• 6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว...

    1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่

    2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป
    เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร

    3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้
    ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    6 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตร วิเคราะห์ น้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ในรอบร้อยปี ว่าสาเหตุสำคัญคือฝนตกหนักบนดอยที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว... 1.สาเหตุของน้ำท่วมหนักในเมืองเชียงใหม่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันโดยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 มีฝนหนักติดต่อกัน3วันวัดปริมาณน้ำฝนได้200ถึง300มิลลิเมตรทั้งที่ไม่มีพายุเข้าแต่เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนลงมาจากแผ่นดินใหญ่มาปะทะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ(อากาศร้อน) ที่พาดผ่านทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตอำ เภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริมและอำเภอพร้าวจนเกิดน้ำท่วมอย่างหนักในพื้นที่ราบเชิงเขาของอำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตงและอำเภอเมืองเชียงใหม่โดยทั้งแม่น้ำแม่งัด แม่น้ำแม่แตงและแม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำไหลเชี่ยวกรากลงมาท่วมพื้นที่เมืองเชียงใหม่ 2.แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียง ใหม่ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรร จบทางฝั่งซ้ายและน้ำแม่แตงไหลมาบรร จบทางฝั่งขวาเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มผ่านอำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่อำเภอป่าซาง จัง หวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้ายและจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้โดย มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวาที่อำเภอฮอดก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป เมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันยาวนานในพื้นที่ต้นน้ำจะเป็นผลให้ระดับน้ำและปริ มาณน้ำในแม่ปิงสะสมตัวเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง เกิดอุทกภัยสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำเพิ่มสูงเกินความจุของลำน้ำโดยความจุของน้ำปิงที่ตัวเมืองเชียงใหม่คือ 440 ลบ.เมตร/วินาที และระ ดับวิกฤติที่น้ำจะเริ่มล้นฝั่งไหลท่วมอยู่ที่ 3.70 เมตร 3. ปี2566/67 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 285,004 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาวมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด 19,878 ไร่ และอำเภอแม่แตงมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ1636.75ไร่ ส่วนใหญ่จะปลูกบนดอยสูง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวด เร็วและเชี่ยวกรากไหลลงมาท่วมพื้นที่ราบเชิงเขาได้ ...หากฝนตกบนภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าใหญ่ น้ำฝนจะขังอยู่ในป่าประมาณเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนไหลลงข้างล่าง และค่อยๆไหลรินไปหล่อเลี้ยงผู้คนด้านล่างตลอดทั้งปี แต่หากเป็นภูเขาหัวโล้น น้ำฝนจะขังอยู่หนึ่งส่วน อีกเก้าส่วนไหลลงข้างล่างทำให้เกิดมหาอุทกภัยใหญ่หลวง... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/pfkBEHemaUuFdGYg/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02🤠

    ในความเป็นจริงมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยทั่วไปการพัฒนาของภาคเหนือค่อนข้างล้าหลัง ในขณะที่ภาคใต้ค่อนข้างมั่งคั่งและมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    แหล่งที่มาของความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ไม่เพียงได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเท่านั้น มันยังได้รับการตรวจสอบและปรับสมดุลด้วยพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ด้วย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นมาเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ถูกแบ่งแยกมากกว่าการรวมเป็นหนึ่งเดียว

    สถานการณ์การแบ่งแยกและการปกครองในระยะยาวได้ก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนในระดับภูมิภาคในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ระหว่างปีค.ศ. 1955 ถึงค.ศ. 1975 ในยุคปัจจุบัน ความแตกต่างในระบบการเมืองและเศรษฐกิจทำให้ช่องว่างการพัฒนาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น

    ในช่วงการแบ่งแยก รูปแบบทางเศรษฐกิจของภาคใต้มีความหลากหลาย มีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหลายประการ เช่น ระบบทุนนิยมแบบราชการและระบบทุนนิยมแห่งชาติ ระบบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของระบบศักดินาก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมขนาดเล็กและการพาณิชย์กระจายอยู่ทั่วบริเวณ

    ในชนบท ภาคใต้ยังคงรักษานโยบายเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกร ทั้งแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติตอนใต้และระบอบการปกครองไซง่อนจึงต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องกรรมสิทธิ์ของเกษตรกรและจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกให้กับเกษตรกร

    ตัวอย่างเช่น ระบอบการปกครองไซ่ง่อนด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา จึงประกาศใช้พระราชบัญญัติที่ดินเรื่องเกษตรกรมีที่ดินทำกินของตนเองในปี ค.ศ. 1970 บนพื้นฐานของการปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนการซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินและแจกจ่ายให้กับเกษตรกรฟรี

    หลังจากที่เจ้าของที่ดินได้รับเงินทุนจากขายที่ดินแล้ว ด้วยความช่วยเหลือและให้กำลังใจสนับสนุนจากรัฐบาล พวกเขาก็นำทุนลงทุนในอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ก่อให้เกิดส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมในชนบท

    เนื่องจากปัจจัยด้านสงคราม ภาคเหนือจึงเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก และละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมเบาพลเรือน นอกจากนี้ระหว่างอุตสาหกรรมและการเกษตรยังไม่มีการสนับสนุนการพัฒนา จึงไม่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้

    สิ่งนี้คล้ายกับสหภาพโซเวียตมาก อดีตสหภาพโซเวียตซึ่งเดินผ่านออกมาจากไฟสงครามให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก แต่พวกเขาไม่สนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจการดำรงชีวิตของผู้คนมากนัก ซึ่งทำให้มาตรฐานการครองชีพของผู้อยู่อาศัยทางอ้อมลดลง

    ด้วยเหตุผลหลายประการ เมื่อภาคเหนือและภาคใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ระดับการผลิตทางอุตสาหกรรมและการเกษตรในเวียดนามตอนใต้จึงสูงกว่าทางตอนเหนือ และเศรษฐกิจสินค้าโภคภัณฑ์ก็ได้รับการพัฒนาเช่นกัน

    ภาคใต้มีด้านอุตสาหกรรมเบาเป็นหลัก รายการนี้คิดเป็นเกือบ 90% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด การค้าก็เจริญรุ่งเรืองมากเช่นกัน ตั้งแต่ตลาดในชนบทไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองและย่านการค้า ร้านค้าต่างๆ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ทั้งในเมืองและชนบท

    นอกจากนี้ เนื่องจากการยั่วยุของเวียดนามต่อจีนหลังจากการรวมชาติ ทำให้เกิดการตอบโต้การป้องกันตนเองต่อเวียดนาม สงครามครั้งนี้เกือบจะทำลายอุตสาหกรรมหนักทางตอนเหนือของเวียดนาม เป็นเรื่องยากที่จะฟื้นคืนสภาพเดิมในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ความไม่สมดุลในการพัฒนาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น

    สำหรับเวียดนาม แม้ว่าเวียดนามจะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับทำให้ช่องว่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้กว้างขึ้นเท่านั้น

    และเวียดนามไม่มีนโยบายการโอนภาษีภูมิภาคเช่นจีน เพื่อสร้างสมดุลทางการเงินในท้องถิ่น ลดความแตกต่างในระดับภูมิภาค ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เมื่อเวลาผ่านไป มันจะทำลายสังคมเวียดนามอย่างรุนแรง และยังนำไปสู่การแตกแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ได้อย่างง่ายดาย

    ปัจจุบันช่องว่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามไม่ได้แคบลงแต่เริ่มกว้างขึ้น

    😎โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02🤠 ในความเป็นจริงมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยทั่วไปการพัฒนาของภาคเหนือค่อนข้างล้าหลัง ในขณะที่ภาคใต้ค่อนข้างมั่งคั่งและมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น แหล่งที่มาของความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ไม่เพียงได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเท่านั้น มันยังได้รับการตรวจสอบและปรับสมดุลด้วยพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ด้วย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นมาเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ถูกแบ่งแยกมากกว่าการรวมเป็นหนึ่งเดียว สถานการณ์การแบ่งแยกและการปกครองในระยะยาวได้ก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนในระดับภูมิภาคในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ระหว่างปีค.ศ. 1955 ถึงค.ศ. 1975 ในยุคปัจจุบัน ความแตกต่างในระบบการเมืองและเศรษฐกิจทำให้ช่องว่างการพัฒนาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น ในช่วงการแบ่งแยก รูปแบบทางเศรษฐกิจของภาคใต้มีความหลากหลาย มีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหลายประการ เช่น ระบบทุนนิยมแบบราชการและระบบทุนนิยมแห่งชาติ ระบบกรรมสิทธิ์ในที่ดินของระบบศักดินาก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมขนาดเล็กและการพาณิชย์กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ในชนบท ภาคใต้ยังคงรักษานโยบายเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกร ทั้งแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติตอนใต้และระบอบการปกครองไซง่อนจึงต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องกรรมสิทธิ์ของเกษตรกรและจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกให้กับเกษตรกร ตัวอย่างเช่น ระบอบการปกครองไซ่ง่อนด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา จึงประกาศใช้พระราชบัญญัติที่ดินเรื่องเกษตรกรมีที่ดินทำกินของตนเองในปี ค.ศ. 1970 บนพื้นฐานของการปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนการซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินและแจกจ่ายให้กับเกษตรกรฟรี หลังจากที่เจ้าของที่ดินได้รับเงินทุนจากขายที่ดินแล้ว ด้วยความช่วยเหลือและให้กำลังใจสนับสนุนจากรัฐบาล พวกเขาก็นำทุนลงทุนในอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ก่อให้เกิดส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมในชนบท เนื่องจากปัจจัยด้านสงคราม ภาคเหนือจึงเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก และละเลยการพัฒนาอุตสาหกรรมเบาพลเรือน นอกจากนี้ระหว่างอุตสาหกรรมและการเกษตรยังไม่มีการสนับสนุนการพัฒนา จึงไม่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ สิ่งนี้คล้ายกับสหภาพโซเวียตมาก อดีตสหภาพโซเวียตซึ่งเดินผ่านออกมาจากไฟสงครามให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก แต่พวกเขาไม่สนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจการดำรงชีวิตของผู้คนมากนัก ซึ่งทำให้มาตรฐานการครองชีพของผู้อยู่อาศัยทางอ้อมลดลง ด้วยเหตุผลหลายประการ เมื่อภาคเหนือและภาคใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ระดับการผลิตทางอุตสาหกรรมและการเกษตรในเวียดนามตอนใต้จึงสูงกว่าทางตอนเหนือ และเศรษฐกิจสินค้าโภคภัณฑ์ก็ได้รับการพัฒนาเช่นกัน ภาคใต้มีด้านอุตสาหกรรมเบาเป็นหลัก รายการนี้คิดเป็นเกือบ 90% ของการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด การค้าก็เจริญรุ่งเรืองมากเช่นกัน ตั้งแต่ตลาดในชนบทไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองและย่านการค้า ร้านค้าต่างๆ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ทั้งในเมืองและชนบท นอกจากนี้ เนื่องจากการยั่วยุของเวียดนามต่อจีนหลังจากการรวมชาติ ทำให้เกิดการตอบโต้การป้องกันตนเองต่อเวียดนาม สงครามครั้งนี้เกือบจะทำลายอุตสาหกรรมหนักทางตอนเหนือของเวียดนาม เป็นเรื่องยากที่จะฟื้นคืนสภาพเดิมในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ความไม่สมดุลในการพัฒนาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น สำหรับเวียดนาม แม้ว่าเวียดนามจะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับทำให้ช่องว่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้กว้างขึ้นเท่านั้น และเวียดนามไม่มีนโยบายการโอนภาษีภูมิภาคเช่นจีน เพื่อสร้างสมดุลทางการเงินในท้องถิ่น ลดความแตกต่างในระดับภูมิภาค ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป มันจะทำลายสังคมเวียดนามอย่างรุนแรง และยังนำไปสู่การแตกแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ได้อย่างง่ายดาย ปัจจุบันช่องว่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามไม่ได้แคบลงแต่เริ่มกว้างขึ้น 😎โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวียดนามคาดส่งออก ‘ทุเรียน' ปี 2567 สูงแตะ 3,500 ล้านดอลล์
    .
    คณะผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรคาดการณ์ว่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.23 แสนล้านบาท) ในปี 2024 เนื่องด้วยสภาพเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย
    .
    ดัง ฟุก เหงียน เลขานุการสมาคมผักและผลไม้แห่งเวียดนาม ระบุว่าเกษตรกรในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เช่น เตี่ยนยางและวินห์ลอง ได้เพิ่มการผลิตทุเรียนนอกฤดู ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมของปีนี้ โดยปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนในภูมิภาคนี้ราวร้อยละ 50-60 กำลังมุ่งเน้นการผลิตนอกฤดู
    .
    รายงานเสริมว่าเวียดนามมีแนวโน้มส่งออกทุเรียนปริมาณมากจากภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส หรือที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้
    .
    สำนักการผลิตพืชผลของกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนราว 1.5 แสนเฮกตาร์ (ราว 9.37 แสนไร่) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส มากกว่า 75,000 เฮกตาร์ (ราว 4.69 แสนไร่)
    .
    กระทรวงฯ เผยว่ารายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 หมื่นล้านบาท)
    เวียดนามคาดส่งออก ‘ทุเรียน' ปี 2567 สูงแตะ 3,500 ล้านดอลล์ . คณะผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรคาดการณ์ว่าการส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.23 แสนล้านบาท) ในปี 2024 เนื่องด้วยสภาพเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย . ดัง ฟุก เหงียน เลขานุการสมาคมผักและผลไม้แห่งเวียดนาม ระบุว่าเกษตรกรในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เช่น เตี่ยนยางและวินห์ลอง ได้เพิ่มการผลิตทุเรียนนอกฤดู ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมของปีนี้ โดยปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนในภูมิภาคนี้ราวร้อยละ 50-60 กำลังมุ่งเน้นการผลิตนอกฤดู . รายงานเสริมว่าเวียดนามมีแนวโน้มส่งออกทุเรียนปริมาณมากจากภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส หรือที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ . สำนักการผลิตพืชผลของกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนราว 1.5 แสนเฮกตาร์ (ราว 9.37 แสนไร่) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเซ็นทรัล ไฮแลนด์ส มากกว่า 75,000 เฮกตาร์ (ราว 4.69 แสนไร่) . กระทรวงฯ เผยว่ารายได้จากการส่งออกทุเรียนของเวียดนามในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 หมื่นล้านบาท)
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 543 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอลทำลายความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของกาซ่าได้อย่างไร
    เมื่อเริ่มต้นฤดูร้อน ทุ่งนาของกาซ่ามักจะอุดมด้วยพืชผลและผลไม้หลากสีสัน
    แต่เมื่อผ่านไปเกือบเก้าเดือนในการทำสงครามในกาซาของเอล ผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ของดินแดนแห่งนี้กลับต้องพบกับหายนะและวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้าย
    รายงานของ UN ระบุว่าประชากรของกาซา 96 เปอร์เซ็นต์ขาดแคลนอาหาร และชาวปาเลส 1 ใน 5 หรือประมาณ 495,000 คน กำลังเผชิญกับภาวะอดอาหาร
    ภาพถ่ายดาวเทียมที่วิเคราะห์โดยทีมสืบสวนดิจิทัลของอัลยาซีราอย่างซานาด แสดงให้เห็นว่าพื้นที่เกษตรกรรมของกาซาซึ่งมีความสำคัญต่อการเลี้ยงดูประชากรที่หิวโหยในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (60 เปอร์เซ็นต์) ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจากการโจมตีของเอล
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #พื้นที่เพาะปลูก #พื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทำลาย
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t

    เอลทำลายความสามารถในการเลี้ยงตัวเองของกาซ่าได้อย่างไร เมื่อเริ่มต้นฤดูร้อน ทุ่งนาของกาซ่ามักจะอุดมด้วยพืชผลและผลไม้หลากสีสัน แต่เมื่อผ่านไปเกือบเก้าเดือนในการทำสงครามในกาซาของเอล ผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ของดินแดนแห่งนี้กลับต้องพบกับหายนะและวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้าย รายงานของ UN ระบุว่าประชากรของกาซา 96 เปอร์เซ็นต์ขาดแคลนอาหาร และชาวปาเลส 1 ใน 5 หรือประมาณ 495,000 คน กำลังเผชิญกับภาวะอดอาหาร ภาพถ่ายดาวเทียมที่วิเคราะห์โดยทีมสืบสวนดิจิทัลของอัลยาซีราอย่างซานาด แสดงให้เห็นว่าพื้นที่เกษตรกรรมของกาซาซึ่งมีความสำคัญต่อการเลี้ยงดูประชากรที่หิวโหยในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (60 เปอร์เซ็นต์) ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจากการโจมตีของเอล . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #พื้นที่เพาะปลูก #พื้นที่เพาะปลูกที่ถูกทำลาย #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว