TapchuantiewV.2
TapchuantiewV.2
ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
  • 12 people Following this
  • 16 Posts
  • 64 Photos
  • 0 Videos
  • 0 Reviews
  • Travel and Events
Recent Updates
  • อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สวยงามดั่งต้องมนต์เมืองสวรรค์

    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 12 ของประเทศ มีเนื้อที่ 343,735 ไร่ หรือ 549.976 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมตำบลไทรโยค ตำบลท่าเสา ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค ตำบลหนองเป็ด ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ และตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบ โดยภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน ในแถบตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ส่วนบริเวณตอนกลางจะเป็นแนวเขาทอดยาวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญ คือ เขาหนองพุก เขาปลายดินสอ เขาหมอเฒ่า เขาช่องปูน เขาพุรางริน และเขาเกราะแกระ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดประมาณ 996 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

    น้ำตกเอราวัณเดิมเรียกว่าน้ำตกสะด่องม่องล่ายเป็นน้ำตกที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด มีทั้งหมด 7 ชั้น ความยาวประมาณ 1,500 เมตร แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป บริเวณหน้าผาเหนือน้ำตกชั้นที่ 7 เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายเศียรช้าง 3 เศียร หรือที่เรียกว่า“ช้างเอราวัณ” จึงเป็นที่มาของชื่อ“อุทยานแห่งชาติเอราวัณ”

    น้ำตกเอราวัณ (Erawan Waterfall)
    เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี มีระยะทางยาวประมาณ 2,200 เมตร แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีชื่อของแต่ละชั้น ดังนี้
    ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง
    ชั้นที่ 2 วังมัจฉา
    ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก
    ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ
    ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง
    ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา
    ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ
    ความพิเศษของชั้นนี้คือเมื่อน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายช้างสามเศียร หรือที่เรียกว่า "ช้างเอราวัณ" จึงเป็นที่มาของ "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ"

    #อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
    #น้ำตกเอราวัณ


    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สวยงามดั่งต้องมนต์เมืองสวรรค์ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 12 ของประเทศ มีเนื้อที่ 343,735 ไร่ หรือ 549.976 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมตำบลไทรโยค ตำบลท่าเสา ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค ตำบลหนองเป็ด ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ และตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบ โดยภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน ในแถบตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ส่วนบริเวณตอนกลางจะเป็นแนวเขาทอดยาวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญ คือ เขาหนองพุก เขาปลายดินสอ เขาหมอเฒ่า เขาช่องปูน เขาพุรางริน และเขาเกราะแกระ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดประมาณ 996 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง น้ำตกเอราวัณเดิมเรียกว่าน้ำตกสะด่องม่องล่ายเป็นน้ำตกที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด มีทั้งหมด 7 ชั้น ความยาวประมาณ 1,500 เมตร แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป บริเวณหน้าผาเหนือน้ำตกชั้นที่ 7 เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายเศียรช้าง 3 เศียร หรือที่เรียกว่า“ช้างเอราวัณ” จึงเป็นที่มาของชื่อ“อุทยานแห่งชาติเอราวัณ” น้ำตกเอราวัณ (Erawan Waterfall) เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี มีระยะทางยาวประมาณ 2,200 เมตร แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีชื่อของแต่ละชั้น ดังนี้ ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง ชั้นที่ 2 วังมัจฉา ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ ความพิเศษของชั้นนี้คือเมื่อน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายช้างสามเศียร หรือที่เรียกว่า "ช้างเอราวัณ" จึงเป็นที่มาของ "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ" #อุทยานแห่งชาติเอราวัณ #น้ำตกเอราวัณ
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • ถ้ำหลวง - อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน

    สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ - ถ้ำหลวง เป็นถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินเป็นเวลานาน มีขนาดใหญ่และลึกมากเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย มีความยาว 10.3 กิโลเมตร มีความสูงโดยเฉลี่ย 779 เมตร และลาดชันมาทางทิศตะวันออก ปากถ้ำเป็นโถงกว้างและสูงกว่าโถงถ้ำแรก ภายในถ้ำมีเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอกหินย้อย ธารน้ำถ้ำลอด และถ้ำแขนง แนวโถงถ้ำมีเส้นทางคดเคี้ยว บางช่วงเข้าถึงง่าย บางช่วงมีเพดานต่ำ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงถึงวิวัฒนาการของถ้ำจำนวนมาก เช่น รอยการไหลของน้ำเป็นริ้วคลื่น ระดับพื้นถ้ำเก่า หินถล่มขนาดใหญ่และเล็กจำนวนมาก รอยแตกแบบมีแรงดึง รอยระดับน้ำหลุมยุบ โพรงเพดานถ้ำและรอยแตกของผนัง เปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ปัจจุบันหลังจากเกิดเหตุการณ์เด็กติดในถ้ำได้งดการเข้าชมถ้ำภายในไว้ก่อน โดยสามารถเข้าชมได้บริเวณปากโถงถ้ำเท่านั้น - ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็ก

    ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา อากาศบริเวณปากถ้ำเย็นสบาย - ถ้ำพญานาค เป็นถ้ำขนาดเล็ก อยู่ใต้หน้าผาบนภูเขา ภายในถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่คล้ายงูแผ่แม่เบี้ย สูง 2.5 เมตร อยู่ตรงบริเวณปากถ้ำ - ถ้ำเลียงผาเป็นถ้ำที่เกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน จึงทำให้เกิดลักษณะที่เป็นเวิ้ง มีหุบเหวล้อมรอบ กว้างประมาณ 80 เมตร สูงประมาณ 30 เมตร บริเวณถ้ำยังพบฟอสซิลหอยฝาเดียวและหอยสองฝาอายุหลายร้อยล้านปี ในอดีตเลียงผาบนภูเขาจะลงมากินน้ำฝนที่ไหลลงมาขังภายในถ้ำจึงเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเลียงผา” - ขุนน้ำนางนอน อยู่ห่างจากถ้ำหลวง 2 กิโลเมตร มีธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น มีบึงน้ำจืดขนาดเล็ก บนหน้าผาเหนือบึงน้ำยังเป็นที่ตั้งของถ้ำทรายทอง ซึ่งยังไม่มีการสำรวจภายใน สอบถามข้อมูล อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน โทร. 0 5371 4914 และ 08 0792 5095 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 เว็บไซต์ www.dnp.go.th

    #อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน
    #ท่องเที่ยว
    ถ้ำหลวง - อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ - ถ้ำหลวง เป็นถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำใต้ดินเป็นเวลานาน มีขนาดใหญ่และลึกมากเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย มีความยาว 10.3 กิโลเมตร มีความสูงโดยเฉลี่ย 779 เมตร และลาดชันมาทางทิศตะวันออก ปากถ้ำเป็นโถงกว้างและสูงกว่าโถงถ้ำแรก ภายในถ้ำมีเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอกหินย้อย ธารน้ำถ้ำลอด และถ้ำแขนง แนวโถงถ้ำมีเส้นทางคดเคี้ยว บางช่วงเข้าถึงง่าย บางช่วงมีเพดานต่ำ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่แสดงถึงวิวัฒนาการของถ้ำจำนวนมาก เช่น รอยการไหลของน้ำเป็นริ้วคลื่น ระดับพื้นถ้ำเก่า หินถล่มขนาดใหญ่และเล็กจำนวนมาก รอยแตกแบบมีแรงดึง รอยระดับน้ำหลุมยุบ โพรงเพดานถ้ำและรอยแตกของผนัง เปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ปัจจุบันหลังจากเกิดเหตุการณ์เด็กติดในถ้ำได้งดการเข้าชมถ้ำภายในไว้ก่อน โดยสามารถเข้าชมได้บริเวณปากโถงถ้ำเท่านั้น - ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็ก ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา อากาศบริเวณปากถ้ำเย็นสบาย - ถ้ำพญานาค เป็นถ้ำขนาดเล็ก อยู่ใต้หน้าผาบนภูเขา ภายในถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่คล้ายงูแผ่แม่เบี้ย สูง 2.5 เมตร อยู่ตรงบริเวณปากถ้ำ - ถ้ำเลียงผาเป็นถ้ำที่เกิดจากการยุบตัวของแผ่นดิน จึงทำให้เกิดลักษณะที่เป็นเวิ้ง มีหุบเหวล้อมรอบ กว้างประมาณ 80 เมตร สูงประมาณ 30 เมตร บริเวณถ้ำยังพบฟอสซิลหอยฝาเดียวและหอยสองฝาอายุหลายร้อยล้านปี ในอดีตเลียงผาบนภูเขาจะลงมากินน้ำฝนที่ไหลลงมาขังภายในถ้ำจึงเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเลียงผา” - ขุนน้ำนางนอน อยู่ห่างจากถ้ำหลวง 2 กิโลเมตร มีธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น มีบึงน้ำจืดขนาดเล็ก บนหน้าผาเหนือบึงน้ำยังเป็นที่ตั้งของถ้ำทรายทอง ซึ่งยังไม่มีการสำรวจภายใน สอบถามข้อมูล อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน โทร. 0 5371 4914 และ 08 0792 5095 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 เว็บไซต์ www.dnp.go.th #อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน #ท่องเที่ยว
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • อุ้มผาง ความสุขที่...ไร้ขีดจำกัด!!

    อุ้มผาง เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนใต้ของจังหวัดตาก จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภออุ้มผาง พ.ศ. 2502 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2502 อำเภออุ้มผางเป็นอำเภอที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอเมืองมากที่สุดในประเทศไทย[1] มียอดเขาที่สูงที่สุดในภาคตะวันตกคือ ยอดเขากะเจอลา มีความสูง 2,152 เมตร[ต้องการอ้างอิง] โดยพื้นที่ตอนล่างของอำเภอ ยังเป็นที่ตั้งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย

    อุ้มผาง ที่นี่มีผืนป่าบริสุทธิ์ เป็นชายแดนติดต่อกับประเทศเมียนมา เส้นทางตัดผ่านเทือกเขา สวยงามอลังการ เราสามารถชมทัศนียภาพ และอากาศบริสุทธิ์ของป่า หรือจะเลือกไปนั่งช้าง ชมผืนป่าจากมุมสูง และแวะไปสัมผัสกระแสน้ำตกสายที่กระเซ็นสดชื่นในหน้าฝนแบบนี้ ก็ดีต่อใจมากทีเดียว

    เป้าหมายของการมาเที่ยว อุ้มผาง จังหวัดตาก ส่วนมากก็คือการมาเที่ยว น้ำตกทีลอซู นั่นเองค่ะ เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงและสวยมากที่สุดในเมืองไทย อีกทั้งยังติดอันดับน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 6 ของเอเชียที่มีความสูงอยู่ที่ 300 เมตร และความกว้าง 500 เมตร เป็นพิกัดยอดฮิตในช่วงปลายฝนต้นหนาวไปจนถึงฤดูหนาว เพราะจะเป็นช่วงที่สวยที่สุดของการมาชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกทีลอซู แต่การเดินทางเข้าไปนั้นลำบากพอสมควร และต้องติดต่อขออนุญาตจากเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผางก่อนเข้าไปเที่ยวค่ะ

    อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ น้ำตกทีลอซู ที่เที่ยวตาก กับ ความอลังการของ น้ำตกที่สวยที่สุดในเมืองไทย

    #น้ำตกทีลอซู
    #อุ้มผาง

    อุ้มผาง ความสุขที่...ไร้ขีดจำกัด!!🥰 อุ้มผาง เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนใต้ของจังหวัดตาก จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภออุ้มผาง พ.ศ. 2502 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2502 อำเภออุ้มผางเป็นอำเภอที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอเมืองมากที่สุดในประเทศไทย[1] มียอดเขาที่สูงที่สุดในภาคตะวันตกคือ ยอดเขากะเจอลา มีความสูง 2,152 เมตร[ต้องการอ้างอิง] โดยพื้นที่ตอนล่างของอำเภอ ยังเป็นที่ตั้งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย อุ้มผาง ที่นี่มีผืนป่าบริสุทธิ์ เป็นชายแดนติดต่อกับประเทศเมียนมา เส้นทางตัดผ่านเทือกเขา สวยงามอลังการ เราสามารถชมทัศนียภาพ และอากาศบริสุทธิ์ของป่า หรือจะเลือกไปนั่งช้าง ชมผืนป่าจากมุมสูง และแวะไปสัมผัสกระแสน้ำตกสายที่กระเซ็นสดชื่นในหน้าฝนแบบนี้ ก็ดีต่อใจมากทีเดียว เป้าหมายของการมาเที่ยว อุ้มผาง จังหวัดตาก ส่วนมากก็คือการมาเที่ยว น้ำตกทีลอซู นั่นเองค่ะ เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงและสวยมากที่สุดในเมืองไทย อีกทั้งยังติดอันดับน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 6 ของเอเชียที่มีความสูงอยู่ที่ 300 เมตร และความกว้าง 500 เมตร เป็นพิกัดยอดฮิตในช่วงปลายฝนต้นหนาวไปจนถึงฤดูหนาว เพราะจะเป็นช่วงที่สวยที่สุดของการมาชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกทีลอซู แต่การเดินทางเข้าไปนั้นลำบากพอสมควร และต้องติดต่อขออนุญาตจากเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผางก่อนเข้าไปเที่ยวค่ะ อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ น้ำตกทีลอซู ที่เที่ยวตาก กับ ความอลังการของ น้ำตกที่สวยที่สุดในเมืองไทย #น้ำตกทีลอซู #อุ้มผาง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • ภูทับเบิก ที่เที่ยวสวยเพชรบูรณ์ ไปกอด ทะเลหมอก ฟอกปอด สูดอากาศดี

    ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีระดับความสูงถึง 1,768 จากระดับน้ำทะเลค่ะ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างมอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี ทั้งภูเขาจะรายล้อมไปด้วยกะหล่ำปลีลูกกลม นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอดทะเลหมอกอย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวันนั่นเอง

    นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอด ทะเลหมอก อย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวัน ในบางวันก็อาจมีเซอร์ไพรส์ได้เจอกับทะเลหมอกที่สวยงามอยู่เหมือนกัน และอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเย็นตลอดวันค่ะ ถ้าใครขึ้นมาเที่ยวที่นี่แนะนำว่าให้พกเสื้อแขนยาวมากันอากาศเย็นสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวแล้วล่ะก็ พกเสื้อกันหนาวตัวหนามาได้เลย

    #ภูทับเบิก
    #ท่องเที่ยว


    ภูทับเบิก ที่เที่ยวสวยเพชรบูรณ์ ไปกอด ทะเลหมอก ฟอกปอด สูดอากาศดี😚 ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีระดับความสูงถึง 1,768 จากระดับน้ำทะเลค่ะ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างมอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี ทั้งภูเขาจะรายล้อมไปด้วยกะหล่ำปลีลูกกลม นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอดทะเลหมอกอย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวันนั่นเอง นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอด ทะเลหมอก อย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวัน ในบางวันก็อาจมีเซอร์ไพรส์ได้เจอกับทะเลหมอกที่สวยงามอยู่เหมือนกัน และอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเย็นตลอดวันค่ะ ถ้าใครขึ้นมาเที่ยวที่นี่แนะนำว่าให้พกเสื้อแขนยาวมากันอากาศเย็นสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวแล้วล่ะก็ พกเสื้อกันหนาวตัวหนามาได้เลย #ภูทับเบิก #ท่องเที่ยว
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 115 Views 0 Reviews
  • อุทยานฯภูหินร่องกล้า อดีตพื้นที่ "สีแดง" ปัจุบันมีแต่ความงามสีเขียว

    ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2525 “ภูหินร่องกล้า” หรือ “ภูร่องกล้า” นอกจากจะเป็นป่าเขารกชัฏแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ "สีแดง" ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายระหว่างการสู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับ ฝ่ายความมั่นคง

    บทสรุปของการสู้รบไม่ปรากฏผลแพ้-ชนะ เพราะสุดท้ายฝ่ายความมั่นคงประกาศนโยบาย 66/2523 และ 65/2525 ที่ใช้การเมืองนำการทหาร เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษาประชาชนที่หนีเข้าป่า กลับคืนสู่เมืองมาช่วยกันพัฒนาชาติไทย
    หลังจากนั้นมาดินแดนภูหินร่องกล้าก็ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” อุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 48 ของประเทศไทย ในวันที่ 26 ก.ค. 2527 มีพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ เลย(อ.ด่านซ้าย) เพชรบูรณ์(อ.หล่มสัก) และ พิษณุโลก(อ.นครไทย)

    นับแต่นั้นมาอีกไม่นานจากดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้ง ป่าไม้ น้ำตก ภูผา หินรูปร่างแปลกตา และรอยอดีตแห่งประวัติศาสตร์ในยุคสมรภูมิเดือด ซึ่งในหน้าฝนอย่างนี้ภูหินร่องกล้าได้แสดงศักยภาพแห่งป่าไพรออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางโรแมนติกฉ่ำฝนที่นอกจากจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามแล้ว บางวันยังมีสายหมอกฝนขาวโพลนให้เราได้ สัมผัสกันอย่างจุใจ

    ในพื้นที่ภูหินร่องกล้ายังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ที่นี่มีแปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ สตรอเบอร์รี่ พันธุ์ 80 รสสุดหวานฉ่ำ มีต้นนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกชมพูสะพรั่งในช่วงราวเดือน ธ.ค.-ม.ค.ของทุกฤดูกาล ส่วนในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.จะมีทุ่งดอกกระดาษออกดอกสวยงามไปทั่วบริเวณริมผา(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือ พ.ย.-ม.ค.)
    ส่วนอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ มีทั้ง “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก,“ผาบอกรัก”, “ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นหน้าผาตั้งไล่เรียงไป มีโขดหินให้เดินไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาผืนป่าใหญ่ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวชมความงามได้ทั้งปีในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป

    ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก

    นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด

    “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลท์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา
    นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณะเฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไมเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

    “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่

    ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 0 5535 6607,081-5965977 และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัด พิษณุโลก-เพชรบูรณ์ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก(พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก,เพชรบูรณ์) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907

    #ภูหินร่องกล้า
    #พิษณุโลก
    #ท่องเที่ยว

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    https://mgronline.com/travel/detail/9600000072287
    อุทยานฯภูหินร่องกล้า อดีตพื้นที่ "สีแดง" ปัจุบันมีแต่ความงามสีเขียว ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2525 “ภูหินร่องกล้า” หรือ “ภูร่องกล้า” นอกจากจะเป็นป่าเขารกชัฏแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ "สีแดง" ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายระหว่างการสู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับ ฝ่ายความมั่นคง บทสรุปของการสู้รบไม่ปรากฏผลแพ้-ชนะ เพราะสุดท้ายฝ่ายความมั่นคงประกาศนโยบาย 66/2523 และ 65/2525 ที่ใช้การเมืองนำการทหาร เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษาประชาชนที่หนีเข้าป่า กลับคืนสู่เมืองมาช่วยกันพัฒนาชาติไทย หลังจากนั้นมาดินแดนภูหินร่องกล้าก็ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” อุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 48 ของประเทศไทย ในวันที่ 26 ก.ค. 2527 มีพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ เลย(อ.ด่านซ้าย) เพชรบูรณ์(อ.หล่มสัก) และ พิษณุโลก(อ.นครไทย) นับแต่นั้นมาอีกไม่นานจากดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้ง ป่าไม้ น้ำตก ภูผา หินรูปร่างแปลกตา และรอยอดีตแห่งประวัติศาสตร์ในยุคสมรภูมิเดือด ซึ่งในหน้าฝนอย่างนี้ภูหินร่องกล้าได้แสดงศักยภาพแห่งป่าไพรออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางโรแมนติกฉ่ำฝนที่นอกจากจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามแล้ว บางวันยังมีสายหมอกฝนขาวโพลนให้เราได้ สัมผัสกันอย่างจุใจ ในพื้นที่ภูหินร่องกล้ายังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ที่นี่มีแปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ สตรอเบอร์รี่ พันธุ์ 80 รสสุดหวานฉ่ำ มีต้นนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกชมพูสะพรั่งในช่วงราวเดือน ธ.ค.-ม.ค.ของทุกฤดูกาล ส่วนในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.จะมีทุ่งดอกกระดาษออกดอกสวยงามไปทั่วบริเวณริมผา(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือ พ.ย.-ม.ค.) ส่วนอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ มีทั้ง “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก,“ผาบอกรัก”, “ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นหน้าผาตั้งไล่เรียงไป มีโขดหินให้เดินไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาผืนป่าใหญ่ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวชมความงามได้ทั้งปีในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลท์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณะเฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไมเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 0 5535 6607,081-5965977 และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัด พิษณุโลก-เพชรบูรณ์ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก(พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก,เพชรบูรณ์) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907 #ภูหินร่องกล้า #พิษณุโลก #ท่องเที่ยว ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://mgronline.com/travel/detail/9600000072287
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “บึงสีไฟ” โฉมใหม่ใต้พระบารมี จากบึงน้ำ (เคย) เสื่อมโทรม สู่แลนด์มาร์กสำคัญแห่งเมืองพิจิตร

    “บึงสีไฟ” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองชาละวัน ดังปรากฏในคำขวัญจังหวัดพิจิตร ว่า

    “ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน”

    บึงสีไฟ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏในสมัยพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นพื้นที่ลุ่มเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี จึงทรงเรียกเมืองพิจิตรว่า “โอฆะบุรี” ที่แปลว่าห้วงน้ำ

    เดิมบึงสีไฟมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5–2 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์
    บึงสีไฟนอกจากจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติคู่เมืองชาละวันแล้ว ยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจและแหล่งรายได้จากการทำประมง ทำสวนบัว การค้าขาย และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคู่เมืองพิจิตร

    เมื่อเดือน มี.ค. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาที่จังหวัดพิจิตรพร้อมได้ทอดพระเนตรบึงสีไฟเป็นการส่วนพระองค์

    จากนั้นในปี 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ

    โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ

    ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร)

    วันนี้ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ” หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดพิจิตร อย่างเช่น “เทศกาลสายลมแห่งความสุข KiteXballoon @บึงสีไฟ” ที่จัดขึ้นที่ริมบึงสีไฟเมื่อวันที่ 24 - 25 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

    สำหรับสิ่งน่าสนใจในบริเวณบึงสีไฟนั้น ได้แก่

    -สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2527 มีเนื้อที่ 170 ไร่ เป็นสวนพักผ่อนริมบึงสีไฟ มีสะพานทอดลงน้ำสู่ศาลาใหญ่ที่จัดไว้เป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลาและชมพระอาทิตย์ตกในบึงน้ำที่นี่

    นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย

    ขอขอบคุณ ข้อมูจาก https://mgronline.com/travel/detail/9670000026330

    #บึงสีไฟ
    #พิจิตร
    #ท่องเที่ยว

    “บึงสีไฟ” โฉมใหม่ใต้พระบารมี จากบึงน้ำ (เคย) เสื่อมโทรม สู่แลนด์มาร์กสำคัญแห่งเมืองพิจิตร “บึงสีไฟ” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองชาละวัน ดังปรากฏในคำขวัญจังหวัดพิจิตร ว่า “ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน” บึงสีไฟ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏในสมัยพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นพื้นที่ลุ่มเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี จึงทรงเรียกเมืองพิจิตรว่า “โอฆะบุรี” ที่แปลว่าห้วงน้ำ เดิมบึงสีไฟมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5–2 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์ บึงสีไฟนอกจากจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติคู่เมืองชาละวันแล้ว ยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจและแหล่งรายได้จากการทำประมง ทำสวนบัว การค้าขาย และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคู่เมืองพิจิตร เมื่อเดือน มี.ค. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาที่จังหวัดพิจิตรพร้อมได้ทอดพระเนตรบึงสีไฟเป็นการส่วนพระองค์ จากนั้นในปี 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร) วันนี้ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ” หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดพิจิตร อย่างเช่น “เทศกาลสายลมแห่งความสุข KiteXballoon @บึงสีไฟ” ที่จัดขึ้นที่ริมบึงสีไฟเมื่อวันที่ 24 - 25 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก สำหรับสิ่งน่าสนใจในบริเวณบึงสีไฟนั้น ได้แก่ -สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2527 มีเนื้อที่ 170 ไร่ เป็นสวนพักผ่อนริมบึงสีไฟ มีสะพานทอดลงน้ำสู่ศาลาใหญ่ที่จัดไว้เป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลาและชมพระอาทิตย์ตกในบึงน้ำที่นี่ นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย ขอขอบคุณ ข้อมูจาก https://mgronline.com/travel/detail/9670000026330 #บึงสีไฟ #พิจิตร #ท่องเที่ยว
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • ถ้ำเลสเตโกดอน มรดกจากยุคน้ำแข็ง ช้างโบราณกลางป่าสตูล!

    ถ้ำเลสเตโกดอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Global Geopark) เป็นบริเวณที่มีการค้นพบฟอสซิลของช้างสเตโกดอน สภาพของถ้ำเลสเตโกดอนในปัจจุบัน เป็นถ้ำที่อยู่ติดทะเล และมีน้ำทะเลท่วมตลอดทั้งแนวถ้ำ การเข้าไปสำรวจหรือท่องเที่ยวภายในถ้ำต้องพายเรือเข้าไปเพื่อชมความงดงามภายในถ้ำ

    แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ช้างสเตโกดอนอาศัยอยู่ ในสมัยไพลสโตซีน ถ้ำแห่งนี้อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล จึงเป็นที่อยู่อาศัย หลบซ่อนของสัตว์น้อยใหญ่หลายชนิด จากหลักฐานฟอสซิลอื่น ๆ ที่พบในถ้ำเลสเตโกดอน พบว่ามีช้างอีกสกุลหนึ่ง คือ ช้างเอลิฟาส (Elephas) ซึ่งเป็นต้นตระกูลของช้างเอเชียในปัจจุบัน แรดโบราณอีก 2 สกุล คือ เกนดาทีเรียม (Gaindatherium) และคิโลทีเรียม (Chilotherium) เศษซากฟอสซิลของสัตว์ใหญ่เหล่านี้ สันนิษฐานอาจเกิดจากการถูกล่าแล้วนำชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้ามาหลบกินในถ้ำ และชิ้นส่วนกระดูกที่กระจัดกระจายอาจเกิดจากการนำพาของสัตว์กินซากซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กนำเข้ามาในถ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปหลายหมื่นปี เศษซากกระดูกสัตว์แปรสภาพกลายเป็นฟอสซิล เช่นเดียวกับถ้ำหินปูนที่แปรสภาพไปด้วยเช่น

    #ถ้ำเลสเตโกดอน
    #ยุคน้ำแข็ง
    #สตูล
    #ท่องเที่ยว



    ถ้ำเลสเตโกดอน มรดกจากยุคน้ำแข็ง ช้างโบราณกลางป่าสตูล! ถ้ำเลสเตโกดอน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Global Geopark) เป็นบริเวณที่มีการค้นพบฟอสซิลของช้างสเตโกดอน สภาพของถ้ำเลสเตโกดอนในปัจจุบัน เป็นถ้ำที่อยู่ติดทะเล และมีน้ำทะเลท่วมตลอดทั้งแนวถ้ำ การเข้าไปสำรวจหรือท่องเที่ยวภายในถ้ำต้องพายเรือเข้าไปเพื่อชมความงดงามภายในถ้ำ แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ช้างสเตโกดอนอาศัยอยู่ ในสมัยไพลสโตซีน ถ้ำแห่งนี้อยู่เหนือจากระดับน้ำทะเล จึงเป็นที่อยู่อาศัย หลบซ่อนของสัตว์น้อยใหญ่หลายชนิด จากหลักฐานฟอสซิลอื่น ๆ ที่พบในถ้ำเลสเตโกดอน พบว่ามีช้างอีกสกุลหนึ่ง คือ ช้างเอลิฟาส (Elephas) ซึ่งเป็นต้นตระกูลของช้างเอเชียในปัจจุบัน แรดโบราณอีก 2 สกุล คือ เกนดาทีเรียม (Gaindatherium) และคิโลทีเรียม (Chilotherium) เศษซากฟอสซิลของสัตว์ใหญ่เหล่านี้ สันนิษฐานอาจเกิดจากการถูกล่าแล้วนำชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้ามาหลบกินในถ้ำ และชิ้นส่วนกระดูกที่กระจัดกระจายอาจเกิดจากการนำพาของสัตว์กินซากซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะขนาดเล็กนำเข้ามาในถ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปหลายหมื่นปี เศษซากกระดูกสัตว์แปรสภาพกลายเป็นฟอสซิล เช่นเดียวกับถ้ำหินปูนที่แปรสภาพไปด้วยเช่น #ถ้ำเลสเตโกดอน #ยุคน้ำแข็ง #สตูล #ท่องเที่ยว
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • สระมรกต สวยใส มหัศจรรย์ใจ ในแดนใต้..

    สระมรกต สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของ จ.กระบี่ และได้รับประกาศเป็น Unseen In Thailand
    สระมรกต กำเนิด มาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อนลักษณะเป็นสระน้ำร้อน 3 สระได้แก่ สระแก้ว สระมรกต และ สระน้ำผุด น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต มีอุณหภูมิประมาณ 30-50 องศาเซลเซียส เป็นสระน้ำในอ่างหินปูนขนาดใหญ่น้ำใสเขียวอมฟ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางป่า เหมาะแก่การพักผ่อนเล่นน้ำเป็นอย่างมาก โดยมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง 2.7 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ มีต้นไม้ที่น่าสนใจหลากหลายชนิด และถ้าโชคดีอาจจะเจอนกพันธุ์หายาก เช่น นกแต้วแร้วทองดำ นกเงือกดำ และระหว่างทางก็จะพบธารน้ำไหล น้ำใสแจ๋วปิ้งๆตลอดทาง

    ถ้ามาจากตัวเมืองกระบี่ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอเหนือคลอง พอมาถึงอำเภอคลองท่อม จะเจอแยกไฟแดง ก็ให้เลี้ยวซ้ายต่อไปทางอำเภอลำทับ บนถนนทางหลวงหมายเลข 4038 แล้วเลี้ยวขวาไปทางอำเภอคลองท่อม ใต้-ทับไทร จากตรงนี้ไปอีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางเข้าสู่สระมรกตแล้วจ้า

    #สระมรกต
    #กระบี่
    #ท่องเที่ยว
    สระมรกต สวยใส มหัศจรรย์ใจ ในแดนใต้.. สระมรกต สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของ จ.กระบี่ และได้รับประกาศเป็น Unseen In Thailand สระมรกต กำเนิด มาจากธารน้ำอุ่น ในผืนป่าที่ราบต่ำภาคใต้ เป็นน้ำพุร้อนลักษณะเป็นสระน้ำร้อน 3 สระได้แก่ สระแก้ว สระมรกต และ สระน้ำผุด น้ำใสเป็นสีเขียวมรกต มีอุณหภูมิประมาณ 30-50 องศาเซลเซียส เป็นสระน้ำในอ่างหินปูนขนาดใหญ่น้ำใสเขียวอมฟ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางป่า เหมาะแก่การพักผ่อนเล่นน้ำเป็นอย่างมาก โดยมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง 2.7 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายสื่อความหมายที่จะคอยบอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ มีต้นไม้ที่น่าสนใจหลากหลายชนิด และถ้าโชคดีอาจจะเจอนกพันธุ์หายาก เช่น นกแต้วแร้วทองดำ นกเงือกดำ และระหว่างทางก็จะพบธารน้ำไหล น้ำใสแจ๋วปิ้งๆตลอดทาง ถ้ามาจากตัวเมืองกระบี่ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอเหนือคลอง พอมาถึงอำเภอคลองท่อม จะเจอแยกไฟแดง ก็ให้เลี้ยวซ้ายต่อไปทางอำเภอลำทับ บนถนนทางหลวงหมายเลข 4038 แล้วเลี้ยวขวาไปทางอำเภอคลองท่อม ใต้-ทับไทร จากตรงนี้ไปอีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางเข้าสู่สระมรกตแล้วจ้า #สระมรกต #กระบี่ #ท่องเที่ยว
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เขาไม่ง้อ เขาค้อก็ได้..
    ที่เที่ยวเขาค้อ ฉบับอัปเดต
    เที่ยวฟิน เช็กอินได้ตลอดทั้งปี

    1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    ถ้ามาเที่ยวเขาค้อแล้วไม่ได้แวะมาไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถือว่ามาไม่ถึงเขาค้ออย่างแน่นอน เพราะวัดนี้เป็นวัดสำคัญของเขาค้อ และเป็นวัดที่ชาวพุทธนิยมมากราบไหว้สักการะ เพราะมีมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ตั้งอยู่โดดเด่นบนเนินเขา และเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต สีทอง ที่ประดับประดาด้วยลูกแก้วและกระเบื้องเครื่องเบญจรงค์ นอกจากจะเป็นพุทธศาสนสถานที่มีความสำคัญแล้ว ยังถือเป็นที่เที่ยวของอำเภอเขาค้อที่ผู้คนนิยมไปแวะเช็กอินถ่ายรูป ชมความสวยงามกันอีกด้วย

    2. พระตำหนักเขาค้อ
    จุดสูงสุดของเขาค้อ สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้แบบครอบคลุม และยังจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของสวนดอกไม้และพืชนานาพรรณ พร้อมทั้งมีป่าสนสูงใหญ่สวยงามอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงวันหยุดยาวทางเจ้าหน้าที่จะเปิดพื้นที่ให้เข้ามากางเต็นท์ได้ด้วย

    3. ภูแก้วพีค - Phukaew Peak
    ร้านกาแฟและจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ภายในภูแก้วรีสอร์ต & แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เขาค้อ เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของรีสอร์ต สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาค้อได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก บริเวณลานชมวิวมีพื้นที่กว้างขวางและจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด ทั้งจุดชมวิวอุ้งมือยักษ์ที่เป็นทางเดินแบบยกสูงลอยฟ้า ลานและระเบียงชมวิวต่าง ๆ มาที่เดียวนอกจากจะได้ชมวิวในมุมสูงแบบสวยงามแล้ว รับรองว่าได้ภาพสวยถูกใจกลับไปแน่นอน

    #เขาค้อ
    #เพชรบูรณ์
    #ท่องเที่ยว
    เขาไม่ง้อ เขาค้อก็ได้.. ที่เที่ยวเขาค้อ ฉบับอัปเดต เที่ยวฟิน เช็กอินได้ตลอดทั้งปี 1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถ้ามาเที่ยวเขาค้อแล้วไม่ได้แวะมาไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถือว่ามาไม่ถึงเขาค้ออย่างแน่นอน เพราะวัดนี้เป็นวัดสำคัญของเขาค้อ และเป็นวัดที่ชาวพุทธนิยมมากราบไหว้สักการะ เพราะมีมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ตั้งอยู่โดดเด่นบนเนินเขา และเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต สีทอง ที่ประดับประดาด้วยลูกแก้วและกระเบื้องเครื่องเบญจรงค์ นอกจากจะเป็นพุทธศาสนสถานที่มีความสำคัญแล้ว ยังถือเป็นที่เที่ยวของอำเภอเขาค้อที่ผู้คนนิยมไปแวะเช็กอินถ่ายรูป ชมความสวยงามกันอีกด้วย 2. พระตำหนักเขาค้อ จุดสูงสุดของเขาค้อ สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้แบบครอบคลุม และยังจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของสวนดอกไม้และพืชนานาพรรณ พร้อมทั้งมีป่าสนสูงใหญ่สวยงามอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงวันหยุดยาวทางเจ้าหน้าที่จะเปิดพื้นที่ให้เข้ามากางเต็นท์ได้ด้วย 3. ภูแก้วพีค - Phukaew Peak ร้านกาแฟและจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ภายในภูแก้วรีสอร์ต & แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เขาค้อ เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของรีสอร์ต สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาค้อได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก บริเวณลานชมวิวมีพื้นที่กว้างขวางและจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด ทั้งจุดชมวิวอุ้งมือยักษ์ที่เป็นทางเดินแบบยกสูงลอยฟ้า ลานและระเบียงชมวิวต่าง ๆ มาที่เดียวนอกจากจะได้ชมวิวในมุมสูงแบบสวยงามแล้ว รับรองว่าได้ภาพสวยถูกใจกลับไปแน่นอน #เขาค้อ #เพชรบูรณ์ #ท่องเที่ยว
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม หยิบหมอก หยอกกระเจียว เที่ยวผาสุดแผ่นดิน

    สายฝนเริ่มโปรยปรายเราเลยจะชวนทุกคนไปเที่ยวหน้าฝน ชมดอกกระเจียวสวย ๆ กันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ป่าไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย ได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ก่อนจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน มารู้จักกับเรื่องน่ารู้ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามก่อนดีกว่า

    อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาพังเหย อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต และอำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีสภาพป่าสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ทำให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศ และมีไม้ดอกจำพวกดุสิตา เอนอ้า และกล้วยไม้ ขึ้นอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีสัตว์ป่านานาพรรณ ที่สำคัญยังมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะ “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งจะบานสะพรั่งสวยงามในราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี

    ทุ่งดอกกระเจียว ดอกกระเจียว หรือดอกบัวสวรรค์ ราชินีแห่งมวลไม้ในขุนเขา เป็นพืชล้มลุกประเภทหัว จำพวกขิง-ข่า พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามไปจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน รวมเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมความสวยงามของดอกกระเจียวที่เบ่งบานผลิดอกสีชมพูอมม่วงขึ้นเต็มทั่วผืนป่า คือในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทั้งนี้ ดอกกระเจียวที่บานในอุทยานค้นพบทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ปทุมมา สายพันธุ์กระเจียวดิน และสายพันธุ์กระเจียวขาว

    ลานหินงาม เป็นบริเวณลานหินที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลกตากระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งโขดหินดังกล่าวเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเป็นการกัดเซาะเนื้อดินและหินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน สามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ตะปู เรด้าร์ แม่ไก่ รูปสัตว์ ปราสาทโบราณ หินรูปถ้วยรางวัลฟุตบอลโลก รูปดอกเห็ด เป็นต้น สำหรับลานหินงามนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติมีทางรถยนต์เข้าถึง

    สุดแผ่นดิน หน้าผาสูงชันและจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย อยู่ทางด้านทิศเหนือห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผาซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่จุดชมวิวสุดแผ่นดินจะมองเห็นทิวทัศน์สันเขาพังเหยและเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา และมีสายลมพัดเย็นสบายตลอดวัน จึงเป็นจุดชมวิวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูสายหมอกตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น รวมถึงแวะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันด้วย

    #ป่าหินงาม
    #ชัยภูมิ
    #ดอกกระเจียว


    อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม หยิบหมอก หยอกกระเจียว เที่ยวผาสุดแผ่นดิน🌷 สายฝนเริ่มโปรยปรายเราเลยจะชวนทุกคนไปเที่ยวหน้าฝน ชมดอกกระเจียวสวย ๆ กันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ป่าไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย ได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ก่อนจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน มารู้จักกับเรื่องน่ารู้ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามก่อนดีกว่า อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาพังเหย อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต และอำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีสภาพป่าสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ทำให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศ และมีไม้ดอกจำพวกดุสิตา เอนอ้า และกล้วยไม้ ขึ้นอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีสัตว์ป่านานาพรรณ ที่สำคัญยังมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะ “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งจะบานสะพรั่งสวยงามในราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทุ่งดอกกระเจียว ดอกกระเจียว หรือดอกบัวสวรรค์ ราชินีแห่งมวลไม้ในขุนเขา เป็นพืชล้มลุกประเภทหัว จำพวกขิง-ข่า พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามไปจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน รวมเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมความสวยงามของดอกกระเจียวที่เบ่งบานผลิดอกสีชมพูอมม่วงขึ้นเต็มทั่วผืนป่า คือในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทั้งนี้ ดอกกระเจียวที่บานในอุทยานค้นพบทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ปทุมมา สายพันธุ์กระเจียวดิน และสายพันธุ์กระเจียวขาว ลานหินงาม เป็นบริเวณลานหินที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลกตากระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งโขดหินดังกล่าวเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเป็นการกัดเซาะเนื้อดินและหินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน สามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ตะปู เรด้าร์ แม่ไก่ รูปสัตว์ ปราสาทโบราณ หินรูปถ้วยรางวัลฟุตบอลโลก รูปดอกเห็ด เป็นต้น สำหรับลานหินงามนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติมีทางรถยนต์เข้าถึง สุดแผ่นดิน หน้าผาสูงชันและจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย อยู่ทางด้านทิศเหนือห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผาซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่จุดชมวิวสุดแผ่นดินจะมองเห็นทิวทัศน์สันเขาพังเหยและเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา และมีสายลมพัดเย็นสบายตลอดวัน จึงเป็นจุดชมวิวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูสายหมอกตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น รวมถึงแวะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันด้วย #ป่าหินงาม #ชัยภูมิ #ดอกกระเจียว
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • 'หมู่บ้านคีรีวงแหล่งโอโซน เมืองนครศรีธรรมราช'
    ที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากในเรื่องของบรรยากาศธรรมชาติอันสวยงามเปรียบได้กับแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศเกาหลีใต้อย่าง ซอรัคซานอุทยานแห่งชาติที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยลำธารและภูเขาเขียวขจีเช่นเดียวกับสถานที่แห่งนี้ที่รายล้อมไปด้วยความงดงามที่เป็นดั่งมนต์สะกดให้พวกเราหลงใหลไปกับความเงียบของเสียงธรรมชาติที่ฟังแล้วเพลิดเพลินไปได้อย่างผ่อนคลายเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติและอยากมาสูดอากาศโอโซนให้เต็มปอดก็ต้องมาที่นี่เลย

    ชุมชนบ้านคีรีวง อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ในตำบลกำโลน อำเภอลานสกา เป็นชุมชนที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา หนึ่งในนั้นคือเขาหลวง ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุดในภาคใต้ เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีคลองท่าดีเป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านหมู่บ้าน บ้านคีรีวงมีวิถีชีวิตแบบชาวสวน อยู่กับธรรมชาติ อาชีพหลักคือการทำสวนผลไม้ผสม เรียกว่า “สวนสมรม” เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ เคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ. 2541 รางวัลชุมชนต้นแบบในการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประเภทเมืองและชุมชน เนื่องจากบ้านคีรีวงมีกลุ่มส่งเสริมอาชีพหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มผ้ามัดย้อม กลุ่มทำสบู่จากเปลือกมังคุด กลุ่มทุเรียนกวน กลุ่มมังคุดกวน กลุ่มทำเครื่องประดับลูกปัดโบราณ และได้พัฒนาการบริการนักท่องเที่ยว จัดนำเที่ยวเดินป่าสู่ยอดเขาหลวง มีลูกหาบ โฮมสเตย์ และศูนย์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านคีรีวง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตของบ้านคีรีวงได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูกาลผลไม้ เดือนกรกฎาคม-กันยายน

    นอกจากนี้ ตามที่พักต่าง ๆ ในหมู่บ้านคีรีวง ส่วนมากมีจักรยานไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวและผู้เข้าพัก เพื่อปั่นเที่ยวชมบรรยากาศและทัศนียภาพรอบหมู่บ้าน ในหมู่บ้านคีรีวงมีจุดเล่นน้ำหลักอยู่ในบริเวณ “หนานหินท่านาหา” ซึ่งบริเวณนั้นมีสะพานแขวนข้ามลำธารเป็นเอกลักษณ์เด่น ทั้งมีร้านอาหารให้บริการอยู่หลายร้าน จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเมื่อเดินทางมาถึงบ้านคีรีวง คือ “สะพานบ้านคีรีวง คลองท่าดี” ซึ่งเป็นสะพานคอนกรีต ตั้งอยู่ในบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เป็นจุดที่มองเห็นลำธารที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านโดยมีทิวเขาน้อยใหญ่เป็นฉากหลังสวยงาม

    หยุดยาวปีใหม่นี้ เพื่อนอยากชาจแบตร่างกาย สูดโอโซนบริสุทธิ์ให้เต็มปอด แนะนนำ หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราชเลยย
    รับรอง กลับมาฟิตกว่าเดิมแน่นอน

    #เทพชวนเที่ยว
    #หมู่บ้านคีรีวง
    #นครศรีธรรมราช

    'หมู่บ้านคีรีวงแหล่งโอโซน เมืองนครศรีธรรมราช' ที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากในเรื่องของบรรยากาศธรรมชาติอันสวยงามเปรียบได้กับแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศเกาหลีใต้อย่าง ซอรัคซานอุทยานแห่งชาติที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยลำธารและภูเขาเขียวขจีเช่นเดียวกับสถานที่แห่งนี้ที่รายล้อมไปด้วยความงดงามที่เป็นดั่งมนต์สะกดให้พวกเราหลงใหลไปกับความเงียบของเสียงธรรมชาติที่ฟังแล้วเพลิดเพลินไปได้อย่างผ่อนคลายเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติและอยากมาสูดอากาศโอโซนให้เต็มปอดก็ต้องมาที่นี่เลย ชุมชนบ้านคีรีวง อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ในตำบลกำโลน อำเภอลานสกา เป็นชุมชนที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา หนึ่งในนั้นคือเขาหลวง ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุดในภาคใต้ เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีคลองท่าดีเป็นคลองสายหลักที่ไหลผ่านหมู่บ้าน บ้านคีรีวงมีวิถีชีวิตแบบชาวสวน อยู่กับธรรมชาติ อาชีพหลักคือการทำสวนผลไม้ผสม เรียกว่า “สวนสมรม” เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ เคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ. 2541 รางวัลชุมชนต้นแบบในการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประเภทเมืองและชุมชน เนื่องจากบ้านคีรีวงมีกลุ่มส่งเสริมอาชีพหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มผ้ามัดย้อม กลุ่มทำสบู่จากเปลือกมังคุด กลุ่มทุเรียนกวน กลุ่มมังคุดกวน กลุ่มทำเครื่องประดับลูกปัดโบราณ และได้พัฒนาการบริการนักท่องเที่ยว จัดนำเที่ยวเดินป่าสู่ยอดเขาหลวง มีลูกหาบ โฮมสเตย์ และศูนย์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านคีรีวง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตของบ้านคีรีวงได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูกาลผลไม้ เดือนกรกฎาคม-กันยายน นอกจากนี้ ตามที่พักต่าง ๆ ในหมู่บ้านคีรีวง ส่วนมากมีจักรยานไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวและผู้เข้าพัก เพื่อปั่นเที่ยวชมบรรยากาศและทัศนียภาพรอบหมู่บ้าน ในหมู่บ้านคีรีวงมีจุดเล่นน้ำหลักอยู่ในบริเวณ “หนานหินท่านาหา” ซึ่งบริเวณนั้นมีสะพานแขวนข้ามลำธารเป็นเอกลักษณ์เด่น ทั้งมีร้านอาหารให้บริการอยู่หลายร้าน จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเมื่อเดินทางมาถึงบ้านคีรีวง คือ “สะพานบ้านคีรีวง คลองท่าดี” ซึ่งเป็นสะพานคอนกรีต ตั้งอยู่ในบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เป็นจุดที่มองเห็นลำธารที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้านโดยมีทิวเขาน้อยใหญ่เป็นฉากหลังสวยงาม 🤩 หยุดยาวปีใหม่นี้ เพื่อนอยากชาจแบตร่างกาย สูดโอโซนบริสุทธิ์ให้เต็มปอด แนะนนำ หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราชเลยย รับรอง กลับมาฟิตกว่าเดิมแน่นอน 😍 #เทพชวนเที่ยว #หมู่บ้านคีรีวง #นครศรีธรรมราช
    0 Comments 1 Shares 253 Views 0 Reviews
  • โฮมสเตบ้านเปียงซ้อ..ที่พักหลักพันวิวหลักล้าน

    ที่สุดของความอลังการแห่งขุนเขาของเมืองน่าน ต้องยกให้บ้านเปียงซ้อ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอติดชายแดนไทย-ลาว ที่หลายคนไปไม่ถึง ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ บ้านสะปัน บ้านเปียงซ้อ หมู่บ้านที่มีความสวยงามของขุนเขา ที่คนรักธรรมชาติ รักสายหมอก ต้องมาให้ได้สักครั้ง ที่นี่ในปัจจุบันถนนหนทางค่อนข้างสะดวก รถทุกชนิดไปถึงได้ มีที่พักให้บริการหลายแห่ง หนึ่งในนั้น คือ เปียงซ้อ โฮมสเตย์ ที่พักในสไตล์กระท่อมเรียบง่าย ในราคาหลักพัน แต่วิวหน้าบ้าน คือ หลักล้าน ที่เราสามารถมองเห็นวิวของขุนเขาเขียวขจี ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ได้แบบใกล้ชิด ตื่นเช้ามาสามารถชมทะเลหมอกที่ลอยมาทักทายถึงหน้าบ้าน

    จากบ้านพักสามารถเดินลงไปตามทางเดิน เพื่อไปชมวิวของภูเขาได้แบบใกล้สายตามากขึ้น มีการจัดทำที่นั่ง ไว้ให้นั่งมองวิวอีกด้วย ถ้าใครเดินไหว ลงไปถึงข้างล่างได้เลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียว และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ สำหรับเรา บ้านเปียงซ้อ คือ สถานที่ท่องเที่ยวในน่านที่ยังคงมีความบริสุทธิ์อยู่มาก ไม่มีกลุ่มนายทุนเข้ามาทำธุรกิจที่พัก เพราะส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ทำกันเอง

    เพื่อนๆท่านใดอยากไปเที่ยวรอช่วงหมดหน้าพายุกันสักนิดนึง เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวแห่งนี้จะคึกคักในช่วงปลายฝนต้นหนาว จนถึงหน้าหนาวแบบเต็มตัว ตั้งแต่เดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ กันเลย ก่อนเดินทางไป เช็คก่อนนะครับว่าเต็มหรือยัง จะได้ไปไปเก้อ และขอให้ทุกคนมีความสุขกับการพักผ่อนนะครับ!!

    #เทพชวนเที่ยว
    #น่าน
    #บ้านเปี่ยงซ้อ
    โฮมสเตบ้านเปียงซ้อ..ที่พักหลักพันวิวหลักล้าน ที่สุดของความอลังการแห่งขุนเขาของเมืองน่าน ต้องยกให้บ้านเปียงซ้อ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอติดชายแดนไทย-ลาว ที่หลายคนไปไม่ถึง ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ บ้านสะปัน บ้านเปียงซ้อ หมู่บ้านที่มีความสวยงามของขุนเขา ที่คนรักธรรมชาติ รักสายหมอก ต้องมาให้ได้สักครั้ง ที่นี่ในปัจจุบันถนนหนทางค่อนข้างสะดวก รถทุกชนิดไปถึงได้ มีที่พักให้บริการหลายแห่ง หนึ่งในนั้น คือ เปียงซ้อ โฮมสเตย์ ที่พักในสไตล์กระท่อมเรียบง่าย ในราคาหลักพัน แต่วิวหน้าบ้าน คือ หลักล้าน ที่เราสามารถมองเห็นวิวของขุนเขาเขียวขจี ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ได้แบบใกล้ชิด ตื่นเช้ามาสามารถชมทะเลหมอกที่ลอยมาทักทายถึงหน้าบ้าน จากบ้านพักสามารถเดินลงไปตามทางเดิน เพื่อไปชมวิวของภูเขาได้แบบใกล้สายตามากขึ้น มีการจัดทำที่นั่ง ไว้ให้นั่งมองวิวอีกด้วย ถ้าใครเดินไหว ลงไปถึงข้างล่างได้เลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเขียว และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ สำหรับเรา บ้านเปียงซ้อ คือ สถานที่ท่องเที่ยวในน่านที่ยังคงมีความบริสุทธิ์อยู่มาก ไม่มีกลุ่มนายทุนเข้ามาทำธุรกิจที่พัก เพราะส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ทำกันเอง เพื่อนๆท่านใดอยากไปเที่ยวรอช่วงหมดหน้าพายุกันสักนิดนึง เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวแห่งนี้จะคึกคักในช่วงปลายฝนต้นหนาว จนถึงหน้าหนาวแบบเต็มตัว ตั้งแต่เดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ กันเลย ก่อนเดินทางไป เช็คก่อนนะครับว่าเต็มหรือยัง จะได้ไปไปเก้อ และขอให้ทุกคนมีความสุขกับการพักผ่อนนะครับ!! #เทพชวนเที่ยว #น่าน #บ้านเปี่ยงซ้อ
    Like
    2
    0 Comments 2 Shares 234 Views 0 Reviews
  • เกาะราชา ภูเก็ต ทะเลสวยน้ำใส อย่าให้พลาดกันเลยทีเดียว ชวนมาเที่ยวกันนะจ๊ะ

    เป็นหนึ่งในหมู่เกาะทะเลอันดามัน ซึ่ง National Geographic ได้ให้การจัดอันดับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสวยที่สุดในไทย อันดับที่ 10 ของโลก มีชื่อเสียงในเรื่องหาดทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำทะเลใสดุจคริสตัล คือ เกาะราชา ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดำน้ำตื้นแบบ One Day Trip ได้ตลอดทั้งวัน

    'เกาะราชา' หรือ 'เกาะรายา' เกาะราชาจะแบ่งออกเป็น 2 เกาะ นั่นคือ เกาะราชาใหญ่ และเกาะราชน้อยซึ่งหากจากเกาะราชาใหญ่ไปประมาณ 6 ก.ม. ถือเป็นที่นิยมศุนย์กลางของการท่องเที่ยวเกาะราชาเป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวสะอาด มีหาดทางด้านตะวันตกอยู่ระหว่างหุบเขาเป็นรูปคล้าย เกือกม้าเรียกว่า อ่าวปะตก มีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสะอาดลักษณะคล้ายทะเลแถบหมู่เกาะสิมิลันทางใต้ทางใต้ เกาะราชา ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ต ห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งเกาะกว่า3,000 ตารางกิโลเมตร มีพื้นราบ และเนินเขาที่มีความสูงไม่มากนัก ชาวบ้านได้เข้าไปทำการจับจอง ที่ดินทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ และอาศัยอยู่ ที่เกาะราชาใหญ่ประมาณ 16 ครอบครัว ส่วนพื้นที่ราบ ที่อยู่ติด ทะเลชาวบ้าน และนักลงทุนได้พัฒนาบางส่วนเป็นที่พัก และร้านอาหารสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว.

    และแน่นอนว่าบน 'เกาะราชา' ก็ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำกันอีกมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำลึก กว่า 15 แห่ง ดำน้ำตื้น ตกปลา ตกหมึก เดินป่าค้างแรม เป็นต้นค่ะ หนึ่งในลิสต์เกาะสวย ของ ภูเก็ต ที่ไม่มาไม่ได้แล้วนะคะ ใครอยากมาแบบเต็มอิ่มแนะนำว่าหาที่พักสวยๆ นอนบนเกาะกันได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครอยากมาเก็บไฮไลท์ก็มาแบบ One Day Trip โดยการซื้อทัวร์จากบริษัทนำเที่ยวได้เลยค่ะ จะมาแบบไหนก็ฟินกับทะเลสวยๆ ของที่นี่ได้ทั้งนั้นเลย.

    การเดินทาง ไปยัง เกาะราชา
    ถ้ามาจากภูเก็ตนั้น จะใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาทีเท่านั้นค่ะ โดยสามารถหาซื้อทัวร์แบบ One Day Trip จากบริษัททัวร์ได้เลยค่ะ ซึ่งทัวร์ก็จะออกมาหลายๆ ท่าเรือด้วยกัน ทั้งบริเวณ ท่าเรืออ่าวฉลอง และท่าเรือหาดราไวย์ ค่ะ โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเรือและจำนวนคนค่ะ ส่วนถ้ามานอนแบบค้างคืนนั้นส่วนใหญ่แล้วจะมีเรือจากที่พักให้บริการรับส่งกันเลยครับ

    อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว เผื่อเพื่อนๆยังไม่มีโปรแกรมจะไปเที่ยวไหน ขอเชิญที่เกาะราชาเลย รับรองฟิน แน่นวนจ้า

    #เกาะราชา
    #ท่องเที่ยว
    #ภูเก็ต
    #เทพชวนเที่ยว











    เกาะราชา ภูเก็ต ทะเลสวยน้ำใส อย่าให้พลาดกันเลยทีเดียว ชวนมาเที่ยวกันนะจ๊ะ😍 เป็นหนึ่งในหมู่เกาะทะเลอันดามัน ซึ่ง National Geographic ได้ให้การจัดอันดับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสวยที่สุดในไทย อันดับที่ 10 ของโลก มีชื่อเสียงในเรื่องหาดทรายขาวบริสุทธิ์ และน้ำทะเลใสดุจคริสตัล คือ เกาะราชา ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดำน้ำตื้นแบบ One Day Trip ได้ตลอดทั้งวัน 'เกาะราชา' หรือ 'เกาะรายา' เกาะราชาจะแบ่งออกเป็น 2 เกาะ นั่นคือ เกาะราชาใหญ่ และเกาะราชน้อยซึ่งหากจากเกาะราชาใหญ่ไปประมาณ 6 ก.ม. ถือเป็นที่นิยมศุนย์กลางของการท่องเที่ยวเกาะราชาเป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวสะอาด มีหาดทางด้านตะวันตกอยู่ระหว่างหุบเขาเป็นรูปคล้าย เกือกม้าเรียกว่า อ่าวปะตก มีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสะอาดลักษณะคล้ายทะเลแถบหมู่เกาะสิมิลันทางใต้ทางใต้ เกาะราชา ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ต ห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งเกาะกว่า3,000 ตารางกิโลเมตร มีพื้นราบ และเนินเขาที่มีความสูงไม่มากนัก ชาวบ้านได้เข้าไปทำการจับจอง ที่ดินทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ และอาศัยอยู่ ที่เกาะราชาใหญ่ประมาณ 16 ครอบครัว ส่วนพื้นที่ราบ ที่อยู่ติด ทะเลชาวบ้าน และนักลงทุนได้พัฒนาบางส่วนเป็นที่พัก และร้านอาหารสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว.😊 และแน่นอนว่าบน 'เกาะราชา' ก็ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำกันอีกมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำลึก กว่า 15 แห่ง ดำน้ำตื้น ตกปลา ตกหมึก เดินป่าค้างแรม เป็นต้นค่ะ หนึ่งในลิสต์เกาะสวย ของ ภูเก็ต ที่ไม่มาไม่ได้แล้วนะคะ ใครอยากมาแบบเต็มอิ่มแนะนำว่าหาที่พักสวยๆ นอนบนเกาะกันได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครอยากมาเก็บไฮไลท์ก็มาแบบ One Day Trip โดยการซื้อทัวร์จากบริษัทนำเที่ยวได้เลยค่ะ จะมาแบบไหนก็ฟินกับทะเลสวยๆ ของที่นี่ได้ทั้งนั้นเลย.😘 การเดินทาง ไปยัง เกาะราชา ถ้ามาจากภูเก็ตนั้น จะใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาทีเท่านั้นค่ะ โดยสามารถหาซื้อทัวร์แบบ One Day Trip จากบริษัททัวร์ได้เลยค่ะ ซึ่งทัวร์ก็จะออกมาหลายๆ ท่าเรือด้วยกัน ทั้งบริเวณ ท่าเรืออ่าวฉลอง และท่าเรือหาดราไวย์ ค่ะ โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเรือและจำนวนคนค่ะ ส่วนถ้ามานอนแบบค้างคืนนั้นส่วนใหญ่แล้วจะมีเรือจากที่พักให้บริการรับส่งกันเลยครับ อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว เผื่อเพื่อนๆยังไม่มีโปรแกรมจะไปเที่ยวไหน ขอเชิญที่เกาะราชาเลย รับรองฟิน แน่นวนจ้า #เกาะราชา #ท่องเที่ยว #ภูเก็ต #เทพชวนเที่ยว
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • 5.สิ่งที่ดีที่สุด..ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

    “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีพื้นที่ ครอบคลุม 4 จังหวัด ประกอบด้วย สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และนครนายก เป็นพื้นที่ผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก ในส่วนหนึ่งของดงพญาเย็นหรือดงพญาไฟในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก และแม่น้ำมูล มีความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นบ้านหลังใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่สำคัญ หายาก และใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด รวมถึงนกมากกว่า 280 ชนิด จึงทำให้เป็นที่นิยมของนักดูนกจากทั่วโลก

    นอกจากจะเป็นแหล่งธรรมชาติที่สำคัญของไทย ยังมีความสำคัญในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก คือ อุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Park) และ มรดกโลกทางธรรมชาติ (World Heritage Site)

    และที่สำคัญยิ่งใกล้ช่วงสิ้นปี หรือประมาณปลายฝนต้นหนาว
    หรือช่วงเดือนปลายเดือนกันยายนเป็นต้นไป จะเป็นฤดูการท่องเที่ยว ของบรรดาผู้ที่หลงไหลในการเดินป่า
    และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ของ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แห่งนี้นี่เอง.

    วันนี้เพจเทพชวนเที่ยว จึงขอยก 5. สิ่งที่ดีที่สุด ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มาให้รับชมกันจ้า

    1.ได้สัมผัสธรรมชาติและสัตว์ป่าตามธรรมชาติ ที่ไม่ใช่สวนสัตว์อย่างใกล้ชิด
    อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารที่เหมาะสมกับสัตว์ป่าหลายชนิดสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อยและเป็นที่ดึงดูดใจผู้มาเยือน ได้แก่ ช้างป่า กระทิง หมาใน เก้ง กวางป่า ชะนี นกเงือก และลิงกัง

    2.น้ำตกเหวสุวัติ น้ำตกสวยงาม ชุ่มช่ำหัวใจ
    ยิ่งช่วงนี้ฝนตก น้ำตกยิ่งสวยงาม น้ำตกเหวสุวัต อยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ น้ำตกเหวสุวัตที่มาของชื่อเหวสุวัตินั้น ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีโจรคนหนึ่ง ชื่อสุวัติ หนีอาญาบ้านเมืองมาที่น้ำตกแห่งนี้ และเมื่อจนมุมต่อเจ้าหน้าที่ ก็ตัดสินจบชีวิตตัวเองลงที่น้ำตกแห่งนี้

    3.เสน่ห์อีกอย่างของการมาเที่ยวเขาใหญ่ คือการได้เข้าไปเยือนจุดชมวิวบนหน้าผาที่สวยที่สุดบนเขาใหญ่ นั่นคือ "ผาเดียวดาย" นั่นเองครับ ยิ่งถ้าคุณขึ้นมานอนค้างอ้างแรมที่จุดกางเต็นท์บนเขาใหญ่ล่ะก็ เท่ากับว่าจะได้โอกาสขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาเดียวดายด้วย ตำนาน เรื่องเล่าของผาเดียวดาย เล่าเรื่องของผาเดียวดายสักนิด ที่มาของชื่อผานั้นมีอยู่ว่า นานมาแล้วมีหญิงสาวคนหนึ่งรักใคร่ชอบพอกับชายหนุ่มหน้าตาดีมีฐานะ แต่เนื่องจากทางบ้านของฝ่ายชายไม่ยอมรับเธอ ทั้งคู่จึงต้องแอบคบหากัน กระทั่งวันหนึ่งฝ่ายหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เลยคิดจะหนีไปด้วยกันโดยตกลงจะมาพบกันที่ปลายผาที่ซึ่งทั้งสองนัดพบกันบ่อยๆ แต่พอถึงวันนัดชายหนุ่มกลับไม่มา เธอจึงท้อแท้ในชีวิตรัก สุดท้ายจึงกระโดดลงสู่ก้นเหวนั่นเอง

    4.ทุ่งหญ้าที่เขาใหญ่ ป็นหนึ่งในที่เที่ยวที่ตั้งอยู่ภายในอุยานแห่งชาติเขาใหญ่ อยู่ตรงบริเวณหอดูสัตว์หนองผักชี และเป็นไฮไลต์ของที่นี่ ถือว่าเป็นจุดพักผ่อนชมวิวมุมสูง พร้อมทุ่งหญ้าสะวันนาไกลสุดตา
    ก่อนหน้านี้มี ปรากฏการณ์ “ทุ่งหญ้าฟีเวอร์” ทำเขาใหญ่แทบแตก หลังนักท่องเที่ยวแห่เช็กอินแน่น ขณะที่นักท่องเที่ยวไร้สำนึกจำนวนหนึ่งไม่สนกฎระเบียบ ลงไปเดินใน “โป่งสัตว์” ทั้งที่มีป้ายห้าม จนเกิดเป็นดราม่าให้คอมเม้นต์กันสนั่นบนโลกโซเชียล
    ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในช่วงต้นฤดูฝนของบ้านเรา สำหรับวิวทิวทัศน์ของ “ทุ่งหญ้าเขาใหญ่” หรือ “ทุ่งหญ้าคาที่เขาใหญ่” ซึ่งหลังสายฝนโปรยสายท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่หลาย ๆ จุดในพื้นที่ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” จะเติบโตเขียวขจี ก่อนจะออกดอกสีขาวโพลน ยามต้องสายลมจะโบกพลิ้วไสวดูโรแมนติก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปถ่ายรูปจุดเช็กอินกันเป็นจำนวนมาก

    5. น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น ตั้งอยู่ใน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝั่งจังหวัดนครนายก จากความสูงในแต่ละชั้นที่ไม่ต่ำกว่า 50 เมตรนั้น ก็พอจะดูออกว่าความสูงโดยรวมของน้ำตกแห่งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 150 เมตรอย่างแน่นอน ส่วนที่มาของชื่อ น้ำตกเหวนรก มาจากลักษณะของมวลน้ำมหาศาลที่ตกลงมาจากผาสูงปรี๊ด ซ่อนตัวอยู่ในหุบเหว ดูลึกลับซับซ้อน และหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนอยากเข้าไปชมความงามของน้ำตกแห่ง
    การเดินทางเพื่อเข้าไปชม น้ำตกเหวนรก ในปัจจุบันนั้นสะดวกขึ้นมาก เพราะถ้าเป็นสมัยก่อน ทุกคนจะต้องใช้เวลาเดินเท้าเพื่อเข้าไปยังตัวน้ำตกถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่หลังจากที่มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่ พวกเราก็สามารถขับรถไปจอดใกล้ตัวน้ำตกได้มากขึ้น เพียงเดินจากลานจอดรถไปแค่ 1 กิโลเมตรก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว

    และนี่ก็เป็นสิ่งที่นักเที่ยวพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดและน่ามาชมให้เห็นกับตา
    เพื่อนๆท่านใดอยากให้เพจ เทพชวนเที่ยว หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ใดมานำเสนอ คอมเม้นไว้ได้เลย
    ทีมงานจะจัดมาให้อีก อย่าลืมกดไลค์กดแชร์ กันด้วยนะจ๊ะ! ขอบคุณคร้าบ
    #อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
    #ผาเดียวดาย
    #น้ำตกเหวสุวัต
    #น้ำตกเหวนรก
    #ทุ่งหญ้าเขาใหญ่

    5.สิ่งที่ดีที่สุด..ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีพื้นที่ ครอบคลุม 4 จังหวัด ประกอบด้วย สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และนครนายก เป็นพื้นที่ผืนใหญ่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรัก ในส่วนหนึ่งของดงพญาเย็นหรือดงพญาไฟในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำนครนายก และแม่น้ำมูล มีความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นบ้านหลังใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่สำคัญ หายาก และใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด รวมถึงนกมากกว่า 280 ชนิด จึงทำให้เป็นที่นิยมของนักดูนกจากทั่วโลก นอกจากจะเป็นแหล่งธรรมชาติที่สำคัญของไทย ยังมีความสำคัญในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก คือ อุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Park) และ มรดกโลกทางธรรมชาติ (World Heritage Site) และที่สำคัญยิ่งใกล้ช่วงสิ้นปี หรือประมาณปลายฝนต้นหนาว หรือช่วงเดือนปลายเดือนกันยายนเป็นต้นไป จะเป็นฤดูการท่องเที่ยว ของบรรดาผู้ที่หลงไหลในการเดินป่า และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ของ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แห่งนี้นี่เอง.😊 วันนี้เพจเทพชวนเที่ยว จึงขอยก 5. สิ่งที่ดีที่สุด ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มาให้รับชมกันจ้า 1.ได้สัมผัสธรรมชาติและสัตว์ป่าตามธรรมชาติ ที่ไม่ใช่สวนสัตว์อย่างใกล้ชิด🥰 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารที่เหมาะสมกับสัตว์ป่าหลายชนิดสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อยและเป็นที่ดึงดูดใจผู้มาเยือน ได้แก่ ช้างป่า กระทิง หมาใน เก้ง กวางป่า ชะนี นกเงือก และลิงกัง 2.น้ำตกเหวสุวัติ น้ำตกสวยงาม ชุ่มช่ำหัวใจ😘 ยิ่งช่วงนี้ฝนตก น้ำตกยิ่งสวยงาม น้ำตกเหวสุวัต อยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ น้ำตกเหวสุวัตที่มาของชื่อเหวสุวัตินั้น ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีโจรคนหนึ่ง ชื่อสุวัติ หนีอาญาบ้านเมืองมาที่น้ำตกแห่งนี้ และเมื่อจนมุมต่อเจ้าหน้าที่ ก็ตัดสินจบชีวิตตัวเองลงที่น้ำตกแห่งนี้ 3.เสน่ห์อีกอย่างของการมาเที่ยวเขาใหญ่ คือการได้เข้าไปเยือนจุดชมวิวบนหน้าผาที่สวยที่สุดบนเขาใหญ่ นั่นคือ "ผาเดียวดาย" นั่นเองครับ ยิ่งถ้าคุณขึ้นมานอนค้างอ้างแรมที่จุดกางเต็นท์บนเขาใหญ่ล่ะก็ เท่ากับว่าจะได้โอกาสขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาเดียวดายด้วย ตำนาน เรื่องเล่าของผาเดียวดาย เล่าเรื่องของผาเดียวดายสักนิด ที่มาของชื่อผานั้นมีอยู่ว่า นานมาแล้วมีหญิงสาวคนหนึ่งรักใคร่ชอบพอกับชายหนุ่มหน้าตาดีมีฐานะ แต่เนื่องจากทางบ้านของฝ่ายชายไม่ยอมรับเธอ ทั้งคู่จึงต้องแอบคบหากัน กระทั่งวันหนึ่งฝ่ายหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เลยคิดจะหนีไปด้วยกันโดยตกลงจะมาพบกันที่ปลายผาที่ซึ่งทั้งสองนัดพบกันบ่อยๆ แต่พอถึงวันนัดชายหนุ่มกลับไม่มา เธอจึงท้อแท้ในชีวิตรัก สุดท้ายจึงกระโดดลงสู่ก้นเหวนั่นเอง😢 4.ทุ่งหญ้าที่เขาใหญ่ ป็นหนึ่งในที่เที่ยวที่ตั้งอยู่ภายในอุยานแห่งชาติเขาใหญ่ อยู่ตรงบริเวณหอดูสัตว์หนองผักชี และเป็นไฮไลต์ของที่นี่ ถือว่าเป็นจุดพักผ่อนชมวิวมุมสูง พร้อมทุ่งหญ้าสะวันนาไกลสุดตา ก่อนหน้านี้มี ปรากฏการณ์ “ทุ่งหญ้าฟีเวอร์” ทำเขาใหญ่แทบแตก หลังนักท่องเที่ยวแห่เช็กอินแน่น ขณะที่นักท่องเที่ยวไร้สำนึกจำนวนหนึ่งไม่สนกฎระเบียบ ลงไปเดินใน “โป่งสัตว์” ทั้งที่มีป้ายห้าม จนเกิดเป็นดราม่าให้คอมเม้นต์กันสนั่นบนโลกโซเชียล ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในช่วงต้นฤดูฝนของบ้านเรา สำหรับวิวทิวทัศน์ของ “ทุ่งหญ้าเขาใหญ่” หรือ “ทุ่งหญ้าคาที่เขาใหญ่” ซึ่งหลังสายฝนโปรยสายท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่หลาย ๆ จุดในพื้นที่ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” จะเติบโตเขียวขจี ก่อนจะออกดอกสีขาวโพลน ยามต้องสายลมจะโบกพลิ้วไสวดูโรแมนติก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปถ่ายรูปจุดเช็กอินกันเป็นจำนวนมาก 5. น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น ตั้งอยู่ใน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝั่งจังหวัดนครนายก จากความสูงในแต่ละชั้นที่ไม่ต่ำกว่า 50 เมตรนั้น ก็พอจะดูออกว่าความสูงโดยรวมของน้ำตกแห่งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 150 เมตรอย่างแน่นอน ส่วนที่มาของชื่อ น้ำตกเหวนรก มาจากลักษณะของมวลน้ำมหาศาลที่ตกลงมาจากผาสูงปรี๊ด ซ่อนตัวอยู่ในหุบเหว ดูลึกลับซับซ้อน และหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนอยากเข้าไปชมความงามของน้ำตกแห่ง การเดินทางเพื่อเข้าไปชม น้ำตกเหวนรก ในปัจจุบันนั้นสะดวกขึ้นมาก เพราะถ้าเป็นสมัยก่อน ทุกคนจะต้องใช้เวลาเดินเท้าเพื่อเข้าไปยังตัวน้ำตกถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่หลังจากที่มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่ พวกเราก็สามารถขับรถไปจอดใกล้ตัวน้ำตกได้มากขึ้น เพียงเดินจากลานจอดรถไปแค่ 1 กิโลเมตรก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว และนี่ก็เป็นสิ่งที่นักเที่ยวพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดและน่ามาชมให้เห็นกับตา🥰 เพื่อนๆท่านใดอยากให้เพจ เทพชวนเที่ยว หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ใดมานำเสนอ คอมเม้นไว้ได้เลย ทีมงานจะจัดมาให้อีก อย่าลืมกดไลค์กดแชร์ กันด้วยนะจ๊ะ! ขอบคุณคร้าบ😍 #อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ #ผาเดียวดาย #น้ำตกเหวสุวัต #น้ำตกเหวนรก #ทุ่งหญ้าเขาใหญ่
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • Like
    1
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • Like
    1
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
More Stories