported chips and tech goods despite warnings about higher PC, smartphone prices
    Trump's speech did not provide additional details about his proposed tariffs. However, speaking to reporters afterward, he stated his intention to implement a "much bigger" tariff rate...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elon Musk ได้ก่อตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency (DOGE) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หน่วยงานนี้มีเป้าหมายในการลดการสูญเสียทรัพยากรและการทุจริตในหน่วยงานรัฐบาล โดยการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย

    DOGE ได้เปิดเว็บไซต์รับสมัครงานสำหรับตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์และบุคลากรด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยผู้สมัครต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และทำงานเต็มเวลาในสำนักงานที่ Washington, DC ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลติดต่อ อัปโหลดประวัติย่อ และระบุความสามารถพิเศษของตน

    หน่วยงานนี้จะมีสำนักงานในอาคาร Eisenhower Executive Office Building ภายในทำเนียบขาว และจะมีทีมงาน DOGE อย่างน้อย 4 คนในแต่ละหน่วยงานรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามโปรแกรม หน่วยงานนี้จะทำงานร่วมกับ White House Office of Management and Budget เพื่อระบุการลดค่าใช้จ่ายและเสนอแนะการปรับปรุงภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026

    การก่อตั้ง DOGE ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของพนักงานรัฐบาลหลายแสนคน โดยกล่าวหาว่า DOGE ละเมิดกฎหมายสหรัฐฯ ที่กำหนดให้มีการตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์และความโปร่งใส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/27/now-hiring-elon-musks-department-of-government-efficiency-sets-up-job-site
    Elon Musk ได้ก่อตั้งหน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency (DOGE) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลสหรัฐฯ หน่วยงานนี้มีเป้าหมายในการลดการสูญเสียทรัพยากรและการทุจริตในหน่วยงานรัฐบาล โดยการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย DOGE ได้เปิดเว็บไซต์รับสมัครงานสำหรับตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์และบุคลากรด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ โดยผู้สมัครต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และทำงานเต็มเวลาในสำนักงานที่ Washington, DC ผู้สมัครต้องกรอกข้อมูลติดต่อ อัปโหลดประวัติย่อ และระบุความสามารถพิเศษของตน หน่วยงานนี้จะมีสำนักงานในอาคาร Eisenhower Executive Office Building ภายในทำเนียบขาว และจะมีทีมงาน DOGE อย่างน้อย 4 คนในแต่ละหน่วยงานรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามโปรแกรม หน่วยงานนี้จะทำงานร่วมกับ White House Office of Management and Budget เพื่อระบุการลดค่าใช้จ่ายและเสนอแนะการปรับปรุงภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 การก่อตั้ง DOGE ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของพนักงานรัฐบาลหลายแสนคน โดยกล่าวหาว่า DOGE ละเมิดกฎหมายสหรัฐฯ ที่กำหนดให้มีการตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์และความโปร่งใส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/27/now-hiring-elon-musks-department-of-government-efficiency-sets-up-job-site
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Now hiring: Elon Musk’s Department of Government Efficiency sets up job site
    Elon Musk’s Department of Government Efficiency has set up a new job site to recruit full-time, salaried positions for software engineers and other tech staffers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังผลักดันแผนการระดับโลกเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานและผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต

    Kent Walker ประธานฝ่ายกิจการทั่วโลกของ Alphabet กล่าวว่า การทำให้ผู้คนและองค์กร รวมถึงรัฐบาล คุ้นเคยกับ AI และการใช้เครื่องมือ AI จะช่วยให้เกิดนโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ Google กำลังแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ เช่น Microsoft-backed OpenAI และ Meta ในด้าน AI และต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลในธุรกิจโฆษณาและการค้นหา

    ในสหภาพยุโรป Google ได้เสนอขายส่วนหนึ่งของธุรกิจโฆษณาเพื่อเอาใจหน่วยงานกำกับดูแล ในสหรัฐอเมริกา กระทรวงยุติธรรมกำลังพยายามบังคับให้แยกธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome ออกเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกกำลังร่างกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจาก AI เช่น ลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว.

    Google ได้ประกาศลงทุน 120 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อสร้างโปรแกรมการศึกษา AI และกำลังขยายโปรแกรม Grow with Google ซึ่งเป็นโปรแกรมออนไลน์และในสถานที่ที่ให้เครื่องมือการฝึกอบรมสำหรับธุรกิจและสอนทักษะต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการสนับสนุนด้านไอที โปรแกรมนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสในการทำงานในสาขาเทคนิค

    ในระยะยาว Walker คาดว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในงานส่วนใหญ่ในบางรูปแบบ และ Google กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยการจ้างนักเศรษฐศาสตร์ David Autor เป็นนักวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่อแรงงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/google-pushes-global-agenda-to-educate-workers-lawmakers-on-ai
    Google กำลังผลักดันแผนการระดับโลกเพื่อให้ความรู้แก่พนักงานและผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจและการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนานโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต Kent Walker ประธานฝ่ายกิจการทั่วโลกของ Alphabet กล่าวว่า การทำให้ผู้คนและองค์กร รวมถึงรัฐบาล คุ้นเคยกับ AI และการใช้เครื่องมือ AI จะช่วยให้เกิดนโยบาย AI ที่ดีขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ Google กำลังแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ เช่น Microsoft-backed OpenAI และ Meta ในด้าน AI และต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลในธุรกิจโฆษณาและการค้นหา ในสหภาพยุโรป Google ได้เสนอขายส่วนหนึ่งของธุรกิจโฆษณาเพื่อเอาใจหน่วยงานกำกับดูแล ในสหรัฐอเมริกา กระทรวงยุติธรรมกำลังพยายามบังคับให้แยกธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome ออกเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกกำลังร่างกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจาก AI เช่น ลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว. Google ได้ประกาศลงทุน 120 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายนเพื่อสร้างโปรแกรมการศึกษา AI และกำลังขยายโปรแกรม Grow with Google ซึ่งเป็นโปรแกรมออนไลน์และในสถานที่ที่ให้เครื่องมือการฝึกอบรมสำหรับธุรกิจและสอนทักษะต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการสนับสนุนด้านไอที โปรแกรมนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสในการทำงานในสาขาเทคนิค ในระยะยาว Walker คาดว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในงานส่วนใหญ่ในบางรูปแบบ และ Google กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยการจ้างนักเศรษฐศาสตร์ David Autor เป็นนักวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่อแรงงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/google-pushes-global-agenda-to-educate-workers-lawmakers-on-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Google pushes global agenda to educate workers, lawmakers on AI
    SAN FRANCISCO -Alphabet’s Google, already facing an unprecedented regulatory onslaught, is looking to shape public perception and policies on artificial intelligence ahead of a global wave of AI regulation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงความเสี่ยงที่งานของคุณอาจถูกแทนที่ด้วย AI และสิ่งที่คุณควรทำก่อนที่จะสายเกินไป โดยมีการอ้างอิงถึงรายงานจาก World Economic Forum ที่คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของงานและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานในอีกห้าปีข้างหน้า รายงานนี้ระบุว่า AI จะสร้างงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง และทำให้งาน 92 ล้านตำแหน่งหายไป นอกจากนี้ยังมีการเน้นถึงความสำคัญของทักษะใหม่ ๆ เช่น AI, Big Data, และ Cybersecurity

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงทักษะที่สำคัญในอนาคต เช่น ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต รายงานยังระบุว่า 59% ของแรงงานทั่วโลกจะต้องได้รับการฝึกอบรมใหม่ภายในปี 2030 และ 85% ของนายจ้างจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ

    ในส่วนของโอกาสใหญ่ที่ทุกคนอาจมองข้าม ผู้เขียนเชื่อว่าทักษะการสื่อสารจะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในอนาคต เนื่องจากการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

    https://www.zdnet.com/article/could-your-job-be-at-risk-due-to-ai-do-this-before-its-too-late/
    ข่าวนี้พูดถึงความเสี่ยงที่งานของคุณอาจถูกแทนที่ด้วย AI และสิ่งที่คุณควรทำก่อนที่จะสายเกินไป โดยมีการอ้างอิงถึงรายงานจาก World Economic Forum ที่คาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของงานและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานในอีกห้าปีข้างหน้า รายงานนี้ระบุว่า AI จะสร้างงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง และทำให้งาน 92 ล้านตำแหน่งหายไป นอกจากนี้ยังมีการเน้นถึงความสำคัญของทักษะใหม่ ๆ เช่น AI, Big Data, และ Cybersecurity นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงทักษะที่สำคัญในอนาคต เช่น ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต รายงานยังระบุว่า 59% ของแรงงานทั่วโลกจะต้องได้รับการฝึกอบรมใหม่ภายในปี 2030 และ 85% ของนายจ้างจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ในส่วนของโอกาสใหญ่ที่ทุกคนอาจมองข้าม ผู้เขียนเชื่อว่าทักษะการสื่อสารจะเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในอนาคต เนื่องจากการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น https://www.zdnet.com/article/could-your-job-be-at-risk-due-to-ai-do-this-before-its-too-late/
    WWW.ZDNET.COM
    Could your job be at risk due to AI? Do this before it's too late
    I have 78 million reasons why your career depends on what you do today. Here is everything you need to know.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เศรษฐีแนะนำ คนรุ่นใหม่
    ที่ เบื่อชีวิตวนลูป สิ่งซ้ำๆ
    ให้มองว่าที่ทำงานคือ
    "โรงเรียนที่ได้เงิน"
    .
    ถ้าเราเคยเบื่อกับงานประจำ เบื่อชีวิตวนลูป เบื่อสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในทุกวัน การลองเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้ความเบื่อนี้มันดีขึ้นกว่าไหม?
    .
    หนึ่งในคำแนะนำที่ดีที่สุดของ Mark Cuban ที่แนะนำคนรุ่นใหม่คือ “มองงานเป็นโรงเรียน รับเงินเพื่อเรียนรู้”
    .
    Mark Cuban เจ้าของทีม Dallas Mavericks และนักลงทุนชื่อดัง ได้แบ่งปันแนวคิดผ่าน BlueSky โดยเขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่มองการทำงานในแบบที่นักกีฬาอาชีพมอง เป็นฟรีเอเจนต์ที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา
    .
    "คุณจ่ายเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้รับเงินเพื่อเรียนรู้" แม้ว่าเราต้องทำงานให้ดีที่สุด แต่ทุกคนมีอิสระที่จะมองหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ
    .
    ถ้าถามว่าคำแนะนำของเขาเชื่อถือได้ไหม? ก็คิดว่าได้ เพราะเขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายคอมพิวเตอร์ มาสู่การเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน
    .
    เขาพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในวัย 20 ต้น ๆ เขาได้งานที่บริษัทขายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ทั้งที่เรียนวิชาคอมพิวเตอร์มาเพียงวิชาเดียว แทนที่จะย่อท้อ เขากลับทุ่มเทศึกษาคู่มือคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง จนสามารถก่อตั้งบริษัท MicroSolutions และขายได้ในราคา 6 ล้านดอลลาร์ในปี 1990
    .
    “ความสมดุลระหว่างการเรียนรู้และความมั่นคง”
    Patrice Williams Lindo ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ Career Nomad ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า การเป็น "ฟรีเอเจนต์" ไม่ได้หมายถึงการมองหางานใหม่ตลอดเวลา แต่ควรเน้นการสร้างคุณค่าในงานปัจจุบัน พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
    .
    และนี่เป็น 5 วิธีประยุกต์ใช้แนวคิด "รับเงินเพื่อเรียนรู้" ในชีวิตจริง
    .
    1. มองทุกงานเป็นโอกาสเรียนรู้ แม้งานจะไม่ตรงสาย แต่ทักษะที่ได้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต
    2. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ กำหนดสิ่งที่ต้องการพัฒนาในแต่ละเดือน เช่น ทักษะใหม่ หรือความเข้าใจในธุรกิจ
    3. สร้างเครือข่ายอย่างมีคุณภาพ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เพราะอาจเป็นโอกาสในอนาคต
    4. ติดตามการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม รู้ทันเทรนด์และทักษะที่ตลาดต้องการ
    5. ลงทุนกับตัวเอง หาโอกาสพัฒนาทักษะผ่านการอบรม สัมมนา หรือการเรียนออนไลน์
    .
    อย่าลืมว่า…โอกาสอยู่รอบตัว
    ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เหมือนที่ Mark Cuban พูดไว้ "คุณเป็นฟรีเอเจนต์เสมอ"
    .
    มันไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนงานบ่อย ๆ แต่เพื่อเปิดใจรับโอกาสและพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะในที่สุด ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ จะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในการสร้างความสำเร็จในอนาคต
    .
    .
    เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
    ———
    100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
    .
    #Mindset #Business
    #100WEALTH
    #ไปให้ถึง100ล้าน
    .
    อ้างอิง
    https://bit .ly/4jsKppt
    เศรษฐีแนะนำ คนรุ่นใหม่ ที่ เบื่อชีวิตวนลูป สิ่งซ้ำๆ ให้มองว่าที่ทำงานคือ "โรงเรียนที่ได้เงิน" . ถ้าเราเคยเบื่อกับงานประจำ เบื่อชีวิตวนลูป เบื่อสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในทุกวัน การลองเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้ความเบื่อนี้มันดีขึ้นกว่าไหม? . หนึ่งในคำแนะนำที่ดีที่สุดของ Mark Cuban ที่แนะนำคนรุ่นใหม่คือ “มองงานเป็นโรงเรียน รับเงินเพื่อเรียนรู้” . Mark Cuban เจ้าของทีม Dallas Mavericks และนักลงทุนชื่อดัง ได้แบ่งปันแนวคิดผ่าน BlueSky โดยเขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่มองการทำงานในแบบที่นักกีฬาอาชีพมอง เป็นฟรีเอเจนต์ที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา . "คุณจ่ายเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้รับเงินเพื่อเรียนรู้" แม้ว่าเราต้องทำงานให้ดีที่สุด แต่ทุกคนมีอิสระที่จะมองหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ . ถ้าถามว่าคำแนะนำของเขาเชื่อถือได้ไหม? ก็คิดว่าได้ เพราะเขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายคอมพิวเตอร์ มาสู่การเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน . เขาพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในวัย 20 ต้น ๆ เขาได้งานที่บริษัทขายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ทั้งที่เรียนวิชาคอมพิวเตอร์มาเพียงวิชาเดียว แทนที่จะย่อท้อ เขากลับทุ่มเทศึกษาคู่มือคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง จนสามารถก่อตั้งบริษัท MicroSolutions และขายได้ในราคา 6 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 . “ความสมดุลระหว่างการเรียนรู้และความมั่นคง” Patrice Williams Lindo ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ Career Nomad ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า การเป็น "ฟรีเอเจนต์" ไม่ได้หมายถึงการมองหางานใหม่ตลอดเวลา แต่ควรเน้นการสร้างคุณค่าในงานปัจจุบัน พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง . และนี่เป็น 5 วิธีประยุกต์ใช้แนวคิด "รับเงินเพื่อเรียนรู้" ในชีวิตจริง . 1. มองทุกงานเป็นโอกาสเรียนรู้ แม้งานจะไม่ตรงสาย แต่ทักษะที่ได้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต 2. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ กำหนดสิ่งที่ต้องการพัฒนาในแต่ละเดือน เช่น ทักษะใหม่ หรือความเข้าใจในธุรกิจ 3. สร้างเครือข่ายอย่างมีคุณภาพ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เพราะอาจเป็นโอกาสในอนาคต 4. ติดตามการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม รู้ทันเทรนด์และทักษะที่ตลาดต้องการ 5. ลงทุนกับตัวเอง หาโอกาสพัฒนาทักษะผ่านการอบรม สัมมนา หรือการเรียนออนไลน์ . อย่าลืมว่า…โอกาสอยู่รอบตัว ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เหมือนที่ Mark Cuban พูดไว้ "คุณเป็นฟรีเอเจนต์เสมอ" . มันไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนงานบ่อย ๆ แต่เพื่อเปิดใจรับโอกาสและพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะในที่สุด ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ จะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในการสร้างความสำเร็จในอนาคต . . เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH ——— 100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน . #Mindset #Business #100WEALTH #ไปให้ถึง100ล้าน . อ้างอิง https://bit .ly/4jsKppt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง ส่งเงินสมทบ บันได 3 ขั้น สูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2569-2575 เป็นต้นไป เตรียมเข้าขั้นตอน ชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ปี 2569

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 1/2568 หนึ่งในวาระที่น่าสนใจคือการรับทราบ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเห็นชอบหลักการของร่างกฎกระกรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมายต่อไป

    การปรับปรุงเพดานค่าจ้าง เพื่อคำนวณเงินสมทบประกันสังคม จะเป็นรูปแบบบันได 3 ขั้น จากเพดานค่าจ้างสูงสุดเดิม 15,000 บาท เป็น 17,500 บาทในปี 2569-2571 จากนั้นปรับเป็น 20,000 บาทในปี 2572-2574 และสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดรับฟังความเห็นประเด็นดังกล่าวจากภาคส่วนต่าง ๆ และผู้แสดงความเห็นมากกว่า 2 แสนคน ในจำนวนดังกล่าวมีผู้เห็นด้วยในสัดส่วนถึง 95%

    นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดเห็นชอบแล้ว จะส่งกฎกระทรวงเข้าคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ก่อนนำเสนอต่อ รมว.แรงงาน พิจารณา และนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 4-5 เดือนนี้ และจะเริ่มดำเนินการในปี 2569 ซึ่งกฎกระทรวงต้องออกมาก่อนการบังคับใช้ 6 เดือน

    สำหรับสิทธิประโยชน์ จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพดานค่าจ้างที่ปรับขึ้นแบบขั้นบันได ดังนี้

    ปี 2569-2571

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 26,250 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 6,125 บาทต่อเดือน

    ปี 2572-2574

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 7,000 บาทต่อเดือน

    ปี 2575 เป็นต้นไป

    ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน
    เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท)
    เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง
    เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน
    เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท
    เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน
    เงินบำนาญ สูงสุด 8,050 บาทต่อเดือน

    ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
    https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-hr/news-1739962
    บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ ปรับเพดานค่าจ้าง ส่งเงินสมทบ บันได 3 ขั้น สูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2569-2575 เป็นต้นไป เตรียมเข้าขั้นตอน ชง ครม. ก่อนเริ่มใช้ปี 2569 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 1/2568 หนึ่งในวาระที่น่าสนใจคือการรับทราบ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และเห็นชอบหลักการของร่างกฎกระกรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมายต่อไป การปรับปรุงเพดานค่าจ้าง เพื่อคำนวณเงินสมทบประกันสังคม จะเป็นรูปแบบบันได 3 ขั้น จากเพดานค่าจ้างสูงสุดเดิม 15,000 บาท เป็น 17,500 บาทในปี 2569-2571 จากนั้นปรับเป็น 20,000 บาทในปี 2572-2574 และสูงสุด 23,000 บาท ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดรับฟังความเห็นประเด็นดังกล่าวจากภาคส่วนต่าง ๆ และผู้แสดงความเห็นมากกว่า 2 แสนคน ในจำนวนดังกล่าวมีผู้เห็นด้วยในสัดส่วนถึง 95% นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดเห็นชอบแล้ว จะส่งกฎกระทรวงเข้าคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงแรงงาน ก่อนนำเสนอต่อ รมว.แรงงาน พิจารณา และนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 4-5 เดือนนี้ และจะเริ่มดำเนินการในปี 2569 ซึ่งกฎกระทรวงต้องออกมาก่อนการบังคับใช้ 6 เดือน สำหรับสิทธิประโยชน์ จะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับเพดานค่าจ้างที่ปรับขึ้นแบบขั้นบันได ดังนี้ ปี 2569-2571 ส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 8,750 บาทต่อเดือน (291 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 52,500 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 26,250 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 8,750 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 105,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 8,750 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 6,125 บาทต่อเดือน ปี 2572-2574 ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 10,000 บาทต่อเดือน (333 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 60,000 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 30,000 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 10,000 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 120,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 10,000 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 7,000 บาทต่อเดือน ปี 2575 เป็นต้นไป ส่งเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย 11,500 บาทต่อเดือน (383 บาทต่อวัน สูงสุด 180 วัน รวม 69,000 บาท) เงินสงเคราะห์คลอดบุตร 34,500 บาทต่อครั้ง เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ 11,500 บาทต่อเดือน เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 138,000 บาท เงินทดแทนกรณีว่างงาน 11,500 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ สูงสุด 8,050 บาทต่อเดือน ที่มา ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-hr/news-1739962
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐ
    ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่
    ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา

    Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้)

    เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก)
    *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่

    ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า

    ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก
    ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว

    น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ

    อัตราผลตอบแทน
    ...................................
    วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน
    .........................................................
    จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ.
    ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก

    1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo)
    2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย
    3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม
    4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน
    5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ
    การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม

    PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2%
    ................................
    ไทย
    คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้
    สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566)
    - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่,
    เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป
    #เศรษฐกิจ

    สหรัฐ ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่ ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้) เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก) *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่ ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ อัตราผลตอบแทน ................................... วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน ......................................................... จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ. ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก 1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo) 2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย 3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม 4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน 5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2% ................................ ไทย คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566) - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น"

    ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์ 

    ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute" 
    แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว"

    ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ

    มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม

    มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย

    แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  

    ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง

    เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online  

    1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง

    2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน 

    3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" 

    4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ

    สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า

    1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า

    2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม

    3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด

    4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ

    5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่

    6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม

    แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก" 

    "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น" 

    "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ

    ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว

    ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan
    https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    ทัศนะนักวิเคราะห์ชาวจีนมองการเมืองอเมริกัน "ยุคของทรัมป์จะทำให้อเมริกาคล้ายจีนมากขึ้น" ก่อนอื่นเมื่อคืนนี้ อีลอน มัสก์ ทำเอาทั้งซ้ายและไม่ซ้ายสะดุ้งกันไปหมด เพราะขณะที่กำลังปราศรัยเขาก็ตบหน้าอกแล้วชูมือขึ้นทำท่าเหมือนการทักทาย (และแสดงพลัง) ของพวกฟาสซิสต์  ผมเห็นท่านี้พร้อมกับคำที่เขาพูดว่า “My heart goes out to you,”  แล้วตบหน้าอกจากนั้นเหมือนเขวี้ยงหัวใจไปให้ผู้ฟัง ถ้าหยวนๆ หน่อยก็คิดว่าเขาแค่โยนหัวใจปันให้แฟนๆ บางคนก็บอกว่า "นี่มันแค่ Roman salute"  แต่ถ้าไม่หยวนกับมัสก์ก็อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันขวาจัดกันไปใหญ่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไรที่มัสก์สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่กำลังสนับสนุนในยุโรปด้วย เช่น มัสก์ประกาศจะหนุนทุนให้กับพรรค Reform UK ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของสหราชอาณาจักร ต่อต้านผู้อพยพ และสนับสนุนชาตินิยมอังกฤษ มัสก์ ยังสนับสนุนพรรคขวาจัดในเยอรมนีโดยเขียนไว้ใน X ว่า "Only AfD can save Germany" - AfD คือชื่อย่อของพรรค "ทางเลือกเพื่อเยอรมนี" (Alternative für Deutschland) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ต่อต้านคนต่างด้าว ต่อต้านผู้อพยพ สนับสนุนค่านิยมคริสเตียนและไม่เอาชาวมุสลิม มัสก์และทีมทรัมป์กำลังฟอร์มแนวร่วมพลังขวาในโลกตะวันตก แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เล่นๆ เพราะทรัมป์มีอำนาจและมัสก์มีเงินและเครือข่าย แนวโน้มที่โลกตะวันตกกำลังจะขวาจัดๆ ฝ่ายจีนก็มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากเลือกตั้งผมได้เขียนสรุปทัศนะของ "ทู่จู่ซี" (兔主席) ซึ่งเป็นนามปากกาของ "เริ่นอี้" (任意) นักเขียนคอลัมน์การเมืองชาวจีนที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียจีน เขาถือเป็นกลุ่ม "หงซานไต้" (红三代) หรือลูกหลานรุ่นที่ 3 ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นหลานชายของ เริ่นจ้งอี๋ (任仲夷) อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและอดีตเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมการมณฑลกวางตุ้งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน   ในด้านความรู้ทางการเมืองตะวันตก เขาได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ เอซรา ไฟเวล วอเกล (Ezra Feivel Vogel) นักจีนวิทยาชาวอเมริกัน และศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยวิจัยเกี่ยวกับ "ยุคปฏิรูปของจีน" และช่วยเขาค้นคว้าเรื่อง "ยุคเติ้งเสี่ยวผิง" ต่อมาเขาได้รับปริญญาโทจากวิทยาลัยยการเมืองเคนเนดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำงานที่ศูนย์แฟร์แบงก์เพื่อการศึกษาเอเชียตะวันออก หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนของจีนในปักกิ่ง เขาเขียนทัศนะด้านการเมืองเผยแพร่เป็นบทความในสื่อต่างๆ ของจีน รวมถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ความคิดเห็นของเขามักถูกอ้างอิงโดยสื่อกระแสหลัก และ เขาอ้างว่าบทความบางบทความของเขาถูกใช้เป็น "ข้อมูลอ้างอิงภายใน" สำหรับเจ้าหน้าที่จีน โดยที่บทความของเขาในปี 2020 เรื่อง "ไม่ใช่รัฐบาลจีนที่ปลุกชาตินิยมจีน แต่เป็นนักการเมืองอเมริกัน" ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำโดย People's Daily Online   1. "ทู่จู่ซี" มองว่า ชัยชนะของทรัมป์เหนือพรรคเดโมแครต คือ "ชัยชนะของการปฏิวัติระดับรากหญ้า" เขาชี้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายทรัมป์และฝ่ายแฮร์ริส โดยพื้นฐานแล้ว เป็นการเผชิญหน้าระหว่างคนระดับรากหญ้าและประชาชนคนสามัญของสหรัฐฯ กับกลุ่มผู้ปกครองชั้นนำของสหรัฐฯ และมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งทัศนะนี้ของ "ทู่จู่ซี" คล้ายกับความเห็นของชาวอเมริกันบางคนที่ตำหนิว่าพรรคเดโมแครตทรยศฐานเสียงของตัวเองที่แต่เดิมเป็นพวกคนรากหญ้าและแรงงาน แต่หันมาเน้นเรื่องการเมืองชิงอัตลักษณ์ คือแนวคิดเรื่อง Woke และยังสนองวาระของกลุ่มชนชั้นนำด้วยการสนับสนุนสงครามในยูเครนและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้พรรครีพับลิกันหันมาจับกลุ่มรากหญ้าแทนจนประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายตะวันออกกลาง 2. "ทู่จู่ซี" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และกระบวนการนั้นได้เสร็จสิ้นงแล้ว ซึ่งพรรครีพับลิกันได้กลายเป็นพรรคที่มีชนชั้นกลางและชั้นล่างเป็นรากฐานหลัก และผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรครีพับลิกันได้รวมเอาคนผิวสี ละติน และคนหนุ่มสาวเข้ามาด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันไม่ใช่ตัวแทนของนายทุนใหญ่ นักอุตสาหกรรมใหญ่ นักการเงินใหญ่ และชนชั้นกระฎุมพี" อีกต่อไป แต่กลายเป็นพรรคของคนอเมริกันคนเดินดิน  3. "ทู่จู่ซี" ชี้ว่าทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่พรรครีพับลิกันยังชนะการเลือกตั้งวุฒิสภา และคาดว่าจะรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในเวลาเดียวกัน "ในศาลฎีกา พรรครีพับลิกัน/อนุรักษ์นิยมมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนถึง 6:3 (รวมถึงผู้พิพากษาสามคนที่ทรัมป์คัดเลือกด้วยตัวเอง) ทั้งสามอำนาจรวมกันเป็นหนึ่ง และควรเห็นว่าพรรครีพับลิกันในปัจจุบันไม่ใช่พรรครีพับลิกันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรครีพับลิกันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แต่เป็นพรรคของทรัมป์เท่านั้น ชื่อที่เหมาะสมกว่าคือ พรรคทรัมป์ การรวมอำนาจและอิทธิพลนี้คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ทรัมป์อาจเป็นประธานาธิบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา"  4. แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีที่ทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศ แต่การเมืองของอเมริกาก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสังคมก็แตกแยกกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ยุคมืดแล้ว" ประชากรครึ่งหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองอันธพาลที่มีนิสัยเลวร้ายอย่างยิ่ง เช่น ฮิตเลอร์ ฟาสซิสต์ และนาซี ได้ขึ้นมามีอำนาจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ประชาชนรู้เกี่ยวกับระบบของอเมริกาภายในสี่ปีข้างหน้า และนำประเทศไปในทิศทางอื่น พวกเขาสับสนและสิ้นหวังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ สังคมการเมืองอเมริกันหลังการกลับเข้ามามีอำนาจของทรัมป์จะทำให้เกิดค่านิยมใหม่ "ทู่จู่ซี"  มองว่า 1) ในแง่ของรัฐบาล ประการแรกคือการเสริมอำนาจของประธานาธิบดี/ฝ่ายบริหารอย่างมาก โดยประธานาธิบดีเป็นผู้นำศูนย์กลางทางการเมือง แผ่ขยายไปยังฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ เพิ่มความเผด็จการ เพิ่มความเข้มข้นของการตัดสินใจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของรัฐบาล และลบขั้นตอนราชการที่ไม่จำเป็นออกจากระบบเก่า 2) ในแง่นโยบายเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ จะมุ่งที่ ระบบตลาดนิยม" นั่นคือการมีรัฐบาลขนาดเล็กเพื่อลดการแทรกแซงตลาด ลดภาษีให้ต่ำลง ลดกฎระเบียบในตลาดให้น้อยลง ใช้แรงผลักดันของตลาดเพื่อดึงดูดเงินทุนไหลกลับ เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันกลับมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อการลงทุนและการก่อสร้างเพิ่มเติม 3) ในแง่วัฒนธรรมในประเทศ จะส่งเสริมและพัฒนาความเป็นชาตินิยม ความรักชาติ และชาตินิยมของอเมริกาอย่างเข้มแข็ง อยางที่ เจดี แวนซ์ (JD Vance) ว่าที่รองประธานาธิบดีบอกว่า สหรัฐอเมริกาเป็น "ชาติ" สร้างสถานะทางวัฒนธรรมที่คนผิวขาว และต่อต้านเสรีนิยม/พวกหัวก้าวหน้า/Woke รัฐบาลใหม่จะมีอิทธิพลและกำหนดรูปแบบสังคมอเมริกันผ่านคำสั่งของศาลฎีกา การตรากฎหมาย คำสั่งของรัฐบาล สุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางความคิด 4) ในแง่เศรษฐกิจต่างประเทศ ระบอบทรัมป์จะต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านกรอบแนวคิดเสรีนิยมใหม่ ยกระดับการใช้เครื่องมือภาษีศุลกากรเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศอย่างครอบคลุม เพื่อกดดันและจูงใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของสหรัฐฯ 5) ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ในยุคนี้จะ "ลัทธิโดดเดี่ยว" และ "ลัทธิไม่แทรกแซง" นั่นคือสหรัฐฯ จะหันมาสนใจเรื่องของตัวเองมากกขึ้นและไม่แทรกแซงกิจการต่างประเทศมากเท่าเดิม ลดการลงทุนในภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (เช่น อันฉีดงบประมาณด้านสงคราม) ลดการใช้เงินไปกับการรักษาระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และประเมินความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรใหม่ 6) ในการบรรลุเป้าหมายข้างต้น รัฐบาลทรัมป์จะได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญของเขาในการสร้างกลุ่มอำนาจ "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" ซึ่งต่างจากกลุ่มซิลิคอนวัลเลย์ที่สนับสนุนเสรีนิยม "ซิลิคอนวัลเลย์ใหม่" จะเป็นการก่อตัวของพันธมิตรทางการเมืองใหม่ด้านเทคโนโลยี-อำนาจนิยม-อนุรักษ์นิยม แง่มุมสุดท้ายมีความน่าสนใจอยางยิ่ง เพราะจะเป็นการก่อตัวใหม่ของกลุ่มอำนาจใหม่ด้านการเมืองและธุรกิจเทค "ทู่จู่ซี" แสดงทัศนะว่า "ค่านิยมของชาวอเมริกันรุ่นใหม่ในประเด็นเศรษฐกิจนั้น “เอียงซ้าย” เชื่อในลัทธิก้าวหน้า เห็นอกเห็นใจลัทธิสังคมนิยม และไม่ต่อต้านลัทธิสังคมนิยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแง่ของค่านิยมทางเศรษฐกิจ พวกเขาจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) ในอนาคตมากขึ้น การที่ทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะบอก"  "แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์เป็นพรรคการเมืองระดับรากหญ้า เป็นพรรคการเมืองประชานิยม และให้ความสำคัญกับการจ้างงานและการอยู่รอดของคนธรรมดาสามัญ ดังนั้น พรรคทรัมป์จึงสามารถรวมนโยบายเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายได้ ในทางกลับกัน พันธมิตรทางการเมืองแบบเทคโน-เผด็จการ-อนุรักษ์นิยมของทรัมป์ (และมัสก์) จะนำลัทธิเผด็จการ การปกครองแบบเผด็จการ และความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งมาสู่วัฒนธรรมการเมืองของอเมริกา ซึ่งจะคล้ายคลึงกับแนวทางของเอเชียตะวันออกมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่อเมริกาในอนาคตจะคล้ายคลึงกับเรา (จีน) มากขึ้น"  "ทู่จู่ซี" กล่าวไว้แบบนี้ และบทความนี้ได้รับความนิยมในจีนค่อนข้างมากในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่ๆ ส่วนตัวผมค่อนข้างเห็นด้วยกับ "ทู่จู่ซี" และตามแนวโน้มความเป็นขวาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการเมืองสหรัฐฯ และยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว ที่มา เฟซบุ๊ก Kornkit Disthan https://www.facebook.com/share/p/149JGAqSR9/?
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายจ้างสวนกลับ 'ทักษิณ' ขึ้นค่าแรงใจไม่แคบ แต่ภาครัฐไร้เยียวยา
    .
    การปราศรัยหาเสียงของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดในเรื่องใดก็ล้วนแต่เป็นประเด็นแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องประเด็นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดหนองคายได้พูดถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงตอนหนึ่งว่า “ค่าแรงขอขึ้นไปแล้ว แต่มีคนขวางอยู่ คนพวกนี้ไม่รู้หัวใจทำด้วยอะไร ชอบจ้างคนค่าแรงถูก นายจ้างเฮงซวย แบบนี้ไม่น่ารัก นายจ้างต้องใจกว้างกับลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้ทุ่มเททำงาน” ซึ่งจากประเด็นนี้เองทำให้ฝ่ายเอกชนออกมาตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ
    .
    นายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (บอร์ดค่าจ้าง) ฝ่ายนายจ้าง อธิบายว่า ฝ่ายนายจ้างไม่ได้ขัดขวางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่อย่างใด แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในบางอาชีพหรือบางกิจการนั้น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
    .
    “ไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายนายจ้างใจกว้าง หรือใจแคบ ถ้าหากพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ตัวเลขอาจจะไม่ถึง 400 บาทอยู่แล้ว แต่เราก็ยังให้มีการปรับขึ้นถึง 400 บาทไปในหลายๆจังหวัด แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ใจแคบอยู่อีกหรือ ทางฝ่ายนายจ้างก็ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำมาโดยตลอดทุกปี ไม่เคยไม่ให้ปรับ แต่ว่าต้องปรับตามเกณฑ์และสูตรที่กฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการปรับตามอำเภอใจ” นายอรรถยุทธ กล่าว
    .
    นายอรรถยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของมาตรการที่ช่วยเหลือนายจ้างสถานประกอบการ จะต้องทวงถามไปถึงฝ่ายรัฐบาล แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นรายละเอียดมาตรการการช่วยเหลือนายจ้างออกมา โดยนายจ้างที่อยู่ในจังหวัดที่มีกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง
    .
    นางสาวศุภานัน ปลอดเหตุ กรรมการค่าจ้าง ฝ่ายนายจ้าง ยืนยันว่า ฝ่ายนายจ้างได้มองถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการประชุมพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง มีหน่วยงานหลายส่วนหารือกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นการพิจารณาข้อมูลตัวเลขตามความเหมาะสมและตามกฎหมาย
    .
    “ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้น เราทำเพื่อลูกจ้างและประเทศชาติให้อยู่ได้ ไม่ได้ทำเพื่อนายจ้างฝ่ายเดียว ยังยืนยันว่าฝ่ายนายจ้างไม่ได้มีการขัดขวางแต่อย่างใด ทุกคนสนับสนุนให้ปรับตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นจริง ไม่ใช่ปรับค่าจ้างให้ตัวเลขสูง ลูกจ้างอยู่ได้ชั่วคราว นายจ้างอาจจะต้องปรับตัวหาวิธีการจ้างงานแบบใหม่ๆ หรืออาจจะไม่ใช้กำลังคนเป็นแรงงาน แล้วแรงงานจะอยู่อย่างไร” นางสาวศุภานัน กล่าว
    ..............
    Sondhi X
    นายจ้างสวนกลับ 'ทักษิณ' ขึ้นค่าแรงใจไม่แคบ แต่ภาครัฐไร้เยียวยา . การปราศรัยหาเสียงของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพูดในเรื่องใดก็ล้วนแต่เป็นประเด็นแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องประเด็นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นจังหวัดหนองคายได้พูดถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงตอนหนึ่งว่า “ค่าแรงขอขึ้นไปแล้ว แต่มีคนขวางอยู่ คนพวกนี้ไม่รู้หัวใจทำด้วยอะไร ชอบจ้างคนค่าแรงถูก นายจ้างเฮงซวย แบบนี้ไม่น่ารัก นายจ้างต้องใจกว้างกับลูกจ้าง ลูกจ้างจะได้ทุ่มเททำงาน” ซึ่งจากประเด็นนี้เองทำให้ฝ่ายเอกชนออกมาตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ . นายอรรถยุทธ ลียะวณิช กรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (บอร์ดค่าจ้าง) ฝ่ายนายจ้าง อธิบายว่า ฝ่ายนายจ้างไม่ได้ขัดขวางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่อย่างใด แต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในบางอาชีพหรือบางกิจการนั้น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม และหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด . “ไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายนายจ้างใจกว้าง หรือใจแคบ ถ้าหากพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย ตัวเลขอาจจะไม่ถึง 400 บาทอยู่แล้ว แต่เราก็ยังให้มีการปรับขึ้นถึง 400 บาทไปในหลายๆจังหวัด แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า ใจแคบอยู่อีกหรือ ทางฝ่ายนายจ้างก็ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำมาโดยตลอดทุกปี ไม่เคยไม่ให้ปรับ แต่ว่าต้องปรับตามเกณฑ์และสูตรที่กฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการปรับตามอำเภอใจ” นายอรรถยุทธ กล่าว . นายอรรถยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของมาตรการที่ช่วยเหลือนายจ้างสถานประกอบการ จะต้องทวงถามไปถึงฝ่ายรัฐบาล แต่เบื้องต้นยังไม่เห็นรายละเอียดมาตรการการช่วยเหลือนายจ้างออกมา โดยนายจ้างที่อยู่ในจังหวัดที่มีกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง . นางสาวศุภานัน ปลอดเหตุ กรรมการค่าจ้าง ฝ่ายนายจ้าง ยืนยันว่า ฝ่ายนายจ้างได้มองถึงภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการประชุมพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง มีหน่วยงานหลายส่วนหารือกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นการพิจารณาข้อมูลตัวเลขตามความเหมาะสมและตามกฎหมาย . “ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง ณ ขณะนั้น เราทำเพื่อลูกจ้างและประเทศชาติให้อยู่ได้ ไม่ได้ทำเพื่อนายจ้างฝ่ายเดียว ยังยืนยันว่าฝ่ายนายจ้างไม่ได้มีการขัดขวางแต่อย่างใด ทุกคนสนับสนุนให้ปรับตามสภาพเศรษฐกิจที่เป็นจริง ไม่ใช่ปรับค่าจ้างให้ตัวเลขสูง ลูกจ้างอยู่ได้ชั่วคราว นายจ้างอาจจะต้องปรับตัวหาวิธีการจ้างงานแบบใหม่ๆ หรืออาจจะไม่ใช้กำลังคนเป็นแรงงาน แล้วแรงงานจะอยู่อย่างไร” นางสาวศุภานัน กล่าว .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 954 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌟 20 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นใน 1 เดือน 🌟
    พัฒนาตัวเองไปทีละก้าว ให้ชีวิตดีกว่าเดิม! 💪✨
    1. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ..จงยึดมั่น..ต่อเป้าหมายนั้น ไม่ใช่ยึดติดกับบุคคล หรือ สิ่งของ..

    2. คนสำเร็จในโลกนี้ล้วนแตกต่าง แต่สิ่งนึงที่เหมือนกัน คือ เขาเหล่านั้น มีนิสัย รักการอ่าน...
    3. จัดระเบียบชีวิต ให้ถูก นับ 1234 ให้เป็น..อะไรก่อนหลัง..เรียงให้ถูก ประหยัดเวลา ทั้งตนเอง และผู้อื่นที่มีเรื่องราวร่วมกัน
    .4. ตื่นเช้า..นกที่ตื่นก่อน ก็จะเจอหนอนก่อน..โอกาสดีๆ อาจจะมาเมื่อไรก็ได้..แบะเราต้องพร้อม.
    .5.ถ้าสวดมนต์นั่งสมาธิได้ จะดีมาก. มันทำให้เรามีความ นิ่ง ..เป็นการฝึกจิต
    .6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย เดิน เอาตามสุขภาพ และอายุ..
    .7.จงเป็นผู้ฟังที่ดี ..มีส่วนร่วมในเรื่องราวของผู้อื่น..ไอ้แบบที่ ใครคุยอะไรไม่รู้ .และไม่สน.กูจะพูดในส่วนของกู เรื่องราวของกู..แบบนั้นคือ เข้าสังคมไม่เป็น.
    .8. พัฒนาทักษะเฉพาะทาง ..อาจไม่ต้องเป็นสิ่งใหม่..แต่ต้องเป็น spacialist ในทางนั้น..เลือกเอาจากความชอบส่วนตัว และดูความค้องการของตลาดแรงงานประกอบไปด้วย.
    .9.เลิกผัดวันประกันพรุ่ง คำว่า แปป เดี๋ยว เปลี่ยนเป็น now ถ้าไม่ได้ ระบุไปเลย 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 โมง 5 โมง ว่าไป..คำว่า แปป พวกละอ่อนเขาใช้กัน
    .10. ดื่มน้ำมากๆ คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย.
    .
    .11.ตั้งเวลาพักผ่อน เช่น อ่านหนังสือ เล่นโซเชี่ยล นอนอย่าเกิน 22.30น. เพราะเวลานี้น คือ ข่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดี่ที่สุด.
    .
    12. อ่านหรือฟังแรงบันดาลใจ จากสิ่งที่เราเลือก แต่ต้องคัดกรอง ประเภทตัวจริง..เพราะของปลอมในสื่อต่างๆ มันมีมาก
    .
    13 ชื่นชมธรรมชาติบ้าง ..สีเขียวๆ เดินเหยียบสนามหญ้า บ้าง.
    .
    14 ให้ความสำคัญกับคนสำคัญ อย่างทั่วถึง. คำว่า ไม่มีเวลา ไม่มีจริง เป็นแค่คำอ้าง ของความไม่สำคัญ
    .15. ยอมรับและปล่อยวางสิ่งที่ติดค้างใจ..อาจไม่ต้องอภัย เพราะมันจะโลกสวยเกินไป..เอาแค่ ทดเอาไว้ก่อน..เมื่ออะไรผ่านไป .ค่อยกลับมาคิด.ว่า ทิ้ง..หรือ อะไร ..แค่มันต้องเป็นเรื่อง รองๆ ไปเยอะเลย
    .
    16. เรียนรู้จากคนสำเร็จ อ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จ เอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่สำเร็จ จากการกระทำจริง
    .
    ลองทำตาม ถ้าคุณมีวินัยมากพอ ชีวิตอาจเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยคิด..ทัศนคติ และ วินัย ..เมื้อคุณสร้างมัน..มันก็จะกลับมาสร้างคุณ.. 🧧 Kriz
    🌟 20 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นใน 1 เดือน 🌟 พัฒนาตัวเองไปทีละก้าว ให้ชีวิตดีกว่าเดิม! 💪✨ 1. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ..จงยึดมั่น..ต่อเป้าหมายนั้น ไม่ใช่ยึดติดกับบุคคล หรือ สิ่งของ.. 2. คนสำเร็จในโลกนี้ล้วนแตกต่าง แต่สิ่งนึงที่เหมือนกัน คือ เขาเหล่านั้น มีนิสัย รักการอ่าน... 3. จัดระเบียบชีวิต ให้ถูก นับ 1234 ให้เป็น..อะไรก่อนหลัง..เรียงให้ถูก ประหยัดเวลา ทั้งตนเอง และผู้อื่นที่มีเรื่องราวร่วมกัน .4. ตื่นเช้า..นกที่ตื่นก่อน ก็จะเจอหนอนก่อน..โอกาสดีๆ อาจจะมาเมื่อไรก็ได้..แบะเราต้องพร้อม. .5.ถ้าสวดมนต์นั่งสมาธิได้ จะดีมาก. มันทำให้เรามีความ นิ่ง ..เป็นการฝึกจิต .6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย เดิน เอาตามสุขภาพ และอายุ.. .7.จงเป็นผู้ฟังที่ดี ..มีส่วนร่วมในเรื่องราวของผู้อื่น..ไอ้แบบที่ ใครคุยอะไรไม่รู้ .และไม่สน.กูจะพูดในส่วนของกู เรื่องราวของกู..แบบนั้นคือ เข้าสังคมไม่เป็น. .8. พัฒนาทักษะเฉพาะทาง ..อาจไม่ต้องเป็นสิ่งใหม่..แต่ต้องเป็น spacialist ในทางนั้น..เลือกเอาจากความชอบส่วนตัว และดูความค้องการของตลาดแรงงานประกอบไปด้วย. .9.เลิกผัดวันประกันพรุ่ง คำว่า แปป เดี๋ยว เปลี่ยนเป็น now ถ้าไม่ได้ ระบุไปเลย 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 โมง 5 โมง ว่าไป..คำว่า แปป พวกละอ่อนเขาใช้กัน .10. ดื่มน้ำมากๆ คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย. . .11.ตั้งเวลาพักผ่อน เช่น อ่านหนังสือ เล่นโซเชี่ยล นอนอย่าเกิน 22.30น. เพราะเวลานี้น คือ ข่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดี่ที่สุด. . 12. อ่านหรือฟังแรงบันดาลใจ จากสิ่งที่เราเลือก แต่ต้องคัดกรอง ประเภทตัวจริง..เพราะของปลอมในสื่อต่างๆ มันมีมาก . 13 ชื่นชมธรรมชาติบ้าง ..สีเขียวๆ เดินเหยียบสนามหญ้า บ้าง. . 14 ให้ความสำคัญกับคนสำคัญ อย่างทั่วถึง. คำว่า ไม่มีเวลา ไม่มีจริง เป็นแค่คำอ้าง ของความไม่สำคัญ .15. ยอมรับและปล่อยวางสิ่งที่ติดค้างใจ..อาจไม่ต้องอภัย เพราะมันจะโลกสวยเกินไป..เอาแค่ ทดเอาไว้ก่อน..เมื่ออะไรผ่านไป .ค่อยกลับมาคิด.ว่า ทิ้ง..หรือ อะไร ..แค่มันต้องเป็นเรื่อง รองๆ ไปเยอะเลย . 16. เรียนรู้จากคนสำเร็จ อ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จ เอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่สำเร็จ จากการกระทำจริง . ลองทำตาม ถ้าคุณมีวินัยมากพอ ชีวิตอาจเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยคิด..ทัศนคติ และ วินัย ..เมื้อคุณสร้างมัน..มันก็จะกลับมาสร้างคุณ.. 🧧 Kriz
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาษีศุลกากรเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ กำหนดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศนั้น จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด! แม้ว่าภาษีศุลกากรจะมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับแตกต่างออกไป

    บริษัทจีนหลายแห่งไม่ได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาด แต่กลับปรับตัวโดยการตั้งโรงงานผลิตในประเทศที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งจากจีนตะวันออกที่ขายสายเคเบิลทองแดงและไฟเบอร์ออปติกสำหรับศูนย์ข้อมูล มีโรงงานสองแห่ง หนึ่งในจีนและอีกหนึ่งในไทย โรงงานในไทยถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะ เนื่องจากภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่มาจากจีนอยู่ที่ประมาณ 20% แต่ถ้ามาจากไทยจะเป็น 0%

    แม้ว่าราคาสินค้าจากไทยจะสูงกว่าจีนเล็กน้อยเนื่องจากต้องนำเข้าวัตถุดิบจากจีน แต่ก็ยังคุ้มค่ากว่าการจ่ายภาษีศุลกากร 20% นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ตั้งโรงงานในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของบริษัทจีน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทย แต่ไม่ได้สร้างงานในสหรัฐฯ อย่างที่คาดหวัง จีนได้เตรียมตัวรับมือกับภาษีศุลกากรใหม่ๆ มานานถึงสี่ปี และดูเหมือนว่าพวกเขาจะพร้อมรับมือกับมันได้อย่างดี

    https://www.techspot.com/news/106413-tech-tariffs-waste-time.html
    ภาษีศุลกากรเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ กำหนดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศนั้น จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด! แม้ว่าภาษีศุลกากรจะมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับแตกต่างออกไป บริษัทจีนหลายแห่งไม่ได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาด แต่กลับปรับตัวโดยการตั้งโรงงานผลิตในประเทศที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งจากจีนตะวันออกที่ขายสายเคเบิลทองแดงและไฟเบอร์ออปติกสำหรับศูนย์ข้อมูล มีโรงงานสองแห่ง หนึ่งในจีนและอีกหนึ่งในไทย โรงงานในไทยถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะ เนื่องจากภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่มาจากจีนอยู่ที่ประมาณ 20% แต่ถ้ามาจากไทยจะเป็น 0% แม้ว่าราคาสินค้าจากไทยจะสูงกว่าจีนเล็กน้อยเนื่องจากต้องนำเข้าวัตถุดิบจากจีน แต่ก็ยังคุ้มค่ากว่าการจ่ายภาษีศุลกากร 20% นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ตั้งโรงงานในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของบริษัทจีน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทย แต่ไม่ได้สร้างงานในสหรัฐฯ อย่างที่คาดหวัง จีนได้เตรียมตัวรับมือกับภาษีศุลกากรใหม่ๆ มานานถึงสี่ปี และดูเหมือนว่าพวกเขาจะพร้อมรับมือกับมันได้อย่างดี https://www.techspot.com/news/106413-tech-tariffs-waste-time.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Are tech tariffs a waste of time?
    At CES 2025, we met a company from Eastern China that sells copper and fiber optic cables for data centers. This is almost a commodity business. There...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19/1/68

    ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า

    เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว

    ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้

    การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?!

    มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม

    แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน)

    ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน

    แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท

    ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!!

    ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?!

    ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!?

    รสนา โตสิตระกูล
    15 มกราคม 2568

    https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    19/1/68 ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้ การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?! มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน) ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!! ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?! ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!? รสนา โตสิตระกูล 15 มกราคม 2568 https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ##
    ..
    ..
    เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล
    .
    ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก
    .
    พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า...
    .
    “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...”
    .
    บทความ โดย โรม บุนนาค
    https://shorturl.asia/lBfp5
    ....
    ....
    ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...???
    .
    ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...???
    .
    ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...???
    .
    ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...???
    .
    และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...???
    .
    สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน
    .
    เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้
    https://shorturl.asia/wJ2vQ
    .
    ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง)
    .
    ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!!
    .
    ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย...
    .
    โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)...
    .
    ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ)
    .
    คำถามคือ คุ้มมั้ย...???
    .
    รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!!
    ...
    ...
    สรุป
    .
    คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10%
    โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ## .. .. เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล . ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก . พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า... . “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...” . บทความ โดย โรม บุนนาค https://shorturl.asia/lBfp5 .... .... ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...??? . ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...??? . ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...??? . ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...??? . และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...??? . สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน . เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้ https://shorturl.asia/wJ2vQ . ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง) . ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!! . ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย... . โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)... . ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ) . คำถามคือ คุ้มมั้ย...??? . รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!! ... ... สรุป . คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10% โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    SHORTURL.ASIA
    ร.๕ กับการเลิกบ่อนการพนัน! ที่ว่าไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย ฉันเป็นคนไม่เล่นเบี้ยยังรู้สึกสนุก!!
    ในสมัยก่อน ระบบการเก็บภาษียังไม่กว้างขวางพอที่จะหาเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ บ่อนการพนันจึงเป็นอีกทางหนึ่งของรายได้รัฐ และได้มากเสียด้วย แต่การพนันก็ทำให้คนลุ่มหลงได้ง่าย จนไม่ยอมทำมาหากิน เป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคน ทำให้ครอบครั
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว
    รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี
    ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4%

    เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี

    อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี)

    ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9%

    ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

    จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า


    เงินเฟ้อและการจ้างงาน
    ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^
    core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน

    การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน
    .......................................
    เพิ่มเติม
    1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง
    2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง)
    3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
    4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ
    5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน
    6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน
    #เศรษฐกิจ


    ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4% เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี) ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9% ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า เงินเฟ้อและการจ้างงาน ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^ core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน ....................................... เพิ่มเติม 1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง 2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง) 3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า 4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ 5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน 6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตความมั่นคงสหรัฐฯ! DJI ปลดล็อกโดรน 6 แสนลำ บินเสรีเหนือทำเนียบขาว-รัฐสภา หลังถูกกดดันแบนสินค้า

    ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุด หลัง DJI ผู้ผลิตโดรนยักษ์ใหญ่จากจีนที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 90% ประกาศยกเลิกระบบกำหนดเขตห้ามบิน มีผล 13 มกราคม 2568

    ส่งผลให้โดรนกว่า 600,000 ลำสามารถบินเหนือพื้นที่หวงห้ามได้อย่างเสรี อาทิ ทำเนียบขาว รัฐสภา สนามบิน ฐานทัพ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสถานที่ราชการสำคัญ

    การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเผชิญแรงกดดันหนักจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2562 ที่ห้ามกระทรวงกลาโหมซื้อโดรนจีน ตามด้วยการขึ้นบัญชี DJI เป็นบริษัททหารจีนในปี 2564 ล่าสุดถูกกล่าวหาใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิต นำไปสู่การระงับนำเข้า พร้อมกับการผ่านร่าง Countering CCP Drones Act ที่อาจนำไปสู่การแบนสินค้าโดยสิ้นเชิง

    ยิ่งไปกว่านั้น การยกเลิกระบบความปลอดภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุโดรน DJI Mini ชนเครื่องบินดับเพลิงที่ลอสแองเจลิส และในช่วงเวลาสำคัญก่อนพิธีสาบานตนประธานาธิบดี ด้าน DJI แถลงคัดค้านข้อกล่าวหาว่าไร้มูลความจริงและสะท้อนอคติต่อชาวต่างชาติ


    https://www.imctnews.com/news_details-news-6184.html
    วิกฤตความมั่นคงสหรัฐฯ! DJI ปลดล็อกโดรน 6 แสนลำ บินเสรีเหนือทำเนียบขาว-รัฐสภา หลังถูกกดดันแบนสินค้า ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุด หลัง DJI ผู้ผลิตโดรนยักษ์ใหญ่จากจีนที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 90% ประกาศยกเลิกระบบกำหนดเขตห้ามบิน มีผล 13 มกราคม 2568 ส่งผลให้โดรนกว่า 600,000 ลำสามารถบินเหนือพื้นที่หวงห้ามได้อย่างเสรี อาทิ ทำเนียบขาว รัฐสภา สนามบิน ฐานทัพ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสถานที่ราชการสำคัญ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเผชิญแรงกดดันหนักจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2562 ที่ห้ามกระทรวงกลาโหมซื้อโดรนจีน ตามด้วยการขึ้นบัญชี DJI เป็นบริษัททหารจีนในปี 2564 ล่าสุดถูกกล่าวหาใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิต นำไปสู่การระงับนำเข้า พร้อมกับการผ่านร่าง Countering CCP Drones Act ที่อาจนำไปสู่การแบนสินค้าโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น การยกเลิกระบบความปลอดภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุโดรน DJI Mini ชนเครื่องบินดับเพลิงที่ลอสแองเจลิส และในช่วงเวลาสำคัญก่อนพิธีสาบานตนประธานาธิบดี ด้าน DJI แถลงคัดค้านข้อกล่าวหาว่าไร้มูลความจริงและสะท้อนอคติต่อชาวต่างชาติ https://www.imctnews.com/news_details-news-6184.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอง ถ้าทะลุ $2717 จะกลับมาเป็นขาขึ้น follow buy ได้
    ได้แรงหนุนจาก ดอลลาร์อ่อนค่า
    ตลาดคาด เฟดจะลดดอกเบี้ยประมาณช่วงกลางปีได้ 1 ครั้ง แต่ยังต้องจับตาดูตัวเลขจากตลาดแรงงาน
    #ทอง #gold
    ทอง ถ้าทะลุ $2717 จะกลับมาเป็นขาขึ้น follow buy ได้ ได้แรงหนุนจาก ดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดคาด เฟดจะลดดอกเบี้ยประมาณช่วงกลางปีได้ 1 ครั้ง แต่ยังต้องจับตาดูตัวเลขจากตลาดแรงงาน #ทอง #gold
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงแรงงานขานรับ Soft Power ผลักดันงานปักผ้าด้นมือภูมิปัญญาท้องถิ่น
    https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1241444617453400
    กระทรวงแรงงานขานรับ Soft Power ผลักดันงานปักผ้าด้นมือภูมิปัญญาท้องถิ่น https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1241444617453400
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ บอกสื่อให้รอสัมภาษณ์เรื่อง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หลังประชุม ครม.

    เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนการประชุมผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ในที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวรอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม.

    เมื่อถามอีกว่าต่อไปนี้จะลงพื้นที่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบเช่นเดิมว่า ไว้รอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม.

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้มีรัฐมนตรีแจ้งลาการประชุม 6 คน ได้แก่ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย 2.นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 3.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน 4.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม 5.นายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ลา ครม.เนื่องจากติดภารกิจตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.30 น.นายอนุทิน ได้เดินทางกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปหลังเสร็จภารกิจที่จังหวัดชลบุรี

    #MGROnline #เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์
    นายกฯ บอกสื่อให้รอสัมภาษณ์เรื่อง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หลังประชุม ครม. • เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนการประชุมผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ในที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวรอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม. • เมื่อถามอีกว่าต่อไปนี้จะลงพื้นที่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบเช่นเดิมว่า ไว้รอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม. • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้มีรัฐมนตรีแจ้งลาการประชุม 6 คน ได้แก่ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย 2.นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 3.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน 4.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม 5.นายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ลา ครม.เนื่องจากติดภารกิจตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.30 น.นายอนุทิน ได้เดินทางกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปหลังเสร็จภารกิจที่จังหวัดชลบุรี • #MGROnline #เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.103 : สิงคโปร์ รับมือวิกฤตประชากรอย่างไร?
    .
    นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ก่อตั้ง เทสลา, Space X และเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เคยทวีตข้อความว่า “สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศกำลังจะหายไป” เพราะว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่น้อย ประชากรของประเทศก็จะมีแต่ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงงานจะขาดแคลน ทุกคนก็ต้องทำงานหนักขึ้น หรือทำงานจนแทบจะไม่มีวันเกษียณอายุ ประเทศก็มีภาระสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่ว่าจำนวนคนที่ทำงานและเสียภาษีกลับลดน้อยลง และเมื่อไม่มีประชากรรุ่นใหม่ ประเทศอย่าง สิงคโปร์ ที่มีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน ก็อาจจะหายไปแบบที่ นายอีลอน มัสก์ บอกก็เป็นได้ ......
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=zZVzvRdgEUE
    บูรพาไม่แพ้ Ep.103 : สิงคโปร์ รับมือวิกฤตประชากรอย่างไร? . นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ก่อตั้ง เทสลา, Space X และเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เคยทวีตข้อความว่า “สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศกำลังจะหายไป” เพราะว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่น้อย ประชากรของประเทศก็จะมีแต่ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงงานจะขาดแคลน ทุกคนก็ต้องทำงานหนักขึ้น หรือทำงานจนแทบจะไม่มีวันเกษียณอายุ ประเทศก็มีภาระสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่ว่าจำนวนคนที่ทำงานและเสียภาษีกลับลดน้อยลง และเมื่อไม่มีประชากรรุ่นใหม่ ประเทศอย่าง สิงคโปร์ ที่มีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน ก็อาจจะหายไปแบบที่ นายอีลอน มัสก์ บอกก็เป็นได้ ...... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=zZVzvRdgEUE
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุรีรัมย์- แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ กว่า 100 คน ถูกสาวแสบอ้างเป็น จนท.สถานทูต หลอกจะพาไปทำงานที่ออสเตรเลีย สูญเงินรายละ 6 หมื่นถึง 1.2 แสน รวมกว่า 6 ล้าน ก่อนปล่อยลอยแพที่สนามบิน ญาติ ตร.โดนหลอกด้วย โอดบางคนกู้ยืมมาหวังได้ค่าแรงเดือนหลักแสนกลับเป็นหนี้สินเพิ่ม จัดหางานรุดลงพื้นที่รับคำร้องและสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งความเอาผิดนายหน้าเถื่อนแสบ

    วันนี้ (7 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ละอองทอง จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ นำทีมเจ้าหน้าที่จัดหางานลงพื้นที่ สภ.พุทไธสง เพื่อรับคำร้องและสอบสวนข้อเท็จจริงจากแรงงานที่ถูก น.ส.ธมลวรรณ หรือออย อายุ 28 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ อ.พุทไธสง หลอกลวงจะพาไปทำงานเกษตร โรงแรม และร้านอาหาร ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ปล่อยลอยแพที่สนามบิน และโรงแรมที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินทางไปทำงานจริงตามที่กล่าวอ้าง สูญเงินรายละ 60,000 - 120,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมคำร้องและหลักฐานจากแรงงานผู้เสียหาย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง เพื่อเอาผิดตามกับ น.ส.ออย นายหน้าแสบที่หลอกลวงแรงงานด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001666

    #MGROnline #บุรีรัมย์ #ออสเตรเลีย
    บุรีรัมย์- แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ กว่า 100 คน ถูกสาวแสบอ้างเป็น จนท.สถานทูต หลอกจะพาไปทำงานที่ออสเตรเลีย สูญเงินรายละ 6 หมื่นถึง 1.2 แสน รวมกว่า 6 ล้าน ก่อนปล่อยลอยแพที่สนามบิน ญาติ ตร.โดนหลอกด้วย โอดบางคนกู้ยืมมาหวังได้ค่าแรงเดือนหลักแสนกลับเป็นหนี้สินเพิ่ม จัดหางานรุดลงพื้นที่รับคำร้องและสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งความเอาผิดนายหน้าเถื่อนแสบ • วันนี้ (7 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ละอองทอง จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ นำทีมเจ้าหน้าที่จัดหางานลงพื้นที่ สภ.พุทไธสง เพื่อรับคำร้องและสอบสวนข้อเท็จจริงจากแรงงานที่ถูก น.ส.ธมลวรรณ หรือออย อายุ 28 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ อ.พุทไธสง หลอกลวงจะพาไปทำงานเกษตร โรงแรม และร้านอาหาร ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ปล่อยลอยแพที่สนามบิน และโรงแรมที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินทางไปทำงานจริงตามที่กล่าวอ้าง สูญเงินรายละ 60,000 - 120,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมคำร้องและหลักฐานจากแรงงานผู้เสียหาย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง เพื่อเอาผิดตามกับ น.ส.ออย นายหน้าแสบที่หลอกลวงแรงงานด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001666 • #MGROnline #บุรีรัมย์ #ออสเตรเลีย
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี :

    การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว

    เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS

    หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด

    ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี : การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5//68

    การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

    เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้

    แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย

    สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง

    ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร

    การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้

    และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด

    เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW)
    สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน

    UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า

    ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง***

    1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที

    2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต

    3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน

    4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน***

    ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น

    แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา***

    #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง###

    ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น***

    ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว

    ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป

    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง***

    เดชา นฤนารท .

    4/1/68 11.25 น.
    5//68 การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้ และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW) สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง*** 1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที 2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต 3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน 4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน*** ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา*** #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง### ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น*** ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง*** เดชา นฤนารท . 4/1/68 11.25 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 617 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts