อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
สัทธรรมลำดับที่ : 723
ชื่อบทธรรม :- ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
เนื้อความทั้งหมด :-
--ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง;
เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง*-๑;
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง
ปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่);
เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น
มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และ
เพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง.
*-๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง”
ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น.
+--
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา
ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่
(เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น
แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
มีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี
เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
+--
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้
ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน;
ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :-
).
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
+--“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
(ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)*--๑
เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง
ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ
อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง
ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง
*--๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า;
ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.
+--.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ
เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า
“อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่.
(เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่*--๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ
มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน
ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
*--๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ.
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง
เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ
จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว
อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ.
ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : -
).
--ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า
สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)**-๑
ก็มีประมาณเท่านั้น.
--ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ
สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น**-๒
นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้าอาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”.
+--สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ
แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ**-๓
ดังนี้.-
**-๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ
รูปฌานสี่ อรูปฌานาสาม ข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ
เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน
คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสาม นั่นเอง
จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”.
**-๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว
จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้
กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ
ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง "
(สำหรับหัวข้อเรื่องที่ว่า “ฌานที่มีสัญญานั้น ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง”
ดังนี้ นั้น หมายความว่า ในฌานที่ยังมีสัญญาอยู่นั้น มีทางที่จะกำหนดขันธ์
ตามที่ปรากฏอยู่ในฌาน นั้นว่ามีลักษณะ เช่นอนิจจลักษณะ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อกำหนดเข้าแล้ว ก็ย่อมเกิดวิปัสสนา.
ส่วนฌานที่ไร้สัญญา คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น
ไม่มีทางที่จะกำหนดขันธ์โดยลักษณะใด ๆ เพราะความไม่มีสัญญานั่นเอง
แต่อาจจะรู้จักผลสุดท้ายแห่งฌานนั้น ๆ ได้ ว่ามีอาสวะเหลืออยู่หรือหาไม่).
**-๓. ฌายีภิกษุ คือภิกษุผู้บำเพ็ญฌานอยู่
ครั้นเขาเข้าหรือออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
และสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ก็มีความรู้ประจักษ์แก่ตนเอง
ว่าเมื่ออาศัยสมาบัติทั้งสองนี้แล้ว จะมีการสิ้นอาสวะหรือไม่.
ถ้าเป็นสมาบัติทั้งเจ็ดข้างต้น ทรงยืนยันว่ามีความสิ้นอาสวะ
ส่วนในสมาบัติสุดท้ายทั้งสองนี้ ทรงปล่อยไว้ให้ผู้ที่ได้เข้าแล้ว ออกแล้ว
เป็นผู้กล่าวเอง ว่ามีการสิ้นอาสวะหรือไม่
เพื่อให้ได้ใช้ความเป็นปัจจัตตังของธรรมะให้ถึงที่สุด
เป็นคำตรัสที่แยบยลเหลือประมาณ ควรแก่การสังเกตอย่างยิ่ง.
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/341-346/240.
http://etipitaka.com/read/thai/23/341/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐.
http://etipitaka.com/read/pali/23/438/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=723
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
สัทธรรมลำดับที่ : 723
ชื่อบทธรรม :- ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
เนื้อความทั้งหมด :-
--ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง;
เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง*-๑;
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง
ปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่);
เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น
มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และ
เพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง.
*-๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง”
ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น.
+--
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา
ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่
(เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น
แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
มีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี
เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
+--
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้
ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน;
ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :-
).
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
+--“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
(ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)*--๑
เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง
ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ
อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง
ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง
*--๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า;
ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.
+--.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ
เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า
“อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่.
(เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่*--๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ
มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน
ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
*--๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ.
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง
เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ
จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว
อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ.
ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : -
).
--ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า
สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)**-๑
ก็มีประมาณเท่านั้น.
--ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ
สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น**-๒
นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้าอาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”.
+--สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ
แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ**-๓
ดังนี้.-
**-๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ
รูปฌานสี่ อรูปฌานาสาม ข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ
เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน
คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสาม นั่นเอง
จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”.
**-๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว
จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้
กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ
ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง "
(สำหรับหัวข้อเรื่องที่ว่า “ฌานที่มีสัญญานั้น ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง”
ดังนี้ นั้น หมายความว่า ในฌานที่ยังมีสัญญาอยู่นั้น มีทางที่จะกำหนดขันธ์
ตามที่ปรากฏอยู่ในฌาน นั้นว่ามีลักษณะ เช่นอนิจจลักษณะ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อกำหนดเข้าแล้ว ก็ย่อมเกิดวิปัสสนา.
ส่วนฌานที่ไร้สัญญา คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น
ไม่มีทางที่จะกำหนดขันธ์โดยลักษณะใด ๆ เพราะความไม่มีสัญญานั่นเอง
แต่อาจจะรู้จักผลสุดท้ายแห่งฌานนั้น ๆ ได้ ว่ามีอาสวะเหลืออยู่หรือหาไม่).
**-๓. ฌายีภิกษุ คือภิกษุผู้บำเพ็ญฌานอยู่
ครั้นเขาเข้าหรือออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
และสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ก็มีความรู้ประจักษ์แก่ตนเอง
ว่าเมื่ออาศัยสมาบัติทั้งสองนี้แล้ว จะมีการสิ้นอาสวะหรือไม่.
ถ้าเป็นสมาบัติทั้งเจ็ดข้างต้น ทรงยืนยันว่ามีความสิ้นอาสวะ
ส่วนในสมาบัติสุดท้ายทั้งสองนี้ ทรงปล่อยไว้ให้ผู้ที่ได้เข้าแล้ว ออกแล้ว
เป็นผู้กล่าวเอง ว่ามีการสิ้นอาสวะหรือไม่
เพื่อให้ได้ใช้ความเป็นปัจจัตตังของธรรมะให้ถึงที่สุด
เป็นคำตรัสที่แยบยลเหลือประมาณ ควรแก่การสังเกตอย่างยิ่ง.
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/341-346/240.
http://etipitaka.com/read/thai/23/341/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐.
http://etipitaka.com/read/pali/23/438/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=723
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
สัทธรรมลำดับที่ : 723
ชื่อบทธรรม :- ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
เนื้อความทั้งหมด :-
--ฌาน (ที่มีสัญญา) ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง
--ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง;
เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง;
เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง*-๑;
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
ภิกษุสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึง
ปฐมฌานอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
ในปฐมฌานนั้นมีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่);
เธอนั้นตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม(คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น ย่อมถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ อนาคามีผู้ปรินิพพาน ในภพนั้น
มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และ
เพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆ นั่นเอง.
*-๑. บาลีฉบับมอญ กล่าวลงเลยไปถึงว่า “เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง”
ฉบับไทยเราหยุดเสียเพียงแค่เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้เท่านั้น.
+--
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา
ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าถึงปฐมฌาณอันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่
(เธอนั้นกำหนดเบญจขันธ์โดยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น
แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ
มีปฐมฌาณเป็นบาทนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี
เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะ อาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
+--
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย ทุติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย ตติยฌาน บ้าง
เพราะอาศัย จตุตถฌาน บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งปฐมณานข้างบนนี้
ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งฌานเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวแล้วข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับ ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน;
ต่อไปจะข้ามไปกล่าวถึงอรูปสัญญาในลำดับต่อไป :-
).
--ภิกษุ ท. ! คำที่เรากล่าวแล้วว่า
+--“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้น อาสวะ เพราะอาศัย อากาสานัญจายตนะบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรเล่า ?
+--ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึง อากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สิ้นสุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
(ที่กำลัง ทำหน้าที่อยู่)*--๑
เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา)
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น
(อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า
“นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
: นั่นคือธรรมชาติ
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย
เป็นความดับ
เป็นนิพพาน”
ดังนี้.
เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อมถึง
ความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะ
อนาคามีผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง
ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากความพอใจและความเพลินที่ยังละไม่ได้) นั้นๆ นั่นเอง
*--๑ ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวก รูปฌาน มีขันธ์ครบห้า;
ส่วนใน อรูปฺฌาน มีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.
+--.
--ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนนายขมังธนูหรือลูกมือของเขา ประกอบการฝึกอยู่กะรูปหุ่นคนที่ทำด้วยหญ้าบ้าง กะรูปหุ่นดินบ้าง;
สมัยต่อมา เขาก็เป็นนายขมังธนูผู้ยิงไกล ยิงเร็ว ทำลายหมู่พลอันใหญ่ได้.
+--ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุ
เพราะก้าวล่วงซึ่งรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
เพราะการไม่ทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญา
จึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการไม่ทำในใจว่า
“อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้แล้วแลอยู่.
(เธอนั้นกำหนดขันธ์เพียงสี่*--๒ ว่าขันธ์แต่ละขันธ์ประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ
มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แล้วน้อมจิตไปสู่อมตธาตุคือนิพพาน
ถึงความสิ้นอาสวะเมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ มีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
หรือมิฉะนั้นก็เป็นอนาคามี เพราะมีธัมมราคะ ธัมมนันทิในนิพพานนั้น
)
ดังนี้.
+--ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
*--๒. เพียงสี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่ประกอบอยู่ในอากาสานัญจายตนะ.
(ในกรณีแห่งการสิ้นอาสวะ
เพราะอาศัย วิญญาณัญจายตนะ บ้าง
เพราะอาศัย อากิญจัญญายตนะ บ้าง
ก็มีคำอธิบายที่ตรัสไว้โดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวคำพูดทั้งในส่วนอุปไมยและส่วนอุปมา ผิดกันแต่ชื่อแห่งสมาบัติเท่านั้น
ผู้ศึกษาอาจกำหนดรู้ได้เอง โดยอาศัยข้อความที่กล่าวข้างบนนี้
จะนำมาใส่ไว้เต็มข้อความนั้นก็ยืดยาวเกินไป
จึงเว้นเสียสำหรับวิญญาณัญจายตนะและอากิญจัญญายตนะ
จนกระทั่งถึงคำว่า .... เราอาศัยข้อความนี้กล่าวแล้ว
อันเป็นคำสุดท้ายของข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะ.
ครั้นตรัสข้อความในกรณีแห่งอากิญจัญญายตนะจบแล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ ต่อไปว่า : -
).
--ภิกษุ ท. ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล เป็นอันกล่าวได้ว่า
สัญญาสมาบัติ มีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธ (การแทงตลอดอรหัตตผล)**-๑
ก็มีประมาณเท่านั้น.
--ภิกษุ ท. ! ส่วนว่า อายตนะอีก ๒ ประการ กล่าวคือ
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ และ
สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งอาศัยสัญญาสมาบัติ (๗ประการ) เหล่านั้น**-๒
นั้นเรากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ฌายีภิกษุผู้ฉลาดในการเข้าอาศัยสมาบัติ ๗ อย่าง”.
+--สมาบัติ ฉลาดในการออกจากสมาบัติ จะพึงเข้าสมาบัติ ออกจากสมาบัติ สมาบัติ
แล้วกล่าวว่าเป็นอะไรได้เองโดยชอบ**-๓
ดังนี้.-
**-๑. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติเจ็ด คือ
รูปฌานสี่ อรูปฌานาสาม ข้างต้น รวมเป็นเจ็ดเรียกว่า สัญญาสมาบัติ
เพราะเป็นสมาบัติที่ยังมีสัญญา เมื่อสัญญาสมาบัติ มีเจ็ด อัญญาปฏิเวธก็มีเจ็ดเท่ากัน
คือการแทงตลอดอรหัตตผลในกรณีของรูปฌานสี่ อรูปฌานสาม นั่นเอง
จึงตรัสว่า “สัญญาสมาบัติมีประมาณเท่าใด อัญญาปฏิเวธก็มีประมาณเท่านั้น”.
**-๒. ข้อความนี้หมายความว่า สัญญาสมาบัติ ๗ ประการ เกิดก่อนแล้ว ตั้งอยู่แล้ว
จึงอาจจะเกิดสมาบัติที่ไม่มีสัญญาสองประการนี้
กล่าวคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ
ดังนั้นจึงตรัสว่า “อายตนะสองอย่าง "
(สำหรับหัวข้อเรื่องที่ว่า “ฌานที่มีสัญญานั้น ใช้เป็นฐานแห่งวิปัสสนาได้ในตัวเอง”
ดังนี้ นั้น หมายความว่า ในฌานที่ยังมีสัญญาอยู่นั้น มีทางที่จะกำหนดขันธ์
ตามที่ปรากฏอยู่ในฌาน นั้นว่ามีลักษณะ เช่นอนิจจลักษณะ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อกำหนดเข้าแล้ว ก็ย่อมเกิดวิปัสสนา.
ส่วนฌานที่ไร้สัญญา คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ และสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น
ไม่มีทางที่จะกำหนดขันธ์โดยลักษณะใด ๆ เพราะความไม่มีสัญญานั่นเอง
แต่อาจจะรู้จักผลสุดท้ายแห่งฌานนั้น ๆ ได้ ว่ามีอาสวะเหลืออยู่หรือหาไม่).
**-๓. ฌายีภิกษุ คือภิกษุผู้บำเพ็ญฌานอยู่
ครั้นเขาเข้าหรือออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
และสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว ก็มีความรู้ประจักษ์แก่ตนเอง
ว่าเมื่ออาศัยสมาบัติทั้งสองนี้แล้ว จะมีการสิ้นอาสวะหรือไม่.
ถ้าเป็นสมาบัติทั้งเจ็ดข้างต้น ทรงยืนยันว่ามีความสิ้นอาสวะ
ส่วนในสมาบัติสุดท้ายทั้งสองนี้ ทรงปล่อยไว้ให้ผู้ที่ได้เข้าแล้ว ออกแล้ว
เป็นผู้กล่าวเอง ว่ามีการสิ้นอาสวะหรือไม่
เพื่อให้ได้ใช้ความเป็นปัจจัตตังของธรรมะให้ถึงที่สุด
เป็นคำตรัสที่แยบยลเหลือประมาณ ควรแก่การสังเกตอย่างยิ่ง.
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. 23/341-346/240.
http://etipitaka.com/read/thai/23/341/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐.
http://etipitaka.com/read/pali/23/438/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%90
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=723
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53&id=723
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=53
ลำดับสาธยายธรรม : 53 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_53.mp3
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
48 มุมมอง
0 รีวิว