• ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทนายตั้ม” จูบหน้าผากภรรยา ก่อนส่งตัวฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ
    .
    ตำรวจกองปราบฯ คุมตัวทนายตั้มและภรรยา ไปฝากขังที่ศาลอาญา จูบหน้าผากก่อนขึ้นศาล ยกมือไหว้สื่อแต่ไม่ตอบคำถาม พนง.สอบสวนค้านประกันตัว หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมกับ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขึ้นรถตู้ 1 คัน โดยมีรถตำรวจ บก.ป. นำขบวน 1 คัน เพื่อไปทำการฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตามขั้นตอนทางกฎหมาย
    .
    โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา ทนายตั้มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ ส่วนภรรยาสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำ พร้อมสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งทันทีที่เดินออกมาจากตัวอาคารประชาอารักษ์ ตัวทนายตั้มได้ยกมือไหว้กับกองทัพสื่อมวลชน และไม่ได้กล่าวอะไร แม้สื่อมวลชนพยายามสอบถามในทุกประเด็น
    .
    จากการสังเกตทนายตั้ม มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่ภรรยาก็เช่นเดียวกัน และเมื่อขึ้นรถตู้ไป ก็ได้ขยับไปนั่งข้างๆ ภรรยา ก่อนจะประคองศีรษะมาใกล้ ๆ และจูบที่หน้าผาก โดยทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ จากนั้นรถตู้ก็ได้เคลื่อนตัวไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกทันที
    .
    โดยพนักงานสอบสวน จะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเหตุผลตามหมายจับ ระบุว่า มีหลักฐานตามสมควรว่าได้หรือน่าจะทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี รวมทั้งได้หรือน่าจะกระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานกับก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น
    ..............
    Sondhi X
    “ทนายตั้ม” จูบหน้าผากภรรยา ก่อนส่งตัวฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ . ตำรวจกองปราบฯ คุมตัวทนายตั้มและภรรยา ไปฝากขังที่ศาลอาญา จูบหน้าผากก่อนขึ้นศาล ยกมือไหว้สื่อแต่ไม่ตอบคำถาม พนง.สอบสวนค้านประกันตัว หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน . วันนี้ (8 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมกับ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขึ้นรถตู้ 1 คัน โดยมีรถตำรวจ บก.ป. นำขบวน 1 คัน เพื่อไปทำการฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตามขั้นตอนทางกฎหมาย . โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา ทนายตั้มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ ส่วนภรรยาสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำ พร้อมสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งทันทีที่เดินออกมาจากตัวอาคารประชาอารักษ์ ตัวทนายตั้มได้ยกมือไหว้กับกองทัพสื่อมวลชน และไม่ได้กล่าวอะไร แม้สื่อมวลชนพยายามสอบถามในทุกประเด็น . จากการสังเกตทนายตั้ม มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่ภรรยาก็เช่นเดียวกัน และเมื่อขึ้นรถตู้ไป ก็ได้ขยับไปนั่งข้างๆ ภรรยา ก่อนจะประคองศีรษะมาใกล้ ๆ และจูบที่หน้าผาก โดยทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ จากนั้นรถตู้ก็ได้เคลื่อนตัวไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกทันที . โดยพนักงานสอบสวน จะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเหตุผลตามหมายจับ ระบุว่า มีหลักฐานตามสมควรว่าได้หรือน่าจะทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี รวมทั้งได้หรือน่าจะกระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานกับก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    3
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต
    หลังกองปราบสอบ 11 ชม.
    .
    ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง
    .
    จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป.
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที .
    .
    ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ
    .
    ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร
    ..............
    Sondhi X
    เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต หลังกองปราบสอบ 11 ชม. . ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง . จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) . ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป. . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที . . ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ . ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน

    วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

    โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย

    ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ

    เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง

    ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน • วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา • โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย • ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ • เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง • ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ

    วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง

    #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยา ขณะขับปอร์เช่กลางถนน หลังพบพากันขยับหลบหนีไปพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งข้อหาหนักฐานฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน หิ้วตัวเข้ากองปราบเค้นสอบ • วันนี้ (7 พ.ย.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน • นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กอง • #MGROnline #ทนายตั้ม #ทนายตั้มโดนจับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว

  • จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน”

    7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
    .
    นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป

    ที่มา Sondhi X

    #Thaitimes
    จับแล้ว "ทนายตั้ม-เมีย" !ตำรวจตั้ง 3 ข้อหาหนัก “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ร่วมกันฟอกเงิน” 7 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวSondhiX ระบุว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ 238/2567 นำพยานและหลักฐาน ไปยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5337/2567 ลง วันที่ 7 พ.ย. 67 เพื่อให้จับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน . นอกจากนี้ยัง ยื่นขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญารัชดา เลขที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 เพื่อให้จับกุมตัว นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา "ทนายตั้ม" ในข้อหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน จากคดีที่มาดามอ้อย เข้าแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม รวบตัวเอาไว้ได้ขณะพากัน ขับขี่รถเก๋งปอร์เช่รุ่น Cayenne สีน้ำตาลทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกผ่านอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะนำตัวทั้ง 2 ราย เข้าไปสอบปากคำดำเนินคดีที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในช่วงเย็นต่อไป ที่มา Sondhi X #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 4-11-67
    .
    เช้าวันจันทร์ (4 พ.ย.) วันนี้ คุณสนธิ จะมาเล่าถึงเรื่องที่ไปทำบุญทอดกฐินที่ วัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะมาอัพเดตความคืบหน้า ความเป็นมาและเป็นไปของ "คดีทนายตั้ม ษิทรา" กับ "พี่อ้อย จตุพร" หลังจาก "พี่อ้อย จตุพร" เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบมาราธอนถึง 3 วันแล้ว แต่ฝั่งทนายตั้มกลับเงียบหายไป แบบไม่มีใครหาตัวเจอ
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=HWJj2TqUXWA
    สนธิเล่าเรื่อง 4-11-67 . เช้าวันจันทร์ (4 พ.ย.) วันนี้ คุณสนธิ จะมาเล่าถึงเรื่องที่ไปทำบุญทอดกฐินที่ วัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะมาอัพเดตความคืบหน้า ความเป็นมาและเป็นไปของ "คดีทนายตั้ม ษิทรา" กับ "พี่อ้อย จตุพร" หลังจาก "พี่อ้อย จตุพร" เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบมาราธอนถึง 3 วันแล้ว แต่ฝั่งทนายตั้มกลับเงียบหายไป แบบไม่มีใครหาตัวเจอ . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=HWJj2TqUXWA
    Like
    Love
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อิสราเอลและสหรัฐ สองประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการหักหลังเพื่อน"

    อิตาลีกำลังเผชิญเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลข่าวกรองของรัฐบาลอิตาลี โดยมีเจ้าหน้าที่ Mossad ของอิสราเอลตกเป็นผู้ต้องสงสัยร่วมกับบริษัทเอกชนด้านการสืบสวนของอิตาลี

    จากการรายงานของสื่อระบุว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Mossad ของอิสราเอล ได้ว่าจ้างบริษัทสืบสวนเอกชน "Equalize" ในอิตาลี ซึ่งมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคงอิตาลีเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ เจาะข้อมูลในกระทรวงมหาดไทยอิตาลี รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของนักการเมืองรวมถึงนายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni รวมทั้งนักการเมืองและบุคคลสำคัญอีกหลายราย

    สื่อยังรายงานอีกว่า อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิตาลีซึ่งเป็นผู้บริหารรายนี้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในการสอบสวน ส่วนผู้ต้องสงสัยซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนแห่งนี้ถูกจับไปแล้ว 4 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเจาะระบบเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งโทรศัพท์และอุปกรณ์ส่วนบุคคล ระหว่างปี 2019-2024 เพื่อรวบรวมข้อมูลลับและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยขายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงาน Mossad

    ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลี นอกจากการเจาะข้อมูลของอิตาลีแล้ว เจ้าหน้าที่ Mossad ยังได้ขอให้บริษัทแห่งนี้เจาะข้อมูลกลุ่ม Wagner ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของรัสเซีย รวมถึงเส้นทางการเงินในยุโรปอีกด้วย

    Meloni นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประณามการกระทำครั้งนี้ว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย” ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Guido Crosetto เรียกร้องให้มีการเร่งสอบสวนโดยด่วนเพื่อป้องกันความลับรั่วไหลไปมากกว่านี้

    สื่อของอิตาลีวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสมคบคิดระดับสูงที่สุด” ที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองของรัฐบาล
    "อิสราเอลและสหรัฐ สองประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการหักหลังเพื่อน" อิตาลีกำลังเผชิญเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลข่าวกรองของรัฐบาลอิตาลี โดยมีเจ้าหน้าที่ Mossad ของอิสราเอลตกเป็นผู้ต้องสงสัยร่วมกับบริษัทเอกชนด้านการสืบสวนของอิตาลี จากการรายงานของสื่อระบุว่า เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Mossad ของอิสราเอล ได้ว่าจ้างบริษัทสืบสวนเอกชน "Equalize" ในอิตาลี ซึ่งมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคงอิตาลีเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ เจาะข้อมูลในกระทรวงมหาดไทยอิตาลี รวมทั้งกระทรวงอื่นๆ เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของนักการเมืองรวมถึงนายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni รวมทั้งนักการเมืองและบุคคลสำคัญอีกหลายราย สื่อยังรายงานอีกว่า อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิตาลีซึ่งเป็นผู้บริหารรายนี้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในการสอบสวน ส่วนผู้ต้องสงสัยซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนแห่งนี้ถูกจับไปแล้ว 4 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเจาะระบบเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งโทรศัพท์และอุปกรณ์ส่วนบุคคล ระหว่างปี 2019-2024 เพื่อรวบรวมข้อมูลลับและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยขายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงาน Mossad ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลี นอกจากการเจาะข้อมูลของอิตาลีแล้ว เจ้าหน้าที่ Mossad ยังได้ขอให้บริษัทแห่งนี้เจาะข้อมูลกลุ่ม Wagner ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของรัสเซีย รวมถึงเส้นทางการเงินในยุโรปอีกด้วย Meloni นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประณามการกระทำครั้งนี้ว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย” ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมอิตาลี Guido Crosetto เรียกร้องให้มีการเร่งสอบสวนโดยด่วนเพื่อป้องกันความลับรั่วไหลไปมากกว่านี้ สื่อของอิตาลีวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสมคบคิดระดับสูงที่สุด” ที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรองของรัฐบาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่อแวววุ่น!! กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐถูกลอบวางเพลิง!

    นี่ถือเป็นสัญญาณแห่งความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ในประเทศที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดถือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการบริหารประเทศ

    สหรัฐฯ กำลังเร่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในรัฐวอชิงตัน และออริกอน โดยเชื่อว่า เกิดจากมีผู้หย่อนอุปกรณ์จุดไฟลงไปในกล่อง โชคยังดีที่ระบบดับเพลิงภายในกล่อง ช่วยลดความเสียหายของบัตรลงคะแนนเสียงได้ส่วนหนึ่ง

    ขณะที่ ในรัฐวอชิงตัน เกิดเหตุลักษณะเดียวกัน ที่จุดตั้งกล่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในเมือง"แวนคูเวอร์" ทำให้บัตรลงคะแนนเสียหายไปหลายร้อยใบ

    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่องโยงกัน และได้เผยภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด ซึ่งแสดงให้เห็นรถยนต์วอลโว่ S-60 สีดำหรือสีเข้ม รุ่นปี 2001-2004 จอดอยู่ข้างๆ กล่องลงคะแนนเสียง ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ตามมา ซึ่งขณะนี้ กำลังเร่งสืบสวนหามือก่อเหตุ โดยหวังว่าจะมีใครจำรถคันนี้ได้
    ส่อแวววุ่น!! กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐถูกลอบวางเพลิง! นี่ถือเป็นสัญญาณแห่งความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ในประเทศที่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดถือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในการบริหารประเทศ สหรัฐฯ กำลังเร่งสอบสวนเหตุเพลิงไหม้กล่องลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในรัฐวอชิงตัน และออริกอน โดยเชื่อว่า เกิดจากมีผู้หย่อนอุปกรณ์จุดไฟลงไปในกล่อง โชคยังดีที่ระบบดับเพลิงภายในกล่อง ช่วยลดความเสียหายของบัตรลงคะแนนเสียงได้ส่วนหนึ่ง ขณะที่ ในรัฐวอชิงตัน เกิดเหตุลักษณะเดียวกัน ที่จุดตั้งกล่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในเมือง"แวนคูเวอร์" ทำให้บัตรลงคะแนนเสียหายไปหลายร้อยใบ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า ทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่องโยงกัน และได้เผยภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด ซึ่งแสดงให้เห็นรถยนต์วอลโว่ S-60 สีดำหรือสีเข้ม รุ่นปี 2001-2004 จอดอยู่ข้างๆ กล่องลงคะแนนเสียง ก่อนจะเกิดเพลิงไหม้ตามมา ซึ่งขณะนี้ กำลังเร่งสืบสวนหามือก่อเหตุ โดยหวังว่าจะมีใครจำรถคันนี้ได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • บัตรเลือกตั้งสหรัฐฯหลายร้อยใบถูกทำลาย หลังกล่องหย่อนบัตร 2 ใบ ในรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน ได้เกิดไฟลุกไหม้ ใน 2 เหตุการณ์ที่ทางพวกเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกัน
    .
    หีบบัตรเลือกตั้งหนึ่ง ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ถูกเล่นงานในตอนเช้าวันจันทร์(28ต.ค.) และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หีบเลือกตั้งอีกหีบ ได้ถูกเล่นงานในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน
    .
    เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า มีความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ลอบวางเพลิง 2 ครั้งนี้เกี่ยวข้องกัน และในขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะที่ต้องสงสัยในรัฐออริกอนได้แล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของคนร้ายในการก่อเหตุนั้นคืออะไร แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ
    .
    เอฟบีไอถูกเรียกเข้าช่วยเหลือสืบสวนคดีนี้แล้ว "มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย" เกรก คิมซีย์ เจ้าหน้าที่เลือกตั้งในคลาร์ก เคาน์ตี รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเตอร์ กล่าว "มันเป็นการโจมตีใส่ประชาธิปไตยโดยตรง"
    .
    คิมซีย์ เผยว่าหีบหย่อนบัตรลงคะแนนทั้ง 2 หีบ มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ แต่หีบในแวนคูเวอร์ดูเหมือนว่าระบบจะทำงานขัดข้อง ไม่สามารถช่วยบัตรเลือกตั้งหลายร้อยใบให้รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายได้
    .
    ระหว่างแถลงข่าวในเมืองพอร์ทแลนด์ พวกเจ้าหน้าที่ระบุว่าวัตถุต่างๆที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ ที่พวกเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ได้ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ไฟไหม้หีบบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์(28ต.ค.) มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามในพอร์ทแลนด์ เชื่อว่ามีบัตรลงคะแนนได้รับความเสียหายเพียง 3 ใบ
    .
    นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเชื่อว่าทั้ง 2 เหตุการณ์เชื่อมโยงกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม โดยคราวนั้นพบวัตถุที่ใช้ในการก่อเหตุ ถูกติดตั้ง ณ หีบหย่อนบัตรลงคะแนนอีกอัน ในแวนคูเวอร์ อย่างไรก็ตามไม่ได้บัตรเลือกตั้งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
    .
    เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นไม่ถึง 10 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งมันโหมกระพือความกังวลแก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก และหลายคนหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก
    .
    ที่ผ่านมา หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพวกรีพับลิกันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมันกลายเป็นแก่นกลางของทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา ที่เชื่อมโยงกับคำอ้างของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่าเขาถูกโกงเลือกตั้งในปี 2020
    .
    กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถูกออกแบบมาไม่ให้งัดแงะได้ และบ่อยครั้งมันถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านนอกสถานที่ต่างๆอย่างเช่นสำนักงานเลือกตั้ง ห้องสมุดและอาคารรัฐบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนใช้หย่อนบัตรลงคะแนน
    .
    ทั้งนี้กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นหนึ่งในช่องทางโหวตเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยประชาชนที่ได้รับบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์จะสามารถเลือกได้ว่าจะส่งคะแนนกลับทางไปรษณีย์เหมือนเดิม หรือจะนำมาหย่อนในตู้หย่อนก็ได้
    .
    รัฐต่างๆ 6 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การบริหารของรีพับลิกัน ได้แก่อาร์คันซอ, มิสซิสซิปปี, มิสซูรี, นอร์ทแคโรไลนา, เซาท์แคโรโลนา และ เซาท์ดาโคตา ต่างแบนการใช้หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งนี้
    .
    รายงานเเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำลายกล่องรับบัตรคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงออกคำเตือนแก่ประชาชนให้ระวังภัยการก่อเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งโดยฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104419
    ..............
    Sondhi X
    บัตรเลือกตั้งสหรัฐฯหลายร้อยใบถูกทำลาย หลังกล่องหย่อนบัตร 2 ใบ ในรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน ได้เกิดไฟลุกไหม้ ใน 2 เหตุการณ์ที่ทางพวกเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกัน . หีบบัตรเลือกตั้งหนึ่ง ในเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ถูกเล่นงานในตอนเช้าวันจันทร์(28ต.ค.) และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หีบเลือกตั้งอีกหีบ ได้ถูกเล่นงานในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน . เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า มีความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ลอบวางเพลิง 2 ครั้งนี้เกี่ยวข้องกัน และในขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะที่ต้องสงสัยในรัฐออริกอนได้แล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของคนร้ายในการก่อเหตุนั้นคืออะไร แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำโดยตั้งใจ . เอฟบีไอถูกเรียกเข้าช่วยเหลือสืบสวนคดีนี้แล้ว "มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใจสลาย" เกรก คิมซีย์ เจ้าหน้าที่เลือกตั้งในคลาร์ก เคาน์ตี รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองแวนคูเตอร์ กล่าว "มันเป็นการโจมตีใส่ประชาธิปไตยโดยตรง" . คิมซีย์ เผยว่าหีบหย่อนบัตรลงคะแนนทั้ง 2 หีบ มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ แต่หีบในแวนคูเวอร์ดูเหมือนว่าระบบจะทำงานขัดข้อง ไม่สามารถช่วยบัตรเลือกตั้งหลายร้อยใบให้รอดพ้นจากการถูกเผาทำลายได้ . ระหว่างแถลงข่าวในเมืองพอร์ทแลนด์ พวกเจ้าหน้าที่ระบุว่าวัตถุต่างๆที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุ ที่พวกเจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ได้ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ไฟไหม้หีบบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์(28ต.ค.) มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามในพอร์ทแลนด์ เชื่อว่ามีบัตรลงคะแนนได้รับความเสียหายเพียง 3 ใบ . นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังเชื่อว่าทั้ง 2 เหตุการณ์เชื่อมโยงกับอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม โดยคราวนั้นพบวัตถุที่ใช้ในการก่อเหตุ ถูกติดตั้ง ณ หีบหย่อนบัตรลงคะแนนอีกอัน ในแวนคูเวอร์ อย่างไรก็ตามไม่ได้บัตรเลือกตั้งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว . เหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นไม่ถึง 10 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งมันโหมกระพือความกังวลแก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก และหลายคนหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก . ที่ผ่านมา หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพวกรีพับลิกันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมันกลายเป็นแก่นกลางของทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา ที่เชื่อมโยงกับคำอ้างของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่าเขาถูกโกงเลือกตั้งในปี 2020 . กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้ง ถูกออกแบบมาไม่ให้งัดแงะได้ และบ่อยครั้งมันถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านนอกสถานที่ต่างๆอย่างเช่นสำนักงานเลือกตั้ง ห้องสมุดและอาคารรัฐบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนใช้หย่อนบัตรลงคะแนน . ทั้งนี้กล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นหนึ่งในช่องทางโหวตเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยประชาชนที่ได้รับบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์จะสามารถเลือกได้ว่าจะส่งคะแนนกลับทางไปรษณีย์เหมือนเดิม หรือจะนำมาหย่อนในตู้หย่อนก็ได้ . รัฐต่างๆ 6 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การบริหารของรีพับลิกัน ได้แก่อาร์คันซอ, มิสซิสซิปปี, มิสซูรี, นอร์ทแคโรไลนา, เซาท์แคโรโลนา และ เซาท์ดาโคตา ต่างแบนการใช้หีบหย่อนบัตรเลือกตั้งนี้ . รายงานเเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำลายกล่องรับบัตรคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีขึ้นหลังเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงออกคำเตือนแก่ประชาชนให้ระวังภัยการก่อเหตุรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งโดยฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104419 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1394 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ก่อการร้าย ๔ คน ถูกอิหร่านสังหารด้วยการโจมตีด้วยโดรน ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้

    พวกเขาสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย และพยายามหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
    .
    ⚡️BREAKING

    4 terrorists were decimated by Iran with a drone strike while hiding under a tree

    They killed several police officers and were trying to flee to the neighboring countries
    .
    3:02 AM · Oct 28, 2024 · 301.3K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1850629264091009162
    ผู้ก่อการร้าย ๔ คน ถูกอิหร่านสังหารด้วยการโจมตีด้วยโดรน ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ พวกเขาสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย และพยายามหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน . ⚡️BREAKING 4 terrorists were decimated by Iran with a drone strike while hiding under a tree They killed several police officers and were trying to flee to the neighboring countries . 3:02 AM · Oct 28, 2024 · 301.3K Views https://x.com/IranObserver0/status/1850629264091009162
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 29 0 รีวิว
  • เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง
    .
    คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ
    .
    นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย
    .
    โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป
    .
    อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป
    .............
    Sondhi X
    เบื้องหลังดีเอสไอ รับคดี The Icon ตำรวจถอยรอรับคำสั่ง . คดี The Icon มาถึงประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตา ภายหลังมีการส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มารับไม้ต่อในฐานะคดีพิเศษ โดยเรื่องนี้ลำดับขั้นตอนที่น่าสนใจ คือ เรื่องนี้เป็นกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อความผิดใดความผิดหนึ่งเข้าลักษณะตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ. 2547 และเป็นความผิดที่มีลักษณะตามประกาศของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ตำรวจจึงต้องถือปฏิบัติตามกฏหมายที่ต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานต่างๆ ในความรับผิดชอบเบื้องต้น ให้กับ dsi ตามกำหนดเวลาเพื่อไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ที่สำคัญคดีนี้หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้มีการสอบสวนปากคำประชาชนที่เชื่อว่าตกเป็นผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานมาโดยตลอด ซึ่งก็เริ่มมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความมากขึ้น จนปริมาณงานไม่สัมพันธ์กับจำนวนพนักงานสอบสวนของ บช.ก. ที่ต้องทำงานตั้งแต่ 9.00 - 02.00 ของวันรุ่งขึ้น จากปริมาณประชาชนที่มาแจ้งความและการรอคอยเพื่อให้ปากคำ ทำให้ประชาชนต้องรอเป็นเวลานาน บางรายรอจนข้ามวัน ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงสั่งให้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความขึ้นทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เชื่อว่าเป็นผู้เสียหาย จนถึง ณ วันนี้ มีการสอบสวนผู้เสียหายไปกว่า 9,000 คน และมีมูลค่าที่เชื่อว่าเสียหายถึง 2,900 ล้านบาทเศษ . นับตั้งแต่วันที่มีการสอบสวนปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดของ บช.ก. ได้มีการประชุม ,การวิเคราะห์ พิจารณาคำให้การ, การตรวจค้น , ออกหมายจับและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรวบรวมและแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาโดยตลอด ถือว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเต็มที่ไปถึง 80% แล้ว ดังนั้นในการดำเนินการเบื้องต้น ตำรวจก็มีความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมมากพอสมควรที่จะส่งให้ดีเอสไอรับไปดำเนินการตามกฏหมาย . โดยเมื่อดีเอสไอรับคดีไปแล้วตำรวจก็อาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนได้ โดยดีเอสไออาจร้องขอให้ตำรวจหรือหน่วยงานใด เข้าช่วยเหลือ หรือปฏิบัติงานร่วมกันตามข้อบังคับของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้ ซึ่งตำรวจได้ยืนยันไปแล้วว่า มีความพร้อมและยินดีที่จะยังร่วมดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายกับดีเอสไอต่อไป . อย่างไรก็ตามเมื่อส่งสำนวนการสอบสวนในคดีดิไอคอนกรุ๊ป ไปให้ดีเอสไอแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวน ก็อาจใช้มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ รัฐมนตรีอาจเสนอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานอื่นมาปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อช่วยเหลือในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษนั้นได้” ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ หน่วยงานต่างๆ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ช่วยเหลือ เพื่อประโยชน์แห่งการสืบสวนสอบสวน ในคดีนี้ต่อไป ............. Sondhi X
    Like
    Angry
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 775 มุมมอง 1 รีวิว
  • 'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว
    .
    สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
    .
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา
    .
    "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้"
    .
    นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว
    .
    ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก
    พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่
    .
    นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย
    ..............
    Sondhi X
    'ภูมิธรรม'ท่องสคริปเป๊ะ รัฐบาลทำเต็มที่ คดีตากใบจบแล้ว . สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง ภายหลังอายุคดีการสลายการชุมนุมหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส หมดอายุความ ทำให้ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม . นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีความกังวลตั้งแต่ต้นมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่จบ ทั้งท่าทีที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามจบคดีนี้ตั้งแต่แรก และใช้เวลา 4-5 ปีในการติดตามแก้ไขปัญหา . "ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้มีกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่ารัฐบาลมีกระบวนการยุติธรรม อย่างที่ตนเคยบอกว่า เคยนำคดีเข้าสู่ศาลฯ อย่างน้อย 4 คดี เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำมา ก็ได้ทำมาอย่างยาวนาน และที่ศาลฯ ได้ตัดสินในช่วง 5 ปีแรกจนถึงตอนนี้ผ่านมาแล้วกว่า 15 ปี ไม่เคยมีการหยิบหยก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล แต่เหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ และไม่สามารถออก พ.ร.ก.แก้ไขอายุความ ตามที่มีหลายฝ่ายเสนอมาได้" . นายภูมิธรรม ย้ำว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง อย่าให้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก และไม่ใช่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ให้เลวร้ายที่สุด แต่เราดูแลป้องกันตลอดอยู่แล้ว เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแต่ละฝ่าย เห็นพูดกันในสภาฯ ว่ามีคนเสียชีวิตกว่า 700 กว่าคน แต่ความจริงมีเพียง 70 กว่าคน ถ้าจะนำคนเสียชีวิต 700 กว่าคน ซึ่งต้องนับรวมทหารที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้ถือว่า จบแล้ว . ขณะที่ การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่นั้นเริ่มมีการปรับแนวทางการทำงานเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อกรณีคดีตากใบ เชื่อมโยงกรณีตากใบอีก พันตำรวจเอก ประยงค์ โคตรสาขา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยกระดับคุมเข้ม4มุมเมือง ด่านทุกปรากการมีการตรวจ จยย. และรถยนต์ที่เข้าออกปัตตานี ร่วมถึงตรวจบุคคลที่มีรายชื่ออยู่สารระบบ หวั่นคนร้ายก่อเหตุในช่วงระหว่างนี้ หลังหน่วยความมั่นคงทราบว่ามีการนำอาวุธ และระเบิดพักค่อยเตรียมก่อเหตุอีกครั้งในพื้นที่ . นอกจากนี้ ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ หน้า สภ.อ.ปะนาเระ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วน ประกอบด้วย ผกก.ปะนาเระ รองสืบสวน 3 นาย รองฝ่ายป้องกันปราบปราม อ.ปะนาเระ 2 นาย .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • ● ฉ้อโกง กับ ฉ้อโกงประชาชน ●

    ¤ ฉ้อโกง ¤
    • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่หกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

    ▪︎ สรุปให้เข้าใจง่ายๆ : องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงคือ (1) การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหลงเชื่อจึงได้มอบทรัพย์สินให้ แล้วตนเองได้ทรัพย์สินดังกล่าวไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ก็จะครบองค์ประกอบความผิด ของมาตรานี้แล้ว โดยผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามไม่ต้องถูกบังคับแต่อย่างใด(เต็มใจให้ แต่การเต็มใจให้นั้นก็เพราะถูกหลอกลวง)

    (2) การหลอกลวงให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ เมื่อผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามได้กระทำ อย่างหนึ่งอย่างใด(ทำ,ถอน,ทำลาย) ความผิดจะสำเร็จทันทีเพราะได้มีการกระทำครบองค์ประกอบของความผิดแล้ว
    -เอกสารสิทธิคืออะไร ให้ดูคำนิยามใน [ป.อ.มาตรา ๑(๙)"เอกสารสิทธิ"หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ]
    ตัวอย่างเช่น สัญญากู้ยืม , สัญญาจ้าง , สัญญาซื้อขาย , สัญญาจำนอง เป็นต้น

    ¤ ฉ้อโกงประชาชน ¤
    • มาตรา ๓๔๓ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    ▪︎ สรุปให้เข้าใจง่ายๆ : ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา ๓๔๓ จะมีโทษหนักขึ้นกว่าฉ้อโกงทั่วไป และเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ หรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แม้ผู้เสียหายไม่ได้ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้หรือเห็นว่ามีการกระทำความผิด ตำรวจก็มีอำนาจดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดได้
    เช่น พวกแชร์ลูกโซ่ต่างๆ หรือการหลอกลวงต่างๆ แต่ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก เช่น จำเลยไม่ใช่แพทย์ แต่โฆษณาต่อบุคคลทั่วไปว่ารักษาโรคได้หลายชนิด เมื่อมีคนมาสอบถาม จำเลยก็พูดยืนยันว่าสามารถรักษาโรคต่างๆให้หายได้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากมารักษาและเสียค่ารักษาให้แก่จำเลย / จำเลยประกาศรับสมัครงานไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งไม่มีตำแหน่งงานดังกล่าวจริง เมื่อมีคนมาสอบถาม จำเลยยืนยันว่ามีงานจริง ผู้คนจึงสมัครเสียเงินไปทำงานด้วยเป็นจำนวนมาก ก็เป็นความผิดฉ้อโกงประชาชนแล้ว เป็นต้น
    ● ฉ้อโกง กับ ฉ้อโกงประชาชน ● ¤ ฉ้อโกง ¤ • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่หกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ▪︎ สรุปให้เข้าใจง่ายๆ : องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงคือ (1) การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหลงเชื่อจึงได้มอบทรัพย์สินให้ แล้วตนเองได้ทรัพย์สินดังกล่าวไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ก็จะครบองค์ประกอบความผิด ของมาตรานี้แล้ว โดยผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามไม่ต้องถูกบังคับแต่อย่างใด(เต็มใจให้ แต่การเต็มใจให้นั้นก็เพราะถูกหลอกลวง) (2) การหลอกลวงให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ เมื่อผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามได้กระทำ อย่างหนึ่งอย่างใด(ทำ,ถอน,ทำลาย) ความผิดจะสำเร็จทันทีเพราะได้มีการกระทำครบองค์ประกอบของความผิดแล้ว -เอกสารสิทธิคืออะไร ให้ดูคำนิยามใน [ป.อ.มาตรา ๑(๙)"เอกสารสิทธิ"หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ] ตัวอย่างเช่น สัญญากู้ยืม , สัญญาจ้าง , สัญญาซื้อขาย , สัญญาจำนอง เป็นต้น ¤ ฉ้อโกงประชาชน ¤ • มาตรา ๓๔๓ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ▪︎ สรุปให้เข้าใจง่ายๆ : ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา ๓๔๓ จะมีโทษหนักขึ้นกว่าฉ้อโกงทั่วไป และเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ หรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แม้ผู้เสียหายไม่ได้ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้หรือเห็นว่ามีการกระทำความผิด ตำรวจก็มีอำนาจดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดได้ เช่น พวกแชร์ลูกโซ่ต่างๆ หรือการหลอกลวงต่างๆ แต่ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก เช่น จำเลยไม่ใช่แพทย์ แต่โฆษณาต่อบุคคลทั่วไปว่ารักษาโรคได้หลายชนิด เมื่อมีคนมาสอบถาม จำเลยก็พูดยืนยันว่าสามารถรักษาโรคต่างๆให้หายได้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากมารักษาและเสียค่ารักษาให้แก่จำเลย / จำเลยประกาศรับสมัครงานไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งไม่มีตำแหน่งงานดังกล่าวจริง เมื่อมีคนมาสอบถาม จำเลยยืนยันว่ามีงานจริง ผู้คนจึงสมัครเสียเงินไปทำงานด้วยเป็นจำนวนมาก ก็เป็นความผิดฉ้อโกงประชาชนแล้ว เป็นต้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจเฟซบุ๊ก "พระลาน" เผยแพร่ตำแหน่งที่ตั้งจุดอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ในการเฝ้ารับเสด็จฯ เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 งานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ทางขบวนพยุหยาตราทางชลมารค วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567

    1. แนวริมน้ำ ธนาคารแห่งประเทศไทย
    2. ใต้สะพานพระราม ๘ (ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
    3. ใต้สะพานพระราม ๘ (ฝั่งธนบุรี)
    4. ทางเดินริมน้ำ สวนสันติชัยปราการ
    5. ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
    6. ลาน 60 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
    7. สวนสุขภาพฯ รพ.ศิริราช
    8. ลานปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
    9. อัฒจันทร์ อุทยานสถานพิมุข รพ.ศิริราช
    10. ท่าช้าง
    11. วัดระฆังโฆสิตาราม
    12. ท่าเตียน
    13. ท่าเรือวัดโพธิ์
    14. วัดอรุณราชวราราม

    - จุดติดตั้งจอแอลอีดี พร้อมเครื่องขยายเสียง เพื่อให้ประชาชนรับชมในการเฝ้ารับเสด็จฯ
    1. วัดอรุณ
    2. วัดระฆัง
    3. ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
    4. ลาน 60 ปี ธรรมศาสตร์
    5. สวนสันติชัยปราการ จำนวน 2 จอ
    6. ราชนาวีสโมสร
    7. อุทยานพิมุขสถาน
    8. ลานพลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์ จำนวน 2 จอ
    9. ลานทัศนาภิรมย์ หอประชมกองทัพเรือ จำนวน 2 จอ
    10. ลานปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์
    11. ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งบางพลัด จำนวน 2 จอ 12. ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย
    13. สวนนคราภิรมย์
    14. ลานคนเมือง

    - ข้อแนะนำของประชาชน ในการเดินทางมาเฝ้าฯ รับเสด็จ และชมขบวนพยุหยาตราชลมารค
    1. พกบัตรประชาชน บัตรแสดงตน หนังสือเดินทาง เพื่อความสะดวก
    2. เขียนชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ปกครองติดไว้กับตัวเด็ก
    3. พกยาประจำตัวมาด้วย
    4. เตรียมน้ำดื่ม ร่ม/หมวก
    5.สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดจิตอาสา

    ที่มา เพจเฟซบุ๊ก“พระลาน”

    #Thaitimes
    เพจเฟซบุ๊ก "พระลาน" เผยแพร่ตำแหน่งที่ตั้งจุดอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ในการเฝ้ารับเสด็จฯ เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 งานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ทางขบวนพยุหยาตราทางชลมารค วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 1. แนวริมน้ำ ธนาคารแห่งประเทศไทย 2. ใต้สะพานพระราม ๘ (ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย) 3. ใต้สะพานพระราม ๘ (ฝั่งธนบุรี) 4. ทางเดินริมน้ำ สวนสันติชัยปราการ 5. ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า 6. ลาน 60 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 7. สวนสุขภาพฯ รพ.ศิริราช 8. ลานปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 9. อัฒจันทร์ อุทยานสถานพิมุข รพ.ศิริราช 10. ท่าช้าง 11. วัดระฆังโฆสิตาราม 12. ท่าเตียน 13. ท่าเรือวัดโพธิ์ 14. วัดอรุณราชวราราม - จุดติดตั้งจอแอลอีดี พร้อมเครื่องขยายเสียง เพื่อให้ประชาชนรับชมในการเฝ้ารับเสด็จฯ 1. วัดอรุณ 2. วัดระฆัง 3. ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า 4. ลาน 60 ปี ธรรมศาสตร์ 5. สวนสันติชัยปราการ จำนวน 2 จอ 6. ราชนาวีสโมสร 7. อุทยานพิมุขสถาน 8. ลานพลับพลาสยามินทราศิริราชานุสรณีย์ จำนวน 2 จอ 9. ลานทัศนาภิรมย์ หอประชมกองทัพเรือ จำนวน 2 จอ 10. ลานปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ 11. ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งบางพลัด จำนวน 2 จอ 12. ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย 13. สวนนคราภิรมย์ 14. ลานคนเมือง - ข้อแนะนำของประชาชน ในการเดินทางมาเฝ้าฯ รับเสด็จ และชมขบวนพยุหยาตราชลมารค 1. พกบัตรประชาชน บัตรแสดงตน หนังสือเดินทาง เพื่อความสะดวก 2. เขียนชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ปกครองติดไว้กับตัวเด็ก 3. พกยาประจำตัวมาด้วย 4. เตรียมน้ำดื่ม ร่ม/หมวก 5.สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดจิตอาสา ที่มา เพจเฟซบุ๊ก“พระลาน” #Thaitimes
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 687 มุมมอง 0 รีวิว
  • วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ

    23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย

    บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง

    ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/

    #Thaitimes
    วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ 23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/ #Thaitimes
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลเกมคดี’ดิ ไอคอน’จะรอดเพราะเงินมันเยอะ
    .
    หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน"
    .
    ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย
    .
    ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว
    .
    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง
    .
    ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ
    .
    คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
    .
    คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม

    ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ

    #Thaitimes
    กลเกมคดี’ดิ ไอคอน’จะรอดเพราะเงินมันเยอะ . หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน" . ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย . ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว . นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง . ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ . คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว . คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 796 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลเกมคดี ’ดิ ไอคอน’ จะรอดเพราะเงินมันเยอะ
    .
    หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน"
    .
    ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย
    .
    ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว
    .
    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง
    .
    ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ
    .
    คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
    .
    คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม
    กลเกมคดี ’ดิ ไอคอน’ จะรอดเพราะเงินมันเยอะ . หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน" . ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย . ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว . นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง . ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ . คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว . คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 537 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักการเมือง-นักร้องมีหนาว คนขับรถบอสพอลมอบมือถือให้ ตร. เร่งพิสูจน์คลิปเสียงเทวดา
    .
    นักการเมือง-นักร้องเรียนดัง มีหนาวๆ ร้อนๆ “นายเอก” คนขับรถ “บอสพอล” ตัวละครลับ ดอดส่งมอบมือถืออีกเครื่องให้ตำรวจ เร่งพิสูจน์ไฟล์คลิปเสียงเทวดา ด้านบิ๊กเต่าเตรียมเรียก ปปป. ถกหารือแนวทางคดีพรุ่งนี้
    .
    วันนี้ (20 ต.ค.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีตรวจสอบคลิปเสียงลับ นักร้องเรียน นักการเมืองชื่อดัง เรียกรับเงินจาก นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล ดิไอคอนกรุ๊ป”ตามที่นายวรัตน์พล เคยกล่าวอ้างว่ามีการบันทึกเป็นคลิปเสียงไว้เป็นหลักฐานจำนวนหลายคลิป ว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ประสานข้อมูลร่วมกับทางตำรวจ บก.ปอท. เพื่อตรวจสอบไฟล์ต่างๆ ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของนายวรัตน์พลที่ยึดไว้ ทราบว่ายังอยู่ระหว่างดำเนินการ
    .
    เมื่อถามว่า จะมีการเชิญตัวนักการเมืองดัง หรือบุคคลที่ถูกพาดพิงถึง มาเข้าให้ปากคำเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอบว่า ในส่วนนี้คงต้องผลการตรวจพิสูจน์ทราบพยานหลักฐานต่างๆ ให้แน่ชัดก่อน ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (21 ต.ค.) ตนและทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. จะมีการประชุมย่อยนอกรอบเพื่อหารือแนวทางการทำงาน
    .
    รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการติดตามตัว นายเอก คนขับรถส่วนตัวของ นายวรัตน์พล หรือ บอสพอล เพื่อตามหาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของบอสพอลอีกเครื่องมาตรวจสอบนั้น ล่าสุดมีรายงานแจ้งเข้ามาว่า เมื่อข่วงเย็นวานนี้ที่ผ่านมา (19 ต.ค.) นายเอก ได้ประสานติดต่อเข้ามายังเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว เพื่อส่งมอบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องของนายวรัตน์พลให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
    .
    โดยนายเอก ยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนานำโทรศัพท์ของบอสพอลไปซุกซ่อนแต่อย่างใด เพียงแต่ตั้งใจจะนำไปให้เลขาส่วนตัวของบอสพอลดูแลเก็บรักษาไว้ แต่เมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่ต้องการจะตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน จึงรีบนำมาส่งมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ในทันที
    .
    สำหรับโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ข้อมูลภายในเครื่องน่าจะมีไฟล์คลิปเสียง ที่นายวรัตน์พลเคยแอบบันทึกอัดเก็บไว้ขณะสนทนากับบรรดานักร้องเรียน และนักการเมืองดัง ต่างๆ ที่พยายามเข้ามาเจรจาเรียกรับเงินค่าดูแล ตามคำกล่าวอ้างของเจ้าตัวที่เคยให้ปากคำไว้อยู่จริง
    .
    เพราะเจ้าตัวเคยให้การยอมรับว่า มีโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง โดยเครื่องหลักที่ถูกตรวจยึดไปก่อนหน้านี้จะใช้สำหรับติดต่อทั่วไป ส่วนอีกเครื่องที่นายเอก คนขับรถเก็บรักษาไว้ จะใช้สำหรับบันทึกข้อมูลหรือกิจกรรมงานต่างๆ รวมถึงใช้เป็นเครื่องอัดเสียงเวลาที่ถูกกลุ่มคนเหล่านี้โทรเข้ามาข่มขู่เรียกเงิน ซึ่งหากการตรวจสอบข้อมูลภายในเครื่องแล้วพบว่ามีไฟล์คลิปเสียงดังกล่าวอยู่ในเครื่องจริง ก็จะถือกุญแจดอกสำคัญในการคลี่ปมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีคลิปเสียงลับฉาวต่างๆ ว่ามีบุคคลใดบ้างเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง
    .
    อย่างไรก็ตาม ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้รับการส่งมอบโทรศัพท์มือถือจากนายเอก คนขับรถส่วนตัวแล้ว ก็ได้รีบนำส่งต่อไปยังตำรวจ บก.ปอท. เพื่อตรวจวิเคราะห์ข้อมูลภายในเครื่องในทันที ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีบุคคลใกล้ชิดคนใดของนายวรัตน์พล ที่ทราบรหัสพาสเวิร์ดเปิดเครื่อง จึงทำให้ยังไม่สามารถเปิดโทรศัพท์เพื่อตรวจสอบข้อมูลในทันทีได้
    ...............
    Somdhi X
    นักการเมือง-นักร้องมีหนาว คนขับรถบอสพอลมอบมือถือให้ ตร. เร่งพิสูจน์คลิปเสียงเทวดา . นักการเมือง-นักร้องเรียนดัง มีหนาวๆ ร้อนๆ “นายเอก” คนขับรถ “บอสพอล” ตัวละครลับ ดอดส่งมอบมือถืออีกเครื่องให้ตำรวจ เร่งพิสูจน์ไฟล์คลิปเสียงเทวดา ด้านบิ๊กเต่าเตรียมเรียก ปปป. ถกหารือแนวทางคดีพรุ่งนี้ . วันนี้ (20 ต.ค.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีตรวจสอบคลิปเสียงลับ นักร้องเรียน นักการเมืองชื่อดัง เรียกรับเงินจาก นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล ดิไอคอนกรุ๊ป”ตามที่นายวรัตน์พล เคยกล่าวอ้างว่ามีการบันทึกเป็นคลิปเสียงไว้เป็นหลักฐานจำนวนหลายคลิป ว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ประสานข้อมูลร่วมกับทางตำรวจ บก.ปอท. เพื่อตรวจสอบไฟล์ต่างๆ ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของนายวรัตน์พลที่ยึดไว้ ทราบว่ายังอยู่ระหว่างดำเนินการ . เมื่อถามว่า จะมีการเชิญตัวนักการเมืองดัง หรือบุคคลที่ถูกพาดพิงถึง มาเข้าให้ปากคำเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับกรณีนี้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอบว่า ในส่วนนี้คงต้องผลการตรวจพิสูจน์ทราบพยานหลักฐานต่างๆ ให้แน่ชัดก่อน ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (21 ต.ค.) ตนและทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. จะมีการประชุมย่อยนอกรอบเพื่อหารือแนวทางการทำงาน . รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการติดตามตัว นายเอก คนขับรถส่วนตัวของ นายวรัตน์พล หรือ บอสพอล เพื่อตามหาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของบอสพอลอีกเครื่องมาตรวจสอบนั้น ล่าสุดมีรายงานแจ้งเข้ามาว่า เมื่อข่วงเย็นวานนี้ที่ผ่านมา (19 ต.ค.) นายเอก ได้ประสานติดต่อเข้ามายังเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว เพื่อส่งมอบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องของนายวรัตน์พลให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ . โดยนายเอก ยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนานำโทรศัพท์ของบอสพอลไปซุกซ่อนแต่อย่างใด เพียงแต่ตั้งใจจะนำไปให้เลขาส่วนตัวของบอสพอลดูแลเก็บรักษาไว้ แต่เมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่ต้องการจะตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน จึงรีบนำมาส่งมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ในทันที . สำหรับโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ข้อมูลภายในเครื่องน่าจะมีไฟล์คลิปเสียง ที่นายวรัตน์พลเคยแอบบันทึกอัดเก็บไว้ขณะสนทนากับบรรดานักร้องเรียน และนักการเมืองดัง ต่างๆ ที่พยายามเข้ามาเจรจาเรียกรับเงินค่าดูแล ตามคำกล่าวอ้างของเจ้าตัวที่เคยให้ปากคำไว้อยู่จริง . เพราะเจ้าตัวเคยให้การยอมรับว่า มีโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง โดยเครื่องหลักที่ถูกตรวจยึดไปก่อนหน้านี้จะใช้สำหรับติดต่อทั่วไป ส่วนอีกเครื่องที่นายเอก คนขับรถเก็บรักษาไว้ จะใช้สำหรับบันทึกข้อมูลหรือกิจกรรมงานต่างๆ รวมถึงใช้เป็นเครื่องอัดเสียงเวลาที่ถูกกลุ่มคนเหล่านี้โทรเข้ามาข่มขู่เรียกเงิน ซึ่งหากการตรวจสอบข้อมูลภายในเครื่องแล้วพบว่ามีไฟล์คลิปเสียงดังกล่าวอยู่ในเครื่องจริง ก็จะถือกุญแจดอกสำคัญในการคลี่ปมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีคลิปเสียงลับฉาวต่างๆ ว่ามีบุคคลใดบ้างเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง . อย่างไรก็ตาม ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้รับการส่งมอบโทรศัพท์มือถือจากนายเอก คนขับรถส่วนตัวแล้ว ก็ได้รีบนำส่งต่อไปยังตำรวจ บก.ปอท. เพื่อตรวจวิเคราะห์ข้อมูลภายในเครื่องในทันที ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีบุคคลใกล้ชิดคนใดของนายวรัตน์พล ที่ทราบรหัสพาสเวิร์ดเปิดเครื่อง จึงทำให้ยังไม่สามารถเปิดโทรศัพท์เพื่อตรวจสอบข้อมูลในทันทีได้ ............... Somdhi X
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟ้องด้วยภาพ…
    มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ

    รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา

    และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด

    ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท

    ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท

    ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท

    ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์
    https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms

    #Thaitimes
    ฟ้องด้วยภาพ… มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรึงกำลังเข้มทั้งภายในและรอบห้างเซ็นทรัลขอนแก่น หลังมีแรงงานชาวพม่าโพสต์ขู่จะไปห้างฯและกราดยิง 50 นัด อย่างน้อยต้องมีคนตาย 20 ศพ เผยชายต่างด้าวรายนี้ยังโพสต์ตัดพ้อเครียดเพราะถูกโกงเงิน 6,000 บาท ไปขอเงินนายก็ถูกกระทืบ ไปแจ้งความ 2ครั้ง ก็ไม่มีใครช่วย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000100369

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรึงกำลังเข้มทั้งภายในและรอบห้างเซ็นทรัลขอนแก่น หลังมีแรงงานชาวพม่าโพสต์ขู่จะไปห้างฯและกราดยิง 50 นัด อย่างน้อยต้องมีคนตาย 20 ศพ เผยชายต่างด้าวรายนี้ยังโพสต์ตัดพ้อเครียดเพราะถูกโกงเงิน 6,000 บาท ไปขอเงินนายก็ถูกกระทืบ ไปแจ้งความ 2ครั้ง ก็ไม่มีใครช่วย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000100369 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Angry
    28
    3 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 2730 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผย 18 รายชื่อเครือข่ายดิไอคอนฯ ออกหมายจับฉ้อโกง-พ.ร.บ.คอมฯ
    .
    วันนี้ (16 ต.ค.) รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ระบุว่า ได้สรุปเป้าหมายออกหมายจับและหมายค้นในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 คน ซึ่งได้ออกหมายจับใน 2 ข้อหา ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
    .
    1. นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล) ถูกจับกุมแล้ว
    2. น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (บอสปัน) ถูกจับกุมแล้ว
    3. นายกลด เศรษฐนันท์ (บอสปีเตอร์)
    4. นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ (บอสหมอเอก) ถูกจับกุมแล้ว
    5. น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ (บอสสวย) ถูกจับกุมแล้ว
    6. น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสโซดา) ถูกจับกุมแล้ว
    7. นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา (บอสโอม) ถูกจับกุมแล้ว
    8. นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ (บอสวิน) ถูกจับกุมแล้ว
    9. น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ (บอสแม่หญิง)
    10. น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา (บอสอูมมี่)
    .
    11. นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ (บอสทอมมี่)
    12. นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสป๊อป) ถูกจับกุมแล้ว
    13. นายจิระวัฒน์ แสงภักดี (โค้ชแล็ป)
    14. นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ (บอสออย) ถูกจับกุมแล้ว
    15. นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (บอสอ๊อฟ) ถูกจับกุมแล้ว
    16. นายกันต์ กันตถาวร (บอสกันต์)
    17. น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี (โค้ชมีน) ถูกจับกุมแล้ว
    18. นายยุรนันท์ ภมรมนตรี (บอสแซม) ถูกจับกุมแล้ว
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กำลังตำรวจชุดหนึ่งบุกเข้าแจ้งหมายจับกุมนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ขณะเข้าชี้แจงที่สำนักงาน สคบ. จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ่านหมายจับของศาลอาญาให้บอสพอลฟัง ก่อนควบคุมตัวไปสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. บอสพอลเดินทางมาที่ สคบ. ตามที่ สคบ. ได้ทำหนังสือเรียกไปก่อนหน้านี้ แม้ สคบ.จะแจ้งว่า เลยกำหนดเวลาที่จะสามารถชี้แจงได้แล้ว โดยเมื่อออกจากลิฟต์ ได้ยกมือไหว้ผู้สื่อข่าว ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะกรูเข้าไปสอบถาม แต่บอสพอลไม่ตอบคำถาม ได้แต่ยิ้มเมื่อถามถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดอายัดทรัพย์สิน ซึ่งในจังหวะที่ชุลมุน การ์ดของบอสพอลพยายามกันผู้สื่อข่าว เหยียบขาตั้งกล้องของช่างภาพ ได้รับความเสียหาย และเกิดการกระทบกระทั่ง บางช่วงการ์ดของบอสพอล ได้ตะโกนว่า "อย่าทำร้ายครับ เจ็บครับ" ก่อนที่ช่างภาพจะตะโกนกลับว่า "ไม่มีใครทำร้ายครับ"
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุอีกด้วยว่า ณ เวลา 17.00 น. บอสแซม และบอสมีน นักแสดงที่เป็นพรีเซนเตอร์ ถูกจับกุมแล้วเช่นกัน
    .
    คลิกอ่าน >> https://www.sondhitalk.com/detail/9670000099858
    .
    Sondhi X
    เผย 18 รายชื่อเครือข่ายดิไอคอนฯ ออกหมายจับฉ้อโกง-พ.ร.บ.คอมฯ . วันนี้ (16 ต.ค.) รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ระบุว่า ได้สรุปเป้าหมายออกหมายจับและหมายค้นในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 คน ซึ่งได้ออกหมายจับใน 2 ข้อหา ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย . 1. นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล) ถูกจับกุมแล้ว 2. น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (บอสปัน) ถูกจับกุมแล้ว 3. นายกลด เศรษฐนันท์ (บอสปีเตอร์) 4. นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ (บอสหมอเอก) ถูกจับกุมแล้ว 5. น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ (บอสสวย) ถูกจับกุมแล้ว 6. น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสโซดา) ถูกจับกุมแล้ว 7. นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา (บอสโอม) ถูกจับกุมแล้ว 8. นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ (บอสวิน) ถูกจับกุมแล้ว 9. น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ (บอสแม่หญิง) 10. น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา (บอสอูมมี่) . 11. นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ (บอสทอมมี่) 12. นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสป๊อป) ถูกจับกุมแล้ว 13. นายจิระวัฒน์ แสงภักดี (โค้ชแล็ป) 14. นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ (บอสออย) ถูกจับกุมแล้ว 15. นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (บอสอ๊อฟ) ถูกจับกุมแล้ว 16. นายกันต์ กันตถาวร (บอสกันต์) 17. น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี (โค้ชมีน) ถูกจับกุมแล้ว 18. นายยุรนันท์ ภมรมนตรี (บอสแซม) ถูกจับกุมแล้ว . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กำลังตำรวจชุดหนึ่งบุกเข้าแจ้งหมายจับกุมนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ขณะเข้าชี้แจงที่สำนักงาน สคบ. จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ่านหมายจับของศาลอาญาให้บอสพอลฟัง ก่อนควบคุมตัวไปสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) . ก่อนหน้านี้เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. บอสพอลเดินทางมาที่ สคบ. ตามที่ สคบ. ได้ทำหนังสือเรียกไปก่อนหน้านี้ แม้ สคบ.จะแจ้งว่า เลยกำหนดเวลาที่จะสามารถชี้แจงได้แล้ว โดยเมื่อออกจากลิฟต์ ได้ยกมือไหว้ผู้สื่อข่าว ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะกรูเข้าไปสอบถาม แต่บอสพอลไม่ตอบคำถาม ได้แต่ยิ้มเมื่อถามถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดอายัดทรัพย์สิน ซึ่งในจังหวะที่ชุลมุน การ์ดของบอสพอลพยายามกันผู้สื่อข่าว เหยียบขาตั้งกล้องของช่างภาพ ได้รับความเสียหาย และเกิดการกระทบกระทั่ง บางช่วงการ์ดของบอสพอล ได้ตะโกนว่า "อย่าทำร้ายครับ เจ็บครับ" ก่อนที่ช่างภาพจะตะโกนกลับว่า "ไม่มีใครทำร้ายครับ" . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุอีกด้วยว่า ณ เวลา 17.00 น. บอสแซม และบอสมีน นักแสดงที่เป็นพรีเซนเตอร์ ถูกจับกุมแล้วเช่นกัน . คลิกอ่าน >> https://www.sondhitalk.com/detail/9670000099858 . Sondhi X
    WWW.SONDHITALK.COM
    เผย 18 รายชื่อเครือข่ายดิไอคอนฯ ออกหมายจับฉ้อโกง-พ.ร.บ.คอมฯ
    วันนี้ (16 ต.ค.) รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ระบุว่า ได้สรุปเป้าหมายออกหมายจับและหมายค้นในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 18 คน ซึ่งได้ออกหมายจับใน 2 ข้อหา ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอ
    Like
    15
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1130 มุมมอง 0 รีวิว

  • ‘ดีเอสไอ’ ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี บุกทลายเหมืองขุด ‘บิทคอยน์’ พบเครื่องขุดกว่า 300 เครื่อง ลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวง เสียหายปีละ100ล้านบาท

    9 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวสำนักข่าวอิศราระบุว่า พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยนายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ,เจ้าหน้าที่ DSI และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่ตรวจค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยในพื้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นจุดทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล จำนวน 13 จุด ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท

    กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคำร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่า พบการลักลอบตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะบิทคอยน์อย่างผิดกฎหมาย โดยขอให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน

    ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด รวมตัวเช่าบ้านและอาคารพาณิชย์กว่า 13 แห่ง กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มีการนำเข้าเครื่องมือจากต่างประเทศ และลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า ส่งผลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากและกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้ขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล จำนวน 300 เครื่อง และควบคุมตัวนายกฤษดา (สงวนนามสกุล) ซึ่งรับว่าเป็นเจ้าของและผู้แล (แอดมิน) ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าม่วง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    นายธนะ กล่าวว่า การขุดเหมืองบิทคอยน์ดังกล่าว จะใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากขนาดเทียบเท่ากับโรงงานอุตสาหกรรม แต่มีการลักลอบดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมการระบุตัวเลขจากมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีจำนวนตัวเลขน้อยกว่าความเป็นจริง และจากการตรวจสอบประวัติการชำระค่าไฟฟ้าบ้านเป้าหมายแรก มีเครื่องขุดเงินดิจิทัล 12 เครื่อง กำลังเครื่องละ 3.6 กิโลวัตต์

    แต่กลับพบว่าเครือข่ายดังกล่าว จ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 100-400 บาทต่อเดือนเท่านั้น ทั้งๆที่ค่าไฟจริงเมื่อคำนวณตามกำลังของอุปกรณ์จะอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน ทำให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้ต่อรัฐ จึงได้ประสานขอความร่วมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษในการปราบปรามเรื่องดังกล่าว

    พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า การกระทำผิดในเรื่องนี้ นอกจากเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคไฟฟ้ารายอื่นแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้แผ่นดินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่นำส่งรายได้แผ่นดินเพื่อจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ และเข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และมาตรา 335 (1) และอาจมีความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายฐานความผิด ซึ่งหากพบความผิดที่เข้าข่ายความผิด ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เพิ่มเติม ก็จะรับเป็นคดีพิเศษต่อไป

    ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ต่างๆ ช่วยกันสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสถานที่น่าสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที และสำหรับกรณีที่อาจมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้อง กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความปลอดภัยทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

    https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/132463-DSI-Bitcoin-Mining-news.html

    #Thaitime
    ‘ดีเอสไอ’ ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี บุกทลายเหมืองขุด ‘บิทคอยน์’ พบเครื่องขุดกว่า 300 เครื่อง ลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวง เสียหายปีละ100ล้านบาท 9 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวสำนักข่าวอิศราระบุว่า พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยนายธนะ โชคพระสมบัติ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ,เจ้าหน้าที่ DSI และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่ตรวจค้นอาคารพาณิชย์ต้องสงสัยในพื้นที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อใช้เป็นจุดทำเหมืองขุดเงินดิจิทัล จำนวน 13 จุด ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละกว่า 100 ล้านบาท กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคำร้องเรียนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ว่า พบการลักลอบตั้งเหมืองขุดเงินดิจิทัลโดยเฉพาะบิทคอยน์อย่างผิดกฎหมาย โดยขอให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบทำการสืบสวน ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่ามีเครือข่ายผู้ลักลอบกระทำความผิด รวมตัวเช่าบ้านและอาคารพาณิชย์กว่า 13 แห่ง กระจายตัวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มีการนำเข้าเครื่องมือจากต่างประเทศ และลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า ส่งผลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากและกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้ขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเครื่องขุดสกุลเงินดิจิทัล จำนวน 300 เครื่อง และควบคุมตัวนายกฤษดา (สงวนนามสกุล) ซึ่งรับว่าเป็นเจ้าของและผู้แล (แอดมิน) ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าม่วง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นายธนะ กล่าวว่า การขุดเหมืองบิทคอยน์ดังกล่าว จะใช้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากขนาดเทียบเท่ากับโรงงานอุตสาหกรรม แต่มีการลักลอบดัดแปลงมิเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อควบคุมการระบุตัวเลขจากมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีจำนวนตัวเลขน้อยกว่าความเป็นจริง และจากการตรวจสอบประวัติการชำระค่าไฟฟ้าบ้านเป้าหมายแรก มีเครื่องขุดเงินดิจิทัล 12 เครื่อง กำลังเครื่องละ 3.6 กิโลวัตต์ แต่กลับพบว่าเครือข่ายดังกล่าว จ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 100-400 บาทต่อเดือนเท่านั้น ทั้งๆที่ค่าไฟจริงเมื่อคำนวณตามกำลังของอุปกรณ์จะอยู่ที่ประมาณ 150,000 บาทต่อเดือน ทำให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องสูญเสียรายได้จำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้ต่อรัฐ จึงได้ประสานขอความร่วมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษในการปราบปรามเรื่องดังกล่าว พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า การกระทำผิดในเรื่องนี้ นอกจากเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคไฟฟ้ารายอื่นแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการนำส่งรายได้แผ่นดินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่นำส่งรายได้แผ่นดินเพื่อจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ และเข้าข่ายความผิดฐานลักทรัพย์และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และมาตรา 335 (1) และอาจมีความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายฐานความผิด ซึ่งหากพบความผิดที่เข้าข่ายความผิด ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เพิ่มเติม ก็จะรับเป็นคดีพิเศษต่อไป ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ต่างๆ ช่วยกันสังเกตพื้นที่โดยรอบ หากพบสถานที่น่าสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที และสำหรับกรณีที่อาจมีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเกี่ยวข้อง กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเพื่อรักษาความปลอดภัยทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/132463-DSI-Bitcoin-Mining-news.html #Thaitime
    WWW.ISRANEWS.ORG
    ‘ดีเอสไอ’บุกทลายเหมืองขุด‘บิทคอยน์’ ลักลอบใช้ไฟหลวง-เสียหายปีละกว่า 100 ล้าน
    ‘ดีเอสไอ’ ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี บุกทลายเหมืองขุด ‘บิทคอยน์’ พบเครื่องขุดกว่า 300 เครื่อง ลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวง เสียหายปีละกว่า 100 ล้านบาท
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตรียมเชือดตำรวจ นำขบวนรถวีไอพี ครองถนนมอเตอร์เวย์
    .
    เมื่อปี 2566 เคยเกิดกรณีตำรวจไทยบริการเป็นรถนำขบวนให้กับนักท่องเที่ยวจีนจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จนทำให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลานั้น แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง และดำเนินคดีอาญากับตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 นาย ซึ่งปัจจุบันเรื่องดังกล่าวได้เงียบหายไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้เกิดกรณีใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว ภายหลังมีคลิปเหตุการณ์บนถนนมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ซึ่งมาจากการเผยแพร่ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ขณะพบตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ปิดขบวนประกบให้กับขบวนรถหรูซูเปอร์คาร์ โดยไม่ยินยอมให้ประชาชนคนอื่นๆขับรถผ่านไปได้
    .
    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั้น พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ระบุว่า พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวงได้รายงานเบื้องต้นแล้ว จึงได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลให้ทราบโดยเร็ว หากพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
    .
    ทั้งนี้ มีรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับการตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า ตำรวจทางหลวงนำรถขบวนรถหรูดังกล่าวโดยใช้เส้นทางถนนมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา เพื่อไปงานเดินเดิ่นโคราช เทศกาลกินเจ ชมรถหรู ดูดนตรี ที่นครราชสีมา โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงชั้นประทวนเป็นผู้นำขบวนและไม่ได้มีการแจ้งไปยังต้นสังกัด จึงได้สั่งให้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมพิจารณาโทษฑัณฑ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ได้มีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้มาช่วยราชการที่ ศปก.สถานีตำรวจทางหลวง 1 พร้อมกับตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษทางวินัยต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    เตรียมเชือดตำรวจ นำขบวนรถวีไอพี ครองถนนมอเตอร์เวย์ . เมื่อปี 2566 เคยเกิดกรณีตำรวจไทยบริการเป็นรถนำขบวนให้กับนักท่องเที่ยวจีนจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จนทำให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลานั้น แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง และดำเนินคดีอาญากับตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 นาย ซึ่งปัจจุบันเรื่องดังกล่าวได้เงียบหายไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้เกิดกรณีใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว ภายหลังมีคลิปเหตุการณ์บนถนนมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ซึ่งมาจากการเผยแพร่ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ขณะพบตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ปิดขบวนประกบให้กับขบวนรถหรูซูเปอร์คาร์ โดยไม่ยินยอมให้ประชาชนคนอื่นๆขับรถผ่านไปได้ . จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั้น พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ระบุว่า พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวงได้รายงานเบื้องต้นแล้ว จึงได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลให้ทราบโดยเร็ว หากพบว่ามีความผิดก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน . ทั้งนี้ มีรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับการตรวจสอบกรณีดังกล่าวว่า ตำรวจทางหลวงนำรถขบวนรถหรูดังกล่าวโดยใช้เส้นทางถนนมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา เพื่อไปงานเดินเดิ่นโคราช เทศกาลกินเจ ชมรถหรู ดูดนตรี ที่นครราชสีมา โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงชั้นประทวนเป็นผู้นำขบวนและไม่ได้มีการแจ้งไปยังต้นสังกัด จึงได้สั่งให้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมพิจารณาโทษฑัณฑ์ . อย่างไรก็ตาม ได้มีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้มาช่วยราชการที่ ศปก.สถานีตำรวจทางหลวง 1 พร้อมกับตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อลงโทษทางวินัยต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 693 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพัก “วิชม ทองสงค์” อดีต ผวจ. ในฐานะจำเลยคดีตากใบ แต่ไม่พบตัว ด้านลูกเผยไปอาศัยกับแม่อยู่ที่กรุงเทพฯ กว่า 1 เดือนแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094583

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านพัก “วิชม ทองสงค์” อดีต ผวจ. ในฐานะจำเลยคดีตากใบ แต่ไม่พบตัว ด้านลูกเผยไปอาศัยกับแม่อยู่ที่กรุงเทพฯ กว่า 1 เดือนแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000094583 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    24
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2764 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts