• งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ

    ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾

    พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾 พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ

    ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾

    พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾 พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ

    ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾

    พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    งานบุญไขประตูเล้าเผ่าภูไท เป็นการทำพิธีบวงสรวงพระแม่โพสพ เพราะมีความเชื่อว่า พระแม่โพสพ รวมถึงผีสางเทวดา ผีบรรพบุรุษ เป็นผู้ดูแลความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อแต่โบราณ ถือเป็นการตอบแทนคุณที่ได้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวบ้าน ได้ทำไร่ ทำนา มีข้าวกิน 🌾 พร้อมทำพิธีบูชาถือฤกษ์ชัยเปิดประตูเล้าหรือยุ้งฉาง เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในครัวเรือน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรักษาข้าวไว้กินตลอดชีวิต 🙏🏼✨
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    .
    ทุกวันนี้พี่ไม่ค้านอะไรเลย...!!!
    .
    เรื่อง เทวดาชั้น 14 พี่ก็ไม่ตี...!!!
    .
    หลอกใคร...???
    .
    จับมือกันนานแล้ว...!!!
    .
    และยังจับอยู่...!!!
    .
    แค่...นานๆครั้ง ก็ผลัดกันเอามีดเสียบสีข้างเพื่อน แผลเล็กๆ เพื่อ สร้างซีน เรียกคะแนนให้ตัวเอง
    .
    ของตกปลาในบ่อเพื่อน โดยที่เพื่อนไม่ถึงกับเสียเลือดจนต้องเข้า ICU
    .
    วันนั้น ต๋อม ช่อ และ พลพรรค ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ซูเนโอะ ไม่ได้บินไปฮ่องกง เพื่อเจรจากับ โทนี่ สแควร์รูท...!!!
    .
    เสียหมารึยัง...???
    .
    พบพรรค สาวก ยังคงเชื่อถือ บรรดาวาทะกรรมที่พ่นออกจากปากอยู่หรือ...???
    .
    ถ้าใครไม่ได้ทันตามการเมืองมาตั้งแต่สมัย ทรท. เขาคือสีเดียวกันมาแต่ต้น เพิ่งมา แบ่งตัวตอนหาพรรคเล็ก เพราะ รัฐธรรมนูญ คสช. นะครับ
    .
    ตอนชุมนุมเสื้อแดง พวกนี้เนี่ยแหล่ะ ที่ชอบเอาสติ๊กเกอร์ไปแปะว่าอยากได้ สาธารณะรัฐ...!!!
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . ทุกวันนี้พี่ไม่ค้านอะไรเลย...!!! . เรื่อง เทวดาชั้น 14 พี่ก็ไม่ตี...!!! . หลอกใคร...??? . จับมือกันนานแล้ว...!!! . และยังจับอยู่...!!! . แค่...นานๆครั้ง ก็ผลัดกันเอามีดเสียบสีข้างเพื่อน แผลเล็กๆ เพื่อ สร้างซีน เรียกคะแนนให้ตัวเอง . ของตกปลาในบ่อเพื่อน โดยที่เพื่อนไม่ถึงกับเสียเลือดจนต้องเข้า ICU . วันนั้น ต๋อม ช่อ และ พลพรรค ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ซูเนโอะ ไม่ได้บินไปฮ่องกง เพื่อเจรจากับ โทนี่ สแควร์รูท...!!! . เสียหมารึยัง...??? . พบพรรค สาวก ยังคงเชื่อถือ บรรดาวาทะกรรมที่พ่นออกจากปากอยู่หรือ...??? . ถ้าใครไม่ได้ทันตามการเมืองมาตั้งแต่สมัย ทรท. เขาคือสีเดียวกันมาแต่ต้น เพิ่งมา แบ่งตัวตอนหาพรรคเล็ก เพราะ รัฐธรรมนูญ คสช. นะครับ . ตอนชุมนุมเสื้อแดง พวกนี้เนี่ยแหล่ะ ที่ชอบเอาสติ๊กเกอร์ไปแปะว่าอยากได้ สาธารณะรัฐ...!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • [1]
    ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร}


    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17}
    http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html
    http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html
    http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512
    www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก)








    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์...
    [เราเห็นด้วย]








    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์.





    >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑











    >>>>(หมายเหตุ)<<<<<

    ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา.




    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13]
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186









    [2]
    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน.



    ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย.



    >>>>เสลสูตรที่ ๗
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23]
    http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}






    [3]

    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]







    ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ.




    >>>อ.กิงสีลสูตร
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1]
    http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    [1] ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17} http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512 www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก) >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์... [เราเห็นด้วย] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์. >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑ >>>>(หมายเหตุ)<<<<< ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา. [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13] www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186 [2] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน. ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. >>>>เสลสูตรที่ ๗ [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23] http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} [3] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ. >>>อ.กิงสีลสูตร [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1] http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาล ยังไม่ไต่สวนทักษิณ 'เพื่อไทย' ล็อคคอ 'วิษณุ' ยันป่วยทิพย์ชั้น14 ไร้มลทิน
    .
    ปมประเด็นชั้น 14 ป่วยทิพย์ของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานอนุกรรมาธิการ ด้านกลไกการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ไต่สวนกรณี กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ไม่จัดการให้เป็นไปตามหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
    .
    ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เลื่อนฟังคำสั่งคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ร้องขอให้ไต่สวน นำตัวนักโทษเทวดากลับเข้าคุก โดยจะแจ้งคำสั่งให้ทราบในภายหลัง และห้ามเผยแพร่คำร้องต่อสาธารณชน เพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
    .
    ขณะที่ แกนนำของพรรคเพื่อไทยได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีโดยยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เพราะผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯมาแล้ว
    .
    นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ระบุว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่มีนักร้องที่จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการพิสูจน์เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอน การพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่เกิดในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายวิษณุ เครืองาม ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯขณะนั้น ทำหน้าที่ส่งไป และเป็นไปตามขั้นตอน ไม่น่าหนักใจอะไร
    .
    “นายวิษณุ ในฐานะมือกฎหมายคงจะพิจารณารายละเอียดเป็นอย่างดี การตรวจสอบตามที่มีผู้ร้องเรียนนั้นเป็นไปตามกระบวนการการพิสูจน์ของกระบวนการยุติธรรม เรื่องนี้สบายใจได้ ไม่มีเขย่าขวัญรัฐบาล เพราะนายทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ” นายวิสุทธิ์ กล่าว
    .............
    Sondhi X
    ศาล ยังไม่ไต่สวนทักษิณ 'เพื่อไทย' ล็อคคอ 'วิษณุ' ยันป่วยทิพย์ชั้น14 ไร้มลทิน . ปมประเด็นชั้น 14 ป่วยทิพย์ของ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานอนุกรรมาธิการ ด้านกลไกการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ไต่สวนกรณี กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ไม่จัดการให้เป็นไปตามหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง . ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เลื่อนฟังคำสั่งคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ร้องขอให้ไต่สวน นำตัวนักโทษเทวดากลับเข้าคุก โดยจะแจ้งคำสั่งให้ทราบในภายหลัง และห้ามเผยแพร่คำร้องต่อสาธารณชน เพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน . ขณะที่ แกนนำของพรรคเพื่อไทยได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีโดยยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เพราะผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯมาแล้ว . นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ระบุว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่มีนักร้องที่จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการพิสูจน์เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอน การพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่เกิดในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายวิษณุ เครืองาม ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯขณะนั้น ทำหน้าที่ส่งไป และเป็นไปตามขั้นตอน ไม่น่าหนักใจอะไร . “นายวิษณุ ในฐานะมือกฎหมายคงจะพิจารณารายละเอียดเป็นอย่างดี การตรวจสอบตามที่มีผู้ร้องเรียนนั้นเป็นไปตามกระบวนการการพิสูจน์ของกระบวนการยุติธรรม เรื่องนี้สบายใจได้ ไม่มีเขย่าขวัญรัฐบาล เพราะนายทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ” นายวิสุทธิ์ กล่าว ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 838 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15/5/2493หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายแซ่ซ้องสาธุการกระเทือนโลกธาตุ #หลวงตาบัวเทศน์
    15/5/2493หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายแซ่ซ้องสาธุการกระเทือนโลกธาตุ #หลวงตาบัวเทศน์
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 12 0 รีวิว
  • ป่วยวิกฤตหรือไม่ เสรีพิศุทธ์ลุ้นศาลฎีกาไต่สวนส่งผู้ป่วยไม่ขออนุญาต (27/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ป่วยทิพย์ #เทวดาชั้น14 #นักโทษเทวดา
    ป่วยวิกฤตหรือไม่ เสรีพิศุทธ์ลุ้นศาลฎีกาไต่สวนส่งผู้ป่วยไม่ขออนุญาต (27/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ป่วยทิพย์ #เทวดาชั้น14 #นักโทษเทวดา
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 76 0 รีวิว
  • เสรีพิศุทธ์ ให้ข้อมูล ป.ป.ช.เพิ่มเติม ปมทักษิณป่วยทิพย์ (27/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ป่วยทิพย์ #เทวดาชั้น14
    เสรีพิศุทธ์ ให้ข้อมูล ป.ป.ช.เพิ่มเติม ปมทักษิณป่วยทิพย์ (27/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ป่วยทิพย์ #เทวดาชั้น14
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 722 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • เซ่นเจ้าให้...ปัง
    ไหว้เจ้าให้...เป็น 2568

    หนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวจีนนิยมทำกันในช่วงที่มีการพลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปีก็คือ พิธีการ “教拜”(ก๊าไป่) เป็นคำชี้แนะเรื่องการกราบไหว้องค์เทพเจ้าประจำนักษัตรปีเกิดจากซินแสที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวศรัทธา

    โดยการนำปี เดือน วัน และเวลาเกิด ของสมาชิกลูกหลานเพื่อทำการตรวจวิเคราะห์เรือนชะตาดูว่า ในปีนักษัตรใหม่นี้จะมีดาววิบาก“神煞”(สิ่งสั่วะ)ใด? มากระทบบ้างและต้องกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าประจำปีองค์ใด? เพื่อเสริมส่งพลังชีวิตให้มีแต่ความสุขความเจริญ การงานราบรื่น ประสบแต่ความสำเร็จ อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่คลี่คลายจากร้ายกลายดี มีโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง ปราศจากโรคร้ายภัยเวร ปกติสุขดีสมดั่งปรารถนาตลอดทั้งปี

    โดยสามารถคำนวนตามนักษัตรปีเกิดได้ดังนี้

    - ปีชวด มีดาวดี “月德”(หง่วยเต็ก) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์พระโพธิสัตย์เจ้าแม่กวนอิม“觀世音菩薩”(กวนซืออิมผู่สัก)

    - ปีฉลู มีดาวร้าย “五鬼”(โหงวกุ้ย) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)”

    - ปีขาล มีดาวดี “太陰”(ไท้อิม) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพจันทรา “太陰星君”(ไท้อิมแชกุง)
    และองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา“吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง)

    - ปีเถาะ มีดาวร้าย “喪門”(ซึงมึ้ง) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ
    องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)”

    - ปีมะโรง มีดาวดี “太陽”(ไท้เอี้ยง) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพสุริยัน “太陽星君” (ไท้เอี้ยงแชกุง)

    - ปีมะเส็ง มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา “太歲爺” ประจำปี 2568
    “吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง)

    - ปีมะเมีย มีดาวร้าย “病符”(แป่ฮู้) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อหมอเทวดาองค์ “華陀仙師 (หั่วท้อเซียงซือ)”

    - ปีมะแม มีดาวร้าย “天狗”(เทียงเก้า) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพสามตา “華光大帝” (หั่วกวงไต่ตี่)

    - ปีวอก มีดาวดี “天德”(เทียงเต็ก) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพแป๊ะกง “福德正神 (ฮกเต๊กเจี๊ยซิ้ง)
    และองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา“吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง)

    - ปีระกา มีดาวร้าย “白虎”(แป๊ะโฮ้ว) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ
    องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)”

    - ปีจอ มีดาวดี “龍德”(เหล่งเต็ก) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าดาวฤกษ์ “紫微大帝 (จี๋มุ้ยไต่ตี่)”

    - ปีกุน มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา
    ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา “太歲爺” ประจำปี 2568
    “吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง)

    สำหรับพิธีกรรม “教拜”(ก๊าไป่) ในปีมะเส็งไม้ “乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ นี้ สามารถกระทำได้หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป

    และนี่คืออีกหนึ่งเคล็ดที่ไม่ลับตามหลักศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ขอนำเสนอ ลองนำหลักการคำนวนดังกล่าวไปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปรับเสริมเพื่อช่วยในการดำเนินชีวิตพบ…ความสำเร็จราบรื่น เจอ…แต่สิ่งดีๆตลอดทั้งปี 2568 มะเส็งไม้ “乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    เซ่นเจ้าให้...ปัง ไหว้เจ้าให้...เป็น 2568 หนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวจีนนิยมทำกันในช่วงที่มีการพลัดเปลี่ยนนักษัตรประจำปีก็คือ พิธีการ “教拜”(ก๊าไป่) เป็นคำชี้แนะเรื่องการกราบไหว้องค์เทพเจ้าประจำนักษัตรปีเกิดจากซินแสที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวศรัทธา โดยการนำปี เดือน วัน และเวลาเกิด ของสมาชิกลูกหลานเพื่อทำการตรวจวิเคราะห์เรือนชะตาดูว่า ในปีนักษัตรใหม่นี้จะมีดาววิบาก“神煞”(สิ่งสั่วะ)ใด? มากระทบบ้างและต้องกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าประจำปีองค์ใด? เพื่อเสริมส่งพลังชีวิตให้มีแต่ความสุขความเจริญ การงานราบรื่น ประสบแต่ความสำเร็จ อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่คลี่คลายจากร้ายกลายดี มีโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง ปราศจากโรคร้ายภัยเวร ปกติสุขดีสมดั่งปรารถนาตลอดทั้งปี โดยสามารถคำนวนตามนักษัตรปีเกิดได้ดังนี้ - ปีชวด มีดาวดี “月德”(หง่วยเต็ก) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์พระโพธิสัตย์เจ้าแม่กวนอิม“觀世音菩薩”(กวนซืออิมผู่สัก) - ปีฉลู มีดาวร้าย “五鬼”(โหงวกุ้ย) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” - ปีขาล มีดาวดี “太陰”(ไท้อิม) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพจันทรา “太陰星君”(ไท้อิมแชกุง) และองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา“吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง) - ปีเถาะ มีดาวร้าย “喪門”(ซึงมึ้ง) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” - ปีมะโรง มีดาวดี “太陽”(ไท้เอี้ยง) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพสุริยัน “太陽星君” (ไท้เอี้ยงแชกุง) - ปีมะเส็ง มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา “太歲爺” ประจำปี 2568 “吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง) - ปีมะเมีย มีดาวร้าย “病符”(แป่ฮู้) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อหมอเทวดาองค์ “華陀仙師 (หั่วท้อเซียงซือ)” - ปีมะแม มีดาวร้าย “天狗”(เทียงเก้า) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพสามตา “華光大帝” (หั่วกวงไต่ตี่) - ปีวอก มีดาวดี “天德”(เทียงเต็ก) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพแป๊ะกง “福德正神 (ฮกเต๊กเจี๊ยซิ้ง) และองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา“吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง) - ปีระกา มีดาวร้าย “白虎”(แป๊ะโฮ้ว) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” - ปีจอ มีดาวดี “龍德”(เหล่งเต็ก) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าดาวฤกษ์ “紫微大帝 (จี๋มุ้ยไต่ตี่)” - ปีกุน มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพคุ้มครองดวงชะตา “太歲爺” ประจำปี 2568 “吳遂大星軍” (โง้วซุ้ยไต่แชกุง) สำหรับพิธีกรรม “教拜”(ก๊าไป่) ในปีมะเส็งไม้ “乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ นี้ สามารถกระทำได้หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป และนี่คืออีกหนึ่งเคล็ดที่ไม่ลับตามหลักศาสตร์ฮวงจุ้ยที่ขอนำเสนอ ลองนำหลักการคำนวนดังกล่าวไปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติปรับเสริมเพื่อช่วยในการดำเนินชีวิตพบ…ความสำเร็จราบรื่น เจอ…แต่สิ่งดีๆตลอดทั้งปี 2568 มะเส็งไม้ “乙巳”(อิกจี๋) ธาตุไฟ นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • คปท.ผนึก ศปปส.-กองทัพธรรม-อดีต นปช.ยื่น หนังสือจี้ส่งเวชระเบียนการรักษาตัวของ ‘ทักษิณ’ ที่ชั้น 14 รพ.จตำรวจ ถึงนายกฯ ซัดตำรวจ-แพทย์ ส่อปกป้องผู้ป่วยเทวดา พร้อมแสดงจุดยืนต้านกาสิโน "จตุพร" เตือนอุ๊งอิ๊งค์ ถ้าอยากหนีเหมือนพ่อเหมือนอาก็ทำต่อไป

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006443

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    คปท.ผนึก ศปปส.-กองทัพธรรม-อดีต นปช.ยื่น หนังสือจี้ส่งเวชระเบียนการรักษาตัวของ ‘ทักษิณ’ ที่ชั้น 14 รพ.จตำรวจ ถึงนายกฯ ซัดตำรวจ-แพทย์ ส่อปกป้องผู้ป่วยเทวดา พร้อมแสดงจุดยืนต้านกาสิโน "จตุพร" เตือนอุ๊งอิ๊งค์ ถ้าอยากหนีเหมือนพ่อเหมือนอาก็ทำต่อไป อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006443 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 774 มุมมอง 1 รีวิว
  • คปท.-ศปปส.-กองทัพธรรม พร้อมด้วย “จตุพร พรหมพันธุ์-ทนายนกเขา” นัดรวมตัวที่ทำเนียบฯ 10 โมงเช้า 21 ม.ค.แสดงจุดยืนหยุดเทวดาชั้น 14 ต้านกาสิโน-พนันออนไลน์

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006137

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    คปท.-ศปปส.-กองทัพธรรม พร้อมด้วย “จตุพร พรหมพันธุ์-ทนายนกเขา” นัดรวมตัวที่ทำเนียบฯ 10 โมงเช้า 21 ม.ค.แสดงจุดยืนหยุดเทวดาชั้น 14 ต้านกาสิโน-พนันออนไลน์ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006137 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 681 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10/1/68

    🍀A home is at peace in California wildfires disaster.
    The owner of the house is a religious man and does charity work to help poor children in Africa.🙏🪷
    The house that was left in the fire, it appears that the fire has spared this house.
    In Buddhist stories, houses where the owners of the house often do virtuous deeds, have Religious Beliefs, when disasters such as Earthquakes, Fires, Hurricanes, .... It seems to be protected by the Bodhisattva, the Angels and the Law from accidents.
    This is also a blessing to accumulate karma and virtuous Meditation, faith in Religion that thanks to which the owner of the house is always in Peace, without property loss and escape from Fire.

    Amitabha Buddha. 🙏🪷

    Credit to Kelvin Cong Fb

    บ้านอยู่สงบท่ามกลางภัยพิบัติจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย
    เจ้าของบ้านเป็นคนเคร่งศาสนาและทำงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในแอฟริกา🙏🪷
    บ้านที่ถูกทิ้งไว้ในกองไฟดูเหมือนว่าไฟได้ช่วยบ้านหลังนี้ไว้
    ในเรื่องเล่าของพุทธศาสนา บ้านที่เจ้าของบ้านมักทำความดี มีความเชื่อทางศาสนา เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ พายุเฮอริเคน .... ดูเหมือนว่าจะได้รับการปกป้องจากพระโพธิสัตว์ เทวดา และกฎแห่งกรรมจากอุบัติเหตุ
    นอกจากนี้ยังเป็นพรแห่งการสะสมกรรมและการทำสมาธิอันบริสุทธิ์ ความศรัทธาในศาสนาที่ทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ไม่มีทรัพย์สินสูญหาย และรอดพ้นจากไฟได้

    พระอมิตาภพุทธเจ้า 🙏🪷

    เจ้าของนับถือศาสนาพุทธ
    มีพระพุทธรูปบูชาในบ้าน

    และเขานั่งสมาธิประจำ
    10/1/68 🍀A home is at peace in California wildfires disaster. The owner of the house is a religious man and does charity work to help poor children in Africa.🙏🪷 The house that was left in the fire, it appears that the fire has spared this house. In Buddhist stories, houses where the owners of the house often do virtuous deeds, have Religious Beliefs, when disasters such as Earthquakes, Fires, Hurricanes, .... It seems to be protected by the Bodhisattva, the Angels and the Law from accidents. This is also a blessing to accumulate karma and virtuous Meditation, faith in Religion that thanks to which the owner of the house is always in Peace, without property loss and escape from Fire. Amitabha Buddha. 🙏🪷 Credit to Kelvin Cong Fb บ้านอยู่สงบท่ามกลางภัยพิบัติจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย เจ้าของบ้านเป็นคนเคร่งศาสนาและทำงานการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในแอฟริกา🙏🪷 บ้านที่ถูกทิ้งไว้ในกองไฟดูเหมือนว่าไฟได้ช่วยบ้านหลังนี้ไว้ ในเรื่องเล่าของพุทธศาสนา บ้านที่เจ้าของบ้านมักทำความดี มีความเชื่อทางศาสนา เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ พายุเฮอริเคน .... ดูเหมือนว่าจะได้รับการปกป้องจากพระโพธิสัตว์ เทวดา และกฎแห่งกรรมจากอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังเป็นพรแห่งการสะสมกรรมและการทำสมาธิอันบริสุทธิ์ ความศรัทธาในศาสนาที่ทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุขตลอดเวลา ไม่มีทรัพย์สินสูญหาย และรอดพ้นจากไฟได้ พระอมิตาภพุทธเจ้า 🙏🪷 เจ้าของนับถือศาสนาพุทธ มีพระพุทธรูปบูชาในบ้าน และเขานั่งสมาธิประจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" แจ้งความดำเนินคดีกับ “เอก สายไหมต้องรอด กับพวก” ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา อ้างมี "เทวดา" ให้ความช่วยเหลือคดี "ดิไอคอน"

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004196

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ดีเอสไอ" แจ้งความดำเนินคดีกับ “เอก สายไหมต้องรอด กับพวก” ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา อ้างมี "เทวดา" ให้ความช่วยเหลือคดี "ดิไอคอน" อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004196 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1110 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับถอยหลัง เทวดาชั้น14 ขีดเส้นตาย 15 ม.ค.นี้ ป่วยทิพย์หรือไม่ได้รู้กัน

    #ทักษิณ #ชั้น14 #โรงพยาบาลตำรวจ #ทักษิณหนีคุก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    นับถอยหลัง เทวดาชั้น14 ขีดเส้นตาย 15 ม.ค.นี้ ป่วยทิพย์หรือไม่ได้รู้กัน #ทักษิณ #ชั้น14 #โรงพยาบาลตำรวจ #ทักษิณหนีคุก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    14
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1539 มุมมอง 55 0 รีวิว
  • อย่าไปบ่นว่าไม่มีบุญ เทพ/เทวดาท่านไม่ให้พูด ึนเรามาเกิดได้เพราะบุญ มีน้อยก็ขยันทำเอาไว้ บุญวาสนาอยู่ี่เราทำ
    อย่าไปบ่นว่าไม่มีบุญ เทพ/เทวดาท่านไม่ให้พูด ึนเรามาเกิดได้เพราะบุญ มีน้อยก็ขยันทำเอาไว้ บุญวาสนาอยู่ี่เราทำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11ม.ค.2568 เมื่อเวลา 19.00 น.ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กทม. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยถึงทิศทางการจัดกิจกรรม “ปีเช็คบิลป่วยทิพย์ชั้น 14 แพทยสภาถึงเวลารักษาความยุติธรรม หยุด-ระบอบชินวัตร หยุด-เอ็มโอยู 44 หยุด-บ่อนคาสิโน” ว่า จากที่เราประกาศชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันเด็ก จนถึงวันนี้เราชุมนุมครอบรอบ 1 ปีพอดี การต่อสู้กับระบอบชินวัตรที่ผ่านมาของพวกเรา เห็นผลได้ชัดเจนจากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน รวมถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติในการมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดแบงค์ชาติ) ผ่านมาจนปีนี้มีเรื่องที่เราต้องติดตาม ตนอยากชวนให้ทุกคนเตรียมรองเท้าผ้าใบให้พร้อม ปีนี้เราจะเช็คบิลเทวดาชั้น 14 เพื่อสร้างระบบนิติรัฐ
    นิติธรรม

    นายพิชิต กล่าวต่อว่า เรามี 2 ข้อเรียกร้อง คือ 1.ขอให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แสดงความรับผิดชอบกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ไปช่วยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยการลาออก 2.เรียกร้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ลาออก จากกรณีเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ เป็นประธานบอร์แบงค์ชาติ จนไม่ผ่านคุณสมบัติ ขณะที่ 5 เรื่องที่ต้องคัดค้าน คือ 1.ยกเลิก MOU44 2.คัดค้านบ่อนคาสิโน 3.คัดค้านพนันออนไลน์ 4.เช่าที่ 99 ปี ที่เป็นการขายชาติ และ 5.คัดค้านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำให้ประเทศเสียหาย

    ส่วน 2 เรื่องที่ต้องให้กำลังใจ คือ 1.ให้กำลังใจป.ป.ช. เดินหน้าเอานักโทษมาติดคุกให้ได้ และ 2.ให้กำลังใจแพทยสภาในการเรียกเวชระเบียนมาตรวจสอบเพื่อผดุงจรรยาบรรณทางการแพทย์ แพทยสภาต้องฉีดยาความจริงให้ประเทศ อย่าไปเอื้อแพทย์ด้วยกันที่ทำผิด ทั้งนี้ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ขอให้ทุกคนใส่รองเท้าผ้าใบ เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อทวงถามเวชระเบียนจากโรงพยาบาลตำรวจ และวันที่ 15 ม.ค. จะเดินทางไปที่แพทยสภา ที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจในการทวงถามเอกสารสำคัญเพื่อยืนยันอาการป่วยของนายทักษิณ แต่ถ้าในวันดังกล่าวแพทยสภาบอกว่ายังไม่ได้รับเอกสารใดๆ เราก็จะพร้อมใส่รองเท้าผ้าใบมาทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล

    นายพิชิต กล่าวว่า และอีก 1 เรื่องต้องจับตาที่จะเป็นชนวนในการเช็คบิลนายทักษิณ คือการที่นายทักษิณประกาศพาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาว กลับบ้านในเดือนเม.ย.นี้ ถ้ากลับมาแล้วเป็นนักโทษนางฟ้าเหมือนพี่ชาย เราก็เตรียมออกมาไล่รัฐบาลของน.ส.แพทองธารได้ทันที อย่างไรก็ตาม เรามีสิ่งต้องตามทวงถาม โดยเฉพาะกรณีชั้น 14 นอกเหนือจากการทำลายกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังทำลายประเทศเราด้วย ด้วยการที่มีบุคคลหนึ่งทำลายเสาหลักของระบบนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากที่แพทยสภาแล้ว ผบ.ตร.ต้องสั่งการให้ส่งเวชระเบียนนายทักษิณไปที่ป.ป.ช.ที่มีการเรียกขอมาก่อนหน้านี้ด้วย เพราะตามหลักการแล้วหลักฐานอยู่ในมือตำรวจก็ต้องมาแสดง แต่ถ้ากลับทำลายหลักฐานเสียเอง หรือยับนิ่งเฉย ผบ.ตร.ก็ต้องลาออกด้วย

    นายพิชิต กล่าวต่อว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจเหนือรัฐ เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ไปประกาศว่า จะนำกำลังไปบุกประเทศเพื่อนบ้าน ประกาศทุบค่าไฟ ใช้อำนาจอะไรสั่งการ วันนี้ประเทศไทยมีอำนาจซ้อนอำนาจ มีอำนาจเหนือรัฐ นายทักษิณใช้อำนาจเต็มที่ กลายเป็นรัฐบาลไม่กล้าใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเด็ก มีเด็กๆไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถ่ายรูปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ตนบอกว่าเรามีเด็กนั่งเป็นนายกฯมานานหลายเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เด็กไปนั่งเก้าอี้นายกฯเลย ทุกวันนี้นายกฯยังเป็นนั่งอยู่ในเก้าอี้อยู่เลย นายกฯไม่มีผลงานอะไรเด่นเลยสักเรื่อง มีเด่นอยู่อย่างเดียว คือแต่งตัวให้ถูกเขาด่าได้ทุกวันทั้งประเทศ

    นายพิชิต กล่าวด้วยว่า ที่นายทักษิณ บอกว่าเป็นโรคเอ็นเปื่อย ทางการแพทย์ไม่มีระบุ มันมีที่ไหน มันไม่ใช่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อย คนเป็นโรคเอ็นเปื่อยจะไปตีกอล์ฟออกแรงสวิงได้อย่างไร คนป่วยติดเตียง 180 วันออกมามันจะแข็งแรงได้อย่างไร และที่นายทักษิณ บอกว่ายังไงก็เอาเขากลับเข้าเรือนจำไม่ได้ เมื่อความจริงปรากฎ แนวร่วมเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกองกฐินที่มาเรื่อยๆจะมาไหลรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล มันหนีไม่ออก น.ส.แพทองธาร ก็ต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยเช่นกัน

    “ที่นายทักษิณบอกว่าให้นำพนันออนไลน์ขึ้นมาบนดิน แล้วจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส บอกว่าสามารถทำได้ ทักษิณพูดรัฐมนตรีทำแบบนี้ไม่เรียกสั่งการครอบงำได้อย่างไร คนเห็นทั้งประเทศ ที่มองไม่เห็นอยู่ 5 คนคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. วันนี้กกต.เริ่มพูด การหาเสียงท้องถิ่นหากไปพูดนโยบายรัฐ สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เข้าข่ายการซื้อเสียงผ่านนโยบายรัฐหรือไม่ เราก็ไปยื่นให้กกต.ตรวจสอบแล้ว ตามสิทธิ์ของประชาชนที่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ พอเข้าไปตรวจสอบ ก็หาว่าก่อความวุ่นวาย ตกลงจะให้เราจะนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกคุณโกงกันหรือไง พอเข้าไปตรวจสอบตามระบบ ก็บอกว่าจะฟ้องกลับ ผมก็ยินดี คดีผมเยอะแล้ว เพิ่มอีกคดีไม่เห็นเป็นอะไร“ แกนนำคปท. กล่าว

    ที่มา : แนวหน้า
    https://www.naewna.com/politic/852717?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR19m8JG0ju8L-nNUgU4KBHxiBlnVnUyNAETuDlRU-38FCSvoWDScdrkQ5A_aem_xZPNNwpQAvULZKuNZxIqKQ#nwrsmlxrnogt5ygxo7xkpqorilo2jdzh
    11ม.ค.2568 เมื่อเวลา 19.00 น.ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กทม. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยถึงทิศทางการจัดกิจกรรม “ปีเช็คบิลป่วยทิพย์ชั้น 14 แพทยสภาถึงเวลารักษาความยุติธรรม หยุด-ระบอบชินวัตร หยุด-เอ็มโอยู 44 หยุด-บ่อนคาสิโน” ว่า จากที่เราประกาศชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันเด็ก จนถึงวันนี้เราชุมนุมครอบรอบ 1 ปีพอดี การต่อสู้กับระบอบชินวัตรที่ผ่านมาของพวกเรา เห็นผลได้ชัดเจนจากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน รวมถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติในการมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดแบงค์ชาติ) ผ่านมาจนปีนี้มีเรื่องที่เราต้องติดตาม ตนอยากชวนให้ทุกคนเตรียมรองเท้าผ้าใบให้พร้อม ปีนี้เราจะเช็คบิลเทวดาชั้น 14 เพื่อสร้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม นายพิชิต กล่าวต่อว่า เรามี 2 ข้อเรียกร้อง คือ 1.ขอให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แสดงความรับผิดชอบกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ไปช่วยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยการลาออก 2.เรียกร้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ลาออก จากกรณีเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ เป็นประธานบอร์แบงค์ชาติ จนไม่ผ่านคุณสมบัติ ขณะที่ 5 เรื่องที่ต้องคัดค้าน คือ 1.ยกเลิก MOU44 2.คัดค้านบ่อนคาสิโน 3.คัดค้านพนันออนไลน์ 4.เช่าที่ 99 ปี ที่เป็นการขายชาติ และ 5.คัดค้านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำให้ประเทศเสียหาย ส่วน 2 เรื่องที่ต้องให้กำลังใจ คือ 1.ให้กำลังใจป.ป.ช. เดินหน้าเอานักโทษมาติดคุกให้ได้ และ 2.ให้กำลังใจแพทยสภาในการเรียกเวชระเบียนมาตรวจสอบเพื่อผดุงจรรยาบรรณทางการแพทย์ แพทยสภาต้องฉีดยาความจริงให้ประเทศ อย่าไปเอื้อแพทย์ด้วยกันที่ทำผิด ทั้งนี้ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ขอให้ทุกคนใส่รองเท้าผ้าใบ เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อทวงถามเวชระเบียนจากโรงพยาบาลตำรวจ และวันที่ 15 ม.ค. จะเดินทางไปที่แพทยสภา ที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจในการทวงถามเอกสารสำคัญเพื่อยืนยันอาการป่วยของนายทักษิณ แต่ถ้าในวันดังกล่าวแพทยสภาบอกว่ายังไม่ได้รับเอกสารใดๆ เราก็จะพร้อมใส่รองเท้าผ้าใบมาทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต กล่าวว่า และอีก 1 เรื่องต้องจับตาที่จะเป็นชนวนในการเช็คบิลนายทักษิณ คือการที่นายทักษิณประกาศพาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาว กลับบ้านในเดือนเม.ย.นี้ ถ้ากลับมาแล้วเป็นนักโทษนางฟ้าเหมือนพี่ชาย เราก็เตรียมออกมาไล่รัฐบาลของน.ส.แพทองธารได้ทันที อย่างไรก็ตาม เรามีสิ่งต้องตามทวงถาม โดยเฉพาะกรณีชั้น 14 นอกเหนือจากการทำลายกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังทำลายประเทศเราด้วย ด้วยการที่มีบุคคลหนึ่งทำลายเสาหลักของระบบนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากที่แพทยสภาแล้ว ผบ.ตร.ต้องสั่งการให้ส่งเวชระเบียนนายทักษิณไปที่ป.ป.ช.ที่มีการเรียกขอมาก่อนหน้านี้ด้วย เพราะตามหลักการแล้วหลักฐานอยู่ในมือตำรวจก็ต้องมาแสดง แต่ถ้ากลับทำลายหลักฐานเสียเอง หรือยับนิ่งเฉย ผบ.ตร.ก็ต้องลาออกด้วย นายพิชิต กล่าวต่อว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจเหนือรัฐ เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ไปประกาศว่า จะนำกำลังไปบุกประเทศเพื่อนบ้าน ประกาศทุบค่าไฟ ใช้อำนาจอะไรสั่งการ วันนี้ประเทศไทยมีอำนาจซ้อนอำนาจ มีอำนาจเหนือรัฐ นายทักษิณใช้อำนาจเต็มที่ กลายเป็นรัฐบาลไม่กล้าใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเด็ก มีเด็กๆไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถ่ายรูปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ตนบอกว่าเรามีเด็กนั่งเป็นนายกฯมานานหลายเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เด็กไปนั่งเก้าอี้นายกฯเลย ทุกวันนี้นายกฯยังเป็นนั่งอยู่ในเก้าอี้อยู่เลย นายกฯไม่มีผลงานอะไรเด่นเลยสักเรื่อง มีเด่นอยู่อย่างเดียว คือแต่งตัวให้ถูกเขาด่าได้ทุกวันทั้งประเทศ นายพิชิต กล่าวด้วยว่า ที่นายทักษิณ บอกว่าเป็นโรคเอ็นเปื่อย ทางการแพทย์ไม่มีระบุ มันมีที่ไหน มันไม่ใช่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อย คนเป็นโรคเอ็นเปื่อยจะไปตีกอล์ฟออกแรงสวิงได้อย่างไร คนป่วยติดเตียง 180 วันออกมามันจะแข็งแรงได้อย่างไร และที่นายทักษิณ บอกว่ายังไงก็เอาเขากลับเข้าเรือนจำไม่ได้ เมื่อความจริงปรากฎ แนวร่วมเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกองกฐินที่มาเรื่อยๆจะมาไหลรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล มันหนีไม่ออก น.ส.แพทองธาร ก็ต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยเช่นกัน “ที่นายทักษิณบอกว่าให้นำพนันออนไลน์ขึ้นมาบนดิน แล้วจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส บอกว่าสามารถทำได้ ทักษิณพูดรัฐมนตรีทำแบบนี้ไม่เรียกสั่งการครอบงำได้อย่างไร คนเห็นทั้งประเทศ ที่มองไม่เห็นอยู่ 5 คนคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. วันนี้กกต.เริ่มพูด การหาเสียงท้องถิ่นหากไปพูดนโยบายรัฐ สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เข้าข่ายการซื้อเสียงผ่านนโยบายรัฐหรือไม่ เราก็ไปยื่นให้กกต.ตรวจสอบแล้ว ตามสิทธิ์ของประชาชนที่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ พอเข้าไปตรวจสอบ ก็หาว่าก่อความวุ่นวาย ตกลงจะให้เราจะนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกคุณโกงกันหรือไง พอเข้าไปตรวจสอบตามระบบ ก็บอกว่าจะฟ้องกลับ ผมก็ยินดี คดีผมเยอะแล้ว เพิ่มอีกคดีไม่เห็นเป็นอะไร“ แกนนำคปท. กล่าว ที่มา : แนวหน้า https://www.naewna.com/politic/852717?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR19m8JG0ju8L-nNUgU4KBHxiBlnVnUyNAETuDlRU-38FCSvoWDScdrkQ5A_aem_xZPNNwpQAvULZKuNZxIqKQ#nwrsmlxrnogt5ygxo7xkpqorilo2jdzh
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี

    "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา

    มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย

    ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา

    มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย

    หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน”

    แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้

    พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย

    แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า

    คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย

    แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

    เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย

    เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย

    ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย"

    สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้

    พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

    เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย

    การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น

    ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน

    แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน

    ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง”

    หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด”

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ
    แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว”

    พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน

    เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว”

    หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส

    ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้

    มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง

    เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง

    เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว

    สวดคาถาว่า...

    เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา

    ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้

    ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ

    หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่

    คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    หลวงปู่โง่น โสรโย
    จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน” แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย" สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง” หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด” พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว” พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว” หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้ มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว สวดคาถาว่า... เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่ คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ หลวงปู่โง่น โสรโย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี

    "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา

    มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย

    ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา

    มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย

    หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน”

    แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้

    พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย

    แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า

    คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย

    แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

    เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย

    เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย

    ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย"

    สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้

    พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

    เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย

    การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น

    ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน

    แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน

    ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง”

    หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด”

    พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ
    แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว”

    พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน

    เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว”

    หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส

    ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้

    มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง

    เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง

    เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว

    สวดคาถาว่า...

    เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา

    ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้

    ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ

    หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่

    คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า

    โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491

    หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น.

    บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์

    ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม

    ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ

    หลวงปู่โง่น โสรโย
    จากเพจ ประวัติศาสตร์ ราชวงค์จักรี "ข้าชื่อ #สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ #หลวงปู่โง่น_โสรโย ขณะเดินทางเข้าพม่าในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกจับติดคุกพม่า เมื่อท่านทำความเพียร จึงได้สัมผัสทางวิญญาณพระสุพรรณกัลยา พระสุพรรณกัลยา: “ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลย ตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน” แล้วหลวงปู่โง่นจึงได้ถอดกายทิพย์ไปดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 #พระสุพรรณกัลยา: “ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ ความสามารถ ของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือ บิดามารดาเสียก่อน เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัวเขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เหตุที่ฉันจะต้องไปด้วยตอนถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา รวมถึงอัฐิและกำไลแขนของฉันในสถานที่ที่ฉันเก็บไว้ ขอให้นำกลับไปด้วย และของที่เราสักการะบูชา คือ เทวรูปพระนารายณ์ และพระแม่อุมาที่เป็นทองคำก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย" สิ่งของเหล่านั้นหลวงปู่โง่นได้นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเทวดา ศาลากลางน้ำ วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร เท่าทุกวันนี้ นี่แหละ คือ สักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ พระสุพรรณกัลยา: “กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเองให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชกต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าวอดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ด้วย การผูกรัดรึงตรึงฉัน ด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้วบอกฉัน ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน มีความสุขสุดที่จะพรรณา จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเองเฆี่ยนตีทำโทษจนถึง แก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง” หลวงปู่โง่น: “ตอนนี้ท่านหญิงสบายแล้ว เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด” พระสุพรรณกัลยา: “ฉันจะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทย ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน และจะไม่เยื่อใยในการมีคู่ครอง เพราะฉันเข็ดแล้วเรื่องผู้ชาย ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว” พระสุพรรณกัลยา: “พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ฝากให้ท่านเอารูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉันให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว” หลวงปู่โง่นจึงได้สร้างรูปของพระสุพรรณกัลยาโดยใช้วิธีการสองระบบ คือ ระบบทางนามธรรม หรือ ระบบทางจิตคือการสัมผัสทางจิตวิญญาณ และระบบทางรูปธรรม โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฏเป็นภาพแก่สายตาภายนอก โดยใช้กล้องถ่ายรูปชั้นดีสองตัว คือ กล้องโอลิมปัสของเยอรมัน และกล้องโพโตลองของฝรั่งเศส ในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไปก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้ มีการจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมีแป้ง น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่งสีทอง เสร็จแล้วก็ไปทำพิธีในสถานที่ได้นิมิตเห็นพระสุพรรณกัลยาและถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณของพระนาง เมื่อได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้า หาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้ว สวดคาถาว่า... เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยา ให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็น ชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะหลวงปู่โง่นเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ หลวงปู่โง่นได้เผยแพร่รูปพระนางตามที่ได้ปรากฏในโพสต์นี้ และบันทึกว่า พระนางสุพรรณกัลยาได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือ ต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึง ปัจจุบันที่จะได้เสียสละอย่างนั้น แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่ คัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือ “ย้อยรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา” โดยหลวงปู่โง่น โสรโย เมษายน 2529"ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชาย พร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราช กรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน" "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์" เป็นบทความที่แปลจากหนังสือที่พระสุพรรณกัลยาได้เขียนเป็นอักษรโบราณของพม่าในปี พ.ศ. 2229 พบที่หอสมุดของพม่า โดยหลวงปู่โง่น โสรโย อริยสงฆ์แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร ในปี พ.ศ. 2491 หลวงปู่โง่น โสรโย เกิดบนแพกลางลำน้ำปิง เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เวลา 05.58 น. บิดาเป็นหัวหน้าล่องแพไม้ซุง มารดาเป็นชาวลำพูน เมื่ออายุได้ประมาณ 10 ปี ซาโต้โมมอง เลขานุการข้าหลวงใหญ่ชาวฝรั่งเศสประจำอินโดจีน รับตัวเป็นบุตรบุญธรรม และได้ศึกษาที่ต่างประเทศจนจบปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในเยอรมัน สามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา เดิมนับถือศาสนาคริสต์ ต่อมาได้อุปสมบทในพุทธศาสนาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม ระหว่างที่เป็นสมณะได้ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ และกลางหิมะนานถึง 8 ชั่วโมง ได้รับคำสอนจากหลวงปู่โลกเทพอุดร มีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร หลวงปู่โง่นละสังขารของท่านเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริชนมายุได้ 94 ปีเศษ หลวงปู่โง่น โสรโย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • แค่เรื่องตลก ปมทักษิณพูดปรับ ครม.(06/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #นายกตัวจริง #เทวดาจะปรับ ครม.#ครม.พ่อนายกสั่งได้
    แค่เรื่องตลก ปมทักษิณพูดปรับ ครม.(06/01/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #นายกตัวจริง #เทวดาจะปรับ ครม.#ครม.พ่อนายกสั่งได้
    Angry
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1158 มุมมอง 64 0 รีวิว
  • ร้อยศาสตร์พันศิลป์ พระอันดากู ถูกสลักขึ้นโดยไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละองค์สลักขึ้นจากจินตนาการ ผสานพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระพุทธองค์ ช่างผู้สลักต้องใช้สมาธิขั้นสูง โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาแล้วเสร็จ จึงเป็นงานอกาลิโก ที่ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณ ความวิริยะอุตสาหะ ความพากเพียร จินตนาการที่ยิ่งใหญ่เกินขอบจักรวาล จึงก่อเกิดเป็นงานพุทธศิลป์อจินไตย ที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่า ผู้ที่ได้ครอบงานพุทธศิลป์ที่สะอาด บริสุทธิ์นี้นับว่าท่านมีบุญบารมี และมีบุญสัมพันธ์กันกับพระอันดากู โดยพระอันดากู ทุกองค์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา จึงมีพลังงานและญาณเทวดารักษาทุกองค์
    ……..เนย์ อันดากู……..
    ร้อยศาสตร์พันศิลป์ พระอันดากู ถูกสลักขึ้นโดยไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละองค์สลักขึ้นจากจินตนาการ ผสานพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระพุทธองค์ ช่างผู้สลักต้องใช้สมาธิขั้นสูง โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาแล้วเสร็จ จึงเป็นงานอกาลิโก ที่ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณ ความวิริยะอุตสาหะ ความพากเพียร จินตนาการที่ยิ่งใหญ่เกินขอบจักรวาล จึงก่อเกิดเป็นงานพุทธศิลป์อจินไตย ที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่า ผู้ที่ได้ครอบงานพุทธศิลป์ที่สะอาด บริสุทธิ์นี้นับว่าท่านมีบุญบารมี และมีบุญสัมพันธ์กันกับพระอันดากู โดยพระอันดากู ทุกองค์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา จึงมีพลังงานและญาณเทวดารักษาทุกองค์ ……..เนย์ อันดากู……..
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา
    มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก)
    ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง
    แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที
    ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว
    เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง

    ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : -

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
    บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน
    ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ
    แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ”
    วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑

    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย

    ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว

    จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.....

    ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓

    อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

    ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
    เบญจา สุภานนท์
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
    ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่....

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕
    อุโรวษา เพชรวารี
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า

    “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...”

    คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า
    “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย”
    และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า
    “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก”
    ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว

    เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว
    ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย
    กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ

    พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด”
    กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที

    ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข)

    ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์

    เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น

    อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ
    “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร”
    วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒

    ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า

    พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ
    กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
    คัณโฑ นัตถิ ภันเต
    กิลาโส นัตถิ ภันเต
    โสโส นัตถิ ภันเต
    อะปะมาโร นัตถิ ภันเต
    มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
    นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
    อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
    กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ
    โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ

    (๑) บอกฉายาของตนเอง
    (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์

    ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย
    “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก) ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : - “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ” วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่..... ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เบญจา สุภานนท์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.... ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ อุโรวษา เพชรวารี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...” คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย” และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก” ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด” กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข) ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์ เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร” วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒ ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ กุฏฐัง นัตถิ ภันเต คัณโฑ นัตถิ ภันเต กิลาโส นัตถิ ภันเต โสโส นัตถิ ภันเต อะปะมาโร นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ (๑) บอกฉายาของตนเอง (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์ ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดมาใหญ่ ก็ต้องใหญ่ - The Fortune Code - 富贵兵团 - 1990
    หนังโปรแกรมต้อนรับตรุษจีน 2533 ...

    ในยุคที่หนังจีนฮ่องกง บูมสุดขีด มีไม่กี่เรื่องที่จะได้เห็นนักแสดงร่วมสิบคน ในหนังเรื่องเดียวกัน
    "เกิดมาใหญ่ ก็ต้องใหญ่" ระดมนักแสดงสายพี่เตี้ย เจิ้งจื่อเหว่ย+หงจินเป่า มาแบบคับจอ แต่ละคนก็มีบทกันพอสมควร หลิวเต๋อหัว อลันทัม เหมยเยี่ยนฟาง ม่อเส้าชง หลินจุ้นเสียน แฟรงกี้ ชาน เฉินไป่เสียง โหลวหนันกวง เฉาชาลี โดยมี เจิ้งจั๊ดซื่อ ร่วมแสดงและทำหน้าที่ กำกับภาพยนตร์อีกด้วย

    ถือเป็นหนังนนทนันท์อีกเรื่อง ที่เปิดตัวปี 1990 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปี 2533 ก็ถือเป็นปีทอง เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่หนังดี และ ทำเงินแทบจะทุกโปรแกรม อย่างเช่น
    ผู้หญิงแย่งสับ - WEB OF DECEPTION
    การ์ตูนญี่ปุ่นที่ขึ้นแท่นหนังคลาสสิกไปแล้วอย่าง อากีร่า...ไม่เหมือนคน - AKIRA
    ล้างบางไต้ปั้ก - FINAL RUN
    มังกรกระแทกเมือง - DRAGON FIGHTS หลี่เหลียนเจี๋ย พบ โจวซิงฉือ
    ดีเดือดกับเลือดบ้า - IN TO THE BLOOD
    สุดยอดหนังกำลังภายใน ที่เป็นต้นแบบหนังกำลังภายในยุค 90 เดชคัมภีร์เทวดา - SWORDMAN
    เสือผอม…มังกรอ้วน - SKINNY TIGER & FATTY DRAGON
    จางอวี้โหมว พบ กงลี่ ใน เทียนฟง…ฅนตรง 3,000 ปี - A TERA COTTA WARRIORS
    หนังปรากฎการณ์แห่งยุค ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ - A MOMENT OF ROMANCE
    โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า 2 - A Chinese Ghost Story 2
    และปิดท้ายปีด้วยหนังคู่หู หงจินเป่า อลันทัม ใน ขอเป็นฮีโร่โก้ทั้งคู่ - PANTY HOSE HERO

    คิดถึงความสนุกในยุคนั้นจริงๆนะ
    เกิดมาใหญ่ ก็ต้องใหญ่ - The Fortune Code - 富贵兵团 - 1990 หนังโปรแกรมต้อนรับตรุษจีน 2533 ... ในยุคที่หนังจีนฮ่องกง บูมสุดขีด มีไม่กี่เรื่องที่จะได้เห็นนักแสดงร่วมสิบคน ในหนังเรื่องเดียวกัน "เกิดมาใหญ่ ก็ต้องใหญ่" ระดมนักแสดงสายพี่เตี้ย เจิ้งจื่อเหว่ย+หงจินเป่า มาแบบคับจอ แต่ละคนก็มีบทกันพอสมควร หลิวเต๋อหัว อลันทัม เหมยเยี่ยนฟาง ม่อเส้าชง หลินจุ้นเสียน แฟรงกี้ ชาน เฉินไป่เสียง โหลวหนันกวง เฉาชาลี โดยมี เจิ้งจั๊ดซื่อ ร่วมแสดงและทำหน้าที่ กำกับภาพยนตร์อีกด้วย ถือเป็นหนังนนทนันท์อีกเรื่อง ที่เปิดตัวปี 1990 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปี 2533 ก็ถือเป็นปีทอง เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่หนังดี และ ทำเงินแทบจะทุกโปรแกรม อย่างเช่น ผู้หญิงแย่งสับ - WEB OF DECEPTION การ์ตูนญี่ปุ่นที่ขึ้นแท่นหนังคลาสสิกไปแล้วอย่าง อากีร่า...ไม่เหมือนคน - AKIRA ล้างบางไต้ปั้ก - FINAL RUN มังกรกระแทกเมือง - DRAGON FIGHTS หลี่เหลียนเจี๋ย พบ โจวซิงฉือ ดีเดือดกับเลือดบ้า - IN TO THE BLOOD สุดยอดหนังกำลังภายใน ที่เป็นต้นแบบหนังกำลังภายในยุค 90 เดชคัมภีร์เทวดา - SWORDMAN เสือผอม…มังกรอ้วน - SKINNY TIGER & FATTY DRAGON จางอวี้โหมว พบ กงลี่ ใน เทียนฟง…ฅนตรง 3,000 ปี - A TERA COTTA WARRIORS หนังปรากฎการณ์แห่งยุค ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ - A MOMENT OF ROMANCE โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า 2 - A Chinese Ghost Story 2 และปิดท้ายปีด้วยหนังคู่หู หงจินเป่า อลันทัม ใน ขอเป็นฮีโร่โก้ทั้งคู่ - PANTY HOSE HERO คิดถึงความสนุกในยุคนั้นจริงๆนะ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปีใหม่/สงการนต์ กราบเท้าพ่อแม่ขอพร เทวดาสองตน เขาจะดีไม่ดีเขาคือพ่อแม่เรา พรจากพ่อแม่นะดี
    ปีใหม่/สงการนต์ กราบเท้าพ่อแม่ขอพร เทวดาสองตน เขาจะดีไม่ดีเขาคือพ่อแม่เรา พรจากพ่อแม่นะดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน
    plew

    เปลว สีเงิน

    คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ
    สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน”
    บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ

    Anwar Ibrahim
    รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์

    รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน

    การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา

    เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า

    จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย
    ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค

    ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย

    หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน

    ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น
    แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง.

    นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง

    ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร”
    ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.)

    “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว”
    จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘

    โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า
    นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ?

    ในความรู้สึกผม….
    ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว

    ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์

    แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง

    กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน!

    ถามว่าผิดมั้ย?
    ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ”

    หรือพูดกันชัดๆ…
    นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย!

    เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง….
    หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้

    มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้?
    เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!?

    แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น
    น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”!

    ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้

    แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย

    “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้
    แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้!

    เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล
    “หยุดงาน-ลางาน” ได้

    แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์

    คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น

    อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”…….
    นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน”

    ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก

    ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น
    ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ

    เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง”
    เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ

    ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม”
    “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย

    คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด!
    นี่คือ “สำนึกผู้นำ”

    ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า…..

    จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ?

    โบราณท่านบอก….
    เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ”

    แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง”

    เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน
    คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา

    มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง

    พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง
    จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ

    ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง
    คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย

    หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์”

    อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕
    เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน

    ผมเล่าตามข่าวนะ …..
    “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี
    หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ?
    ลองทายกันดูซิ….

    เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน
    “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี?

    แค่บอกว่า
    “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล

    โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป

    จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท”

    ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก!

    แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร?

    อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ”

    แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย

    ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์
    พบ-พูดคุยกันแล้ว….
    อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย?

    อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร”
    จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ?

    -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย”

    ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ

    อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน”

    และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”!

    “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก”
    แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล?

    เปลว สีเงิน
    ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน plew เปลว สีเงิน คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน” บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ Anwar Ibrahim รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์ รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง. นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.) “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว” จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘ โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ? ในความรู้สึกผม…. ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์ แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน! ถามว่าผิดมั้ย? ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ” หรือพูดกันชัดๆ… นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย! เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง…. หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้ มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้? เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!? แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”! ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้ แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้ แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้! เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล “หยุดงาน-ลางาน” ได้ แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์ คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”……. นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน” ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง” เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม” “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด! นี่คือ “สำนึกผู้นำ” ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า….. จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ? โบราณท่านบอก…. เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ” แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง” เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์” อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน ผมเล่าตามข่าวนะ ….. “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ? ลองทายกันดูซิ…. เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี? แค่บอกว่า “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท” ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก! แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร? อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ” แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์ พบ-พูดคุยกันแล้ว…. อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย? อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร” จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ? -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย” ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน” และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”! “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก” แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล? เปลว สีเงิน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 659 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts