• เริ่มนับหนึ่ง!
    "กรีนแลนด์อาจกลายเป็นเอกราชได้ แต่จะไม่ใช่รัฐของสหรัฐ"
    ลาร์ส ล็อกเก้ ราสมุสเซน (Lars Løkke Rasmussen) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก

    หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ปฏิเสธที่จะตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังเข้าควบคุมเกาะอาร์กติก รัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์กกล่าวเมื่อวันพุธว่า กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก อาจกลายเป็นเอกราชได้ หากประชาชนต้องการ
    "แต่มันไม่น่าจะกลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐ"
    (but it is unlikely to become a U.S. state)
    เริ่มนับหนึ่ง! "กรีนแลนด์อาจกลายเป็นเอกราชได้ แต่จะไม่ใช่รัฐของสหรัฐ" ลาร์ส ล็อกเก้ ราสมุสเซน (Lars Løkke Rasmussen) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ปฏิเสธที่จะตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังเข้าควบคุมเกาะอาร์กติก รัฐมนตรีต่างประเทศเดนมาร์กกล่าวเมื่อวันพุธว่า กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก อาจกลายเป็นเอกราชได้ หากประชาชนต้องการ "แต่มันไม่น่าจะกลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐ" (but it is unlikely to become a U.S. state)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ”

    ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น

    ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์

    มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์
    - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ

    - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

    สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร

    ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก

    ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง

    “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก”

    “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ”

    การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง

    "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น"

    แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย

    ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์

    “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017

    ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ”
    “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม

    การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน
    แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก"

    ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก
    🎯กรีนแลนด์
    ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ”

    🎯อ่าวเม็กซิโก
    ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม”

    🎯แคนาดา
    ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า”

    🎯คลองปานามา
    “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด”

    ❌“ไม่ขาย”
    ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย”

    “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

    “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี
    .
    ลิ้งค์ต้นทาง:
    https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ” ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์ - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก” “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ” การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น" แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017 ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ” “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก" ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก 🎯กรีนแลนด์ ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” 🎯อ่าวเม็กซิโก ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม” 🎯แคนาดา ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า” 🎯คลองปานามา “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด” ❌“ไม่ขาย” ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย” “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี . ลิ้งค์ต้นทาง: https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ข่มขู่ใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ประกาศใช้มาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจเพื่อผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา
    .
    ภายหลังรัฐสภาสหรัฐฯประกาศรับรองอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (7) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้ได้เชิญพวกผู้สื่อข่าวไปที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก ของเขา ในรัฐฟลอริดา เพื่อประกาศโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก่อนที่บรรยากาศของการแถลงข่าวจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับช่วงการหาเสียงอย่างรวดเร็ว
    .
    ทรัมป์ที่จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ที่จะถึงนี้ เริ่มต้นด้วยการอวดอ้างว่า นับจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง ความคิดของทั่วโลกก็เปลี่ยนไป และผู้คนจากประเทศต่างๆ โทรศัพท์มาขอบคุณเขา
    .
    มหาเศรษฐีจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็น “อ่าวอเมริกา” พร้อมขู่รีดภาษี ถ้าเม็กซิโกไม่จัดการปัญหาผู้อพยพลักลอบข้ามพรมแดนเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทรัมป์ยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเพื่อยึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนในอธิปไตยของเดนมาร์ก ตลอดจนคลองปานามา ที่เขาระบุว่าอยากได้มานานแล้ว ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ผู้เพิ่งล่วงลับ ที่อนุญาตให้ปานามาเข้าควบคุมคลองปานามาแทนที่สหรัฐฯ เมื่อตอนที่เป็นประธานาธิบดี
    .
    เกี่ยวกับแคนาดาที่ทรัมป์คุยฟุ้งมาหลายหนแล้วว่า จะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกานั้น ล่าสุดเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้กำลังทหารบุกแคนาดาหรือไม่ ว่าที่ประมุขทำเนียบขาวตอบว่า จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และสำทับว่า การลบ “เส้นเขตแดนที่มนุษย์กำหนดขึ้น” ระหว่างพรมแดนอเมริกากับแคนาดาน่าจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
    .
    แม้มีความยากลำบากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการมุ่งโอ้อวดและปล่อยมุกมุ่งสร้างอารมณ์ขันของทรัมป์ กับการมุ่งมั่นดำเนินนโยบายที่แท้จริง แต่การประกาศเหล่านี้อีกคำรบหนึ่งของเขา ก็ถูกมองว่า เป็นการตอกย้ำวาทกรรมเกี่ยวกับการขยายดินแดน และทำให้ถูกต่อต้านจากพวกประเทศที่ถูกพาดพิงถึง
    .
    เริ่มจากนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่ตอบโต้ว่า ไม่มีทางที่แคนาดาจะผนวกกับอเมริกา
    .
    ด้าน ฌาเวียร์ มาร์ติเนซ-อาชา รัฐมนตรีต่างประเทศปานามา ยืนกรานว่า อธิปไตยคลองปานามาเป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้ และสำทับว่า ผู้ที่ควบคุมคลองปานามาในเวลานี้มีเพียงปานามาเท่านั้นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเป็นการตอบโต้การกล่าวหาอย่างเป็นเท็จของทรัมป์ที่ว่า ปัจจุบันทหารจีนเป็นผู้ควบคุมคลองแห่งนี้ ที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิก
    .
    ทั้งนี้ อเมริกาเป็นผู้ขุดคลองปานามา และตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนในสมัยประธานาธิบีดคาร์เตอร์ ได้ยินยอมมอบสิทธิในการควบคุมดูแลคืนให้รัฐบาลปานามา
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังทำให้ยุโรปขุ่นเคืองด้วยการเสนอซื้อกรีนแลนด์ เกาะใหญ่ในอาร์กติกซึ่งปัจจุบันมีฐานทัพของอเมริกาตั้งอยู่ด้วย
    .
    ก่อนที่ทรัมป์จะพูดพาดพิงถึงกรีนแลนด์ในครั้งนี้ไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ได้เดินทางไปยังเกาะนี้ โดยระบุว่า เป็นทริปส่วนตัวและไม่มีกำหนดการพบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแต่อย่างใด
    .
    กรีนแลนด์เป็นเขตปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา และสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
    .
    นายกรัฐมนตรีเมตเทอ เฟรเดริกเซน ของเดนมาร์ก แสดงปฏิกิริยาโดยให้สัมภาษณ์สถานีทีวี2 ของแดนโคนมว่า อเมริกาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดและสำคัญที่สุดของเดนมาร์ก และเธอไม่เชื่อว่า อเมริกาจะใช้อำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจเพื่อเข้ายึดกรีนแลนด์
    .
    ไม่เพียงระรานดินแดนของหลายประเทศ ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวครั้งนี้ ทรัมป์ยังโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรื่องถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ความขัดแย้งในยูเครนและซีเรีย รวมทั้งย้ำข้อกล่าวอ้างอย่างผิดข้อเท็จจริงที่ว่า ระหว่างที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น อเมริกา “ไม่เคยมีสงคราม”
    .
    เขายังกล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในปัจจบันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โดยไม่เอ่ยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตัวเขาเองไม่เคยยอมรับว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่ ไบเดน อีกทั้งไม่ยอมไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดน
    .
    ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่า อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องทางกฎหมายมากมายหลายคดีที่ตนเองเผชิญอยู่ และขู่ว่า จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำเดโมแครตในการห้ามการพัฒนาโครงการก๊าซและน้ำมันนอกชายฝั่งอเมริกา
    .
    ทรัมป์ปิดท้ายค่ำวันอังคารด้วยการโพสต์มีมภาพแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหรัฐฯอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002351
    ..............
    Sondhi X
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ข่มขู่ใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ประกาศใช้มาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจเพื่อผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา . ภายหลังรัฐสภาสหรัฐฯประกาศรับรองอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (7) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้ได้เชิญพวกผู้สื่อข่าวไปที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก ของเขา ในรัฐฟลอริดา เพื่อประกาศโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก่อนที่บรรยากาศของการแถลงข่าวจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับช่วงการหาเสียงอย่างรวดเร็ว . ทรัมป์ที่จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ที่จะถึงนี้ เริ่มต้นด้วยการอวดอ้างว่า นับจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง ความคิดของทั่วโลกก็เปลี่ยนไป และผู้คนจากประเทศต่างๆ โทรศัพท์มาขอบคุณเขา . มหาเศรษฐีจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็น “อ่าวอเมริกา” พร้อมขู่รีดภาษี ถ้าเม็กซิโกไม่จัดการปัญหาผู้อพยพลักลอบข้ามพรมแดนเข้าสู่อเมริกา . ทรัมป์ยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเพื่อยึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนในอธิปไตยของเดนมาร์ก ตลอดจนคลองปานามา ที่เขาระบุว่าอยากได้มานานแล้ว ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ผู้เพิ่งล่วงลับ ที่อนุญาตให้ปานามาเข้าควบคุมคลองปานามาแทนที่สหรัฐฯ เมื่อตอนที่เป็นประธานาธิบดี . เกี่ยวกับแคนาดาที่ทรัมป์คุยฟุ้งมาหลายหนแล้วว่า จะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกานั้น ล่าสุดเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้กำลังทหารบุกแคนาดาหรือไม่ ว่าที่ประมุขทำเนียบขาวตอบว่า จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และสำทับว่า การลบ “เส้นเขตแดนที่มนุษย์กำหนดขึ้น” ระหว่างพรมแดนอเมริกากับแคนาดาน่าจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ . แม้มีความยากลำบากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการมุ่งโอ้อวดและปล่อยมุกมุ่งสร้างอารมณ์ขันของทรัมป์ กับการมุ่งมั่นดำเนินนโยบายที่แท้จริง แต่การประกาศเหล่านี้อีกคำรบหนึ่งของเขา ก็ถูกมองว่า เป็นการตอกย้ำวาทกรรมเกี่ยวกับการขยายดินแดน และทำให้ถูกต่อต้านจากพวกประเทศที่ถูกพาดพิงถึง . เริ่มจากนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่ตอบโต้ว่า ไม่มีทางที่แคนาดาจะผนวกกับอเมริกา . ด้าน ฌาเวียร์ มาร์ติเนซ-อาชา รัฐมนตรีต่างประเทศปานามา ยืนกรานว่า อธิปไตยคลองปานามาเป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้ และสำทับว่า ผู้ที่ควบคุมคลองปานามาในเวลานี้มีเพียงปานามาเท่านั้นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเป็นการตอบโต้การกล่าวหาอย่างเป็นเท็จของทรัมป์ที่ว่า ปัจจุบันทหารจีนเป็นผู้ควบคุมคลองแห่งนี้ ที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิก . ทั้งนี้ อเมริกาเป็นผู้ขุดคลองปานามา และตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนในสมัยประธานาธิบีดคาร์เตอร์ ได้ยินยอมมอบสิทธิในการควบคุมดูแลคืนให้รัฐบาลปานามา . ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังทำให้ยุโรปขุ่นเคืองด้วยการเสนอซื้อกรีนแลนด์ เกาะใหญ่ในอาร์กติกซึ่งปัจจุบันมีฐานทัพของอเมริกาตั้งอยู่ด้วย . ก่อนที่ทรัมป์จะพูดพาดพิงถึงกรีนแลนด์ในครั้งนี้ไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ได้เดินทางไปยังเกาะนี้ โดยระบุว่า เป็นทริปส่วนตัวและไม่มีกำหนดการพบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแต่อย่างใด . กรีนแลนด์เป็นเขตปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา และสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) . นายกรัฐมนตรีเมตเทอ เฟรเดริกเซน ของเดนมาร์ก แสดงปฏิกิริยาโดยให้สัมภาษณ์สถานีทีวี2 ของแดนโคนมว่า อเมริกาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดและสำคัญที่สุดของเดนมาร์ก และเธอไม่เชื่อว่า อเมริกาจะใช้อำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจเพื่อเข้ายึดกรีนแลนด์ . ไม่เพียงระรานดินแดนของหลายประเทศ ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวครั้งนี้ ทรัมป์ยังโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรื่องถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ความขัดแย้งในยูเครนและซีเรีย รวมทั้งย้ำข้อกล่าวอ้างอย่างผิดข้อเท็จจริงที่ว่า ระหว่างที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น อเมริกา “ไม่เคยมีสงคราม” . เขายังกล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในปัจจบันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โดยไม่เอ่ยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตัวเขาเองไม่เคยยอมรับว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่ ไบเดน อีกทั้งไม่ยอมไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดน . ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่า อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องทางกฎหมายมากมายหลายคดีที่ตนเองเผชิญอยู่ และขู่ว่า จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำเดโมแครตในการห้ามการพัฒนาโครงการก๊าซและน้ำมันนอกชายฝั่งอเมริกา . ทรัมป์ปิดท้ายค่ำวันอังคารด้วยการโพสต์มีมภาพแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหรัฐฯอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002351 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้แนะว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา อย่างเป็นทางการ หลัง จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาแถลงเตรียมลาออกจากตำแหน่ง
    .
    ทรูโด ประกาศลาออกในวันจันทร์(6ม.ค.) อ้างถึง "การต่อสู้" ภายในพรรคลิเบอรัลของเขา อย่างไรก็ตาม ทรูโด จะยังคงทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไปจนกว่าจะการเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ ซึ่งจะก้าวมาเป็นผู้นำ ไปจนถึงศึกเลือกตั้งทั่วไปรอบใหม่ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม
    .
    "ผู้คนจำนวนมากในแคนาดา อยากเป็นรัฐที่ 51" ทรัมป์ โพสต์ข้อความบนทรัตช์ โซเชียล แพลตฟอร์มของเขาเองเมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์(6ม.ค.) "สหรัฐฯอาจไม่ทนได้อีกต่อไปแล้วกับการขาดดุลการค้ามหาศาลและการอุดหนุน ที่มีความจำเป็นเพื่อให้แคนาดายังคงยืนหยัดอยู่ได้ จัสติน ทรูโด ทราบเรื่องนี้ดี"
    .
    "ถ้าแคนาดาผนวกเข้ากับสหรัฐฯ จะไม่มีมาตรการรีดภาษี แคนาดาจะจ่ายภาษีต่ำลง และจะได้รับการคุ้มกันโดยสมบูรณ์ จากภัยคุกคามของกองเรือรัสเซียและจีน ที่ล้อมกรอบพวกเขาอยู่เป็นนิจ" ทรัมป์กล่าว "เมื่อรวมกัน สิ่งที่จะเป็นก็คือ ประเทศที่ยิ่งใหญ่"
    .
    ดูเหมือนว่าการลาออกของทรูโด เกิดจากแรงกดดันภายในพรรค ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคำขู่รีดภาษี 25% ของทรัมป์ ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาเพื่อนบ้านทั้ง 2 ชาติ ปล่อยให้ผู้อพยพ อาชญากรและพวกค้ายา ลักลอบเข้าสู่อเมริกา ขณะเดียวกันก็มีตัวเลขเกินดุลการค้าอย่างไม่ยุติธรรมกับสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการละเมิดสนธิสัญญาการค้าเสรีต่างๆนานา
    .
    ทั้งนี้มาตรการรีดภาษีของทรัมป์ ได้จุดชนวนการลาออกของ คริสเตียน ฟรีแลนด์ รองนายกรัฐมนตรีแคนาดา ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางรอยร้าวที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆภายในพรรคลิเบอรัล
    .
    ผู้นำแคนาดา พยายามหารือในประเด็นนี้กับ ทรัมป์ โดยตรง ถึงขั้นบินไปยังบ้านพักของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามระหว่างรับประทานอาหารค่ำ ณ รีสอร์ทมาร์อาลาโก ทาง ทรัมป์ ได้ปล่อยมุขเรียก ทรูโด ว่าเป็น "ผู้การรัฐ" และพูดติดตลกว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา
    .
    ทรัมป์ ยังคงพูดจาหยอกล้อมานับตั้งแต่นั้น โดยหนหนึ่งถึงขั้นคาดการณ์ว่า แคนาดา อาจถึงขั้นถูกแบ่งเป็น 2 รัฐ รัฐหนึ่งเป็นรัฐเสรีนิยม ส่วนอีกรัฐเป็นรัฐอนุรักษ์นิยม นอกจากนี้แล้วเขายังพูดเกี่ยวกับการขอซื้อกรีนแลนด์ หมู่เกาะในอาร์กติก ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ซึ่งตั้งนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา
    .
    แม้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของออตตาวา ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการรวมชาติตามคำพูดของทรัมป์ แต่ เควิน โอเลียรี เศรษฐีนักลงทุนและดาราดังเรียลิตีโชว์ของแคนาดา อ้างว่ามีชาวแคนาดาราวๆครึ่งหนึ่งที่สนับสนุนในเรื่องนี้
    .
    โพสต์ล่าสุดของทรัมป์เกี่ยวกับแคนาดา มีขึ้นไม่นานก่อนสภาคองเกรสให้การรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 รับประกันว่าเขาจะสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001596
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้แนะว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา อย่างเป็นทางการ หลัง จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาแถลงเตรียมลาออกจากตำแหน่ง . ทรูโด ประกาศลาออกในวันจันทร์(6ม.ค.) อ้างถึง "การต่อสู้" ภายในพรรคลิเบอรัลของเขา อย่างไรก็ตาม ทรูโด จะยังคงทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไปจนกว่าจะการเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ ซึ่งจะก้าวมาเป็นผู้นำ ไปจนถึงศึกเลือกตั้งทั่วไปรอบใหม่ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม . "ผู้คนจำนวนมากในแคนาดา อยากเป็นรัฐที่ 51" ทรัมป์ โพสต์ข้อความบนทรัตช์ โซเชียล แพลตฟอร์มของเขาเองเมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์(6ม.ค.) "สหรัฐฯอาจไม่ทนได้อีกต่อไปแล้วกับการขาดดุลการค้ามหาศาลและการอุดหนุน ที่มีความจำเป็นเพื่อให้แคนาดายังคงยืนหยัดอยู่ได้ จัสติน ทรูโด ทราบเรื่องนี้ดี" . "ถ้าแคนาดาผนวกเข้ากับสหรัฐฯ จะไม่มีมาตรการรีดภาษี แคนาดาจะจ่ายภาษีต่ำลง และจะได้รับการคุ้มกันโดยสมบูรณ์ จากภัยคุกคามของกองเรือรัสเซียและจีน ที่ล้อมกรอบพวกเขาอยู่เป็นนิจ" ทรัมป์กล่าว "เมื่อรวมกัน สิ่งที่จะเป็นก็คือ ประเทศที่ยิ่งใหญ่" . ดูเหมือนว่าการลาออกของทรูโด เกิดจากแรงกดดันภายในพรรค ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคำขู่รีดภาษี 25% ของทรัมป์ ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวหาเพื่อนบ้านทั้ง 2 ชาติ ปล่อยให้ผู้อพยพ อาชญากรและพวกค้ายา ลักลอบเข้าสู่อเมริกา ขณะเดียวกันก็มีตัวเลขเกินดุลการค้าอย่างไม่ยุติธรรมกับสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการละเมิดสนธิสัญญาการค้าเสรีต่างๆนานา . ทั้งนี้มาตรการรีดภาษีของทรัมป์ ได้จุดชนวนการลาออกของ คริสเตียน ฟรีแลนด์ รองนายกรัฐมนตรีแคนาดา ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางรอยร้าวที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆภายในพรรคลิเบอรัล . ผู้นำแคนาดา พยายามหารือในประเด็นนี้กับ ทรัมป์ โดยตรง ถึงขั้นบินไปยังบ้านพักของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามระหว่างรับประทานอาหารค่ำ ณ รีสอร์ทมาร์อาลาโก ทาง ทรัมป์ ได้ปล่อยมุขเรียก ทรูโด ว่าเป็น "ผู้การรัฐ" และพูดติดตลกว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา . ทรัมป์ ยังคงพูดจาหยอกล้อมานับตั้งแต่นั้น โดยหนหนึ่งถึงขั้นคาดการณ์ว่า แคนาดา อาจถึงขั้นถูกแบ่งเป็น 2 รัฐ รัฐหนึ่งเป็นรัฐเสรีนิยม ส่วนอีกรัฐเป็นรัฐอนุรักษ์นิยม นอกจากนี้แล้วเขายังพูดเกี่ยวกับการขอซื้อกรีนแลนด์ หมู่เกาะในอาร์กติก ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ซึ่งตั้งนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา . แม้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของออตตาวา ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการรวมชาติตามคำพูดของทรัมป์ แต่ เควิน โอเลียรี เศรษฐีนักลงทุนและดาราดังเรียลิตีโชว์ของแคนาดา อ้างว่ามีชาวแคนาดาราวๆครึ่งหนึ่งที่สนับสนุนในเรื่องนี้ . โพสต์ล่าสุดของทรัมป์เกี่ยวกับแคนาดา มีขึ้นไม่นานก่อนสภาคองเกรสให้การรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 รับประกันว่าเขาจะสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001596 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    Wow
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเดนมาร์กแถลงเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองครั้งใหญ่ สำหรับเกาะกรีนแลนด์ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พูดย้ำอีกครั้งเกี่ยวกับความปรารถนาของเขาที่อยากซื้อดินแดนในอาร์กติกแห่งนี้
    .
    โทรเอลส์ ลุนด์ พอลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์ก บอกว่าแพกเกจใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองสำหรับเกาะกรีนแลนด์ จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวสู่หลักพันล้านโครเนอ หรืออย่างน้อยๆ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    .
    เขาให้คำจำกัดความกรอบเวลาของการแถลงครั้งนี้ว่าราวกับเป็น "โชคชะตาเล่นตลก" หลังจากเมื่อวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ทรัมป์ กล่าวว่าการเป็นเจ้าของและการควบคุมเกาะขนาดใหญ่แห่งนี้ "เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง" สำหรับสหรัฐฯ
    .
    เกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เป็นที่ตั้งของฐานทัพอวกาศขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับอเมริกา เนื่องจากมันตั้งอยู่บนเส้นทางที่สั้นที่สุดจากอเมริกาเหนือสู่ยุโรป ขณะเดียวกัน มันยังมีทรัพยากรแร่อันสำคัญด้วย
    .
    พอลเซน บอกว่าแพกเกจนี้จะเปิดทางสำหรับจัดซื้อเรือตรวจการณ์ใหม่ 2 ลำ โดรนพิสัยไกลใหม่ 2 ลำ และทีมลากเลื่อนสุนัขพิเศษ 2 ชุด
    .
    นอกจากนี้ แพกเกจดังกล่าวยังรวมถึงเงินทุนสำหรับเพิ่มจำนวนบุคลากรในกองบัญชาการอาร์กติกในเมืองนุก เมืองเอกของเกาะกรีนแลนด์ และปรับปรุงยกระดับหนึ่งในท่าอากาศยานพลเมืองหลักที่มีอยู่ 3 แห่งบนเกาะกรีนแลนด์ เพื่อรองรับเครื่องบินขับไล่ซูเปอร์โซนิก F-35 "เราลงทุนในอาร์ติกไม่มากพอมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้เรากำลังมีแผนยกระดับประจำการเข้มแข็งขึ้น" พอลเซนระบุ
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ไม่ได้ให้ตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับแพกเกจดังกล่าว แต่สื่อมวลชนเดนมาร์กคาดหมายว่ามันน่าจะอยู่ที่ราว 12,000 ล้าน ถึง 15,000 ล้านโครเนอ
    .
    ถ้อยแถลงนี้มีขึ้น 1 วัน หลังจาก ทรัมป์ ระบุบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่า "เพื่อจุดประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติและเสรีภาพทั่วทั้งโลก สหรัฐอเมริการู้สึกว่าการเป็นเจ้าของและการควบคุมเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุด"
    .
    มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ ตอบโต้ความเห็นของทรัมป์ บอกว่า "เราไม่ได้มีไว้ขาย" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าชาวกรีนแลนด์ควรยังคงเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือและการค้า โดยเฉพาะกับบรรดาชาติเพื่อนบ้าน
    .
    พวกนักวิเคราะห์บอกว่าแผนยกระดับป้องกันเกาะกรีนแลนด์ อยู่ภายใต้การพูดคุยหารือมานานแล้ว และไม่ควรถูกมองว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อความเห็นของทรัมป์
    .
    เหล่านักวิเคราะห์มองว่าจนถึงตอนนี้ เดนมาร์ก ยกระดับศักยภาพทางทหารบนเกาะกรีนแลนด์ค่อนข้างช้ามากๆ และหากประเทศแห่งนี้ไม่อาจปกป้องน่านน้ำต่างๆ รอบเกาะจากการล่วงล้ำของจีนและรัสเซีย เมื่อนั้นความต้องการของสหรัฐฯ ในการควบคุมเกาะแห่งนี้ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
    .
    นายพลสตีน เคียร์การ์ด แห่งสถาบันป้องกันตนเองเดนมาร์ก เชื่อว่าบางทีทรัมป์อาจมีเจตนากดดันให้เดนมาร์ก เคลื่อนไหวดังกล่าว "มีความเป็นไปได้ที่ความเคลื่อนไหวนี้จะถูกจุดชนวนจากคำพูดของทรัมป์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่มุ่งเน้นถึงความจำเป็นสำหรับการควบคุมทางอากาศและทางทะเลรอบเกาะกรีนแลนด์และการพัฒนาต่างๆ ภายในกรีนแลนด์ ดินแดนที่ผู้คนบางส่วนจ้องมองไปยังสหรัฐฯ และเพิ่งเปิดตัวสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเมืองนุก"
    .
    เขาบอกกับบีบีซีต่อว่า "ผมคิดว่าทรัมป์ฉลาด เขาทำให้เดนมาร์กให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพทางทหารในอาร์กติก ด้วยสุ้มเสียงนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรับช่วงต่อระบบสวัสดิการใดๆ ที่ไม่ใช่อเมริกา" เขากล่าว อ้างถึงกรณีที่เกาะกรีนแลนด์ ต้องพึ่งพิงเงินสนับสนุนจากเดนมาร์กเป็นอย่างมาก
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2019 ทรัมป์เคยแนะนำให้สหรัฐฯ ซื้อเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก แต่มันนำมาซึ่งเสียงประณามดุด่าอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำเกาะ
    .
    ในตอนนั้น เมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ณ ขณะนั้น ให้คำจำกัดความแนวคิดดังกล่าวว่า "ไร้สาระ" ซึ่งมันกระตุ้นให้ ทรัมป์ ยกเลิกทริปเดินทางไปยังเดนมาร์ก ในการเยือนแบบรัฐพิธี
    .
    ทรัมป์ ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่บ่งชี้ว่าอยากซื้อเกาะกรีนแลนด์ แนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1860 ภายใต้ประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123564
    ..............
    Sondhi X
    รัฐบาลเดนมาร์กแถลงเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองครั้งใหญ่ สำหรับเกาะกรีนแลนด์ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พูดย้ำอีกครั้งเกี่ยวกับความปรารถนาของเขาที่อยากซื้อดินแดนในอาร์กติกแห่งนี้ . โทรเอลส์ ลุนด์ พอลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์ก บอกว่าแพกเกจใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองสำหรับเกาะกรีนแลนด์ จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวสู่หลักพันล้านโครเนอ หรืออย่างน้อยๆ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ . เขาให้คำจำกัดความกรอบเวลาของการแถลงครั้งนี้ว่าราวกับเป็น "โชคชะตาเล่นตลก" หลังจากเมื่อวันจันทร์ (23 ธ.ค.) ทรัมป์ กล่าวว่าการเป็นเจ้าของและการควบคุมเกาะขนาดใหญ่แห่งนี้ "เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง" สำหรับสหรัฐฯ . เกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เป็นที่ตั้งของฐานทัพอวกาศขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับอเมริกา เนื่องจากมันตั้งอยู่บนเส้นทางที่สั้นที่สุดจากอเมริกาเหนือสู่ยุโรป ขณะเดียวกัน มันยังมีทรัพยากรแร่อันสำคัญด้วย . พอลเซน บอกว่าแพกเกจนี้จะเปิดทางสำหรับจัดซื้อเรือตรวจการณ์ใหม่ 2 ลำ โดรนพิสัยไกลใหม่ 2 ลำ และทีมลากเลื่อนสุนัขพิเศษ 2 ชุด . นอกจากนี้ แพกเกจดังกล่าวยังรวมถึงเงินทุนสำหรับเพิ่มจำนวนบุคลากรในกองบัญชาการอาร์กติกในเมืองนุก เมืองเอกของเกาะกรีนแลนด์ และปรับปรุงยกระดับหนึ่งในท่าอากาศยานพลเมืองหลักที่มีอยู่ 3 แห่งบนเกาะกรีนแลนด์ เพื่อรองรับเครื่องบินขับไล่ซูเปอร์โซนิก F-35 "เราลงทุนในอาร์ติกไม่มากพอมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้เรากำลังมีแผนยกระดับประจำการเข้มแข็งขึ้น" พอลเซนระบุ . รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ไม่ได้ให้ตัวเลขที่ชัดเจนเกี่ยวกับแพกเกจดังกล่าว แต่สื่อมวลชนเดนมาร์กคาดหมายว่ามันน่าจะอยู่ที่ราว 12,000 ล้าน ถึง 15,000 ล้านโครเนอ . ถ้อยแถลงนี้มีขึ้น 1 วัน หลังจาก ทรัมป์ ระบุบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ว่า "เพื่อจุดประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติและเสรีภาพทั่วทั้งโลก สหรัฐอเมริการู้สึกว่าการเป็นเจ้าของและการควบคุมเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุด" . มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ ตอบโต้ความเห็นของทรัมป์ บอกว่า "เราไม่ได้มีไว้ขาย" อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าชาวกรีนแลนด์ควรยังคงเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือและการค้า โดยเฉพาะกับบรรดาชาติเพื่อนบ้าน . พวกนักวิเคราะห์บอกว่าแผนยกระดับป้องกันเกาะกรีนแลนด์ อยู่ภายใต้การพูดคุยหารือมานานแล้ว และไม่ควรถูกมองว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อความเห็นของทรัมป์ . เหล่านักวิเคราะห์มองว่าจนถึงตอนนี้ เดนมาร์ก ยกระดับศักยภาพทางทหารบนเกาะกรีนแลนด์ค่อนข้างช้ามากๆ และหากประเทศแห่งนี้ไม่อาจปกป้องน่านน้ำต่างๆ รอบเกาะจากการล่วงล้ำของจีนและรัสเซีย เมื่อนั้นความต้องการของสหรัฐฯ ในการควบคุมเกาะแห่งนี้ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ . นายพลสตีน เคียร์การ์ด แห่งสถาบันป้องกันตนเองเดนมาร์ก เชื่อว่าบางทีทรัมป์อาจมีเจตนากดดันให้เดนมาร์ก เคลื่อนไหวดังกล่าว "มีความเป็นไปได้ที่ความเคลื่อนไหวนี้จะถูกจุดชนวนจากคำพูดของทรัมป์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่มุ่งเน้นถึงความจำเป็นสำหรับการควบคุมทางอากาศและทางทะเลรอบเกาะกรีนแลนด์และการพัฒนาต่างๆ ภายในกรีนแลนด์ ดินแดนที่ผู้คนบางส่วนจ้องมองไปยังสหรัฐฯ และเพิ่งเปิดตัวสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเมืองนุก" . เขาบอกกับบีบีซีต่อว่า "ผมคิดว่าทรัมป์ฉลาด เขาทำให้เดนมาร์กให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพทางทหารในอาร์กติก ด้วยสุ้มเสียงนี้ โดยไม่จำเป็นต้องรับช่วงต่อระบบสวัสดิการใดๆ ที่ไม่ใช่อเมริกา" เขากล่าว อ้างถึงกรณีที่เกาะกรีนแลนด์ ต้องพึ่งพิงเงินสนับสนุนจากเดนมาร์กเป็นอย่างมาก . ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2019 ทรัมป์เคยแนะนำให้สหรัฐฯ ซื้อเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก แต่มันนำมาซึ่งเสียงประณามดุด่าอย่างดุเดือดจากพวกผู้นำเกาะ . ในตอนนั้น เมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ณ ขณะนั้น ให้คำจำกัดความแนวคิดดังกล่าวว่า "ไร้สาระ" ซึ่งมันกระตุ้นให้ ทรัมป์ ยกเลิกทริปเดินทางไปยังเดนมาร์ก ในการเยือนแบบรัฐพิธี . ทรัมป์ ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่บ่งชี้ว่าอยากซื้อเกาะกรีนแลนด์ แนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1860 ภายใต้ประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123564 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 722 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียเปิดเผยกองทัพของพวกเขา ทำการซ้อมรบนิวเคลียร์รอบใหม่ ภายใต้การตรวจตราของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ได้เรียกร้องให้ปรับแก้เกณฑ์การใช้มาตรการป้องปรามทางนิวเคลียร์ของมอสโก
    .
    ปูติน พูดถึงแนวโน้มเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์หลายต่อหลายครั้ง ระหว่างรัสเซียปฏิบัติการรุกรานยูเครน และเมื่อเดือนที่แล้ว เขาเสนอให้เปลี่ยนเงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ให้ครอบคลุมบรรดาประเทศที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธร้ายแรงนี้ด้วย
    .
    ข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหลักการด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียในครั้งนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนแรงๆ ไปยังสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งกำลังใคร่ครวญว่าจะอนุญาตให้ยูเครนนำขีปนาวุธตามแบบของตะวันตกไปใช้ยิงโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียหรือไม่
    .
    สำหรับหลักนิยมด้านนิวเคลียร์ฉบับปัจจุบันที่ออกโดยกฤษฎีกาของ ปูติน เมื่อปี 2020 กำหนดเอาไว้ว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ในกรณีที่ถูกศัตรูโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรือถูกโจมตีด้วยอาวุธตามแบบ จนถึงขั้น “คุกคามความอยู่รอดของรัฐ”
    .
    เงื่อนไขหลักๆ ที่ ปูติน เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ก็คือ การประกาศให้ “เบลารุส” เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มนิวเคลียร์ของรัสเซีย และการถือว่ามหาอำนาจนิวเคลียร์ที่สนับสนุนปฏิบัติการโจมตีรัสเซียด้วยอาวุธตามแบบ เป็น "คู่สงคราม" ของรัสเซียด้วย
    .
    กระทรวงหลาโหมรัสเซียระบุในวันอังคาร(29ต.ค.) ว่า "การฝึกซ้อมเป็นการซ้อมรบด้านกำลังพล และแนวทางต่างๆขององค์ประกอบทั้งทางภาคพื้น ทางทะเลและทางอากาศ ของกองกำลังป้องปรามทางยุทธศาสตร์ และได้มีการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกหนึ่ง"
    .
    ถ้อยแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย บอกว่าขีปนาวุธถูกยิงออกจากฐานทดสอบขีปนาวุธ ในแถบคาบสมุทรคัมชัตคา ทางตะวันออกไกล ส่วนขีปนาวุธอื่นๆถูกยิงออกจากเรือดำน้ำลำหนึ่งในทะเลแบเรนตส์ ในแถบอาร์กติก และจากทะเลโอคอตสค์ ในแถบตะวันออกไกลของรัสเซีย
    .
    กระทรวงกลาโหมรัสเซีย อ้างว่าการฝึกฝนประสบความสำเร็จ และขีปนาวุธพุ่งโดนเป้าหมายต่างๆที่กำหนดไว้
    .
    เมื่อเดือนกันยายน ปูติน ได้แนะนำให้มอสโกปรับแก้หลักการนิวเคลียร์ เปิดทางให้พวกเขาปลดปล่อยการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ในกรณีที่ถูกโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่
    .
    ภายใต้ข้อเสนอปรับแก้นั้น รวมไปถึงกรณีที่รัสเซียจะถือว่าการโจมตีใดๆจากประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์หนึ่งๆ เป็นการโจมตีร่วมของทั้ง 2 ชาติ ซึ่งในกรณีนี้น่าจะหมายถึงยูเครน
    .
    แผนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ ยูเครนกำลังเรียกร้องตะวันตก อนุญาตให้พวกเขาใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกมอบให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้สหรัฐฯยังคงลังเลที่จะให้ไฟเขียว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104401
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียเปิดเผยกองทัพของพวกเขา ทำการซ้อมรบนิวเคลียร์รอบใหม่ ภายใต้การตรวจตราของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ได้เรียกร้องให้ปรับแก้เกณฑ์การใช้มาตรการป้องปรามทางนิวเคลียร์ของมอสโก . ปูติน พูดถึงแนวโน้มเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์หลายต่อหลายครั้ง ระหว่างรัสเซียปฏิบัติการรุกรานยูเครน และเมื่อเดือนที่แล้ว เขาเสนอให้เปลี่ยนเงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ให้ครอบคลุมบรรดาประเทศที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธร้ายแรงนี้ด้วย . ข้อเสนอการปรับเปลี่ยนหลักการด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียในครั้งนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนแรงๆ ไปยังสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งกำลังใคร่ครวญว่าจะอนุญาตให้ยูเครนนำขีปนาวุธตามแบบของตะวันตกไปใช้ยิงโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียหรือไม่ . สำหรับหลักนิยมด้านนิวเคลียร์ฉบับปัจจุบันที่ออกโดยกฤษฎีกาของ ปูติน เมื่อปี 2020 กำหนดเอาไว้ว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ในกรณีที่ถูกศัตรูโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรือถูกโจมตีด้วยอาวุธตามแบบ จนถึงขั้น “คุกคามความอยู่รอดของรัฐ” . เงื่อนไขหลักๆ ที่ ปูติน เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ก็คือ การประกาศให้ “เบลารุส” เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มนิวเคลียร์ของรัสเซีย และการถือว่ามหาอำนาจนิวเคลียร์ที่สนับสนุนปฏิบัติการโจมตีรัสเซียด้วยอาวุธตามแบบ เป็น "คู่สงคราม" ของรัสเซียด้วย . กระทรวงหลาโหมรัสเซียระบุในวันอังคาร(29ต.ค.) ว่า "การฝึกซ้อมเป็นการซ้อมรบด้านกำลังพล และแนวทางต่างๆขององค์ประกอบทั้งทางภาคพื้น ทางทะเลและทางอากาศ ของกองกำลังป้องปรามทางยุทธศาสตร์ และได้มีการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกหนึ่ง" . ถ้อยแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย บอกว่าขีปนาวุธถูกยิงออกจากฐานทดสอบขีปนาวุธ ในแถบคาบสมุทรคัมชัตคา ทางตะวันออกไกล ส่วนขีปนาวุธอื่นๆถูกยิงออกจากเรือดำน้ำลำหนึ่งในทะเลแบเรนตส์ ในแถบอาร์กติก และจากทะเลโอคอตสค์ ในแถบตะวันออกไกลของรัสเซีย . กระทรวงกลาโหมรัสเซีย อ้างว่าการฝึกฝนประสบความสำเร็จ และขีปนาวุธพุ่งโดนเป้าหมายต่างๆที่กำหนดไว้ . เมื่อเดือนกันยายน ปูติน ได้แนะนำให้มอสโกปรับแก้หลักการนิวเคลียร์ เปิดทางให้พวกเขาปลดปล่อยการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ในกรณีที่ถูกโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ . ภายใต้ข้อเสนอปรับแก้นั้น รวมไปถึงกรณีที่รัสเซียจะถือว่าการโจมตีใดๆจากประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจนิวเคลียร์หนึ่งๆ เป็นการโจมตีร่วมของทั้ง 2 ชาติ ซึ่งในกรณีนี้น่าจะหมายถึงยูเครน . แผนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ ยูเครนกำลังเรียกร้องตะวันตก อนุญาตให้พวกเขาใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกมอบให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้สหรัฐฯยังคงลังเลที่จะให้ไฟเขียว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000104401 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    Sad
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1426 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ไม่อยากจะเชื่อว่านี้คือของจริง อาจคิดว่าเป็นCGIทำแน่ๆ ตรองกันเอง.

    ..วิดีโอนี้ถ่ายทำในอาร์กติกเซอร์เคิล ระหว่างชายแดนแคนาดา-อลาสก้า-รัสเซีย

    ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพียงปีละครั้ง เป็นเวลา 36 วินาที ดวงจันทร์ปรากฏและหายไป

    หลังจากนั้นไม่นาน สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดเป็นเวลา 5 วินาที

    ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเฉพาะที่ตำแหน่งใกล้โลกที่สุดเท่านั้น
    ..ไม่อยากจะเชื่อว่านี้คือของจริง อาจคิดว่าเป็นCGIทำแน่ๆ ตรองกันเอง. ..วิดีโอนี้ถ่ายทำในอาร์กติกเซอร์เคิล ระหว่างชายแดนแคนาดา-อลาสก้า-รัสเซีย ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพียงปีละครั้ง เป็นเวลา 36 วินาที ดวงจันทร์ปรากฏและหายไป หลังจากนั้นไม่นาน สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิดเป็นเวลา 5 วินาที ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเฉพาะที่ตำแหน่งใกล้โลกที่สุดเท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • รัสเซียพร้อมถล่มนาโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทุกเมื่อ:

    วันก่อน กองทัพยูเครนยิงโดรนถล่มคลังแสงของรัสเซียที่เมืองตเวียร์ เพลิงลุกโชติช่วงชัชวาล ตอนนี้ รัสเซียได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเสแสร้งบอกว่าจะไม่สนับสนุนให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลยิงใส่รัสเซีย แต่ลับหลังกลับใช้ดาวเทียมคอยระบุพิกัดเมืองต่างๆ ของรัสเซียให้ยูเครนยิงถล่มใส่

    กองทัพรัสเซียจึงยิงถล่มสำนักงานใหญ่ค่ายทหารของยูเครนที่กรุงเคียฟ ซึ่งเป็นสำนักงานที่เสนาธิการทหารนาโต้จำนวนมากไปอยู่ช่วยวางแผนให้ยูเครนรบกับรัสเซีย ผลก็คือเสนาธิการทหารของนาโต้เสียชีวิตจำนวนมาก

    พร้อมกันนั้น รัสเซียก็กำลังทดลองเอาขีปนาวุธซึ่งจะนำหัวรบนิวเคลียร์ไปปล่อยมาทดสอบความพร้อมอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ส่งเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์จำนวนหนึ่งเข้าประจำที่มหาสมุทรอาร์กติกด้วย

    เครือข่ายยิวไซออนิสต์จะต้องถูกถล่มให้เดี๊ยงในอเมริกาและยุโรป และหมดพิษสงในตะวันออกกลาง โลกนี้จึงจะสงบลงครับ


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    รัสเซียพร้อมถล่มนาโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทุกเมื่อ: วันก่อน กองทัพยูเครนยิงโดรนถล่มคลังแสงของรัสเซียที่เมืองตเวียร์ เพลิงลุกโชติช่วงชัชวาล ตอนนี้ รัสเซียได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่าจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเสแสร้งบอกว่าจะไม่สนับสนุนให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลยิงใส่รัสเซีย แต่ลับหลังกลับใช้ดาวเทียมคอยระบุพิกัดเมืองต่างๆ ของรัสเซียให้ยูเครนยิงถล่มใส่ กองทัพรัสเซียจึงยิงถล่มสำนักงานใหญ่ค่ายทหารของยูเครนที่กรุงเคียฟ ซึ่งเป็นสำนักงานที่เสนาธิการทหารนาโต้จำนวนมากไปอยู่ช่วยวางแผนให้ยูเครนรบกับรัสเซีย ผลก็คือเสนาธิการทหารของนาโต้เสียชีวิตจำนวนมาก พร้อมกันนั้น รัสเซียก็กำลังทดลองเอาขีปนาวุธซึ่งจะนำหัวรบนิวเคลียร์ไปปล่อยมาทดสอบความพร้อมอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ส่งเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์จำนวนหนึ่งเข้าประจำที่มหาสมุทรอาร์กติกด้วย เครือข่ายยิวไซออนิสต์จะต้องถูกถล่มให้เดี๊ยงในอเมริกาและยุโรป และหมดพิษสงในตะวันออกกลาง โลกนี้จึงจะสงบลงครับ ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อันตราย” เอามากๆ กับความคิด ความริเริ่ม ของคุณพ่ออเมริกาและพวกพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก ที่กำลังจะอนุมัติ อนุญาต ให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน นำเอาขีปนาวุธพิสัยไกลที่ได้รับการสนับสนุน ประเภท “Storm Shadows” หรือ “ATACMS” อะไรทำนองนั้น โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของหมีขาวรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้แปลความ อธิบายขยายความ ไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าย่อมหมายถึง “การกระทำให้ NATO คือคู่สงครามโดยตรงกับรัสเซีย” และได้เตือนเอาไว้นิ่มๆ ประมาณว่า “ถ้าหากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง...เมื่อคำนึงถึงการเปลี่ยนไปของลักษณะความขัดแย้ง เราก็คงต้องตัดสินใจอย่างเหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เราจะต้องเผชิญหน้า!!!”

    คือถึงจะเป็นอะไรที่นิ่มๆ...แต่ก็อย่าลืมไปว่าหมีขาวรัสเซียที่ออกจะดุแสนดุนั้น ก็คือ “ชาตินิวเคลียร์” อันดับต้นๆ ของโลก หรืออันดับหนึ่งของโลกเอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น...การที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAntony Blinken” และรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายDavid Lammy” ที่เกี่ยวก้อยไปเยือนประเทศยูเครนกันถึงที่เมื่อไม่กี่วันนี้ จะออกมาพูดด้วยน้ำเสียง หางเสียงเดียวกัน ถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ฝ่ายตะวันตกมอบให้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย รวมทั้งประธานาธิบดีอเมริกา อย่าง “โจ เอ๋อ” หรือ “โจ ซึมเซา” ที่เหลือเวลาดำรงตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนจะออกมาแสดงท่าทีกำๆ กวมๆ ว่ากำลังเร่งพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวอย่างเต็มที่ มันจึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็ก” ที่ชอบเล่นไม้ขีดไฟ ที่กำลังจุดไม้ขีดก้านแล้ว-ก้านเล่า อยู่หน้าโรงงานดินระเบิดซึ่งถูกชโลมไว้ด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน ชนิดอะไรต่อมิอะไรอาจลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาได้ง่ายๆ...

    เพราะแม้แต่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” และผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนข่าวกรอง “VIPS” (Veteran Intelligence Professionals for Sanity) อย่าง “นายRay McGovern” ที่เป็นชาวอเมริกันด้วยกันเอง ยังต้องออกมาให้ความคิด-ความเห็นกับสำนักข่าว “Sputnik” ไปเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า... “พวกเขา(อเมริกา)ต้องการที่จะยั่วยุปูติน ให้ต้องลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เพราะพวกเขาสูญเสียอย่างมากในการบุกแคว้น Kursk ของรัสเซีย” หรือพยายายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน” แบบเดียวกับอิสราเอลยั่วอิหร่านในแนวรบตะวันออกกลาง หรือไต้หวัน ฟิลิปปินส์ยั่วจีนในแนวรบทะเลจีนใต้ เพื่อที่จะก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกันเกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังทหาร หรือความชอบธรรมที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งอเมริกา...นั่นเอง...

    โดยที่การยั่วยวนกวนส้นตีนของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกต่อรัสเซียช่วงหลังๆ นี้...ต้องเรียกว่าน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” ถึงกับต้องปรารภ รำพึง ถึงขั้นว่า... “สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พวกเขาอาจไปไกลถึงขั้นคิดให้ยูเครนใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับกระเป๋า หรือนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (mini nuke) สู้กับรัสเซียเอาเลยก็ไม่แน่!!!” และ “มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าไบเดน ที่ปรึกษาความมั่นคง Sullivan และคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันชุดนี้คิดอย่างไร? เพื่อนสนิทของผมบางคนที่เป็นนักวิเคราะห์ด้วยกันถึงกับต้องสรุปว่าพวกเขา...บ้าไปแล้ว (insane) ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริงว่าคงยากเอามากๆ ที่จะทำนายได้ว่าพวกเขาคิดทำอะไรต่อไป ถ้าหากเขาทั้งหลาย...บ้าไปแล้ว!!!” ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะอดีตนักวิเคราะห์ “CIA” อย่าง “นายRay McGovern” รายเดียวเท่านั้น อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำโซเวียตรัสเซียอย่าง “นายJack Matlock” เอง ก็ยังต้องออกมาตอกย้ำไว้ด้วยว่าความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในอันที่จะอาศัย “สงครามที่ไม่มีความชัดเจน” สู้กับรัสเซียโดยอาศัยยูเครนเป็นตัวแทนนั้น เป็นสิ่งที่ “อันตราย”

    เอามากๆ...หรือกระทั่งอดีตผู้คิดจะสมัครลงแข่ง ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ อย่าง “Robert F. Kennedy Jr.” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าว่า... “นโยบายเผชิญหน้าขั้นสูงสุดของไบเดนเพื่อยัดเยียดความปราชัยอันน่าอับอายให้กับรัสเซียและเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของปูตินนั้น...คือสูตรสำเร็จสำหรับหายนะทางนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้นหรือรัฐบาลคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่กำลังเหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนนี่แหละ อาจกำลังฉุดกระชากลากถูบรรดาชาวอเมริกันทั้งประเทศรวมทั้งชาวโลกทั้งหลาย เข้าสู่ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุเพราะรัสเซียนั้นไม่ใช่ประเทศอื่นๆโดยทั่วไป แต่ถือเป็น “ชาตินิวเคลียร์” แถมยังกำอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ไว้ในมือไม่รู้จะกี่พันต่อกี่พันลูก โดยผู้ที่อาจต้อง “ซวย” เป็นอันดับแรก ก็ดังที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” “นายRay McGovern” ได้วาดจินตนาการไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ถ้าหากรัสเซียต้องการจะบอกกับชาวยุโรปว่า ถ้าพวกคุณคิดจะใช้นิวเคลียร์ทางยุทธวิธีกับเราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกัน แล้วที่ไหนล่ะ...ที่รัสเซียจะงัดคำเตือนเหล่านี้ออกมาแสดงให้เห็น นั่นก็น่าจะเป็น...ยุโรปนั่นเอง!!!”...

    อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” รายนี้ ยังพยายาม “มองโลกในแง่ดี” เอาไว้มั่ง นั่นก็คือ... “ผมคิดว่าปูตินยังฉลาดพอ ที่จะรอให้เห็นกันชัดๆ ซะก่อนว่า ใคร??? ที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำอเมริกา เพียงแต่ในช่วงระหว่างนั้นแม้แต่ผมก็ยังต้องกลั้นหายใจกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่” อันน่าจะเป็นไปเช่นเดียวกับพันธมิตรของจีนและรัสเซียอย่างอิหร่าน เป็นต้น ที่ต้องพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังในการ “แก้แค้น-เอาคืน” ต่อการยั่วยวนกวนส้นตีนของอิสราเอล เพื่อไม่ให้ต้องก้าวไปสู่ “กับดัก”

    ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ ต้องกลั้นใจ สะกดใจ หันไปเล่น “หมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไข-เหตุปัจจัย อันจะทำให้พวก “อีลิทโลก” ผู้ซึ่งเพียรพยายามพิทักษ์ ปกป้อง “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัวเองมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างชนิดอภิมหาศาล สามารถดำรงคงอยู่ได้อีกต่อไป ที่พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้บรรดารัฐบาลแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาให้จงได้!!!

    และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หมีขาวที่ได้ชื่อว่าดุแสนดุอย่างรัสเซีย เลยต้องหันไปส่งสัญญาณด้วยปฏิบัติการ “ซ้อมรบ” ทางเรือครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า “Ocean-2024” ตั้งแต่เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (10 ก.ย.) ด้วยการขนเอาเรือรบไม่ต่ำกว่า 400 ลำ เครื่องบินรบอีก 120 ลำ ทวยทหารอีกถึง 90,000 นาย ออกมาเบ่งกล้ามอวดโชว์กำลังในน่านน้ำแทบทุกน่านน้ำไม่ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก อาร์กติก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแคสเปียน ไปจนแถบทะเลบอลติกโดยมีคุณพี่จีนเข้าร่วมด้วยหรือร่วมส่งสัญญาณไปถึงประเทศญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ที่กำลังคิดเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของคุณพ่ออเมริกามาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเองในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้...

    แต่ส่วนจะทำให้อเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก...พอที่จะ “หายบ้า” หรือพอที่จะได้ “สติ” ขึ้นมาได้มั่งหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องคอยสวดมนต์และภาวนากันไปตามสภาพ ไม่ก็ต้องหันไป “กลั้นหายใจ” แบบเดียวกับที่ “นายRay McGovern” ได้ว่าเอาไว้นั่นแหละ คือถ้าหากอีก 2 เดือนข้างหน้า “ทรัมป์บ้า” สามารถดิ้นรนกลับมาเป็นผู้นำอเมริกาได้ดังเดิม มันก็อาจเบาๆ ลงไปได้บ้างสำหรับ “แนวรบ” บางด้าน เช่นแนวรบยุโรปตะวันออก เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณน้อง “กมลา” เธอสามารถนอนมาโดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า แบบที่บรรดา “โพล” หลายๆ สำนักพยายามเชียร์แล้ว เชียร์อีก แม้จะก่อให้เกิดความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดา “ติ่งอเมริกา” เพียงใดก็เถอะ แต่...ก็อาจนำมาซึ่ง “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ของอเมริกา หรือนำมาซึ่ง “ความล่มสลาย” ลงไปเองเอาเลยก็เป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปงัดอาวุธมหาประลัยใดๆ ออกมาใช้ให้ต้องมากเรื่อง-มากความ หรือให้บรรดา “พลโลก” อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ต้องพลอยเดือดร้อน หรือพลอย “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจช่วยอะไรได้เลย...

    https://mgronline.com/daily/detail/9670000086180

    #Thaitimes
    “อันตราย” เอามากๆ กับความคิด ความริเริ่ม ของคุณพ่ออเมริกาและพวกพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก ที่กำลังจะอนุมัติ อนุญาต ให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน นำเอาขีปนาวุธพิสัยไกลที่ได้รับการสนับสนุน ประเภท “Storm Shadows” หรือ “ATACMS” อะไรทำนองนั้น โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของหมีขาวรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้แปลความ อธิบายขยายความ ไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าย่อมหมายถึง “การกระทำให้ NATO คือคู่สงครามโดยตรงกับรัสเซีย” และได้เตือนเอาไว้นิ่มๆ ประมาณว่า “ถ้าหากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจริง...เมื่อคำนึงถึงการเปลี่ยนไปของลักษณะความขัดแย้ง เราก็คงต้องตัดสินใจอย่างเหมาะสมต่อภัยคุกคามที่เราจะต้องเผชิญหน้า!!!” คือถึงจะเป็นอะไรที่นิ่มๆ...แต่ก็อย่าลืมไปว่าหมีขาวรัสเซียที่ออกจะดุแสนดุนั้น ก็คือ “ชาตินิวเคลียร์” อันดับต้นๆ ของโลก หรืออันดับหนึ่งของโลกเอาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น...การที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAntony Blinken” และรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายDavid Lammy” ที่เกี่ยวก้อยไปเยือนประเทศยูเครนกันถึงที่เมื่อไม่กี่วันนี้ จะออกมาพูดด้วยน้ำเสียง หางเสียงเดียวกัน ถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลที่ฝ่ายตะวันตกมอบให้โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย รวมทั้งประธานาธิบดีอเมริกา อย่าง “โจ เอ๋อ” หรือ “โจ ซึมเซา” ที่เหลือเวลาดำรงตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนจะออกมาแสดงท่าทีกำๆ กวมๆ ว่ากำลังเร่งพิจารณาเรื่องราวดังกล่าวอย่างเต็มที่ มันจึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็ก” ที่ชอบเล่นไม้ขีดไฟ ที่กำลังจุดไม้ขีดก้านแล้ว-ก้านเล่า อยู่หน้าโรงงานดินระเบิดซึ่งถูกชโลมไว้ด้วยน้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน ชนิดอะไรต่อมิอะไรอาจลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาได้ง่ายๆ... เพราะแม้แต่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” และผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนข่าวกรอง “VIPS” (Veteran Intelligence Professionals for Sanity) อย่าง “นายRay McGovern” ที่เป็นชาวอเมริกันด้วยกันเอง ยังต้องออกมาให้ความคิด-ความเห็นกับสำนักข่าว “Sputnik” ไปเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า... “พวกเขา(อเมริกา)ต้องการที่จะยั่วยุปูติน ให้ต้องลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เพราะพวกเขาสูญเสียอย่างมากในการบุกแคว้น Kursk ของรัสเซีย” หรือพยายายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน” แบบเดียวกับอิสราเอลยั่วอิหร่านในแนวรบตะวันออกกลาง หรือไต้หวัน ฟิลิปปินส์ยั่วจีนในแนวรบทะเลจีนใต้ เพื่อที่จะก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกันเกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังทหาร หรือความชอบธรรมที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งอเมริกา...นั่นเอง... โดยที่การยั่วยวนกวนส้นตีนของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกต่อรัสเซียช่วงหลังๆ นี้...ต้องเรียกว่าน่าหวาดเสียว น่าขนลุกขนพองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” ถึงกับต้องปรารภ รำพึง ถึงขั้นว่า... “สิ่งที่ผมกลัวก็คือ พวกเขาอาจไปไกลถึงขั้นคิดให้ยูเครนใช้อาวุธนิวเคลียร์ฉบับกระเป๋า หรือนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (mini nuke) สู้กับรัสเซียเอาเลยก็ไม่แน่!!!” และ “มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าไบเดน ที่ปรึกษาความมั่นคง Sullivan และคณะผู้บริหารรัฐบาลอเมริกันชุดนี้คิดอย่างไร? เพื่อนสนิทของผมบางคนที่เป็นนักวิเคราะห์ด้วยกันถึงกับต้องสรุปว่าพวกเขา...บ้าไปแล้ว (insane) ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริงว่าคงยากเอามากๆ ที่จะทำนายได้ว่าพวกเขาคิดทำอะไรต่อไป ถ้าหากเขาทั้งหลาย...บ้าไปแล้ว!!!” ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะอดีตนักวิเคราะห์ “CIA” อย่าง “นายRay McGovern” รายเดียวเท่านั้น อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำโซเวียตรัสเซียอย่าง “นายJack Matlock” เอง ก็ยังต้องออกมาตอกย้ำไว้ด้วยว่าความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในอันที่จะอาศัย “สงครามที่ไม่มีความชัดเจน” สู้กับรัสเซียโดยอาศัยยูเครนเป็นตัวแทนนั้น เป็นสิ่งที่ “อันตราย” เอามากๆ...หรือกระทั่งอดีตผู้คิดจะสมัครลงแข่ง ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ อย่าง “Robert F. Kennedy Jr.” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาเตือนไว้ล่วงหน้าว่า... “นโยบายเผชิญหน้าขั้นสูงสุดของไบเดนเพื่อยัดเยียดความปราชัยอันน่าอับอายให้กับรัสเซียและเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของปูตินนั้น...คือสูตรสำเร็จสำหรับหายนะทางนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้นหรือรัฐบาลคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่กำลังเหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่อีกไม่กี่เดือนนี่แหละ อาจกำลังฉุดกระชากลากถูบรรดาชาวอเมริกันทั้งประเทศรวมทั้งชาวโลกทั้งหลาย เข้าสู่ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุเพราะรัสเซียนั้นไม่ใช่ประเทศอื่นๆโดยทั่วไป แต่ถือเป็น “ชาตินิวเคลียร์” แถมยังกำอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ไว้ในมือไม่รู้จะกี่พันต่อกี่พันลูก โดยผู้ที่อาจต้อง “ซวย” เป็นอันดับแรก ก็ดังที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” “นายRay McGovern” ได้วาดจินตนาการไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ถ้าหากรัสเซียต้องการจะบอกกับชาวยุโรปว่า ถ้าพวกคุณคิดจะใช้นิวเคลียร์ทางยุทธวิธีกับเราก็อย่าลืมว่าเราก็มีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกัน แล้วที่ไหนล่ะ...ที่รัสเซียจะงัดคำเตือนเหล่านี้ออกมาแสดงให้เห็น นั่นก็น่าจะเป็น...ยุโรปนั่นเอง!!!”... อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่อดีตนักวิเคราะห์ “CIA” รายนี้ ยังพยายาม “มองโลกในแง่ดี” เอาไว้มั่ง นั่นก็คือ... “ผมคิดว่าปูตินยังฉลาดพอ ที่จะรอให้เห็นกันชัดๆ ซะก่อนว่า ใคร??? ที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำอเมริกา เพียงแต่ในช่วงระหว่างนั้นแม้แต่ผมก็ยังต้องกลั้นหายใจกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่” อันน่าจะเป็นไปเช่นเดียวกับพันธมิตรของจีนและรัสเซียอย่างอิหร่าน เป็นต้น ที่ต้องพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังในการ “แก้แค้น-เอาคืน” ต่อการยั่วยวนกวนส้นตีนของอิสราเอล เพื่อไม่ให้ต้องก้าวไปสู่ “กับดัก” ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ ต้องกลั้นใจ สะกดใจ หันไปเล่น “หมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไข-เหตุปัจจัย อันจะทำให้พวก “อีลิทโลก” ผู้ซึ่งเพียรพยายามพิทักษ์ ปกป้อง “ระเบียบโลกแบบเดิมๆ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัวเองมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างชนิดอภิมหาศาล สามารถดำรงคงอยู่ได้อีกต่อไป ที่พยายามทั้งผลัก ทั้งดัน ให้บรรดารัฐบาลแห่งโลกตะวันตกทั้งหลาย “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาให้จงได้!!! และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หมีขาวที่ได้ชื่อว่าดุแสนดุอย่างรัสเซีย เลยต้องหันไปส่งสัญญาณด้วยปฏิบัติการ “ซ้อมรบ” ทางเรือครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า “Ocean-2024” ตั้งแต่เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (10 ก.ย.) ด้วยการขนเอาเรือรบไม่ต่ำกว่า 400 ลำ เครื่องบินรบอีก 120 ลำ ทวยทหารอีกถึง 90,000 นาย ออกมาเบ่งกล้ามอวดโชว์กำลังในน่านน้ำแทบทุกน่านน้ำไม่ว่าในมหาสมุทรแปซิฟิก อาร์กติก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแคสเปียน ไปจนแถบทะเลบอลติกโดยมีคุณพี่จีนเข้าร่วมด้วยหรือร่วมส่งสัญญาณไปถึงประเทศญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ที่กำลังคิดเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของคุณพ่ออเมริกามาติดตั้งไว้ในประเทศตัวเองในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้... แต่ส่วนจะทำให้อเมริกาและพันธมิตรพรมเช็ดเท้าแห่งโลกตะวันตก...พอที่จะ “หายบ้า” หรือพอที่จะได้ “สติ” ขึ้นมาได้มั่งหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องคอยสวดมนต์และภาวนากันไปตามสภาพ ไม่ก็ต้องหันไป “กลั้นหายใจ” แบบเดียวกับที่ “นายRay McGovern” ได้ว่าเอาไว้นั่นแหละ คือถ้าหากอีก 2 เดือนข้างหน้า “ทรัมป์บ้า” สามารถดิ้นรนกลับมาเป็นผู้นำอเมริกาได้ดังเดิม มันก็อาจเบาๆ ลงไปได้บ้างสำหรับ “แนวรบ” บางด้าน เช่นแนวรบยุโรปตะวันออก เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณน้อง “กมลา” เธอสามารถนอนมาโดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า แบบที่บรรดา “โพล” หลายๆ สำนักพยายามเชียร์แล้ว เชียร์อีก แม้จะก่อให้เกิดความซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดา “ติ่งอเมริกา” เพียงใดก็เถอะ แต่...ก็อาจนำมาซึ่ง “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” ของอเมริกา หรือนำมาซึ่ง “ความล่มสลาย” ลงไปเองเอาเลยก็เป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปงัดอาวุธมหาประลัยใดๆ ออกมาใช้ให้ต้องมากเรื่อง-มากความ หรือให้บรรดา “พลโลก” อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ต้องพลอยเดือดร้อน หรือพลอย “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจช่วยอะไรได้เลย... https://mgronline.com/daily/detail/9670000086180 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    “สงครามโลก” ก่อนหรือหลัง “เลือกตั้งอเมริกา”???
    ถึงแม้การเลือกตั้งอเมริกาจะเหลืออีกประมาณเดือนกว่าๆ ใกล้ๆ 2 เดือน...แต่ก็คงไม่น่าถึงกับต้องไปให้ความสำคัญกับการ “ดีเบต” หรือการโต้กันไป-โต้กันมา ระหว่าง 2 ผู้สมัคร คู่ชิง อย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือคุณน้อง “กมลา”
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1227 มุมมอง 0 รีวิว