• เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> จะเห็นว่าส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ของตัวละคร ซ่งอิ่นจาง และความพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานะนี้

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ซึ่งในภาษาจีนอาจเรียกอย่างสุภาพว่า ‘เยวี่ยกง’ (乐工 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + แรงงาน) หรือเรียกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ‘เยวี่ยจี้’ หรือ ‘นางดนตรี’ (乐妓) ซึ่งเป็นคำเรียกรวมของสตรีที่อาศัยร้องรำทำเพลงยังชีพ ในสมัยโบราณจัดเป็นนางคณิกาประเภทหนึ่ง

    แล้วทำไมในละครจึงเรียกเป็น ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’? Storyฯ ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้แปลซับไทยในละคร แต่ในภาษาจีนสถานะนี้ผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยวี่ยจี๋’ (乐籍 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + ทะเบียน) ซึ่ง Storyฯ ไม่เห็นมีแปลไว้ในซับไทยของละคร

    ‘เยวี่ยจี๋’ หรือทะเบียนนักดนตรีนี้คืออะไร?

    เพื่อนเพจที่เป็นแฟนนิยายและละครจีนโบราณอาจเคยเห็นฉากที่ขุนนางใหญ่ถูกลงทัณฑ์ทั้งบ้าน ทรัพย์สินถูกยึด คนในบ้านถูกจับไปเป็นทาส เยวี่ยจี๋นี้เป็นทะเบียนชื่อของลูกเมียของขุนนางที่ถูกลงทัณฑ์สถานหนัก พวกเขาเหล่านี้ถูกขึ้นชื่อเป็นทาสรับใช้ของหลวง มีหน้าที่ร้องรำทำเพลงปรนนิบัติขุนนางและแขกเหรื่อในงานรื่นเริง โดยได้รับเงินหลวง เขาเหล่านี้เมื่อโดนเรียกตัวต้องไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปและบางคนอาจถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอกาม

    การลงทัณฑ์โดยขึ้นทะเบียนเยวี่ยจี๋นี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ค.ศ. 386-535) ในสมัยถัง-ซ่ง ‘เยวี่ยจี๋’ อยู่ภายใต้การบริหารงานของ ‘เจียวฟาง’/教坊 หรือที่ในละครแปลว่าสำนักการสังคีต

    คนที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋ถือว่ามีโทษติดตัวไม่มีอิสระ มีสถานะในสังคมต่ำต้อยเยี่ยงทาส จัดเป็น ‘ชนชั้นต่ำ’ หรือ ‘เจี้ยนหมิน’(贱民) ประเภทหนึ่ง (หมายเหตุ บ่าว ทาสและนักโทษจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นต่ำนี้) เมื่อมีลูก ลูกก็จะถูกบันทึกชื่อเข้าเยวี่ยจี๋ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทาสที่มีโทษติดตัวไปทุกรุ่นเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะ

    การเปลี่ยนสถานะทำได้สองแบบ แบบแรกคือการได้รับการอนุมัติจากทางการให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’/良民 (ตัวอย่างเช่นนางเอกในละครนี้) ซึ่งทำได้ไม่ง่าย และแบบที่สองคือมีพ่อค้ารับเป็นภรรยาหรือมีขุนนางรับเป็นอนุภรรยา ซึ่งจะมีการถอดถอนชื่อออกจากเยวี่ยจี๋ เมื่อคนเป็นแม่ได้ปรับสถานะแล้วบุตรจึงจะเป็นไทได้ (แต่อย่างที่ Storyฯ เคยเล่าเกี่ยวกับเรื่องประเภทของอนุภรรยา คนที่เคยมีโทษติดตัวหรือเป็นลูกนักโทษจะมีสถานะเป็นอนุชั้นต่ำ สามารถยกให้กันฟรีๆ หรือขายออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยลูกก็จะได้รับการยกย่องในระดับหนึ่งตามสถานะของบิดา)

    สรุปสั้นๆ ได้ว่า นางดนตรีที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋จัดเป็นชนชั้นต่ำที่เรียกว่า ‘เจี้ยนหมิน’ ไม่มีอิสระและไม่มีสิทธิใดๆ ทางสังคม แต่หากโชคดีก็จะได้เปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นชนชั้นธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’

    ต่อมาในรัชสมัยขององค์ยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1723) ทรงมีพระราชโองการให้ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนเจี้ยนหมินทุกชนิด (รวมถึงเยวี่ยจี๋ด้วย) ได้รับการปรับสถานะเป็นเหลียงหมิน ถือว่าได้เป็นไทแก่ตัว

    ขออภัยที่มีศัพท์จีนหลายคำไปหน่อย แต่ Storyฯ หวังว่าบทความนี้จะให้ความเข้าใจมากขึ้นถึงบริบทของชนชั้นทางสังคมที่เพื่อนเพจมักเห็นในละครและนิยายจีนโบราณหลายเรื่องค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://read01.com/zh-sg/DR3eMEa.html#.YxlwKnZBy5d
    https://min.news/zh-sg/culture/5b42ca6d45e1a79dcddf84da55d9dce2.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/%E4%B9%90%E7%B1%8D/10852116
    https://www.sohu.com/a/222355523_99902358
    https://www.163.com/dy/article/HACKL2VE0514R9P4.html

    #สามบุปผา #นางรับใช้ในวงดนตรี #เยวี่ยจี๋ #เจี้ยนหมิน #เหลียงหมิน
    เพื่อนเพจที่ได้ดูละคร <สามบุปผาลิขิตฝัน> จะเห็นว่าส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องกล่าวถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ของตัวละคร ซ่งอิ่นจาง และความพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานะนี้ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องสถานะ ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’ ซึ่งในภาษาจีนอาจเรียกอย่างสุภาพว่า ‘เยวี่ยกง’ (乐工 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + แรงงาน) หรือเรียกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ‘เยวี่ยจี้’ หรือ ‘นางดนตรี’ (乐妓) ซึ่งเป็นคำเรียกรวมของสตรีที่อาศัยร้องรำทำเพลงยังชีพ ในสมัยโบราณจัดเป็นนางคณิกาประเภทหนึ่ง แล้วทำไมในละครจึงเรียกเป็น ‘นางรับใช้ในวงดนตรี’? Storyฯ ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้แปลซับไทยในละคร แต่ในภาษาจีนสถานะนี้ผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เยวี่ยจี๋’ (乐籍 แปลตรงตัวว่า เพลง/ดนตรี + ทะเบียน) ซึ่ง Storyฯ ไม่เห็นมีแปลไว้ในซับไทยของละคร ‘เยวี่ยจี๋’ หรือทะเบียนนักดนตรีนี้คืออะไร? เพื่อนเพจที่เป็นแฟนนิยายและละครจีนโบราณอาจเคยเห็นฉากที่ขุนนางใหญ่ถูกลงทัณฑ์ทั้งบ้าน ทรัพย์สินถูกยึด คนในบ้านถูกจับไปเป็นทาส เยวี่ยจี๋นี้เป็นทะเบียนชื่อของลูกเมียของขุนนางที่ถูกลงทัณฑ์สถานหนัก พวกเขาเหล่านี้ถูกขึ้นชื่อเป็นทาสรับใช้ของหลวง มีหน้าที่ร้องรำทำเพลงปรนนิบัติขุนนางและแขกเหรื่อในงานรื่นเริง โดยได้รับเงินหลวง เขาเหล่านี้เมื่อโดนเรียกตัวต้องไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สามารถปฏิเสธได้ โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปและบางคนอาจถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอกาม การลงทัณฑ์โดยขึ้นทะเบียนเยวี่ยจี๋นี้มีมาแต่สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ค.ศ. 386-535) ในสมัยถัง-ซ่ง ‘เยวี่ยจี๋’ อยู่ภายใต้การบริหารงานของ ‘เจียวฟาง’/教坊 หรือที่ในละครแปลว่าสำนักการสังคีต คนที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋ถือว่ามีโทษติดตัวไม่มีอิสระ มีสถานะในสังคมต่ำต้อยเยี่ยงทาส จัดเป็น ‘ชนชั้นต่ำ’ หรือ ‘เจี้ยนหมิน’(贱民) ประเภทหนึ่ง (หมายเหตุ บ่าว ทาสและนักโทษจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นต่ำนี้) เมื่อมีลูก ลูกก็จะถูกบันทึกชื่อเข้าเยวี่ยจี๋ด้วย เรียกได้ว่าเป็นทาสที่มีโทษติดตัวไปทุกรุ่นเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนสถานะ การเปลี่ยนสถานะทำได้สองแบบ แบบแรกคือการได้รับการอนุมัติจากทางการให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’/良民 (ตัวอย่างเช่นนางเอกในละครนี้) ซึ่งทำได้ไม่ง่าย และแบบที่สองคือมีพ่อค้ารับเป็นภรรยาหรือมีขุนนางรับเป็นอนุภรรยา ซึ่งจะมีการถอดถอนชื่อออกจากเยวี่ยจี๋ เมื่อคนเป็นแม่ได้ปรับสถานะแล้วบุตรจึงจะเป็นไทได้ (แต่อย่างที่ Storyฯ เคยเล่าเกี่ยวกับเรื่องประเภทของอนุภรรยา คนที่เคยมีโทษติดตัวหรือเป็นลูกนักโทษจะมีสถานะเป็นอนุชั้นต่ำ สามารถยกให้กันฟรีๆ หรือขายออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยลูกก็จะได้รับการยกย่องในระดับหนึ่งตามสถานะของบิดา) สรุปสั้นๆ ได้ว่า นางดนตรีที่มีชื่ออยู่ในเยวี่ยจี๋จัดเป็นชนชั้นต่ำที่เรียกว่า ‘เจี้ยนหมิน’ ไม่มีอิสระและไม่มีสิทธิใดๆ ทางสังคม แต่หากโชคดีก็จะได้เปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นชนชั้นธรรมดาหรือที่เรียกว่า ‘เหลียงหมิน’ ต่อมาในรัชสมัยขององค์ยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1723) ทรงมีพระราชโองการให้ทุกคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนเจี้ยนหมินทุกชนิด (รวมถึงเยวี่ยจี๋ด้วย) ได้รับการปรับสถานะเป็นเหลียงหมิน ถือว่าได้เป็นไทแก่ตัว ขออภัยที่มีศัพท์จีนหลายคำไปหน่อย แต่ Storyฯ หวังว่าบทความนี้จะให้ความเข้าใจมากขึ้นถึงบริบทของชนชั้นทางสังคมที่เพื่อนเพจมักเห็นในละครและนิยายจีนโบราณหลายเรื่องค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://read01.com/zh-sg/DR3eMEa.html#.YxlwKnZBy5d https://min.news/zh-sg/culture/5b42ca6d45e1a79dcddf84da55d9dce2.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/%E4%B9%90%E7%B1%8D/10852116 https://www.sohu.com/a/222355523_99902358 https://www.163.com/dy/article/HACKL2VE0514R9P4.html #สามบุปผา #นางรับใช้ในวงดนตรี #เยวี่ยจี๋ #เจี้ยนหมิน #เหลียงหมิน
    1 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • 9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” 🐉 มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี”

    📅 เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน

    แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา

    🧠 จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี 🇹🇭

    👦 ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥)

    👨‍👩‍👧‍👦 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์

    แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น

    🏗️ บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด
    ⚗️ บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
    🧪 บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์

    จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์ 💪

    🏛️ ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย! 🗳️

    🏆 จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 🚆

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🏢

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 🌾

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 💰

    บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น

    👑 สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 📌 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    🎯 ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

    แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน

    💸 รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล 📈 จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก

    ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 🏗️

    ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 📦

    อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด 🏢

    ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ⌚🚗

    แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์

    🌸 มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า

    “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง”

    🧱 ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง

    สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที

    📌 บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ

    “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้

    “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ

    นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้

    📜 มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 🐉

    จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์

    จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย 🇹🇭

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568

    🔖 #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    9 ปี สิ้น “บรรหาร ศิลปอาชา” 🐉 มังกรสุพรรณ นายกฯ ผู้สร้างเมืองด้วยมือปลาไหลใส่สเก็ต รวยอันดับสอง รองจากทักษิณ ชายผู้พลิกเมือง “สุพรรณบุรี” จนกลายเป็น “บรรหารบุรี” 📅 เช้าตรู่วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 แวดวงการเมืองไทย ต้องพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญ เมื่อ “นายบรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 ถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะภูมิแพ้ และหอบหืดกำเริบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ รวมอายุได้ 83 ปี 247 วัน แม้เวลาจะผ่านมา 9 ปี แต่ชื่อของบรรหารก็ยังคงดังก้อง ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทั้งในฐานะนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล นายกฯ ที่สู้จนได้เป็นผู้นำประเทศ และ “เจ้าพ่อเมืองสุพรรณ” ผู้ปั้นเมืองทั้งเมืองด้วยความตั้งใจ และสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา 🧠 จะพาคุณย้อนรอยชีวิต และผลงานของชายผู้ได้ฉายาว่า “ปลาไหลใส่สเก็ต” อย่างบรรหาร พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่ควรรู้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เมืองสุพรรณบุรี 🇹🇭 👦 ชีวิตวัยเด็กของ "เต็กเซียง แซ่เบ๊" เด็กชายแห่งท่าพี่เลี้ยง บรรหารเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีชื่อเดิมว่า “เต็กเซียง แซ่เบ๊” (馬德祥) 👨‍👩‍👧‍👦 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คน ของครอบครัวชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ทำธุรกิจร้านขายสิ่งทอชื่อ “ย่งหยูฮง” พ่อแม่คือ "เซ่งกิม" และ "สายเอ็ง แซ่เบ๊" ซึ่งปลูกฝังความขยันขันแข็ง และแนวคิดแบบพ่อค้า ให้แก่บรรหารตั้งแต่วัยเยาว์ แม้จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น ที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่ต้องหยุดเรียนเพราะสงครามโลก ครั้งที่สอง จึงเลือกเดินทางสายนักธุรกิจ สร้างฐานะด้วยตนเองจากงานรับเหมาก่อสร้าง จนในที่สุดกลายเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัทมากมาย เช่น 🏗️ บริษัทสหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด ⚗️ บริษัทบี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 🧪 บริษัทคอสติกไทย จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์ จากเด็กชายในเมืองเล็ก ๆ สู่เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ และผู้นำประเทศ บรรหารถือเป็นตัวอย่าง ของคนที่สร้างทุกอย่างจากศูนย์ 💪 🏛️ ก้าวแรกสู่การเมือง จากเทศบาลเมือง สู่สภาผู้แทนราษฎร เส้นทางการเมืองของบรรหาร เริ่มต้นในฐานะ “สมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี” จากการแต่งตั้งในปี พ.ศ. 2516 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2518 และลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. สุพรรณบุรีในปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเขาชนะทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมทั้งสิ้น 11 สมัย! 🗳️ 🏆 จากพลังแห่งความนิยมในพื้นที่สุพรรณบุรี บรรหารก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 🚆 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🏢 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 🌾 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 💰 บรรหารได้รับสมญานามว่า “มังกรสุพรรณ” ด้วยพลังในการควบคุมพื้นที่อย่างแน่นหนา และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ด้วยสไตล์ทางการเมือง ที่ลื่นไหลยืดหยุ่น 👑 สู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 21 📌 ปี พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 🎯 ผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในรัฐบาลบรรหาร ได้แก่ ริเริ่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, เป็นเจ้าภาพ ASEM และ ASEAN Summitm การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่เชียงใหม่, การจัดงานเกษตรอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 และการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แม้การบริหารของบรรหาร ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องยุบสภาในปี พ.ศ. 2539 แต่ผลงานจำนวนมาก ก็ยังถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน 💸 รวยจริง ไม่ต้องโชว์ บรรหารกับทรัพย์สินมหาศาล 📈 จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา “บรรหาร” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ร่ำรวยที่สุด เป็นอันดับ 2” รองจาก “ทักษิณ ชินวัตร” โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจาก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 🏗️ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ 📦 อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด 🏢 ของสะสม เช่น พระเครื่อง นาฬิกาหรู รถยนต์หรู ⌚🚗 แต่สิ่งที่ทำให้บรรหาร ได้รับความเคารพคือ “การใช้เงินเป็น” ไม่ใช่ “โชว์หรู” ใช้ทรัพย์สินเพื่อพัฒนา ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ 🌸 มรดกที่ทิ้งไว้ "บรรหารบุรี" เมืองต้นแบบของจังหวัดนิยม เมืองสุพรรณบุรีในวันนี้ กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบ “จังหวัดนิยม” (Provincial Identity) ซึ่งนักวิชาการญี่ปุ่น "Yoshinori Nishizaki" อธิบายไว้ชัดเจนว่า “บรรหารสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เมือง ผ่านโครงการต่างๆ ที่จับต้องได้จริง จนกลายเป็นแรงศรัทธาทางการเมือง” 🧱 ตัวอย่างผลงานในสุพรรณบุรี เช่น หอคอยเมืองสุพรรณ, ถนนคุณภาพระดับประเทศ, โรงเรียนบรรหารแจ่มใส, โรงพยาบาล, ศูนย์ราชการรวมศูนย์, พิพิธภัณฑ์, หอเกียรติยศ และศาลหลักเมือง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนมองเห็นว่า “นักการเมืองที่ดี” คือคนที่ “พัฒนาชุมชน” ไม่ใช่แค่พูดสวยหรูบนเวที 📌 บทเรียนจากชีวิตบรรหาร สัจจะ และกตัญญู หากถามถึงคุณธรรมสำคัญในชีวิตของบรรหาร มีอยู่ 2 คำ ที่บรรหารยึดมั่นเสมอ คือ “สัจจะ” คำพูดต้องรักษาให้ได้ “กตัญญู” ต่อบ้านเกิด และผู้มีพระคุณ นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของบรรหาร ยังถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านไปหลายปี และยังเป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ศึกษาเรียนรู้ 📜 มังกรสุพรรณ ผู้ล่องด้วยสัจจะ "บรรหาร ศิลปอาชา" ไม่ใช่แค่ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่คือชายที่หล่อหลอมเมืองสุพรรณบุรี ให้กลายเป็นพื้นที่พิเศษ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย 🐉 จากชายที่เกิดในครอบครัวพ่อค้า สู่ผู้พัฒนาจังหวัดด้วยวิสัยทัศน์ จากนักธุรกิจที่สร้างตัวเอง สู่ผู้นำที่เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย 🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 231016 เม.ย. 2568 🔖 #บรรหารศิลปอาชา #นายกรัฐมนตรีไทย #มังกรสุพรรณ #บรรหารบุรี #ปลาไหลใส่สเก็ต #สุพรรณบุรี #การเมืองไทย #พัฒนาท้องถิ่น #จังหวัดนิยม #บุคคลสำคัญ
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • 170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️

    📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️

    🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍

    แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม"

    📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398

    จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂

    กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง

    นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย

    💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก…

    ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต

    หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร

    ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น

    👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้

    การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾

    🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล

    ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️

    📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง...
    ✅ เปิดประตูการค้าเสรี
    ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก
    ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว
    ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง
    ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง

    📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง

    😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้

    ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด

    ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่

    ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้

    ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย

    ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”?
    📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ
    📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ
    📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก
    📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น

    📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต

    🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม

    ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า?

    “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง

    ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5

    สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568

    📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
    #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม
    #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย
    #โลกาภิวัตน์กับไทย
    170 ปี สนธิสัญญาเบาว์ริง เปิดประเทศสู่เศรษฐกิจโลก ประโยชน์ไม่สมดุล ทุนต่างชาติครอบงำ ไม่ยุติธรรม! ไทยทำไม่ได้ที่อังกฤษ เปิดประเทศสู่โลก แต่ปิดความเท่าเทียม? 🇹🇭⚖️ 📚 สนธิสัญญาเบาว์ริงไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำไทยเข้าสู่เวทีเศรษฐกิจโลก ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เท่าเทียม เปิดประตูสู่ความทันสมัย แต่ปิดโอกาสของความเสมอภาค ในการเจรจากับชาติตะวันตก ⚖️ 🧭 สนธิสัญญาที่เปิดประเทศ แต่ปิดความเสมอภาค ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทย สู่โลกทุนนิยม 🌍 แต่ภายใต้การเปิดเสรีนั้น กลับมีเงื่อนไขที่ไทยเสียเปรียบ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การปกครอง และกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สนธิสัญญานี้ถูกวิพากษ์ว่าเป็น "สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม" 📜 “Treaty of Friendship and Commerce between the British Empire and the Kingdom of Siam” หรือ Bowring Treaty คือข้อตกลงระหว่างไทย หรือราชอาณาจักรสยามในสมัยนั้น กับอังกฤษ ที่ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 จุดเด่นของสนธิสัญญานี้ คือการเปิดให้พ่อค้าชาวอังกฤษ สามารถค้าขายอย่างเสรีในสยาม และได้รับ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extraterritorial Rights) 🛂 กล่าวคือ คนในบังคับอังกฤษที่อยู่ในไทย จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ขึ้นกับศาลของอังกฤษเอง นอกจากนี้ สนธิสัญญายังเปิดทางให้พ่อค้าต่างชาติ ตั้งรกราก ซื้อขายทรัพย์สิน และถือครองที่ดินในบางพื้นที่ได้ด้วย 💼 เหตุผลเบื้องหลัง อังกฤษต้องการอะไรกันแน่? หลายคนอาจเข้าใจว่า อังกฤษต้องการแค่เปิดตลาดการค้า แต่เบื้องหลังของข้อตกลงนี้ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก… ผลประโยชน์จากการค้าฝิ่น อังกฤษต้องการสร้างเส้นทางการค้าฝิ่น ที่มั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการให้สยามเป็นทางผ่านการค้ากับจีน ฮ่องกง และอินเดีย 🚢 อำนาจและอิทธิพลทางการทูต หลังสงครามฝิ่นครั้งแรก จีนพ่ายแพ้ อังกฤษต้องการป้องกันไม่ให้เกิด “สยามเป็นจีนลำดับต่อไป” เบาว์ริงใช้วิธี “ทูตนุ่ม” มากกว่าการใช้กำลังทหาร ประโยชน์จากภาษีต่ำ ตามสนธิสัญญา ไทยเก็บภาษีนำเข้าได้แค่ 3% เท่านั้น ‼️ ฝิ่นไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ต้องขายให้กับเจ้าภาษีเท่านั้น 👑 ทำไมสยามถึงยอมเซ็น? พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเล็งเห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะล้าหลัง เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก หากไม่ยอมเปิดประเทศ อาจตกเป็นอาณานิคมเหมือนจีน พม่า หรืออินเดียได้ การเปิดการค้าเสรี จะช่วยให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก “การส่งออกข้าว” ชาวนาก็จะมีเงินมากขึ้น ข้าวจะกลายเป็นสินค้าส่งออกของไทย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล... 🧺🌾 🔍 ผลกระทบที่ตามมา เปิดเสรี หรือเปิดโอกาสให้ต่างชาติครอบงำ? ภายหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง มีเรือต่างประเทศ เข้ามาค้าขายกว่า 100 ลำในปีเดียว ระบบเงินเหรียญ แทนพดด้วง เริ่มใช้อย่างเป็นระบบ เกิดการลงทุนของต่างชาติ เช่น โรงสี โรงเลื่อยไม้ โรงน้ำตาล ชาวนามีรายได้สูงขึ้น ราคาข้าวพุ่ง จาก 3–5 บาท ต่อเกวียน เป็น 16–20 บาท ต่อเกวียน ราษฎรสามารถ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” ที่ดินของตนได้ ชาวต่างชาติสามารถเช่า หรือซื้อที่ดินได้ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด 🏘️ 📈 ข้อดีของสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่น้อยคนนึกถึง... ✅ เปิดประตูการค้าเสรี ✅ ช่วยให้ไทยพัฒนาวิทยาการตะวันตก ✅ ราษฎรมีรายได้จากการค้าข้าว ✅ กระตุ้นการพัฒนาเมือง ถนนเจริญกรุง สีลม เริ่มก่อสร้าง ✅ ทำให้มีการแข่งขันทางการค้า → ราคาสินค้าลดลง 📌 สินค้าไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น ข้าว ไม้สัก งาช้าง 😞 ข้อเสียเปรียบของไทย ในสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ถูกซ่อนไว้ ❌ เสียสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถเก็บภาษีนำเข้าตามต้องการได้ ต้องเปิดตลาดสินค้าให้ต่างชาติ โดยไม่มีข้อจำกัด ❌ เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย ทำให้ศาลไทยไม่มีอำนาจเต็มที่ ❌ ทุนต่างชาติเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ ตั้งโรงงาน โรงสี โรงเลื่อยไม้ ฯลฯ โดยคนไทยแข่งขันไม่ได้ ❌ คนไทยไม่สามารถทำการค้าในอังกฤษได้ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียม เหมือนที่อังกฤษได้จากไทย ⚖️ ทำไมถึงเรียกว่า “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”? 📍 ถูกเซ็นภายใต้แรงกดดัน จากอำนาจจักรวรรดิ 📍 ไม่มีความเสมอภาคระหว่างสองประเทศ 📍 ไทยไม่สามารถต่อรองเงื่อนไขได้มากนัก 📍 คล้ายกับ “สนธิสัญญานานกิง” ที่จีนถูกบังคับให้เซ็นหลังสงครามฝิ่น 📚 บทเรียนที่ไทยได้จากอดีต 🇹🇭 สนธิสัญญาเบาว์ริง เป็นแรงผลักดันให้ไทยเร่งพัฒนา ปฏิรูประบบราชการ ระบบศาล และกฎหมาย เปิดการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาในภายหลัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งผลถึงการรักษาเอกราชของไทย ในขณะที่เพื่อนบ้านหลายประเทศ กลายเป็นอาณานิคม ✨ ไทยเสียเปรียบวันนี้ เพื่อไม่เสียประเทศในวันหน้า? “ไม่เสมอภาค แต่จำเป็น” คือคำจำกัดความที่ดีที่สุด ของสนธิสัญญาเบาว์ริง ถึงแม้สัญญาฉบับนี้ จะเต็มไปด้วยข้อเสียเปรียบ แต่ก็นำมาซึ่งการรอดพ้นจากอาณานิคม การเปิดประตูสู่โลกสมัยใหม่ การเตรียมประเทศ เข้าสู่ยุคการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 สนธิสัญญาเบาว์ริงจึงเป็นเหมือน "ดาบสองคม" ที่ทั้งให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกัน ⚔️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181147 เม.ย. 2568 📌 #สนธิสัญญาเบาว์ริง #เปิดประเทศแต่ไม่เปิดโอกาส #ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย #ThailandHistory #BowringTreaty #เปิดเสรีไม่เท่าเทียม #ThailandTradeHistory #อธิปไตยไทย #อังกฤษในไทย #โลกาภิวัตน์กับไทย
    0 Comments 0 Shares 502 Views 0 Reviews
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 Comments 0 Shares 746 Views 0 Reviews
  • ท่าขี้เหล็ก – พ่อค้าแม่ขายชาวท่าขี้เหล็ก พากันตั้งซุ้ม-เพิงแพร้านค้า รับคนเที่ยวฉลอง “ตะจาน หรือติงจาน” สงกรานต์เมียนมาเต็มสองฝั่งน้ำสายตลอดเดือนเมษาฯนี้

    Tachileik News Agency รายงานว่าขณะนี้ริมแม่น้ำสาย ชายแดนไทย-เมียนมา เขต จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มีการตั้งซ้ำ-เพิงแพร้านค้าหนาแน่น เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวและเตรียมเฉลิมฉลองเทศกาล "ตะจาน หรือติงจาน" หรือสงกรานต์ในประเทศเมียนมา ที่จะมีไปตลอดเดือน เม.ย.นี้ ทั้งในแม่น้ำสาย น้ำลอยต่อคำ น้ำฮอก ฯลฯ

    โดยเฉพาะบริเวณบ้านดอยต่อคำ ซึ่งแม่น้ำสายอยู่ในเขตท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาทั้ง 2 ฝั่ง มีการทำเพิงไม้ไผ่และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้เล่นน้ำคลายร้อนกันอย่างคึกคักเต็มพื้นที่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000034129

    #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #ตะจาน #ติงจาน #สงกรานต์เมียนมา
    ท่าขี้เหล็ก – พ่อค้าแม่ขายชาวท่าขี้เหล็ก พากันตั้งซุ้ม-เพิงแพร้านค้า รับคนเที่ยวฉลอง “ตะจาน หรือติงจาน” สงกรานต์เมียนมาเต็มสองฝั่งน้ำสายตลอดเดือนเมษาฯนี้ • Tachileik News Agency รายงานว่าขณะนี้ริมแม่น้ำสาย ชายแดนไทย-เมียนมา เขต จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มีการตั้งซ้ำ-เพิงแพร้านค้าหนาแน่น เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวและเตรียมเฉลิมฉลองเทศกาล "ตะจาน หรือติงจาน" หรือสงกรานต์ในประเทศเมียนมา ที่จะมีไปตลอดเดือน เม.ย.นี้ ทั้งในแม่น้ำสาย น้ำลอยต่อคำ น้ำฮอก ฯลฯ • โดยเฉพาะบริเวณบ้านดอยต่อคำ ซึ่งแม่น้ำสายอยู่ในเขตท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาทั้ง 2 ฝั่ง มีการทำเพิงไม้ไผ่และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้เล่นน้ำคลายร้อนกันอย่างคึกคักเต็มพื้นที่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000034129 • #MGROnline #ท่าขี้เหล็ก #ตะจาน #ติงจาน #สงกรานต์เมียนมา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • #สร้างชุมชนthaitimeกัน

    ..ใครคือนักรบชาติไทยจะแนวไหน อย่างไร อิสระแบบใด ติด# ว่า" #สร้างชุมชนthaitimeกัน " ,ในช่องทางเพจบ้านใครมันคงดี จะfb line ติ๊กต๊อก อะไรไหนๆเพิ่มช่องทางสื่อสารไร้เผด็จการปิดกั้นเสรีการแสดงออกและคิดเห็นเราอีกช่องคงดี,thaitime กำลังปรับปรุงให้ใช้งานสะดวกขึ้นแน่นอน ขนาดเปิดคลิปทูปๆยังเล่นได้เลย ไม่ต้องเด้งไปแอปทูปๆมัน สะดวกอีกมิติการพัฒนา,แม้ค่อยๆก้าวเดินมาใหม่ก็จะดีขึ้นแน่ๆ คนไทยสัก40ล้านคนไทยมาร่วมกันใช้มันก็ตื่นรู้อะไรต่างๆได้มากมายเลย,ช่องรายการต่างๆบนแพลตฟอร์มอื่นย้ายมาใช้ที่thaitimeไม่มุ่งหวังกำไรอะไร มันย่อมดีแน่,
    ..อนาคตอาจเป็นกองทุนร้านค้าชุมชนคนไทยออนไลน์ก็ได้,ตลาดชุมชนออนไลน์เป็นพื้นที่ขายของออนไลน์ช่วยเหลือคนไทยฟรีๆด้านแพลตฟอร์มเชื่อมคนซื้อคนขายทางตรงก็ได้,เป็นสถาบันกองทุนตั้นตนเริ่มสัมมาอาชีพคนไทยก็ได้,เป็นแหล่งฮับสาระพัดองค์รู้ต่างๆที่ชุมชนthaitimeนี้ทั่วโลกก็ได้,ทั่วโลกต้องการอะไรจะสินค้า&บริการด้านไหนสามารถมาตลาดชุมชนออนไลน์ตรงนี้ของคนไทยได้หรือเข้ามาใช้ร่วมกันฟรีทั่วโลกก็ได้,เมื่อจุดยืนชัดเจนไม่มุ่งหวังผลประโยชน์กำไร เป็นสาธารณะเพื่อชุมชนคนไทย มันไปได้ดีแน่,ระดมจัดตั้งเป็นแพลตฟอร์มกองทุนตังคนไทยยืมกันฟรีๆก็ได้แบบชวนแบงค์ชาติมาเป็นเจ้าภาพร่วม,บัญชีตังQFSดิจิดัลที่แพลตฟอร์มรวมศูนย์ก็ได้,ฝากถอนตัดจ่ายออนไลน์ออฟไลน์ได้หมดแม้ไร้เน็ต,
    ..คนใช้thaitimeมีบัญชีตังQFSด้วยจะขนาดไหน,แบงค์ส่งเสริมเงินเริ่มต้นสัมมาอาชีพคนไทยอนาคตผ่านกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านthaitimeจริงจังจะขนาดไหน อาทิไทยมี80,000หมู่บ้าน แบงค์สร้างโครงการนี้ขึ้นทดลองสัก20,000หมู่บ้านๆละ10ล้านบาท คนชุมชนนั้นต้องสมัครสมาชิกthaitimeด้วย สแกนจ่ายตังตัดบัญชีQFSที่แอปthaitimeได้เลย,ทั้งแบบออนไลน์และตลาดร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านนั้นๆที่แบงค์อนุมัติร่วมโครงการ,ขายของออนไลน์ได้ก็เข้าบัญชีQFSเลยของชาวบ้านจะสินค้าเกษตรที่ขายได้หรือใดๆ,ฝากตังก็ได้ถอนเงินสดก็ได้ผ่านสาขาสถานที่จริงคือร้านค้าชุมชนตนในแต่ละหมู่บ้านนั้น,ตังจะหมุนเวียนในชุมชนนั้นๆหรือภายในประเทศอย่างเดียว,ในเบื้องต้นที่เริ่มโครงการ,เงินที่คนจะฝากก็สนใจมาฝากมาเป็นสมาชิกthaitime ระดมทุนได้ด้วย,อนาคตก็ออกเป็นหุ้นสมาชิก เป็นเจ้าของกรรมสิทธิจริงร่วมกันก่อตั้งอย่างเป็นทางการ,หรือเริ่มต้นทำแบบนี้ก่อนก็ได้,เงินที่สะพัดในประเทศไทยปกติกว่า40-50ล้านล้านบาทต่อปีก็จะเข้ามาในชุมชนคนไทยอย่างมีระบบระเบียบ ,โครงการอะไรดีๆเช่นโคกหนองนาโมเดล ยื่นลงทะเบียนออนไลน์คัดกรองส่งเสริมกันได้สะดวก,ตังใครสำเร็จเช่นขายสินค้าเกษตรได้ก็มาร่วมฝากไว้ที่แอปเรา มีแบงค์ชาติค้ำสถานะ,ขายทุเรียนมีสัก1,000-2,000คนมูลค้าได้กำไรกว่า10,000-20,000ล้านบาทอาจร่วมมาฝากเพิ่มสภาพคล่องปล่อยคนสัมมาอาชีพอื่นๆมายืมตังทำทุนสร้างตนเองฟรีดอกเบี้ย,ส่งแค่เงินต้นในปีที่สองก็ว่า,ปลูกสร้างทำเสร็จ เราสร้างแพลตฟอร์มการตลาดรองรับช่วยกัน,ขายได้ตังก็มีสถานที่เก็บที่แบงค์ค้ำประกันให้ อาจโอนออโต้เก็บตรงที่แบงค์ชาติส่วนกลางเลย,ตังกว่า100ล้านล้านบาท หมุนช่วยเหลือสมาชิกคนไทยสร้างสัมมาอาชีพพึ่งพาตนเองได้จริงด้วยตนเองเหลือล้นล่ะ,แบงค์เอกชนอาศัยตังนี้ไปปั่นทำกำไรอะไรก็ไม่ได้,ตั้งเงินปล่อยยืมเรียลไทม์รายวินาทีรายวันก็ได้เช่นวันนี้ใครอยากยืมไปทำเกษตรสร้างอาชีพเริ่มต้น สองปีหลังค่อยมาผ่อนจ่ายเงินต้น ให้คนละ1,000,000บาท ทุนโครงการรออนุมัติวันนี้เพียง10,000,000,000บาทแค่นั้น,ช่วยคนไทยได้10,000คนต่อวันโน้น,เขาเอาตัง500,000แรกลงทุนอาชีพปลูกพืชผักของเราสไตล์ล้ำๆหรือธรรมชาติแบบไหนก็ตาม อีก500,000คือรายจ่ายค่ากินอยู่ดำรงชีพรอเก็บเกี่ยวผลผลิต,จบ2ปีกำไร200,000บาทคืนตังทั้งหมดได้บวกอุปกรณ์ทุนเดิมยังสร้างรายได้ต่อยอดอื่นๆได้อีกก็มั่นคงนะสิ,ตัง10,000ล้านสามารถปล่อยยืมคนไทยคนต่อไปได้ต่ออีกโน้น,พวกนี้ชวนญาติพี่น้องมาฝากมาออมตังอีก แม่ค้าพ่อค้ามาฝากตังอีก ตังมีแต่จะเพิ่มขึ้น,ค้าขายต่างประเทศขายออนไลน์ได้กำไรคนละ100ล้านบาท ทำสำเร็จกว่า100,000คนไทย เอาตังมาฝากเก็บในกองทุนเราเองอีกคือ10ล้านล้านบาทเลยนะในเดือนนั้นไตรมาสนั้นครึ่งปีนั้นหรือตลอดปีก็ตาม,สรุปกองทุนชุมชนเราอาจหมุนเวียนกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีใครจะรู้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์.จึงมาร่วมสร้างthaitimeเป็นพันธมิตรรักคนไทยเราร่วมกันดีที่สุด.คนดีคนเก่งมากมายสร้างสรรค์จะพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ให้ยอดเยี่ยมได้สบายล่ะ,คนไทยเราอัจฉริยะเยอะนะ.

    #สร้างชุมชนthaitimeกัน ..ใครคือนักรบชาติไทยจะแนวไหน อย่างไร อิสระแบบใด ติด# ว่า" #สร้างชุมชนthaitimeกัน " ,ในช่องทางเพจบ้านใครมันคงดี จะfb line ติ๊กต๊อก อะไรไหนๆเพิ่มช่องทางสื่อสารไร้เผด็จการปิดกั้นเสรีการแสดงออกและคิดเห็นเราอีกช่องคงดี,thaitime กำลังปรับปรุงให้ใช้งานสะดวกขึ้นแน่นอน ขนาดเปิดคลิปทูปๆยังเล่นได้เลย ไม่ต้องเด้งไปแอปทูปๆมัน สะดวกอีกมิติการพัฒนา,แม้ค่อยๆก้าวเดินมาใหม่ก็จะดีขึ้นแน่ๆ คนไทยสัก40ล้านคนไทยมาร่วมกันใช้มันก็ตื่นรู้อะไรต่างๆได้มากมายเลย,ช่องรายการต่างๆบนแพลตฟอร์มอื่นย้ายมาใช้ที่thaitimeไม่มุ่งหวังกำไรอะไร มันย่อมดีแน่, ..อนาคตอาจเป็นกองทุนร้านค้าชุมชนคนไทยออนไลน์ก็ได้,ตลาดชุมชนออนไลน์เป็นพื้นที่ขายของออนไลน์ช่วยเหลือคนไทยฟรีๆด้านแพลตฟอร์มเชื่อมคนซื้อคนขายทางตรงก็ได้,เป็นสถาบันกองทุนตั้นตนเริ่มสัมมาอาชีพคนไทยก็ได้,เป็นแหล่งฮับสาระพัดองค์รู้ต่างๆที่ชุมชนthaitimeนี้ทั่วโลกก็ได้,ทั่วโลกต้องการอะไรจะสินค้า&บริการด้านไหนสามารถมาตลาดชุมชนออนไลน์ตรงนี้ของคนไทยได้หรือเข้ามาใช้ร่วมกันฟรีทั่วโลกก็ได้,เมื่อจุดยืนชัดเจนไม่มุ่งหวังผลประโยชน์กำไร เป็นสาธารณะเพื่อชุมชนคนไทย มันไปได้ดีแน่,ระดมจัดตั้งเป็นแพลตฟอร์มกองทุนตังคนไทยยืมกันฟรีๆก็ได้แบบชวนแบงค์ชาติมาเป็นเจ้าภาพร่วม,บัญชีตังQFSดิจิดัลที่แพลตฟอร์มรวมศูนย์ก็ได้,ฝากถอนตัดจ่ายออนไลน์ออฟไลน์ได้หมดแม้ไร้เน็ต, ..คนใช้thaitimeมีบัญชีตังQFSด้วยจะขนาดไหน,แบงค์ส่งเสริมเงินเริ่มต้นสัมมาอาชีพคนไทยอนาคตผ่านกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านthaitimeจริงจังจะขนาดไหน อาทิไทยมี80,000หมู่บ้าน แบงค์สร้างโครงการนี้ขึ้นทดลองสัก20,000หมู่บ้านๆละ10ล้านบาท คนชุมชนนั้นต้องสมัครสมาชิกthaitimeด้วย สแกนจ่ายตังตัดบัญชีQFSที่แอปthaitimeได้เลย,ทั้งแบบออนไลน์และตลาดร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านนั้นๆที่แบงค์อนุมัติร่วมโครงการ,ขายของออนไลน์ได้ก็เข้าบัญชีQFSเลยของชาวบ้านจะสินค้าเกษตรที่ขายได้หรือใดๆ,ฝากตังก็ได้ถอนเงินสดก็ได้ผ่านสาขาสถานที่จริงคือร้านค้าชุมชนตนในแต่ละหมู่บ้านนั้น,ตังจะหมุนเวียนในชุมชนนั้นๆหรือภายในประเทศอย่างเดียว,ในเบื้องต้นที่เริ่มโครงการ,เงินที่คนจะฝากก็สนใจมาฝากมาเป็นสมาชิกthaitime ระดมทุนได้ด้วย,อนาคตก็ออกเป็นหุ้นสมาชิก เป็นเจ้าของกรรมสิทธิจริงร่วมกันก่อตั้งอย่างเป็นทางการ,หรือเริ่มต้นทำแบบนี้ก่อนก็ได้,เงินที่สะพัดในประเทศไทยปกติกว่า40-50ล้านล้านบาทต่อปีก็จะเข้ามาในชุมชนคนไทยอย่างมีระบบระเบียบ ,โครงการอะไรดีๆเช่นโคกหนองนาโมเดล ยื่นลงทะเบียนออนไลน์คัดกรองส่งเสริมกันได้สะดวก,ตังใครสำเร็จเช่นขายสินค้าเกษตรได้ก็มาร่วมฝากไว้ที่แอปเรา มีแบงค์ชาติค้ำสถานะ,ขายทุเรียนมีสัก1,000-2,000คนมูลค้าได้กำไรกว่า10,000-20,000ล้านบาทอาจร่วมมาฝากเพิ่มสภาพคล่องปล่อยคนสัมมาอาชีพอื่นๆมายืมตังทำทุนสร้างตนเองฟรีดอกเบี้ย,ส่งแค่เงินต้นในปีที่สองก็ว่า,ปลูกสร้างทำเสร็จ เราสร้างแพลตฟอร์มการตลาดรองรับช่วยกัน,ขายได้ตังก็มีสถานที่เก็บที่แบงค์ค้ำประกันให้ อาจโอนออโต้เก็บตรงที่แบงค์ชาติส่วนกลางเลย,ตังกว่า100ล้านล้านบาท หมุนช่วยเหลือสมาชิกคนไทยสร้างสัมมาอาชีพพึ่งพาตนเองได้จริงด้วยตนเองเหลือล้นล่ะ,แบงค์เอกชนอาศัยตังนี้ไปปั่นทำกำไรอะไรก็ไม่ได้,ตั้งเงินปล่อยยืมเรียลไทม์รายวินาทีรายวันก็ได้เช่นวันนี้ใครอยากยืมไปทำเกษตรสร้างอาชีพเริ่มต้น สองปีหลังค่อยมาผ่อนจ่ายเงินต้น ให้คนละ1,000,000บาท ทุนโครงการรออนุมัติวันนี้เพียง10,000,000,000บาทแค่นั้น,ช่วยคนไทยได้10,000คนต่อวันโน้น,เขาเอาตัง500,000แรกลงทุนอาชีพปลูกพืชผักของเราสไตล์ล้ำๆหรือธรรมชาติแบบไหนก็ตาม อีก500,000คือรายจ่ายค่ากินอยู่ดำรงชีพรอเก็บเกี่ยวผลผลิต,จบ2ปีกำไร200,000บาทคืนตังทั้งหมดได้บวกอุปกรณ์ทุนเดิมยังสร้างรายได้ต่อยอดอื่นๆได้อีกก็มั่นคงนะสิ,ตัง10,000ล้านสามารถปล่อยยืมคนไทยคนต่อไปได้ต่ออีกโน้น,พวกนี้ชวนญาติพี่น้องมาฝากมาออมตังอีก แม่ค้าพ่อค้ามาฝากตังอีก ตังมีแต่จะเพิ่มขึ้น,ค้าขายต่างประเทศขายออนไลน์ได้กำไรคนละ100ล้านบาท ทำสำเร็จกว่า100,000คนไทย เอาตังมาฝากเก็บในกองทุนเราเองอีกคือ10ล้านล้านบาทเลยนะในเดือนนั้นไตรมาสนั้นครึ่งปีนั้นหรือตลอดปีก็ตาม,สรุปกองทุนชุมชนเราอาจหมุนเวียนกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีใครจะรู้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์.จึงมาร่วมสร้างthaitimeเป็นพันธมิตรรักคนไทยเราร่วมกันดีที่สุด.คนดีคนเก่งมากมายสร้างสรรค์จะพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ให้ยอดเยี่ยมได้สบายล่ะ,คนไทยเราอัจฉริยะเยอะนะ.
    0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
  • ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 545 Views 0 Reviews
  • แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง
    .
    ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้
    .
    แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย
    .
    ---------------
    ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก"
    ---------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป...
    .
    ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ
    .
    ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ
    .
    อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี)
    .
    เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย
    .
    เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้...
    .
    ------------------------
    กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง
    ------------------------
    .
    อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551
    .
    ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ
    .
    ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล
    .
    ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่
    .
    หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664
    .
    แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน
    .
    ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค
    .
    ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง
    .
    และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี
    .
    ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด
    ---------------------------------
    แหล่งข้อมูล
    - https://www.git.or.th/g20130410.html
    - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true
    - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175?
    - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater
    - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป
    - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Website : http://www.thailandvision.co
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    แม้วันเวลาจะผ่านไปกว่า 32 ปีแล้วก็ตาม แต่คดี เพชรซาอุฯ ก็ยังถูกกลับเอามาเล่าขานกันอีกครั้ง . ตำนานเครื่องเพชรที่ถูกพูดถึงมากเรื่องหนึ่งในสังคมไทยโดย คดี เพชรซาอุฯ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดปี พ.ศ. 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานทำความสะอาดในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้โจรกรรมเพชร ทอง และอัญมณี ที่ถูกวางไว้อย่างไม่เป็นที่เป็นทาง จากพระราชวัง โดยอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าชายแปรพระราชฐานไปต่างประเทศ แอบนำถุงกระสอบขนาดใหญ่เข้าไปในพระราชวัง ซ่อนตัวอยู่ภายในพระราชวังจนถึงเวลากลางคืน แล้วจึงทำการขโมยเครื่องเพชรใส่ถุงกระสอบแล้วโยนถุงกระสอบลงมาออกนอกกำแพงพระราชวัง จากนั้นนำส่งประเทศไทยโดยการส่งปะปนมากับเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัว ทำให้ ยากจะตรวจสอบได้ . แต่สุดท้าย นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ได้ถูก ตำรวจจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดย ชุดจับกุมของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ และยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการตามเพชรทั้งหมดกลับคืนอีกด้วย . --------------- ไม่เคยมี "เพชรสีน้ำเงินมาแต่แรก" --------------- . อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมี "คดีเพชรซาอุ" มีการพูดถึง เครื่องเพชร ชุดหนึ่ง คือ "เพชรสีน้ำเงิน"( เครื่องเพชรบลูไดมอนด์) ซึ่งแท้จริงแล้วมีปรากฎแต่ในการนำเสนอข่าวภายในประเทศไทยเท่านั้น ที่แม้แต่ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรัตน์ ผช.อตร. เจ้าของคดี ยังถามถามสื่อมวลชนเองว่า "ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ตนไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อนเลย" จากนั้นก็มีการไปเอารูปภริยาอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น พล.ต.อ. แสวง ธีระสวัสดิ์ ภาพใน น.ส.พ. ฉบับหนึ่ง ผู้หญิงสวมสร้อยคอที่มีจี้เป็นอัญมณีสีน้ำเงินล้อมเพชรและทอง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ใช้ชื่อ "งานเลี้ยงบลูไดมอนด์" แล้วก็ลือกันตามมาว่าเป็นเพชรบลูไดมอนด์ของเจ้าฟ้าชายไฟซาล เรื่องราวนี้ดังไปถึงหู ทางการของประเทศซาอุฯ เลยส่งสายสืบลับของซาอุฯมาตรวจสอบเพิ่มเติม จนพบว่า ในความเป็นจริงแล้วเพชรบลูไดมอนด์ ในข่าวเป็นเพียง วัตถุที่ทำด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่นำมาประดิษฐ์เข้าคู่กับเพชรและทอง เท่านั้น คดีเพชรบลูไดมอนด์จึงจบไป... . ส่วน นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยได้สารภาพว่า ได้แบ่งเครื่องเพชรให้กับเพื่อนที่มีส่วนรู้เห็นโดยไม่ได้แยกแยะ ชนิดสี ประเภทใดๆก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย โดยแยกทองและหินออกจากกัน เนื่องจาก นาย เกรียงไกร ทราบมูลค่าของทองดีแต่ไม่ทราบมูลของเพชรพลอยที่ประดับ หินบางส่วนถูกทุบให้แตกเพื่อแยกประเภทคร่าวๆตามความเข้าใจว่าเพชรเป็นของแข็ง หากไม่แตกก็จะเก็บเอาไว้ขายนั้นเอง จากนั้นจึงนำไปขายให้พ่อค้าเพชรและทองตามลำดับ . ในช่วงเวลาระหว่างการดำเนินคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง จำเลยในคดีลักเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบคือ (สิงเหนือ ) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ออกติดตามเครื่องเพชรคืนให้แก่รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย โดยตามหาและส่งคืนกลับไปทั้งหมด ผลงานของ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศในครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงมากจนได้รับการยกย่องจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ให้เป็นแขกพิเศษ . อย่างไรก็ตามมีประเด็นต่อมา คือการส่งคืนเครื่องเพชรจำนวนมากในครั้งนั้นกลับไม่ครบ-และบางส่วนปลอม เลยมีการรื้อคดีกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง จากคำให้การของนายเกรียงไกร ที่บอกว่า ได้โจรกรรมเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล แล้วนำเข้ามาขายในประเทศไทย โดยขายให้ นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จึงพุ่งเป้าไปที่ นายสันติ เพื่อตามทวงคืน เครื่องเพชรส่วนที่เหลือ แต่นายสันติ ได้ปฎิเสธ พล.ต.ท.ชลอจึงจับลูกและภารยาของนายสันติ เป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้ นายสันติบอกที่ซ่อนของเพชรที่เหลือ แต่ก็ไม่เป็นผล ...ประจวบกับเหตุการณ์เวลานั้นมีการคุกคามตัวประกัน จึงมีการสังหารตัวประกันแล้วจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ในภายหลัง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศถูกจับกุมในคดี สังหาร ครอบครัว ศรีธนะขัณฑ์ เลยได้รับโทษประหารชีวิต ...(ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากที่จำคุกมาได้ 19ปี) . เมื่อมีการพยายามพูดถึง เพชรบลูไดมอนด์และเพชรที่เหลือจากซาอุฯ อีกครั้ง มีการตรวจสอบ ย้อนกลับซ้ำอีกครั้ง จึงพบว่า ทางซาอุฯไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ของ เพชรบลูไดมอนด์ และไม่มีใครทั้ง นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ,นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ทางการไทย ต่างไม่เคยพบเห็นเพชรบลูไดมอนด์ เลยจึงได้ข้อสรุปว่าเพชรบลูไดมอนด์ ไม่เคยอยู่ในประเทศไทย . เรื่องราว เพชรซาอุฯ มีข้อเท็จจริงแต่เพียงเท่านี้... . ------------------------ กำเนิดข่าวลือเพชรซาอุรอบที่สอง ------------------------ . อย่างไรก็ตาม ในปี2551 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการยกเรื่อง เพชรสีน้ำเงิน เอาขึ้นมาอีกครั้ง บนเวทีสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2551 . ทั้งบนเวที และ ในลักษณะข่าวลือ โดยบนเวทีชุมนุมนั้นจะปรากฎ ภาพ แหวนเพชรสีน้ำเงินถูกสวมอยู่ในอุ้งเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น มี หนึ่งในผู้ปราศรัย คือ(เสือใต้) พล.ต.อ สล้าง บุนนาค นายตำรวจยุคเดียวกับ (สิงเหนือ)พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ . ส่วนข่าวลือและภาพที่ถูกแชร์กันใส่สังคมออนไลน์ในช่วงปี 2553 คือภาพ เพชรสีน้ำเงิน หน้าต่างๆกันออกไปทั้งแบบที่เป็นแหวนเพชร และ สร้อยคอ โดยมีการระบุในข่าวลือว่าเป็น เพชรบลูไดมอนด์จากคดีเพชรซาอุฯ โดยมีการนำเอาภาพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่9 ทรงพระศอประดับอัญมณีสีฟ้าในการแชร์พร้อมเรื่องราวข่าวเท็จเกี่ยวกับการขโมยเพชรสีน้ำเงินจากราชวงศ์ซาอุฯ จนกลายเป็นข่าวลือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแยบยล . ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครเคยเห็น เพชรบลูไดมอนด์ ว่าอยู่ในสภาพแหวนหรือสอยคอ และมีจำนวนกี่เม็ดกันแน่ . หากพิจารณาภาพเพชรสีน้ำเงินที่เผยแพร่ในช่วงนี้ก็จะพบว่าเป็นเพียงการนำภาพ เครื่องเพชรที่มีลักษณะใกล้เคียงมาตัดต่อพร้อมประกอบกับเรื่องราวข่าวลือเท่านั้น โดยภาพที่ปรากฏประจำคือ Hope Diamond ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ Hope Diamond มีประวัติน่าสนใจมาก เพราะ เป็นเพชรสีน้ำเงินที่ถูกตัดออกมาจาก เพชรเม็ดยักของ ราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า French Blue (Le bleu de France) ตั้งแต่สมัยปฎิวัติฝรั่งเศส โดยแหล่งกำเนิดของ French Blue (Le bleu de France) นั้นมาจากเหมืองในเมืองกอลคอนดา (Golconda) ในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ ปี 1664 . แต่ด้วยประวัติของผู้ครอบครองเพชรสีน้ำเงิน ที่ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต และเสียชีวิตฉับพลันจึงทำให้กลายเป็นตำนานเพชรต้องสาป ซึ่งปัจจุบัน เพชรเม็ดนี้ อยู่ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน . ส่วนอีกภาพที่นิยมแชร์พร้อมกับข่าวลือคำสาปเพชรซาอุฯ คือภาพของ "Heart of the Ocean" หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "Le Cœur de la Mer" เพชรสีน้ำเงินรูปทรงหัวใจ เป็นเครืองประดับที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายว่า แท้จริงแล้ว"Heart of the Ocean"เป็นเพชรที่เกิดมาจาก การจินตนาการของผู้กำกับภาพยนต์ ไททานิค โดย "Heart of the Ocean" นั้นถูกจินตนาการขึ้นโดยอ้างอิง ประวัติ Hope Diamond ของฝรั่งเศส และถูกจินตนาการไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุการจมเรือในภาพยนตร์ไททานิค . ส่วนภาพสำคัญและมักถูกตกเป็นเป้าโจมตีของข่าวเท็จก็คือภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน(ไม่ใช่เพชร) เป็นภาพตั้งแต่ ปี 2500 ขณะทรงเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระศอไพลินสีน้ำเงินนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากสมเด็จพระพันปีหลวง . และ แน่นอนว่า ภาพของ สมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรง พระศอไพลินสีน้ำเงิน เป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อน คดีเพชรซาอุฯ ถึง 32 ปี . ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ เพชรบลูไดมอนด์ จากคดีเพชรซาอุฯปี 2532 จะย้อน เวลาไปปรากฎในปี 2500 ได้โดยเด็ดขาด --------------------------------- แหล่งข้อมูล - https://www.git.or.th/g20130410.html - http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=3585&read=true&count=true - https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1591058431203175? - https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2367376280183185/?type=3&theater - https://th.wikipedia.org/wiki/เพชรโฮป - https://www.facebook.com/726502237386172/posts/3507440415958993/ ------------------------------- ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่ Website : http://www.thailandvision.co Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision Youtube : https://www.youtube.com/c/Thailandvision
    0 Comments 0 Shares 1114 Views 0 Reviews
  • (มีคลิป) 'ชัชชาติ' แจง หลังปิดฉากคืนฟุตปาธ ‘ตลาดคลองเตย 1’ พ่อค้าบอกไม่เคยจ่ายค่าเช่า จ่ายค่าปรับกับเทศกิจ ใช้ชีวิตแบบนี้กันมาตลอด
    https://www.thai-tai.tv/news/17724/
    (มีคลิป) 'ชัชชาติ' แจง หลังปิดฉากคืนฟุตปาธ ‘ตลาดคลองเตย 1’ พ่อค้าบอกไม่เคยจ่ายค่าเช่า จ่ายค่าปรับกับเทศกิจ ใช้ชีวิตแบบนี้กันมาตลอด https://www.thai-tai.tv/news/17724/
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ##
    ..
    ..
    อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน
    .
    ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์
    .
    แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO
    .
    ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด
    .
    เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล
    .
    เช่น
    .
    USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น
    .
    รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน
    .
    ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา
    .
    รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์
    .
    กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด
    .
    ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ
    .
    ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน)
    .
    และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป
    .
    อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน
    .
    เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว
    .
    ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน
    .
    ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์
    .
    ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย"
    .
    หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน)
    .
    ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์...
    .
    ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด
    .
    และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ
    .
    รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป
    .
    ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา...
    .
    สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    ## สรุป ประเด็นเกี่ยวข้องกับ สงครามยูเครน ## .. .. อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ระดมพลเตรียมส่งทหารเข้าไปใน ยูเครน . ขณะที่ อิตาลี ไม่เห็นด้วย และ สนับสนุนแนวทางการเจรจาของ ทรัมป์ . แน่นอนว่า ยูโรป อีกหลายประเทศ สนับสนุน การรวมตัวจัดตั้งกองกำลังขึ้นเพื่อจัดการ รัสเซีย หลัง อเมริกา มีท่าที ละทิ้ง NATO . ทรัมป์ คือ พ่อค้า เขาคำนวณถึงผลได้ผลเสีย เขามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ดังนั้นกิจกรรมใดที่สิ้นเปลื้องทรัพยากรโดยใช่เหตุ ทรัมป์ จะตัดออกทั้งหมด . เช่น งบประมาณสนับสนุน USAID และ NED กระทั่ง VOA เพราะองค์กรเหล่านี้ ใช้เงินจำนวนมหาศาล . เช่น . USAID ใช้เงินหลายหมื่นล้านในปีที่แล้ว สนับสนุน กลุ่มบุคคลในประเทศอื่น เพื่อแทรกซึม แทรกแซง กิจการภายใน และ การเมืองภายในประเทศอื่น . รวมไปถึง NED และ CIA ก็เช่นกัน . ส่วน VOA เป็น สถานีข่าว Propaganda สำหรับ โฆษณาชวนเชื่อ สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายศัตรูของ อเมริกา และ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของ อเมริกา . รวม 3-4 องค์กรนี้ ใช้งบปาเข้าไปเป็นแสนล้านดอลลาร์ . กระทั่งมาถึง องค์กร NATO ที่ อเมริกา ใช้งบประมาณ แบกไว้ เกิน 60% ของสมาชิก NATO ทั้งหมด . ทรัมป์ พูดไม่ผิด ทำไม อเมริกา ต้องแบก NATO เพราะเพื่อปัญหา "ขี้ขึ้นสมองของยุโรป" ถ้า ยุโรป กลัว รัสเซีย จะรุกราน ก็จ่ายเงินเองสิ . ก่อนหน้านี้ อเมริกา ปกครองโดย พวกซ้ายจัด จึงแสร้งทำตัวราวกับเป็นนักบุญ (แต่ทำชั่วทุกวัน) . และ แน่นอนว่าต้องการวางตัวเป็นพี่ใหญ่ เป็นนักเลงคุมตรอก และ ต้องการควบคุมโลก และ เขียนระเบียบโลก ที่เอาเปรียบคนอื่นเสมอมาตลอดไป . อเมริกา จึงเป็นประเทศเดียวที่ใช้งบประมาณทางการทหาร เป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่า อันดับ 2-7 รวมกัน . เพราะเหตุนี้ ทรัมป์ มองว่า เป็นเหตุผลให้ถ่วง อเมริกา ไม่สามารถพัฒนาประเทศได้เลย กระทั่งถูก จีน หายใจรดต้นคอ และ แซงไปในหลายด้านแล้ว . ขณะเดียวกันกับที่ ทรัมป์ ขอเจรจาหยุดยิง 30 วัน ในยูเครน ปูติน เองก็ไม่ได้โง่ เขารู้ว่า ยูโรปกำลังทำอะไร ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ ห้าวเป้ง ปากดีขนาดไหน . ปูติน มีประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่เคยโดน อเมริกา และ ยุโรป รวมหัวกันหลอกเขา ในสนธิสัญญากรุงมินสก์ . ซึ่ง แองเกลลา เมอร์เคิล ยอมรับเองกับปากว่า "เราหลอกรัสเซีย" . หลอกในที่นี้คือ หลอกให้ รัสเซีย เซ็นสัญญากรุงมินสก์ ให้หยุดยิงกัน ระหว่างประชาชนในแคว้นดอนบาส กับ พวกนีโอนาซี ยื้อเวลา ให้พวก นีโอนาซี และ ยูเครน สะสมกำลังรบกระทั่ง ยูเครน พร้อมจะรบกับ รัสเซีย (แต่ รัสเซีย ดันบุกก่อน) . ทั้งหมดมันส่อ มีแสดงชัดว่า ยุโรป เองนั่นแหล่ะ ที่ต้องการจัดการ รัสเซีย และ อเมริกา ก็ใช้ประโยชน์จากความ ประสาทแดก ขี้ขึ้นสมอง ของ ยุโรป ในการหาประโยชน์... . ปูติน ไม่ได้โง่ครับ เขาไม่ได้ต้องการครอบครอง ยูเครน ทั่งหมด รัสเซีย พูดมานานแล้วว่า ต้องการให้ ยูเครน เป็น บัฟเฟอร์สเตท เป็นรัฐที่เป็นกลาง ไม่ฝั่กใฝ่ฝ่ายใด . และ ยูเครน ก็กว้างใหญ่เกินไป ที่ รัสเซีย จะใช้ทหารเข้าไปยึดครองพื้นที่ทั้งหมด ปูติน คือ อดีตสายลับ KGB ความฉลาดนั้นไม่ต้องสงสัย ฉลาดกว่าผู้ปกครองหลายประเทศเยอะ . รัสเซีย ไม่ได้เป็นภัยของใครเลย ขณะเดียวกัน ในยุคใหม่ที่ ปูติน ปกครองรัสเซีย รัสเซีย เริ่มกลับมามีที่ยืนในเวทีโลก ทำการค้า และ ส่งน้ำมัน ก๊าซ และ ธัญพืชให้ยูโรป . ยูโรป เองต่างหากที่มีจิตใต้สำนึก หวาดระแวงจนถึงขั้น ขี้ขึ้นสมอง และ อเมริกา ก็ไม่ต้องการให้ รัสเซีย แข็งแรงขึ้น จึงสามารถใช้ประโยชน์จากการนี้เสมอมา... . สรุป ปูนติน น่าจะต้องการ การหยุดยิงถาวร พร้อมแพ็กเกจเพิ่มเติม เช่น ห้าม ยูเครน เข้า NATO ชั่วกาลปาวสาน ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้า ต้องคืนทรัพสินของรัสเซียที่ยึดไป รับรอง ไครเมียร์ และ แคว้นที่รัสเซียยึดครองได้แล้ว เป็นแผ่นดินของรัสเซีย ห้ามมีทหาร NATO ใน ยูเครน
    0 Comments 0 Shares 647 Views 0 Reviews
  • เชียงราย - ผ่าอาณาจักร “เสี่ยจิว” หนุ่มลูกครึ่งจีน-ชาติพันธุ์ลาหู่ จากดอยแม่สลอง-ป่าตึง แม่จัน..ชื่อโผล่เป็นพ่อค้ายาแถวหน้ามา 3 ปี พบพฤติกรรมชอบสวมเสื้อซาฟารี-อ้างติดยศ “พันตรี” คุมอดีตสิบเอกรบพิเศษ พร้อมลูกน้องค้ายา-ขนไอซ์ ซุกอำพรางรถดัดแปลงเป็นรถทหาร ค้นรังเจอทั้งปืน-เครื่องกระสุน-ระเบิด ฯลฯ เหมือนคลังแสงขนาดย่อม แถมมีเครื่องแบบทหารปักชื่อพร้อมสรรพ

    กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย บก.สส.ภ.5 ร่วมกับทั้ง สภ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ยึดไอซ์ประมาณ 1,500 กิโลกรัม ซุกซ่อนในถัง 200 ลิตรที่เก็บไว้บนรถบรรทุก 6 ล้อดัดแปลงคล้ายรถขนส่งทหารติดทะเบียนกงจักร และจับผู้ต้องหาได้ 7 คน โดย 2 คนที่ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บเป็นอดีตทหารรบพิเศษยศสิบเอกที่ถูกปลดออกจากราชการแล้ว เหตุเกิดวันที่ 7-8 มี.ค. 2568 นั้น

    เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.5 ระบุว่าเครือข่ายนี้เป็นของ "เสี่ยจิว" นายชุติธัญญ์ อายุ 40 ปี เป็นลูกครึ่งจีนและลาหู่ มีพื้นเพเดิมอยู่บนดอยแม่สลอง-ป่าตึง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งตัวจริง ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพียงลูกน้อง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000023064

    #MGROnline #เชียงราย #เสี่ยจิว #ดอยแม่สลอง #พ่อค้ายา #พันตรี #อดีตสิบเอกรบพิเศษ #รถดัดแปลง #รถทหาร
    เชียงราย - ผ่าอาณาจักร “เสี่ยจิว” หนุ่มลูกครึ่งจีน-ชาติพันธุ์ลาหู่ จากดอยแม่สลอง-ป่าตึง แม่จัน..ชื่อโผล่เป็นพ่อค้ายาแถวหน้ามา 3 ปี พบพฤติกรรมชอบสวมเสื้อซาฟารี-อ้างติดยศ “พันตรี” คุมอดีตสิบเอกรบพิเศษ พร้อมลูกน้องค้ายา-ขนไอซ์ ซุกอำพรางรถดัดแปลงเป็นรถทหาร ค้นรังเจอทั้งปืน-เครื่องกระสุน-ระเบิด ฯลฯ เหมือนคลังแสงขนาดย่อม แถมมีเครื่องแบบทหารปักชื่อพร้อมสรรพ • กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย บก.สส.ภ.5 ร่วมกับทั้ง สภ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ยึดไอซ์ประมาณ 1,500 กิโลกรัม ซุกซ่อนในถัง 200 ลิตรที่เก็บไว้บนรถบรรทุก 6 ล้อดัดแปลงคล้ายรถขนส่งทหารติดทะเบียนกงจักร และจับผู้ต้องหาได้ 7 คน โดย 2 คนที่ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บเป็นอดีตทหารรบพิเศษยศสิบเอกที่ถูกปลดออกจากราชการแล้ว เหตุเกิดวันที่ 7-8 มี.ค. 2568 นั้น • เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.5 ระบุว่าเครือข่ายนี้เป็นของ "เสี่ยจิว" นายชุติธัญญ์ อายุ 40 ปี เป็นลูกครึ่งจีนและลาหู่ มีพื้นเพเดิมอยู่บนดอยแม่สลอง-ป่าตึง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งตัวจริง ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพียงลูกน้อง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000023064 • #MGROnline #เชียงราย #เสี่ยจิว #ดอยแม่สลอง #พ่อค้ายา #พันตรี #อดีตสิบเอกรบพิเศษ #รถดัดแปลง #รถทหาร
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 640 Views 0 Reviews
  • ผ่าอาณาจักร “เสี่ยจิว” หนุ่มลูกครึ่งจีน-ชาติพันธุ์ลาหู่ จากดอยแม่สลอง-ป่าตึง แม่จัน..ชื่อโผล่เป็นพ่อค้ายาแถวหน้ามา 3 ปี พบพฤติกรรมชอบสวมเสื้อซาฟารี-อ้างติดยศ “พันตรี” คุมอดีตสิบเอกรบพิเศษ พร้อมลูกน้องค้ายา-ขนไอซ์ ซุกอำพรางรถดัดแปลงเป็นรถทหาร ค้นรังเจอทั้งปืน-เครื่องกระสุน-ระเบิด ฯลฯ เหมือนคลังแสงขนาดย่อม แถมมีเครื่องแบบทหารปักชื่อพร้อมสรรพ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023064

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผ่าอาณาจักร “เสี่ยจิว” หนุ่มลูกครึ่งจีน-ชาติพันธุ์ลาหู่ จากดอยแม่สลอง-ป่าตึง แม่จัน..ชื่อโผล่เป็นพ่อค้ายาแถวหน้ามา 3 ปี พบพฤติกรรมชอบสวมเสื้อซาฟารี-อ้างติดยศ “พันตรี” คุมอดีตสิบเอกรบพิเศษ พร้อมลูกน้องค้ายา-ขนไอซ์ ซุกอำพรางรถดัดแปลงเป็นรถทหาร ค้นรังเจอทั้งปืน-เครื่องกระสุน-ระเบิด ฯลฯ เหมือนคลังแสงขนาดย่อม แถมมีเครื่องแบบทหารปักชื่อพร้อมสรรพ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023064 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 1045 Views 0 Reviews
  • ตามรอยเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านเส้นทางสายไหม

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> คงจำได้ว่าฉากหลังของเรื่องคือการค้าอัญมณีในสมัยถัง ซึ่งเส้นทางการเดินทางมีทั้งการเดินเรือทะเลและข้ามทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ ชวนให้ Storyฯ งงไม่น้อยเลยลองไปหาข้อมูลดู

    มีบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหอหนานกล่าวไว้ว่าจริงๆ แล้วซีรีส์เรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> นี้คือการเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งก็ตรงกับตอนจบของเรื่องที่กล่าวถึงการพัฒนาด้านการค้าผ่านเส้นทางสายไหม

    Storyฯ เลยลองเอาการเดินทางของพระเอกนางเอกจากในซีรีส์มาปักหมุดลง เราลองมาดูกันค่ะ

    มีบทความและแผนที่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมจำนวนไม่น้อยในหลากหลายภาษา ดังนั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด แต่จากการเปรียบเทียบดู Storyฯ พบว่ามีความแตกต่างกันบ้าง จึงขอใช้เวอร์ชั่นที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์หนิงเซี่ยกู้หยวนเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นไปตามข้อมูลประวัติศาสตร์ที่จีนบันทึกเอง (ดูรูปประกอบ 2) เราจะเห็นว่าเส้นทางสายไหมมีเส้นทางบกและเส้นทางทะเล และเส้นทางบกไม่ได้จบลงที่เมืองฉางอัน (ซีอันปัจจุบัน) อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่มีการเชื่อมต่อไปจรดทะเลเชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางทะเล

    Storyฯ ลองใส่ข้อมูลอื่นเพิ่มเข้าไปในแผนที่เต็มนี้ (ดูรูปประกอบ 1) ก่อนอื่นคือใส่แผนที่ของราชวงศ์ถังซ้อนลงไปเพื่อให้เห็นภาพอาณาเขตโดยคร่าว ทั้งนี้ตลอดสามร้อยกว่าปีการปกครองของถังในเขตซีอวี้ (ซินเกียงปัจจุบัน) แตกต่างกันไป เลยลองใช้แผนที่ของช่วงประมาณปีค.ศ. 700 ก็จะเห็นเขตพื้นที่ซีอวี้ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่มีเมืองตุนหวงเป็นเสมือนประตูทางผ่าน จากนั้นใส่เขตพื้นที่มณฑลหยางโจวในสมัยนั้นซึ่งอยู่ทางใต้ของแผนที่ติดทะเล (คือเส้นประเล็กๆ) (หมายเหตุ เส้นขอบทั้งหมดอาจไม่เป๊ะด้วยข้อจำกัดการวาดของ Storyฯ เอง)

    เมื่อใส่เสร็จแล้วก็เห็นได้เลยว่าตวนอู่และเยี่ยจื่อจิงของเราในเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> เขาเดินทางตามเส้นทางสายใหม่จริงๆ

    เริ่มกันที่ด้านล่างของแผนที่ซึ่งเป็นแถบพื้นที่เหอผู่อันเป็นแหล่งเก็บมุกทะเล (ปัจจุบันเรียกเป๋ยไห่ คือพื้นที่สีแดง) ที่นี่เป็นฉากเริ่มต้นของเรื่อง (ย้อนอ่านเรื่องการเก็บมุกได้จากบทความสัปดาห์ที่แล้ว) จากนั้นเดินทางผ่านกวางเจาขึ้นเหนือและสู้รบปรบมือกับคนตระกูลชุยและศัตรูอื่นเป็นระยะตั้งแต่เมืองซ่าวโจวถึงเมืองอู่หลิง จากนั้นเดินทางเรื่อยขึ้นไปจนถึงเมืองเปี้ยนโจวซึ่งคือเมืองไคฟงปัจจุบัน แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านนครฉางอัน ข้ามเขตทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ซึ่งการเข้าเขตซีอวี้ในสมัยนั้นจะผ่านเมืองตุนหวง ณ จุดนี้ เรื่องราวผ่านไปแล้วประมาณ 1/3 ของเรื่อง

    หลังจากนั้นเหล่าตัวละครกลับมาจากซีอวี้แล้วเดินทางมาถึงเมืองหยางโจวข้ามผ่านระยะทางอย่างไกลได้อย่างไรไม่ทราบได้ Storyฯ ดูจากแผนที่แล้วน่าจะย้อนกลับมาทางเมืองเปี้ยนเฉิงและจากจุดนั้นมีเส้นทาง (ที่ไม่ใช่เส้นทางสายไหมและไม่ได้วาดไว้ในรูปประกอบ) เชื่อมลงมายังเมืองหยางโจว ซึ่งมีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่สามารถใช้ได้ (หมายเหตุ เส้นทางต้าอวิ้นเหอมีการเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยหมิงเป็นต้นมา) และเรื่องราวที่เหลือของเรื่องก็จะมีฉากหลังอยู่ที่การค้าอัญมณีที่เมืองหยางโจวนี้

    ในเรื่องมีกล่าวถึงอัญมณีหนึ่งที่น่าสนใจชื่อว่า ‘เซ่อเซ่อ’ (瑟瑟 ไม่แน่ใจว่าแปลซับไทยไว้ว่าอย่างไร) ซึ่งเป็นพลอยประเภท Beryl Stone มีสีเขียวฟ้าและฟ้า บอกว่าเป็นพลอยที่มีค่าหายากมาก ในความเป็นจริง Beryl Stone แบ่งเป็นประเภทย่อยอีกตามสี แต่เรามักเรียกรวมพลอยสีฟ้าเขียวว่าพลอยอะความารีน (Aquamarine) และในละครมีการกล่าวว่าพลอยเซ่อเซ่อเกรดดีส่วนใหญ่มาจากเขตซีอวี้ แต่แถวหยางโจวก็พอให้หาซื้อได้ ซึ่งเป็นข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะพลอยเซ่อเซ่อในจีนหาได้ในสามพื้นที่หลักคือซินเกียง (ซีอวี้) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ และที่ยูนนานและหูเป่ย (ไม่ไกลจากเมืองอู่หลิงในภาพ ซึ่งเป็นจุดที่น้องชุยสือจิ่วของเราถูกจับขังในเหมือง)

    เมืองหยางโจวเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางบกและทางเรือของจีนโบราณ จึงไม่แปลกที่เรามักเห็นในซีรีส์และนิยายจีนโบราณกล่าวถึงหยางโจวว่าเป็นเขตค้าขายมีตระกูลพ่อค้าร่ำรวย ที่นี่ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลโดยผ่านแม่น้ำแยงซีเกียง และยังมีคลองต้าอวิ้นเหอเชื่อมขึ้นเหนือ ในสมัยถังที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าเสบียงอาหาร เกลือและเหล็กไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีน อีกทั้งค้าขายส่งออกผ้าไหมและงานกระเบื้องรวมถึงนำเข้าสินค้าหลากชนิดผ่านเส้นทางบกและเรือ นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องงานช่างงานฝีมือและมีการพบเจอซากเรือสมัยถังพร้อมเครื่องประดับมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยถังมีการค้าขายเครื่องประดับด้วยเช่นกัน

    หวังว่าเพื่อนเพจจะเห็นภาพแล้วว่าการเดินเรื่องของ <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านพื้นที่ไหนบ้าง และทำไมเหล่าคู่อริทางการค้าจึงพบหน้ากันบ่อย... เพราะทุกคนล้วนค้าขายและใช้เส้นทางสายไหมกันนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://m.bjnews.com.cn/detail/1730788116168379.html
    https://www.chinadiscovery.com/assets/images/silk-road/history/tang-silk-road-map-llsboc-qunar.jpg
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/JG5GE87L0512D3VJ.html
    https://www.163.com/dy/article/JGCT7TAP0530WJTO.html
    https://baike.baidu.com/item/扬州市
    https://turnstone.ca/rom186be.htm

    #ม่านมุกม่านหยก #เส้นทางสายไหม #พลอยจีน #หยางโจว #สาระจีน
    ตามรอยเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านเส้นทางสายไหม สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> คงจำได้ว่าฉากหลังของเรื่องคือการค้าอัญมณีในสมัยถัง ซึ่งเส้นทางการเดินทางมีทั้งการเดินเรือทะเลและข้ามทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ ชวนให้ Storyฯ งงไม่น้อยเลยลองไปหาข้อมูลดู มีบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหอหนานกล่าวไว้ว่าจริงๆ แล้วซีรีส์เรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> นี้คือการเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งก็ตรงกับตอนจบของเรื่องที่กล่าวถึงการพัฒนาด้านการค้าผ่านเส้นทางสายไหม Storyฯ เลยลองเอาการเดินทางของพระเอกนางเอกจากในซีรีส์มาปักหมุดลง เราลองมาดูกันค่ะ มีบทความและแผนที่เกี่ยวกับเส้นทางสายไหมจำนวนไม่น้อยในหลากหลายภาษา ดังนั้น Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียด แต่จากการเปรียบเทียบดู Storyฯ พบว่ามีความแตกต่างกันบ้าง จึงขอใช้เวอร์ชั่นที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์หนิงเซี่ยกู้หยวนเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นไปตามข้อมูลประวัติศาสตร์ที่จีนบันทึกเอง (ดูรูปประกอบ 2) เราจะเห็นว่าเส้นทางสายไหมมีเส้นทางบกและเส้นทางทะเล และเส้นทางบกไม่ได้จบลงที่เมืองฉางอัน (ซีอันปัจจุบัน) อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่มีการเชื่อมต่อไปจรดทะเลเชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางทะเล Storyฯ ลองใส่ข้อมูลอื่นเพิ่มเข้าไปในแผนที่เต็มนี้ (ดูรูปประกอบ 1) ก่อนอื่นคือใส่แผนที่ของราชวงศ์ถังซ้อนลงไปเพื่อให้เห็นภาพอาณาเขตโดยคร่าว ทั้งนี้ตลอดสามร้อยกว่าปีการปกครองของถังในเขตซีอวี้ (ซินเกียงปัจจุบัน) แตกต่างกันไป เลยลองใช้แผนที่ของช่วงประมาณปีค.ศ. 700 ก็จะเห็นเขตพื้นที่ซีอวี้ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่มีเมืองตุนหวงเป็นเสมือนประตูทางผ่าน จากนั้นใส่เขตพื้นที่มณฑลหยางโจวในสมัยนั้นซึ่งอยู่ทางใต้ของแผนที่ติดทะเล (คือเส้นประเล็กๆ) (หมายเหตุ เส้นขอบทั้งหมดอาจไม่เป๊ะด้วยข้อจำกัดการวาดของ Storyฯ เอง) เมื่อใส่เสร็จแล้วก็เห็นได้เลยว่าตวนอู่และเยี่ยจื่อจิงของเราในเรื่อง <ม่านมุกม่านหยก> เขาเดินทางตามเส้นทางสายใหม่จริงๆ เริ่มกันที่ด้านล่างของแผนที่ซึ่งเป็นแถบพื้นที่เหอผู่อันเป็นแหล่งเก็บมุกทะเล (ปัจจุบันเรียกเป๋ยไห่ คือพื้นที่สีแดง) ที่นี่เป็นฉากเริ่มต้นของเรื่อง (ย้อนอ่านเรื่องการเก็บมุกได้จากบทความสัปดาห์ที่แล้ว) จากนั้นเดินทางผ่านกวางเจาขึ้นเหนือและสู้รบปรบมือกับคนตระกูลชุยและศัตรูอื่นเป็นระยะตั้งแต่เมืองซ่าวโจวถึงเมืองอู่หลิง จากนั้นเดินทางเรื่อยขึ้นไปจนถึงเมืองเปี้ยนโจวซึ่งคือเมืองไคฟงปัจจุบัน แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านนครฉางอัน ข้ามเขตทะเลทรายเข้าเขตซีอวี้ซึ่งการเข้าเขตซีอวี้ในสมัยนั้นจะผ่านเมืองตุนหวง ณ จุดนี้ เรื่องราวผ่านไปแล้วประมาณ 1/3 ของเรื่อง หลังจากนั้นเหล่าตัวละครกลับมาจากซีอวี้แล้วเดินทางมาถึงเมืองหยางโจวข้ามผ่านระยะทางอย่างไกลได้อย่างไรไม่ทราบได้ Storyฯ ดูจากแผนที่แล้วน่าจะย้อนกลับมาทางเมืองเปี้ยนเฉิงและจากจุดนั้นมีเส้นทาง (ที่ไม่ใช่เส้นทางสายไหมและไม่ได้วาดไว้ในรูปประกอบ) เชื่อมลงมายังเมืองหยางโจว ซึ่งมีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่สามารถใช้ได้ (หมายเหตุ เส้นทางต้าอวิ้นเหอมีการเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยหมิงเป็นต้นมา) และเรื่องราวที่เหลือของเรื่องก็จะมีฉากหลังอยู่ที่การค้าอัญมณีที่เมืองหยางโจวนี้ ในเรื่องมีกล่าวถึงอัญมณีหนึ่งที่น่าสนใจชื่อว่า ‘เซ่อเซ่อ’ (瑟瑟 ไม่แน่ใจว่าแปลซับไทยไว้ว่าอย่างไร) ซึ่งเป็นพลอยประเภท Beryl Stone มีสีเขียวฟ้าและฟ้า บอกว่าเป็นพลอยที่มีค่าหายากมาก ในความเป็นจริง Beryl Stone แบ่งเป็นประเภทย่อยอีกตามสี แต่เรามักเรียกรวมพลอยสีฟ้าเขียวว่าพลอยอะความารีน (Aquamarine) และในละครมีการกล่าวว่าพลอยเซ่อเซ่อเกรดดีส่วนใหญ่มาจากเขตซีอวี้ แต่แถวหยางโจวก็พอให้หาซื้อได้ ซึ่งเป็นข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะพลอยเซ่อเซ่อในจีนหาได้ในสามพื้นที่หลักคือซินเกียง (ซีอวี้) ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ และที่ยูนนานและหูเป่ย (ไม่ไกลจากเมืองอู่หลิงในภาพ ซึ่งเป็นจุดที่น้องชุยสือจิ่วของเราถูกจับขังในเหมือง) เมืองหยางโจวเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางบกและทางเรือของจีนโบราณ จึงไม่แปลกที่เรามักเห็นในซีรีส์และนิยายจีนโบราณกล่าวถึงหยางโจวว่าเป็นเขตค้าขายมีตระกูลพ่อค้าร่ำรวย ที่นี่ไม่เพียงเป็นจุดเชื่อมเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลโดยผ่านแม่น้ำแยงซีเกียง และยังมีคลองต้าอวิ้นเหอเชื่อมขึ้นเหนือ ในสมัยถังที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าเสบียงอาหาร เกลือและเหล็กไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีน อีกทั้งค้าขายส่งออกผ้าไหมและงานกระเบื้องรวมถึงนำเข้าสินค้าหลากชนิดผ่านเส้นทางบกและเรือ นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องงานช่างงานฝีมือและมีการพบเจอซากเรือสมัยถังพร้อมเครื่องประดับมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยถังมีการค้าขายเครื่องประดับด้วยเช่นกัน หวังว่าเพื่อนเพจจะเห็นภาพแล้วว่าการเดินเรื่องของ <ม่านมุกม่านหยก> ผ่านพื้นที่ไหนบ้าง และทำไมเหล่าคู่อริทางการค้าจึงพบหน้ากันบ่อย... เพราะทุกคนล้วนค้าขายและใช้เส้นทางสายไหมกันนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://m.bjnews.com.cn/detail/1730788116168379.html https://www.chinadiscovery.com/assets/images/silk-road/history/tang-silk-road-map-llsboc-qunar.jpg Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/JG5GE87L0512D3VJ.html https://www.163.com/dy/article/JGCT7TAP0530WJTO.html https://baike.baidu.com/item/扬州市 https://turnstone.ca/rom186be.htm #ม่านมุกม่านหยก #เส้นทางสายไหม #พลอยจีน #หยางโจว #สาระจีน
    M.BJNEWS.COM.CN
    赵露思、刘宇宁新剧《珠帘玉幕》今日卫视开播
    赵露思、刘宇宁新剧《珠帘玉幕》今日卫视开播
    0 Comments 0 Shares 1062 Views 0 Reviews
  • ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหากใครได้ขับรถไปทางเส้นสุขุมวิท บริเวณจุดเชื่อมต่อระยอง – จันทบุรี เราอาจได้เห็นล้งทุเรียนมากมายริมถนนสุขุมวิท และยิ่งใครได้เดินทางมาช่วงมีนาคม – เมษายน ก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรถขนทุเรียนรายล้อม ล้งทุเรียนที่คึกคักตลอดวันตลอดคืน หรือแม้แต่การชิงตัดราคากันบนถนนระหว่างรถจอดติดไฟแดงเอง ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนในพื้นที่คุ้นเคยกันดี หรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินอย่างอาชีพคนวิ่งทุเรียนย้อนกลับไปก่อนการเฟื่องฟูของล้งทุเรียนที่หมายถึงพ่อค้าคนกลางที่เป็นเหมือนโรงคัดแยกและบรรจุทุเรียนเพื่อส่งไปขายต่อ จริงๆ แล้ว ‘ล้ง’ นั้นถูกใช้งานกับการเป็นพ่อค้าคนกลางสำหรับผลไม้ประเภทอื่นๆ ด้วยจากข้อมูลในรายงานศึกษา ได้ชี้ให้เห็นตัวเลขว่า ก่อนปี พ.ศ. 2550 ทุเรียนส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคในประเทศ โดยส่งออกน้อยกว่า 30% ของผลผลิตทั้งหมด แต่หลังปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เมื่อเริ่มมีความต้องการจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทำให้ล้งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยแรกเริ่มมีล้งของคนไทย ล้งของคนจีน และล้งของคนเวียดนาม จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของผลผลิตทั้งหมด นำไปสู่การเปลี่ยนวิถีการขายทุเรียนที่เน้นเหมาสวนส่งให้ล้ง มีนายหน้าตกลงราคาก่อนผลผลิตจะออกผลและส่งขายโดยข้อมูลในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร ได้แสดงสถิติไว้ว่า ล้งที่ส่งออกไปขายที่จีนทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 2,122 ราย หากสโคปลงมาที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกแบ่งเป็น จันทบุรี 909 ราย ระยอง 50 ราย และตราด 29 ราย รวมเป็น 988 ราย หรือคิดเป็น 42.84% ของจำนวนล้งทั้งประเทศแต่นี่เป็นเพียงตัวเลขที่มีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐเท่านั้น เพราะตามรายงานศึกษาของ Land Watch และ EEC Watch พบว่า ในการรายงานข่าวจากสำนักข่าว ThaiPBS ได้ลงพื้นที่สอบถามเจ้าของสวนทุเรียน และพบว่าจำนวนล้งใน 3 จังหวัด จันทบุรี ระยอง ตราด นั้นมีมากกว่า 1,200 ล้งในรายงานศึกษายังได้อธิบายรูปแบบการทำธุรกิจของล้ง โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ ล้งจีน ล้งไทย และล้งไทยที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติ (ซึ่งก็คือจีน) โดยในรูปแบบที่เป็นการร่วมทุน จะมาในลักษณะของ ทุนต่างชาติเป็นผู้ลงเงิน ส่วนคนไทยจะเป็นคนจัดหาลูกทุเรียน และจัดการเรื่องส่งออกโดยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลในพื้นที่กรณีศึกษา พบว่า ล้งที่เป็นการร่วมทุนจะตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี ในขณะที่ล้งจีน 100% จะพบได้ที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยใช้ทุนหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท โดยใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกมีการคาดการณ์ว่ามีล้งจีนกว่า 600 ล้ง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร แต่ก็ยังมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกมากเช่นกันในขณะที่ล้งไทยส่วนใหญ่ จะเป็นคนมีตำแหน่งอย่างผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน โดยจะเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อให้กับบริษัทส่งออกของจีนอีกทอดหนึ่ง และมักใช้วิธีการซื้อผ่านการ ‘เกี๊ยว’ หรือมัดจำเอาไว้กับสวนทุเรียนตั้งแต่ช่วงออกดอกหรือที่เรียกว่าช่วง หางแย้ โดยอาศัยความเป็นคนในพื้นที่ในการมีข้อมูลว่าบ้านไหนทำสวน และล้งไทยจะต้องหาให้ได้ตามดีลที่มักนับหน่วยเป็นเต็ม 1 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 18 ตันปัจจุบันจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในเดือนมีนาคม 2567 พบว่าในจังหวัดจันทบุรีมีล้งไทยเหลือไม่ถึง 10% ของจำนวนล้งในจันทบุรี ส่วนใหญ่ได้ผันตัวเป็นล้งที่ร่วมทุนระหว่างไทย-จีน ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าแม้ล้งจะเป็นผู้กำหนดราคาคนสำคัญ แต่ทุนจีนมองการณ์ไกลกว่านั้น โดยเริ่มทำล้งที่มีสวนทุเรียนไปด้วยนั่นเอง‘เขา’ มาซื้อสวนทุเรียนจากปลายน้ำอย่างการรับซื้อผลทุเรียน สู่กลางน้ำที่เป็นพ่อค้าคนกลางเองในการเป็นล้ง การทำธุรกิจทุเรียนของจีนได้รุกคืบเข้ามาในอุตสาหกรรมทุเรียนของไทยสู่ต้นน้ำ หรือคือการเป็นผู้ผลิตเสียเอง โดยเริ่มมีการครอบครองสวนทุเรียนโดยทุนจีน ซึ่งจากรายงานศึกษานี้พบว่ากลุ่มทุนจีนที่มาทำธุรกิจล้งทุเรียนมักเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่มาซื้อสวนทุเรียนและทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะมีผลผลิตสำหรับการส่งออกที่เพียงพอ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือการทำกำไรมหาศาล เนื่องจากสามารถกำหนดราคาได้เอง และควบคุมตลาดได้เบ็ดเสร็จโดยในรายงานศึกษาได้นำเสนอวิธีการครอบครองที่ดินของทุนจีน โดยพื้นที่ที่ทุนจีนเล็งไว้มักมีลักษณะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากทุเรียนต้องใช้น้ำจำนวนมากในการดูแล นอกจากนี้ทุนจีนมักไม่สนใจที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เนื่องจากมีราคาสูง แต่มักเลือกที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่นในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งการเริ่มต้นเข้าไปครอบครองทำสวนทุเรียนจะเริ่มจากมีนายหน้าคนไทยที่คอยเป็นนอมินีให้ทุนจีนโพสต์ตามหาที่ดินตามกบุ่มซื้อ-ขายที่ดินในโซเชียลมีเดีย และมีนายหน้าคนไทยเข้ามาคอมเมนต์เสนอขายที่ดิน ซึ่งนายหน้าที่มาขายที่ดินส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้นำชุมชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนันที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดีหลังจากได้ข้อมูลที่ดินก็จะมีการนัดแนะ และคนจีนจะเข้าไปดูพื้นที่และตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีไม่ผ่านนายหน้า โดยมีข้อสังเกตว่าบางครั้งในการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเอง ก็อาจเป็นคนจีนที่ใช้แอคเคาต์อวตารเป็นคนไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายผ่านนายหน้า ซึ่งที่ดินที่ทุนจีนสนใจมักเป็นสวนที่ต้นทุเรียนให้ผลผลิตแล้ว หลังจากถูกใจในที่ดินก็มีการตกลงซื้อขาย ทำสัญญาเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มีทนายมาร่วมในกระบวนการ โดยจะดำเนินการทำสัญญาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และมีผู้ใหญ่บ้านเป็นพยาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าที่ดินนี้เชื่อถือได้ โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะได้รับเงินในการทำสัญญาครั้งละ 3,000 – 5,000 บาทhttps://epigramnews.co/environment/cross-border-land-acquisition-by-chinese-capital/
    0 Comments 0 Shares 627 Views 0 Reviews
  • *** ทรัมป์ไม่อยากให้สหรัฐฯ จบลงแบบยุโรป! **
    “เราควรใช้เวลาน้อยลงในการกังวลเกี่ยวกับปูติน และใช้เวลามากขึ้นในการกังวลเกี่ยวกับแก๊งผู้อพยพที่เที่ยวข่มขืน เจ้าพ่อค้ายา ฆาตกร และผู้คนจากสถาบันจิตเวชที่เข้ามาในประเทศของเรา เพื่อที่เราจะไม่ต้องจบลงเหมือนยุโรป!”
    .
    ปล. ช่วยบอกรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ต้องเสือกเรื่องของประเทศไทยมากนัก ดูแลแค่เรื่องรอบประเทศตัวเองก็พอ
    *** ทรัมป์ไม่อยากให้สหรัฐฯ จบลงแบบยุโรป! ** “เราควรใช้เวลาน้อยลงในการกังวลเกี่ยวกับปูติน และใช้เวลามากขึ้นในการกังวลเกี่ยวกับแก๊งผู้อพยพที่เที่ยวข่มขืน เจ้าพ่อค้ายา ฆาตกร และผู้คนจากสถาบันจิตเวชที่เข้ามาในประเทศของเรา เพื่อที่เราจะไม่ต้องจบลงเหมือนยุโรป!” . ปล. ช่วยบอกรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ต้องเสือกเรื่องของประเทศไทยมากนัก ดูแลแค่เรื่องรอบประเทศตัวเองก็พอ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • Paytm หนึ่งในผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลชั้นนำของอินเดียได้รับ "Show Cause Notice" จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายการเงินของอินเดีย เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระราชบัญญัติการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Management Act) ของประเทศ กรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการของบริษัทย่อยสองแห่ง คือ Little Internet Private Limited และ Nearbuy India Private Limited ระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นบริษัทย่อยของ Paytm

    อย่างไรก็ตาม Paytm ได้ออกแถลงการณ์ว่าการแจ้งเตือนดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้บริโภคและพ่อค้า ซึ่งหมายความว่าลูกค้ายังสามารถใช้บริการของ Paytm ได้ตามปกติ

    เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีนี้คือการที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายการเงินของอินเดียเข้มงวดกับการละเมิดกฎระเบียบทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทการเงินในประเทศอย่างเข้มงวด การเข้าซื้อกิจการของบริษัทต่างชาติอาจมีผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/01/india039s-paytm-receives-show-cause-notice-from-crime-fighting-agency
    Paytm หนึ่งในผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัลชั้นนำของอินเดียได้รับ "Show Cause Notice" จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายการเงินของอินเดีย เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระราชบัญญัติการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Management Act) ของประเทศ กรณีนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อกิจการของบริษัทย่อยสองแห่ง คือ Little Internet Private Limited และ Nearbuy India Private Limited ระหว่างปี 2015 ถึง 2019 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นบริษัทย่อยของ Paytm อย่างไรก็ตาม Paytm ได้ออกแถลงการณ์ว่าการแจ้งเตือนดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการแก่ผู้บริโภคและพ่อค้า ซึ่งหมายความว่าลูกค้ายังสามารถใช้บริการของ Paytm ได้ตามปกติ เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีนี้คือการที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายการเงินของอินเดียเข้มงวดกับการละเมิดกฎระเบียบทางการเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทการเงินในประเทศอย่างเข้มงวด การเข้าซื้อกิจการของบริษัทต่างชาติอาจมีผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/01/india039s-paytm-receives-show-cause-notice-from-crime-fighting-agency
    0 Comments 0 Shares 426 Views 0 Reviews
  • วงการพระ เช็คเด้งกันระนาว..เล่าย้อนนิดนึง เวลาพระมูลค่าสูง..พ่อค้าหลายคนไม่ได้จ่ายเงินสด "ทั้งก้อน" ในครั้งเดียว ..อาจมีการ ซอยเช็ค 2_3_6 งวด แล้วแต่ตกลง..หรือ งวดเดียวแต่ล่วงหน้า 15_30 วัน....แล้วเอาของไปขายก่อน....และหลายคนมี นายหน้า..หรือในวงการเรียก Tiger (จับเสือมือเปล่า) หิ้วพระไปขาย...และกินส่วนต่าง...บางทีผ่านหลายมือ..จนเจ้าของพระมือแรก ไม่รู้พระไปอยู่ไหนแล้ว....และถ้าเกิดมีการ ผิดพลาด ในการนัดหมาย....ทีนี้ก็จะ รวน...ทั้งระบบ...สุดท้ายก็เป็นคดีความกัน . .และอย่าลืม ปัจจุบัน การใช้เช็ค ถ้าไม่มีสัญญาเงินกู้ประกบ หรือ เจตนาไม่ใช่เพื่อการชำระหนี้ ..ฟ้องอาญา..ไม่ได้แล้ว...
    วงการพระ เช็คเด้งกันระนาว..เล่าย้อนนิดนึง เวลาพระมูลค่าสูง..พ่อค้าหลายคนไม่ได้จ่ายเงินสด "ทั้งก้อน" ในครั้งเดียว ..อาจมีการ ซอยเช็ค 2_3_6 งวด แล้วแต่ตกลง..หรือ งวดเดียวแต่ล่วงหน้า 15_30 วัน....แล้วเอาของไปขายก่อน....และหลายคนมี นายหน้า..หรือในวงการเรียก Tiger (จับเสือมือเปล่า) หิ้วพระไปขาย...และกินส่วนต่าง...บางทีผ่านหลายมือ..จนเจ้าของพระมือแรก ไม่รู้พระไปอยู่ไหนแล้ว....และถ้าเกิดมีการ ผิดพลาด ในการนัดหมาย....ทีนี้ก็จะ รวน...ทั้งระบบ...สุดท้ายก็เป็นคดีความกัน . .และอย่าลืม ปัจจุบัน การใช้เช็ค ถ้าไม่มีสัญญาเงินกู้ประกบ หรือ เจตนาไม่ใช่เพื่อการชำระหนี้ ..ฟ้องอาญา..ไม่ได้แล้ว...
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • "บอล เขาวิเศษ" หรือ นายปราโมทย์ ชูจันทร์ หนุ่มตรัง วัย 35 ปี เริ่มต้นจากเด็กบ้านนอกคอกนาทั่วไป ช่วยพ่อแม่ทำสวนทำไร่ แต่เมื่อเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อก็หลงระเริงไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เมื่อเงินไม่พอซื้อก็ผันตัวมาเป็นเด็กเดินยา และนักค้ารายย่อย

    กระทั่งปี 52 ขณะเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ก็มาพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เมื่อร่วมกับพวกก่อเหตุแทงคู่อริจนเสียชีวิต ถูกจับติดคุกอยู่ในเรือนจำจังหวัดตรังนานหลายปี พอพ้นโทษออกมาเมื่อปี 61 จากเด็กเดินยาต๊อกต๋อย ก็ขยับขึ้นชั้นเป็นผู้ค้ารายสำคัญ มีชื่อเสียง เงินทอง อำนาจบารมีชั่วช้าจนกลายเป็นไอดอลของเด็กใฝ่เลวในพื้นที่ จากสายสัมพันธ์เครือข่ายพ่อค้ายาที่รู้จักกันในเรือนจำจังหวัดตรัง

    ต่อมาเมื่อปี 62 ได้ก่อคดีจ้างวานฆ่าเจ้าของลานปาล์ม ปมหักหลังธุรกิจสีเทา แต่ระหว่างต่อสู้คดีก็ยังก่อเหตุฉุดนักเรียนสาวมัธยมจากหน้าโรงเรียนไปข่มขืนที่รีสอร์ตอีกด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000017808

    #MGROnline #บอลเขาวิเศษ
    "บอล เขาวิเศษ" หรือ นายปราโมทย์ ชูจันทร์ หนุ่มตรัง วัย 35 ปี เริ่มต้นจากเด็กบ้านนอกคอกนาทั่วไป ช่วยพ่อแม่ทำสวนทำไร่ แต่เมื่อเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อก็หลงระเริงไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เมื่อเงินไม่พอซื้อก็ผันตัวมาเป็นเด็กเดินยา และนักค้ารายย่อย • กระทั่งปี 52 ขณะเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม ก็มาพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เมื่อร่วมกับพวกก่อเหตุแทงคู่อริจนเสียชีวิต ถูกจับติดคุกอยู่ในเรือนจำจังหวัดตรังนานหลายปี พอพ้นโทษออกมาเมื่อปี 61 จากเด็กเดินยาต๊อกต๋อย ก็ขยับขึ้นชั้นเป็นผู้ค้ารายสำคัญ มีชื่อเสียง เงินทอง อำนาจบารมีชั่วช้าจนกลายเป็นไอดอลของเด็กใฝ่เลวในพื้นที่ จากสายสัมพันธ์เครือข่ายพ่อค้ายาที่รู้จักกันในเรือนจำจังหวัดตรัง • ต่อมาเมื่อปี 62 ได้ก่อคดีจ้างวานฆ่าเจ้าของลานปาล์ม ปมหักหลังธุรกิจสีเทา แต่ระหว่างต่อสู้คดีก็ยังก่อเหตุฉุดนักเรียนสาวมัธยมจากหน้าโรงเรียนไปข่มขืนที่รีสอร์ตอีกด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000017808 • #MGROnline #บอลเขาวิเศษ
    0 Comments 0 Shares 436 Views 0 Reviews
  • สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ

    ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱)

    ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย

    แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ?

    จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า

    ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง

    ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย)

    จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น

    ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’

    แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

    Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน

    ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs
    http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html
    https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html
    https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html
    http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml
    http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm#
    http://economy.guoxue.com/?p=888

    #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    สี่อาชีพในสังคมจีนโบราณ ไม่ทราบว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> จะยังจำได้ไหมว่าในตอนต้นเรื่องนั้น จางผิงผู้เป็นบัณฑิตตกยากออกมาขายของกินยามค่ำคืนกับเพื่อนซี้ เขาโดนคนที่เดินผ่านมาถากถางว่าเป็นบัณฑิตแต่กลับไม่รักดีมาขายของโดยสาธยายว่า “ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด” (士农工商 商为最贱) ‘บัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้า’ หรือที่เรียกว่า ‘ซื่อหนงกงซัง” (士农工商) นั้น เป็นสี่หมวดอาชีพในสังคมจีนโบราณโดยในประโยคที่ยกมาจากในละครข้างต้นได้จัดเรียงลำดับชนชั้นจากความสูงส่งไปจนต่ำต้อย แล้วในสมัยจีนโบราณอาชีพพ่อค้าต่ำต้อยที่สุดจริงหรือ? จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ แรกเริ่มเลยในสมัยราชวงศ์ซาง (1600-1050 ก่อนคริสตกาล) การเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่คนชอบ ทำให้มีเกษตรกรน้อย ต่อมาในราชวงศ์ถัดๆ ไปจึงถูกมองว่านั่นทำให้รากฐานสังคมไม่แข็งแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของราชวงศ์ซาง ในสมัยราชวงศ์โจวจึงมีการสนับสนุนให้ประชาชนทำการเกษตรมากกว่าการค้า ในยุคสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) สี่หมวดอาชีพ ‘ซื่อหนงกงซัง’ นี้ถูกรวมกันเป็น ‘ซื่อหมิน’ (四民 แปลตรงตัวว่า ‘สี่ประชาชน’ หมายถึงสี่อาชีพ) ในบันทึกสั้นโบราณว่าด้วยปรัชญาการปกครองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เสี่ยวควง’ ของก่วนจ้ง อัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉีในยุคสมัยชุนชิว ซึ่งต่อมาถูกผนวกรวมเข้าไปไว้ในหมวดที่สามของประมวลสาส์นสี่พระคลัง (四库全书 / ซื่อคู่เฉวียนซู) ที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ก่วนจ้งเองมาจากครอบครัวพ่อค้า เขามองอาชีพพ่อค้าเป็นอาชีพเท่าเทียมกับอาชีพอื่น ข้อความเดิมของเขาระบุไว้ว่า ‘ซื่อหนงกงซังสี่ประชาชนนั้น ล้วนเป็นศิลารากฐานแห่งประเทศชาติ’ โดยมีนัยว่าสังคมจะขาดหนึ่งกลุ่มอาชีพใดไม่ได้ และก่วนจ้งไม่ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นต่ำสูง แต่ให้แง่คิดสำหรับระบบการปกครองว่าควรจัดสรรที่ดินทำกินและเขตพำนักให้เหมาะสมกับกลุ่มอาชีพ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีความสันทัดและมีรูปแบบชีวิตของตน และหากคนในวิชาชีพเดียวกันได้อยู่ด้วยกันจะสืบทอดและพัฒนาความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังเอื้อต่อการปกครอง (หมายเหตุ ‘ซื่อ’ ไม่เพียงหมายถึงบัณฑิต หากแต่หมายรวมถึงผู้มีการศึกษาสามารถดูแลปกครองผู้อื่นได้ และหมายรวมถึงผู้ที่เข้ารับราชการด้วย) จะเห็นได้ว่า แรกเริ่มเลย ‘สี่ประชาชน’ นั้นเป็นการวางระบบการปกครองตามหมวดหมู่วิชาชีพโดยมองทุกกลุ่มชนเท่าเทียมกัน แต่ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรเกิดในครอบครัวเกษตรกร คนมีการศึกษาเกิดในตระกูลคนมีการศึกษาด้วยกัน พอผ่านไปหลายชั่วคน ประชาชนจะถูกจำกัดให้อยู่ภายในกลุ่มหมวดอาชีพของตนโดยปริยาย ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น ปรัชญาขงจื๊อได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างแพร่หลายและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปกครองบ้านเมือง ผลที่ตามมาคือการยกระดับกลุ่มคนมีการศึกษาขึ้นสูงเหนือกลุ่มอื่น และเริ่มมีการมองอย่างดูแคลนว่าพ่อค้าเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าความเจริญของส่วนรวม นี่ไม่ใช่คำสอนของขงจื๊อ แต่เป็นวิวัฒนาการทางความคิดของสังคมที่ไปในทิศทางนั้น ในตำราประวัติศาสตร์สมัยถังต้น (旧唐书¬) มีการบันทึกไว้ว่า ‘ผู้ที่รับเบี้ยหวัดราชการ ห้ามแก่งแย่งผลประโยชน์จากผู้ที่ต่ำกว่า ช่างและพ่อค้าหลากประเภท ห้ามมิให้เข้ารับราชการ’ (食禄之家,不得与下人争利。工商杂类,不得预于士伍。) เป็นที่สังเกตได้ว่ามีการใช้คำ ‘ผู้ที่ต่ำกว่า’ และ ‘หลากประเภท’ ซึ่งสะท้อนถึงการแบ่งแยกต่ำและสูง (หมายเหตุ ‘หลากประเภท’ ในที่นี้เป็นคำเรียกที่สะท้อนความหมายถึงชนชั้นต่ำ) และในสมัยถังไท่จงมีกฎว่า ห้ามไม่ให้ขุนนางขั้นที่ห้าขึ้นไปทำการค้า วัตถุประสงค์ของกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่อย่างไรก็ดี มันเสริมสร้างการแบ่งแยกทางชนชั้นด้วยอาชีพ สุดท้ายกลายเป็นการตอกย้ำความเชื่อของสังคมที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ แต่ความคิดนี้เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางและปลายของสมัยถัง และได้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่าง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อยๆ มีอย่างต่อเนื่อง ต่อมาในสมัยซ่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง เกิดการคบค้าสมาคมกันอย่างกว้างขวางข้ามกลุ่มอาชีพ และพ่อค้ากลับกลายมาเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของสังคม โดยมีบทบาทเข้ามาช่วยเหลือจุนเจือสังคมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า บทบาทและสถานะทางสังคมของอาชีพต่างๆ แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย Storyฯ ไม่ได้ค้นคว้าอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดของวิวัฒนาการต่างๆ ทางด้านการปกครองและเศรษฐกิจเพราะเป็นสองศาสตร์วิชาที่ทั้งกว้างทั้งลึก วันนี้จึงเพียงคุยโดยคร่าวให้เพื่อนเพจฟังในแง่ที่ว่า สี่หมวดหมู่อาชีพนี้ เป็นการจัดหมวดหมู่เพื่อการปกครองมาแต่โบราณกาลและเดิมไม่ได้เป็นการตั้งใจแบ่งชนชั้นวรรณะตามอาชีพ เพียงแต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเกิดเป็นการแบ่งแยกให้ชนชั้นที่มีการศึกษาเป็นชั้นสูงและให้พ่อค้าเป็นชนชั้นล่างสุด แต่นี่ไม่ใช่สถานะที่ถาวร หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเช่นกัน ละครเรื่อง <ยอดบุรุษพลิกคดี> เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเครื่องแบบข้าราชการแล้วเป็นการอิงตามสมัยถัง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นวลีที่ว่า ‘ในบรรดาบัณฑิต เกษตรกร ช่าง และพ่อค้านั้น พ่อค้าคือต่ำต้อยสุด’ นี้ในละครเรื่องนี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.themoviedb.org/tv/128712/images/posters?language=zh-HK https://zhuanlan.zhihu.com/p/531009133 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/guanzi/xiao-kuang/zhs http://www.qulishi.com/article/201909/363094.html https://www.163.com/dy/article/FLEULDGE0543KAMS.html https://www.sxlib.org.cn/dfzy/sczl/wwgjp/qb/201808/t20180806_929973.html http://www.rmlt.com.cn/2018/1116/533321.shtml http://www.jjckb.cn/2016-12/05/c_135881236.htm# http://economy.guoxue.com/?p=888 #ยอดบุรุษพลิกคดี #สี่อาชีพจีนโบราณ #ซี่อหนงกงซัง #ซื่อหมิน #สี่ประชาชน
    WWW.THEMOVIEDB.ORG
    神探同盟
    故事改編自內地網絡作家大風颳過撰寫嘅原創長篇網絡小說《張公案》.
    0 Comments 0 Shares 921 Views 0 Reviews
  • บัณทิตหลวงระดับจวี่เหริน

    วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่า ในตอนแรกๆ ที่นางเอกถูกตามไปสอบปากคำเมื่อเกิดเหตุมีนางคณิกาเสียชีวิต นางได้บอกกับสาวใช้ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” (举人见官不下跪) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ไม่รู้ว่ามีใครเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า มีกฎอย่างนี้ด้วยหรือ?

    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘จวี่เหริน / 举人’ และระบบการสอบขุนนาง

    การสอบขุนนางหรือ ‘เคอจวี่’ ในสมัยโบราณหรือที่เรียกอย่างง่ายว่าสอบจอหงวนนั้น คือการสอบส่วนกลางเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้ามารับราชการ ซึ่งหนทางการสอบเคอจวี่นั้นยาวไกลและกฎกติกาเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเนื้อหาแล้ว พอเปรียบเทียบได้กับสมัยราชวงศ์ถัง ดังนั้นเรามาคุยกันเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่ในสมัยถัง

    การสอบเคอจวี่ในสมัยถังมีความแตกต่างจากสมัยอื่นที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยผ่านตา ความแตกต่างนี้ก็คือมีการจัดสอบทุกปีและไม่มีการสอบระดับซิ่วไฉ (秀才) ทั้งนี้ ในสมัยอื่นนั้น การสอบซิ่วไฉคือรอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นก่อนจะไปสอบต่อในระดับภูมิภาค/มณฑล แต่ในสมัยถังตอนต้นเมื่อกล่าวถึง ‘ซิ่วไฉ’ นั้น ไม่ได้หมายถึงวุฒิหรือรอบการสอบ แต่เป็นการเรียกหนึ่งในแขนงวิชาความรู้ทั่วไปที่ต้องสอบ ต่อมาในสมัยปลายถังวิชานี้ถูกยุบไปรวมกับวิชาอื่นและคำว่า ‘ซิ่วไฉ’ กลายเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีการศึกษาทั่วไป จวบจนสมัยซ่งคำนี้จึงกลับมาเป็นคำเรียกวุฒิการสอบคัดเลือกอีกครั้ง

    ในสมัยราชวงศ์ถัง การสอบจอหงวนมี 2 ระดับ คือ
    1) การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค/มณฑลหรือที่เรียกว่า ‘เซียงซื่อ’ (乡试) จัดทุกปีในฤดูใบไม้ร่วงช่วงประมาณเดือนสิบ ซึ่งคนทั่วไปสามารถสมัครชื่อเข้าสอบในแต่ละพื้นที่ได้เลย และผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จวี่เหริน’ (举人) จากนั้นจะได้รับการเสนอชื่อโดยฝ่ายปกครองพื้นที่ให้ไปสอบต่อในระดับต่อไปที่เมืองหลวง โดยกำหนดโควต้าจำนวนคนที่ได้รับการเสนอชื่อไว้ 1-3 คนต่อพื้นที่ ทั้งนี้ แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ แต่สามารถเสนอเพิ่มได้หากมีคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเกินจำนวนโควต้า ซึ่งคนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้จะเรียกรวมว่า ‘เซียงก้ง’ (乡贡)

    อนึ่ง มีกำหนดไว้ว่าฝ่ายปกครองพื้นที่ไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลต้องห้ามเข้าเป็นเซียงก้งได้ ซึ่งหมายรวมถึง คนที่มาจากครอบครัวนายช่างและพ่อค้า (Storyฯ เคยกล่าวถึงแล้วในบทความสัปดาห์ที่แล้ว); คนที่มีสถานะเป็นเจี้ยนหมินหรือชนชั้นต่ำ เช่นทาส ลูกหลานนักโทษ ฯลฯ; นักบวช นักพรต; นักโทษ ; คนที่มีชื่อเสียงไม่ดี; ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายหรือพิการบางอย่าง เช่นตาบอด หูหนวก; ฯลฯ แต่ข้อห้ามเหล่านี้มีการผ่อนคลายไปตามยุคสมัย

    นอกจากนี้ เนื่องจากในสมัยถังมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลวงมากมายหลายระดับตามพื้นที่ต่างๆ นักเรียนที่เข้าเรียนในสถานการศึกษาหลวงจนถึงระดับสูงสุดและสอบผ่านสำเร็จการศึกษาก็จะได้วุฒิเทียบเท่าเป็นจวี่เหรินนี้เช่นกัน และผู้ที่จะได้เข้าสอบในรอบถัดไปก็จะผ่านการเสนอชื่อโดยสถาบันนั้นๆ คนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้เรียกว่า ‘เซิงถู’ (生徒)

    2) ลำดับถัดมาคือการสอบที่เมืองหลวงหรือเรียกว่า ‘เสิ่งซื่อ’ (省试) ซึ่งเรียกย่อมาจากหน่วยงานซ่างซูเสิ่งซึ่งเป็นผู้จัดการสอบนี้ เป็นการสอบทุกปีอีกเช่นกัน จัดขึ้นที่เมืองหลวงฉางอันในช่วงประมาณเดือนสอง ผู้มีสิทธิเข้าสอบคือเซียงก้งและเซิงถูตามที่กล่าวมาข้างต้น ผู้สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน

    แต่... ในละครเราจะเห็นการสอบรอบสุดท้ายเป็นการสอบหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้ หรือที่เรียกว่า ‘เตี้ยนซื่อ’ (殿试) ซึ่งบางข้อมูลบอกว่าริเริ่มในสมัยราชวงศ์ถัง เพราะปรากฏมีฮ่องเต้บางองค์ทรงคุมสอบด้วยองค์เอง และบางข้อมูลบอกว่าเริ่มในสมัยซ่งเพราะนั่นคือสมัยที่มีการจัดการสอบรอบดังกล่าวเข้าเป็นหลักสูตรและขั้นตอนการสอบอย่างเป็นทางการ

    Storyฯ เลยสรุปเป็นผังไว้ให้ดูในรูปประกอบว่า ในกรณีที่มีการสอบเตี้ยนซื่อนี้เพิ่มเข้ามา ผู้ที่สอบผ่านระดับเสิ่งซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘ก้งซื่อ’ (贡士) และผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งจะเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’ (会元) และผู้ที่สอบผ่านรอบเตี้ยนซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน (หรือในสำเนียงจีนกลางคือ จ้วงหยวน)

    ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นจิ้นซื่อทุกคนจะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการในราชสำนัก (คือยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางจนกว่าจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง) ซึ่งในการบรรจุเข้าราชสำนักจะมีการสอบเพิ่มเพื่อคัดสรรไปหน่วยงานที่เหมาะสม โดยเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลาอีกนานเป็นปี

    ดังนั้น บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินที่กล่าวในวลีที่ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” นี้คือบันฑิตหลวงที่สอบผ่านในระดับภูมิภาค/มณฑลแล้ว

    ในสมัยถังนั้น จวี่เหรินมีอภิสิทธิ์อย่างนี้จริงหรือไม่ Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงมีกล่าวถึงว่า ‘จวี่เหริน’ นี้นับได้ว่าเป็นตำแหน่งทางการที่กำหนดขึ้นโดยราชสำนัก ซึ่งถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งข้าราชการท้องถิ่น และบัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินสามารถเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลยหากมีตำแหน่งว่างที่เหมาะสม ดังนั้นหนึ่งในอภิสิทธิ์ที่มีคือ เมื่อได้พบขุนนางระดับท้องถิ่นจึงไม่ต้องคุกเข่า

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    หมายเหตุ มีการลบลิ้งค์ข้อมูลบางลิ้งค์ออกไปเนื่องจากติดปัญหากับเฟสค่ะ

    Credit รูปภาพจาก: https://fashion.ettoday.net/news/2573514
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/省试/7492071
    https://baike.baidu.com/item/秀才/14691374
    https://baike.baidu.com/item/乡贡/8989904
    https://core.ac.uk/download/41444977.pdf
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=999762&remap=gb
    https://kknews.cc/history/ekkz4ry.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #บัณฑิตหลวง #จวี่เหริน #สอบขุนนาง #สอบเคอจวี่ #ราชวงศ์ถัง
    บัณทิตหลวงระดับจวี่เหริน วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่า ในตอนแรกๆ ที่นางเอกถูกตามไปสอบปากคำเมื่อเกิดเหตุมีนางคณิกาเสียชีวิต นางได้บอกกับสาวใช้ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” (举人见官不下跪) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ไม่รู้ว่ามีใครเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า มีกฎอย่างนี้ด้วยหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘จวี่เหริน / 举人’ และระบบการสอบขุนนาง การสอบขุนนางหรือ ‘เคอจวี่’ ในสมัยโบราณหรือที่เรียกอย่างง่ายว่าสอบจอหงวนนั้น คือการสอบส่วนกลางเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้ามารับราชการ ซึ่งหนทางการสอบเคอจวี่นั้นยาวไกลและกฎกติกาเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเนื้อหาแล้ว พอเปรียบเทียบได้กับสมัยราชวงศ์ถัง ดังนั้นเรามาคุยกันเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่ในสมัยถัง การสอบเคอจวี่ในสมัยถังมีความแตกต่างจากสมัยอื่นที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยผ่านตา ความแตกต่างนี้ก็คือมีการจัดสอบทุกปีและไม่มีการสอบระดับซิ่วไฉ (秀才) ทั้งนี้ ในสมัยอื่นนั้น การสอบซิ่วไฉคือรอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นก่อนจะไปสอบต่อในระดับภูมิภาค/มณฑล แต่ในสมัยถังตอนต้นเมื่อกล่าวถึง ‘ซิ่วไฉ’ นั้น ไม่ได้หมายถึงวุฒิหรือรอบการสอบ แต่เป็นการเรียกหนึ่งในแขนงวิชาความรู้ทั่วไปที่ต้องสอบ ต่อมาในสมัยปลายถังวิชานี้ถูกยุบไปรวมกับวิชาอื่นและคำว่า ‘ซิ่วไฉ’ กลายเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีการศึกษาทั่วไป จวบจนสมัยซ่งคำนี้จึงกลับมาเป็นคำเรียกวุฒิการสอบคัดเลือกอีกครั้ง ในสมัยราชวงศ์ถัง การสอบจอหงวนมี 2 ระดับ คือ 1) การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค/มณฑลหรือที่เรียกว่า ‘เซียงซื่อ’ (乡试) จัดทุกปีในฤดูใบไม้ร่วงช่วงประมาณเดือนสิบ ซึ่งคนทั่วไปสามารถสมัครชื่อเข้าสอบในแต่ละพื้นที่ได้เลย และผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จวี่เหริน’ (举人) จากนั้นจะได้รับการเสนอชื่อโดยฝ่ายปกครองพื้นที่ให้ไปสอบต่อในระดับต่อไปที่เมืองหลวง โดยกำหนดโควต้าจำนวนคนที่ได้รับการเสนอชื่อไว้ 1-3 คนต่อพื้นที่ ทั้งนี้ แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ แต่สามารถเสนอเพิ่มได้หากมีคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเกินจำนวนโควต้า ซึ่งคนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้จะเรียกรวมว่า ‘เซียงก้ง’ (乡贡) อนึ่ง มีกำหนดไว้ว่าฝ่ายปกครองพื้นที่ไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลต้องห้ามเข้าเป็นเซียงก้งได้ ซึ่งหมายรวมถึง คนที่มาจากครอบครัวนายช่างและพ่อค้า (Storyฯ เคยกล่าวถึงแล้วในบทความสัปดาห์ที่แล้ว); คนที่มีสถานะเป็นเจี้ยนหมินหรือชนชั้นต่ำ เช่นทาส ลูกหลานนักโทษ ฯลฯ; นักบวช นักพรต; นักโทษ ; คนที่มีชื่อเสียงไม่ดี; ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายหรือพิการบางอย่าง เช่นตาบอด หูหนวก; ฯลฯ แต่ข้อห้ามเหล่านี้มีการผ่อนคลายไปตามยุคสมัย นอกจากนี้ เนื่องจากในสมัยถังมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลวงมากมายหลายระดับตามพื้นที่ต่างๆ นักเรียนที่เข้าเรียนในสถานการศึกษาหลวงจนถึงระดับสูงสุดและสอบผ่านสำเร็จการศึกษาก็จะได้วุฒิเทียบเท่าเป็นจวี่เหรินนี้เช่นกัน และผู้ที่จะได้เข้าสอบในรอบถัดไปก็จะผ่านการเสนอชื่อโดยสถาบันนั้นๆ คนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้เรียกว่า ‘เซิงถู’ (生徒) 2) ลำดับถัดมาคือการสอบที่เมืองหลวงหรือเรียกว่า ‘เสิ่งซื่อ’ (省试) ซึ่งเรียกย่อมาจากหน่วยงานซ่างซูเสิ่งซึ่งเป็นผู้จัดการสอบนี้ เป็นการสอบทุกปีอีกเช่นกัน จัดขึ้นที่เมืองหลวงฉางอันในช่วงประมาณเดือนสอง ผู้มีสิทธิเข้าสอบคือเซียงก้งและเซิงถูตามที่กล่าวมาข้างต้น ผู้สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน แต่... ในละครเราจะเห็นการสอบรอบสุดท้ายเป็นการสอบหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้ หรือที่เรียกว่า ‘เตี้ยนซื่อ’ (殿试) ซึ่งบางข้อมูลบอกว่าริเริ่มในสมัยราชวงศ์ถัง เพราะปรากฏมีฮ่องเต้บางองค์ทรงคุมสอบด้วยองค์เอง และบางข้อมูลบอกว่าเริ่มในสมัยซ่งเพราะนั่นคือสมัยที่มีการจัดการสอบรอบดังกล่าวเข้าเป็นหลักสูตรและขั้นตอนการสอบอย่างเป็นทางการ Storyฯ เลยสรุปเป็นผังไว้ให้ดูในรูปประกอบว่า ในกรณีที่มีการสอบเตี้ยนซื่อนี้เพิ่มเข้ามา ผู้ที่สอบผ่านระดับเสิ่งซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘ก้งซื่อ’ (贡士) และผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งจะเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’ (会元) และผู้ที่สอบผ่านรอบเตี้ยนซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน (หรือในสำเนียงจีนกลางคือ จ้วงหยวน) ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นจิ้นซื่อทุกคนจะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการในราชสำนัก (คือยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางจนกว่าจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง) ซึ่งในการบรรจุเข้าราชสำนักจะมีการสอบเพิ่มเพื่อคัดสรรไปหน่วยงานที่เหมาะสม โดยเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลาอีกนานเป็นปี ดังนั้น บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินที่กล่าวในวลีที่ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” นี้คือบันฑิตหลวงที่สอบผ่านในระดับภูมิภาค/มณฑลแล้ว ในสมัยถังนั้น จวี่เหรินมีอภิสิทธิ์อย่างนี้จริงหรือไม่ Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงมีกล่าวถึงว่า ‘จวี่เหริน’ นี้นับได้ว่าเป็นตำแหน่งทางการที่กำหนดขึ้นโดยราชสำนัก ซึ่งถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งข้าราชการท้องถิ่น และบัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินสามารถเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลยหากมีตำแหน่งว่างที่เหมาะสม ดังนั้นหนึ่งในอภิสิทธิ์ที่มีคือ เมื่อได้พบขุนนางระดับท้องถิ่นจึงไม่ต้องคุกเข่า (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) หมายเหตุ มีการลบลิ้งค์ข้อมูลบางลิ้งค์ออกไปเนื่องจากติดปัญหากับเฟสค่ะ Credit รูปภาพจาก: https://fashion.ettoday.net/news/2573514 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/省试/7492071 https://baike.baidu.com/item/秀才/14691374 https://baike.baidu.com/item/乡贡/8989904 https://core.ac.uk/download/41444977.pdf https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=999762&remap=gb https://kknews.cc/history/ekkz4ry.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #บัณฑิตหลวง #จวี่เหริน #สอบขุนนาง #สอบเคอจวี่ #ราชวงศ์ถัง
    FASHION.ETTODAY.NET
    《灼灼風流》10金句:不是所有的陪伴都必須以夫妻的名義 | ET Fashion | ETtoday新聞雲
    陸劇《灼灼風流》改編自隨宇而安的小說《曾風流》,由景甜、馮紹峰出演,講述了擺脫傳統女子命運、想科舉求仕的女官慕灼華,與驍勇善戰的議政王劉衍相知相守、並肩而行,開創女子可入仕的新局面。當中以不少經典台詞道出了男女之間互相尊重,簡單又美好的愛情理念,不妨一起來看看!
    0 Comments 0 Shares 989 Views 0 Reviews
  • Vision – France - Microwave Browner 1.25 ล.
    • ใหม่ ในกล่อง
    • Microwave Browner เป็นรุ่นที่แนะนำให้ใช้กับ Microwave เท่านั้น
    • ทำจากแก้วชนิดพิเศษที่สามารถทำให้อาหารที่อบใน Microwave เป็นสีน้ำตาลน่าทาน
    • เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีเตาอบ แต่อยากอบอาหาร สามารถอบได้ด้วยหม้อรุ่นนี้
    • ไม่ตั้งไฟ /ไม่เข้าเตาอบทั่วไป แต่ใช้กับเตาเอาแบบติ๊งที่ไม่ร้อนเกินไปได้
    • กลิ่นไม่ติด/คราบไม่เกาะ/ไม่หลั่งสารพิษ
    • มีปุ่มนูนที่ก้นหม้อสำหรับบตั้งโต๊ะ
    • ขนาด ก. 20 ส. (ไม่รวมฝา) 6 ซม./ 1.25 ล.
    • ใหม่ พร้อมกล่อง และเอกสาร
    • 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น ขนาดเดียวกัน
    • ขออนุญาตให้คนเหมายกกล่อง 2 ชิ้นก่อน ราคา 2000 บาท รวมส่ง

    🍶 พท.ห่างไกล+50บาท
    🗄 ไม่มีปลายทาง
    📦 โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์
    🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37
    📽 ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป พ่อค้าไม่สามารถรับเคลมได้
    FB: Lek’s Kitchenware/ IG : Lek’s Choices
    Vision – France - Microwave Browner 1.25 ล. • ใหม่ ในกล่อง • Microwave Browner เป็นรุ่นที่แนะนำให้ใช้กับ Microwave เท่านั้น • ทำจากแก้วชนิดพิเศษที่สามารถทำให้อาหารที่อบใน Microwave เป็นสีน้ำตาลน่าทาน • เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีเตาอบ แต่อยากอบอาหาร สามารถอบได้ด้วยหม้อรุ่นนี้ • ไม่ตั้งไฟ /ไม่เข้าเตาอบทั่วไป แต่ใช้กับเตาเอาแบบติ๊งที่ไม่ร้อนเกินไปได้ • กลิ่นไม่ติด/คราบไม่เกาะ/ไม่หลั่งสารพิษ • มีปุ่มนูนที่ก้นหม้อสำหรับบตั้งโต๊ะ • ขนาด ก. 20 ส. (ไม่รวมฝา) 6 ซม./ 1.25 ล. • ใหม่ พร้อมกล่อง และเอกสาร • 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น ขนาดเดียวกัน • ขออนุญาตให้คนเหมายกกล่อง 2 ชิ้นก่อน ราคา 2000 บาท รวมส่ง 🍶 พท.ห่างไกล+50บาท 🗄 ไม่มีปลายทาง 📦 โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์ 🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37 📽 ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป พ่อค้าไม่สามารถรับเคลมได้ FB: Lek’s Kitchenware/ IG : Lek’s Choices
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • ไม่สปอยตัวอย่าง...อยากรู้ต้องดูเอง! ความหวังของธุรกิจอยู่ที่นี่

    อ่านจบแล้วรีบไปดูรายการรถบรรทุกด่วนเลย! 🚚💨

    ✌️ ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน เจ้าของธุรกิจต้องบริหารต้นทุนให้รอบคอบ การเลือกใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ รถบรรทุกมือสองจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่จับต้องได้

    📌 อัปเดตรายการรถบรรทุกทุกวันพฤหัสบดี
    📌 ติดตามบทความนี้เพื่อรับข้อมูลรถบรรทุกมือสองที่เข้าลานประมูลที่ Siam Inter Auction (SIA)

    🚛 ทำไมรถบรรทุกมือสองจึงเป็นที่นิยม? นี่คือ 4 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด

    1. ราคาประหยัด คุ้มค่าการลงทุน 💰

    รถบรรทุกมือสองมีราคาถูกกว่ารถใหม่ 30-50% ทำให้สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับพ่อค้าที่ต้องการซื้อไปทำกำไรต่อ

    2. ฟังก์ชันครบครัน ในราคาที่ถูกกว่า 📌

    หลายคันเป็นรุ่น TOP พร้อมอุปกรณ์ครบถ้วน แต่ราคาถูกลงจากเดิมหลักแสนบาท ทำให้ได้รถคุณภาพสูงโดยไม่ต้องจ่ายแพง

    3. ไฟแนนซ์รองรับ ไม่ต่างจากรถใหม่ 💳

    การจัดไฟแนนซ์รถบรรทุกมือสองทำได้ง่าย เงื่อนไขใกล้เคียงกับรถใหม่ พร้อมข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษและผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น

    4. คุณภาพใกล้เคียงรถใหม่ 🚚✨

    รถบรรทุกมือสองที่เลขไมล์ต่ำและได้รับการดูแลดี มักมีสภาพใกล้เคียงกับรถใหม่ โดยเฉพาะรุ่นที่มีอายุไม่เกิน 3-5 ปี ซึ่งยังคงมีประสิทธิภาพสูงและพร้อมใช้งาน

    📌 คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง

    🔴 สนใจประมูลรถบรรทุก?
    ✅ ดูรายการรถ https://home.sia.co.th/eventproduct/1993
    ✅ ลงทะเบียนและดูรายการรถทุกประเภทได้ที่: home.sia.co.th
    ✅ ติดต่อสอบถาม: ☎️ 02-119-7111 หรือ LINE: @sia.co.th

    🎉 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤 แจกฟรี!

    📌 อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨
    ไม่สปอยตัวอย่าง...อยากรู้ต้องดูเอง! ความหวังของธุรกิจอยู่ที่นี่ อ่านจบแล้วรีบไปดูรายการรถบรรทุกด่วนเลย! 🚚💨 ✌️ ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน เจ้าของธุรกิจต้องบริหารต้นทุนให้รอบคอบ การเลือกใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ รถบรรทุกมือสองจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่จับต้องได้ 📌 อัปเดตรายการรถบรรทุกทุกวันพฤหัสบดี 📌 ติดตามบทความนี้เพื่อรับข้อมูลรถบรรทุกมือสองที่เข้าลานประมูลที่ Siam Inter Auction (SIA) 🚛 ทำไมรถบรรทุกมือสองจึงเป็นที่นิยม? นี่คือ 4 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด 1. ราคาประหยัด คุ้มค่าการลงทุน 💰 รถบรรทุกมือสองมีราคาถูกกว่ารถใหม่ 30-50% ทำให้สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับพ่อค้าที่ต้องการซื้อไปทำกำไรต่อ 2. ฟังก์ชันครบครัน ในราคาที่ถูกกว่า 📌 หลายคันเป็นรุ่น TOP พร้อมอุปกรณ์ครบถ้วน แต่ราคาถูกลงจากเดิมหลักแสนบาท ทำให้ได้รถคุณภาพสูงโดยไม่ต้องจ่ายแพง 3. ไฟแนนซ์รองรับ ไม่ต่างจากรถใหม่ 💳 การจัดไฟแนนซ์รถบรรทุกมือสองทำได้ง่าย เงื่อนไขใกล้เคียงกับรถใหม่ พร้อมข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษและผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น 4. คุณภาพใกล้เคียงรถใหม่ 🚚✨ รถบรรทุกมือสองที่เลขไมล์ต่ำและได้รับการดูแลดี มักมีสภาพใกล้เคียงกับรถใหม่ โดยเฉพาะรุ่นที่มีอายุไม่เกิน 3-5 ปี ซึ่งยังคงมีประสิทธิภาพสูงและพร้อมใช้งาน 📌 คุณภาพขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน สภาพตัวถัง และระบบเกียร์ รถที่เข้าลานประมูลจะเป็นไปตามสภาพจริง 🔴 สนใจประมูลรถบรรทุก? ✅ ดูรายการรถ https://home.sia.co.th/eventproduct/1993 ✅ ลงทะเบียนและดูรายการรถทุกประเภทได้ที่: home.sia.co.th ✅ ติดต่อสอบถาม: ☎️ 02-119-7111 หรือ LINE: @sia.co.th 🎉 นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสนุกๆ พร้อมคูปองอาหาร 🌮 และเครื่องดื่ม 🥤 แจกฟรี! 📌 อย่าลืมติดตามรายการใหม่ทุกสัปดาห์ แล้วพบกันที่ SIA! 🚛✨
    SIA : รายการสินค้าเข้าประมูล
    Siam Inter Auction - บริษัท สยามอินเตอร์การประมูล จำกัด รับประมูลรถยนต์,จักรยานยนต์ และยานพาหนะอื่นๆอีกมากมาย คุณภาพโดนตาราคาโดนใจ ง่ายๆใครๆก็ประมูลได้ พร้อมกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย (02)119-7111
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • Mouviel's - ชั้นวางขนม /เสิร์ฟอาหาร - France + จาน Eschenbach - Germany
    • ใหม่ ไม่มีริ้วรอยใดๆ
    • Stainless ชุบ Pink Gold Plate
    • ไม่รอก/ไม่ซีด/ทนต่อการขูดขีด/สวยงาม/แข็งแรงมาก
    • ก.24 ย.33 ส. 48 ซม.
    • จาน Eschenbach Bavaria – Germany
    • ขอบทอง
    • 3 ใบ/ 3 ขนาด
    • ขนาดเล็ก 17 ซม.
    • ขนาดกลาง 23 ซม.
    • ขนาดเล็ก 25 ซม.
    • ราคาทั้งเซ็ต 1800 บาท รวมส่ง

    🍶 พท.ห่างไกล+50บาท
    🗄 ไม่มีปลายทาง
    📦 โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์
    🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37
    * ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป พ่อค้าไม่สามารถรับเคลมได้
    FB: Lek’s Kitchenware/ IG : Lek’s Choices
    Mouviel's - ชั้นวางขนม /เสิร์ฟอาหาร - France + จาน Eschenbach - Germany • ใหม่ ไม่มีริ้วรอยใดๆ • Stainless ชุบ Pink Gold Plate • ไม่รอก/ไม่ซีด/ทนต่อการขูดขีด/สวยงาม/แข็งแรงมาก • ก.24 ย.33 ส. 48 ซม. • จาน Eschenbach Bavaria – Germany • ขอบทอง • 3 ใบ/ 3 ขนาด • ขนาดเล็ก 17 ซม. • ขนาดกลาง 23 ซม. • ขนาดเล็ก 25 ซม. • ราคาทั้งเซ็ต 1800 บาท รวมส่ง 🍶 พท.ห่างไกล+50บาท 🗄 ไม่มีปลายทาง 📦 โอนก่อนบ่าย 2 ส่งของภายในวันเดียวกัน/ร้านส่งปิดวันอาทิตย์ 🗒 บช.พ่อค้า 005-xxx - xx37 * ถ่ายคลิปการแกะกล่องสค.ทุกครั้ง/ไม่มีคลิป พ่อค้าไม่สามารถรับเคลมได้ FB: Lek’s Kitchenware/ IG : Lek’s Choices
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • วงการพระเงียบสนิท...live แทบทุกแบบ เงียบสนิท...ระดับ 1234 ร้อย..นี่หนักเลย..จากเคยขายง่ายๆ...ยังพอมีกับดัก คนโลภ ที่พออยู่ได้...บางเจ้า...สนามแทบทุกแห่ง..มีแต่ พ่อค้าตัดของ กับ เฮียชม ...คือ ชมอย่างเดียว...ต้องหลุดจริง ถูกจริง..จึงจะซื้อ..เศรษฐกิจแย่แบบที่คนอายุจะ 60 แบบผู้เขียน..เพิ่งเคยประสบ..และไม่ว่าวัดจากดัชนีชี้วัดตัวไหน ..ไม่ว่า ตลาดหุ้น หรืออื่นๆ ...ถ้าไม่ Make ตัวเลข กัน ..คงชั้ชัดอยู่แล้ว
    วงการพระเงียบสนิท...live แทบทุกแบบ เงียบสนิท...ระดับ 1234 ร้อย..นี่หนักเลย..จากเคยขายง่ายๆ...ยังพอมีกับดัก คนโลภ ที่พออยู่ได้...บางเจ้า...สนามแทบทุกแห่ง..มีแต่ พ่อค้าตัดของ กับ เฮียชม ...คือ ชมอย่างเดียว...ต้องหลุดจริง ถูกจริง..จึงจะซื้อ..เศรษฐกิจแย่แบบที่คนอายุจะ 60 แบบผู้เขียน..เพิ่งเคยประสบ..และไม่ว่าวัดจากดัชนีชี้วัดตัวไหน ..ไม่ว่า ตลาดหุ้น หรืออื่นๆ ...ถ้าไม่ Make ตัวเลข กัน ..คงชั้ชัดอยู่แล้ว
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • ไทยเจริญมาได้ด้วยพ่อค้าวานิช กษัตริย์หลายยุค
    ไทยไม่ได้เจริญจากนักการเมืองใดๆ
    ไทยเจริญมาได้ด้วยพ่อค้าวานิช กษัตริย์หลายยุค ไทยไม่ได้เจริญจากนักการเมืองใดๆ
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
More Results