• วัดหงส์ทอง #ฉะเชิงเทรา #ไหว้พระ #ท่องเที่ยว #วันหยุด #พักผ่อน #สบายใจ #travel #thailand #thaitimes #kaiaminute
    วัดหงส์ทอง #ฉะเชิงเทรา #ไหว้พระ #ท่องเที่ยว #วันหยุด #พักผ่อน #สบายใจ #travel #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • Intel ได้ประกาศว่าการอัปเดตแพตช์สำหรับโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 26% โดยการทดสอบภายในของ Intel พบว่าการอัปเดตนี้สามารถเพิ่มจำนวนเฟรมต่อวินาทีในเกม Cyberpunk 2077 ได้ถึง 26% และในเกม Far Cry 6 ได้ถึง 16% นอกจากนี้ การทดสอบด้วย 3DMark TimeSpy ยังพบว่าคะแนนรวมของระบบที่ใช้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ได้รับการอัปเดตสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 97%

    การอัปเดตแพตช์นี้ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแผนพลังงาน การตั้งค่าป้องกันการโกง และปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะการเพิ่มแพ็กเกจ Performance & Power Management (PPM) ที่ขาดหายไป การอัปเดตครั้งแรกได้ถูกปล่อยออกมาก่อนวันหยุดในรูปแบบของการอัปเดต Windows 11 ที่บังคับใช้พร้อมกับแพตช์จากผู้พัฒนาเกม และการอัปเดตครั้งที่สองซึ่งเป็นการอัปเดต BIOS ที่สำคัญได้ถูกปล่อยออกมาในงาน CES เดือนมกราคม

    Intel ยังได้กล่าวถึงการเตรียมการสำหรับการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core H และ HX สำหรับแล็ปท็อปที่มุ่งเน้นไปที่เกมเมอร์และ Content Creator โดยคาดว่าจะเริ่มจัดส่งในเร็วๆ นี้

    การอัปเดตแพตช์นี้เป็นการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ถูกวิจารณ์เมื่อเปิดตัวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยการอัปเดตนี้ช่วยให้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่

    https://www.techspot.com/news/106396-intel-claims-core-ultra-200-patches-improve-gaming.html
    Intel ได้ประกาศว่าการอัปเดตแพตช์สำหรับโปรเซสเซอร์ Core Ultra 200 สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ถึง 26% โดยการทดสอบภายในของ Intel พบว่าการอัปเดตนี้สามารถเพิ่มจำนวนเฟรมต่อวินาทีในเกม Cyberpunk 2077 ได้ถึง 26% และในเกม Far Cry 6 ได้ถึง 16% นอกจากนี้ การทดสอบด้วย 3DMark TimeSpy ยังพบว่าคะแนนรวมของระบบที่ใช้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ได้รับการอัปเดตสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 97% การอัปเดตแพตช์นี้ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแผนพลังงาน การตั้งค่าป้องกันการโกง และปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะการเพิ่มแพ็กเกจ Performance & Power Management (PPM) ที่ขาดหายไป การอัปเดตครั้งแรกได้ถูกปล่อยออกมาก่อนวันหยุดในรูปแบบของการอัปเดต Windows 11 ที่บังคับใช้พร้อมกับแพตช์จากผู้พัฒนาเกม และการอัปเดตครั้งที่สองซึ่งเป็นการอัปเดต BIOS ที่สำคัญได้ถูกปล่อยออกมาในงาน CES เดือนมกราคม Intel ยังได้กล่าวถึงการเตรียมการสำหรับการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ Core H และ HX สำหรับแล็ปท็อปที่มุ่งเน้นไปที่เกมเมอร์และ Content Creator โดยคาดว่าจะเริ่มจัดส่งในเร็วๆ นี้ การอัปเดตแพตช์นี้เป็นการแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ Ultra 200 ที่ถูกวิจารณ์เมื่อเปิดตัวในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยการอัปเดตนี้ช่วยให้โปรเซสเซอร์ Ultra 200 สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่ https://www.techspot.com/news/106396-intel-claims-core-ultra-200-patches-improve-gaming.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel claims Core Ultra 200 patches improve gaming performance by up to 26%
    Intel quickly investigated the situation, and by December, it had a good idea of what was causing the performance hiccups. It turned out to be a combination...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่านปาดังเบซาร์ วันนี้ที่เปลี่ยนไป

    ใกล้จะครบรอบ 1 ปี สำหรับการกลับมาเปิดใช้สะพานลอยปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.2567 เป็นต้นมา ซึ่งเชื่อมระหว่างศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กับสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ที่มีรถไฟ KTM Komuter ไปสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง และรถไฟ ETS ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ พบว่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

    ถ้ามาจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือรัฐปีนังด้วยรถไฟ ถึงสถานีปาดังเบซาร์ เมื่อออกจากประตูอัตโนมัติ (ACG) จะพบกับบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่และรถตู้ไปหาดใหญ่ คนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) แต่มีป้ายบอกทางระบุเป็นภาษาไทยและภาษามาเลย์ว่า "ออกจากเมือง ไปด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) และไปศูนย์การค้า NIAGA ปาดังเบซาร์" โดยลูกศรชี้ไปที่สะพานลอยที่เปิดขึ้นมา ถ้าไม่ได้ใช้บริการรถไฟไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ก็ใช้สะพานลอยแห่งนี้

    สะพานลอยดังกล่าวไปออกวงเวียนปาดังเบซาร์ ซึ่งจะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งถึงฝั่งประเทศไทย ค่าโดยสาร 10 ริงกิต แต่ถ้าจะเดินเข้าไปเองก็ทำได้แต่ไกลหน่อย ศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 06.00-22.00 น. ส่วนด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย เปิด 05.00-21.00 น. (เวลาไทย)

    ด้านพื้นที่การค้าย่านวงเวียนปาดังเบซาร์ พบว่ามีร้านมิสเตอร์ดีไอวาย (มาเลเซีย) เปิดอยู่ใกล้กับวงเวียน ตามมาด้วยอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า Arked Niaga ศูนย์การค้า Plaza Niaga และศูนย์การค้า Padang Waremart แต่ก็มีศูนย์การค้าเปิดใหม่ด้านในสุด คือ Padang Besar Street ที่มีศูนย์อาหาร Border Kitchen และร้าน Tealive ตั้งอยู่

    สำหรับร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ร้าน Warisan Limpahan เป็นอาคารพาณิชย์ใกล้ Arked Niaga จำหน่ายน้ำหอม สุรา และบุหรี่ แต่การรับสินค้าหลังชำระเงินแล้ว ต้องนำใบเสร็จไปรับที่ห้องกระจกหลังผ่านจุดลงตราประทับ โดยจะมีพนักงานตามไปส่งสินค้าด้วยจักรยานยนต์ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The ZON Duty Free อยู่เลยศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ไปแล้ว ก่อนถึงด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย ด้านในคล้ายกับห้างสรรพสินค้า

    เมื่อออกจากด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทยแล้ว มีจุดจอดรถตู้บริเวณตรงข้ามด่าน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท รถออกเที่ยวแรก 06.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. (เวลาไทย) หากต้องการส่งพัสดุไปรษณีย์ จะมีที่ทำการไปรษณีย์ปาดังเบซาร์ อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-17.00 น. วันเสาร์ 09.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    ด่านปาดังเบซาร์ วันนี้ที่เปลี่ยนไป ใกล้จะครบรอบ 1 ปี สำหรับการกลับมาเปิดใช้สะพานลอยปาดังเบซาร์ (Padang Besar) รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.2567 เป็นต้นมา ซึ่งเชื่อมระหว่างศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา กับสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ ของการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ที่มีรถไฟ KTM Komuter ไปสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง และรถไฟ ETS ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ พบว่าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามาจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือรัฐปีนังด้วยรถไฟ ถึงสถานีปาดังเบซาร์ เมื่อออกจากประตูอัตโนมัติ (ACG) จะพบกับบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่และรถตู้ไปหาดใหญ่ คนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 231 บาท) แต่มีป้ายบอกทางระบุเป็นภาษาไทยและภาษามาเลย์ว่า "ออกจากเมือง ไปด่านตรวจคนเข้าเมือง (ICQS) และไปศูนย์การค้า NIAGA ปาดังเบซาร์" โดยลูกศรชี้ไปที่สะพานลอยที่เปิดขึ้นมา ถ้าไม่ได้ใช้บริการรถไฟไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ก็ใช้สะพานลอยแห่งนี้ สะพานลอยดังกล่าวไปออกวงเวียนปาดังเบซาร์ ซึ่งจะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งถึงฝั่งประเทศไทย ค่าโดยสาร 10 ริงกิต แต่ถ้าจะเดินเข้าไปเองก็ทำได้แต่ไกลหน่อย ศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ เปิดเวลา 06.00-22.00 น. ส่วนด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย เปิด 05.00-21.00 น. (เวลาไทย) ด้านพื้นที่การค้าย่านวงเวียนปาดังเบซาร์ พบว่ามีร้านมิสเตอร์ดีไอวาย (มาเลเซีย) เปิดอยู่ใกล้กับวงเวียน ตามมาด้วยอาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า Arked Niaga ศูนย์การค้า Plaza Niaga และศูนย์การค้า Padang Waremart แต่ก็มีศูนย์การค้าเปิดใหม่ด้านในสุด คือ Padang Besar Street ที่มีศูนย์อาหาร Border Kitchen และร้าน Tealive ตั้งอยู่ สำหรับร้านค้าปลอดภาษี (Duty Free) มีอยู่ 2 แห่ง ได้แก่ ร้าน Warisan Limpahan เป็นอาคารพาณิชย์ใกล้ Arked Niaga จำหน่ายน้ำหอม สุรา และบุหรี่ แต่การรับสินค้าหลังชำระเงินแล้ว ต้องนำใบเสร็จไปรับที่ห้องกระจกหลังผ่านจุดลงตราประทับ โดยจะมีพนักงานตามไปส่งสินค้าด้วยจักรยานยนต์ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ The ZON Duty Free อยู่เลยศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ไปแล้ว ก่อนถึงด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทย ด้านในคล้ายกับห้างสรรพสินค้า เมื่อออกจากด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ประเทศไทยแล้ว มีจุดจอดรถตู้บริเวณตรงข้ามด่าน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท รถออกเที่ยวแรก 06.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. (เวลาไทย) หากต้องการส่งพัสดุไปรษณีย์ จะมีที่ทำการไปรษณีย์ปาดังเบซาร์ อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ 08.30-17.00 น. วันเสาร์ 09.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่-"ดอยอินทนนท์"แช่แข็ง!ยอดหญ้าต่ำกว่าจุดเยือกแข็งต่อเนื่อง ล่าสุดติดลบ 1.7องศาเซลเซียส ทำเกิด "เหมยขาบ"ติดต่อกันเป็นวันที่5 แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวยังคงคึกคักท้าลมหนาวต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส

    รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เช้าวันนี้ (15 ม.ค. 68) สภาพอากาศที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังคงหนาวเย็นจัดต่อเนื่อง พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือ "เหมยขาบ"ขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่5 และนับเป็นครั้งที่19 ของฤดูหนาวปีนี้ โดยพบน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นที่บริเวณกิ่วแม่ปานและยอดดอย ความตื่นเต้นดีใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่ต่างพากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างประทับใจ

    ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ วัดได้ 3 องศาเซลเซียส ที่กิ่วแม่ปาน ซึ่งยอดหญ้าวัดอุณหภูมิได้ติดลบ 1.7 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณยอดดอยวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 5 องศาเซลเซียส และยอดหญ้าวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ติดลบ 0.9 องศาเซลเซียส

    สำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั้น ช่วงเช้าวันนี้พบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวยังคงต่างพากันท้าลมหนาวชมธรรมชาติกันอย่างคึกคัก แต่ไม่มากเท่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยสถิตินักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 68 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,273 คน แบ่งเป็น คนไทย 2,817 คน ชาวต่างชาติ 1,456 คน ยานพาหนะ 1,140 คัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000004326

    #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์ #อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
    เชียงใหม่-"ดอยอินทนนท์"แช่แข็ง!ยอดหญ้าต่ำกว่าจุดเยือกแข็งต่อเนื่อง ล่าสุดติดลบ 1.7องศาเซลเซียส ทำเกิด "เหมยขาบ"ติดต่อกันเป็นวันที่5 แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวยังคงคึกคักท้าลมหนาวต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส • รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เช้าวันนี้ (15 ม.ค. 68) สภาพอากาศที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังคงหนาวเย็นจัดต่อเนื่อง พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือ "เหมยขาบ"ขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่5 และนับเป็นครั้งที่19 ของฤดูหนาวปีนี้ โดยพบน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นที่บริเวณกิ่วแม่ปานและยอดดอย ความตื่นเต้นดีใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่ต่างพากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างประทับใจ • ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ วัดได้ 3 องศาเซลเซียส ที่กิ่วแม่ปาน ซึ่งยอดหญ้าวัดอุณหภูมิได้ติดลบ 1.7 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณยอดดอยวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 5 องศาเซลเซียส และยอดหญ้าวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ติดลบ 0.9 องศาเซลเซียส • สำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั้น ช่วงเช้าวันนี้พบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวยังคงต่างพากันท้าลมหนาวชมธรรมชาติกันอย่างคึกคัก แต่ไม่มากเท่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยสถิตินักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 68 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,273 คน แบ่งเป็น คนไทย 2,817 คน ชาวต่างชาติ 1,456 คน ยานพาหนะ 1,140 คัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000004326 • #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์ #อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • [ เทรดวันหยุด OTC ] กดตามสัญญาณ + เทคนิค + ความรู้ = กำไร - พอร์ตเต่า -

    เปิดบัญชี IQ OPTION ฟรี !!!
    👉 https://bit.ly/3yGZQIk

    😍 มีเงินทดลองให้ลองศึกษา $10000 ฟรี สามารถเติมฟรีได้ตลอด 24 ชม. 😍

    [ เทรดวันหยุด OTC ] กดตามสัญญาณ + เทคนิค + ความรู้ = กำไร - พอร์ตเต่า - เปิดบัญชี IQ OPTION ฟรี !!! 👉 https://bit.ly/3yGZQIk 😍 มีเงินทดลองให้ลองศึกษา $10000 ฟรี สามารถเติมฟรีได้ตลอด 24 ชม. 😍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต่อนยอนสู่ปีนัง ขบวนรถไฟ My Sawasdee

    หลังการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย ประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการขบวนรถพิเศษ My Sawasdee เส้นทางกัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่ ในช่วงวันหยุดยาวของมาเลเซีย นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 ล่าสุดเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา เปิดตัวรถไฟขบวนพิเศษ My Sawasdee Penang Edition เส้นทางจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง ไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้บริการระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2567 ถึง 5 ม.ค.2568

    เฟซบุ๊ก "แซม ญาณบ้าน" นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ใช้บริการ เปิดเผยว่า ขบวนรถดังกล่าวจำหน่ายตั๋วเที่ยวเดียวในราคา 45 ริงกิต (ประมาณ 346 บาท) เน้นสำหรับชาวมาเลเซียที่จะไปเที่ยวหาดใหญ่ เพราะออกจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 7 โมงเช้า ถึงปลายทางหาดใหญ่ประมาณเที่ยงวัน ส่วนขากลับออกจากหาดใหญ่เวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย จอดที่สถานีปาดังเบซาร์ เพื่อลงตราประทับจากตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก่อนจอดส่งผู้โดยสารตามรายทาง รวม 5 สถานี

    ก่อนเข้าสถานีปาดังเบซาร์ เจ้าหน้าที่จะกำชับเรื่องการกรอกบัตรขาเข้าดิจิทัลของมาเลเซีย (MDAC) สำหรับชาวต่างชาติ และต้องนำสิ่งของทุกอย่างลงจากรถไฟ รวมทั้งน้ำดื่มและอาหาร เข้า ตม. เพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร

    ตู้โดยสารที่ใช้เป็นตู้โดยสารปรับอากาศ คล้ายรถนั่งปรับอากาศชั้น 2 ในไทย เมื่อถึงสถานีปาดังเบซาร์ ให้นั่งรอในขบวนรถระหว่าง ตม. ไทยและมาเลเซียลงตราประทับนักท่องเที่ยวขาออกจากมาเลเซีย ไปขบวน 950 และ 46 ให้หมดก่อน ประมาณ 30 นาทีจึงให้ผู้โดยสารออกมาลงตราประทับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่มีผู้โดยสารขึ้นระหว่างทางก่อนถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ก็ปล่อยขบวนรถก่อนเวลาเกือบ 20 นาที แต่ปรากฎว่าต้องรอหลีกให้รถไฟ KTM Komuter มาถึงทีหลังให้แซงไปก่อน ถึงจะออกรถได้

    แม้จะถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 21.36 น. ตามเวลามาเลเซีย แต่ขึ้นเรือเฟอร์รี่ไม่ทันรอบ 21.30 น. ต้องรอเรือรอบถัดไป 23.00 น. ถึงจะเข้าไปบนเกาะปีนัง จึงแนะว่าถ้าไม่เร่งรีบก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องทำเวลาจริงๆ ใช้บริการ KTM Komuter ดีกว่า เพราะใช้เวลาจากสถานีปาดังเบซาร์ ถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธไม่ถึง 2 ชั่วโมง

    สำหรับความคืบหน้าการเดินรถไฟ บัตเตอร์เวิร์ธ-กรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย รายงานว่า นายวง ฮอน ไว ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งรัฐปีนัง กล่าวต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งรัฐปีนัง เมื่อเดือน พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ว่าจะเริ่มให้บริการในช่วงต้นปี 2568

    #Newskit
    ต่อนยอนสู่ปีนัง ขบวนรถไฟ My Sawasdee หลังการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย ประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการขบวนรถพิเศษ My Sawasdee เส้นทางกัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่ ในช่วงวันหยุดยาวของมาเลเซีย นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2565 ล่าสุดเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา เปิดตัวรถไฟขบวนพิเศษ My Sawasdee Penang Edition เส้นทางจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง ไปยังสถานีชุมทางหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้บริการระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2567 ถึง 5 ม.ค.2568 เฟซบุ๊ก "แซม ญาณบ้าน" นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ใช้บริการ เปิดเผยว่า ขบวนรถดังกล่าวจำหน่ายตั๋วเที่ยวเดียวในราคา 45 ริงกิต (ประมาณ 346 บาท) เน้นสำหรับชาวมาเลเซียที่จะไปเที่ยวหาดใหญ่ เพราะออกจากสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 7 โมงเช้า ถึงปลายทางหาดใหญ่ประมาณเที่ยงวัน ส่วนขากลับออกจากหาดใหญ่เวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย จอดที่สถานีปาดังเบซาร์ เพื่อลงตราประทับจากตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก่อนจอดส่งผู้โดยสารตามรายทาง รวม 5 สถานี ก่อนเข้าสถานีปาดังเบซาร์ เจ้าหน้าที่จะกำชับเรื่องการกรอกบัตรขาเข้าดิจิทัลของมาเลเซีย (MDAC) สำหรับชาวต่างชาติ และต้องนำสิ่งของทุกอย่างลงจากรถไฟ รวมทั้งน้ำดื่มและอาหาร เข้า ตม. เพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ตู้โดยสารที่ใช้เป็นตู้โดยสารปรับอากาศ คล้ายรถนั่งปรับอากาศชั้น 2 ในไทย เมื่อถึงสถานีปาดังเบซาร์ ให้นั่งรอในขบวนรถระหว่าง ตม. ไทยและมาเลเซียลงตราประทับนักท่องเที่ยวขาออกจากมาเลเซีย ไปขบวน 950 และ 46 ให้หมดก่อน ประมาณ 30 นาทีจึงให้ผู้โดยสารออกมาลงตราประทับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่มีผู้โดยสารขึ้นระหว่างทางก่อนถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ ก็ปล่อยขบวนรถก่อนเวลาเกือบ 20 นาที แต่ปรากฎว่าต้องรอหลีกให้รถไฟ KTM Komuter มาถึงทีหลังให้แซงไปก่อน ถึงจะออกรถได้ แม้จะถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ 21.36 น. ตามเวลามาเลเซีย แต่ขึ้นเรือเฟอร์รี่ไม่ทันรอบ 21.30 น. ต้องรอเรือรอบถัดไป 23.00 น. ถึงจะเข้าไปบนเกาะปีนัง จึงแนะว่าถ้าไม่เร่งรีบก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องทำเวลาจริงๆ ใช้บริการ KTM Komuter ดีกว่า เพราะใช้เวลาจากสถานีปาดังเบซาร์ ถึงสถานีบัตเตอร์เวิร์ธไม่ถึง 2 ชั่วโมง สำหรับความคืบหน้าการเดินรถไฟ บัตเตอร์เวิร์ธ-กรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบูเลทิน มูเทียรา (Buletin Mutiara) รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย รายงานว่า นายวง ฮอน ไว ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งรัฐปีนัง กล่าวต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งรัฐปีนัง เมื่อเดือน พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ว่าจะเริ่มให้บริการในช่วงต้นปี 2568 #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอเตอร์เวย์กาญจนบุรี ทำติดท็อปไฟว์เคานต์ดาวน์

    ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 น่าสนใจกับชุดข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรจากโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) ของสองค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ เอไอเอส และทรู-ดีแทค เปิดเผยจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเดินทางช่วงปีใหม่ และใช้งานข้อมูลมือถือ (Data) สูงสุด หากไม่นับกรุงเทพฯ พบว่ามี 3 จังหวัดที่มีการใช้งานมากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี และเชียงใหม่

    โดยเอไอเอสเปิดเผยจังหวัดที่มีการใช้งานข้อมูลมือถือสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. นครราชสีมา 3. เชียงใหม่ 4. กาญจนบุรี และ 5. ชลบุรี โดยโซเชียลมีเดียที่นิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ 1. เฟซบุ๊ก 2. ติ๊กต็อก 3. ยูทูบ 4. อินสตาแกรม 5. ไลน์ ด้านทรู-ดีแทค เปิดเผยนักท่องเที่ยวเดินทางและกลับภูมิลำเนาช่วงปีใหม่มากสุด 10 อันดับ คือ 1. นครราชสีมา 2. เพชรบูรณ์ 3. อุบลราชธานี 4. ศรีสะเกษ 5. กาญจนบุรี 6. ขอนแก่น 7. เชียงใหม่ 8. บุรีรัมย์ 9. นครสวรรค์ 10. สุรินทร์

    กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี แม้จะไม่ได้จัดงานเคานต์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ แบบชนิดที่ว่าประชันกันระดับประเทศ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จากปกติเปิดเฉพาะด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก (ถนนมาลัยแมน) ถึงด่านกาญจนบุรีเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างนนทบุรีและปทุมธานีสนใจทดลองใช้เส้นทางเป็นจำนวนมาก

    นับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 ถึง 2 ม.ค. 2568 พบว่าช่วงบางใหญ่-นครปฐม มีปริมาณการจราจรรวม 276,316 คัน ส่วนช่วงนครปฐม-กาญจนบุรี มีปริมาณการจราจรรวม 219,181 คัน แบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนเพชรเกษม ช่วง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ถึง 23% และถนนแสงชูโต ช่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้ถึง 43% ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี คาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ 2568 จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ที่ช่วยลดเวลาการเดินทาง รวมทั้งอากาศเย็น 16-18 องศาเซลเซียส

    อย่างไรก็ตาม ในการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ระยะแรก เกิดการจราจรติดขัดบริเวณแยกวังสารภี ซึ่งรับรถมาจากด่านกาญจนบุรี รวมทั้งยังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแยกวังสารภีและแยกแก่งเสี้ยน คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2570 ส่วนกรมทางหลวงเปิดใช้มอเตอร์เวย์หมายเลข 81 ชั่วคราว ระหว่างด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก ถึงด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. จนกว่างานระบบ O&M จะแล้วเสร็จ

    #Newskit
    มอเตอร์เวย์กาญจนบุรี ทำติดท็อปไฟว์เคานต์ดาวน์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 น่าสนใจกับชุดข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรจากโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) ของสองค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ เอไอเอส และทรู-ดีแทค เปิดเผยจังหวัดที่นักท่องเที่ยวเดินทางช่วงปีใหม่ และใช้งานข้อมูลมือถือ (Data) สูงสุด หากไม่นับกรุงเทพฯ พบว่ามี 3 จังหวัดที่มีการใช้งานมากที่สุด ได้แก่ นครราชสีมา กาญจนบุรี และเชียงใหม่ โดยเอไอเอสเปิดเผยจังหวัดที่มีการใช้งานข้อมูลมือถือสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. นครราชสีมา 3. เชียงใหม่ 4. กาญจนบุรี และ 5. ชลบุรี โดยโซเชียลมีเดียที่นิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ 1. เฟซบุ๊ก 2. ติ๊กต็อก 3. ยูทูบ 4. อินสตาแกรม 5. ไลน์ ด้านทรู-ดีแทค เปิดเผยนักท่องเที่ยวเดินทางและกลับภูมิลำเนาช่วงปีใหม่มากสุด 10 อันดับ คือ 1. นครราชสีมา 2. เพชรบูรณ์ 3. อุบลราชธานี 4. ศรีสะเกษ 5. กาญจนบุรี 6. ขอนแก่น 7. เชียงใหม่ 8. บุรีรัมย์ 9. นครสวรรค์ 10. สุรินทร์ กล่าวถึงจังหวัดกาญจนบุรี แม้จะไม่ได้จัดงานเคานต์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ แบบชนิดที่ว่าประชันกันระดับประเทศ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จากปกติเปิดเฉพาะด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก (ถนนมาลัยแมน) ถึงด่านกาญจนบุรีเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างนนทบุรีและปทุมธานีสนใจทดลองใช้เส้นทางเป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 ถึง 2 ม.ค. 2568 พบว่าช่วงบางใหญ่-นครปฐม มีปริมาณการจราจรรวม 276,316 คัน ส่วนช่วงนครปฐม-กาญจนบุรี มีปริมาณการจราจรรวม 219,181 คัน แบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนเพชรเกษม ช่วง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ถึง 23% และถนนแสงชูโต ช่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้ถึง 43% ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี คาดการณ์ว่าเทศกาลปีใหม่ 2568 จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ที่ช่วยลดเวลาการเดินทาง รวมทั้งอากาศเย็น 16-18 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ในการเปิดใช้มอเตอร์เวย์ระยะแรก เกิดการจราจรติดขัดบริเวณแยกวังสารภี ซึ่งรับรถมาจากด่านกาญจนบุรี รวมทั้งยังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแยกวังสารภีและแยกแก่งเสี้ยน คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2570 ส่วนกรมทางหลวงเปิดใช้มอเตอร์เวย์หมายเลข 81 ชั่วคราว ระหว่างด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก ถึงด่านกาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ เวลา 15.00 น. ถึงวันจันทร์ เวลา 12.00 น. จนกว่างานระบบ O&M จะแล้วเสร็จ #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุตส่าห์ออกตัวว่าโพสจะน้อยลงช่วงวันหยุด
    กลายเป็นว่าวันหยุดเวลาเยอะ หาข่าวมานำเสนอได้เยอะกว่าวันธรรมดาสะงั้น 😅😅😅
    อุตส่าห์ออกตัวว่าโพสจะน้อยลงช่วงวันหยุด กลายเป็นว่าวันหยุดเวลาเยอะ หาข่าวมานำเสนอได้เยอะกว่าวันธรรมดาสะงั้น 😅😅😅
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • หิมะตกหนักในภาคเหนือของญี่ปุ่นทำให้เที่ยวบินหลายสิบเที่ยวต้องยกเลิกในวันอังคาร (31 ธ.ค.) ขณะที่หลายครอบครัวกำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาช่วงวันหยุดปีใหม่กับคนที่รัก

    สายการบิน Japan Airlines เปิดเผยว่าได้ยกเลิกเที่ยวบิน 42 เที่ยวบินซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร 6,398 คนภายในช่วงบ่าย โดยทั้งหมดเป็นเที่ยวบินไปและกลับจากเกาะฮอกไกโดที่อยู่เหนือสุด

    ANA ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของสายการบินได้ยกเลิกเที่ยวบิน 14 เที่ยวบินซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร 800 คน เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายทางตอนเหนือ และได้เตือนผู้โดยสารเกี่ยวกับความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น

    ผู้โดยสารที่สนามบินหลักของฮอกไกโดต้องต่อแถวยาวเพื่อจองเที่ยวบินอื่น บางคนเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องฉลองปีใหม่ 2025 ในเลานจ์เที่ยวบินขาออก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/around/detail/9670000125386

    #MGROnline #ญี่ปุ่น #หิมะตกหนัก
    หิมะตกหนักในภาคเหนือของญี่ปุ่นทำให้เที่ยวบินหลายสิบเที่ยวต้องยกเลิกในวันอังคาร (31 ธ.ค.) ขณะที่หลายครอบครัวกำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อใช้เวลาช่วงวันหยุดปีใหม่กับคนที่รัก • สายการบิน Japan Airlines เปิดเผยว่าได้ยกเลิกเที่ยวบิน 42 เที่ยวบินซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร 6,398 คนภายในช่วงบ่าย โดยทั้งหมดเป็นเที่ยวบินไปและกลับจากเกาะฮอกไกโดที่อยู่เหนือสุด • ANA ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของสายการบินได้ยกเลิกเที่ยวบิน 14 เที่ยวบินซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร 800 คน เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายทางตอนเหนือ และได้เตือนผู้โดยสารเกี่ยวกับความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น • ผู้โดยสารที่สนามบินหลักของฮอกไกโดต้องต่อแถวยาวเพื่อจองเที่ยวบินอื่น บางคนเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องฉลองปีใหม่ 2025 ในเลานจ์เที่ยวบินขาออก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9670000125386 • #MGROnline #ญี่ปุ่น #หิมะตกหนัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่ – “ดอยอินทนนท์” คนแน่นเอี้ยด! นักท่องเที่ยวแห่ท้าหนาวไม่ขาดสาย ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คาดตลอดทั้งวันอาจทะลุ 2 หมื่นคน ขณะที่อุณหภูมิต่ำสุด 6 องศาเซลเซียส ทั้งนี้อุทยานฯ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ 250 นาย ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมแนะเลือกใช้บริการรถรับจ้างท้องถิ่นในการเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากมีความชำนาญเส้นทางขึ้นลงดอยมากกว่าและช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร

    รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า วันนี้(31 ธ.ค.67) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี 2567 ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศกรท่องเที่ยวเป็นไปอย่างคึกคัก จากการที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างพากันท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติและสัมผัสอากาศหนาวบนยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยนักท่องเที่ยวได้พากันเดินทางมารอเข้าอุทยานฯ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพื่อรอชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวหลักกิโลเมตรที่ 42 กิ่วแม่ปาน จนทำให้การจราจรเป็นไปอย่างหนาแน่นและรถติดยาวเป็นช่วงๆ

    อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวต่างไม่ผิดหวังกับการได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามและอากาศหนาวเย็น โดยอุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้วัดได้ 6 องศาเซลเซียส ที่ยอดดอย และที่กิ่วแม่ปาน วัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 7 องศาเซลเซียส ขณะที่สถิตินักท่องเที่ยว เมื่อวานนี้(30 ธ.ค.67) มีจำนวนทั้งสิ้น 15,280 คน แบ่งเป็น คนไทย 13,662 คน ชาวต่างชาติ 1,618 คน ยานพาหนะ 4,065 คัน โดยที่ในวันนี้(31 ธ.ค.67) คาดว่าตลอดทั้งวันน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยไปกว่าวานนี้ และอาจจะมากถึง 20,000 คน จากการที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างพากันท่องเที่ยวเพื่อเป็นการพักผ่อนและเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000125319

    #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์
    เชียงใหม่ – “ดอยอินทนนท์” คนแน่นเอี้ยด! นักท่องเที่ยวแห่ท้าหนาวไม่ขาดสาย ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คาดตลอดทั้งวันอาจทะลุ 2 หมื่นคน ขณะที่อุณหภูมิต่ำสุด 6 องศาเซลเซียส ทั้งนี้อุทยานฯ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ 250 นาย ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมแนะเลือกใช้บริการรถรับจ้างท้องถิ่นในการเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากมีความชำนาญเส้นทางขึ้นลงดอยมากกว่าและช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร • รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า วันนี้(31 ธ.ค.67) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปี 2567 ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศกรท่องเที่ยวเป็นไปอย่างคึกคัก จากการที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างพากันท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติและสัมผัสอากาศหนาวบนยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยนักท่องเที่ยวได้พากันเดินทางมารอเข้าอุทยานฯ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพื่อรอชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวหลักกิโลเมตรที่ 42 กิ่วแม่ปาน จนทำให้การจราจรเป็นไปอย่างหนาแน่นและรถติดยาวเป็นช่วงๆ • อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวต่างไม่ผิดหวังกับการได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามและอากาศหนาวเย็น โดยอุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้วัดได้ 6 องศาเซลเซียส ที่ยอดดอย และที่กิ่วแม่ปาน วัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 7 องศาเซลเซียส ขณะที่สถิตินักท่องเที่ยว เมื่อวานนี้(30 ธ.ค.67) มีจำนวนทั้งสิ้น 15,280 คน แบ่งเป็น คนไทย 13,662 คน ชาวต่างชาติ 1,618 คน ยานพาหนะ 4,065 คัน โดยที่ในวันนี้(31 ธ.ค.67) คาดว่าตลอดทั้งวันน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่น้อยไปกว่าวานนี้ และอาจจะมากถึง 20,000 คน จากการที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างพากันท่องเที่ยวเพื่อเป็นการพักผ่อนและเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000125319 • #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบช.สตม. ชี้เทศกาลปีใหม่นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแน่นทุกเที่ยวบิน เฉลี่ยเข้าออกวันละกว่า 150,000 คน คาดจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวสร้างเม็ดเงินรับปีแห่งการท่องเที่ยว ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเที่ยวต่างประเทศคึกคัก

    วันนี้ (30 ธ.ค.) ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. เผยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยคึกคัก ผู้โดยสารหนาแน่นทุกสนามบิน พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว เข้าและออกกว่า 150,000 คนต่อวัน

    พล.ต.ท.ภาณุมาศ กล่าวว่าในขณะเดียวกันภาพรวมตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศในช่วงหยุดยาวปีใหม่นี้ พบว่ากระแสการเดินทางสูงขึ้นจากการประกาศวันหยุดยาวต่อเนื่อง 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 ถึง 1 มกราคม 2568 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือ “ไทยเที่ยวนอก” จากสถิติเดือน ธ.ค. ทั้งเดือนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 3-40,000 คนต่อวัน แต่เริ่มตั้งแต่ 27-29 ธ.ค. ปริมาณคนไทยเดินทางออกเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว สูงถึงวันละ 60,000 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ย 25,000 คนรองลงมาคือ ท่าอากาศยานดอนเมือง เฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000125046

    #MGROnline #นักท่องเที่ยวต่างชาติ
    ผบช.สตม. ชี้เทศกาลปีใหม่นี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแน่นทุกเที่ยวบิน เฉลี่ยเข้าออกวันละกว่า 150,000 คน คาดจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวสร้างเม็ดเงินรับปีแห่งการท่องเที่ยว ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเที่ยวต่างประเทศคึกคัก • วันนี้ (30 ธ.ค.) ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. เผยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยคึกคัก ผู้โดยสารหนาแน่นทุกสนามบิน พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว เข้าและออกกว่า 150,000 คนต่อวัน • พล.ต.ท.ภาณุมาศ กล่าวว่าในขณะเดียวกันภาพรวมตลาดคนไทยเที่ยวต่างประเทศในช่วงหยุดยาวปีใหม่นี้ พบว่ากระแสการเดินทางสูงขึ้นจากการประกาศวันหยุดยาวต่อเนื่อง 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2567 ถึง 1 มกราคม 2568 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือ “ไทยเที่ยวนอก” จากสถิติเดือน ธ.ค. ทั้งเดือนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 3-40,000 คนต่อวัน แต่เริ่มตั้งแต่ 27-29 ธ.ค. ปริมาณคนไทยเดินทางออกเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว สูงถึงวันละ 60,000 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็นท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ย 25,000 คนรองลงมาคือ ท่าอากาศยานดอนเมือง เฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000125046 • #MGROnline #นักท่องเที่ยวต่างชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎅💝🎁Happy Holidays! I hope all of your Christmas wishes come true.
    สุขสันต์วันหยุดยาว! ฉันขอให้สิ่งที่คุณปรารถนาทั้งหมดเป็นจริง🌟✨️
    💞🎉💐Warmest wishes for a wonderful Christmas and a Happy New Year ขอส่งต่อความปรารถนาดีตลอดช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ยอดเยี่ยม สวัสดีปีใหม่💖🌷🎈🎊
    #merrychristmas #happynewyear #happynewyear2025 #สวัสดีปีใหม่ #สวัสดีปีใหม่๒๕๖๘
    🎅💝🎁Happy Holidays! I hope all of your Christmas wishes come true. สุขสันต์วันหยุดยาว! ฉันขอให้สิ่งที่คุณปรารถนาทั้งหมดเป็นจริง🌟✨️ 💞🎉💐Warmest wishes for a wonderful Christmas and a Happy New Year ขอส่งต่อความปรารถนาดีตลอดช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ยอดเยี่ยม สวัสดีปีใหม่💖🌷🎈🎊 #merrychristmas #happynewyear #happynewyear2025 #สวัสดีปีใหม่ #สวัสดีปีใหม่๒๕๖๘
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • 🇸🇾 ผู้นำซีเรียคนใหม่ประกาศคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำชาติ
    .
    JUST IN: 🇸🇾 New Syrian leaders declare Christmas a national holiday.
    .
    7:14 PM · Dec 24, 2024 · 1.2M Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1871529798943797601
    🇸🇾 ผู้นำซีเรียคนใหม่ประกาศคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำชาติ . JUST IN: 🇸🇾 New Syrian leaders declare Christmas a national holiday. . 7:14 PM · Dec 24, 2024 · 1.2M Views https://x.com/BRICSinfo/status/1871529798943797601
    Haha
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อฝ่ายตุรกีพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า ผู้นำใหม่ของซีเรียมีใจเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย โดยการประกาศให้ "คริสต์มาสของนิกายโรมันคาธอลิกเป็นวันหยุดราชการอย่างเป็นทางการ โดยสำนักงานราชการปิดทำการในวันที่ 25 และ 26 ธันวาคม"

    รูปที่2- แต่ในความเป็นจริง ช่วงคริสต์มาสได้ถูกประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในซีเรียตั้งแต่ในยุคการปกครองของอัสซาดแล้ว https://www.timeanddate.com/holidays/syria/2023
    สื่อฝ่ายตุรกีพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า ผู้นำใหม่ของซีเรียมีใจเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย โดยการประกาศให้ "คริสต์มาสของนิกายโรมันคาธอลิกเป็นวันหยุดราชการอย่างเป็นทางการ โดยสำนักงานราชการปิดทำการในวันที่ 25 และ 26 ธันวาคม" รูปที่2- แต่ในความเป็นจริง ช่วงคริสต์มาสได้ถูกประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในซีเรียตั้งแต่ในยุคการปกครองของอัสซาดแล้ว https://www.timeanddate.com/holidays/syria/2023
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร?

    เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป

    แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์

    เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว

    มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน

    ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว"

    จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม

    ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร

    ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู

    เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก

    ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก

    ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย

    และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ

    อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

    ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า

    ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว

    แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ?

    ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก

    บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น

    คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน

    กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่

    นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด

    แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน

    ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า

    อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก

    ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก)

    ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง

    หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย

    ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร



    Kornkit Disthan
    ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร? เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว" จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ? ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่ นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก) ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร Kornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับห้ามรถ 10 ล้อขึ้นไปวิ่งบนถนน 8 สาย ช่วงปีใหม่ ช่วง 27 ธ.ค. 67 - 29 ธ.ค. 67 และ 1 ม.ค. 68 - 2 ม.ค. 68

    รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร ว่าด้วยการกำหนดห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในถนนบางสาย ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 พ.ศ. 2567

    ด้วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 มีวันหยุดราชการ ตั้งแต่วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงวันพุธที่ 1 มกราคม 2568 ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2567 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จึงทำให้มีวันหยุดราชการติดต่อกันหลายวันตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2567 ถึงวันพุธที่ 1 มกราคม 2568 (รวม 5 วัน)ซึ่งจะมีประชาชนใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาด้านการจราจร และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการจราจร จึงจำเป็นต้องออกประกาศข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร กำหนดช่องหรือแนวทางเดินรถเพื่อให้เหมาะสมกับการจัดการจราจรในถนนบางสาย ในช่วงเทศกาลดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/business/detail/9670000122593

    #MGROnline #ราชกิจจานุเบกษา #รถ10ล้อขึ้นไป
    ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับห้ามรถ 10 ล้อขึ้นไปวิ่งบนถนน 8 สาย ช่วงปีใหม่ ช่วง 27 ธ.ค. 67 - 29 ธ.ค. 67 และ 1 ม.ค. 68 - 2 ม.ค. 68 • รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร ว่าด้วยการกำหนดห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในถนนบางสาย ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 พ.ศ. 2567 • ด้วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 มีวันหยุดราชการ ตั้งแต่วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงวันพุธที่ 1 มกราคม 2568 ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2567 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จึงทำให้มีวันหยุดราชการติดต่อกันหลายวันตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2567 ถึงวันพุธที่ 1 มกราคม 2568 (รวม 5 วัน)ซึ่งจะมีประชาชนใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาด้านการจราจร และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการจราจร จึงจำเป็นต้องออกประกาศข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร กำหนดช่องหรือแนวทางเดินรถเพื่อให้เหมาะสมกับการจัดการจราจรในถนนบางสาย ในช่วงเทศกาลดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9670000122593 • #MGROnline #ราชกิจจานุเบกษา #รถ10ล้อขึ้นไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เจ้าท่า”เปิดแผนปฏิบัติการช่วงเทศกาลปีใหม่ 68 ออกคำสั่งควบคุมการเดินเรือเฉพาะคราว และตั้งจุดอำนวยความสะดวกและประชาสัมพันธ์ประจำท่าเทียบเรือ 79 จุด เจ้าหน้าที่กว่า 800 คน ดูแลทั้งเรือโดยสาร ท่าเทียบเรือ เหตุด่วน โทร 1199

    นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า เจ้าท่าฯได้เตรียมแผนการปฏิบัติและมาตรการเพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะนำไปใช้ เพื่ออำนวยความสะดวก ดูแลประชาชน และนักท่องเที่ยว ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 โดยจะมีมาตรการตรวจคุมเข้ม และออกประกาศคำสั่งกรมเจ้าท่า เพื่อใช้เป็นแผนปฏิบัติการด้านความปลอดภัย ทั้งในด้านการตรวจตรา ดูแลการเดินเรือ การใช้เรือ และท่าเทียบเรือต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และนักท่องเที่ยว ที่ใช้บริการสัญจรทางน้ำ รวมทั้งการป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่

    “เจ้าท่า ได้ตระหนักถึงความสำคัญความปลอดภัย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ จะมีวันหยุดราชการ และวันหยุดของภาคเอกชน หลายวันติดต่อกัน ได้เตรียมออกประกาศ คำสั่งกรมเจ้าท่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อนเก็บน้ำที่มีบริการเดินเรือ และชายทะเล รวมถึงการใช้สัญจรทางน้ำเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา” นายกริชเพชรกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/business/detail/9670000121048

    #MGROnline #เจ้าท่า #เทศกาลปีใหม่
    “เจ้าท่า”เปิดแผนปฏิบัติการช่วงเทศกาลปีใหม่ 68 ออกคำสั่งควบคุมการเดินเรือเฉพาะคราว และตั้งจุดอำนวยความสะดวกและประชาสัมพันธ์ประจำท่าเทียบเรือ 79 จุด เจ้าหน้าที่กว่า 800 คน ดูแลทั้งเรือโดยสาร ท่าเทียบเรือ เหตุด่วน โทร 1199 • นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า เจ้าท่าฯได้เตรียมแผนการปฏิบัติและมาตรการเพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่จะนำไปใช้ เพื่ออำนวยความสะดวก ดูแลประชาชน และนักท่องเที่ยว ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 โดยจะมีมาตรการตรวจคุมเข้ม และออกประกาศคำสั่งกรมเจ้าท่า เพื่อใช้เป็นแผนปฏิบัติการด้านความปลอดภัย ทั้งในด้านการตรวจตรา ดูแลการเดินเรือ การใช้เรือ และท่าเทียบเรือต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และนักท่องเที่ยว ที่ใช้บริการสัญจรทางน้ำ รวมทั้งการป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ • “เจ้าท่า ได้ตระหนักถึงความสำคัญความปลอดภัย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ จะมีวันหยุดราชการ และวันหยุดของภาคเอกชน หลายวันติดต่อกัน ได้เตรียมออกประกาศ คำสั่งกรมเจ้าท่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อนเก็บน้ำที่มีบริการเดินเรือ และชายทะเล รวมถึงการใช้สัญจรทางน้ำเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา” นายกริชเพชรกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9670000121048 • #MGROnline #เจ้าท่า #เทศกาลปีใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพราะเป็นวันหยุด
    เลยคิดว่าจะหยุดเติบโตดูสักวัน

    จากหนังสือ |ฉันจะมีความสุขกับสีของฟ้าในทุกวัน

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ฉันจะมีความสุขกับสีของฟ้าในทุกวัน
    เพราะเป็นวันหยุด เลยคิดว่าจะหยุดเติบโตดูสักวัน จากหนังสือ |ฉันจะมีความสุขกับสีของฟ้าในทุกวัน #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ฉันจะมีความสุขกับสีของฟ้าในทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ.... สุขสันต์วันหยุดน่ะค่ะ
    สวัสดีค่ะ.... สุขสันต์วันหยุดน่ะค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศว่าจะต่อสู้เพื่ออนาคตทางการเมือง หลังเขาถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง ในการโหวตครั้งที่ 2 ของรัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้าน ต่อการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับในช่วงสั้นๆ ความเคลื่อนไหวที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศ
    .
    ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากเก้าอี้หรือไม่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน 6 เดือนข้างหน้า และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเห็นชอบมติถอดถอน เมื่อนั้นก็จะมีการเลือกตั้งใหม่
    .
    นายกรัฐมนตรีนายฮัน ด็อก-ซู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากยุน ก้าวมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ในระหว่างที่ ยุน ยังคงอยู่ในตำแหน่ง แต่อำนาจประธานาธิบดีของเขาถูกพักเอาไว้ ในขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาเพิ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งทาง
    .
    "ผมจะใช้ทุกความเข้มแข็งที่ผมมีและทุกความพยายามในการรักษาเสถียรภาพแก่รัฐบาล" ฮันบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการโหวต
    .
    วิกฤตการเมืองครั้งนี้ อันนำมาซึ่งการลาออกและการจับกุมเจ้าหน้าที่กลาโหมและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายรายก่อความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของเกาหลีใต้ในการป้องปรามเกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงเวลาที่ เปียงยาง กำลังยกระดับคลังแสงและกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นกับรัสเซีย
    .
    ยุน ถือเป็นประธานาธิบดีอนุรักษนิยมคนที่ 2 ติดต่อกันที่ถูกถอดถอนในเกาหลีใต้ หลังจากพัค กึน-ฮเย ถูกเขี่ยพ้นจากตำแหน่งในปี 2017 ทั้งนี้ ยุน ถูกยื่นถอดถอนครั้งแรกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว แต่รอดพ้นมาได้สืบเนื่องจากสมาชิกพรรคของเขาส่วนใหญ่บอตคอตการลงมติ ส่งผลให้องค์ประชุมไม่ครบ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ก็เขาถูกถอดถอนในการลงมติรอบ 2
    .
    "แม้ว่าผมจะหยุดแล้วในตอนนี้ แต่การเดินทางเคียงข้างประชาชนของผมในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ในการมุ่งหน้าสู่อนาคต จะไม่มีวันหยุดลง ผมจะไม่มีวันยอมแพ้" ยุนกล่าว
    .
    บรรดาผู้ประท้วงใกล้อาคารรัฐสภาที่สนับสนุนการถอดถอนยุน ส่งเสียงยินดีอย่างกึกก้องขานรับข่าวการลงมติถอดถอน สวนทางกับบรรยากาศของที่ชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนยุน
    .
    ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีครั้งนี้มี ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันโหวตเห็นชอบ 204 เสียง คัดค้าน 85 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และมีคะแนนโหวตที่เป็นโมฆะ (nullified) อีก 8 เสียง
    .
    ส.ส.พรรคพลังประชาชน (PPP) ที่เป็นฝั่งรัฐบาลประกาศไม่บอยคอตการโหวตเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมี ส.ส.อย่างน้อย 12 คนที่ช่วยโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนของฝ่ายค้าน เปิดทางสำหรับการได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ที่จำเป็นสำหรับการถอดถอน ในสมัชชาที่มีทั้งหมด 300 ที่นั่ง และมีพรรค PPP ครองเสียงข้างมากด้วยจำนวน 192 เสียง
    .
    ยุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เมื่อเขาประกาศกฎอัยการศึก ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในการขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และพิชิตการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
    .
    อย่างไรก็ตาม เขายกเลิกประกาศดังกล่าวเพียงแค่อีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาขัดขืนทหารและตำรวจ ลงมติคัดค้านอัยการศึก แต่มันฉุดให้ประเทศแห่งนี้ดำดิ่งสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญและโหมกระพือเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ในเหตุผลที่ว่าเขาละเมิดกฎหมาย
    .
    ต่อมา ยุน ออกมาขอโทษ แต่ปกป้องการตัดสินใจของตนเอง แต่เมินเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง กระตุ้นให้บรรดาพรรคฝ่ายค้ายยื่นถอดถอน ภายใต้การสนับสนุนของผู้ชุมนุมจำนวนมาก
    .
    นอกจากนี้ ยุน ยังอยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามคำกล่าวหาก่อกบฏจากการประกาศอัยการศึก และเจ้าหน้าที่สั่งห้ามเขาเดินทางออกนอกประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120164
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศว่าจะต่อสู้เพื่ออนาคตทางการเมือง หลังเขาถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง ในการโหวตครั้งที่ 2 ของรัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้าน ต่อการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับในช่วงสั้นๆ ความเคลื่อนไหวที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศ . ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากเก้าอี้หรือไม่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน 6 เดือนข้างหน้า และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเห็นชอบมติถอดถอน เมื่อนั้นก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ . นายกรัฐมนตรีนายฮัน ด็อก-ซู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากยุน ก้าวมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ในระหว่างที่ ยุน ยังคงอยู่ในตำแหน่ง แต่อำนาจประธานาธิบดีของเขาถูกพักเอาไว้ ในขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาเพิ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งทาง . "ผมจะใช้ทุกความเข้มแข็งที่ผมมีและทุกความพยายามในการรักษาเสถียรภาพแก่รัฐบาล" ฮันบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการโหวต . วิกฤตการเมืองครั้งนี้ อันนำมาซึ่งการลาออกและการจับกุมเจ้าหน้าที่กลาโหมและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายรายก่อความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของเกาหลีใต้ในการป้องปรามเกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงเวลาที่ เปียงยาง กำลังยกระดับคลังแสงและกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นกับรัสเซีย . ยุน ถือเป็นประธานาธิบดีอนุรักษนิยมคนที่ 2 ติดต่อกันที่ถูกถอดถอนในเกาหลีใต้ หลังจากพัค กึน-ฮเย ถูกเขี่ยพ้นจากตำแหน่งในปี 2017 ทั้งนี้ ยุน ถูกยื่นถอดถอนครั้งแรกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว แต่รอดพ้นมาได้สืบเนื่องจากสมาชิกพรรคของเขาส่วนใหญ่บอตคอตการลงมติ ส่งผลให้องค์ประชุมไม่ครบ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ก็เขาถูกถอดถอนในการลงมติรอบ 2 . "แม้ว่าผมจะหยุดแล้วในตอนนี้ แต่การเดินทางเคียงข้างประชาชนของผมในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ในการมุ่งหน้าสู่อนาคต จะไม่มีวันหยุดลง ผมจะไม่มีวันยอมแพ้" ยุนกล่าว . บรรดาผู้ประท้วงใกล้อาคารรัฐสภาที่สนับสนุนการถอดถอนยุน ส่งเสียงยินดีอย่างกึกก้องขานรับข่าวการลงมติถอดถอน สวนทางกับบรรยากาศของที่ชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนยุน . ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีครั้งนี้มี ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันโหวตเห็นชอบ 204 เสียง คัดค้าน 85 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และมีคะแนนโหวตที่เป็นโมฆะ (nullified) อีก 8 เสียง . ส.ส.พรรคพลังประชาชน (PPP) ที่เป็นฝั่งรัฐบาลประกาศไม่บอยคอตการโหวตเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมี ส.ส.อย่างน้อย 12 คนที่ช่วยโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนของฝ่ายค้าน เปิดทางสำหรับการได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ที่จำเป็นสำหรับการถอดถอน ในสมัชชาที่มีทั้งหมด 300 ที่นั่ง และมีพรรค PPP ครองเสียงข้างมากด้วยจำนวน 192 เสียง . ยุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เมื่อเขาประกาศกฎอัยการศึก ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในการขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และพิชิตการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง . อย่างไรก็ตาม เขายกเลิกประกาศดังกล่าวเพียงแค่อีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาขัดขืนทหารและตำรวจ ลงมติคัดค้านอัยการศึก แต่มันฉุดให้ประเทศแห่งนี้ดำดิ่งสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญและโหมกระพือเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ในเหตุผลที่ว่าเขาละเมิดกฎหมาย . ต่อมา ยุน ออกมาขอโทษ แต่ปกป้องการตัดสินใจของตนเอง แต่เมินเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง กระตุ้นให้บรรดาพรรคฝ่ายค้ายยื่นถอดถอน ภายใต้การสนับสนุนของผู้ชุมนุมจำนวนมาก . นอกจากนี้ ยุน ยังอยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามคำกล่าวหาก่อกบฏจากการประกาศอัยการศึก และเจ้าหน้าที่สั่งห้ามเขาเดินทางออกนอกประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120164 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 822 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิหรือเทศกาลตรุษจีนของประชาชนชาวจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ.มติข้างต้นมีขึ้นที่การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธ.ค. ในปารากวัย โดยคณะกรรมการฯ ให้การรับรองเทศกาลตรุษจีน เนื่องด้วยมีพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมเฉพาะตัวอันเกี่ยวพันกับทั้งสังคมจีน.ยูเนสโกเน้นย้ำว่าเทศกาลตรุษจีนที่เป็นหมุดหมายการเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีนมีความเกี่ยวข้องกับพิธีปฏิบัติทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งการกราบไหว้ขอพรและการกลับมารวมตัวกันของสมาชิกครอบครัว รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดแจงโดยผู้สูงอายุและงานสาธารณะตามเทศกาลที่จัดโดยชุมชน.เอกสารของยูเนสโกระบุว่าองค์ความรู้และขนบธรรมเนียมตามประเพณีดั้งเดิมที่เกี่ยวพันกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อภายในครอบครัวและชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงส่งต่ออย่างเป็นทางการผ่านระบบการศึกษา ขณะทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของครอบครัว ความสมานฉันท์ในสังคม และสันติภาพ.คณะกรรมการฯ สำทับว่าเทศกาลตรุษจีนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนั้นประกอบด้วยความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและการศึกษา ตลอดจนมีบทบาทหลักในการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม.เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งนำคณะผู้แทนของจีนเข้าร่วมการประชุมของยูเนสโก กล่าวว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุดตามประเพณีที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวจีน สัมพันธ์กับครอบครัวและประเทศ และคุณค่าของความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ.เหราเสริมว่าเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและมอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณแก่ประชาชนชาวจีนเสมอมา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความปรองดองของครอบครัวและสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม และบ่มเพาะการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั่วโลก.เหรากล่าวว่าการขึ้นทะเบียนเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจะช่วยส่งเสริมคุณค่าสากลของสันติภาพและความสามัคคีปรองดอง และเน้นย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน.ปัจจุบันจีนมีองค์ประกอบหรือพิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ยูเนสโกให้การรับรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จำนวน 44 รายการแล้ว
    เมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิหรือเทศกาลตรุษจีนของประชาชนชาวจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ.มติข้างต้นมีขึ้นที่การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สมัยที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 ธ.ค. ในปารากวัย โดยคณะกรรมการฯ ให้การรับรองเทศกาลตรุษจีน เนื่องด้วยมีพิธีกรรมและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมเฉพาะตัวอันเกี่ยวพันกับทั้งสังคมจีน.ยูเนสโกเน้นย้ำว่าเทศกาลตรุษจีนที่เป็นหมุดหมายการเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีนมีความเกี่ยวข้องกับพิธีปฏิบัติทางสังคมที่หลากหลาย ทั้งการกราบไหว้ขอพรและการกลับมารวมตัวกันของสมาชิกครอบครัว รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดแจงโดยผู้สูงอายุและงานสาธารณะตามเทศกาลที่จัดโดยชุมชน.เอกสารของยูเนสโกระบุว่าองค์ความรู้และขนบธรรมเนียมตามประเพณีดั้งเดิมที่เกี่ยวพันกับเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อภายในครอบครัวและชุมชนอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึงส่งต่ออย่างเป็นทางการผ่านระบบการศึกษา ขณะทักษะงานฝีมือและศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้ถูกส่งต่อผ่านการฝึกฝน ส่งเสริมคุณค่าของครอบครัว ความสมานฉันท์ในสังคม และสันติภาพ.คณะกรรมการฯ สำทับว่าเทศกาลตรุษจีนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนั้นประกอบด้วยความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่างๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหารและการศึกษา ตลอดจนมีบทบาทหลักในการเพิ่มความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม.เหราเฉวียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งนำคณะผู้แทนของจีนเข้าร่วมการประชุมของยูเนสโก กล่าวว่าเทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุดตามประเพณีที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนชาวจีน สัมพันธ์กับครอบครัวและประเทศ และคุณค่าของความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ.เหราเสริมว่าเทศกาลตรุษจีนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นและมอบความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณแก่ประชาชนชาวจีนเสมอมา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความปรองดองของครอบครัวและสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปกป้องสิ่งแวดล้อม และบ่มเพาะการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมทั่วโลก.เหรากล่าวว่าการขึ้นทะเบียนเทศกาลตรุษจีนเข้าสู่รายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจะช่วยส่งเสริมคุณค่าสากลของสันติภาพและความสามัคคีปรองดอง และเน้นย้ำบทบาทสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการพัฒนาที่ยั่งยืน.ปัจจุบันจีนมีองค์ประกอบหรือพิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่ยูเนสโกให้การรับรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จำนวน 44 รายการแล้ว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่ – “ดอยอินทนนท์” อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิต่ำสุด 8 องศาเซลเซียส ยังต้องรอลุ้นเกิด “เหมยขาบ” แรกของปี ขณะที่นักท่องเที่ยวคึกคักต่อเนื่อง รับลมหนาวชมวิวสวย

    รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า วันนี้(11 ธ.ค.67) ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศการท่องเที่ยวยังคงเป็นไปอย่างค่อนข้างคึกคัก แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางสัปดาห์และเพิ่งผ่านพ้นช่วงวันหยุด โดยพบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากยังคงต่างพากันท่องเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวเย็นสบายและชื่นชมธรรมชาติกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างประทับใจกับการได้ชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ท่ามกลางเมฆหมอกและลมเย็นที่พัดโชยไม่ขาดสาย

    ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้วัดได้ 8 องศาเซลเซียส ที่บริเวณยอดดอย และกิ่วแม่ปาน ทำให้ยังต้องรอลุ้นการเกิดน้ำค้างแข็ง หรือ “เหมยขาบ” ครั้งแรกของปีนี้ต่อไป ขณะที่สถิตินักท่องเที่ยวที่เข้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.67 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,909 คน แบ่งเป็น คนไทย 3,674 คน ชาวต่างชาติ 1,235 คน และยานพาหนะ 1,307 คัน ซึ่งทางอุทยานฯ เน้นย้ำนักท่องเที่ยวที่ใช้รถยนต์ให้ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการขับขึ้นดอยและใช้เกียร์ต่ำ เพื่อความปลอดภัย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000118775

    #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์
    เชียงใหม่ – “ดอยอินทนนท์” อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิต่ำสุด 8 องศาเซลเซียส ยังต้องรอลุ้นเกิด “เหมยขาบ” แรกของปี ขณะที่นักท่องเที่ยวคึกคักต่อเนื่อง รับลมหนาวชมวิวสวย • รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า วันนี้(11 ธ.ค.67) ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศการท่องเที่ยวยังคงเป็นไปอย่างค่อนข้างคึกคัก แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางสัปดาห์และเพิ่งผ่านพ้นช่วงวันหยุด โดยพบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากยังคงต่างพากันท่องเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวเย็นสบายและชื่นชมธรรมชาติกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างประทับใจกับการได้ชมแสงแรกของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ท่ามกลางเมฆหมอกและลมเย็นที่พัดโชยไม่ขาดสาย • ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้วัดได้ 8 องศาเซลเซียส ที่บริเวณยอดดอย และกิ่วแม่ปาน ทำให้ยังต้องรอลุ้นการเกิดน้ำค้างแข็ง หรือ “เหมยขาบ” ครั้งแรกของปีนี้ต่อไป ขณะที่สถิตินักท่องเที่ยวที่เข้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.67 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,909 คน แบ่งเป็น คนไทย 3,674 คน ชาวต่างชาติ 1,235 คน และยานพาหนะ 1,307 คัน ซึ่งทางอุทยานฯ เน้นย้ำนักท่องเที่ยวที่ใช้รถยนต์ให้ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการขับขึ้นดอยและใช้เกียร์ต่ำ เพื่อความปลอดภัย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000118775 • #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วันรัฐธรรมนูญ เป็นวันหยุดราชการ เพื่อระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย
    #วันรัฐธรรมนูญ เป็นวันหยุดราชการ เพื่อระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ชิบูย่า" ประกาศยกเลิกการจัดกิจกรรมเคาต์ดาวน์ปีใหม่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่าติดต่อกันเป็นปีที่ 5 หวั่นเรื่องความปลอดภัย คนล้น แออัด เกิดเหตุอันตราย

    สำนักงานเขตชิบูย่า กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในการยกเลิกจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือ เคาต์ดาวน์ปีใหม่ บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟชิบูย่า พร้อมติดตั้งรั้วกั้นรอบบริเวณรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จนถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามท้องถนน การทิ้งขยะ การส่งเสียงดังรบกวน รวมถึงอันตรายที่เกิดจากฝูงชนแออัดเกินไป ซึ่งมักเกิดขึ้นช่วงเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

    นอกจากนี้ เขตชิบูย่า ยังขอความร่วมมือให้ร้านค้างดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามท้องถนนในยามวิกาล ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ “เคน ฮาเซเบะ” นายกเทศมนตรีเขตชิบูย่า ออกมากระตุ้นให้เฝ้าระวังการก่อความรำคาญอันเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์บนท้องถนนและอุบัติเหตุในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น

    การยกเลิกกิจกรรมดังกล่าว นับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยเริ่มจากช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดโควิด 19 รวมถึงเหตุโศกนาฏกรรม อิแทวอน ประเทศเกาหลีใต้ ก็นับว่ามีผลทำให้ชิบูย่า เลิกจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

    #MGROnline #ชิบูย่า #ยกเลิกจัดกิจกรรม #ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ #เคานต์ดาวน์ปีใหม่ #สถานีรถไฟชิบูย่า
    “ชิบูย่า" ประกาศยกเลิกการจัดกิจกรรมเคาต์ดาวน์ปีใหม่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่าติดต่อกันเป็นปีที่ 5 หวั่นเรื่องความปลอดภัย คนล้น แออัด เกิดเหตุอันตราย • สำนักงานเขตชิบูย่า กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในการยกเลิกจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือ เคาต์ดาวน์ปีใหม่ บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟชิบูย่า พร้อมติดตั้งรั้วกั้นรอบบริเวณรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จนถึงเวลา 01.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามท้องถนน การทิ้งขยะ การส่งเสียงดังรบกวน รวมถึงอันตรายที่เกิดจากฝูงชนแออัดเกินไป ซึ่งมักเกิดขึ้นช่วงเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก • นอกจากนี้ เขตชิบูย่า ยังขอความร่วมมือให้ร้านค้างดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามท้องถนนในยามวิกาล ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา • ทั้งนี้ “เคน ฮาเซเบะ” นายกเทศมนตรีเขตชิบูย่า ออกมากระตุ้นให้เฝ้าระวังการก่อความรำคาญอันเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์บนท้องถนนและอุบัติเหตุในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น • การยกเลิกกิจกรรมดังกล่าว นับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยเริ่มจากช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดโควิด 19 รวมถึงเหตุโศกนาฏกรรม อิแทวอน ประเทศเกาหลีใต้ ก็นับว่ามีผลทำให้ชิบูย่า เลิกจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก • #MGROnline #ชิบูย่า #ยกเลิกจัดกิจกรรม #ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ #เคานต์ดาวน์ปีใหม่ #สถานีรถไฟชิบูย่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    วันปีใหม่สะท้อนบทบาทต่อสังคมไทยได้อย่างไรวันปีใหม่ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่คนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก โดยไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา แต่ยังแสดงถึงบทบาทที่ลึกซึ้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย วันปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมายและกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนในสังคมไทยอย่างหลากหลายแง่มุม1. การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนวันปีใหม่เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวกลับมารวมตัวกัน เพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความอบอุ่นร่วมกัน กิจกรรมเช่นการไหว้ผู้ใหญ่ การรับพร หรือการเลี้ยงฉลองในครอบครัวสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูและความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทยในระดับชุมชน การจัดงานเฉลิมฉลอง เช่น การสวดมนต์ข้ามปี การจัดงานวัด หรืองานปีใหม่ของหมู่บ้าน ช่วยสร้างความสามัคคีระหว่างเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในสังคม2. การส่งเสริมวัฒนธรรมและประเพณีไทยแม้ว่าเทศกาลปีใหม่จะมีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่คนไทยได้ปรับประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า หรือการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา3. การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดแห่งปี ทั้งการซื้อของขวัญ การตกแต่งบ้าน หรือการเดินทางท่องเที่ยว การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เช่น ตลาดนัด สินค้า OTOP และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนและส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว4. การส่งเสริมความหวังและแรงบันดาลใจวันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ หลายคนตั้งเป้าหมายหรือปณิธานในชีวิต เช่น การทำงานให้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพ หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดทัศนคติในเชิงบวกที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม5. การสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทย เราเฉลิมฉลองปีใหม่ทั้งแบบไทย (สงกรานต์) และปีใหม่สากล (1 มกราคม) สิ่งนี้สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปิดกว้างในวัฒนธรรมไทยที่พร้อมยอมรับและเคารพความแตกต่างบทสรุปวันปีใหม่ไม่ใช่เพียงแค่วันหยุดเทศกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมโยงและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญู ความสามัคคี และความหวัง ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยในทุกมิติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts