• “Crimson Collective เจาะระบบ AWS ด้วย TruffleHog — ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat และเริ่มขยายเป้าหมายสู่คลาวด์ทั่วโลก”

    กลุ่มแฮกเกอร์ Crimson Collective ซึ่งเคยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ Red Hat ด้วยการขโมยข้อมูลกว่า 570GB จาก GitLab repository ภายในองค์กร กำลังขยายเป้าหมายไปยังระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) โดยใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ TruffleHog ในการค้นหาคีย์ลับและข้อมูลรับรองที่หลุดจากโค้ดหรือ repository สาธารณะ

    เมื่อได้ข้อมูลรับรองของ AWS แล้ว กลุ่มนี้จะใช้ API เพื่อสร้าง IAM users และ access keys ใหม่ พร้อมแนบ policy ระดับสูงอย่าง AdministratorAccess เพื่อยกระดับสิทธิ์ จากนั้นจะทำการสำรวจโครงสร้างระบบของเหยื่อ เช่น EC2, S3, RDS และ EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูลและการเรียกค่าไถ่

    ในกรณีของ Red Hat ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง Customer Engagement Records (CER) จำนวน 800 รายการ ซึ่งเป็นเอกสารภายในที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า เช่น network architecture, system configuration, credentials และคำแนะนำในการแก้ปัญหา

    นักวิจัยจาก Rapid7 พบว่า Crimson Collective ใช้หลาย IP address และมีการ reuse บาง IP ในหลายเหตุการณ์ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมได้บางส่วน นอกจากนี้ยังมีการส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่านระบบ AWS Simple Email Service (SES) ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ

    AWS แนะนำให้ผู้ใช้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege พร้อมตั้ง IAM policy ที่จำกัดสิทธิ์อย่างเข้มงวด และหากสงสัยว่าข้อมูลรับรองอาจหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crimson Collective ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat โดยใช้ TruffleHog
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง 800 CER ที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า
    กลุ่มนี้ขยายเป้าหมายไปยัง AWS โดยใช้ credentials ที่หลุดจาก repository
    ใช้ API สร้าง IAM users และ access keys พร้อมแนบ AdministratorAccess
    สำรวจ EC2, S3, RDS, EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูล
    ส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่าน AWS SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ
    Rapid7 พบการใช้หลาย IP และการ reuse IP ในหลายเหตุการณ์
    AWS แนะนำให้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege
    หากสงสัยว่าข้อมูลหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TruffleHog เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้ค้นหาคีย์ลับในโค้ดและ repository
    IAM (Identity and Access Management) เป็นระบบจัดการสิทธิ์ใน AWS
    AdministratorAccess เป็น policy ที่ให้สิทธิ์เต็มรูปแบบในบัญชี AWS
    CER ของ Red Hat มักมีข้อมูลละเอียดที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร
    การใช้ SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะช่วยให้แฮกเกอร์ส่งอีเมลได้โดยไม่ถูกบล็อก

    https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-hackers-crimson-collective-are-now-going-after-aws-instances
    🛡️ “Crimson Collective เจาะระบบ AWS ด้วย TruffleHog — ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat และเริ่มขยายเป้าหมายสู่คลาวด์ทั่วโลก” กลุ่มแฮกเกอร์ Crimson Collective ซึ่งเคยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับ Red Hat ด้วยการขโมยข้อมูลกว่า 570GB จาก GitLab repository ภายในองค์กร กำลังขยายเป้าหมายไปยังระบบคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) โดยใช้เครื่องมือโอเพ่นซอร์สชื่อ TruffleHog ในการค้นหาคีย์ลับและข้อมูลรับรองที่หลุดจากโค้ดหรือ repository สาธารณะ เมื่อได้ข้อมูลรับรองของ AWS แล้ว กลุ่มนี้จะใช้ API เพื่อสร้าง IAM users และ access keys ใหม่ พร้อมแนบ policy ระดับสูงอย่าง AdministratorAccess เพื่อยกระดับสิทธิ์ จากนั้นจะทำการสำรวจโครงสร้างระบบของเหยื่อ เช่น EC2, S3, RDS และ EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูลและการเรียกค่าไถ่ ในกรณีของ Red Hat ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง Customer Engagement Records (CER) จำนวน 800 รายการ ซึ่งเป็นเอกสารภายในที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า เช่น network architecture, system configuration, credentials และคำแนะนำในการแก้ปัญหา นักวิจัยจาก Rapid7 พบว่า Crimson Collective ใช้หลาย IP address และมีการ reuse บาง IP ในหลายเหตุการณ์ ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมได้บางส่วน นอกจากนี้ยังมีการส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่านระบบ AWS Simple Email Service (SES) ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ AWS แนะนำให้ผู้ใช้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege พร้อมตั้ง IAM policy ที่จำกัดสิทธิ์อย่างเข้มงวด และหากสงสัยว่าข้อมูลรับรองอาจหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crimson Collective ขโมยข้อมูล 570GB จาก Red Hat โดยใช้ TruffleHog ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึง 800 CER ที่มีข้อมูลโครงสร้างระบบของลูกค้า ➡️ กลุ่มนี้ขยายเป้าหมายไปยัง AWS โดยใช้ credentials ที่หลุดจาก repository ➡️ ใช้ API สร้าง IAM users และ access keys พร้อมแนบ AdministratorAccess ➡️ สำรวจ EC2, S3, RDS, EBS เพื่อวางแผนการขโมยข้อมูล ➡️ ส่งอีเมลเรียกค่าไถ่ผ่าน AWS SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะ ➡️ Rapid7 พบการใช้หลาย IP และการ reuse IP ในหลายเหตุการณ์ ➡️ AWS แนะนำให้ใช้ credentials แบบ short-term และ least privilege ➡️ หากสงสัยว่าข้อมูลหลุด ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ AWS แนะนำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TruffleHog เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ใช้ค้นหาคีย์ลับในโค้ดและ repository ➡️ IAM (Identity and Access Management) เป็นระบบจัดการสิทธิ์ใน AWS ➡️ AdministratorAccess เป็น policy ที่ให้สิทธิ์เต็มรูปแบบในบัญชี AWS ➡️ CER ของ Red Hat มักมีข้อมูลละเอียดที่ใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าองค์กร ➡️ การใช้ SES ภายในบัญชีที่ถูกเจาะช่วยให้แฮกเกอร์ส่งอีเมลได้โดยไม่ถูกบล็อก https://www.techradar.com/pro/security/red-hat-hackers-crimson-collective-are-now-going-after-aws-instances
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ”

    ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ

    แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง

    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ

    นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย

    แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025
    คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม
    อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้
    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink
    บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง
    มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้
    Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น
    NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina
    นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่
    การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน
    การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่
    การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่”

    https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    🌌 “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ” ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025 ➡️ คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม ➡️ อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink ➡️ บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง ➡️ มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ➡️ Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น ➡️ NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina ➡️ นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ ➡️ การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน ➡️ การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่ ➡️ การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่” https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “FCKGW: รหัสลับที่ไม่ลับ — เมื่อ Windows XP ถูกเจาะก่อนวางขายเพราะ ‘ความไว้ใจ’ ที่ผิดพลาด”

    ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกไอทีต้องสั่นสะเทือนเมื่อรหัสผลิตภัณฑ์ Windows XP ที่ชื่อว่า “FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8” ถูกเผยแพร่ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการถึง 5 สัปดาห์ โดยกลุ่ม warez ชื่อดัง “devils0wn” ซึ่งไม่ใช่การแฮก แต่เป็น “การรั่วไหล” ที่เกิดจากการจัดการภายในของ Microsoft เอง

    Dave W. Plummer นักพัฒนาระดับตำนานของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager, ZIP folders และระบบ Windows Product Activation (WPA) ได้ออกมาเปิดเผยความจริงผ่านโพสต์บน X ว่า “มันไม่ใช่การเจาะระบบ แต่มันคือความผิดพลาดที่ร้ายแรง”

    WPA เป็นระบบใหม่ที่เปิดตัวพร้อม Windows XP โดยใช้การจับคู่ระหว่างรหัสผลิตภัณฑ์กับ Hardware ID ที่สร้างจาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่รหัส FCKGW นี้เป็น Volume Licensing Key (VLK) ที่ถูก “whitelist” ไว้ในระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่านขั้นตอน activation ใด ๆ

    เมื่อรหัสนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ใช้ทั่วไปจึงสามารถติดตั้ง Windows XP ได้โดยไม่ต้องโทรกลับไปยัง Microsoft หรือรอการยืนยันใด ๆ ส่งผลให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

    แม้ Microsoft จะพยายามแก้ไขในภายหลัง โดยการ blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการจัดการลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไปตลอดกาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รหัส FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8 เป็น Volume Licensing Key ที่ถูก whitelist ในระบบ WPA
    รหัสนี้ถูกเผยแพร่โดยกลุ่ม warez ‘devils0wn’ ก่อน Windows XP เปิดตัว 5 สัปดาห์
    WPA ใช้ Hardware ID จาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อยืนยันรหัสผลิตภัณฑ์
    ผู้ใช้สามารถข้ามขั้นตอน activation ได้โดยใช้รหัสนี้กับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษ
    Microsoft blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป
    Dave W. Plummer เป็นผู้พัฒนาหลักของ WPA และออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ในปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Volume Licensing Key ใช้สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการติดตั้งหลายเครื่องโดยไม่ต้อง activate ทีละเครื่อง
    ในปี 2001 การดาวน์โหลดไฟล์ ISO ขนาด 455MB ใช้เวลานานมาก เนื่องจาก broadband ยังไม่แพร่หลาย
    การรั่วไหลของรหัสนี้ทำให้ Windows XP กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น
    เหตุการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ Microsoft พัฒนา DRM และระบบ activation ที่ซับซ้อนขึ้นใน Windows รุ่นถัดไป
    รหัส FCKGW กลายเป็นสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของยุค 2000

    https://www.tomshardware.com/software/windows/legendary-microsoft-developer-reveals-the-true-story-behind-the-most-famous-product-activation-key-of-all-time-infamous-windows-xp-fckgw-licensing-key-was-actually-a-disastrous-leak
    🧩 “FCKGW: รหัสลับที่ไม่ลับ — เมื่อ Windows XP ถูกเจาะก่อนวางขายเพราะ ‘ความไว้ใจ’ ที่ผิดพลาด” ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกไอทีต้องสั่นสะเทือนเมื่อรหัสผลิตภัณฑ์ Windows XP ที่ชื่อว่า “FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8” ถูกเผยแพร่ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการถึง 5 สัปดาห์ โดยกลุ่ม warez ชื่อดัง “devils0wn” ซึ่งไม่ใช่การแฮก แต่เป็น “การรั่วไหล” ที่เกิดจากการจัดการภายในของ Microsoft เอง Dave W. Plummer นักพัฒนาระดับตำนานของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager, ZIP folders และระบบ Windows Product Activation (WPA) ได้ออกมาเปิดเผยความจริงผ่านโพสต์บน X ว่า “มันไม่ใช่การเจาะระบบ แต่มันคือความผิดพลาดที่ร้ายแรง” WPA เป็นระบบใหม่ที่เปิดตัวพร้อม Windows XP โดยใช้การจับคู่ระหว่างรหัสผลิตภัณฑ์กับ Hardware ID ที่สร้างจาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่รหัส FCKGW นี้เป็น Volume Licensing Key (VLK) ที่ถูก “whitelist” ไว้ในระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่านขั้นตอน activation ใด ๆ เมื่อรหัสนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ใช้ทั่วไปจึงสามารถติดตั้ง Windows XP ได้โดยไม่ต้องโทรกลับไปยัง Microsoft หรือรอการยืนยันใด ๆ ส่งผลให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้ Microsoft จะพยายามแก้ไขในภายหลัง โดยการ blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการจัดการลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไปตลอดกาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รหัส FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8 เป็น Volume Licensing Key ที่ถูก whitelist ในระบบ WPA ➡️ รหัสนี้ถูกเผยแพร่โดยกลุ่ม warez ‘devils0wn’ ก่อน Windows XP เปิดตัว 5 สัปดาห์ ➡️ WPA ใช้ Hardware ID จาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อยืนยันรหัสผลิตภัณฑ์ ➡️ ผู้ใช้สามารถข้ามขั้นตอน activation ได้โดยใช้รหัสนี้กับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษ ➡️ Microsoft blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป ➡️ Dave W. Plummer เป็นผู้พัฒนาหลักของ WPA และออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ในปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Volume Licensing Key ใช้สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการติดตั้งหลายเครื่องโดยไม่ต้อง activate ทีละเครื่อง ➡️ ในปี 2001 การดาวน์โหลดไฟล์ ISO ขนาด 455MB ใช้เวลานานมาก เนื่องจาก broadband ยังไม่แพร่หลาย ➡️ การรั่วไหลของรหัสนี้ทำให้ Windows XP กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ➡️ เหตุการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ Microsoft พัฒนา DRM และระบบ activation ที่ซับซ้อนขึ้นใน Windows รุ่นถัดไป ➡️ รหัส FCKGW กลายเป็นสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของยุค 2000 https://www.tomshardware.com/software/windows/legendary-microsoft-developer-reveals-the-true-story-behind-the-most-famous-product-activation-key-of-all-time-infamous-windows-xp-fckgw-licensing-key-was-actually-a-disastrous-leak
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • “Miggo Security คว้าตำแหน่ง Gartner Cool Vendor — พลิกเกมป้องกันภัยไซเบอร์ในยุค AI ด้วยการตรวจจับแบบเรียลไทม์”

    ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และช่องทางโจมตีใหม่สำหรับภัยไซเบอร์ บริษัท Miggo Security จาก Tel Aviv ได้รับการยกย่องจาก Gartner ให้เป็นหนึ่งใน “Cool Vendor” ด้าน AI Security ประจำปี 2025 จากความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามในแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ผ่านแพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR)

    Miggo มุ่งเน้นการแก้ปัญหา “ช่องว่างระหว่างการตรวจจับและการตอบสนอง” ซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิม โดยใช้เทคโนโลยี DeepTracing ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น zero-day และรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้นเฉพาะในแอปพลิเคชันที่มี AI ฝังอยู่

    แพลตฟอร์มของ Miggo ยังมีฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ที่ช่วยลด backlog ของช่องโหว่ได้ถึง 99% โดยใช้ AI วิเคราะห์บริบทของแอปพลิเคชันและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่ควรแก้ก่อน

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ WAF Copilot ที่สามารถสร้างกฎป้องกันเว็บแอปพลิเคชันแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที และระบบ Agentless Integration ที่สามารถติดตั้งร่วมกับ Kubernetes และระบบ CI/CD ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเดิม

    Gartner เตือนว่า “ภายในปี 2029 กว่า 50% ของการโจมตีไซเบอร์ที่สำเร็จต่อ AI agents จะเกิดจากการเจาะระบบควบคุมสิทธิ์ เช่น prompt injection” ซึ่งทำให้การป้องกันแบบ runtime และการวิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันกลายเป็นสิ่งจำเป็น

    CEO ของ Miggo, Daniel Shechter กล่าวว่า “การได้รับการยอมรับจาก Gartner คือการยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI” โดยเน้นว่าองค์กรต้องสามารถ “รู้ พิสูจน์ และป้องกัน” ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันได้ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Miggo Security ได้รับการยกย่องเป็น Gartner Cool Vendor ด้าน AI Security ปี 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) สำหรับการตรวจจับแบบ runtime
    เทคโนโลยี DeepTracing ตรวจจับ AI-native threats และ zero-day ได้แบบเรียลไทม์
    ฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ลด backlog ช่องโหว่ได้ 99%
    WAF Copilot สร้างกฎป้องกันเว็บแอปแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที
    Agentless Integration รองรับ Kubernetes และระบบ CI/CD โดยไม่ต้องติดตั้ง agent
    Gartner เตือนภัย prompt injection จะเป็นช่องโหว่หลักของ AI agents ภายในปี 2029
    CEO Daniel Shechter ยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Prompt injection คือการแทรกคำสั่งใน input เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI
    Zero-day คือช่องโหว่ที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข และมักถูกใช้ในการโจมตีขั้นสูง
    Runtime security คือการตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันขณะทำงานจริง
    Gartner Cool Vendor เป็นการยกย่องบริษัทที่มีนวัตกรรมโดดเด่นในอุตสาหกรรม
    การใช้ AI ในระบบรักษาความปลอดภัยช่วยลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มความแม่นยำ

    https://hackread.com/miggo-security-named-a-gartner-cool-vendor-in-ai-security/
    🛡️ “Miggo Security คว้าตำแหน่ง Gartner Cool Vendor — พลิกเกมป้องกันภัยไซเบอร์ในยุค AI ด้วยการตรวจจับแบบเรียลไทม์” ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และช่องทางโจมตีใหม่สำหรับภัยไซเบอร์ บริษัท Miggo Security จาก Tel Aviv ได้รับการยกย่องจาก Gartner ให้เป็นหนึ่งใน “Cool Vendor” ด้าน AI Security ประจำปี 2025 จากความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามในแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ผ่านแพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) Miggo มุ่งเน้นการแก้ปัญหา “ช่องว่างระหว่างการตรวจจับและการตอบสนอง” ซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิม โดยใช้เทคโนโลยี DeepTracing ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น zero-day และรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้นเฉพาะในแอปพลิเคชันที่มี AI ฝังอยู่ แพลตฟอร์มของ Miggo ยังมีฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ที่ช่วยลด backlog ของช่องโหว่ได้ถึง 99% โดยใช้ AI วิเคราะห์บริบทของแอปพลิเคชันและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่ควรแก้ก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ WAF Copilot ที่สามารถสร้างกฎป้องกันเว็บแอปพลิเคชันแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที และระบบ Agentless Integration ที่สามารถติดตั้งร่วมกับ Kubernetes และระบบ CI/CD ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเดิม Gartner เตือนว่า “ภายในปี 2029 กว่า 50% ของการโจมตีไซเบอร์ที่สำเร็จต่อ AI agents จะเกิดจากการเจาะระบบควบคุมสิทธิ์ เช่น prompt injection” ซึ่งทำให้การป้องกันแบบ runtime และการวิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันกลายเป็นสิ่งจำเป็น CEO ของ Miggo, Daniel Shechter กล่าวว่า “การได้รับการยอมรับจาก Gartner คือการยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI” โดยเน้นว่าองค์กรต้องสามารถ “รู้ พิสูจน์ และป้องกัน” ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันได้ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Miggo Security ได้รับการยกย่องเป็น Gartner Cool Vendor ด้าน AI Security ปี 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) สำหรับการตรวจจับแบบ runtime ➡️ เทคโนโลยี DeepTracing ตรวจจับ AI-native threats และ zero-day ได้แบบเรียลไทม์ ➡️ ฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ลด backlog ช่องโหว่ได้ 99% ➡️ WAF Copilot สร้างกฎป้องกันเว็บแอปแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที ➡️ Agentless Integration รองรับ Kubernetes และระบบ CI/CD โดยไม่ต้องติดตั้ง agent ➡️ Gartner เตือนภัย prompt injection จะเป็นช่องโหว่หลักของ AI agents ภายในปี 2029 ➡️ CEO Daniel Shechter ยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Prompt injection คือการแทรกคำสั่งใน input เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI ➡️ Zero-day คือช่องโหว่ที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข และมักถูกใช้ในการโจมตีขั้นสูง ➡️ Runtime security คือการตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันขณะทำงานจริง ➡️ Gartner Cool Vendor เป็นการยกย่องบริษัทที่มีนวัตกรรมโดดเด่นในอุตสาหกรรม ➡️ การใช้ AI ในระบบรักษาความปลอดภัยช่วยลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มความแม่นยำ https://hackread.com/miggo-security-named-a-gartner-cool-vendor-in-ai-security/
    HACKREAD.COM
    Miggo Security Named a Gartner® Cool Vendor in AI Security
    Tel Aviv, Israel, 8th October 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • “เทคโนโลยีเบื้องหลังภารกิจ Apollo — จากคอมพิวเตอร์ 4KB สู่แรงบันดาลใจแห่งยุคอวกาศ”

    แม้หลายคนจะรู้จัก Apollo 11 ในฐานะภารกิจที่พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในปี 1969 แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น และกลายเป็นรากฐานของนวัตกรรมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้

    หนึ่งในหัวใจของภารกิจคือ Apollo Guidance Computer (AGC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ onboard ที่ใช้ควบคุมการนำทางและการบินของยาน Apollo โดยมีหน่วยความจำเพียง 74KB ROM และ 4KB RAM เท่านั้น แต่สามารถควบคุมการลงจอดบนดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำ AGC ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับระบบควบคุมในเครื่องบินสมัยใหม่และแม้แต่สมาร์ตโฟนที่เราใช้ทุกวัน

    ชุดอวกาศของนักบิน Apollo ก็เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางวิศวกรรม โดยใช้วัสดุสังเคราะห์ถึง 12 ชนิด รวมเป็น 25 ชั้น เพื่อป้องกันอุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -250°F ถึง +230°F พร้อมระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย และซิปสามชั้นที่สร้างซีลกันอากาศได้อย่างสมบูรณ์

    การสื่อสารระหว่างนักบินกับโลกใช้ระบบ S-Band Transponder ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพผ่านคลื่นวิทยุจากระยะไกลถึง 30,000 ไมล์จากโลก ระบบนี้ยังสามารถติดตามตำแหน่งของยานและส่งข้อมูลภารกิจกลับมายังศูนย์ควบคุม

    ยาน Saturn V ที่ใช้ส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศมีความสูงถึง 363 ฟุต สูงกว่ารูปปั้นเทพีเสรีภาพถึง 60 ฟุต และสามารถสร้างแรงขับได้ถึง 7.6 ล้านปอนด์ ถือเป็นจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น และเป็นต้นแบบของระบบส่งยานในยุคปัจจุบัน เช่น SLS ของ NASA

    สุดท้ายคือ Command Module หรือที่พักของนักบิน ซึ่งมีขนาดเพียง 3.9 เมตร และเป็นส่วนเดียวของยานที่กลับสู่โลกได้ โดยใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแผ่นกันความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะ ปัจจุบัน NASA ยังใช้แนวคิดนี้ในยาน Orion ที่จะพานักบินกลับไปยังดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apollo Program ดำเนินตั้งแต่ปี 1962–1972 รวม 14 ภารกิจ
    AGC มีหน่วยความจำ 74KB ROM และ 4KB RAM
    AGC ใช้ควบคุมการบินและการนำทางของยาน Apollo
    ชุดอวกาศใช้วัสดุสังเคราะห์ 12 ชนิด รวม 25 ชั้น
    ป้องกันอุณหภูมิ -250°F ถึง +230°F และมีระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย
    S-Band Transponder ส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพจากระยะ 30,000 ไมล์
    Saturn V สูง 363 ฟุต สร้างแรงขับ 7.6 ล้านปอนด์
    Command Module มีขนาด 3.9 เมตร ใช้วัสดุอลูมิเนียมรังผึ้งและแผ่นกันความร้อน
    NASA ใช้แนวคิด Command Module ในยาน Orion สำหรับภารกิจ Artemis

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AGC ถูกพัฒนาโดย MIT Instrumentation Lab และใช้ชิป NOR gate แบบเชื่อมด้วยแรงดัน
    ชุดอวกาศ Apollo มีชื่อเฉพาะ เช่น “Sirius” ของ Neil Armstrong
    S-Band Transponder รวมฟังก์ชัน telemetry, voice, video และ tracking ในระบบเดียว
    Saturn V ใช้ในภารกิจ Skylab และเป็นต้นแบบของจรวด heavy-lift ในยุคใหม่
    Command Module “Columbia” เป็นส่วนเดียวที่กลับสู่โลก และสามารถชมแบบ 3D ได้ผ่าน Smithsonian

    https://www.slashgear.com/1462356/apollo-mission-successful-technology/
    🌕 “เทคโนโลยีเบื้องหลังภารกิจ Apollo — จากคอมพิวเตอร์ 4KB สู่แรงบันดาลใจแห่งยุคอวกาศ” แม้หลายคนจะรู้จัก Apollo 11 ในฐานะภารกิจที่พามนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในปี 1969 แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น และกลายเป็นรากฐานของนวัตกรรมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ หนึ่งในหัวใจของภารกิจคือ Apollo Guidance Computer (AGC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ onboard ที่ใช้ควบคุมการนำทางและการบินของยาน Apollo โดยมีหน่วยความจำเพียง 74KB ROM และ 4KB RAM เท่านั้น แต่สามารถควบคุมการลงจอดบนดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำ AGC ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับระบบควบคุมในเครื่องบินสมัยใหม่และแม้แต่สมาร์ตโฟนที่เราใช้ทุกวัน ชุดอวกาศของนักบิน Apollo ก็เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางวิศวกรรม โดยใช้วัสดุสังเคราะห์ถึง 12 ชนิด รวมเป็น 25 ชั้น เพื่อป้องกันอุณหภูมิสุดขั้วตั้งแต่ -250°F ถึง +230°F พร้อมระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย และซิปสามชั้นที่สร้างซีลกันอากาศได้อย่างสมบูรณ์ การสื่อสารระหว่างนักบินกับโลกใช้ระบบ S-Band Transponder ซึ่งสามารถส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพผ่านคลื่นวิทยุจากระยะไกลถึง 30,000 ไมล์จากโลก ระบบนี้ยังสามารถติดตามตำแหน่งของยานและส่งข้อมูลภารกิจกลับมายังศูนย์ควบคุม ยาน Saturn V ที่ใช้ส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศมีความสูงถึง 363 ฟุต สูงกว่ารูปปั้นเทพีเสรีภาพถึง 60 ฟุต และสามารถสร้างแรงขับได้ถึง 7.6 ล้านปอนด์ ถือเป็นจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น และเป็นต้นแบบของระบบส่งยานในยุคปัจจุบัน เช่น SLS ของ NASA สุดท้ายคือ Command Module หรือที่พักของนักบิน ซึ่งมีขนาดเพียง 3.9 เมตร และเป็นส่วนเดียวของยานที่กลับสู่โลกได้ โดยใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแผ่นกันความร้อนที่ออกแบบมาเฉพาะ ปัจจุบัน NASA ยังใช้แนวคิดนี้ในยาน Orion ที่จะพานักบินกลับไปยังดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apollo Program ดำเนินตั้งแต่ปี 1962–1972 รวม 14 ภารกิจ ➡️ AGC มีหน่วยความจำ 74KB ROM และ 4KB RAM ➡️ AGC ใช้ควบคุมการบินและการนำทางของยาน Apollo ➡️ ชุดอวกาศใช้วัสดุสังเคราะห์ 12 ชนิด รวม 25 ชั้น ➡️ ป้องกันอุณหภูมิ -250°F ถึง +230°F และมีระบบสนับสนุนชีวิตแบบไร้สาย ➡️ S-Band Transponder ส่งข้อมูลเสียง วิดีโอ และชีวภาพจากระยะ 30,000 ไมล์ ➡️ Saturn V สูง 363 ฟุต สร้างแรงขับ 7.6 ล้านปอนด์ ➡️ Command Module มีขนาด 3.9 เมตร ใช้วัสดุอลูมิเนียมรังผึ้งและแผ่นกันความร้อน ➡️ NASA ใช้แนวคิด Command Module ในยาน Orion สำหรับภารกิจ Artemis ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AGC ถูกพัฒนาโดย MIT Instrumentation Lab และใช้ชิป NOR gate แบบเชื่อมด้วยแรงดัน ➡️ ชุดอวกาศ Apollo มีชื่อเฉพาะ เช่น “Sirius” ของ Neil Armstrong ➡️ S-Band Transponder รวมฟังก์ชัน telemetry, voice, video และ tracking ในระบบเดียว ➡️ Saturn V ใช้ในภารกิจ Skylab และเป็นต้นแบบของจรวด heavy-lift ในยุคใหม่ ➡️ Command Module “Columbia” เป็นส่วนเดียวที่กลับสู่โลก และสามารถชมแบบ 3D ได้ผ่าน Smithsonian https://www.slashgear.com/1462356/apollo-mission-successful-technology/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Giant Leap: The Technology That Made The Apollo Mission Successful - SlashGear
    For many, it's common knowledge that the Apollo 11 mission successfully landed on the moon, but the technology that got them there was way before its time.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

    หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025

    Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น

    เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย

    เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก

    แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV
    ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS
    เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select
    Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล
    เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView
    ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป
    ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น
    เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์
    Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก
    ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว
    การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android
    React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย
    Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0
    Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง

    https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    📺 “Amazon เปิดตัว Vega OS — ระบบปฏิบัติการใหม่แทน Android บน Fire TV เพื่ออิสระและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” หลังจากใช้ Fire OS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อจาก Android มานานหลายปี Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองโดยใช้ Linux เป็นฐานหลัก โดยเริ่มใช้งานจริงบนอุปกรณ์ Fire TV Stick 4K Select ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 Vega OS ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้ทรัพยากรน้อย โดยสามารถทำงานได้ลื่นไหลแม้มี RAM เพียง 1 GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ใช้ Fire OS ถึงครึ่งหนึ่ง จุดเด่นคือการเปิดแอปได้เร็วและการนำทางที่ราบรื่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอปบน Vega OS Amazon ได้เปิดตัว Vega Developer Tools ซึ่งรองรับ React Native 0.72 และเทคโนโลยีเว็บผ่าน Vega WebView ทำให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดเดิมจาก Fire OS มาใช้ต่อได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม Vega OS มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่รองรับการ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น โดย Amazon ระบุว่าเป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานแอปที่ยังไม่ถูกพอร์ตมายัง Vega OS ได้ Amazon ได้เปิดตัว Cloud App Program ที่ให้บริการสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ โดยจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก แม้จะมีการเปิดตัว Vega OS แต่ Amazon ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS ต่อไป และจะมีอุปกรณ์ใหม่ที่ใช้ Fire OS วางจำหน่ายควบคู่กันไปในระยะเปลี่ยนผ่าน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Amazon เปิดตัว Vega OS ระบบปฏิบัติการใหม่สำหรับ Fire TV ➡️ ใช้ Linux เป็นฐานหลักแทน Android ที่ใช้ใน Fire OS ➡️ เริ่มใช้งานจริงบน Fire TV Stick 4K Select ➡️ Vega OS ใช้ RAM เพียง 1 GB แต่ยังคงทำงานได้ลื่นไหล ➡️ เปิดตัว Vega Developer Tools รองรับ React Native และ Vega WebView ➡️ ไม่รองรับ sideload แอปจากภายนอกอีกต่อไป ➡️ ติดตั้งแอปได้เฉพาะจาก Amazon Appstore เท่านั้น ➡️ เปิดตัว Cloud App Program สำหรับสตรีมแอป Android ผ่านคลาวด์ ➡️ Amazon สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้พัฒนาในช่วง 9 เดือนแรก ➡️ ยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุน Fire OS และเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ควบคู่กันไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vega OS ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2023 และใช้ในอุปกรณ์ Echo บางรุ่นแล้ว ➡️ การใช้ Linux ช่วยให้ Amazon มีอิสระจากข้อจำกัดของ Google และ Android ➡️ React Native เป็นเฟรมเวิร์กยอดนิยมที่ช่วยให้พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มได้ง่าย ➡️ Fire TV Stick 4K Select รองรับ 4K HDR10+, Dolby Atmos และ Bluetooth 5.0 ➡️ Vega OS อาจช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลง https://news.itsfoss.com/amazon-vega-os/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Amazon Ditches Android — Launches 'Linux-Based' Vega OS for Fire TV
    Amazon's new OS has some Linux bits inside. The move aims to stop relying on Google's Android for Amazon devices.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • “IBM เปิดตัว Spyre Accelerator — ชิป AI สำหรับองค์กรที่เร็ว ปลอดภัย และปรับขนาดได้”

    IBM ประกาศเปิดตัว Spyre Accelerator อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นชิปเร่งการประมวลผล AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inferencing แบบ low-latency สำหรับระบบ AI เชิงสร้างสรรค์ (generative) และ AI แบบตัวแทน (agentic AI) โดยเน้นความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับข้อมูลระดับองค์กร

    Spyre จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2025 สำหรับระบบ IBM z17 และ LinuxONE 5 และในเดือนธันวาคมสำหรับ Power11 โดยชิปนี้ถูกพัฒนาจากต้นแบบที่ใช้ในศูนย์วิจัย IBM AI Hardware Center และผ่านการทดสอบในคลัสเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Albany ก่อนจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

    Spyre เป็นระบบ-on-a-chip ที่มี 32 คอร์เร่งความเร็ว และมีทรานซิสเตอร์ถึง 25.6 พันล้านตัว ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5nm และติดตั้งบนการ์ด PCIe ขนาด 75 วัตต์ โดยสามารถติดตั้งได้สูงสุด 48 ใบในระบบ IBM Z หรือ LinuxONE และ 16 ใบในระบบ Power เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผล AI

    ชิปนี้รองรับการประมวลผลแบบความละเอียดต่ำ เช่น int4 และ int8 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน พร้อมระบบความปลอดภัยที่ช่วยให้ข้อมูลสำคัญยังคงอยู่ภายในองค์กร ไม่ต้องส่งออกไปยังคลาวด์

    Spyre ยังสามารถทำงานร่วมกับ Telum II processor เพื่อรองรับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในระบบค้าปลีก โดยในระบบ Power ยังสามารถติดตั้งบริการ AI จากแคตตาล็อกได้ด้วยคลิกเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IBM เปิดตัว Spyre Accelerator สำหรับงาน AI inferencing แบบ low-latency
    วางจำหน่ายวันที่ 28 ตุลาคม 2025 สำหรับ IBM z17 และ LinuxONE 5
    วางจำหน่ายในเดือนธันวาคมสำหรับ Power11
    มี 32 คอร์เร่งความเร็ว และ 25.6 พันล้านทรานซิสเตอร์
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5nm และติดตั้งบนการ์ด PCIe ขนาด 75 วัตต์
    รองรับการติดตั้งสูงสุด 48 ใบใน IBM Z และ 16 ใบใน Power
    รองรับการประมวลผลแบบ int4 และ int8 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำงานร่วมกับ Telum II processor เพื่อรองรับงานระดับองค์กร
    รองรับการติดตั้งบริการ AI จากแคตตาล็อกในระบบ Power ด้วยคลิกเดียว
    พัฒนาโดย IBM Research AI Hardware Center และผ่านการทดสอบในคลัสเตอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IBM Z ประมวลผลธุรกรรมกว่า 70% ของมูลค่าทั่วโลก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองตามเป้าหมาย
    การใช้ int4 และ int8 ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและพลังงาน
    Spyre ออกแบบให้ส่งข้อมูลตรงระหว่าง compute engine เพื่อลด latency
    IBM ตั้งเป้าให้ Spyre รองรับงาน AI แบบ multimodel และการฝึกโมเดลในอนาคต

    https://www.techpowerup.com/341671/ibm-introduces-the-spyre-accelerator-for-commercial-availability
    🧠 “IBM เปิดตัว Spyre Accelerator — ชิป AI สำหรับองค์กรที่เร็ว ปลอดภัย และปรับขนาดได้” IBM ประกาศเปิดตัว Spyre Accelerator อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นชิปเร่งการประมวลผล AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inferencing แบบ low-latency สำหรับระบบ AI เชิงสร้างสรรค์ (generative) และ AI แบบตัวแทน (agentic AI) โดยเน้นความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับข้อมูลระดับองค์กร Spyre จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2025 สำหรับระบบ IBM z17 และ LinuxONE 5 และในเดือนธันวาคมสำหรับ Power11 โดยชิปนี้ถูกพัฒนาจากต้นแบบที่ใช้ในศูนย์วิจัย IBM AI Hardware Center และผ่านการทดสอบในคลัสเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Albany ก่อนจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ Spyre เป็นระบบ-on-a-chip ที่มี 32 คอร์เร่งความเร็ว และมีทรานซิสเตอร์ถึง 25.6 พันล้านตัว ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5nm และติดตั้งบนการ์ด PCIe ขนาด 75 วัตต์ โดยสามารถติดตั้งได้สูงสุด 48 ใบในระบบ IBM Z หรือ LinuxONE และ 16 ใบในระบบ Power เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผล AI ชิปนี้รองรับการประมวลผลแบบความละเอียดต่ำ เช่น int4 และ int8 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน พร้อมระบบความปลอดภัยที่ช่วยให้ข้อมูลสำคัญยังคงอยู่ภายในองค์กร ไม่ต้องส่งออกไปยังคลาวด์ Spyre ยังสามารถทำงานร่วมกับ Telum II processor เพื่อรองรับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์ข้อมูลในระบบค้าปลีก โดยในระบบ Power ยังสามารถติดตั้งบริการ AI จากแคตตาล็อกได้ด้วยคลิกเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IBM เปิดตัว Spyre Accelerator สำหรับงาน AI inferencing แบบ low-latency ➡️ วางจำหน่ายวันที่ 28 ตุลาคม 2025 สำหรับ IBM z17 และ LinuxONE 5 ➡️ วางจำหน่ายในเดือนธันวาคมสำหรับ Power11 ➡️ มี 32 คอร์เร่งความเร็ว และ 25.6 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5nm และติดตั้งบนการ์ด PCIe ขนาด 75 วัตต์ ➡️ รองรับการติดตั้งสูงสุด 48 ใบใน IBM Z และ 16 ใบใน Power ➡️ รองรับการประมวลผลแบบ int4 และ int8 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำงานร่วมกับ Telum II processor เพื่อรองรับงานระดับองค์กร ➡️ รองรับการติดตั้งบริการ AI จากแคตตาล็อกในระบบ Power ด้วยคลิกเดียว ➡️ พัฒนาโดย IBM Research AI Hardware Center และผ่านการทดสอบในคลัสเตอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IBM Z ประมวลผลธุรกรรมกว่า 70% ของมูลค่าทั่วโลก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองตามเป้าหมาย ➡️ การใช้ int4 และ int8 ช่วยลดการใช้หน่วยความจำและพลังงาน ➡️ Spyre ออกแบบให้ส่งข้อมูลตรงระหว่าง compute engine เพื่อลด latency ➡️ IBM ตั้งเป้าให้ Spyre รองรับงาน AI แบบ multimodel และการฝึกโมเดลในอนาคต https://www.techpowerup.com/341671/ibm-introduces-the-spyre-accelerator-for-commercial-availability
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    IBM Introduces the Spyre Accelerator for Commercial Availability
    IBM (NYSE: IBM) today announced the upcoming general availability of the IBM Spyre Accelerator, an AI accelerator enabling low-latency inferencing to support generative and agentic AI use cases while prioritizing the security and resilience of core workloads. Earlier this year, IBM announced the Spy...
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • “Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำ — VRAM 48GB ต่อใบ พร้อมรองรับ AI รุ่นใหญ่ในเครื่องเดียว”

    Maxsun ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวในใบเดียว พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่บางและทรงพลังที่สุดในกลุ่มการ์ดจอระดับ workstation ณ ขณะนี้

    การ์ดรุ่นนี้มีหน่วยความจำรวม 48GB (24GB ต่อ GPU) และสามารถติดตั้งได้สูงสุดถึง 7 ใบในเครื่องเดียวบนเมนบอร์ด Maxsun W790 ซึ่งหมายถึง VRAM รวม 336GB — มากพอสำหรับการรันโมเดล AI ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    Maxsun ร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นชื่อ abee ในการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยให้การ์ดมีขนาดบางลงและสามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ครบทุกช่องแบบเต็มสปีด โดยไม่ต้องใช้ bridge chip แต่ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ของ Intel

    นอกจากนี้ Maxsun ยังอ้างถึง “Project Battlematrix” ของ Intel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวสามารถแชร์หน่วยความจำและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มี NVLink แบบของ NVIDIA ก็ตาม

    การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงาน AI inference, การเรนเดอร์ระดับสูง และการประมวลผลแบบ edge โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน AI และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot
    ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวต่อใบ รวม VRAM 48GB
    สามารถติดตั้งได้สูงสุด 7 ใบในเครื่องเดียว รวม VRAM 336GB
    ใช้ระบบระบายความร้อนจาก abee ช่วยให้การ์ดบางลงและติดตั้งได้ครบทุกช่อง
    ไม่ใช้ bridge chip แต่ใช้ PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21
    รองรับการทำงานร่วมกันของ GPU ผ่าน Project Battlematrix ของ Intel
    มี DisplayPort 2.1 และ HDMI 2.1b แยกสำหรับแต่ละ GPU
    ใช้พลังงานจากหัวต่อ 12V-2x6 pin รองรับสูงสุด 600W
    เหมาะสำหรับงาน AI inference, การเรนเดอร์ และ edge computing
    วางเป้าหมายที่กลุ่ม AI startup และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Project Battlematrix เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันผ่าน CPU-level coherency
    Intel ยังไม่มี NVLink แบบ NVIDIA แต่ใช้ PCIe Gen 5 และ CXL เพื่อแชร์ทรัพยากร
    การ์ดแบบ dual-GPU เคยเป็นที่นิยมในยุค Radeon HD 5970 และ GTX 690
    การ์ดรุ่นนี้สามารถประมวลผล inference ได้ถึง 2758 INT8 TOPS — สูงกว่า RTX 5090 ถึง 66%
    ราคาต่อใบคาดว่าจะอยู่ที่ $1300–$1500 หากติดตั้ง 7 ใบจะอยู่ที่ราว $10,000

    https://www.techpowerup.com/341639/maxsun-liquid-cools-dual-arc-pro-b60-with-48-gb-of-total-vram
    🧠 “Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำ — VRAM 48GB ต่อใบ พร้อมรองรับ AI รุ่นใหญ่ในเครื่องเดียว” Maxsun ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวในใบเดียว พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่บางและทรงพลังที่สุดในกลุ่มการ์ดจอระดับ workstation ณ ขณะนี้ การ์ดรุ่นนี้มีหน่วยความจำรวม 48GB (24GB ต่อ GPU) และสามารถติดตั้งได้สูงสุดถึง 7 ใบในเครื่องเดียวบนเมนบอร์ด Maxsun W790 ซึ่งหมายถึง VRAM รวม 336GB — มากพอสำหรับการรันโมเดล AI ขนาดหลายร้อยพันล้านพารามิเตอร์แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ Maxsun ร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นชื่อ abee ในการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยให้การ์ดมีขนาดบางลงและสามารถติดตั้งในช่อง PCIe ได้ครบทุกช่องแบบเต็มสปีด โดยไม่ต้องใช้ bridge chip แต่ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ของ Intel นอกจากนี้ Maxsun ยังอ้างถึง “Project Battlematrix” ของ Intel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวสามารถแชร์หน่วยความจำและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มี NVLink แบบของ NVIDIA ก็ตาม การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงาน AI inference, การเรนเดอร์ระดับสูง และการประมวลผลแบบ edge โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน AI และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Maxsun เปิดตัวการ์ดจอ Dual Arc Pro B60 รุ่นระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ single-slot ➡️ ใช้ชิป Intel Arc Pro B60 สองตัวต่อใบ รวม VRAM 48GB ➡️ สามารถติดตั้งได้สูงสุด 7 ใบในเครื่องเดียว รวม VRAM 336GB ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนจาก abee ช่วยให้การ์ดบางลงและติดตั้งได้ครบทุกช่อง ➡️ ไม่ใช้ bridge chip แต่ใช้ PCIe 5.0 x8 แบบ native จากชิป BMG-G21 ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันของ GPU ผ่าน Project Battlematrix ของ Intel ➡️ มี DisplayPort 2.1 และ HDMI 2.1b แยกสำหรับแต่ละ GPU ➡️ ใช้พลังงานจากหัวต่อ 12V-2x6 pin รองรับสูงสุด 600W ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI inference, การเรนเดอร์ และ edge computing ➡️ วางเป้าหมายที่กลุ่ม AI startup และห้องวิจัยที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Project Battlematrix เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ GPU หลายตัวทำงานร่วมกันผ่าน CPU-level coherency ➡️ Intel ยังไม่มี NVLink แบบ NVIDIA แต่ใช้ PCIe Gen 5 และ CXL เพื่อแชร์ทรัพยากร ➡️ การ์ดแบบ dual-GPU เคยเป็นที่นิยมในยุค Radeon HD 5970 และ GTX 690 ➡️ การ์ดรุ่นนี้สามารถประมวลผล inference ได้ถึง 2758 INT8 TOPS — สูงกว่า RTX 5090 ถึง 66% ➡️ ราคาต่อใบคาดว่าจะอยู่ที่ $1300–$1500 หากติดตั้ง 7 ใบจะอยู่ที่ราว $10,000 https://www.techpowerup.com/341639/maxsun-liquid-cools-dual-arc-pro-b60-with-48-gb-of-total-vram
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ”

    หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา

    การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ

    Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด

    นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels)
    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025
    รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS
    ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน
    ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ
    ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams
    Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน
    การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์
    การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ
    การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก
    Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    🖥️ “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ” หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels) ➡️ ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 ➡️ รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน ➡️ ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ➡️ ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams ➡️ Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน ➡️ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์ ➡️ การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ ➡️ การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก ➡️ Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • “NISAR ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรก — ความร่วมมือ NASA-ISRO ที่อาจเปลี่ยนอนาคตการรับมือภัยพิบัติ”

    หลังจากใช้เวลากว่า 11 ปีในการพัฒนาและร่วมมือระหว่าง NASA กับ ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) ดาวเทียม NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar) ก็ได้ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกชุดแรกกลับมายังโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของภารกิจด้านวิทยาศาสตร์และการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมระดับโลก

    ภาพที่ถูกส่งกลับมาจากรัฐ Maine และ North Dakota แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศอย่างชัดเจน เช่น ความแตกต่างระหว่างป่า ทะเลสาบ พื้นที่เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบ L-band และ S-band ที่สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินได้ละเอียดถึงระดับเซนติเมตร

    NISAR ใช้ระบบเรดาร์แบบ “synthetic aperture” ที่สามารถสแกนพื้นผิวโลกได้แม้ในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เช่น เมฆหนา หรือเวลากลางคืน ซึ่งต่างจากภาพถ่ายดาวเทียมทั่วไปที่พึ่งพาแสงอาทิตย์ ภาพจาก NISAR จึงสามารถใช้ในการติดตามภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และไฟป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งและการทรุดตัวของแผ่นดิน

    ดาวเทียมนี้โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีภารกิจหลัก 3 ปี และอาจขยายออกไปหากผลลัพธ์ยังคงมีคุณค่า NASA และ ISRO ต่างมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี โดย NASA รับผิดชอบระบบ L-band และการสื่อสาร ขณะที่ ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง

    ความสำเร็จของ NISAR ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศในยุคที่การสำรวจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NISAR เป็นดาวเทียมที่ร่วมพัฒนาโดย NASA และ ISRO
    ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรกจากรัฐ Maine และ North Dakota
    ใช้เรดาร์แบบ L-band และ S-band เพื่อแสดงรายละเอียดภูมิประเทศ
    สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินระดับเซนติเมตร
    โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และมีภารกิจหลัก 3 ปี
    ใช้เทคโนโลยี synthetic aperture radar ที่ทำงานได้แม้ในสภาพอากาศไม่ดี
    NASA พัฒนา L-band และระบบสื่อสาร ส่วน ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง
    ภาพจาก NISAR ใช้ในการติดตามภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    L-band มีความยาวคลื่นประมาณ 25 ซม. เหมาะกับการเจาะพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดิน
    S-band มีความยาวคลื่นประมาณ 10 ซม. เหมาะกับการตรวจสอบพืชพรรณขนาดเล็กและพื้นที่เกษตร
    Synthetic aperture radar ใช้หลักการรวมสัญญาณจากหลายตำแหน่งเพื่อสร้างภาพความละเอียดสูง
    ภาพจาก NISAR สามารถใช้ในการวางแผนเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำ
    ความร่วมมือระหว่าง NASA และ ISRO เริ่มตั้งแต่ปี 2014 และใช้เวลาพัฒนานานกว่า 11 ปี

    https://www.slashgear.com/1983654/nasa-isro-satellite-first-radar-images-of-earth-surface/
    🛰️ “NISAR ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรก — ความร่วมมือ NASA-ISRO ที่อาจเปลี่ยนอนาคตการรับมือภัยพิบัติ” หลังจากใช้เวลากว่า 11 ปีในการพัฒนาและร่วมมือระหว่าง NASA กับ ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) ดาวเทียม NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar) ก็ได้ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกชุดแรกกลับมายังโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของภารกิจด้านวิทยาศาสตร์และการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมระดับโลก ภาพที่ถูกส่งกลับมาจากรัฐ Maine และ North Dakota แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศอย่างชัดเจน เช่น ความแตกต่างระหว่างป่า ทะเลสาบ พื้นที่เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบ L-band และ S-band ที่สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินได้ละเอียดถึงระดับเซนติเมตร NISAR ใช้ระบบเรดาร์แบบ “synthetic aperture” ที่สามารถสแกนพื้นผิวโลกได้แม้ในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เช่น เมฆหนา หรือเวลากลางคืน ซึ่งต่างจากภาพถ่ายดาวเทียมทั่วไปที่พึ่งพาแสงอาทิตย์ ภาพจาก NISAR จึงสามารถใช้ในการติดตามภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และไฟป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งและการทรุดตัวของแผ่นดิน ดาวเทียมนี้โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีภารกิจหลัก 3 ปี และอาจขยายออกไปหากผลลัพธ์ยังคงมีคุณค่า NASA และ ISRO ต่างมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี โดย NASA รับผิดชอบระบบ L-band และการสื่อสาร ขณะที่ ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง ความสำเร็จของ NISAR ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศในยุคที่การสำรวจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NISAR เป็นดาวเทียมที่ร่วมพัฒนาโดย NASA และ ISRO ➡️ ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรกจากรัฐ Maine และ North Dakota ➡️ ใช้เรดาร์แบบ L-band และ S-band เพื่อแสดงรายละเอียดภูมิประเทศ ➡️ สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินระดับเซนติเมตร ➡️ โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และมีภารกิจหลัก 3 ปี ➡️ ใช้เทคโนโลยี synthetic aperture radar ที่ทำงานได้แม้ในสภาพอากาศไม่ดี ➡️ NASA พัฒนา L-band และระบบสื่อสาร ส่วน ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง ➡️ ภาพจาก NISAR ใช้ในการติดตามภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ L-band มีความยาวคลื่นประมาณ 25 ซม. เหมาะกับการเจาะพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดิน ➡️ S-band มีความยาวคลื่นประมาณ 10 ซม. เหมาะกับการตรวจสอบพืชพรรณขนาดเล็กและพื้นที่เกษตร ➡️ Synthetic aperture radar ใช้หลักการรวมสัญญาณจากหลายตำแหน่งเพื่อสร้างภาพความละเอียดสูง ➡️ ภาพจาก NISAR สามารถใช้ในการวางแผนเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำ ➡️ ความร่วมมือระหว่าง NASA และ ISRO เริ่มตั้งแต่ปี 2014 และใช้เวลาพัฒนานานกว่า 11 ปี https://www.slashgear.com/1983654/nasa-isro-satellite-first-radar-images-of-earth-surface/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This NASA Satellite Sent The First Radar Images Of Earth's Surface And The Results Are Very Clear - SlashGear
    The NASA-ISRO NISAR satellite has sent back ultra-detailed images of Maine and North Dakota that are clear enough to differentiate various types of terrain.
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI”

    AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage

    ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ

    แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค

    ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก
    รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2
    ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5
    รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA
    ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap
    แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร
    ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage
    ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม
    เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด
    SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า
    PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง
    Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration
    ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime

    https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    🧮 “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI” AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก ➡️ รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2 ➡️ ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5 ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap ➡️ แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร ➡️ ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage ➡️ ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ➡️ เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด ➡️ SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า ➡️ PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration ➡️ ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    WWW.TECHRADAR.COM
    With 60 HDD bays and 8 SSD slots, AIC's SB407-VA delivers almost 3PB capacity
    AIC's SB407-VA server supports NVMe, SAS, SATA connectivity with scalable drive options
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร”

    หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร

    แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก

    หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura

    นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต

    การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025
    ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT
    บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม.
    เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39
    ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง
    บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura
    SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas
    Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร
    การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
    เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX
    Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน
    การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA
    การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    🚀 “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร” หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT ➡️ บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม. ➡️ เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง ➡️ บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ➡️ อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura ➡️ SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas ➡️ Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร ➡️ การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล ➡️ เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX ➡️ Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน ➡️ การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA ➡️ การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Interested In Seeing The Next SpaceX Launch? Here's What We Know About When And Where It Is - SlashGear
    SpaceX’s next Falcon 9 launch is scheduled for Oct. 3, 2025, from Vandenberg SFB in California, carrying 28 Starlink V2 Mini satellites.
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง”

    ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป

    บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที

    Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา

    ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง

    การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม
    ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์
    RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง
    Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี”
    RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้
    การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้
    RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ
    การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ
    OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว
    Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ
    การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น

    https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    📡 “RSS กลับมาอีกครั้งในปี 2025 — เมื่อผู้ใช้เบื่ออัลกอริทึมและโหยหาการควบคุมเนื้อหาด้วยตัวเอง” ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยอัลกอริทึมที่คัดกรองเนื้อหาแทนผู้ใช้ เสียงเรียกร้องให้กลับไปใช้ระบบที่ “ผู้ใช้ควบคุมเอง” กำลังดังขึ้นอีกครั้ง และ RSS (Really Simple Syndication) ก็กลับมาเป็นพระเอกที่หลายคนลืมไป บทความจาก Tom Burkert ชี้ให้เห็นว่า RSS ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเก่า แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามเนื้อหาจากแหล่งที่ตนเลือกได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดกรองของแพลตฟอร์มกลาง ไม่ว่าจะเป็นบล็อก ข่าว หรือพอดแคสต์ — ถ้ามี RSS feed ก็สามารถรวมมาอ่านในที่เดียวได้ทันที Burkert เน้นย้ำว่า RSS คือการ “ควบคุมการรับรู้” ที่แท้จริง เพราะผู้ใช้เลือกเองว่าจะติดตามใคร ไม่ใช่ให้แพลตฟอร์มเลือกให้ และยังปลอดภัยจากการติดตามพฤติกรรมหรือโฆษณาแบบเจาะจง เพราะ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีการแทรกโฆษณา ในขณะที่หลายเว็บไซต์เลิกให้บริการ RSS feed ด้วยเหตุผลด้านการตลาดและการควบคุม traffic ก็มีเครื่องมือใหม่อย่าง RSS.app ที่ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกลับมารวบรวมเนื้อหาได้อย่างอิสระอีกครั้ง การกลับมาของ RSS ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “เว็บแบบกระจายศูนย์” ที่ไม่พึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ของตัวเองอย่างแท้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RSS เป็นระบบติดตามเนื้อหาที่ผู้ใช้ควบคุมเองได้โดยไม่ผ่านอัลกอริทึม ➡️ ผู้ใช้สามารถรวมเนื้อหาจากหลายแหล่งไว้ในที่เดียว เช่น ข่าว บล็อก พอดแคสต์ ➡️ RSS ไม่ต้องใช้บัญชี ไม่เก็บข้อมูล และไม่มีโฆษณาเจาะจง ➡️ Tom Burkert ยกย่อง RSS ว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเว็บที่ดี” ➡️ RSS.app ช่วยสร้าง feed จากเว็บไซต์ที่ไม่มี RSS ได้ ➡️ การใช้ RSS สะท้อนแนวโน้มของเว็บแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของการรับรู้ ➡️ RSS ช่วยลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการติดตามเนื้อหา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RSS เริ่มต้นในยุค 90s และเคยเป็นเทคโนโลยีหลักในการติดตามเนื้อหาเว็บ ➡️ การลดลงของ RSS เกิดจากการเติบโตของโซเชียลมีเดียและแอปมือถือ ➡️ OPML คือไฟล์ที่ใช้รวม feed หลายรายการไว้ในที่เดียว ➡️ Feed reader เช่น Feedly, Inoreader, NetNewsWire ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ ➡️ การกลับมาใช้ RSS ช่วยเพิ่ม productivity และลดการเสพเนื้อหาที่ไม่จำเป็น https://blog.burkert.me/posts/in_praise_of_syndication/
    BLOG.BURKERT.ME
    In Praise of RSS and Controlled Feeds of Information
    The way we consume content on the internet is increasingly driven by walled-garden platforms and black-box feed algorithms. This shift is making our media diets miserable. Ironically, a solution to the problem predates algorithmic feeds, social media and other forms of informational junk food. It is called RSS (Really Simple Syndication) and it is beautiful. What the hell is RSS? RSS is just a format that defines how websites can publish updates (articles, posts, episodes, and so on) in a standard feed that you can subscribe to using an RSS reader (or aggregator). Don’t worry if this sounds extremely uninteresting to you; there aren’t many people that get excited about format specifications; the beauty of RSS is in its simplicity. Any content management system or blog platform supports RSS out of the box, and often enables it by default. As a result, a large portion of the content on the internet is available to you in feeds that you can tap into. But this time, you’re in full control of what you’re receiving, and the feeds are purely reverse chronological bliss. Coincidentally, you might already be using RSS without even knowing, because the whole podcasting world runs on RSS.
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์”

    หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที:

    1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง

    2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที

    3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์

    4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย

    5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว

    https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    🔌 “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์ — เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ชาร์จแบต แต่เปิดประตูให้ภัยไซเบอร์” หลายคนอาจคิดว่าพอร์ต USB บนโทรศัพท์มือถือมีไว้แค่ชาร์จแบตหรือโอนข้อมูล แต่ในความเป็นจริง มันคือจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งของอุปกรณ์ — ทั้งในแง่พลังงาน การสื่อสารข้อมูล และความปลอดภัยของระบบ หากเสียบอุปกรณ์ผิดประเภทเข้าไป อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ชิ้นส่วนภายในพัง หรือที่ร้ายที่สุดคือข้อมูลส่วนตัวถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม “5 สิ่งที่ไม่ควรเสียบเข้าพอร์ต USB ของโทรศัพท์” พร้อมเหตุผลที่ฟังแล้วอาจทำให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมทันที: 1️⃣ สายชาร์จปลอม หรือไม่ได้รับการรับรอง — สายราคาถูกอาจไม่มีระบบป้องกันไฟกระชากหรือการควบคุมแรงดันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม บางสายยังมีชิปซ่อนอยู่เพื่อดักข้อมูลหรือฝังมัลแวร์ เช่น “O.MG Cable” ที่เคยถูกใช้ในการแฮกอุปกรณ์โดยตรง 2️⃣ สถานีชาร์จสาธารณะ — ที่สนามบินหรือห้างสรรพสินค้าอาจมีพอร์ต USB ให้เสียบชาร์จฟรี แต่หลายแห่งถูกแฮกเกอร์ดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือโจมตีแบบ “Juice Jacking” ซึ่งสามารถติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลผ่านสาย USB ได้ทันที 3️⃣ แฟลชไดรฟ์หรืออุปกรณ์ USB ที่ไม่รู้แหล่งที่มา — อุปกรณ์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์ หรือแม้แต่ “USB Killer” ที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อทำลายวงจรภายในโทรศัพท์ 4️⃣ ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก — แม้จะสามารถเชื่อมต่อได้ แต่ฮาร์ดไดรฟ์บางรุ่นใช้พลังงานมากเกินกว่าที่โทรศัพท์จะรองรับ ทำให้เกิดความร้อนสูงและอาจทำให้พอร์ต USB เสียหาย 5️⃣ หัวชาร์จที่มีวัตต์สูงเกินไป — การใช้หัวชาร์จที่ไม่ตรงกับสเปกของโทรศัพท์อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หรือทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วโดยไม่รู้ตัว https://www.slashgear.com/1982162/gadgets-to-never-plug-into-phone-usb-ports/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Things You Should Never Plug Into Your Phone's USB Ports (And Why) - SlashGear
    Your smartphone's USB port means it's compatible with a wide range of USB-powered accessories, but you'll want to avoid connecting it to just anything.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • “GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AmpereOne M — แรงจัด ประหยัดไฟ รองรับ AI และ Cloud แบบเต็มระบบ”

    GIGABYTE โดยบริษัทลูก Giga Computing ประกาศเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference, cloud-native และ data center ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ

    AmpereOne M มาพร้อมกับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 192 คอร์ รองรับหน่วยความจำ DDR5 ได้ถึง 12 ช่องต่อโปรเซสเซอร์ และสามารถติดตั้ง DIMM ได้สูงสุด 1.5 TB ต่อระบบ นอกจากนี้ยังมี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ทำให้สามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น โมเดลภาษา AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    GIGABYTE ได้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง โดยมีทั้งรุ่น 1U และ 2U ได้แก่:
    R1A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 4 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 สองช่อง
    R2A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 12 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 หนึ่งช่อง

    ทั้งสองรุ่นใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    GIGABYTE จะนำเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ไปโชว์ในงาน Korea Electronics Show (KES 2025) และ SuperComputing SC25 เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สัมผัสประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Arm-based สำหรับงาน AI และ Cloud โดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M
    AmpereOne M มีสูงสุด 192 คอร์ และรองรับ DDR5 ได้ถึง 1.5 TB
    มี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์
    เซิร์ฟเวอร์รุ่น R1A3-T40 และ R2A3-T40 รองรับ NVMe Gen 5 และ PCIe Gen 5
    ใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium
    รองรับงาน AI inference และ cloud-native ด้วยประสิทธิภาพสูง
    GIGABYTE จะโชว์เซิร์ฟเวอร์ในงาน KES 2025 และ SC25
    การออกแบบเน้นลดจำนวน node เพื่อประหยัดต้นทุนรวมของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AmpereOne M ใช้สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded เพื่อความเสถียร
    การใช้ vector unit ช่วยให้ประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ GPU
    NVMe Gen 5 มีความเร็วสูงกว่า Gen 4 ถึง 2 เท่า เหมาะกับงานที่ต้องการ I/O หนัก
    PCIe Gen 5 รองรับการ์ด AI inference และการ์ดเครือข่ายความเร็วสูง
    การใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ Titanium ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    https://www.techpowerup.com/341545/gigabyte-launches-portfolio-of-servers-powered-by-ampereone
    🧠 “GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AmpereOne M — แรงจัด ประหยัดไฟ รองรับ AI และ Cloud แบบเต็มระบบ” GIGABYTE โดยบริษัทลูก Giga Computing ประกาศเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference, cloud-native และ data center ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ AmpereOne M มาพร้อมกับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 192 คอร์ รองรับหน่วยความจำ DDR5 ได้ถึง 12 ช่องต่อโปรเซสเซอร์ และสามารถติดตั้ง DIMM ได้สูงสุด 1.5 TB ต่อระบบ นอกจากนี้ยังมี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ทำให้สามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น โมเดลภาษา AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ GIGABYTE ได้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง โดยมีทั้งรุ่น 1U และ 2U ได้แก่: 🔰 R1A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 4 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 สองช่อง 🔰 R2A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 12 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 หนึ่งช่อง ทั้งสองรุ่นใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน GIGABYTE จะนำเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ไปโชว์ในงาน Korea Electronics Show (KES 2025) และ SuperComputing SC25 เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สัมผัสประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Arm-based สำหรับงาน AI และ Cloud โดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ➡️ AmpereOne M มีสูงสุด 192 คอร์ และรองรับ DDR5 ได้ถึง 1.5 TB ➡️ มี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ➡️ เซิร์ฟเวอร์รุ่น R1A3-T40 และ R2A3-T40 รองรับ NVMe Gen 5 และ PCIe Gen 5 ➡️ ใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium ➡️ รองรับงาน AI inference และ cloud-native ด้วยประสิทธิภาพสูง ➡️ GIGABYTE จะโชว์เซิร์ฟเวอร์ในงาน KES 2025 และ SC25 ➡️ การออกแบบเน้นลดจำนวน node เพื่อประหยัดต้นทุนรวมของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AmpereOne M ใช้สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded เพื่อความเสถียร ➡️ การใช้ vector unit ช่วยให้ประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ GPU ➡️ NVMe Gen 5 มีความเร็วสูงกว่า Gen 4 ถึง 2 เท่า เหมาะกับงานที่ต้องการ I/O หนัก ➡️ PCIe Gen 5 รองรับการ์ด AI inference และการ์ดเครือข่ายความเร็วสูง ➡️ การใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ Titanium ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความน่าเชื่อถือ https://www.techpowerup.com/341545/gigabyte-launches-portfolio-of-servers-powered-by-ampereone
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    GIGABYTE Launches Portfolio of Servers Powered by AmpereOne
    Giga Computing, a subsidiary of GIGABYTE and an industry leader in servers for x86 and Arm-based platforms as well as advanced cooling technologies, today announces the launch of its broader portfolio of AmpereOne M servers, including the GIGABYTE R1A3-T40 and R2A3-T40. With its expanded AmpereOne M...
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • “Detour Dog มัลแวร์ DNS สุดแสบ — ซ่อนคำสั่งใน TXT Record หลอกเว็บทั่วโลกให้กลายเป็นฐานโจมตี”

    Infoblox และ Shadowserver ร่วมกันเปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ระดับโลกที่ใช้ชื่อว่า “Detour Dog” ซึ่งแฮกเกอร์เบื้องหลังได้ใช้เทคนิคใหม่ในการควบคุมเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์ผ่านระบบ DNS โดยเฉพาะการใช้ DNS TXT records เป็นช่องทางส่งคำสั่ง (Command and Control หรือ C2) แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถตรวจจับได้จากฝั่งผู้ใช้งานทั่วไป

    มัลแวร์นี้ฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์หลายหมื่นแห่งทั่วโลก โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ซึ่งจะตอบกลับด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ใน TXT record เช่น redirect ผู้ใช้ไปยังหน้าโฆษณาหลอกลวง หรือแม้แต่สั่งให้เว็บไซต์รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล

    ตั้งแต่กลางปี 2025 Detour Dog ได้พัฒนาให้สามารถติดตั้งมัลแวร์ backdoor ชื่อ StarFish ซึ่งใช้เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้ โดยพบว่า 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog

    ในเดือนสิงหาคม Shadowserver ได้ sinkhole โดเมนหลักของ Detour Dog (webdmonitor[.]io) และพบว่ามีการส่งคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งภายใน 48 ชั่วโมงจากเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์กว่า 30,000 แห่งใน 584 โดเมนระดับบน (TLD) โดยมี IP จากหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปรากฏอยู่ในคำขอด้วย

    แม้จะถูกปิดโดเมนหลัก แต่ Detour Dog ก็สามารถตั้งโดเมนใหม่ (aeroarrows[.]io) ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แสดงถึงความยืดหยุ่นและความเร็วในการฟื้นตัวของโครงสร้างมัลแวร์

    Infoblox เตือนว่า DNS ซึ่งมักถูกมองข้ามในด้านความปลอดภัย กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ในการกระจายมัลแวร์ และแนะนำให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record อย่างละเอียด รวมถึงติดตามโดเมน redirect ที่น่าสงสัย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Detour Dog ใช้ DNS TXT record เป็นช่องทางส่งคำสั่งควบคุมมัลแวร์ (C2)
    เว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์
    คำสั่งที่ส่งกลับมาอาจเป็น redirect หรือคำสั่งให้รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล
    Detour Dog ใช้มัลแวร์ StarFish เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่ระบบ
    69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog
    Shadowserver พบคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งใน 48 ชั่วโมงจาก 30,000 เว็บไซต์
    Detour Dog สามารถตั้งโดเมนใหม่ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกปิด
    Infoblox เตือนให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record และโดเมน redirect อย่างละเอียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DNS TXT record เดิมใช้สำหรับเก็บข้อมูลเสริม เช่น SPF หรือ DKIM แต่ถูกนำมาใช้ส่งคำสั่งมัลแวร์
    Strela Stealer เป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลที่เน้นเจาะอีเมลและเบราว์เซอร์
    การ sinkhole คือการเปลี่ยนเส้นทางโดเมนมัลแวร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยนักวิจัยเพื่อเก็บข้อมูล
    Passive DNS log ช่วยให้เห็นภาพรวมของการโจมตีและการกระจายคำสั่ง
    Detour Dog อาจเป็นโครงสร้างบริการมัลแวร์ที่เปิดให้กลุ่มอื่นใช้งานร่วม

    https://securityonline.info/detour-dog-stealthy-dns-malware-uses-txt-records-for-command-and-control/
    🧠 “Detour Dog มัลแวร์ DNS สุดแสบ — ซ่อนคำสั่งใน TXT Record หลอกเว็บทั่วโลกให้กลายเป็นฐานโจมตี” Infoblox และ Shadowserver ร่วมกันเปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ระดับโลกที่ใช้ชื่อว่า “Detour Dog” ซึ่งแฮกเกอร์เบื้องหลังได้ใช้เทคนิคใหม่ในการควบคุมเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์ผ่านระบบ DNS โดยเฉพาะการใช้ DNS TXT records เป็นช่องทางส่งคำสั่ง (Command and Control หรือ C2) แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถตรวจจับได้จากฝั่งผู้ใช้งานทั่วไป มัลแวร์นี้ฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์หลายหมื่นแห่งทั่วโลก โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ซึ่งจะตอบกลับด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ใน TXT record เช่น redirect ผู้ใช้ไปยังหน้าโฆษณาหลอกลวง หรือแม้แต่สั่งให้เว็บไซต์รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ตั้งแต่กลางปี 2025 Detour Dog ได้พัฒนาให้สามารถติดตั้งมัลแวร์ backdoor ชื่อ StarFish ซึ่งใช้เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้ โดยพบว่า 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog ในเดือนสิงหาคม Shadowserver ได้ sinkhole โดเมนหลักของ Detour Dog (webdmonitor[.]io) และพบว่ามีการส่งคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งภายใน 48 ชั่วโมงจากเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์กว่า 30,000 แห่งใน 584 โดเมนระดับบน (TLD) โดยมี IP จากหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปรากฏอยู่ในคำขอด้วย แม้จะถูกปิดโดเมนหลัก แต่ Detour Dog ก็สามารถตั้งโดเมนใหม่ (aeroarrows[.]io) ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แสดงถึงความยืดหยุ่นและความเร็วในการฟื้นตัวของโครงสร้างมัลแวร์ Infoblox เตือนว่า DNS ซึ่งมักถูกมองข้ามในด้านความปลอดภัย กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ในการกระจายมัลแวร์ และแนะนำให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record อย่างละเอียด รวมถึงติดตามโดเมน redirect ที่น่าสงสัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Detour Dog ใช้ DNS TXT record เป็นช่องทางส่งคำสั่งควบคุมมัลแวร์ (C2) ➡️ เว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ➡️ คำสั่งที่ส่งกลับมาอาจเป็น redirect หรือคำสั่งให้รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ➡️ Detour Dog ใช้มัลแวร์ StarFish เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่ระบบ ➡️ 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog ➡️ Shadowserver พบคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งใน 48 ชั่วโมงจาก 30,000 เว็บไซต์ ➡️ Detour Dog สามารถตั้งโดเมนใหม่ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกปิด ➡️ Infoblox เตือนให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record และโดเมน redirect อย่างละเอียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DNS TXT record เดิมใช้สำหรับเก็บข้อมูลเสริม เช่น SPF หรือ DKIM แต่ถูกนำมาใช้ส่งคำสั่งมัลแวร์ ➡️ Strela Stealer เป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลที่เน้นเจาะอีเมลและเบราว์เซอร์ ➡️ การ sinkhole คือการเปลี่ยนเส้นทางโดเมนมัลแวร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยนักวิจัยเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ Passive DNS log ช่วยให้เห็นภาพรวมของการโจมตีและการกระจายคำสั่ง ➡️ Detour Dog อาจเป็นโครงสร้างบริการมัลแวร์ที่เปิดให้กลุ่มอื่นใช้งานร่วม https://securityonline.info/detour-dog-stealthy-dns-malware-uses-txt-records-for-command-and-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    Detour Dog: Stealthy DNS Malware Uses TXT Records for Command and Control
    The Detour Dog campaign is using DNS TXT records for stealthy C2, infecting thousands of websites and quickly shifting infrastructure to evade sinkholing efforts.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น”

    สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

    นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่
    BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง
    BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว

    ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3

    กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น
    Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ
    Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP
    Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว

    ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น

    https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    🌌 “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น” สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่ 📷 BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง 📷 BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3 กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น 📷 Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ 📷 Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP 📷 Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • “Orange Pi AI Studio Pro — มินิพีซีพลัง Huawei Ascend 310 ที่แรงทะลุ 352 TOPS แต่ยังติดข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ”

    Orange Pi เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่สำหรับงานปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะในชื่อ “AI Studio Pro” ซึ่งใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ที่ให้พลังประมวลผลด้าน AI สูงถึง 176 TOPS ในรุ่นปกติ และ 352 TOPS ในรุ่น Pro ที่รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน พร้อมหน่วยความจำสูงสุดถึง 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps2

    ตัวเครื่องออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI หลากหลาย เช่น การประมวลผลภาพ, การเรียนรู้เชิงลึก, การวิเคราะห์ข้อมูล, การใช้งาน IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ โดยสามารถติดตั้ง Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 ได้ทันที ส่วน Windows จะรองรับในอนาคต3

    แม้จะมีพลังประมวลผลสูงและหน่วยความจำมหาศาล แต่ Orange Pi AI Studio Pro กลับมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออย่างชัดเจน โดยมีเพียงพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ, อุปกรณ์เก็บข้อมูล หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา dock หรือ hub เพิ่มเติม

    นอกจากนี้ยังไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายอาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น Ethernet หรืออุปกรณ์เสริมภายนอก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่หรือในพื้นที่จำกัด

    ราคาจำหน่ายในจีนเริ่มต้นที่ประมาณ $955 สำหรับรุ่น 48GB และสูงสุดถึง $2,200 สำหรับรุ่น Pro ที่มี RAM 192GB โดยมีวางจำหน่ายผ่าน JD.com และ AliExpress

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Orange Pi AI Studio Pro ใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core
    รุ่น Pro รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน ให้พลังประมวลผลสูงถึง 352 TOPS
    รองรับหน่วยความจำสูงสุด 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps
    รองรับ Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 พร้อมรองรับ Windows ในอนาคต
    เหมาะสำหรับงาน AI เช่น OCR, การรู้จำใบหน้า, การแนะนำเนื้อหา, IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ
    มีพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ
    ไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว
    ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ $955 และสูงสุดถึง $2,200 ขึ้นอยู่กับรุ่นและ RAM

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei Ascend 310 เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีประสิทธิภาพสูงในงาน inference
    Orange Pi เป็นแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับนักพัฒนาและงานวิจัย
    การใช้ context window ขนาดใหญ่และ RAM สูงช่วยให้รองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ดี
    การรองรับ Deepseek-R1 distillation model ช่วยให้สามารถ deploy โมเดล AI แบบ local ได้
    การรวมการฝึกและการ inference ในเครื่องเดียวช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/orange-pi-ai-studio-pro-mini-pc-debuts-with-huawei-ascend-310-and-352-tops-of-ai-performance-also-features-up-to-192gb-of-memory-but-relies-on-a-single-usb-c-port
    🧠 “Orange Pi AI Studio Pro — มินิพีซีพลัง Huawei Ascend 310 ที่แรงทะลุ 352 TOPS แต่ยังติดข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อ” Orange Pi เปิดตัวมินิพีซีรุ่นใหม่สำหรับงานปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะในชื่อ “AI Studio Pro” ซึ่งใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ที่ให้พลังประมวลผลด้าน AI สูงถึง 176 TOPS ในรุ่นปกติ และ 352 TOPS ในรุ่น Pro ที่รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน พร้อมหน่วยความจำสูงสุดถึง 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps2 ตัวเครื่องออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI หลากหลาย เช่น การประมวลผลภาพ, การเรียนรู้เชิงลึก, การวิเคราะห์ข้อมูล, การใช้งาน IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ โดยสามารถติดตั้ง Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 ได้ทันที ส่วน Windows จะรองรับในอนาคต3 แม้จะมีพลังประมวลผลสูงและหน่วยความจำมหาศาล แต่ Orange Pi AI Studio Pro กลับมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่ออย่างชัดเจน โดยมีเพียงพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพ, อุปกรณ์เก็บข้อมูล หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา dock หรือ hub เพิ่มเติม นอกจากนี้ยังไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายอาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น Ethernet หรืออุปกรณ์เสริมภายนอก ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่หรือในพื้นที่จำกัด ราคาจำหน่ายในจีนเริ่มต้นที่ประมาณ $955 สำหรับรุ่น 48GB และสูงสุดถึง $2,200 สำหรับรุ่น Pro ที่มี RAM 192GB โดยมีวางจำหน่ายผ่าน JD.com และ AliExpress ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Orange Pi AI Studio Pro ใช้ชิป Huawei Ascend 310 แบบ ARM octa-core ➡️ รุ่น Pro รวมสองเครื่องเข้าด้วยกัน ให้พลังประมวลผลสูงถึง 352 TOPS ➡️ รองรับหน่วยความจำสูงสุด 192GB LPDDR4X ความเร็ว 4266 Mbps ➡️ รองรับ Ubuntu 22.04.5 และ Linux kernel 5.15 พร้อมรองรับ Windows ในอนาคต ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI เช่น OCR, การรู้จำใบหน้า, การแนะนำเนื้อหา, IoT และระบบขนส่งอัจฉริยะ ➡️ มีพอร์ต USB-C 4.0 เพียงช่องเดียวสำหรับทุกการเชื่อมต่อ ➡️ ไม่มีการระบุว่ามี Wi-Fi หรือ Bluetooth ในตัว ➡️ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ $955 และสูงสุดถึง $2,200 ขึ้นอยู่กับรุ่นและ RAM ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei Ascend 310 เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีประสิทธิภาพสูงในงาน inference ➡️ Orange Pi เป็นแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับนักพัฒนาและงานวิจัย ➡️ การใช้ context window ขนาดใหญ่และ RAM สูงช่วยให้รองรับโมเดล AI ขนาดใหญ่ได้ดี ➡️ การรองรับ Deepseek-R1 distillation model ช่วยให้สามารถ deploy โมเดล AI แบบ local ได้ ➡️ การรวมการฝึกและการ inference ในเครื่องเดียวช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/orange-pi-ai-studio-pro-mini-pc-debuts-with-huawei-ascend-310-and-352-tops-of-ai-performance-also-features-up-to-192gb-of-memory-but-relies-on-a-single-usb-c-port
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ”

    Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง

    Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที

    มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต

    Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที

    สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator

    จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว

    มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่

    สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk

    อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com

    Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป
    ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์
    Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์
    Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก
    โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check
    ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี
    มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง
    ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร
    Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ
    Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง
    Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo
    การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น

    https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    📱 “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ” Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 🌍 สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk 🌍 อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป ➡️ ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์ ➡️ Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์ ➡️ Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก ➡️ โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check ➡️ ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี ➡️ มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง ➡️ ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร ➡️ Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ ➡️ Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง ➡️ Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo ➡️ การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Klopatra: New Android RAT Uses Hidden VNC and Commercial Obfuscation to Hijack European Banking Accounts
    Cleafy uncovers Klopatra, a new Android RAT using commercial Virbox obfuscation and native code to target banks in Spain/Italy, allowing invisible remote device control.Export to Sheets
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม”

    ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว

    ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2

    Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง

    น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า
    ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้
    Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา
    Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่
    ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป
    Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต
    ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง
    Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง
    Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน
    ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก
    การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    🧩 “บั๊ก Windows 11 ที่ทำให้ Intel รุ่น 11th Gen อัปเดตไม่ได้ ถูกแก้แล้ว — แต่ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็ม” ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์ Intel รุ่น 11th Gen แล้วพยายามอัปเดตเป็น Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 แต่ติดปัญหาไม่สามารถอัปเดตได้เสียที ตอนนี้ข่าวดีมาแล้ว — Microsoft ประกาศว่าได้ปลดล็อกการอัปเดตให้กับเครื่องที่เคยถูก “compatibility hold” หลังจากที่ Intel แก้ไขปัญหาไดรเวอร์เสียง Smart Sound Technology (SST) ที่เป็นต้นเหตุของบั๊กนี้เรียบร้อยแล้ว ปัญหานี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และส่งผลให้เครื่องที่ใช้ชิป Rocket Lake หรือ Tiger Lake ไม่สามารถอัปเดตได้ เพราะไดรเวอร์ SST รุ่นเก่าอาจทำให้เกิด Blue Screen of Death (หรือในเวอร์ชันใหม่คือ Black Screen) เมื่อพยายามติดตั้งเวอร์ชัน 24H2 Microsoft ไม่สามารถแก้ไขได้เอง เพราะเป็นปัญหาที่อยู่ฝั่ง Intel จึงต้องรอให้ Intel ปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ซึ่งกว่าจะออกมาก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ผ่าน Windows Update และหลังจากนั้นจึงตรวจสอบอีกครั้งเพื่อรับอัปเดต Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ซึ่งอาจใช้เวลาระบบในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 48 ชั่วโมง น่าสนใจคือ ปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ซึ่งหมายความว่า Intel SST เคยเป็นจุดอ่อนซ้ำซาก และการแก้ไขครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะไม่เกิดซ้ำอีกในเวอร์ชัน 25H2 ที่กำลังจะมาในปลายปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บั๊กใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เกิดจากไดรเวอร์ Intel Smart Sound Technology (SST) รุ่นเก่า ➡️ ส่งผลให้เครื่องที่ใช้ Intel 11th Gen (Rocket Lake, Tiger Lake) ไม่สามารถอัปเดตได้ ➡️ Microsoft ใช้ “compatibility hold” เพื่อบล็อกการอัปเดตในเครื่องที่มีไดรเวอร์ที่มีปัญหา ➡️ Intel ใช้เวลาหนึ่งปีในการแก้ไขและปล่อยไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ ➡️ ไดรเวอร์ที่ปลอดภัยคือเวอร์ชัน 10.30.00.5714 หรือ 10.29.00.5714 ขึ้นไป ➡️ Microsoft ประกาศปลดล็อกการอัปเดตเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update และรอประมาณ 48 ชั่วโมงเพื่อรับอัปเดต ➡️ ปัญหานี้เคยเกิดในเวอร์ชัน 22H2 และ 21H2 เมื่อปี 2022 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel SST เป็นระบบควบคุมเสียงที่ฝังอยู่ในหลายรุ่นของชิป Intel เพื่อจัดการไมโครโฟนและลำโพง ➡️ Compatibility hold เป็นมาตรการของ Microsoft เพื่อป้องกันการอัปเดตที่อาจทำให้ระบบพัง ➡️ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 เป็นอัปเดตใหญ่ที่รวมฟีเจอร์ใหม่ เช่น AI integration และระบบประหยัดพลังงาน ➡️ ผู้ใช้ Intel 11th Gen ยังมีอยู่มากถึง 10–15% ของผู้ใช้ Windows ทั่วโลก ➡️ การอัปเดตไดรเวอร์เสียงมีผลต่อการใช้งาน Windows Hello และแอปที่ใช้ไมโครโฟน https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-bug-that-stopped-some-intel-pcs-from-getting-the-24h2-update-is-fixed-but-it-took-a-whole-year
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ Tile Tracker เปิดทางให้ถูกสะกดรอย — เมื่ออุปกรณ์ติดตามกลายเป็นเครื่องมือของผู้ล่า”

    Tile Tracker ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตามผ่าน Bluetooth ที่นิยมใช้กันทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังจากทีมนักวิจัยจาก Georgia Institute of Technology ค้นพบว่า Tile มีการออกแบบที่เปิดช่องให้บุคคลอื่นสามารถติดตามเจ้าของอุปกรณ์ได้ โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าถึงใด ๆ

    ปัญหาหลักคือ Tile ส่งข้อมูล MAC address และรหัสเฉพาะของอุปกรณ์ออกไปแบบ “ไม่เข้ารหัส” ผ่าน Bluetooth ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณ เช่น โทรศัพท์หรือเสาอากาศ RF สามารถดักจับข้อมูลเหล่านี้ได้ และติดตามตำแหน่งของเจ้าของ Tile ได้อย่างต่อเนื่อง

    แม้ Tile จะเคยเพิ่มระบบป้องกันการสะกดรอยในปี 2023 เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้แอบใส่ Tile ในกระเป๋าคนอื่น แต่ช่องโหว่ที่ค้นพบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการใช้งานผิดประเภทโดยเจ้าของอุปกรณ์ — กลับเป็นการที่บุคคลภายนอกสามารถติดตามเจ้าของ Tile ได้โดยไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์เลย

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือข้อมูลตำแหน่ง, MAC address และรหัสเฉพาะของ Tile ยังถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท Life360 ซึ่งเป็นเจ้าของ Tile โดยไม่มีการเข้ารหัส และนักวิจัยเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไว้แบบ plain text ซึ่งอาจเปิดทางให้บริษัทติดตามผู้ใช้ได้ แม้จะอ้างว่าไม่มีความสามารถนั้นก็ตาม

    นักวิจัยยังพบว่า แม้จะหยุดการส่ง MAC address ได้ แต่ระบบการสร้างรหัสหมุนเวียนของ Tile ก็ยังสามารถถูกคาดเดาได้จากรหัสก่อนหน้า ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถ “fingerprint” อุปกรณ์ได้ตลอดอายุการใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    นักวิจัยจาก Georgia Tech พบช่องโหว่ใน Tile Tracker ที่เปิดทางให้ถูกติดตาม
    Tile ส่ง MAC address และรหัสเฉพาะแบบไม่เข้ารหัสผ่าน Bluetooth
    ข้อมูลสามารถถูกดักจับได้โดยอุปกรณ์ทั่วไป เช่น โทรศัพท์หรือเสาอากาศ RF
    ระบบป้องกันการสะกดรอยของ Tile ไม่สามารถป้องกันการติดตามโดยบุคคลภายนอกได้
    ข้อมูลตำแหน่งและรหัสเฉพาะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Life360 โดยไม่มีการเข้ารหัส
    นักวิจัยเชื่อว่าข้อมูลถูกเก็บไว้แบบ plain text ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ติดตามผู้ใช้
    ระบบรหัสหมุนเวียนของ Tile สามารถถูกคาดเดาได้จากรหัสก่อนหน้า
    การติดตามสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ยังถือ Tile อยู่กับตัว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple AirTag และ Google Find My ใช้การเข้ารหัสและรหัสหมุนเวียนที่ปลอดภัยกว่า
    Bluetooth beacon เคยถูกใช้ในร้านค้าปลีกเพื่อติดตามพฤติกรรมลูกค้า
    อุปกรณ์ “sniffer” สำหรับดักจับสัญญาณ Bluetooth มีขายทั่วไปและใช้ในบ้านอัจฉริยะ
    ระบบ “anti-theft mode” ของ Tile ทำให้แท็กไม่สามารถถูกตรวจจับได้ แม้จะถูกใช้สะกดรอย
    นักวิจัยเคยแจ้ง Life360 ตั้งแต่ปลายปี 2024 แต่บริษัทหยุดตอบกลับในเดือนกุมภาพันธ์ 2025

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/tile-exploit-could-let-stalkers-follow-you-with-your-own-tracker-researchers-uncover-broadcasting-flaw-via-bluetooth
    📍 “ช่องโหว่ Tile Tracker เปิดทางให้ถูกสะกดรอย — เมื่ออุปกรณ์ติดตามกลายเป็นเครื่องมือของผู้ล่า” Tile Tracker ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตามผ่าน Bluetooth ที่นิยมใช้กันทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ด้านความปลอดภัยครั้งใหญ่ หลังจากทีมนักวิจัยจาก Georgia Institute of Technology ค้นพบว่า Tile มีการออกแบบที่เปิดช่องให้บุคคลอื่นสามารถติดตามเจ้าของอุปกรณ์ได้ โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าถึงใด ๆ ปัญหาหลักคือ Tile ส่งข้อมูล MAC address และรหัสเฉพาะของอุปกรณ์ออกไปแบบ “ไม่เข้ารหัส” ผ่าน Bluetooth ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณ เช่น โทรศัพท์หรือเสาอากาศ RF สามารถดักจับข้อมูลเหล่านี้ได้ และติดตามตำแหน่งของเจ้าของ Tile ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ Tile จะเคยเพิ่มระบบป้องกันการสะกดรอยในปี 2023 เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้แอบใส่ Tile ในกระเป๋าคนอื่น แต่ช่องโหว่ที่ค้นพบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการใช้งานผิดประเภทโดยเจ้าของอุปกรณ์ — กลับเป็นการที่บุคคลภายนอกสามารถติดตามเจ้าของ Tile ได้โดยไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์เลย ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือข้อมูลตำแหน่ง, MAC address และรหัสเฉพาะของ Tile ยังถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท Life360 ซึ่งเป็นเจ้าของ Tile โดยไม่มีการเข้ารหัส และนักวิจัยเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไว้แบบ plain text ซึ่งอาจเปิดทางให้บริษัทติดตามผู้ใช้ได้ แม้จะอ้างว่าไม่มีความสามารถนั้นก็ตาม นักวิจัยยังพบว่า แม้จะหยุดการส่ง MAC address ได้ แต่ระบบการสร้างรหัสหมุนเวียนของ Tile ก็ยังสามารถถูกคาดเดาได้จากรหัสก่อนหน้า ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถ “fingerprint” อุปกรณ์ได้ตลอดอายุการใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ นักวิจัยจาก Georgia Tech พบช่องโหว่ใน Tile Tracker ที่เปิดทางให้ถูกติดตาม ➡️ Tile ส่ง MAC address และรหัสเฉพาะแบบไม่เข้ารหัสผ่าน Bluetooth ➡️ ข้อมูลสามารถถูกดักจับได้โดยอุปกรณ์ทั่วไป เช่น โทรศัพท์หรือเสาอากาศ RF ➡️ ระบบป้องกันการสะกดรอยของ Tile ไม่สามารถป้องกันการติดตามโดยบุคคลภายนอกได้ ➡️ ข้อมูลตำแหน่งและรหัสเฉพาะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Life360 โดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ นักวิจัยเชื่อว่าข้อมูลถูกเก็บไว้แบบ plain text ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ติดตามผู้ใช้ ➡️ ระบบรหัสหมุนเวียนของ Tile สามารถถูกคาดเดาได้จากรหัสก่อนหน้า ➡️ การติดตามสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ยังถือ Tile อยู่กับตัว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple AirTag และ Google Find My ใช้การเข้ารหัสและรหัสหมุนเวียนที่ปลอดภัยกว่า ➡️ Bluetooth beacon เคยถูกใช้ในร้านค้าปลีกเพื่อติดตามพฤติกรรมลูกค้า ➡️ อุปกรณ์ “sniffer” สำหรับดักจับสัญญาณ Bluetooth มีขายทั่วไปและใช้ในบ้านอัจฉริยะ ➡️ ระบบ “anti-theft mode” ของ Tile ทำให้แท็กไม่สามารถถูกตรวจจับได้ แม้จะถูกใช้สะกดรอย ➡️ นักวิจัยเคยแจ้ง Life360 ตั้งแต่ปลายปี 2024 แต่บริษัทหยุดตอบกลับในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/tile-exploit-could-let-stalkers-follow-you-with-your-own-tracker-researchers-uncover-broadcasting-flaw-via-bluetooth
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์”

    ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ

    Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย

    จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode

    ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน
    ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง
    รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส
    มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI
    ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ
    มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ
    แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน
    รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama
    น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม
    วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก
    รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh
    โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา
    AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้
    หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย

    https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    🎬 “Hohem iSteady V3 Ultra: กิมบอล AI ที่เปลี่ยนมือถือธรรมดาให้กลายเป็นกล้องระดับโปร — เล็ก เบา ฉลาด และพร้อมลุยทุกสถานการณ์” ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว Hohem iSteady V3 Ultra ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง “ความธรรมดา” กับ “ความมืออาชีพ” ด้วยกิมบอลขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระดับสูง ตั้งแต่ระบบกันสั่น 3 แกน ไปจนถึง AI ที่ติดตามวัตถุได้โดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันใด ๆ Andy Zahn จาก SlashGear ได้ทดสอบกิมบอลรุ่นนี้ในทริปแบกเป้กลางป่า และพบว่ามันไม่เพียงแค่ทนทานต่อฝุ่นและอากาศหนาวจัด แต่ยังให้ภาพวิดีโอที่นิ่งและสวยงามแม้จะเดินบนเส้นทางขรุขระ ด้วยดีไซน์ที่พับเก็บได้และน้ำหนักเบา เขาสามารถพกพาไว้ในกระเป๋าข้างของเป้ หรือแม้แต่ในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่ได้เลย จุดเด่นที่ทำให้ iSteady V3 Ultra แตกต่างคือ “รีโมทอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.22 นิ้ว พร้อมระบบติดตามวัตถุแบบ AI ที่สามารถควบคุมผ่านท่าทางมือ และแสดงภาพสดจากกล้องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือโดยตรง นอกจากนี้ยังมีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงานถึง 5 แบบ เช่น Pan Follow, POV, และ Sport Mode ที่สำคัญคือแอป Hohem Joy ไม่บังคับให้ผู้ใช้ลงทะเบียนหรือสร้างบัญชี — แค่ติดตั้ง เชื่อมต่อ แล้วใช้งานได้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอุปกรณ์มักบังคับให้ล็อกอินก่อนใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Hohem iSteady V3 Ultra เป็นกิมบอลกันสั่น 3 แกนสำหรับสมาร์ตโฟน ➡️ ดีไซน์แข็งแรง พับเก็บได้ และพกพาง่ายแม้ในกระเป๋ากางเกง ➡️ รองรับมือถือขนาดใหญ่ เช่น Galaxy S22 Ultra พร้อมเคส ➡️ มีรีโมทอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส 1.22 นิ้ว และระบบติดตาม AI ➡️ ระบบติดตามทำงานโดยไม่ต้องพึ่งแอป และควบคุมผ่านท่าทางมือ ➡️ มีขาตั้งในตัว, ไฟ LED 3 สี, และโหมดการทำงาน 5 แบบ ➡️ แอป Hohem Joy ใช้งานง่าย ไม่บังคับให้ลงทะเบียน ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ hyperlapse, timelapse และ panorama ➡️ น้ำหนักประมาณ 430 กรัม รองรับมือถือไม่เกิน 400 กรัม ➡️ วางจำหน่ายใน Best Buy ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบกันสั่น iSteady 9.0 ช่วยลดการสั่นไหวได้แม้ในสภาพแวดล้อมหนัก ➡️ รีโมทมีระยะควบคุมสูงสุด 10 เมตร พร้อมแบตเตอรี่ 140 mAh ➡️ โหมด “Scenario” มีพรีเซ็ตสำหรับการถ่ายแบบอัตโนมัติ เช่น หมุนกล้อง, พาโนรามา ➡️ AI tracker สามารถติดตามวัตถุได้หลากหลาย เช่น คน, สัตว์, ต้นไม้ ➡️ หน้าจอรีโมทสามารถเปลี่ยนวัตถุที่ติดตามได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดถ่าย https://www.slashgear.com/sponsored/1957027/say-goodbye-shaky-videos-tested-hohems-isteady-v3-ultra-gimbal/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Say Goodbye To Shaky Videos: We Tested Hohem's iSteady V3 Ultra Gimbal - SlashGear
    The Hohem iSteady V3 Ultra Gimbal is made to hold your phone while you capture video with a collection of advanced features, from AI to infinite pan tracking.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว”

    Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2

    Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2

    นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi
    ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on
    ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band
    รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล
    ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ
    รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป
    เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026
    Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular
    อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ
    92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ
    Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT
    Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    📡 “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว” Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2 Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2 นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi ➡️ ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on ➡️ ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band ➡️ รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล ➡️ ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ ➡️ รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป ➡️ เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026 ➡️ Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular ➡️ อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ ➡️ 92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ ➡️ Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT ➡️ Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
More Results