• Sun. Jul. 13, 2025

    ทำไมแต่ละสื่อถึงยุให้อีหมึก ink ลาออก
    พยายามช่วยนางกันรึ?
    เราไม่ให้ออกค่ะ เราจะให้อยู่ต่อรอฟังศาลไปด้วยกันค่ะ
    เหลือพรุ่งนี้อีกวัน อย่าเพิ่งลาออกนะคะ อีหมึกสู้ๆค่า
    เราต้องการให้นางถูกตราหน้าแบบเดียวกับที่นายกเศษถุยโดนไปตลอด อย่าเพิ่งลาออกนะจ๊ะ

    บอกตรงๆนิด้าโพลก็เป็นโพลส้มๆแดงๆ แต่ถ้าหน้าตาตัวเลือกเป็นแบบที่เห็น...อยากจะอ้วกค่ะ

    มีนายกคนไหนที่มีทีม AI เก่งๆให้เลือกมั้ยคะ
    นายกและทีมที่ตั้งกฎใหม่ๆเช่น...
    เอามนุษย์ที่มีตำแหน่ง รัฐมนตรี ส.ส. ผู้ว่า เทศมนตรี ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. ฯลฯ มาสอบคัดเลือกใหม่หมดทุกตำแหน่ง มีทั้งข้อเขียน เรียงความ สัมภาษณ์ (คนถาม-คนตอบไม่เห็นหน้ากัน) ใครโกงข้อสอบหรือช่วยโกงติดคุกสถานเดียว ในศูนย์ราชการทุกแห่ง จัดสอบคัดเลือกใหม่หมด ใครไม่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ผ่านคัดเลือก ข้าราชการทุกตำแหน่งก็ทำเช่นเดียวกัน พวกทหารตำรวจมีเพิ่มเติมคือทดสอบภาคสนามใหม่หมด และใช้มนุษย์คุณภาพแค่ 40% พอ ทุกศูนย์ราชการ ทุกกระทรวงทบวงกรม ทำระบบใหม่ที่ใช้ข้อมูล update และ online ได้แทบทั้งหมด เด็กรุ่นใหม่เรียนเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างจริงจัง ให้การศึกษา online เข้าถึงตามหมู่บ้านเล็กๆตามป่าตามเขาให้ได้ คุณครูทุกคนสอน online เหมือนสุโขทัยธรรมาธิราชสมัยก่อน มีหลักสูตร international สอนตั้งแต่ระดับอนุบาลกันเลย แต่ใช้สื่อ online เท่านั้นตัดปัญหาล่วงละเมิด เรียนฟรี ใครอยากได้ใบประกาศคุณวุฒิก็ไปสอบเอา ซึ่งจริงๆอะไรพวกนี้มันทำได้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครเริ่มทำ วันๆเอาแต่ป้อนสื่อขยะให้เยาวชนไทยเสพติดแต่วัตถุ เกมส์ สิ่งที่ทำเงินเร็วๆ และชีวิตหรูหราสบายไปวันๆ ส่วนผู้ใหญ่ก็เน้นป้อนข่าวอุบาศก์ๆให้สมองมันตีบตันกันให้หมด ให้เป็นหนี้เป็นสินท่วมหัว และได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ ให้มันต้องตกอยู่ในวังวนของระบบ corruption ไปตลอดกาล

    เราเพิ่งกระจ่างว่า จริงๆไม่เกี่ยวกับตระกูลชิน ทักษิณ หรือระบบเน่าๆที่เขาสร้างไว้ แต่มันเกี่ยวกับคนที่ยืนยันที่จะอุ้มชูตระกูลนี้ ระบบเน่าๆนี้ให้คงอยู่เพราะคนเหล่านี้เสพติดเงินฟรีไปซะแล้ว มันเข้าเส้นจนเลิกไม่ได้เสียแล้ว อย่าว่าแต่มนุษย์ทั่วไปเลย มนุษย์ในผ้าเหลืองก็เสพติดเงิน และมักมากในกาม แถมกินฟรีอยู่ฟรี มีเรื่องแบบนี้ทำให้เด็กรุ่นใหม่ดูเป็นแบบอย่างทุกวันๆ ว่าพระเนี่ยคือคนร้ายที่ปลอดภัยที่สุด อยู่ฟรีกินฟรี มีเงินทองใช้ มีคนกราบไหว้ และพอเรื่องแดง ทุกคนก็แค่สึก แล้วก็หอบเงินก้อนโตหนี และก็ไม่ต้องโดนโทษใดๆ ระบบแบบนี้ต้องถูกล้างบางไปจากสังคมไทยได้แล้วค่ะ ยึดทรัพย์ และติดคุกสถานเดียวค่ะ

    ตกลงว่ามันจะมีคนดีในฝันที่อยากช่วยชาติบ้านเมืองจริงๆมาให้เราเลือกบ้างมั้ยคะ เราเบื่อที่จะต้องฝ่ารถติดเพื่อถ่อไปกา ✖ งดออกเสียง ✖แล้วค่ะ
    Sun. Jul. 13, 2025 ทำไมแต่ละสื่อถึงยุให้อีหมึก ink ลาออก พยายามช่วยนางกันรึ? เราไม่ให้ออกค่ะ เราจะให้อยู่ต่อรอฟังศาลไปด้วยกันค่ะ เหลือพรุ่งนี้อีกวัน อย่าเพิ่งลาออกนะคะ อีหมึกสู้ๆค่า เราต้องการให้นางถูกตราหน้าแบบเดียวกับที่นายกเศษถุยโดนไปตลอด อย่าเพิ่งลาออกนะจ๊ะ บอกตรงๆนิด้าโพลก็เป็นโพลส้มๆแดงๆ แต่ถ้าหน้าตาตัวเลือกเป็นแบบที่เห็น...อยากจะอ้วกค่ะ มีนายกคนไหนที่มีทีม AI เก่งๆให้เลือกมั้ยคะ นายกและทีมที่ตั้งกฎใหม่ๆเช่น... เอามนุษย์ที่มีตำแหน่ง รัฐมนตรี ส.ส. ผู้ว่า เทศมนตรี ผู้ใหญ่บ้าน อบต. อบจ. ฯลฯ มาสอบคัดเลือกใหม่หมดทุกตำแหน่ง มีทั้งข้อเขียน เรียงความ สัมภาษณ์ (คนถาม-คนตอบไม่เห็นหน้ากัน) ใครโกงข้อสอบหรือช่วยโกงติดคุกสถานเดียว ในศูนย์ราชการทุกแห่ง จัดสอบคัดเลือกใหม่หมด ใครไม่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ผ่านคัดเลือก ข้าราชการทุกตำแหน่งก็ทำเช่นเดียวกัน พวกทหารตำรวจมีเพิ่มเติมคือทดสอบภาคสนามใหม่หมด และใช้มนุษย์คุณภาพแค่ 40% พอ ทุกศูนย์ราชการ ทุกกระทรวงทบวงกรม ทำระบบใหม่ที่ใช้ข้อมูล update และ online ได้แทบทั้งหมด เด็กรุ่นใหม่เรียนเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างจริงจัง ให้การศึกษา online เข้าถึงตามหมู่บ้านเล็กๆตามป่าตามเขาให้ได้ คุณครูทุกคนสอน online เหมือนสุโขทัยธรรมาธิราชสมัยก่อน มีหลักสูตร international สอนตั้งแต่ระดับอนุบาลกันเลย แต่ใช้สื่อ online เท่านั้นตัดปัญหาล่วงละเมิด เรียนฟรี ใครอยากได้ใบประกาศคุณวุฒิก็ไปสอบเอา ซึ่งจริงๆอะไรพวกนี้มันทำได้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครเริ่มทำ วันๆเอาแต่ป้อนสื่อขยะให้เยาวชนไทยเสพติดแต่วัตถุ เกมส์ สิ่งที่ทำเงินเร็วๆ และชีวิตหรูหราสบายไปวันๆ ส่วนผู้ใหญ่ก็เน้นป้อนข่าวอุบาศก์ๆให้สมองมันตีบตันกันให้หมด ให้เป็นหนี้เป็นสินท่วมหัว และได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ ให้มันต้องตกอยู่ในวังวนของระบบ corruption ไปตลอดกาล เราเพิ่งกระจ่างว่า จริงๆไม่เกี่ยวกับตระกูลชิน ทักษิณ หรือระบบเน่าๆที่เขาสร้างไว้ แต่มันเกี่ยวกับคนที่ยืนยันที่จะอุ้มชูตระกูลนี้ ระบบเน่าๆนี้ให้คงอยู่เพราะคนเหล่านี้เสพติดเงินฟรีไปซะแล้ว มันเข้าเส้นจนเลิกไม่ได้เสียแล้ว อย่าว่าแต่มนุษย์ทั่วไปเลย มนุษย์ในผ้าเหลืองก็เสพติดเงิน และมักมากในกาม แถมกินฟรีอยู่ฟรี มีเรื่องแบบนี้ทำให้เด็กรุ่นใหม่ดูเป็นแบบอย่างทุกวันๆ ว่าพระเนี่ยคือคนร้ายที่ปลอดภัยที่สุด อยู่ฟรีกินฟรี มีเงินทองใช้ มีคนกราบไหว้ และพอเรื่องแดง ทุกคนก็แค่สึก แล้วก็หอบเงินก้อนโตหนี และก็ไม่ต้องโดนโทษใดๆ ระบบแบบนี้ต้องถูกล้างบางไปจากสังคมไทยได้แล้วค่ะ ยึดทรัพย์ และติดคุกสถานเดียวค่ะ ตกลงว่ามันจะมีคนดีในฝันที่อยากช่วยชาติบ้านเมืองจริงๆมาให้เราเลือกบ้างมั้ยคะ เราเบื่อที่จะต้องฝ่ารถติดเพื่อถ่อไปกา ✖ งดออกเสียง ✖แล้วค่ะ
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • มนุษย์เมื่อมีโอกาสดี โอกาสเป็นใหญ่เป็นโต ความอยากจะทะยานขึ้นมาก ความโลภ ความอยากมาหมด
    มนุษย์เมื่อมีโอกาสดี โอกาสเป็นใหญ่เป็นโต ความอยากจะทะยานขึ้นมาก ความโลภ ความอยากมาหมด
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ
    ดอกบัว : สัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้
    ดอกบัวที่มีรากหยั่งและเติบโตในโคลน แต่ดอกจะผลิบานอยู่เหนือผิวน้ำ ถือว่าเป็นดอกไม้แห่งพระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ ความหมายของดอกบัวสามารถหมายถึงการเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายและความสงบที่เกิดจากภายในตัวเรา ดอกบัวในทางพุทธศาสนามีความลึกซึ้ง อุปมาเปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 4 จำพวก ได้แก่ บัวพ้นน้ำ ผู้ที่มีความพร้อมมีปัญญาสามารถมองเห็นเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลได้ บัวปริ่มน้ำ จำต้องพัฒนาซึ่งเมื่อขยายความเล็กน้อยก็จะมีความเข้าใจ บัวที่อยู่ใต้น้ำ ต้องอาศัยการเพาะบ่ม อบรมฝึกฝนอยู่เสมอ และบัวที่จม อยู่กับโคลนตมเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำ แม้จะได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจหรือรึความหมายตามได้ แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้กลายมาเป็นบัวที่พ้นน้ำได้
    ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ ดอกบัว : สัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ ดอกบัวที่มีรากหยั่งและเติบโตในโคลน แต่ดอกจะผลิบานอยู่เหนือผิวน้ำ ถือว่าเป็นดอกไม้แห่งพระพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้ ความหมายของดอกบัวสามารถหมายถึงการเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายและความสงบที่เกิดจากภายในตัวเรา ดอกบัวในทางพุทธศาสนามีความลึกซึ้ง อุปมาเปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 4 จำพวก ได้แก่ บัวพ้นน้ำ ผู้ที่มีความพร้อมมีปัญญาสามารถมองเห็นเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลได้ บัวปริ่มน้ำ จำต้องพัฒนาซึ่งเมื่อขยายความเล็กน้อยก็จะมีความเข้าใจ บัวที่อยู่ใต้น้ำ ต้องอาศัยการเพาะบ่ม อบรมฝึกฝนอยู่เสมอ และบัวที่จม อยู่กับโคลนตมเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำ แม้จะได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจหรือรึความหมายตามได้ แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้กลายมาเป็นบัวที่พ้นน้ำได้
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • นิยายไซไฟ Aurora
    ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว...

    **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"**
    รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต

    **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม**
    หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน

    ---

    ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร
    คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ...

    **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ
    **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา

    กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ

    ---

    ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ
    1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน**
    ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน

    2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย**
    อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน

    3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร**
    เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย...

    ---

    ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล
    วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี!

    อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์

    ---

    ### รักสุดขอบฟ้า
    คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ

    **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"**
    **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"**

    อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย...

    **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:**
    เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป
    เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ
    รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน?

    ---

    โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ
    มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก
    จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง
    โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่...
    หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    นิยายไซไฟ Aurora ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว... **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"** รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม** หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน --- ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ... **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ --- ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ 1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน** ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน 2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย** อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน 3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร** เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย... --- ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี! อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์ --- ### รักสุดขอบฟ้า คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"** **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"** อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย... **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:** เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน? --- โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่... หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • ภาค1 ส 12-7-68 ..
    E:\- m1 ภาค ส่ง
    1.ยุคนี้ เป็นยุคสส.(อดัม สมิธ)ที่ภาครัฐต้องเอื้ออำนวยบทบาทเอกชนเหล่าสส.เล่นได้เต็มที่ก็จะเกิดความมั่งคั่งตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิตซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดแข่งขันเสรีโดยรวมแห่งระบบเลือกตั้งสังคมทุนนิยม
    2.เมื่อโลกใบนี้(รวมทั้งไทย)ที่สส.ฐานะเป็นเอกชนซึ่งมีความโลภมีบทบาทแข่งกันเข้ากอบโกยสร้างรวยแก่ตนได้ อันเป็นความชอบธรรมทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิธ สส.จึงลงทุนซื้อเสียงเลือกตั้งชิงอำนาจครองเมืองเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งต่อการกอบโกยอันเป็นลักษณะทั่วไปของระบบ “แข่งขันเข้าคูหาเลือกตั้ง” เพื่อชิงอำนาจครองเมืองแห่งทุนเสรีในยุคปัจจุบัน -นับแต่นี้ไป ต้องไม่เอื้อเหล่าสส.อดัม สมิธ ครองเมืองอีก
    3.ประเทศไทยต้องสร้าง “การเมืองใหม่” ขึ้นมาให้ได้!
    4.ธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ทั้งลม-ฟ้า-อากาศ และผืนดิน ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพากันโดยมีแวว “ทักษะและความชอบ” แตกต่างกันไปเชิงสังคม
    5.โครงสร้างสังคมหลักเศรษฐศาสตร์ใหม่ของเรา อิงวิถีธรรมชาติที่ให้เรามา
    6.อนึ่ง ประเทศจีนปฏิวัติสังคมประเทศไปก่อนแล้ว โดยนำระบบการตลาดควบระบบสังคมนิยม
    - ด้านผลสำเร็จ คือทิศทางเราควรศึกษาจากเขา
    • จีนทุ่มงานวิจัยr&dเยอะจึงพัฒนาไปเร็ว
    • ขจัดความยากจนของประเทศ
    • ปราบคอร์รัปชั่นเฉียบขาด
    - ส่วนด้านจุดอ่อนนั้น เราก็อย่าให้เกิดซ้ำรอยที่เราอีก ในกรณี “อาชีพเก็งกำไร” เช่น ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจสอนพิเศษ ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องไม่ให้เกิดที่ไทย
    กรณีบทเรียนจีนอุดหนุนเอกชนผลิตรถอีวี แข่งขันกันพากันเจ๊ง กรณีจีนอุดหนุนส่งเสริมผลิตสินค้าผลิตให้มากเพื่อได้ต้นทุนต่ำ ผลิตล้นขายทั้งในและนอกประเทศเดือดร้อนไปทั่ว
    การศึกษาแข่งขันกันสูง ค่าเล่าเรียนจึงสูงมาก จบออกมาก็ยังหางานทำไม่ได้
    ค่าบ้าน ค่าเรียน จึงเป็นภาระหนักของประชาชน จึงเป็นเหตุให้ไม่อยากแต่งงาน แต่งงานก็ไม่อยากมีลูก เป็นเหตุให้จีนคนสูงวัยเยอะ แต่ขาดวัยแรงงานพัฒนาประเทศ
    7.ประเทศไทย ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน คือด้านพลังงาน ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมด (การกลั่นน้ำมัน ขายปลีกปั๋มน้ำมัน ไปจนถึงพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม
    8. ยกเลิกธุรกิจเก็งกำไรทั้งปวง การธนาคารต้องเป็นรัฐ วิสาหกิจ(ยกเลิกการธนาคารเอกชน) รวมถึง อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์
    9] ปลดโซ่ตรวนทุนเสรีทั้งปวง สร้างกำลังซื้อประชาชน การเงินจะได้สะพัดในระบบเศรษฐกิจสังคม
    # ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดภาระปัจจัย4
    -บ้าน/อาคาร ที่พักอาศัย ที่ทำกิน-ที่ค้าขายต้องอยู่ฟรี
    -เครื่องมือ-อุปกรณ์การทำอาชีพต้องสนองให้และฟรี และมีการพัฒนาและเสริมให้ใหม่อยู่เสมอ
    # ยกเลิกระบบลูกจ้าง
    -ทุกอาชีพที่ต้องใช้คนช่วย ตั้งบริษัท เป็นนิติบุคคล
    ตั้งเป็นบริษัทพัฒนา (ตามสมัครใจ)
    -“บริษัฒนา” ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
    9.1]ด้วยธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ธรรมชาติจึงให้ “แวว” มนุษย์แตกต่างกันเกื้อกูลกันเชิงสังคม ภาครัฐต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กๆ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัย “เตรียมอนุบาล” เพื่อพัฒนาการ “แวว” ของเด็กแต่ละคนให้ตรงจุด
    9.1.1] “เตรียมอนุบาล”เป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต เป็นวัยที่เริ่มแสดงออกถึงแววไปทางใด เช่น (ลักษณะผู้นำ) : คิดการไกล-มีวิสัยทัศน์ ช่างคิด คิดต่างเสมอ (ลักษณะผู้บริหาร) :อิงระบบ คุมกฎ ชอบจัด-วางระเบียบ. บุคลากรปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำสั่ง บุคลากรที่ชอบออกแรงแบบใช้สมอง บุคลากรที่ชอบออกแรงแต่ไม่ชอบใช้สมอง ฯ
    ภาครัฐก็จะได้ส่งเสริมทิศทางแววได้ถูกจุด และเจ้าตัวก็จะได้รับรู้แววของตัวเองไปทางใด
    ดังคำพังเพยที่ว่า"ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"
    ไม่จำเป็นต้องดัดอะไรอีกเลย เพียงทราบทิศทางแววไปทางไหนก็พัฒนาการไปทางนั้น นั่นคือจะเกิดความชื่นชอบส่วนลึกทางจิตใจโดยวิถีธรรมชาติของเขา นั่นความสุขใจในการปฏิบัติงานของเขา ก็จะได้ทรัพยากรบุคคที่มีคุณภาพให้แก่สังคม
    9.1.2] ภาคเอกชน ก็รู้จักใช้คน ด้วยการจองตัวนักศึกษากับมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่ “แววดี” คะแนนดี มีผลงาน เอาไว้ใช้งาน
    9.1.3] ภาครัฐก็เช่นกัน ควรวางตัวบุคคลากรในหน่วยงานตามลัษณะพิเศษของแวว ในตำแหน่งสำคัญๆ คือ แวว-ผู้นำองค์กร แวว-ผู้บริหารองค์กร
    -เช่น ภาครั.ฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ
    -มิเช่นนั้น กิจการรั.ฐวิสาหกิจก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่
    -คำกล่าวขานกันว่า ถ้าเป็นกิจการของรัฐมักไม่โต
    -อีกประการหนึ่ง กิจการของภาครัฐ มักถูกนักการเมืองเข้าบอนไซ ทำให้ง่อยเปลี้ยแล้วเข้าฮุบกิจการ
    9.2]ยังมีแววลักษณะพิเศษอื่นๆ เช่น :-
    9.2.1]เรียนไม่เก่งก็สร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
    • อย่าง “แจ็คหม่า” เรียนไม่เก่ง ซ้ำชั้นบ่อยแม้ภาษาอังกฤษก็เรียนไม่ผ่าน ไปสมัครงานที่ไหนๆก็ไม่มีใครรับกัน KFCเขาก็ไม่รับ
    • แจ็คหม่ามีแววช่างคิด(เจ้าปัญญา)เขาเชื่อใจตัวเองว่า:เขาสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ เขาปั่นจักรยานร่วมชั่วโมงไปในเมืองเป็นไกด์ จากที่เริ่มต้นพูดงูๆปลาๆจนพูดได้ดี ก็ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษจนจบได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้สมใจ
    • แจ็กหม่าเริ่มรู้จักอินเตอร์เน็ทตอนทำธุรกิจการแปลภาษา กับตอนที่เป็นล่ามที่อเมริกา
    • แจ็คหม่าข้องใจว่า ในอีเตอร์เน็ทต่างประเทศลงสินค้าจีนแต่ไม่มีตัวแทนจีนเอาไปลงเลย สินค้าจีนบางตัวก็ไม่มีลง ก็ทำให้แจ็คหม่ามีแรงบันดาลใจ กลับจีนจะไปผลักดันเรื่องนี้ พอกลับก็ไปผลักดันจนในที่สุดก็สร้าง “เว็บไซต์ E-commerce อาลีบาบา”ขึ้นมา เป็นตลาดซื้อขายระดับต่างๆ ผลให้แจ็กหม่าในปี 2018 มีทรัพย์สินราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของโลกในที่สุด – จากเด็กยากจนและเรียนไม่เก่ง แต่มีแววช่างคิดวิสัยทัศน์ไกลผลให้เติบโตสุดๆ!
    9.2.2]คำวลี "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" นั่นคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
    จินตนาการหมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป จินตนาการทำให้เกิดภาพขึ้นในสำนึกเรียกว่า “จินตภาพ” จินตภาพเหล่านี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน

    ปล.ภาค1 ยังไม่จบ ต่อภาค2 ก่อน เกี่ยวกับตั้งพรรคการเมือง

    ภาค1 ส 12-7-68 .. E:\- m1 ภาค ส่ง 1.ยุคนี้ เป็นยุคสส.(อดัม สมิธ)ที่ภาครัฐต้องเอื้ออำนวยบทบาทเอกชนเหล่าสส.เล่นได้เต็มที่ก็จะเกิดความมั่งคั่งตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิตซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดแข่งขันเสรีโดยรวมแห่งระบบเลือกตั้งสังคมทุนนิยม 2.เมื่อโลกใบนี้(รวมทั้งไทย)ที่สส.ฐานะเป็นเอกชนซึ่งมีความโลภมีบทบาทแข่งกันเข้ากอบโกยสร้างรวยแก่ตนได้ อันเป็นความชอบธรรมทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อดัมสมิธ สส.จึงลงทุนซื้อเสียงเลือกตั้งชิงอำนาจครองเมืองเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งต่อการกอบโกยอันเป็นลักษณะทั่วไปของระบบ “แข่งขันเข้าคูหาเลือกตั้ง” เพื่อชิงอำนาจครองเมืองแห่งทุนเสรีในยุคปัจจุบัน -นับแต่นี้ไป ต้องไม่เอื้อเหล่าสส.อดัม สมิธ ครองเมืองอีก 3.ประเทศไทยต้องสร้าง “การเมืองใหม่” ขึ้นมาให้ได้! 4.ธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ทั้งลม-ฟ้า-อากาศ และผืนดิน ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพากันโดยมีแวว “ทักษะและความชอบ” แตกต่างกันไปเชิงสังคม 5.โครงสร้างสังคมหลักเศรษฐศาสตร์ใหม่ของเรา อิงวิถีธรรมชาติที่ให้เรามา 6.อนึ่ง ประเทศจีนปฏิวัติสังคมประเทศไปก่อนแล้ว โดยนำระบบการตลาดควบระบบสังคมนิยม - ด้านผลสำเร็จ คือทิศทางเราควรศึกษาจากเขา • จีนทุ่มงานวิจัยr&dเยอะจึงพัฒนาไปเร็ว • ขจัดความยากจนของประเทศ • ปราบคอร์รัปชั่นเฉียบขาด - ส่วนด้านจุดอ่อนนั้น เราก็อย่าให้เกิดซ้ำรอยที่เราอีก ในกรณี “อาชีพเก็งกำไร” เช่น ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจธนาคารเอกชน ธุรกิจสอนพิเศษ ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องไม่ให้เกิดที่ไทย กรณีบทเรียนจีนอุดหนุนเอกชนผลิตรถอีวี แข่งขันกันพากันเจ๊ง กรณีจีนอุดหนุนส่งเสริมผลิตสินค้าผลิตให้มากเพื่อได้ต้นทุนต่ำ ผลิตล้นขายทั้งในและนอกประเทศเดือดร้อนไปทั่ว การศึกษาแข่งขันกันสูง ค่าเล่าเรียนจึงสูงมาก จบออกมาก็ยังหางานทำไม่ได้ ค่าบ้าน ค่าเรียน จึงเป็นภาระหนักของประชาชน จึงเป็นเหตุให้ไม่อยากแต่งงาน แต่งงานก็ไม่อยากมีลูก เป็นเหตุให้จีนคนสูงวัยเยอะ แต่ขาดวัยแรงงานพัฒนาประเทศ 7.ประเทศไทย ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน คือด้านพลังงาน ต้องเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมด (การกลั่นน้ำมัน ขายปลีกปั๋มน้ำมัน ไปจนถึงพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและประชาชน ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม 8. ยกเลิกธุรกิจเก็งกำไรทั้งปวง การธนาคารต้องเป็นรัฐ วิสาหกิจ(ยกเลิกการธนาคารเอกชน) รวมถึง อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ 9] ปลดโซ่ตรวนทุนเสรีทั้งปวง สร้างกำลังซื้อประชาชน การเงินจะได้สะพัดในระบบเศรษฐกิจสังคม # ต้องลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ลดภาระปัจจัย4 -บ้าน/อาคาร ที่พักอาศัย ที่ทำกิน-ที่ค้าขายต้องอยู่ฟรี -เครื่องมือ-อุปกรณ์การทำอาชีพต้องสนองให้และฟรี และมีการพัฒนาและเสริมให้ใหม่อยู่เสมอ # ยกเลิกระบบลูกจ้าง -ทุกอาชีพที่ต้องใช้คนช่วย ตั้งบริษัท เป็นนิติบุคคล ตั้งเป็นบริษัทพัฒนา (ตามสมัครใจ) -“บริษัฒนา” ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน 9.1]ด้วยธรรมชาติโลกใบนี้ “ปั่นป่วน” ยิ่งนัก ธรรมชาติจึงให้ “แวว” มนุษย์แตกต่างกันเกื้อกูลกันเชิงสังคม ภาครัฐต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กๆ ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัย “เตรียมอนุบาล” เพื่อพัฒนาการ “แวว” ของเด็กแต่ละคนให้ตรงจุด 9.1.1] “เตรียมอนุบาล”เป็นวัยเริ่มต้นของชีวิต เป็นวัยที่เริ่มแสดงออกถึงแววไปทางใด เช่น (ลักษณะผู้นำ) : คิดการไกล-มีวิสัยทัศน์ ช่างคิด คิดต่างเสมอ (ลักษณะผู้บริหาร) :อิงระบบ คุมกฎ ชอบจัด-วางระเบียบ. บุคลากรปฏิบัติตามกฎระเบียบและคำสั่ง บุคลากรที่ชอบออกแรงแบบใช้สมอง บุคลากรที่ชอบออกแรงแต่ไม่ชอบใช้สมอง ฯ ภาครัฐก็จะได้ส่งเสริมทิศทางแววได้ถูกจุด และเจ้าตัวก็จะได้รับรู้แววของตัวเองไปทางใด ดังคำพังเพยที่ว่า"ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก" ไม่จำเป็นต้องดัดอะไรอีกเลย เพียงทราบทิศทางแววไปทางไหนก็พัฒนาการไปทางนั้น นั่นคือจะเกิดความชื่นชอบส่วนลึกทางจิตใจโดยวิถีธรรมชาติของเขา นั่นความสุขใจในการปฏิบัติงานของเขา ก็จะได้ทรัพยากรบุคคที่มีคุณภาพให้แก่สังคม 9.1.2] ภาคเอกชน ก็รู้จักใช้คน ด้วยการจองตัวนักศึกษากับมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่ “แววดี” คะแนนดี มีผลงาน เอาไว้ใช้งาน 9.1.3] ภาครัฐก็เช่นกัน ควรวางตัวบุคคลากรในหน่วยงานตามลัษณะพิเศษของแวว ในตำแหน่งสำคัญๆ คือ แวว-ผู้นำองค์กร แวว-ผู้บริหารองค์กร -เช่น ภาครั.ฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ -มิเช่นนั้น กิจการรั.ฐวิสาหกิจก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ -คำกล่าวขานกันว่า ถ้าเป็นกิจการของรัฐมักไม่โต -อีกประการหนึ่ง กิจการของภาครัฐ มักถูกนักการเมืองเข้าบอนไซ ทำให้ง่อยเปลี้ยแล้วเข้าฮุบกิจการ 9.2]ยังมีแววลักษณะพิเศษอื่นๆ เช่น :- 9.2.1]เรียนไม่เก่งก็สร้างความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ • อย่าง “แจ็คหม่า” เรียนไม่เก่ง ซ้ำชั้นบ่อยแม้ภาษาอังกฤษก็เรียนไม่ผ่าน ไปสมัครงานที่ไหนๆก็ไม่มีใครรับกัน KFCเขาก็ไม่รับ • แจ็คหม่ามีแววช่างคิด(เจ้าปัญญา)เขาเชื่อใจตัวเองว่า:เขาสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ เขาปั่นจักรยานร่วมชั่วโมงไปในเมืองเป็นไกด์ จากที่เริ่มต้นพูดงูๆปลาๆจนพูดได้ดี ก็ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษจนจบได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้สมใจ • แจ็กหม่าเริ่มรู้จักอินเตอร์เน็ทตอนทำธุรกิจการแปลภาษา กับตอนที่เป็นล่ามที่อเมริกา • แจ็คหม่าข้องใจว่า ในอีเตอร์เน็ทต่างประเทศลงสินค้าจีนแต่ไม่มีตัวแทนจีนเอาไปลงเลย สินค้าจีนบางตัวก็ไม่มีลง ก็ทำให้แจ็คหม่ามีแรงบันดาลใจ กลับจีนจะไปผลักดันเรื่องนี้ พอกลับก็ไปผลักดันจนในที่สุดก็สร้าง “เว็บไซต์ E-commerce อาลีบาบา”ขึ้นมา เป็นตลาดซื้อขายระดับต่างๆ ผลให้แจ็กหม่าในปี 2018 มีทรัพย์สินราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของโลกในที่สุด – จากเด็กยากจนและเรียนไม่เก่ง แต่มีแววช่างคิดวิสัยทัศน์ไกลผลให้เติบโตสุดๆ! 9.2.2]คำวลี "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" นั่นคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จินตนาการหมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตที่สร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่าพอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกว่าหรือร้ายกาจกว่าสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป จินตนาการทำให้เกิดภาพขึ้นในสำนึกเรียกว่า “จินตภาพ” จินตภาพเหล่านี้เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน ปล.ภาค1 ยังไม่จบ ต่อภาค2 ก่อน เกี่ยวกับตั้งพรรคการเมือง
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์

    RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense”

    บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision)

    CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก

    RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics

    บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ

    ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ
    - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek
    - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision
    - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก
    - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ
    - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics
    - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE
    - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ
    - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย
    - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน
    - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต
    - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์ RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense” บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์

    เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ

    นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider:
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ
    - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS
    - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ

    แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware
    - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025
    - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง
    - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk
    - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration
    - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน
    - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ
    - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร
    - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย
    - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้
    - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก
    - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้
    - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด

    https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้วิธี SIM-swapping และ ransomware โจมตีบริษัทโทรคมนาคมและบันเทิง เช่น MGM Resorts และ Caesars Entertainment แต่ในปี 2025 พวกเขาขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีก (Marks & Spencer, Harrods) และสายการบิน (Hawaiian, Qantas) สร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ เทคนิคที่ใช้ล่าสุดคือการหลอกพนักงาน help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหาร เช่น วันเกิดและเลขประกันสังคม เพื่อรีเซ็ตอุปกรณ์และเข้าถึงบัญชีระดับสูง จากนั้นใช้สิทธิ์นั้นเจาะระบบ Entra ID (Azure AD), SharePoint, Horizon VDI และ VPN เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด เมื่อถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ไม่หนี แต่กลับโจมตีระบบอย่างเปิดเผย เช่น ลบกฎไฟร์วอลล์ของ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืนระบบ นักวิจัยจาก Rapid7 และ ReliaQuest พบว่า Scattered Spider: - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok และ Teleport เพื่อสร้างช่องทางลับ - ใช้ IAM role enumeration และ EC2 Serial Console เพื่อเจาะระบบ AWS - ใช้บัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮกเพื่อดึงข้อมูลจาก CyberArk password vault กว่า 1,400 รายการ แม้ Microsoft จะเข้ามาช่วยกู้คืนระบบได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกลุ่มแฮกเกอร์ที่ผสมผสาน “การหลอกมนุษย์” กับ “การเจาะระบบเทคนิค” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Scattered Spider เริ่มโจมตีตั้งแต่ปี 2022 โดยใช้ SIM-swapping และ ransomware - ขยายเป้าหมายไปยังอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบินในปี 2025 - ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริหารเพื่อหลอก help desk และเข้าถึงบัญชีระดับสูง - เจาะระบบ Entra ID, SharePoint, Horizon VDI, VPN และ CyberArk - ใช้เครื่องมือเช่น ngrok, Teleport, EC2 Serial Console และ IAM role enumeration - ลบกฎไฟร์วอลล์ Azure และปิด domain controller เพื่อขัดขวางการกู้คืน - Microsoft ต้องเข้ามาช่วยกู้คืนระบบ - Rapid7 และ ReliaQuest แนะนำให้ใช้ MFA แบบต้าน phishing และจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การหลอก help desk ด้วยข้อมูลส่วนตัวยังคงเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร - บัญชีผู้บริหารมักมีสิทธิ์มากเกินไป ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย - การใช้เครื่องมือ legitimate เช่น Teleport อาจหลบการตรวจจับได้ - หากไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์และพฤติกรรมผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ องค์กรอาจไม่รู้ตัวว่าถูกแฮก - การพึ่งพา endpoint detection เพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบแบบนี้ได้ - องค์กรควรฝึกอบรมพนักงานเรื่อง social engineering และมีระบบตรวจสอบการรีเซ็ตบัญชีที่เข้มงวด https://www.csoonline.com/article/4020567/anatomy-of-a-scattered-spider-attack-a-growing-ransomware-threat-evolves.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Anatomy of a Scattered Spider attack: A growing ransomware threat evolves
    The cybercriminal group has broadened its attack scope across several new industries, bringing valid credentials to bear on help desks before leveraging its new learnings of cloud intrusion tradecraft to set the stage for ransomware.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • แรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย เจอจับอ้างถูกรัฐบาลหลอกให้กลับบ้าน
    https://www.thai-tai.tv/news/20215/
    .
    #แรงงานต่างด้าว #ลักลอบเข้าเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #ปอยเปต #ปัญหาเศรษฐกิจ #รัฐบาลกัมพูชา #ค้ามนุษย์ #เว็บพนัน #เตือนภัยออนไลน์
    แรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย เจอจับอ้างถูกรัฐบาลหลอกให้กลับบ้าน https://www.thai-tai.tv/news/20215/ . #แรงงานต่างด้าว #ลักลอบเข้าเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #ปอยเปต #ปัญหาเศรษฐกิจ #รัฐบาลกัมพูชา #ค้ามนุษย์ #เว็บพนัน #เตือนภัยออนไลน์
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • ‘สม รังสี’แฉเหยื่อกว่า 120,000 คนในกัมพูชา ถูกขังใน 53 ตึก โดนบังคับใช้เป็นทาสมาเฟียจีน ชี้ "ฮุน เซน" หนุนหลัง
    https://www.thai-tai.tv/news/20214/
    .
    #สมรังสี #กัมพูชา #แรงงานทาส #ค้ามนุษย์ #แอมเนสตี้ #ฮุนเซน #มาเฟียจีน #อาชญากรรมข้ามชาติ #ไทยกัมพูชา #ความตึงเครียดชายแดน
    ‘สม รังสี’แฉเหยื่อกว่า 120,000 คนในกัมพูชา ถูกขังใน 53 ตึก โดนบังคับใช้เป็นทาสมาเฟียจีน ชี้ "ฮุน เซน" หนุนหลัง https://www.thai-tai.tv/news/20214/ . #สมรังสี #กัมพูชา #แรงงานทาส #ค้ามนุษย์ #แอมเนสตี้ #ฮุนเซน #มาเฟียจีน #อาชญากรรมข้ามชาติ #ไทยกัมพูชา #ความตึงเครียดชายแดน
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • ..อนาคตประเทศไทยจะเป็นที่พึ่งของใครหลายคน ที่ไม่ใช่คนไทย มีบัตรประชาชนคนไทย เขาทั้งหลายมากมายหนีทุกข์มาพึ่งประเทศไทยที่สงบสุข ,จริงๆคนไทยเราใจดีมาก เป็นที่พึ่งคนต่างถิ่นใดๆได้,อันตรายคือบางคนที่มาพึ่งพิงนั้นเป็นคนไม่ดี ทำลายทำร้ายคนให้พึ่งพิงอาศัย เนรคุณทรยศอกตัญญูก็ว่า,เหมือนเขมรในปัจจุบันที่ผู้นำเขมรเองแสดงความอกตัญญูเนรคุณทรยศแผ่นดินไทยที่ตนเองเคยหนีตายมาพึ่งพาอาศัยอยู่กิน.

    ..เด็กๆผู้บริสุทธิ์มากมายตลอดผู้ปกครองพ่อแม่เขา มีทุกข์เป็นอันมากปกติอยู่แล้วในการดำรงชีพ ยิ่งเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยอีกหรือตกหล่นประการใดก็ตามน่าเห็นใจมากที่สมควรได้รับการช่วยเหลือบนแผ่นดินไทยเรา,นี้ไง คนไทยเราต้องพ้นยากจนทุกๆคนทั้งหมดทันทีบนกลไกการปกครองที่ทำให้คนไทยมั่นคงในความยากจนนี้ต้องฉีกทิ้งกฎหมายผีบ้าต่างๆมากมายจริงที่ปล้นชิงแย่งชิงความร่ำรวยมั่งคั่งของคนไทยไปซึ่งส่วนใหญ่ถ่ายโอนไปสู่ชนชั้นนักการเมืองที่อยู่วงกลไกอำนาจรัฐทั้งสิ้นจะเจ้าสัวจะข้าราชการก็ตามมีหมดจนร่ำรวยผิดปกติจากการโกงกินทั้งเงินหลวงทั้งนอกเงินหลวงต่างๆที่ไม่สุจริตจนได้มาซึ่งทรัพย์สินมากมายมหาศาลอันผิดปกติพึ่งบุคคลควรมีได้,อำนาจรัฐจึงคือกลไกปัญหาหลักสำคัญที่สุดที่จะนำพาประชาชนทั้งประเทศร่ำรวยหรือยากจนดักดานจริงๆ,และเราสามารถยื่นโอกาสอันดีงามมากมายแก่คนที่เข้ามาบนแผ่นดินไทยให้เขามีชีวิตที่ดีงามผาสุขได้ เติบโตสร้างโลกให้สวยงามดีงามร่วมกันต่อไปได้,และอนาคตคนดีๆเหล่านี้ทำไมเราต้องปฏิเสธการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เกลียดชังเขาด้วย ตราบใดเป็นคนดีขึ้นชื่อว่าดีแน่นอน,และทุกๆคนหมายทำสิ่งดีๆทั้งสิ้น,เราจึงต้องกำจัดคนชั่วเลวมิให้รังแกคนดีๆ จนเป็นคนไม่ดีนั้นเอง,,เพราะเมื่อเขาเติบโตล้วนสามารถเลือกภูมิประเทศที่ต้องการอยู่อาศัยได้,จริงๆเจตจำนงเสรีมนุษย์สมควรเลือกประเทศที่ตนต้องการอยู่อาศัยได้อิสระเสรีในกรณีคนดีปกติที่มิใช่คนชั่วเลวหมายทำร้ายทำลายร่างกายหรือฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกัน,พร้อมเงินสัมมาชีวิตตนติดตัว เช่นคนไทยอยากย้ายไปอยู่จีน ด้วยบัตรสูติบัตรตนที่เกิดมาสามารถเบิกตังองค์กรสากลโลกที่มีตังประจำสูติบัตรตั้งค่าไว้ เช่นสูติบัตรใบเกิดทุกๆคนบนโลกตีมูลค่าเป็นตังได้ที่คนละ100,000,000เหรียญดอลล่าร์ตลอดชีพ,นับตามอายุเฉลี่ยที่ใช้ไปและเหลืออยู่ มนุษย์อายุเฉลี่ย100ปี,ก็ตกปีละ1ล้านเหรียญต่อปีต่อคน,คนไทยที่ย้ายภูมิประเทศไปอยู่จีนเม็ดเงินนี้ก็ย้ายไปด้วยและแปลงค่าเป็นสกุลหยวนทันทีด้วย,คือ1ดอลล่าร์เท่ากับ7หยวนก็7ล้านหยวนต่อปี,คนไทยคนนั้นต้องบริหารตังภายใน1ปีใช้ตามนั้นเอง ส่วนจะสร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้นก็ความสามารถใครมัน,ทุกๆชีวิตมนุษย์เราบนโลกจะถูกตีมูลค่าชีวิตใหม่ให้เหมาะสมตามรูปแบบการดำรงชีวิตของโลกนั้นๆแบบเรา ในที่นี้ใช้ตังเป็นกลไกขับเคลื่อนวิถีชีวิต,เราก็ต้องทำลักษณะนี้,อยู่ไปได้แค่5ปีขอย้ายกลับมาเป็นสัญชาติไทยแบบหลังเรียนจบที่จีน,ตัง1ล้านดอลล่าร์นั้นก็ย้ายตามสถานะชีวิตเรามาด้วยแปลงเป็นเงินไทยคือ1ดอลล่าร์เท่ากับ33บาท นั่นคือ33ล้านบาทต่อปีที่มีตังในบัญชีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตเบื้องต้นในประเทศไทยให้สุขภาพร่างกายในเนื้อกายมนุษย์โลกนี้ปกติดีก่อนตายจากไป,ตายไปก็เป็นสถานะ0บาททันทีก็ว่า,โลกเราสมควรรีเซ็ตครั้งใหม่ครั้งใหญ่จริงๆตีมูลค่าใหม่,เด็กๆมากมายตามพ่อแม่หนีภัยมาพึ่งพาแผ่นดินไทยนี้และมิใช่เข้ามาเพื่อฆ่าล้างทำร้ายทำลายชีวิตคนไทยแต่อย่างใดหรือมาเอารัดเอาเปรียบเหยียบย่ำคนไทยแต่อย่างใด แค่ต้องการมีชีวิตที่ปกติดีเท่านั้น ในคนสำนึกดีปกติพึ่งเป็น,โลกจึงสมควรถูกตั้งค่าใหม่จริงๆ ,deep stateไซออนิสต์ก็จะถูกรีเซ็ตลบทิ้งด้วยทันทีเช่นกันในระบบใหม่ เพราะทุกๆชีวิตมนุษย์เราจะมีเจตจำนงเสรีเขียนเป็นโค้ตสัมมาชีวิตใครมันไว้,เอเลี่ยนแรปทีเลี่ยนใส่ชุดมนุษย์ปลอมเป็นมนุษย์สร้างโคลนขึ้นมาก็ตามจะคัดกรองแยกย่อยออกได้หมดมีแต่ค่าจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่,และนั้นจะหมายความรวมถึง มนุษย์เราจะเคลื่อนย้ายสถานที่อยู่ตนเองได้อิสระเสรีตามเจตจำนงเจตนาตนมุ่งปราถนาไว้และอาจค้นหาตนเองตามระดับจิตระดับใจใครมันเองด้วยคือยกจิตยกใจตนเองเสรีไร้ใครขัดขวางบนโลกนี้อีกต่อไปเหมือนยุคเก่าอดีตหรือแบบปัจจุบันนี้,ใครมุ่งสิ่งใดก็อิสระที่จะทำตราบใดไม่ก้าวล่วงชีวิตคนอื่นมนุษย์คนอื่น ไม่ทำร้ายทำลายกัน ไม่ลักขโมยของกัน ไม่ฆ่ากัน,หรือผิดไปจากอารยะธรรมธรรมจักรวาลพื้นฐานที่ดีงามของการเป็นไปด้วยสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพใครมัน.

    ..ประเทศไทยเรา จึงสมควรพร้อมเราคนดีที่บริสุทธิ์เหล่านี้ในการช่วยเหลือคนเหล่านั้นเบื้องต้นจนกว่าเขาจะพ้นภัยในเวลาที่สมควร.

    ..การมีตังติดตัวตั้งแต่เกิดจึงสำคัญมาก,จริงๆมีอยู่แล้วแต่ฝ่ายมืดเอาไปทำแดกเอง.

    ..เราจึงต้องล้างระบบใหม่,ที่สะดวกที่สุดคือระบบควอนตัมตังดิจิดัลจริงๆนั้นล่ะ,จึงจะสามารถอัพเรเวลได้ดี,การทุจริตโกงกินแบบเดิมๆจะเหลือศูนย์เพราะรู้กระแสการไหลของตังไปมาย้อนหลังได้หมด เข้าใครออกใครผ่านมากี่คน ทุกๆธุรกรรมควอนตัมมันบันทึกรายละเอียดหมด,ซึ่งมีทองคำค้ำประกันยิ่งดี ต่างจากบิตคอนย์BTCไม่มีทองคำค้ำประกันเลย ไร้เสถียรภาพมั่นคงอะไรอีลิทจึงสร้างมันขึ้นมาปั่นไซออนิสต์จึงสร้างมันมาเพื่อฟอกตังทั่วโลก,ฝ่ายมืดหมายใช่btcควบคุมตังยุคใหม่นั้นเอง,แต่คงไปไม่รอดเพราะไร้ทองคำค้ำประกันและการปั่นราคานี้คือครั้งสุดท้ายก็ได้ก่อนดับอนาถในวงการคริปโตฯสกุลbtcและตัวอื่นๆที่ไม่มีทองคำค้ำประกัน ต่างจากบาทคอยน์อินทนนท์เรามีทองคำค้ำประกันนะ,ไม่ใช่ผีบ้าแบบตังดิจิดัลแจก10,000บาทผีบ้านั้นกูรูแฉเสียไส้แตกหมดเปลือกก็ว่าเอาคริปโตโทเคนโนเนมมาขายให้ไทยแลกเป็นบาทที่มีทองคำค้ำประกัน,กินส่วนต่างโกงค่าแลกเปลี่ยนอีก,ไม่ซื่อสัตย์ชัดเจน,

    ..ใบเกิดเราสูติบัตรเราจึงสมควรตีมูลค่ากันใหม่ ชาวโลกสมควรมีตังในบัญชีตังดิจิดัลทุกๆคนที่100ล้านเหรียญตลอดชีพในเบื้องต้น,จริงๆฝ่ายแสงที่เขามโนไว้ว่ามีทรัพย์สินเงินทองเพชรนิลจินดาแร่ธาตุของมีค่ามากมายสาระพัดที่ยึดมาจากฝ่ายมืดได้ตีมูลค่าโดยประมาณไว้นั้นคือ 1×10⁸⁰⁰ขั้นต่ำ,หรือ1×10¹⁰⁰⁰ ขั้นกลางๆที่ฝ่ายมืดปล้นชิงแอบซ่อนคือชาวโลก8,000ล้านคน หักแรปทีเลี่ยนใส่ชุดคนออก หักโคลนสร้างนอมินีแทนคนจริงๆหักหุ่นยนต์แปลงเป็นคน,หักปีศาจมารซาตานอสูรแปลงเป็นคนอาจเหลือจริงแค่3,000-4,000ล้านคน,ตุยตายจากวัคซีนโควิดmRNAอีกในอนาคต แก่เฒ่าชราตายก่อนเตียงmedbedsจะมาอีก สรุปอาจเหลือมนุษย์ผิวโลกจริงๆแค่1,500-2,000ล้านคนว่าเหลือมากที่สุดแล้วนะ,ไทยอาจเหลือแค่5-10ล้านคนในอนาคตอันใกล้ ข้างบ้านป่วยสะสม โรคสะสมตรึม ตลอดจัดงานศพติดๆกันก็ว่าแล้ว.,กรณีใช้ตังดิจิดัลแจกจ่ายจึงสะดวกรวดเร็วจริง,แต่ต้องฝ่ายดีฝ่ายแสงปกครองนะแบบสภากาแล็กติกจักรวาลช่วยควบคุมระบบก็ว่า.,เฉลี่ยต่อคนชาวโลก อาจมากกว่า1,000ล้านเหรียญต่อคนต่อตลอดชีพได้สบายๆมาก,ตังทั้งโลกที่ฝ่ายแสงยึดทรัพย์มาจากฝ่ายมืดใช้ไปอีกเป็นแสนๆปีก็ยังใช้ไม่หมด,แต่ถ้าเบื้องต้นที่คนละ100ล้านเหรียญต่อคนต่อตลอดชีพถึงว่าทดลองเบิกจ่ายไปก่อนสามารถวิจัยประเมินผลติดตามค่าลยค่าบวกได้,ซึ่งอนาคตbricsอาจให้ประเทศสมาขิกใช้สกุลเงินbricsดิจิดัลนำร่องและใช้ในอัตรา1ต่อ1(1:1) 1บาทไทยต่อ1หยวนจีน นั้นเอง,ทำเป็นมาตรฐานสากล,จากนั้นตัง100ล้านเหรียญนี้ต่อคนต่อตลอดชีพจะตีมูลค่าที่100ล้านบาทเสมอกันกับ100ล้านหยวนนั้นเอง,
    ..บางคนอาจว่าคนไทยเราได้น้อยเมื่อเทียบทรัพยากรมีค่ามากมายของชาติไทยเราจริงที่เฉลี่ยต่อคนอาจมากถึง400ถึง800ล้านบาทต่อคนต่อตลอดชีพ,แต่นี้คือค่าประเมินเบื้องต้นจากมากกว่าคนละ1,000ล้านเหรียญที่ตีค่าไว้,ซึ่งอนาคตเมื่อชาวโลกเราอัพเรเวลสู่มิติ5Dเบื้องต้นหรือบรรลุธรรมจักรวาล ตังอาจไร้ค่าทันทีก็ว่า,สภาวะจิตวิญญาณใครมันสุดยอดแล้วนั้นเอง.

    ..เวลามนุษย์โลกชาวโลกคนใดจะย้ายไปอยู่ประเทศไหนๆสถานะการเงินจะย้ายไปทันทีด้วย,ประเทศนั้นๆจะมีตังบริหารจัดการชาติทันทีเพื่อช่วยดูแลชีวิตมนุษย์ทันนั้นๆรับเพิ่มทันทีที่1ล้านเหรียญต่อปีเช่นกัน,แยกต่างหากจากตังส่วนตัวของบุคคลนั้นๆที่ย้ายไปอยู่เพื่อแบ่งเบาภาวะทรัพยากรที่ประเทศนั้นๆเตรียมพร้อมรองรับในการใช้ชีวิตของมนุษย์โลกเราคนนั้นก็ว่า, ตัวอย่างคือ ประเทศไทยเรามีประชากร66ล้านคนก็66ล้านเหรียญในบัญชีตังดิจิดัลต่อคนต่อปีในการใช้จ่ายในชีวิต ส่วนรัฐบาลก็จะได้ทันทีแยกต่างหากเป็นสาธารณะแก่รัฐนั้นๆที่66ล้านเหรียญต่อคนต่อปีเช่นกัน,มีคนชาวโลกจากประเทศอื่นย้ายเข้ามาอยู่อาศันบนแผ่นดินไทยสัก20ล้านคนก็รับเพิ่มอีก20ล้านเหรียญให้แก่รัฐประเทศนั้นๆ,ปีต่อไปมีคนย้ายออกจากประเทศไทยที่50ล้านคน ,ผลคือ50ล้านเหรียญนี้จะย้ายตามคนนั้นๆไปจ่ายให้รัฐบาลประเทศอื่นนั้นๆเป็นสาธารณะให้รัฐบาลนั้นบริหารจัดการก็ว่าแทนที่เดิม,นี้ตังติดบุคคลช่วยลดภาระการไปอยู่บ้านเมืองอื่นที่ต้องการ,เด็กๆหรือบุคคลใดๆเข้ามาประเทศไทยเราแบบลักษณะคลิปนี้ เราสามารถดูแลชีวิตเขาได้เต็มที่ ตลอดเขาเองก็มีตังติดตัวมหาศาลไม่น้อย,เราจึงสามารถจรรโลงสร้างสรรค์โลกให้สวยงามดีงามสงบสุขสันติร่วมกันของทุกๆคนชาวโลกได้.
    ..
    ..https://youtube.com/shorts/Fv4asOidqg4?si=mwct5bmVmjBY47QJ
    ..อนาคตประเทศไทยจะเป็นที่พึ่งของใครหลายคน ที่ไม่ใช่คนไทย มีบัตรประชาชนคนไทย เขาทั้งหลายมากมายหนีทุกข์มาพึ่งประเทศไทยที่สงบสุข ,จริงๆคนไทยเราใจดีมาก เป็นที่พึ่งคนต่างถิ่นใดๆได้,อันตรายคือบางคนที่มาพึ่งพิงนั้นเป็นคนไม่ดี ทำลายทำร้ายคนให้พึ่งพิงอาศัย เนรคุณทรยศอกตัญญูก็ว่า,เหมือนเขมรในปัจจุบันที่ผู้นำเขมรเองแสดงความอกตัญญูเนรคุณทรยศแผ่นดินไทยที่ตนเองเคยหนีตายมาพึ่งพาอาศัยอยู่กิน. ..เด็กๆผู้บริสุทธิ์มากมายตลอดผู้ปกครองพ่อแม่เขา มีทุกข์เป็นอันมากปกติอยู่แล้วในการดำรงชีพ ยิ่งเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยอีกหรือตกหล่นประการใดก็ตามน่าเห็นใจมากที่สมควรได้รับการช่วยเหลือบนแผ่นดินไทยเรา,นี้ไง คนไทยเราต้องพ้นยากจนทุกๆคนทั้งหมดทันทีบนกลไกการปกครองที่ทำให้คนไทยมั่นคงในความยากจนนี้ต้องฉีกทิ้งกฎหมายผีบ้าต่างๆมากมายจริงที่ปล้นชิงแย่งชิงความร่ำรวยมั่งคั่งของคนไทยไปซึ่งส่วนใหญ่ถ่ายโอนไปสู่ชนชั้นนักการเมืองที่อยู่วงกลไกอำนาจรัฐทั้งสิ้นจะเจ้าสัวจะข้าราชการก็ตามมีหมดจนร่ำรวยผิดปกติจากการโกงกินทั้งเงินหลวงทั้งนอกเงินหลวงต่างๆที่ไม่สุจริตจนได้มาซึ่งทรัพย์สินมากมายมหาศาลอันผิดปกติพึ่งบุคคลควรมีได้,อำนาจรัฐจึงคือกลไกปัญหาหลักสำคัญที่สุดที่จะนำพาประชาชนทั้งประเทศร่ำรวยหรือยากจนดักดานจริงๆ,และเราสามารถยื่นโอกาสอันดีงามมากมายแก่คนที่เข้ามาบนแผ่นดินไทยให้เขามีชีวิตที่ดีงามผาสุขได้ เติบโตสร้างโลกให้สวยงามดีงามร่วมกันต่อไปได้,และอนาคตคนดีๆเหล่านี้ทำไมเราต้องปฏิเสธการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เกลียดชังเขาด้วย ตราบใดเป็นคนดีขึ้นชื่อว่าดีแน่นอน,และทุกๆคนหมายทำสิ่งดีๆทั้งสิ้น,เราจึงต้องกำจัดคนชั่วเลวมิให้รังแกคนดีๆ จนเป็นคนไม่ดีนั้นเอง,,เพราะเมื่อเขาเติบโตล้วนสามารถเลือกภูมิประเทศที่ต้องการอยู่อาศัยได้,จริงๆเจตจำนงเสรีมนุษย์สมควรเลือกประเทศที่ตนต้องการอยู่อาศัยได้อิสระเสรีในกรณีคนดีปกติที่มิใช่คนชั่วเลวหมายทำร้ายทำลายร่างกายหรือฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกัน,พร้อมเงินสัมมาชีวิตตนติดตัว เช่นคนไทยอยากย้ายไปอยู่จีน ด้วยบัตรสูติบัตรตนที่เกิดมาสามารถเบิกตังองค์กรสากลโลกที่มีตังประจำสูติบัตรตั้งค่าไว้ เช่นสูติบัตรใบเกิดทุกๆคนบนโลกตีมูลค่าเป็นตังได้ที่คนละ100,000,000เหรียญดอลล่าร์ตลอดชีพ,นับตามอายุเฉลี่ยที่ใช้ไปและเหลืออยู่ มนุษย์อายุเฉลี่ย100ปี,ก็ตกปีละ1ล้านเหรียญต่อปีต่อคน,คนไทยที่ย้ายภูมิประเทศไปอยู่จีนเม็ดเงินนี้ก็ย้ายไปด้วยและแปลงค่าเป็นสกุลหยวนทันทีด้วย,คือ1ดอลล่าร์เท่ากับ7หยวนก็7ล้านหยวนต่อปี,คนไทยคนนั้นต้องบริหารตังภายใน1ปีใช้ตามนั้นเอง ส่วนจะสร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้นก็ความสามารถใครมัน,ทุกๆชีวิตมนุษย์เราบนโลกจะถูกตีมูลค่าชีวิตใหม่ให้เหมาะสมตามรูปแบบการดำรงชีวิตของโลกนั้นๆแบบเรา ในที่นี้ใช้ตังเป็นกลไกขับเคลื่อนวิถีชีวิต,เราก็ต้องทำลักษณะนี้,อยู่ไปได้แค่5ปีขอย้ายกลับมาเป็นสัญชาติไทยแบบหลังเรียนจบที่จีน,ตัง1ล้านดอลล่าร์นั้นก็ย้ายตามสถานะชีวิตเรามาด้วยแปลงเป็นเงินไทยคือ1ดอลล่าร์เท่ากับ33บาท นั่นคือ33ล้านบาทต่อปีที่มีตังในบัญชีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตเบื้องต้นในประเทศไทยให้สุขภาพร่างกายในเนื้อกายมนุษย์โลกนี้ปกติดีก่อนตายจากไป,ตายไปก็เป็นสถานะ0บาททันทีก็ว่า,โลกเราสมควรรีเซ็ตครั้งใหม่ครั้งใหญ่จริงๆตีมูลค่าใหม่,เด็กๆมากมายตามพ่อแม่หนีภัยมาพึ่งพาแผ่นดินไทยนี้และมิใช่เข้ามาเพื่อฆ่าล้างทำร้ายทำลายชีวิตคนไทยแต่อย่างใดหรือมาเอารัดเอาเปรียบเหยียบย่ำคนไทยแต่อย่างใด แค่ต้องการมีชีวิตที่ปกติดีเท่านั้น ในคนสำนึกดีปกติพึ่งเป็น,โลกจึงสมควรถูกตั้งค่าใหม่จริงๆ ,deep stateไซออนิสต์ก็จะถูกรีเซ็ตลบทิ้งด้วยทันทีเช่นกันในระบบใหม่ เพราะทุกๆชีวิตมนุษย์เราจะมีเจตจำนงเสรีเขียนเป็นโค้ตสัมมาชีวิตใครมันไว้,เอเลี่ยนแรปทีเลี่ยนใส่ชุดมนุษย์ปลอมเป็นมนุษย์สร้างโคลนขึ้นมาก็ตามจะคัดกรองแยกย่อยออกได้หมดมีแต่ค่าจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่,และนั้นจะหมายความรวมถึง มนุษย์เราจะเคลื่อนย้ายสถานที่อยู่ตนเองได้อิสระเสรีตามเจตจำนงเจตนาตนมุ่งปราถนาไว้และอาจค้นหาตนเองตามระดับจิตระดับใจใครมันเองด้วยคือยกจิตยกใจตนเองเสรีไร้ใครขัดขวางบนโลกนี้อีกต่อไปเหมือนยุคเก่าอดีตหรือแบบปัจจุบันนี้,ใครมุ่งสิ่งใดก็อิสระที่จะทำตราบใดไม่ก้าวล่วงชีวิตคนอื่นมนุษย์คนอื่น ไม่ทำร้ายทำลายกัน ไม่ลักขโมยของกัน ไม่ฆ่ากัน,หรือผิดไปจากอารยะธรรมธรรมจักรวาลพื้นฐานที่ดีงามของการเป็นไปด้วยสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพใครมัน. ..ประเทศไทยเรา จึงสมควรพร้อมเราคนดีที่บริสุทธิ์เหล่านี้ในการช่วยเหลือคนเหล่านั้นเบื้องต้นจนกว่าเขาจะพ้นภัยในเวลาที่สมควร. ..การมีตังติดตัวตั้งแต่เกิดจึงสำคัญมาก,จริงๆมีอยู่แล้วแต่ฝ่ายมืดเอาไปทำแดกเอง. ..เราจึงต้องล้างระบบใหม่,ที่สะดวกที่สุดคือระบบควอนตัมตังดิจิดัลจริงๆนั้นล่ะ,จึงจะสามารถอัพเรเวลได้ดี,การทุจริตโกงกินแบบเดิมๆจะเหลือศูนย์เพราะรู้กระแสการไหลของตังไปมาย้อนหลังได้หมด เข้าใครออกใครผ่านมากี่คน ทุกๆธุรกรรมควอนตัมมันบันทึกรายละเอียดหมด,ซึ่งมีทองคำค้ำประกันยิ่งดี ต่างจากบิตคอนย์BTCไม่มีทองคำค้ำประกันเลย ไร้เสถียรภาพมั่นคงอะไรอีลิทจึงสร้างมันขึ้นมาปั่นไซออนิสต์จึงสร้างมันมาเพื่อฟอกตังทั่วโลก,ฝ่ายมืดหมายใช่btcควบคุมตังยุคใหม่นั้นเอง,แต่คงไปไม่รอดเพราะไร้ทองคำค้ำประกันและการปั่นราคานี้คือครั้งสุดท้ายก็ได้ก่อนดับอนาถในวงการคริปโตฯสกุลbtcและตัวอื่นๆที่ไม่มีทองคำค้ำประกัน ต่างจากบาทคอยน์อินทนนท์เรามีทองคำค้ำประกันนะ,ไม่ใช่ผีบ้าแบบตังดิจิดัลแจก10,000บาทผีบ้านั้นกูรูแฉเสียไส้แตกหมดเปลือกก็ว่าเอาคริปโตโทเคนโนเนมมาขายให้ไทยแลกเป็นบาทที่มีทองคำค้ำประกัน,กินส่วนต่างโกงค่าแลกเปลี่ยนอีก,ไม่ซื่อสัตย์ชัดเจน, ..ใบเกิดเราสูติบัตรเราจึงสมควรตีมูลค่ากันใหม่ ชาวโลกสมควรมีตังในบัญชีตังดิจิดัลทุกๆคนที่100ล้านเหรียญตลอดชีพในเบื้องต้น,จริงๆฝ่ายแสงที่เขามโนไว้ว่ามีทรัพย์สินเงินทองเพชรนิลจินดาแร่ธาตุของมีค่ามากมายสาระพัดที่ยึดมาจากฝ่ายมืดได้ตีมูลค่าโดยประมาณไว้นั้นคือ 1×10⁸⁰⁰ขั้นต่ำ,หรือ1×10¹⁰⁰⁰ ขั้นกลางๆที่ฝ่ายมืดปล้นชิงแอบซ่อนคือชาวโลก8,000ล้านคน หักแรปทีเลี่ยนใส่ชุดคนออก หักโคลนสร้างนอมินีแทนคนจริงๆหักหุ่นยนต์แปลงเป็นคน,หักปีศาจมารซาตานอสูรแปลงเป็นคนอาจเหลือจริงแค่3,000-4,000ล้านคน,ตุยตายจากวัคซีนโควิดmRNAอีกในอนาคต แก่เฒ่าชราตายก่อนเตียงmedbedsจะมาอีก สรุปอาจเหลือมนุษย์ผิวโลกจริงๆแค่1,500-2,000ล้านคนว่าเหลือมากที่สุดแล้วนะ,ไทยอาจเหลือแค่5-10ล้านคนในอนาคตอันใกล้ ข้างบ้านป่วยสะสม โรคสะสมตรึม ตลอดจัดงานศพติดๆกันก็ว่าแล้ว.,กรณีใช้ตังดิจิดัลแจกจ่ายจึงสะดวกรวดเร็วจริง,แต่ต้องฝ่ายดีฝ่ายแสงปกครองนะแบบสภากาแล็กติกจักรวาลช่วยควบคุมระบบก็ว่า.,เฉลี่ยต่อคนชาวโลก อาจมากกว่า1,000ล้านเหรียญต่อคนต่อตลอดชีพได้สบายๆมาก,ตังทั้งโลกที่ฝ่ายแสงยึดทรัพย์มาจากฝ่ายมืดใช้ไปอีกเป็นแสนๆปีก็ยังใช้ไม่หมด,แต่ถ้าเบื้องต้นที่คนละ100ล้านเหรียญต่อคนต่อตลอดชีพถึงว่าทดลองเบิกจ่ายไปก่อนสามารถวิจัยประเมินผลติดตามค่าลยค่าบวกได้,ซึ่งอนาคตbricsอาจให้ประเทศสมาขิกใช้สกุลเงินbricsดิจิดัลนำร่องและใช้ในอัตรา1ต่อ1(1:1) 1บาทไทยต่อ1หยวนจีน นั้นเอง,ทำเป็นมาตรฐานสากล,จากนั้นตัง100ล้านเหรียญนี้ต่อคนต่อตลอดชีพจะตีมูลค่าที่100ล้านบาทเสมอกันกับ100ล้านหยวนนั้นเอง, ..บางคนอาจว่าคนไทยเราได้น้อยเมื่อเทียบทรัพยากรมีค่ามากมายของชาติไทยเราจริงที่เฉลี่ยต่อคนอาจมากถึง400ถึง800ล้านบาทต่อคนต่อตลอดชีพ,แต่นี้คือค่าประเมินเบื้องต้นจากมากกว่าคนละ1,000ล้านเหรียญที่ตีค่าไว้,ซึ่งอนาคตเมื่อชาวโลกเราอัพเรเวลสู่มิติ5Dเบื้องต้นหรือบรรลุธรรมจักรวาล ตังอาจไร้ค่าทันทีก็ว่า,สภาวะจิตวิญญาณใครมันสุดยอดแล้วนั้นเอง. ..เวลามนุษย์โลกชาวโลกคนใดจะย้ายไปอยู่ประเทศไหนๆสถานะการเงินจะย้ายไปทันทีด้วย,ประเทศนั้นๆจะมีตังบริหารจัดการชาติทันทีเพื่อช่วยดูแลชีวิตมนุษย์ทันนั้นๆรับเพิ่มทันทีที่1ล้านเหรียญต่อปีเช่นกัน,แยกต่างหากจากตังส่วนตัวของบุคคลนั้นๆที่ย้ายไปอยู่เพื่อแบ่งเบาภาวะทรัพยากรที่ประเทศนั้นๆเตรียมพร้อมรองรับในการใช้ชีวิตของมนุษย์โลกเราคนนั้นก็ว่า, ตัวอย่างคือ ประเทศไทยเรามีประชากร66ล้านคนก็66ล้านเหรียญในบัญชีตังดิจิดัลต่อคนต่อปีในการใช้จ่ายในชีวิต ส่วนรัฐบาลก็จะได้ทันทีแยกต่างหากเป็นสาธารณะแก่รัฐนั้นๆที่66ล้านเหรียญต่อคนต่อปีเช่นกัน,มีคนชาวโลกจากประเทศอื่นย้ายเข้ามาอยู่อาศันบนแผ่นดินไทยสัก20ล้านคนก็รับเพิ่มอีก20ล้านเหรียญให้แก่รัฐประเทศนั้นๆ,ปีต่อไปมีคนย้ายออกจากประเทศไทยที่50ล้านคน ,ผลคือ50ล้านเหรียญนี้จะย้ายตามคนนั้นๆไปจ่ายให้รัฐบาลประเทศอื่นนั้นๆเป็นสาธารณะให้รัฐบาลนั้นบริหารจัดการก็ว่าแทนที่เดิม,นี้ตังติดบุคคลช่วยลดภาระการไปอยู่บ้านเมืองอื่นที่ต้องการ,เด็กๆหรือบุคคลใดๆเข้ามาประเทศไทยเราแบบลักษณะคลิปนี้ เราสามารถดูแลชีวิตเขาได้เต็มที่ ตลอดเขาเองก็มีตังติดตัวมหาศาลไม่น้อย,เราจึงสามารถจรรโลงสร้างสรรค์โลกให้สวยงามดีงามสงบสุขสันติร่วมกันของทุกๆคนชาวโลกได้. .. ..https://youtube.com/shorts/Fv4asOidqg4?si=mwct5bmVmjBY47QJ
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ
    ดอกมะลิไทย, มะลิลา (Jasminum sambac) เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญอย่างมากในทางพุทธศาสนา ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์และความบริสุทธิ์ ความเห็นอกเห็นใจและการแสดงความเมตตาต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ บทบาทของดอกมะลิในทางพุทธศาสนาคือการฝึกสมาธิและแสดงความบริสุทธิ์จากใจทุกคำพูดและการกระทำ ในความเชื่อทางพุทธศาสนา กลิ่นที่หอมของดอกมะลิสามารถยกระดับจิตใจ จิตวิญญาณ และกลิ่นหอมที่เหมือนกับเครื่องเตือนให้ใจมนุษย์เราคิดดีและกระทำความดีอยู่เสมอ
    ดอกไม้สำคัญในศาสนาพุทธ : สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิญญาณ ดอกมะลิไทย, มะลิลา (Jasminum sambac) เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญอย่างมากในทางพุทธศาสนา ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์และความบริสุทธิ์ ความเห็นอกเห็นใจและการแสดงความเมตตาต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ บทบาทของดอกมะลิในทางพุทธศาสนาคือการฝึกสมาธิและแสดงความบริสุทธิ์จากใจทุกคำพูดและการกระทำ ในความเชื่อทางพุทธศาสนา กลิ่นที่หอมของดอกมะลิสามารถยกระดับจิตใจ จิตวิญญาณ และกลิ่นหอมที่เหมือนกับเครื่องเตือนให้ใจมนุษย์เราคิดดีและกระทำความดีอยู่เสมอ
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม

    Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ

    Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น:
    - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้
    - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้
    - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC

    แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

    Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์:
    - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม)
    - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple

    Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น”

    ข้อมูลจากข่าว
    - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป
    - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
    - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake
    - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training
    - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน
    - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่
    - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร
    - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร
    - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration
    - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    Intel ยอมรับ “สายเกินไป” ที่จะไล่ทัน AI – จากผู้นำกลายเป็นผู้ตาม Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ของ Intel กล่าวในวงประชุมพนักงานทั่วโลกว่า “เมื่อ 20–30 ปีก่อน เราคือผู้นำ แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป เราไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแล้ว” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทที่เคยครองตลาด CPU อย่างเบ็ดเสร็จ Intel พยายามปรับตัวหลายด้าน เช่น: - สร้างสถาปัตยกรรม hybrid แบบ big.LITTLE เหมือน ARM แต่ไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก AMD ได้ - เปิดตัว GPU ที่ล่าช้าและไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ - Outsource การผลิตชิปบางส่วนไปยัง TSMC ตั้งแต่ปี 2023 โดยล่าสุดในปี 2025 มีถึง 30% ของการผลิตที่ทำโดย TSMC แม้จะลงทุนมหาศาลใน R&D แต่ Intel ก็ยังขาดความเร็วและความเฉียบคมในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ Nvidia ครองอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ Intel จึงวางแผนเปลี่ยนกลยุทธ์: - หันไปเน้น edge AI และ agentic AI (AI ที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม) - ลดขนาดองค์กรและปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยน Intel เป็นบริษัท fabless แบบ AMD และ Apple Tan ยอมรับว่า “การฝึกโมเดล AI สำหรับ training ใน data center เรามาช้าเกินไป” แต่ยังมีความหวังใน edge AI และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ “ถ่อมตัวและฟังตลาดมากขึ้น” ✅ ข้อมูลจากข่าว - CEO Intel ยอมรับว่าไม่ติดอันดับ 10 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกต่อไป - Intel พยายามปรับตัวด้วย hybrid architecture และ GPU แต่ไม่ประสบความสำเร็จ - มีการ outsource การผลิตชิปไปยัง TSMC มากขึ้น โดยเฉพาะใน Meteor Lake และ Lunar Lake - Intel ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI โดยเฉพาะด้าน training - บริษัทปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกเพื่อลดต้นทุน - วางแผนเน้น edge AI และ agentic AI เป็นกลยุทธ์ใหม่ - อาจแยกธุรกิจ foundry ออกเป็นบริษัทลูก และเปลี่ยนเป็น fabless company ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การยอมรับว่า “สายเกินไป” ในตลาด AI อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตร - การปลดพนักงานจำนวนมากอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและนวัตกรรมภายในองค์กร - การพึ่งพา TSMC ในการผลิตชิปอาจทำให้ Intel เสียความได้เปรียบด้าน vertical integration - การเปลี่ยนเป็นบริษัท fabless ต้องใช้เวลาและอาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain - Edge AI ยังเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน และต้องแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-ceo-says-its-too-late-for-them-to-catch-up-with-ai-competition-claims-intel-has-fallen-out-of-the-top-10-semiconductor-companies-as-the-firm-lays-off-thousands-across-the-world
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456”

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา

    Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย

    Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม

    ข้อมูลจากข่าว
    - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai
    - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456”
    - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด
    - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน
    - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ
    - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม
    - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย
    - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
    - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี
    - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว
    - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test)
    - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456” ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม ✅ ข้อมูลจากข่าว - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test) - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    McDonald's AI hiring chatbot exposed data of 64 million applicants with "123456" password
    Security researcher Ian Carroll successfully logged into an administrative account for Paradox.ai, the company that built McDonald's AI job interviewer, using "123456" as both a username and...
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ..อนาคตห้ามโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทใดๆ ค้าขาย ทำกำไรจากส่วนต่างใดๆหรือดอกเบี้ยที่งอกผลออกมาจากเครดิตคาร์บอน,ห้ามซื้อขายเครดิตคาร์บอนโดยอ้างว่ามาชดเชยสิ่งที่กิจการตนบริษัทตนโรงงานตนปล่อยคาร์บอนออกมา โดยในความเป็นจริงตนบริษัทตน โรงงานตนไม่ได้ปลูกป่าปลูกต้นไม้จริงเพื่อสร้างเครดิตคาร์บอนจริงทางตรงใดๆได้เลย,ห้ามมีธนาคารปล่อยกู้เครดิตคาร์บอน,ห้ามมีการบริษัทกิจการใดๆนำคาร์บอนมาโดยตนเองมิได้มีแหล่งคาร์บอนจริงหรือเป็นที่มาของคาร์บอนเครดิต,โรงงานกิจการใดๆหากปล่อยคาร์บอนเครดิต 1หน่วย ต้องปลูกคาร์บอนเครดิตจริง1หน่วยทดแทนมิใช่ซื้อมาจากแหล่งอื่นมาอ้างชดเชยการปล่อยคาร์บอนออกไปทุกๆกรณี,รัฐมีหน้าที่ควบคุมโรงงานบริษัททั้งหมดภายในประเทศไทยในการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนและสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้ทุกๆกรณี เช่นพักบริษัทกิจการนั้นๆโรงงานนั้นๆได้ พักใบอนุญาตหรือถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้ในทันที,หากไม่พร้อมปลูกชดเชยจริงของการมีอยู่จริงซึ่งสถานะคาร์บอนเครดิตนั้น,ไม่สามารถตัดตอน ไม่สามารถผักชีโรยหน้าซื้อมาจากแหล่งอื่นเพื่ออ้างว่ามีสิทธิชดเชยคาร์บอนเครดิตได้เพื่อสะดวกต่อการค้าการผลิตการทำกำไรทำรายได้ทำตังของกิจการตนให้ปกติเหมือนเดิมต่อไปเสมือนว่าตนเองปลูกแหล่งให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตนั้น,จะกระทำมิได้ต้องปลูกจริงชดเชยสถานเดียว,ก่อนจะสร้างโรงงานใดๆผู้ประกอบการต้องประเมินการปลดปล่อยอากาศพิษนี้ต่อโลกต่อมนุษย์แม้คาร์บอนดีต่อต้นไม้ในรูปCO2แต่นัยยะคาร์บอนมากผิดปกติย่อมส่งผลไม่ดีต่อชั้นบรรยากาศโลกแม้ไม่รวมทฤษฎีสมคบคิดHAARPด้วยก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความว่าผิดของภาวะโลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติแต่แท้จริงเกิดจากเครื่องมือHAARPนั้นเองก็ตาม,กิจการโรงงานใดๆห้ามซื้อขายคาร์บอนเครดิตทุกๆกรณี,บริษัทใดๆห้ามค้าขายคาร์บอนเครดิตหรือซื้อเก็งกำไรคาร์บอนเครดิต,หรือมีเพื่อค้าขายเพื่อปล่อยกู้ปล่อยเช่าปล่อยช่วง,คือหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทกิจการนั้นๆและถ้าทำโรงงานแล้วมีส่วนทางตรงในการปลดปล่อยคาร์บอนก็มีหน้าที่ทางตรงต้องปลูกแหล่งที่มาจริงของคาร์บอนเครดิตประกอบการเปิดกิจการด้วยซึ่งประเมินผลรับรู้ล่วงหน้าคราวๆได้แล้วแน่นอนก่อนยื่นดำเนินกิจการหรือขยายกิจการนั้นๆ,ภาระนี้ประขาชนมิต้องรับผิดชอบมาปลูกเพื่อขายคาร์บอนเครดิตแก่โรงงานกิจการใดๆให้โรงงานเป็นข้ออ้างว่าชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยไปนั้นโดยที่ความเป็นจริงเนื้อแท้ตนไม่สามารถปลูกคาร์บอนให้ครบเกณฑ์ที่รัฐกำหนดเลยก่อนเปิดกิจการดำเนินงาน,รัฐบาลไม่มีหน้าที่จัดหาคาร์บอนเครดิตให้เอกชนใดๆให้มีครบตามเงื่อนไขก่อนดำเนินกิจการนั้นๆ.,อยากสร้างกิจการโรงงานบริษัทต้องปลูกคาร์บอนอย่างเดียว,และทำตามที่มี ขยายโรงงานตามความสามารถที่มีคาร์บอนเครดิตในมือ,มิใช่ซื้อมาหรืออ้างเกษตรกรรมปลูกคาร์บอนเครดิตขายให้ตนเพื่อหลบเลี่ยงความเป็นจริงที่ตนไม่ได้ปลูกมันเลย,รัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดและยิ่งสร้างโรงงานที่ส่งผลกระทบจริงในการปลดปล่อยคาร์บอนยิ่งต้องกำกับควบคุมการปลูกต้นไม้ที่สร้างคาร์บอนเครดิตสร้างออกซิเจนทดแทนจริง,จริงๆต้องบอกว่า ออกซิเจนเครดิต,เพราะมนุษย์ไม่สามารถใช้CO2หายใจได้,แต่ใช้O2หายใจและO2นี้จะผลักดันคาร์บอนหรือแก๊สพิษส่วนเกินออกจากโลกได้,เมื่อมีปริมาณมากเพียงพอ,โดยมีต้นไม้เป็นผู้ผลิตO2ต่อมนุษย์จริงอีกส่วน แม้O2ส่วนใหญ่มาจากแกนใจกลางโลกก็ตาม,ที่ซึมออกขึ้นมาสู่ผิวเปลือกโลก.,การบิดเบือนวลีนี้วาทะกรรมนี้ก็ถือว่าชั่วเลวให้ประชาชนหลงในความเท็จ,ประชาชนผีบ้าอะไรจะผลิตคาร์บอนมาชดเชยคาร์บอนที่กิจการบริษัทหรือโรงงานนั้นๆปลดปล่อยออกมา,เราปลูกเพื่อผลิตO2ไปจับกับCคาร์บอนที่มันปล่อยมาต่างหากจึงสมควรประกาศบอกประชาชนว่า ออกซิเจนเครดิตจึงจะถูก,co2จำเป็นต่อต้นไม้ด้วย,ห้ามมีโรงงานดูดco2ในเอเชียในอาเชียนในประเทศไทยเด็ดขาด,แม้ดีต่อภาคอุตสาหกรรมในกระบวนการผลิตที่ใข้co2สร้างผลผลิตโรงงานกิจการบริษัท แต่นี้ถือว่าปล้นชิงอาหารกับต้นไม้ทั่วโลกพืชทั่วโลกชัดเจนด้วย,ตลอดคือภัยคุกคามร้ายแรงต่อการทำลายO2ของโลกเราทำลายออกซิเจนของคนทั้งโลกที่ใช้มันหายใจ,ดักจับตัดตอนฆ่าพืขฆ่าต้นไม้ผู้ผลิตออกซิเจนให้เราชัดเจนด้วย,นี้จึงเป็นนัยยะค้าประโยชน์ทางอ้อมก็ด้วย ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ในคราวเดียวก็ด้วย หากสร้างเครื่องมือใช้ผ่านโรงงานต่างๆตั้งกลางป่าดักดูดดักจับคาร์บอนในป่าก็ได้อีกเพื่อเอาco2ไปใช้ทางอุตสาหกรรมทำกำไรงามมหาศาลเมื่อในต่างประเทศทั่วโลกทำได้แล้ว.
    ..พรบ.คาร์บอนเครดิตตีตราออกมาผืดประเภทผิดวัตถุประสงค์มุ่งเป้าหมายที่แท้จริง,ต้องมุ่งไปที่กิจการบริษัทและโรงงานทั้งหมดที่ดำเนินเดินเครื่องเปิดกิจการในประเทศไทย มิใช่ใช้ควบคุมพฤติกรรมกิจการประชาชนหรือเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนทางตรงและทางอ้อมผ่าน พรบ.นี้,นายทุนกิจการบริษัทเตรียมครอบงำเครดิตคาร์บอนแล้ว ปล่อยกู้ก็ใช้เครดิตคาร์บอนร่วมพิจารณาปล่อยวงเงินกู้,ซื้อผลผลิตเกษตรกรก็อ้างเครดิตคาร์บอนในการรับซื้อการกำหนดราคาพืชผลการเกษตรกรรม,นี้คือกลอุบายควบคุมประชาชนคนไทยชัดเจนอีกมิติหนึ่งของdeep stateข้ามโลกปกครองไทยจนสามารถชี้นำสั่งการให้ออกกฎหมายให้เขียนกฎหมายให้ผ่านร่างกฎหมายพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ตลอดควบคุมสื่อหลักบิดเบือนความจริงโหนกระแสภัยธรรมชาติ ปั่นป่วนสร้างข่าว ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อหน้าประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก,ประเทศไทยเราต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มิใช่เลวชั่วเช่นในอดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน.
    ..นายกฯพระราชทานคือหนทางเดียว
    ..ปฏิวัติคือทางออก.,เพราะต้องกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งชั่วเลวสกปรกครัังใหญ่ให้สะอาดเสียที.
    ..
    ..https://youtube.com/shorts/XiX_yDO19lA?si=P_ihzFn4-ldglndW
    ..อนาคตห้ามโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริษัทใดๆ ค้าขาย ทำกำไรจากส่วนต่างใดๆหรือดอกเบี้ยที่งอกผลออกมาจากเครดิตคาร์บอน,ห้ามซื้อขายเครดิตคาร์บอนโดยอ้างว่ามาชดเชยสิ่งที่กิจการตนบริษัทตนโรงงานตนปล่อยคาร์บอนออกมา โดยในความเป็นจริงตนบริษัทตน โรงงานตนไม่ได้ปลูกป่าปลูกต้นไม้จริงเพื่อสร้างเครดิตคาร์บอนจริงทางตรงใดๆได้เลย,ห้ามมีธนาคารปล่อยกู้เครดิตคาร์บอน,ห้ามมีการบริษัทกิจการใดๆนำคาร์บอนมาโดยตนเองมิได้มีแหล่งคาร์บอนจริงหรือเป็นที่มาของคาร์บอนเครดิต,โรงงานกิจการใดๆหากปล่อยคาร์บอนเครดิต 1หน่วย ต้องปลูกคาร์บอนเครดิตจริง1หน่วยทดแทนมิใช่ซื้อมาจากแหล่งอื่นมาอ้างชดเชยการปล่อยคาร์บอนออกไปทุกๆกรณี,รัฐมีหน้าที่ควบคุมโรงงานบริษัททั้งหมดภายในประเทศไทยในการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนและสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้ทุกๆกรณี เช่นพักบริษัทกิจการนั้นๆโรงงานนั้นๆได้ พักใบอนุญาตหรือถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้ในทันที,หากไม่พร้อมปลูกชดเชยจริงของการมีอยู่จริงซึ่งสถานะคาร์บอนเครดิตนั้น,ไม่สามารถตัดตอน ไม่สามารถผักชีโรยหน้าซื้อมาจากแหล่งอื่นเพื่ออ้างว่ามีสิทธิชดเชยคาร์บอนเครดิตได้เพื่อสะดวกต่อการค้าการผลิตการทำกำไรทำรายได้ทำตังของกิจการตนให้ปกติเหมือนเดิมต่อไปเสมือนว่าตนเองปลูกแหล่งให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตนั้น,จะกระทำมิได้ต้องปลูกจริงชดเชยสถานเดียว,ก่อนจะสร้างโรงงานใดๆผู้ประกอบการต้องประเมินการปลดปล่อยอากาศพิษนี้ต่อโลกต่อมนุษย์แม้คาร์บอนดีต่อต้นไม้ในรูปCO2แต่นัยยะคาร์บอนมากผิดปกติย่อมส่งผลไม่ดีต่อชั้นบรรยากาศโลกแม้ไม่รวมทฤษฎีสมคบคิดHAARPด้วยก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความว่าผิดของภาวะโลกร้อนทำให้เกิดภัยธรรมชาติแต่แท้จริงเกิดจากเครื่องมือHAARPนั้นเองก็ตาม,กิจการโรงงานใดๆห้ามซื้อขายคาร์บอนเครดิตทุกๆกรณี,บริษัทใดๆห้ามค้าขายคาร์บอนเครดิตหรือซื้อเก็งกำไรคาร์บอนเครดิต,หรือมีเพื่อค้าขายเพื่อปล่อยกู้ปล่อยเช่าปล่อยช่วง,คือหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทกิจการนั้นๆและถ้าทำโรงงานแล้วมีส่วนทางตรงในการปลดปล่อยคาร์บอนก็มีหน้าที่ทางตรงต้องปลูกแหล่งที่มาจริงของคาร์บอนเครดิตประกอบการเปิดกิจการด้วยซึ่งประเมินผลรับรู้ล่วงหน้าคราวๆได้แล้วแน่นอนก่อนยื่นดำเนินกิจการหรือขยายกิจการนั้นๆ,ภาระนี้ประขาชนมิต้องรับผิดชอบมาปลูกเพื่อขายคาร์บอนเครดิตแก่โรงงานกิจการใดๆให้โรงงานเป็นข้ออ้างว่าชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยไปนั้นโดยที่ความเป็นจริงเนื้อแท้ตนไม่สามารถปลูกคาร์บอนให้ครบเกณฑ์ที่รัฐกำหนดเลยก่อนเปิดกิจการดำเนินงาน,รัฐบาลไม่มีหน้าที่จัดหาคาร์บอนเครดิตให้เอกชนใดๆให้มีครบตามเงื่อนไขก่อนดำเนินกิจการนั้นๆ.,อยากสร้างกิจการโรงงานบริษัทต้องปลูกคาร์บอนอย่างเดียว,และทำตามที่มี ขยายโรงงานตามความสามารถที่มีคาร์บอนเครดิตในมือ,มิใช่ซื้อมาหรืออ้างเกษตรกรรมปลูกคาร์บอนเครดิตขายให้ตนเพื่อหลบเลี่ยงความเป็นจริงที่ตนไม่ได้ปลูกมันเลย,รัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดและยิ่งสร้างโรงงานที่ส่งผลกระทบจริงในการปลดปล่อยคาร์บอนยิ่งต้องกำกับควบคุมการปลูกต้นไม้ที่สร้างคาร์บอนเครดิตสร้างออกซิเจนทดแทนจริง,จริงๆต้องบอกว่า ออกซิเจนเครดิต,เพราะมนุษย์ไม่สามารถใช้CO2หายใจได้,แต่ใช้O2หายใจและO2นี้จะผลักดันคาร์บอนหรือแก๊สพิษส่วนเกินออกจากโลกได้,เมื่อมีปริมาณมากเพียงพอ,โดยมีต้นไม้เป็นผู้ผลิตO2ต่อมนุษย์จริงอีกส่วน แม้O2ส่วนใหญ่มาจากแกนใจกลางโลกก็ตาม,ที่ซึมออกขึ้นมาสู่ผิวเปลือกโลก.,การบิดเบือนวลีนี้วาทะกรรมนี้ก็ถือว่าชั่วเลวให้ประชาชนหลงในความเท็จ,ประชาชนผีบ้าอะไรจะผลิตคาร์บอนมาชดเชยคาร์บอนที่กิจการบริษัทหรือโรงงานนั้นๆปลดปล่อยออกมา,เราปลูกเพื่อผลิตO2ไปจับกับCคาร์บอนที่มันปล่อยมาต่างหากจึงสมควรประกาศบอกประชาชนว่า ออกซิเจนเครดิตจึงจะถูก,co2จำเป็นต่อต้นไม้ด้วย,ห้ามมีโรงงานดูดco2ในเอเชียในอาเชียนในประเทศไทยเด็ดขาด,แม้ดีต่อภาคอุตสาหกรรมในกระบวนการผลิตที่ใข้co2สร้างผลผลิตโรงงานกิจการบริษัท แต่นี้ถือว่าปล้นชิงอาหารกับต้นไม้ทั่วโลกพืชทั่วโลกชัดเจนด้วย,ตลอดคือภัยคุกคามร้ายแรงต่อการทำลายO2ของโลกเราทำลายออกซิเจนของคนทั้งโลกที่ใช้มันหายใจ,ดักจับตัดตอนฆ่าพืขฆ่าต้นไม้ผู้ผลิตออกซิเจนให้เราชัดเจนด้วย,นี้จึงเป็นนัยยะค้าประโยชน์ทางอ้อมก็ด้วย ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ในคราวเดียวก็ด้วย หากสร้างเครื่องมือใช้ผ่านโรงงานต่างๆตั้งกลางป่าดักดูดดักจับคาร์บอนในป่าก็ได้อีกเพื่อเอาco2ไปใช้ทางอุตสาหกรรมทำกำไรงามมหาศาลเมื่อในต่างประเทศทั่วโลกทำได้แล้ว. ..พรบ.คาร์บอนเครดิตตีตราออกมาผืดประเภทผิดวัตถุประสงค์มุ่งเป้าหมายที่แท้จริง,ต้องมุ่งไปที่กิจการบริษัทและโรงงานทั้งหมดที่ดำเนินเดินเครื่องเปิดกิจการในประเทศไทย มิใช่ใช้ควบคุมพฤติกรรมกิจการประชาชนหรือเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนทางตรงและทางอ้อมผ่าน พรบ.นี้,นายทุนกิจการบริษัทเตรียมครอบงำเครดิตคาร์บอนแล้ว ปล่อยกู้ก็ใช้เครดิตคาร์บอนร่วมพิจารณาปล่อยวงเงินกู้,ซื้อผลผลิตเกษตรกรก็อ้างเครดิตคาร์บอนในการรับซื้อการกำหนดราคาพืชผลการเกษตรกรรม,นี้คือกลอุบายควบคุมประชาชนคนไทยชัดเจนอีกมิติหนึ่งของdeep stateข้ามโลกปกครองไทยจนสามารถชี้นำสั่งการให้ออกกฎหมายให้เขียนกฎหมายให้ผ่านร่างกฎหมายพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ตลอดควบคุมสื่อหลักบิดเบือนความจริงโหนกระแสภัยธรรมชาติ ปั่นป่วนสร้างข่าว ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อหน้าประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก,ประเทศไทยเราต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มิใช่เลวชั่วเช่นในอดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน. ..นายกฯพระราชทานคือหนทางเดียว ..ปฏิวัติคือทางออก.,เพราะต้องกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งชั่วเลวสกปรกครัังใหญ่ให้สะอาดเสียที. .. ..https://youtube.com/shorts/XiX_yDO19lA?si=P_ihzFn4-ldglndW
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • แกะคำพูด การกระทำ บอกพฤติกรรมคน (ไม่ใช่มนุษย์) https://www.youtube.com/live/NXN6iUAfT4U?si=YLeaDKMCBKCO-tbm
    แกะคำพูด การกระทำ บอกพฤติกรรมคน (ไม่ใช่มนุษย์) https://www.youtube.com/live/NXN6iUAfT4U?si=YLeaDKMCBKCO-tbm
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • อายัดทรัพย์เครือข่าย 'ก๊ก อาน' 1.1 พันล้าน ออกหมายแดงล่าตัวคนสนิทฮุนเซน
    https://www.thai-tai.tv/news/20186/
    .
    #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ค้ามนุษย์ #ปราบปรามอาชญากรรม #ตำรวจไทย #UNODC #อินเตอร์โพล #เมียนมา #กัมพูชา #ลาว #ข่าวอาชญากรรม #ประเทศไทย #อายัดทรัพย์ #ก๊กอาน
    อายัดทรัพย์เครือข่าย 'ก๊ก อาน' 1.1 พันล้าน ออกหมายแดงล่าตัวคนสนิทฮุนเซน https://www.thai-tai.tv/news/20186/ . #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ค้ามนุษย์ #ปราบปรามอาชญากรรม #ตำรวจไทย #UNODC #อินเตอร์โพล #เมียนมา #กัมพูชา #ลาว #ข่าวอาชญากรรม #ประเทศไทย #อายัดทรัพย์ #ก๊กอาน
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ตามหลักพุทธศาสนา การกระทำของผู้บริหารบ้านเมืองที่ "ขายชาติ" (นำผลประโยชน์ของชาติไปให้ต่างชาติโดยมิชอบ) และ "โกงแผ่นดิน" (คอร์รัปชั่น, ฉ้อราษฎร์บังหลวง) ถือเป็น **อกุศลกรรมหนัก** ที่ส่งผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ดังนี้

    ### ผลกรรมตามหลักกรรม (กฎแห่งเหตุและผล)
    1. **วิบากกรรมในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม):**
    - สูญเสียความน่าเชื่อถือ ถูกสังคมประณาม ต้องเผชิญการฟ้องร้องทางกฎหมาย
    - ขาดมิตรแท้ อยู่ในความหวาดระแวง ครอบครัวแตกแยก
    - นำไปสู่การล่มสลายทางการเมือง เช่น ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต้องโทษจำคุก
    - สร้างความเสื่อมโทรมให้ประเทศ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ/สังคมที่ประชาชนรับผลกระทบ

    2. **วิบากกรรมในภพใหม่ (อุปปัชชเวทนียกรรม):**
    - เกิดในอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย) เนื่องจากทำลาย "สังคหวัตถุ" (หลักการสงเคราะห์สังคม)
    - หากได้เกิดเป็นมนุษย์ มักเกิดในตระกูลต่ำ ขาดโอกาส ถูกกดขี่ หรือมีชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค
    - พลาดโอกาสในการศึกษาพระธรรม เพราะกรรมหนักปิดกั้นปัญญา

    3. **วิบากกรรมสืบเนื่อง (อปราปริยเวทนียกรรม):**
    - แม้พ้นจากอบายภูมิแล้ว วิบากยังสืบเนื่อง เช่น มีสุขภาพย่ำแย่ ทรัพย์สินสูญหายง่าย ถูกหลอกลวงเป็นนิสัย

    ### อกุศลกรรมหลักที่ก่อ
    - **อทินนาทาน (ลักทรัพย์):** การคอร์รัปชันคือการลักทรัพย์ส่วนรวม
    - **มุสาวาท (พูดเท็จ):** การปกปิดการทุจริต ใช้วาทศิลป์หลอกลวงประชาชน
    - **มิจฉาชีพ (การงานผิด):** ใช้อำนาจในทางมิชอบ
    - **ทำลายหลัก "ธรรมาธิปไตย":** ซึ่งพุทธศาสนาส่งเสริมการปกครองด้วยธรรม

    ### ผลต่อสังคมตามหลักพุทธ
    การกระทำดังกล่าว **ทำลาย "ธรรมิกราชธรรม" (หลักการปกครองที่ดี)** โดยเฉพาะ:
    - **ขาดเมตตาธรรม:** ไม่เกื้อกูลประชาชน
    - **ขาดสัจจะ:** ไม่รักษาคำมั่นสัญญาต่อชาติ
    - **ขาดทมะ:** ไม่รู้จักควบคุมความโลภ

    ### สรุป
    พุทธศาสนามองว่ากรรมนี้ **"หนัก"** เพราะส่งผลร้ายต่อมหาชน ("กรรมที่มีเวรเป็นผล") ผู้ก่อย่อมได้รับผลกรรมทั้งทางตรง (การลงโทษทางโลก) และทางอ้อม (วิบากในสังสาระ) แม้ผลกรรมอาจไม่ปรากฏทันที แต่ย่อมตามสนองอย่างแน่นอนตามกฎแห่งกรรม

    > "ผู้ปกครองที่ดีต้องมี **หิริ-โอตตัปปะ** (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) เป็นพื้นฐาน หากขาดธรรมนี้ ย่อมนำความวิบัติมาสู่ตนเองและแผ่นดิน" — อ้างตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา
    ตามหลักพุทธศาสนา การกระทำของผู้บริหารบ้านเมืองที่ "ขายชาติ" (นำผลประโยชน์ของชาติไปให้ต่างชาติโดยมิชอบ) และ "โกงแผ่นดิน" (คอร์รัปชั่น, ฉ้อราษฎร์บังหลวง) ถือเป็น **อกุศลกรรมหนัก** ที่ส่งผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ดังนี้ ### ผลกรรมตามหลักกรรม (กฎแห่งเหตุและผล) 1. **วิบากกรรมในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม):** - สูญเสียความน่าเชื่อถือ ถูกสังคมประณาม ต้องเผชิญการฟ้องร้องทางกฎหมาย - ขาดมิตรแท้ อยู่ในความหวาดระแวง ครอบครัวแตกแยก - นำไปสู่การล่มสลายทางการเมือง เช่น ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต้องโทษจำคุก - สร้างความเสื่อมโทรมให้ประเทศ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ/สังคมที่ประชาชนรับผลกระทบ 2. **วิบากกรรมในภพใหม่ (อุปปัชชเวทนียกรรม):** - เกิดในอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย) เนื่องจากทำลาย "สังคหวัตถุ" (หลักการสงเคราะห์สังคม) - หากได้เกิดเป็นมนุษย์ มักเกิดในตระกูลต่ำ ขาดโอกาส ถูกกดขี่ หรือมีชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรค - พลาดโอกาสในการศึกษาพระธรรม เพราะกรรมหนักปิดกั้นปัญญา 3. **วิบากกรรมสืบเนื่อง (อปราปริยเวทนียกรรม):** - แม้พ้นจากอบายภูมิแล้ว วิบากยังสืบเนื่อง เช่น มีสุขภาพย่ำแย่ ทรัพย์สินสูญหายง่าย ถูกหลอกลวงเป็นนิสัย ### อกุศลกรรมหลักที่ก่อ - **อทินนาทาน (ลักทรัพย์):** การคอร์รัปชันคือการลักทรัพย์ส่วนรวม - **มุสาวาท (พูดเท็จ):** การปกปิดการทุจริต ใช้วาทศิลป์หลอกลวงประชาชน - **มิจฉาชีพ (การงานผิด):** ใช้อำนาจในทางมิชอบ - **ทำลายหลัก "ธรรมาธิปไตย":** ซึ่งพุทธศาสนาส่งเสริมการปกครองด้วยธรรม ### ผลต่อสังคมตามหลักพุทธ การกระทำดังกล่าว **ทำลาย "ธรรมิกราชธรรม" (หลักการปกครองที่ดี)** โดยเฉพาะ: - **ขาดเมตตาธรรม:** ไม่เกื้อกูลประชาชน - **ขาดสัจจะ:** ไม่รักษาคำมั่นสัญญาต่อชาติ - **ขาดทมะ:** ไม่รู้จักควบคุมความโลภ ### สรุป พุทธศาสนามองว่ากรรมนี้ **"หนัก"** เพราะส่งผลร้ายต่อมหาชน ("กรรมที่มีเวรเป็นผล") ผู้ก่อย่อมได้รับผลกรรมทั้งทางตรง (การลงโทษทางโลก) และทางอ้อม (วิบากในสังสาระ) แม้ผลกรรมอาจไม่ปรากฏทันที แต่ย่อมตามสนองอย่างแน่นอนตามกฎแห่งกรรม > "ผู้ปกครองที่ดีต้องมี **หิริ-โอตตัปปะ** (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) เป็นพื้นฐาน หากขาดธรรมนี้ ย่อมนำความวิบัติมาสู่ตนเองและแผ่นดิน" — อ้างตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย,
    ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง.


    https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE

    ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย, ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง. https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • บริษัท TissueTinker ที่เป็นสปินออฟจากมหาวิทยาลัย McGill แคนาดา พัฒนาระบบ 3D Bioprinting ที่สามารถ “พิมพ์เนื้อเยื่อจำลอง” ขนาดเล็กระดับ 300 ไมครอน โดยใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้จริง → ทีมนักวิจัยพิมพ์ “เซลล์มะเร็ง” คู่กับ “เซลล์ปกติ” ของอวัยวะเดียวกัน → เพื่อศึกษาว่ามะเร็งลุกลามยังไง และตอบสนองต่อยาแบบไหน → ข้อดีคือได้ข้อมูลแบบ side-by-side ซึ่งต่างจากเดิมที่ทดลองแยกกันคนละกลุ่ม

    จุดสำคัญคือความแม่นยำระดับ "จุดสัมผัสแบบสมจริง" และการพิมพ์ในขนาดเล็กมาก จนสามารถมองเห็น บริเวณ hypoxic core หรือ “พื้นที่ในเนื้องอกที่มีออกซิเจนต่ำ” ซึ่งเป็นจุดที่มะเร็งดื้อยาและเติบโตเร็ว → ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่าเซลล์ในจุดนั้นแตกต่างจากส่วนอื่นยังไง → และทดลองพิมพ์เนื้อเยื่อที่เปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างเพื่อศึกษาการตอบสนองต่อการรักษา

    เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่เร่งการวิจัย → แต่ยังเปิดทางสู่ “การแพทย์เฉพาะบุคคล” เพราะสามารถพิมพ์เนื้องอกจากข้อมูลผู้ป่วยได้ → ทดลองสูตรยาแบบ custom ก่อนรักษาจริง → เป็นก้าวสำคัญของการ “ทดลองกับสิ่งพิมพ์” แทนการทดลองกับสัตว์หรือเซลล์แบบแยกส่วน

    TissueTinker พัฒนา 3D bioprinting เพื่อตีพิมพ์เนื้อเยื่อมะเร็งขนาดเล็ก (~300 ไมครอน)  
    • ใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้  
    • พิมพ์แบบ healthy vs cancerous tissue เพื่อเปรียบเทียบได้โดยตรง

    การพิมพ์ขนาดเล็กช่วยให้เห็น hypoxic cores → บริเวณที่เซลล์ดื้อยาและเติบโตเร็ว  
    • จุดนี้เป็นเป้าหมายสำคัญในการทดลองยาใหม่

    สามารถพิมพ์เนื้อเยื่อแบบ “custom parameter” เพื่อดูปฏิกิริยาเฉพาะ เช่น ความไวต่อออกซิเจน–สารอาหาร–ยา

    ทีมได้รับการสนับสนุนจาก McGill Innovation Fund → เตรียมต่อยอดสู่การแพทย์เฉพาะบุคคลในอนาคต

    การศึกษาแบบ side-by-side ระหว่างเนื้อเยื่อดีและเสีย ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของมะเร็งแบบเจาะจงมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/scientists-3d-print-tumors-for-cancer-research-tissuetinker-using-3d-bioprinting-to-create-miniature-models-of-healthy-and-diseased-tissue-for-side-by-side-comparison-backed-by-mcgill
    บริษัท TissueTinker ที่เป็นสปินออฟจากมหาวิทยาลัย McGill แคนาดา พัฒนาระบบ 3D Bioprinting ที่สามารถ “พิมพ์เนื้อเยื่อจำลอง” ขนาดเล็กระดับ 300 ไมครอน โดยใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้จริง → ทีมนักวิจัยพิมพ์ “เซลล์มะเร็ง” คู่กับ “เซลล์ปกติ” ของอวัยวะเดียวกัน → เพื่อศึกษาว่ามะเร็งลุกลามยังไง และตอบสนองต่อยาแบบไหน → ข้อดีคือได้ข้อมูลแบบ side-by-side ซึ่งต่างจากเดิมที่ทดลองแยกกันคนละกลุ่ม จุดสำคัญคือความแม่นยำระดับ "จุดสัมผัสแบบสมจริง" และการพิมพ์ในขนาดเล็กมาก จนสามารถมองเห็น บริเวณ hypoxic core หรือ “พื้นที่ในเนื้องอกที่มีออกซิเจนต่ำ” ซึ่งเป็นจุดที่มะเร็งดื้อยาและเติบโตเร็ว → ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่าเซลล์ในจุดนั้นแตกต่างจากส่วนอื่นยังไง → และทดลองพิมพ์เนื้อเยื่อที่เปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างเพื่อศึกษาการตอบสนองต่อการรักษา เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่เร่งการวิจัย → แต่ยังเปิดทางสู่ “การแพทย์เฉพาะบุคคล” เพราะสามารถพิมพ์เนื้องอกจากข้อมูลผู้ป่วยได้ → ทดลองสูตรยาแบบ custom ก่อนรักษาจริง → เป็นก้าวสำคัญของการ “ทดลองกับสิ่งพิมพ์” แทนการทดลองกับสัตว์หรือเซลล์แบบแยกส่วน ✅ TissueTinker พัฒนา 3D bioprinting เพื่อตีพิมพ์เนื้อเยื่อมะเร็งขนาดเล็ก (~300 ไมครอน)   • ใช้ biomaterial ที่เลียนแบบเนื้อเยื่อมนุษย์ได้   • พิมพ์แบบ healthy vs cancerous tissue เพื่อเปรียบเทียบได้โดยตรง ✅ การพิมพ์ขนาดเล็กช่วยให้เห็น hypoxic cores → บริเวณที่เซลล์ดื้อยาและเติบโตเร็ว   • จุดนี้เป็นเป้าหมายสำคัญในการทดลองยาใหม่ ✅ สามารถพิมพ์เนื้อเยื่อแบบ “custom parameter” เพื่อดูปฏิกิริยาเฉพาะ เช่น ความไวต่อออกซิเจน–สารอาหาร–ยา ✅ ทีมได้รับการสนับสนุนจาก McGill Innovation Fund → เตรียมต่อยอดสู่การแพทย์เฉพาะบุคคลในอนาคต ✅ การศึกษาแบบ side-by-side ระหว่างเนื้อเยื่อดีและเสีย ช่วยให้เข้าใจวิวัฒนาการของมะเร็งแบบเจาะจงมากขึ้น https://www.tomshardware.com/3d-printing/scientists-3d-print-tumors-for-cancer-research-tissuetinker-using-3d-bioprinting-to-create-miniature-models-of-healthy-and-diseased-tissue-for-side-by-side-comparison-backed-by-mcgill
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • หนึ่งในอุปสรรคของการพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์คือการวัด “คุณสมบัติแสง” ของวัสดุใหม่แต่ละชนิดต้องใช้เวลาและแรงงานมหาศาล → นักวิจัย MIT จึงสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถวิเคราะห์วัสดุโดยอัตโนมัติ ทั้งการถ่ายภาพ, คำนวณจุดสัมผัส, และวัดการนำไฟฟ้าเมื่อโดนแสง (photoconductance)

    มันไม่ใช้วิธีแบบเดาสุ่ม — แต่นำความรู้จากนักเคมีและนักวัสดุมาป้อนเข้าโมเดล AI → เพื่อให้หุ่นยนต์ “เลือกจุดที่ควรแตะ” ด้วยวิธี self-supervised learning → แถมยังใช้ path planning แบบสุ่มนิด ๆ เพื่อหาทางเดินที่สั้นที่สุดระหว่างจุดวัดต่าง ๆ

    ผลลัพธ์คือ → วัดค่าได้มากกว่า 125 จุดต่อชั่วโมง → ในเวลา 24 ชั่วโมง เก็บข้อมูลได้มากกว่า 3,000 จุด → แถมแม่นกว่าวิธี AI แบบเดิมที่เคยใช้ในการค้นหาวัสดุใหม่

    เป้าหมายคือการนำหุ่นยนต์นี้ไปใช้กับ “perovskite” — วัสดุโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ที่ราคาถูกแต่มีแนวโน้มประสิทธิภาพสูง → ถ้าแล็บนี้ทำงานได้ดีจริง ก็เท่ากับเปิดทางให้วงการแผงโซลาร์เซลล์พัฒนาเร็วขึ้นหลายเท่าแบบไม่ต้องรอมนุษย์วัดทีละจุดอีกต่อไป!

    MIT พัฒนาระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับวัดคุณสมบัติของวัสดุเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง  
    • ใช้ AI วางจุดสัมผัสและวัด photoconductance  
    • เหมาะกับวัสดุที่ต้องสัมผัสจริง เช่น perovskite ที่ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์

    ระบบมี 3 ส่วนหลัก:  
    • กล้อง + vision model แยกรูปร่างวัสดุ  
    • Neural network วางจุดที่ควรวัด → แบบไม่ต้องใช้ข้อมูล training  
    • Path planner วางแผนเส้นทางเดินให้หุ่นยนต์แตะวัสดุแบบเร็วที่สุด

    ความสามารถสูงกว่าเดิม:  
    • เก็บข้อมูลได้ 125 จุด/ชม. → รวม 3,000 จุดใน 1 วัน  
    • แม่นยำกว่า AI วิธีเก่า 7 แบบ  
    • วัดจุดที่บ่งบอกทั้งประสิทธิภาพสูง และจุดที่วัสดุเริ่มเสื่อม

    เป้าหมายเพื่อใช้สร้าง “ห้องแล็บอัตโนมัติเต็มรูปแบบ” สำหรับค้นพบวัสดุใหม่ในอนาคต  
    • ได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กร เช่น First Solar, US DoE, Eni, MathWorks

    https://www.techspot.com/news/108604-autonomous-mit-robot-helps-discover-better-materials-solar.html
    หนึ่งในอุปสรรคของการพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์คือการวัด “คุณสมบัติแสง” ของวัสดุใหม่แต่ละชนิดต้องใช้เวลาและแรงงานมหาศาล → นักวิจัย MIT จึงสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถวิเคราะห์วัสดุโดยอัตโนมัติ ทั้งการถ่ายภาพ, คำนวณจุดสัมผัส, และวัดการนำไฟฟ้าเมื่อโดนแสง (photoconductance) มันไม่ใช้วิธีแบบเดาสุ่ม — แต่นำความรู้จากนักเคมีและนักวัสดุมาป้อนเข้าโมเดล AI → เพื่อให้หุ่นยนต์ “เลือกจุดที่ควรแตะ” ด้วยวิธี self-supervised learning → แถมยังใช้ path planning แบบสุ่มนิด ๆ เพื่อหาทางเดินที่สั้นที่สุดระหว่างจุดวัดต่าง ๆ ผลลัพธ์คือ → วัดค่าได้มากกว่า 125 จุดต่อชั่วโมง → ในเวลา 24 ชั่วโมง เก็บข้อมูลได้มากกว่า 3,000 จุด → แถมแม่นกว่าวิธี AI แบบเดิมที่เคยใช้ในการค้นหาวัสดุใหม่ เป้าหมายคือการนำหุ่นยนต์นี้ไปใช้กับ “perovskite” — วัสดุโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ที่ราคาถูกแต่มีแนวโน้มประสิทธิภาพสูง → ถ้าแล็บนี้ทำงานได้ดีจริง ก็เท่ากับเปิดทางให้วงการแผงโซลาร์เซลล์พัฒนาเร็วขึ้นหลายเท่าแบบไม่ต้องรอมนุษย์วัดทีละจุดอีกต่อไป! ✅ MIT พัฒนาระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับวัดคุณสมบัติของวัสดุเซมิคอนดักเตอร์โดยตรง   • ใช้ AI วางจุดสัมผัสและวัด photoconductance   • เหมาะกับวัสดุที่ต้องสัมผัสจริง เช่น perovskite ที่ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ ✅ ระบบมี 3 ส่วนหลัก:   • กล้อง + vision model แยกรูปร่างวัสดุ   • Neural network วางจุดที่ควรวัด → แบบไม่ต้องใช้ข้อมูล training   • Path planner วางแผนเส้นทางเดินให้หุ่นยนต์แตะวัสดุแบบเร็วที่สุด ✅ ความสามารถสูงกว่าเดิม:   • เก็บข้อมูลได้ 125 จุด/ชม. → รวม 3,000 จุดใน 1 วัน   • แม่นยำกว่า AI วิธีเก่า 7 แบบ   • วัดจุดที่บ่งบอกทั้งประสิทธิภาพสูง และจุดที่วัสดุเริ่มเสื่อม ✅ เป้าหมายเพื่อใช้สร้าง “ห้องแล็บอัตโนมัติเต็มรูปแบบ” สำหรับค้นพบวัสดุใหม่ในอนาคต   • ได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กร เช่น First Solar, US DoE, Eni, MathWorks https://www.techspot.com/news/108604-autonomous-mit-robot-helps-discover-better-materials-solar.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New MIT robot could unlock next-generation solar panel technology
    At the heart of the system is a robotic probe capable of measuring photoconductance, a property that reveals how a material responds to light. By integrating expert...
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • ตื่นขึ้นมาเรารักษา กาย วาจา ใจเราไว้ดีรึยัง เข้าพรรษาก็เพียนในความดี บุญกุศลฯ ทำได้ในชาติมนุษย์เท่านั้นนะ
    ตื่นขึ้นมาเรารักษา กาย วาจา ใจเราไว้ดีรึยัง เข้าพรรษาก็เพียนในความดี บุญกุศลฯ ทำได้ในชาติมนุษย์เท่านั้นนะ
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงจิ้งจอกเก้าหาง

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ที่เสวียนหนี่ว์กล่าวมา ท่านราชาปีศาจฟังเข้าใจแล้วหรือไม่ ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิวเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหาง เลือดหัวใจของจิ้งจอกขาวเก้าหางมีสรรพคุณเยี่ยงไร ท่านถามถามชายาของท่านดู”...
    - จากเรื่อง <สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่> ผู้แต่ง ถังชีกงจื่อ

    ตำนานเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ผูกโยงกับปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้คนลุ่มหลง แต่แฟนคลับจากเรื่องชุดสามชาติสามภพฯ จะรู้ว่า ในเรื่องนี้จิ้งจอกเก้าหางเป็นเทพขั้นสูงปกครองดินแดนชิงชิว ไม่ใช่ปีศาจร้ายที่คอยยั่วราคะใคร

    ที่ Storyฯ คิดว่าน่าสนใจคือ ในบรรดาเอกสารโบราณหรือวรรณคดีที่พูดถึงจิ้งจอกเก้าหางนั้น ดูจะมีในคัมภีร์ซานไห่จิงที่เดียวที่กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางและดินแดนชิงชิวไปพร้อมๆ กัน โดยมีการบรรยายไว้ว่า เขาชิงชิวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกอีกสามร้อยหลี่ ด้านที่เจอแสงอาทิตย์ของเขานั้นอุดมด้วยหยก ด้านที่มืดมีแร่ธาตุที่ใช้ผลิตสีเขียวได้ บนเขามีสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง รูปร่างเป็นจิ้งจอก มีเก้าหาง เสียงของมันเหมือนเสียงร้องไห้ของทารก มันกินมนุษย์ได้ และหากมนุษย์ใดกินเนื้อมันเข้าไปจะมีภูมิต้านทานมนต์ดำของปีศาจ

    จิ้งจอกเก้าหางเดิมได้รับการยกย่องเป็นสัตว์มงคล ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้น ในรูปภาพของพระแม่ตะวันตก(ซีหวางหมู่) มักปรากฎสัตว์เทพสี่ตัวอยู่แทบพระบาท หนึ่งในนั้นคือจิ้งจอกเก้าหาง ว่ากันว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของการมีบุตรหลานมากมาย

    แต่ภาพลักษณ์ของจิ้งจอกเก้าหางเริ่มตกต่ำลงเมื่อพ้นยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อความนับถือในพระแม่ซีหวางหมู่ลดลง และเริ่มพูดถึงจิ้งจอกแปลงกายเป็นคนได้เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ พร้อมๆ กับความเป็น “สัตว์เทพ” แปรเปลี่ยนไปเป็น “ปีศาจ” มีนิทานปรัมปราเรื่องปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาสิงร่างของต๋าจีผู้เป็นพระสนมขององค์โจ้วหวางแห่งราชวงศ์ซาง แล้วทำให้พระองค์ทรงลุ่มหลงจนทำแต่เรื่องร้ายๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ตอกย้ำภาพลักษณ์ปีศาจเพศหญิงที่งามสะคราญยั่วยวนให้ชายลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่มาจนปัจจุบัน

    แต่สำหรับ Storyฯ แล้ว จิ้งจอกเก้าหางตัวไหนก็ไม่ประทับใจเท่าป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว เพื่อนเพจล่ะคะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1636558
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/7367050
    https://3g.163.com/dy/article_cambrian/EJB4QI9105418R2V.html
    https://zhidao.baidu.com/question/175130842.html

    #สามชาติสามภพ #จิ้งจอกเก้าหาง #ป๋ายเฉี่ยน #ต๋าจี #ซานไห่จิง #ชิงชิว #ตำนานจีน #StoryfromStory
    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงจิ้งจอกเก้าหาง ความมีอยู่ว่า ... “ที่เสวียนหนี่ว์กล่าวมา ท่านราชาปีศาจฟังเข้าใจแล้วหรือไม่ ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิวเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหาง เลือดหัวใจของจิ้งจอกขาวเก้าหางมีสรรพคุณเยี่ยงไร ท่านถามถามชายาของท่านดู”... - จากเรื่อง <สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่> ผู้แต่ง ถังชีกงจื่อ ตำนานเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ผูกโยงกับปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้คนลุ่มหลง แต่แฟนคลับจากเรื่องชุดสามชาติสามภพฯ จะรู้ว่า ในเรื่องนี้จิ้งจอกเก้าหางเป็นเทพขั้นสูงปกครองดินแดนชิงชิว ไม่ใช่ปีศาจร้ายที่คอยยั่วราคะใคร ที่ Storyฯ คิดว่าน่าสนใจคือ ในบรรดาเอกสารโบราณหรือวรรณคดีที่พูดถึงจิ้งจอกเก้าหางนั้น ดูจะมีในคัมภีร์ซานไห่จิงที่เดียวที่กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางและดินแดนชิงชิวไปพร้อมๆ กัน โดยมีการบรรยายไว้ว่า เขาชิงชิวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกอีกสามร้อยหลี่ ด้านที่เจอแสงอาทิตย์ของเขานั้นอุดมด้วยหยก ด้านที่มืดมีแร่ธาตุที่ใช้ผลิตสีเขียวได้ บนเขามีสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง รูปร่างเป็นจิ้งจอก มีเก้าหาง เสียงของมันเหมือนเสียงร้องไห้ของทารก มันกินมนุษย์ได้ และหากมนุษย์ใดกินเนื้อมันเข้าไปจะมีภูมิต้านทานมนต์ดำของปีศาจ จิ้งจอกเก้าหางเดิมได้รับการยกย่องเป็นสัตว์มงคล ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้น ในรูปภาพของพระแม่ตะวันตก(ซีหวางหมู่) มักปรากฎสัตว์เทพสี่ตัวอยู่แทบพระบาท หนึ่งในนั้นคือจิ้งจอกเก้าหาง ว่ากันว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของการมีบุตรหลานมากมาย แต่ภาพลักษณ์ของจิ้งจอกเก้าหางเริ่มตกต่ำลงเมื่อพ้นยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อความนับถือในพระแม่ซีหวางหมู่ลดลง และเริ่มพูดถึงจิ้งจอกแปลงกายเป็นคนได้เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ พร้อมๆ กับความเป็น “สัตว์เทพ” แปรเปลี่ยนไปเป็น “ปีศาจ” มีนิทานปรัมปราเรื่องปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาสิงร่างของต๋าจีผู้เป็นพระสนมขององค์โจ้วหวางแห่งราชวงศ์ซาง แล้วทำให้พระองค์ทรงลุ่มหลงจนทำแต่เรื่องร้ายๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ตอกย้ำภาพลักษณ์ปีศาจเพศหญิงที่งามสะคราญยั่วยวนให้ชายลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่มาจนปัจจุบัน แต่สำหรับ Storyฯ แล้ว จิ้งจอกเก้าหางตัวไหนก็ไม่ประทับใจเท่าป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว เพื่อนเพจล่ะคะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1636558 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/7367050 https://3g.163.com/dy/article_cambrian/EJB4QI9105418R2V.html https://zhidao.baidu.com/question/175130842.html #สามชาติสามภพ #จิ้งจอกเก้าหาง #ป๋ายเฉี่ยน #ต๋าจี #ซานไห่จิง #ชิงชิว #ตำนานจีน #StoryfromStory
    《三生三世十里桃花》里的青丘到底在四海八荒的哪里_翻书党_澎湃新闻-The Paper
    随着《三生三世十里桃花》的热播,“青丘”、“帝君”等热门词的流行唤起了广大观众对神仙世界、对中国古代神话的求知兴趣。那么青丘国究竟坐落于四海八荒的何处?
    1 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • 555,สุดท้ายก็ยังไม่ถีบให้จบจริงกับพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเลย,จริงๆอเมริกานำโดยทรัมป์ไม่ต้องอ้างภาษีก็ได้เพื่อช่วยอเมริกากำลังล้มละลายในประเทศจากหนี้สินกว่า36-37ล้านล้านเหรียญและภายใน5-10ปีอาจกว่า100ล้านล้านเหรียญในอนาคต,อเมริกาสมควรมาเอาเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทยไปปรับใช้จริงจังในบรรดาผู้ดีคนอเมริกาทั้งหลายที่จมไม่เป็น อาจฟื้นคืนชีพทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วย,ไม่ต้องไปเรียกเก็บส่วยทางอ้อมแก่ประเทศต่างๆทั่วโลกหรอก,ขอร้องประเทศต่างๆช่วยอเมริกาส่งตังในรูปแบบภาษีเพื่อเอาไปจ่ายหนี้อเมริกาอย่างเปิดเผยก็ได้,อเมริกาฉันกำลังกรอบก็ว่า ช่วยด้วยประมาณนั้น เห็นชัดที่มีข่าวมากมายที่อเมริกาตัดตังสนับสนุนองค์กรต่างๆสากลทั่วโลกมากมายแบบในไทยก็ตรึม,องค์กรมือที่สามป่วนไทยก็หายไปไม่น้อยจากที่อเมริกาตัดตังก่อกวนไทยไป อเมริกาเรียกตังคืนกลับตรึมก็ว่า,ไทยก็ช่วยๆอเมริกไปเถอะในบรรดาเจ้าสัวเครือข่ายอิลิทdeep stateทั้งหลายกอบโกยตังทำรายได้กำไรในอเมริกาก็มานานพอแล้ว,หรือฟอกตังในอเมริกาจนเสียนาน ส่งกลับอเมริกาเสียนานให้นายเจ้านายอีลิทมันในนามว่าส่งออก อ้างส่งออกก็ว่า,ตู้คอนเทนเนอร์อาจบรรทุกแต่ตังแต่ทองส่งนายมันที่อเมริกาตรึมนั้นล่ะ,ทรัมป์ดีกคอเก็บส่วยเสียเลยกับพวกค้าเถื่อนค้ายาค้ามนุษย์เข้าอเมริกาในการอ้างว่าส่งออกนัันก็ว่า,เพราะสาระพัดเหี้ยมันเยอะแยะโคตรๆในอเมริกาไม่น้อยนั้นล่ะ,ประชาชนคนไทยธรรมดาจริงๆไม่กระทบหรือไม่รับรู้อะไรเลย,ดีเสียอีกจะได้ใช้ของถูกของดีมีคุณภาพมาตราฐานดีของอเมริกา,ช่วยอเมริกาช่วยจีนช่วยรัสเชียผ่านพ้นวิกฤติร่วมกันในโลกจะเป็นอะไร,เราก็ใช้ของถูกๆแบบจีนเป็นต้น,อะไรยังไม่ดีไม่ทนแข็งแรงไร้มาตราฐานในส่วนของจีนเราก็แจ้งเขาไปให้ปรับปรุงให้ดีขึ้นร่วมกัน คนจีนดีๆก็มีมากมายในจีน ไม่เหมารวมว่าจีนชั่วเลวทั้งหมด,การค้าขายก็เอาใจเขามาใส่ใจเราก็ยั่งยืนในมิตรภาพการค้าต่างๆที่หลากหลายมิติก็ว่า.
    555,สุดท้ายก็ยังไม่ถีบให้จบจริงกับพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลเลย,จริงๆอเมริกานำโดยทรัมป์ไม่ต้องอ้างภาษีก็ได้เพื่อช่วยอเมริกากำลังล้มละลายในประเทศจากหนี้สินกว่า36-37ล้านล้านเหรียญและภายใน5-10ปีอาจกว่า100ล้านล้านเหรียญในอนาคต,อเมริกาสมควรมาเอาเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทยไปปรับใช้จริงจังในบรรดาผู้ดีคนอเมริกาทั้งหลายที่จมไม่เป็น อาจฟื้นคืนชีพทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วย,ไม่ต้องไปเรียกเก็บส่วยทางอ้อมแก่ประเทศต่างๆทั่วโลกหรอก,ขอร้องประเทศต่างๆช่วยอเมริกาส่งตังในรูปแบบภาษีเพื่อเอาไปจ่ายหนี้อเมริกาอย่างเปิดเผยก็ได้,อเมริกาฉันกำลังกรอบก็ว่า ช่วยด้วยประมาณนั้น เห็นชัดที่มีข่าวมากมายที่อเมริกาตัดตังสนับสนุนองค์กรต่างๆสากลทั่วโลกมากมายแบบในไทยก็ตรึม,องค์กรมือที่สามป่วนไทยก็หายไปไม่น้อยจากที่อเมริกาตัดตังก่อกวนไทยไป อเมริกาเรียกตังคืนกลับตรึมก็ว่า,ไทยก็ช่วยๆอเมริกไปเถอะในบรรดาเจ้าสัวเครือข่ายอิลิทdeep stateทั้งหลายกอบโกยตังทำรายได้กำไรในอเมริกาก็มานานพอแล้ว,หรือฟอกตังในอเมริกาจนเสียนาน ส่งกลับอเมริกาเสียนานให้นายเจ้านายอีลิทมันในนามว่าส่งออก อ้างส่งออกก็ว่า,ตู้คอนเทนเนอร์อาจบรรทุกแต่ตังแต่ทองส่งนายมันที่อเมริกาตรึมนั้นล่ะ,ทรัมป์ดีกคอเก็บส่วยเสียเลยกับพวกค้าเถื่อนค้ายาค้ามนุษย์เข้าอเมริกาในการอ้างว่าส่งออกนัันก็ว่า,เพราะสาระพัดเหี้ยมันเยอะแยะโคตรๆในอเมริกาไม่น้อยนั้นล่ะ,ประชาชนคนไทยธรรมดาจริงๆไม่กระทบหรือไม่รับรู้อะไรเลย,ดีเสียอีกจะได้ใช้ของถูกของดีมีคุณภาพมาตราฐานดีของอเมริกา,ช่วยอเมริกาช่วยจีนช่วยรัสเชียผ่านพ้นวิกฤติร่วมกันในโลกจะเป็นอะไร,เราก็ใช้ของถูกๆแบบจีนเป็นต้น,อะไรยังไม่ดีไม่ทนแข็งแรงไร้มาตราฐานในส่วนของจีนเราก็แจ้งเขาไปให้ปรับปรุงให้ดีขึ้นร่วมกัน คนจีนดีๆก็มีมากมายในจีน ไม่เหมารวมว่าจีนชั่วเลวทั้งหมด,การค้าขายก็เอาใจเขามาใส่ใจเราก็ยั่งยืนในมิตรภาพการค้าต่างๆที่หลากหลายมิติก็ว่า.
    ภาษีทรัมป์ 36% ภาษีกูบินอเมริกา-จ้างล็อบบี้ยิสต์

    รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นอกจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาทที่ไม่เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจแล้ว สงครามการค้าของสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% มาตั้งแต่เดือน เม.ย. แต่รัฐบาลกลับสนใจช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกรัฐมนตรี ให้นอนในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลโดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว และการเปิดบ่อนกาสิโนภายใต้โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ตามเวลาในประเทศไทย ประธานาธิบดีทรัมป์ ทำหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรักษาราชการนายกรัฐมนตรี (ระบุชื่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ว่า สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป ส่วนจะแก้ไขให้ภาษีขึ้นหรือลง ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หลายประเทศในอาเซียนเจออัตราแตกต่างกันไป เช่น ลาวและเมียนมา 40% กัมพูชา 36% เท่ากับไทย อินโดนีเซีย 32% มาเลเซีย 25% ส่วนเวียดนามก่อนหน้านี้ตกลงกันที่ 20-40% แลกกับยอมเปิดทางให้สหรัฐฯ ส่งสินค้าเข้าเวียดนามโดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร

    สังคมตั้งคำถามไปยังนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง หัวหน้าทีมไทยแลนด์ ที่ยกโขยงไปเจรจาเรื่องภาษีทรัมป์ที่สหรัฐอเมริกา แล้วปรากฎว่าได้พบเพียงแค่ระดับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เท่านั้น ต่างจากเวียดนามที่นอกจากโต เลิม ผู้นำระดับสูงของเวียดนามโทร.คุยกับทรัมป์โดยตรงแล้ว การเจรจายังคุยกันถึงระดับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ พอประธานาธิบดีทรัมป์ยืนกรานอัตราภาษี 36% นายพิชัยถึงกับช็อก บอกว่ามีตกใจบ้างแต่เลยจุดนี้มาแล้ว อ้างว่ายังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอใหม่ที่ส่งไปเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ซึ่งจะใช้ระยะเวลาที่เหลือจากนี้เจรจาให้ทันก่อนเดดไลน์

    แม้นายพิชัยอ้างว่าไทยยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ ไม่น้อย ลดภาษีนำเข้าให้กับสินค้าสหรัฐฯ กว่า 90% ของสินค้าที่นำเข้ามาไทย แถมบางรายการภาษี 0% แต่มีประมาณ 10% ที่ไทยให้ไม่ได้ เพราะต้องดูแลผู้ประกอบการในประเทศ และไม่ให้กระทบกับสินค้าประเทศอื่นที่ไทยทำ FTA เอาไว้ แต่ไม่ได้บอกสังคมแน่ชัดว่ามีอะไรบ้าง อีกสิ่งหนึ่งที่สังคมตั้งคำถาม ก่อนหน้านี้นายพิชัยและคณะทีมไทยแลนด์เดินทางไปสหรัฐอเมริกา ใช้งบประมาณมหาศาล อย่างน้อยเครื่องบินชั้นบิสซิเนสคลาส พักที่โรงแรมหรู แถมยังจ้างล็อบบี้ยิสต์ 87.4 ล้านบาท แต่ผลที่ได้กลับบ้านมือเปล่า ถือว่าทำงานคุ้มกับภาษีประชาชนที่จ่ายไปหรือไม่?

    #Newskit
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว

    แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว

    ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย

    Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ

    พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน  
    • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน

    การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ

    แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้

    หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท

    ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค

    https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ ‼️ พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน   • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน ‼️ การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ ‼️ แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้ ‼️ หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท ‼️ ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech layoffs show AI's impact extends beyond entry-level roles
    Some within the industry, like Dario Amodei of Anthropic, argue that entry-level positions are most susceptible because their tasks are more easily automated. Amodei said that AI...
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
More Results