• สุนทรพจน์ ชี้ชะตาโลก : Sondhitalk EP275 VDO

    ถอดรหัสสุนทรพจน์ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ปณิธานและความมุ่งหมายของคนเป็นผู้นำ

    #sondhitalk #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Sondhi #สีจิ้นผิง #ผู้นำจีน #จีนพัฒนา

    ThaiTimes คือแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ช่วยให้คุณ:
    - แพลตฟอร์มที่ไม่โดนปิดกั้น
    - แชร์รูปภาพและวิดีโอ
    - ติดตามข่าวสารล่าสุดจากคนที่คุณติดตาม
    แอป Thaitimes มีให้ Download ได้แล้วทั้งใน iOS และใน android
    iOS : https://apps.apple.com/th/app/thaitimes-social/id6502225132
    Google Play :https://play.google.com/store/apps/details...
    และ https://thaitimes.co
    สุนทรพจน์ ชี้ชะตาโลก : Sondhitalk EP275 VDO ถอดรหัสสุนทรพจน์ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ปณิธานและความมุ่งหมายของคนเป็นผู้นำ #sondhitalk #สนธิลิ้มทองกุล #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Sondhi #สีจิ้นผิง #ผู้นำจีน #จีนพัฒนา ThaiTimes คือแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ช่วยให้คุณ: - แพลตฟอร์มที่ไม่โดนปิดกั้น - แชร์รูปภาพและวิดีโอ - ติดตามข่าวสารล่าสุดจากคนที่คุณติดตาม แอป Thaitimes มีให้ Download ได้แล้วทั้งใน iOS และใน android iOS : https://apps.apple.com/th/app/thaitimes-social/id6502225132 Google Play :https://play.google.com/store/apps/details... และ https://thaitimes.co
    Like
    Love
    20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2359 มุมมอง 151 0 รีวิว
  • 5//68

    การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

    เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้

    แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย

    สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง

    ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร

    การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้

    และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด

    เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW)
    สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน

    UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า

    ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง***

    1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที

    2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต

    3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน

    4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน***

    ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น

    แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา***

    #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง###

    ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น***

    ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว

    ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป

    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง***

    เดชา นฤนารท .

    4/1/68 11.25 น.
    5//68 การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้ และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW) สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง*** 1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที 2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต 3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน 4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน*** ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา*** #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง### ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น*** ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง*** เดชา นฤนารท . 4/1/68 11.25 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เขียน #เปลือยธารินทร์ ถึงรู้สึกเห็นใจจีนมาก ในช่วงถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องยึดเกาะฮ่องกงคืนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997(2540)ปีที่แล้ว ที่เขาโดนสื่อมวลชนต่างประเทศโจมตีมาตลอดว่า เมื่อจีนเข้ามาครองฮ่องกงแล้ว ฮ่องกงจะตกต่ำ ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีใครย้อนประวัติศาสตร์ดูว่า ผู้นำจีนเขาคิดอย่างไรกับการที่ชาติเขาต้องรอถึง 99 ปี กว่าจะได้มีสิทธิกลับเข้ามายังดินแดนที่พวกคนอังกฤษ ที่ส่วนใหญ่ใช้มันสมองของพวกสะพานควาย(OX-BRIDGE) หรือพวก OX-FORD- CAMBRIDGE มาปล้นเขาไป
    https://youtu.be/LAMk4_0tKdE
    ผู้เขียน #เปลือยธารินทร์ ถึงรู้สึกเห็นใจจีนมาก ในช่วงถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องยึดเกาะฮ่องกงคืนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997(2540)ปีที่แล้ว ที่เขาโดนสื่อมวลชนต่างประเทศโจมตีมาตลอดว่า เมื่อจีนเข้ามาครองฮ่องกงแล้ว ฮ่องกงจะตกต่ำ ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีใครย้อนประวัติศาสตร์ดูว่า ผู้นำจีนเขาคิดอย่างไรกับการที่ชาติเขาต้องรอถึง 99 ปี กว่าจะได้มีสิทธิกลับเข้ามายังดินแดนที่พวกคนอังกฤษ ที่ส่วนใหญ่ใช้มันสมองของพวกสะพานควาย(OX-BRIDGE) หรือพวก OX-FORD- CAMBRIDGE มาปล้นเขาไป https://youtu.be/LAMk4_0tKdE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • "No one can ever sever the bond of kinship between us"
    "สี จิ้นผิง" ปราศรัยปีใหม่ ประกาศไม่มีใครขวางการรวมชาติจีนได้

    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้กล่าวปราศรัย โดยประกาศว่า ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการรวมชาติของจีนได้

    "เราชาวจีนทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีใครสามารถตัดขาดสายสัมพันธ์ฉันญาติมิตรระหว่างเราได้" ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวปราศรัยส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

    นอกจากนี้ ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนจะดำเนินนโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพในระยะยาวในฮ่องกงและมาเก๊า
    "No one can ever sever the bond of kinship between us" "สี จิ้นผิง" ปราศรัยปีใหม่ ประกาศไม่มีใครขวางการรวมชาติจีนได้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้กล่าวปราศรัย โดยประกาศว่า ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการรวมชาติของจีนได้ "เราชาวจีนทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีใครสามารถตัดขาดสายสัมพันธ์ฉันญาติมิตรระหว่างเราได้" ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวปราศรัยส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นอกจากนี้ ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนจะดำเนินนโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพในระยะยาวในฮ่องกงและมาเก๊า
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกผ่านไปยังประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ว่าควรเตรียมพร้อมสำหรับทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการยุติสงครามในยูเครนที่ลากยาวมานานเกือบ 3 ปี
    .
    "ต้องทำข้อตกลง" ทรัมป์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว ณ สโมสรมาร์อาลาโกของเขา ในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมบอกต่อว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินและเซเลนกสกี เกี่ยวกับการนำพาสงครามในยูเครนไปสู่จุดจบ และบอกว่าเขารู้สึกเป็นทุกข์กับภาพแห่งการสังหารหมู่จากความขัดแย้งนี้ "มันต้องหยุดลง"
    .
    ทรัมป์ ไม่ได้ตอบตรงๆ เมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่ายูเครนควรยอมสละดินแดนให้รัสเซีย ส่วนหนึ่งในเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงคราม โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้บอกแต่เพียงว่าดินแดนส่วนใหญ่ในความขัดแย้ง เหลือแต่ซากปรักหักพังและมันจะต้องใช้เวลาในการบูรณะฟื้นูนานกว่า 1 ศตวรรษ "ที่ผมหมายถึงคือ เมืองต่างๆ ไม่เหลืออาคารยืนตระหง่านอีกแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ถูกทำลายล้าง"
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่าเขาได้เห็นภาพถ่ายในสมรภูมิรบที่มีศพเกลื่อนไปหมด ซึ่งมันทำให้เขาย้อนนึกถึงภาพถ่ายอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองอเมริการะหว่างปี 1861-1865
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยบอกว่าเขาอยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เขาบอกกับนิตยสารไทม์ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าตนเอง "มีแผนที่ดีมากๆ" ที่จะช่วยให้ความขัดแย้งยุติลง แต่หากเขาเผยแพร่มันในตอนนี้ "มันจะกลายเป็นแผนที่เกือบจะไร้ค่า"
    .
    ท่าทีของทรัมป์ต่อสงครามในยูเครน มีขึ้นในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเดียวกัน ว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนหน้า ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มตีตัวออกห่างจากผู้นำยูเครน
    .
    ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนที่แล้ว จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ณ พิธี ซึ่งจะจัดขึ้นที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
    .
    ในวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ทรัมป์ จัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง และระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะเชิญเซเลนสกี ร่วมพิธีสาบานตนหรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า "ไม่ ผมไม่ได้เชิญเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาอยากมา ผมก็อยากมีเขาอยู่ร่วมด้วย"
    .
    ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนรายงานว่า ทรัมป์ ได้เชิญ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนด้วย ทั้งนี้มีข่าวว่ามีการเชื้อเชิญตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ไม่นานหลังจาก ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สี จะตอบรับคำเชิญหรือไม่
    .
    กระนั้นก็ตาม สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่า ในเบื้องต้นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯพร้อมด้วยคู่สมรส คาดหมายว่าจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ ในแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120828
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกผ่านไปยังประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ว่าควรเตรียมพร้อมสำหรับทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการยุติสงครามในยูเครนที่ลากยาวมานานเกือบ 3 ปี . "ต้องทำข้อตกลง" ทรัมป์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว ณ สโมสรมาร์อาลาโกของเขา ในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมบอกต่อว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินและเซเลนกสกี เกี่ยวกับการนำพาสงครามในยูเครนไปสู่จุดจบ และบอกว่าเขารู้สึกเป็นทุกข์กับภาพแห่งการสังหารหมู่จากความขัดแย้งนี้ "มันต้องหยุดลง" . ทรัมป์ ไม่ได้ตอบตรงๆ เมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่ายูเครนควรยอมสละดินแดนให้รัสเซีย ส่วนหนึ่งในเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงคราม โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้บอกแต่เพียงว่าดินแดนส่วนใหญ่ในความขัดแย้ง เหลือแต่ซากปรักหักพังและมันจะต้องใช้เวลาในการบูรณะฟื้นูนานกว่า 1 ศตวรรษ "ที่ผมหมายถึงคือ เมืองต่างๆ ไม่เหลืออาคารยืนตระหง่านอีกแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ถูกทำลายล้าง" . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่าเขาได้เห็นภาพถ่ายในสมรภูมิรบที่มีศพเกลื่อนไปหมด ซึ่งมันทำให้เขาย้อนนึกถึงภาพถ่ายอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองอเมริการะหว่างปี 1861-1865 . ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยบอกว่าเขาอยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เขาบอกกับนิตยสารไทม์ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าตนเอง "มีแผนที่ดีมากๆ" ที่จะช่วยให้ความขัดแย้งยุติลง แต่หากเขาเผยแพร่มันในตอนนี้ "มันจะกลายเป็นแผนที่เกือบจะไร้ค่า" . ท่าทีของทรัมป์ต่อสงครามในยูเครน มีขึ้นในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเดียวกัน ว่าประธานาธิบดีเซเลนสกี จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในเดือนหน้า ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มตีตัวออกห่างจากผู้นำยูเครน . ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนที่แล้ว จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ณ พิธี ซึ่งจะจัดขึ้นที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. . ในวันจันทร์ (16 ธ.ค.) ทรัมป์ จัดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง และระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะเชิญเซเลนสกี ร่วมพิธีสาบานตนหรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า "ไม่ ผมไม่ได้เชิญเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาอยากมา ผมก็อยากมีเขาอยู่ร่วมด้วย" . ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนรายงานว่า ทรัมป์ ได้เชิญ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เข้าร่วมพิธีสาบานตนด้วย ทั้งนี้มีข่าวว่ามีการเชื้อเชิญตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ไม่นานหลังจาก ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ชัดเจนว่า สี จะตอบรับคำเชิญหรือไม่ . กระนั้นก็ตาม สำนักข่าวซีบีเอสรายงานว่า ในเบื้องต้นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯพร้อมด้วยคู่สมรส คาดหมายว่าจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ ในแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120828 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 695 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนปฏิเสธคำเชิญของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ในการเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เนื่องจากไม่มีผู้นำจีนคนใดเคยเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาก่อน ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการตัดสินใจของสีจิ้นผิงอาจได้รับอิทธิพลจากความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น และจากลักษณะที่ไม่ธรรมดาของผู้นำต่างชาติที่เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของสหรัฐฯ นอกจากนี้ คำเชิญดังกล่าวยังเกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียดเป็นพิเศษ โดยทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวของทรัมป์อาจถือเป็นความพยายามเปิดการเจรจากับฝ่ายตรงข้าม แต่การปฏิเสธของสีจิ้นผิงอาจตอกย้ำถึงความซับซ้อนที่ยังคงมีอยู่ในความสัมพันธ์ทวิภาคี
    รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนปฏิเสธคำเชิญของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ในการเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เนื่องจากไม่มีผู้นำจีนคนใดเคยเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาก่อน ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการตัดสินใจของสีจิ้นผิงอาจได้รับอิทธิพลจากความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น และจากลักษณะที่ไม่ธรรมดาของผู้นำต่างชาติที่เข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของสหรัฐฯ นอกจากนี้ คำเชิญดังกล่าวยังเกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียดเป็นพิเศษ โดยทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวของทรัมป์อาจถือเป็นความพยายามเปิดการเจรจากับฝ่ายตรงข้าม แต่การปฏิเสธของสีจิ้นผิงอาจตอกย้ำถึงความซับซ้อนที่ยังคงมีอยู่ในความสัมพันธ์ทวิภาคี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทเปกล่าวหาจีนขยายการซ้อมรบรอบไต้หวันในเวลานี้ เพื่อขีด “เส้นแดง” ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยว เป็นการต้อนรับว่าที่ประธานาธิบดีใหม่ของอเมริกา พร้อมตราหน้าปักกิ่งเป็น “ตัวก่อปัญหา” ขณะที่จีนฟาดกลับ บอก “คนนอก” และ “พวกแบ่งแยกดินแดน” กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพช่องแคบไต้หวัน ย้ำพร้อมทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
    .
    ไต้หวันกำลังเร่งออกมากล่าวหาว่า จีนกำลังซ้อมรบทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีการจำลองสถานการณ์ทั้งการโจมตีเรือต่างชาติเพื่อไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาแทรกแซง และการปิดเส้นทางเดินเรือรอบเกาะไต้หวัน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันแถลงเมื่อวันพุธ (11 ธ.ค.)ว่า การที่จีนเพิ่มกิจกรรมทางทหารรอบเกาะไต้หวันเช่นนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ปักกิ่งเป็น “ตัวก่อปัญหา”
    .
    ส่วนเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านความมั่นคงแห่งชาติคนหนึ่งของไต้หวันกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ เช่นกันว่า จีนเริ่มวางแผนการซ้อมรบนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อโชว์ว่า จีนสามารถปิดล้อมไต้หวันและ “ขีดเส้นแดง” ห้ามชาติภายนอกเข้ามาล่วงล้ำแทรกแซง ก่อนหน้าที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้นปีหน้า
    .
    เจ้าหน้าที่อาวุโสไต้หวันผู้นี้อธิบายว่า ในการซ้อมรบคราวนี้ เรือของกองทัพจีนได้ฝึกซ้อมจำลองการโจมตีเรือต่างชาติที่จะรุกล้ำเข้ามา ขณะที่เรือหน่วยยามฝั่งฝึกการสกัดเรือสินค้า และขัดขวางและปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้นี้สำทับว่า จีนยังได้ร่วมซ้อมรบกับรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    ไทเประบุว่า การซ้อมรบทางทะเลครั้งนี้ใหญ่กว่าเมื่อปี 2022 ที่ปักกิ่งตอบโต้การเยือนไต้หวันของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นการซ้อมรบใหญ่ที่สุดของจีนรอบเกาะไต้หวัน
    .
    ด้าน ชู เสี่ยวหวง นักวิเคราะห์ทางการทหารในไทเป ชี้ว่า การซ้อมรบของจีนเป็นการประกาศความพร้อมในการสู้รบอย่างแท้จริง โดยในทะเลจีนตะวันออกนั้น ดูเหมือนจีนกำลังเตรียมปฏิบัติการทางอากาศขนาดใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพเรืออเมริกา ขณะที่การเคลื่อนกองเรือขนาดใหญ่เข้ามาทางตะวันออกของไต้หวัน บ่งชี้ยุทธศาสตร์การปิดล้อมเกาะ ตัดขาดชีพจรทางเศรษฐกิจและทรัพยากรสำคัญ
    .
    กระนั้น เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งของอเมริกา กล่าวว่า เวลานี้จีนเพิ่มการเคลื่อนพลเข้ามาในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้จริงๆ แต่ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการซ้อมรบใหญ่หลายครั้งที่ผ่านมา
    .
    เห็นกันว่าการเยือนประเทศในแถบแปซิฟิกของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวันก่อนหน้านี้ ที่มีการแวะที่ฮาวายและเกาะกวมของสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องที่สร้างความเดือดดาลให้ปักกิ่งที่อ้ากรรมสิทธิ์เหนือไต้หวัน
    .
    อย่างไรก็ดี สำหรับฝ่ายปักกิ่งเองนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประกาศจากกองทัพจีนหรือสื่อของทางการปักกิ่ง เกี่ยวกับการเพิ่มกิจกรรมทางทหารอย่างคึกคัก ทั้งในทะเลจีนตะวันออก ช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ หรือมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกคราวนี้
    .
    ปกติแล้วจีนมักประกาศแจ้งล่วงหน้าเรื่องการซ้อมรบ แต่เจ้าหน้าที่ไต้หวันอธิบายว่า การที่ปักกิ่งนิ่งเงียบในครั้งนี้อาจเนื่องมาจากไม่ต้องการบดบังความสำคัญของการประชุมทบทวนผลงานทางเศรษฐกิจประจำปี ซึ่งเป็นการประชุมแบบปิดลับของพวกผู้นำจีนที่กำหนดจัดขึ้นในวันพุธ (11 )
    .
    สำหรับปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการของปักกิ่งนั้น เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวตามปกติเมื่อวันพุธว่า การก่อกวนสันติภาพและเสถียรภาพช่องแคบไต้หวันเป็นงานของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในไต้หวันที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ
    .
    เมื่อถูกถามว่า การซ้อมรบเป็นการขีดเส้นแดงก่อนที่ทรัมป์จะกลับสู่ทำเนียบขาวหรือไม่ เหมาตอบว่า ประเด็นไต้หวันถือเป็นเส้นตายในความสัมพันธ์ปักกิ่ง-วอชิงตันที่ไม่ควรก้าวล่วงอยู่แล้ว และเป็นจุดยืนอันถาวรของจีน
    .
    วันเดียวกันนั้น ทางด้าน จู เฟิ่งเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารที่เพิ่มขึ้นในระยะนี้ ได้กล่าวตอบว่า จีนจะดำเนินมาตรการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ และสำทับว่า รัฐบาลจีนเพิ่มการเฝ้าระวังแนวโน้มที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในไต้หวันกำลังสมคบคิดกับต่างชาติ
    .
    ไต้หวันระบุว่า จีนเวลานี้กำลังซ้อมรบทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยมีการระดมเรือจากองทัพเรือจำนวน 60 ลำและเรือของหน่วยยามฝั่งอีก 30 ลำ เคลื่อนเข้ามาใกล้แนว “ห่วงโซ่เกาะชั้นที่หนึ่ง” ตั้งแต่หมู่เกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ลงมาจนถึงทะเลจีนใต้
    .
    ขณะที่กระทรวงกลาโหมไต้หวัน แถลงว่า ในวันพุธได้ตรวจพบเครื่องบินจีนรอบเกาะไต้หวัน 53 ลำ เพิ่มขึ้นจาก 47 ลำเมื่อวันอังคาร
    .
    คาเรน กัว โฆษกสำนักงานประธานาธิบดีไต้หวัน แถลงว่า กิจกรรมทางทหารของจีนเป็นอุปสรรคต่อเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างโจ่งแจ้ง และปักกิ่งควรยุติการยั่วยุทั้งหมดทันที พร้อมย้ำว่า การเดินทางไปต่างประเทศของประธานาธิบดีไต้หวันเป็นธรรมเนียมปกติ และจีนไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการยั่วยุ
    .
    วันเดียวกันนั้น ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวจากฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นว่า อเมริกากำลังจับตากิจกรรมล่าสุดของจีน และรับประกันว่า จะไม่มีใครทำอะไรที่ทำให้สถานะดั้งเดิมในช่องแคบไต้หวันเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119170
    ..............
    Sondhi X
    ไทเปกล่าวหาจีนขยายการซ้อมรบรอบไต้หวันในเวลานี้ เพื่อขีด “เส้นแดง” ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยว เป็นการต้อนรับว่าที่ประธานาธิบดีใหม่ของอเมริกา พร้อมตราหน้าปักกิ่งเป็น “ตัวก่อปัญหา” ขณะที่จีนฟาดกลับ บอก “คนนอก” และ “พวกแบ่งแยกดินแดน” กำลังบ่อนทำลายเสถียรภาพช่องแคบไต้หวัน ย้ำพร้อมทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ . ไต้หวันกำลังเร่งออกมากล่าวหาว่า จีนกำลังซ้อมรบทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมีการจำลองสถานการณ์ทั้งการโจมตีเรือต่างชาติเพื่อไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาแทรกแซง และการปิดเส้นทางเดินเรือรอบเกาะไต้หวัน . กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันแถลงเมื่อวันพุธ (11 ธ.ค.)ว่า การที่จีนเพิ่มกิจกรรมทางทหารรอบเกาะไต้หวันเช่นนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ปักกิ่งเป็น “ตัวก่อปัญหา” . ส่วนเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านความมั่นคงแห่งชาติคนหนึ่งของไต้หวันกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ เช่นกันว่า จีนเริ่มวางแผนการซ้อมรบนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยมีเป้าหมายเพื่อโชว์ว่า จีนสามารถปิดล้อมไต้หวันและ “ขีดเส้นแดง” ห้ามชาติภายนอกเข้ามาล่วงล้ำแทรกแซง ก่อนหน้าที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้นปีหน้า . เจ้าหน้าที่อาวุโสไต้หวันผู้นี้อธิบายว่า ในการซ้อมรบคราวนี้ เรือของกองทัพจีนได้ฝึกซ้อมจำลองการโจมตีเรือต่างชาติที่จะรุกล้ำเข้ามา ขณะที่เรือหน่วยยามฝั่งฝึกการสกัดเรือสินค้า และขัดขวางและปิดกั้นเส้นทางเดินเรือ นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ผู้นี้สำทับว่า จีนยังได้ร่วมซ้อมรบกับรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้ว . ไทเประบุว่า การซ้อมรบทางทะเลครั้งนี้ใหญ่กว่าเมื่อปี 2022 ที่ปักกิ่งตอบโต้การเยือนไต้หวันของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น ซึ่งถือเป็นการซ้อมรบใหญ่ที่สุดของจีนรอบเกาะไต้หวัน . ด้าน ชู เสี่ยวหวง นักวิเคราะห์ทางการทหารในไทเป ชี้ว่า การซ้อมรบของจีนเป็นการประกาศความพร้อมในการสู้รบอย่างแท้จริง โดยในทะเลจีนตะวันออกนั้น ดูเหมือนจีนกำลังเตรียมปฏิบัติการทางอากาศขนาดใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพเรืออเมริกา ขณะที่การเคลื่อนกองเรือขนาดใหญ่เข้ามาทางตะวันออกของไต้หวัน บ่งชี้ยุทธศาสตร์การปิดล้อมเกาะ ตัดขาดชีพจรทางเศรษฐกิจและทรัพยากรสำคัญ . กระนั้น เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งของอเมริกา กล่าวว่า เวลานี้จีนเพิ่มการเคลื่อนพลเข้ามาในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้จริงๆ แต่ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการซ้อมรบใหญ่หลายครั้งที่ผ่านมา . เห็นกันว่าการเยือนประเทศในแถบแปซิฟิกของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวันก่อนหน้านี้ ที่มีการแวะที่ฮาวายและเกาะกวมของสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องที่สร้างความเดือดดาลให้ปักกิ่งที่อ้ากรรมสิทธิ์เหนือไต้หวัน . อย่างไรก็ดี สำหรับฝ่ายปักกิ่งเองนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประกาศจากกองทัพจีนหรือสื่อของทางการปักกิ่ง เกี่ยวกับการเพิ่มกิจกรรมทางทหารอย่างคึกคัก ทั้งในทะเลจีนตะวันออก ช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนใต้ หรือมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกคราวนี้ . ปกติแล้วจีนมักประกาศแจ้งล่วงหน้าเรื่องการซ้อมรบ แต่เจ้าหน้าที่ไต้หวันอธิบายว่า การที่ปักกิ่งนิ่งเงียบในครั้งนี้อาจเนื่องมาจากไม่ต้องการบดบังความสำคัญของการประชุมทบทวนผลงานทางเศรษฐกิจประจำปี ซึ่งเป็นการประชุมแบบปิดลับของพวกผู้นำจีนที่กำหนดจัดขึ้นในวันพุธ (11 ) . สำหรับปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการของปักกิ่งนั้น เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวตามปกติเมื่อวันพุธว่า การก่อกวนสันติภาพและเสถียรภาพช่องแคบไต้หวันเป็นงานของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในไต้หวันที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ . เมื่อถูกถามว่า การซ้อมรบเป็นการขีดเส้นแดงก่อนที่ทรัมป์จะกลับสู่ทำเนียบขาวหรือไม่ เหมาตอบว่า ประเด็นไต้หวันถือเป็นเส้นตายในความสัมพันธ์ปักกิ่ง-วอชิงตันที่ไม่ควรก้าวล่วงอยู่แล้ว และเป็นจุดยืนอันถาวรของจีน . วันเดียวกันนั้น ทางด้าน จู เฟิ่งเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารที่เพิ่มขึ้นในระยะนี้ ได้กล่าวตอบว่า จีนจะดำเนินมาตรการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ และสำทับว่า รัฐบาลจีนเพิ่มการเฝ้าระวังแนวโน้มที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในไต้หวันกำลังสมคบคิดกับต่างชาติ . ไต้หวันระบุว่า จีนเวลานี้กำลังซ้อมรบทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยมีการระดมเรือจากองทัพเรือจำนวน 60 ลำและเรือของหน่วยยามฝั่งอีก 30 ลำ เคลื่อนเข้ามาใกล้แนว “ห่วงโซ่เกาะชั้นที่หนึ่ง” ตั้งแต่หมู่เกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ลงมาจนถึงทะเลจีนใต้ . ขณะที่กระทรวงกลาโหมไต้หวัน แถลงว่า ในวันพุธได้ตรวจพบเครื่องบินจีนรอบเกาะไต้หวัน 53 ลำ เพิ่มขึ้นจาก 47 ลำเมื่อวันอังคาร . คาเรน กัว โฆษกสำนักงานประธานาธิบดีไต้หวัน แถลงว่า กิจกรรมทางทหารของจีนเป็นอุปสรรคต่อเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างโจ่งแจ้ง และปักกิ่งควรยุติการยั่วยุทั้งหมดทันที พร้อมย้ำว่า การเดินทางไปต่างประเทศของประธานาธิบดีไต้หวันเป็นธรรมเนียมปกติ และจีนไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการยั่วยุ . วันเดียวกันนั้น ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวจากฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นว่า อเมริกากำลังจับตากิจกรรมล่าสุดของจีน และรับประกันว่า จะไม่มีใครทำอะไรที่ทำให้สถานะดั้งเดิมในช่องแคบไต้หวันเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเอง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119170 .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 903 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇩🇪👈🇨🇳‼️ หลังจากที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำจีนอย่างรุนแรงและสอนบทเรียนเกี่ยวกับวิธีที่จีนควรปฏิบัติต่อรัสเซีย, แบร์บ็อคก็ถูกไล่ออกอย่างเย็นชาพร้อมกับนักข่าวชาวเยอรมันทุกคน‼️

    ฝ่ายจีนได้ยกเลิกการแถลงข่าวร่วมกันอย่างรวดเร็ว
    .

    🇩🇪👈🇨🇳‼️ After her harsh criticism of the Chinese leadership and lessons on how China should behave towards Russia, Baerbock was coldly thrown out with all the German journalists.‼️

    The Chinese side quickly canceled the joint press conference.
    .
    4:44 AM · Dec 4, 2024 · 446.2K Views
    https://x.com/onlydjole/status/1864063270006448623
    🇩🇪👈🇨🇳‼️ หลังจากที่เธอวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำจีนอย่างรุนแรงและสอนบทเรียนเกี่ยวกับวิธีที่จีนควรปฏิบัติต่อรัสเซีย, แบร์บ็อคก็ถูกไล่ออกอย่างเย็นชาพร้อมกับนักข่าวชาวเยอรมันทุกคน‼️ ฝ่ายจีนได้ยกเลิกการแถลงข่าวร่วมกันอย่างรวดเร็ว . 🇩🇪👈🇨🇳‼️ After her harsh criticism of the Chinese leadership and lessons on how China should behave towards Russia, Baerbock was coldly thrown out with all the German journalists.‼️ The Chinese side quickly canceled the joint press conference. . 4:44 AM · Dec 4, 2024 · 446.2K Views https://x.com/onlydjole/status/1864063270006448623
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • 30/11/67

    สงคราม 16 วัน จีนบุกโจมตีเวียดนาม เมื่อ พ.ศ.2521
    ความจริง ที่ต้องบอกต่อ...ให้ลูกหลาน ทั้งประเทศ ได้รับรู้ไว้
    หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้น
    ทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก
    ทหารเวียดนาม จึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศยึดลาว กัมพูชา และ ไทยต่อทันที ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม
    นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามเจ็บแค้นมาก ที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพ และใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบิน
    กองทัพเวียดนามขนอาวุธทุกชนิดที่มี รถถังจำนวนมาก มาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร นายพลเวียดนามประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน
    นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น คือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกประชุมด่วน และขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุก
    สหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป รัฐบาลไทย จึงได้ขอใช้อาวุธ ที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทย สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกัน ที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทย
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... ผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน)
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า.....เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด....
    หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำไทยก็ได้เข้าพบ “โจวเอินไหล” นายกรัฐมนตรีของจีน ประโยคแรก ที่โจวเอินไหล ทักทายพลเอกชาติชายคือ “เป็นไงบ้างหลานรัก” (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง)
    การเชื่อมความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศ แต่โจว เอิน ไหลไม่คิดมาก และ ยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ “เติ้ง เสี่ยวผิง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป
    เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2521 เวียดนามยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทย
    ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้
    เสนาธิการทหารของจีนประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่
    เติ้งเสี่ยวผิง ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์"
    เดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้งเสี่ยวผิง เดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันที หลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522 กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นาย รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม
    กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามรีบถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีน จีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย แต่ทหารจีนก็เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่ากัน
    เวียตนามเสียหายหนัก
    ทัพเวียตนามต้องถอยร่นถึงชานเมืองฮานอยโดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วัน จีนจึงหยุดตีเวีนตนาม และถอนทัพกลับ

    ย้อนไปนานกว่านั้น เมื่อครั้งปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาอยุธยาแตกเสียกรุงให้พม่า
    ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่า จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด
    ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่า ขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้น
    ข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่า ยังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะทหารพม่าที่มีเป็นหมื่นเป็นแสนได้เลย และ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้
    ........ ตลอดระยะเวลาเป็นร้อยๆปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากๆ ในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่น
    (ประเทศไทยมีคนจีนย้ายถิ่นฐานมาอาศัยมากที่สุดในโลก)
    นี่คือคุณูปการที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายทำเพื่อความอยู่รอดของเมืองไทย ที่คนรุ่นหลังไม่สนใจที่จะเรียนรู้
    ไม่ต้องรบ สยบด้วยการฑูตประเสริฐที่สุด

    ประเทศจีนช่วยเหลือประเทศไทย
    ด้วยความจริงใจ ไม่เคยคาดหวังค่าตอบแทนจากไทย ยกเว้นมิตรภาพ
    ประเทศไทยมีชาวจีนอพยพ
    มาอาศัยมากทีีสุดในโลก
    มากกว่า มาเลเซีย
    มากกว่า สิงคโปร์
    มากกว่า อินโดนีเซีย
    ดังนั้น ไทยจึงเปรียบเสมือนน้องของจีน

    ขอขอบพระคุณ
    ทันตแพทย์ สม สุจีรา ครับ
    ที่ท่านนำสาระดีๆมาให้อ่าน

    ถ่ายทอดโดย
    นายบัวสอน ประชามอญ

    โปรดแชร์ต่อถ้าเห็นว่ามีสาระดี
    30/11/67 สงคราม 16 วัน จีนบุกโจมตีเวียดนาม เมื่อ พ.ศ.2521 ความจริง ที่ต้องบอกต่อ...ให้ลูกหลาน ทั้งประเทศ ได้รับรู้ไว้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้น ทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก ทหารเวียดนาม จึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศยึดลาว กัมพูชา และ ไทยต่อทันที ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามเจ็บแค้นมาก ที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพ และใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบิน กองทัพเวียดนามขนอาวุธทุกชนิดที่มี รถถังจำนวนมาก มาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร นายพลเวียดนามประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น คือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกประชุมด่วน และขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุก สหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป รัฐบาลไทย จึงได้ขอใช้อาวุธ ที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทย สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกัน ที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... ผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า.....เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด.... หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำไทยก็ได้เข้าพบ “โจวเอินไหล” นายกรัฐมนตรีของจีน ประโยคแรก ที่โจวเอินไหล ทักทายพลเอกชาติชายคือ “เป็นไงบ้างหลานรัก” (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง) การเชื่อมความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศ แต่โจว เอิน ไหลไม่คิดมาก และ ยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ “เติ้ง เสี่ยวผิง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2521 เวียดนามยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทย ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้ เสนาธิการทหารของจีนประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่ เติ้งเสี่ยวผิง ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์" เดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้งเสี่ยวผิง เดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันที หลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522 กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นาย รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามรีบถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีน จีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย แต่ทหารจีนก็เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่ากัน เวียตนามเสียหายหนัก ทัพเวียตนามต้องถอยร่นถึงชานเมืองฮานอยโดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วัน จีนจึงหยุดตีเวีนตนาม และถอนทัพกลับ ย้อนไปนานกว่านั้น เมื่อครั้งปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาอยุธยาแตกเสียกรุงให้พม่า ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่า จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่า ขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้น ข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่า ยังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะทหารพม่าที่มีเป็นหมื่นเป็นแสนได้เลย และ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้ ........ ตลอดระยะเวลาเป็นร้อยๆปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากๆ ในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่น (ประเทศไทยมีคนจีนย้ายถิ่นฐานมาอาศัยมากที่สุดในโลก) นี่คือคุณูปการที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายทำเพื่อความอยู่รอดของเมืองไทย ที่คนรุ่นหลังไม่สนใจที่จะเรียนรู้ ไม่ต้องรบ สยบด้วยการฑูตประเสริฐที่สุด ประเทศจีนช่วยเหลือประเทศไทย ด้วยความจริงใจ ไม่เคยคาดหวังค่าตอบแทนจากไทย ยกเว้นมิตรภาพ ประเทศไทยมีชาวจีนอพยพ มาอาศัยมากทีีสุดในโลก มากกว่า มาเลเซีย มากกว่า สิงคโปร์ มากกว่า อินโดนีเซีย ดังนั้น ไทยจึงเปรียบเสมือนน้องของจีน ขอขอบพระคุณ ทันตแพทย์ สม สุจีรา ครับ ที่ท่านนำสาระดีๆมาให้อ่าน ถ่ายทอดโดย นายบัวสอน ประชามอญ โปรดแชร์ต่อถ้าเห็นว่ามีสาระดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำหลายประเทศเดินทางมาถึงกรุงริโอเดจาเนโร เมืองหลวงของบราซิลเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20

    ภาพขณะผู้นำจีน สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีมาครง แห่งฝรั่งเศส โมดี นายรัฐมนตรีอินเดีย และผู้นำโลกคนอื่นๆ ขณะเดินทางมาถึงกรุงริโอ
    ผู้นำหลายประเทศเดินทางมาถึงกรุงริโอเดจาเนโร เมืองหลวงของบราซิลเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ภาพขณะผู้นำจีน สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีมาครง แห่งฝรั่งเศส โมดี นายรัฐมนตรีอินเดีย และผู้นำโลกคนอื่นๆ ขณะเดินทางมาถึงกรุงริโอ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ผู้นำจีน สี จิ้นผิง กล่าวในการประชุมกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่เมืองลิมาว่า จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๐๒๕:
    .
    Chinese leader Xi Jinping said at a meeting in Lima with US President Joe Biden that China is ready to work with the new administration of US President-elect Donald Trump who will assume the office on January 20, 2025:
    https://tass.com/world/1873531
    .
    7:51 AM · Nov 17, 2024 · 3,337 Views
    https://x.com/tassagency_en/status/1857949576247783505
    ผู้นำจีน สี จิ้นผิง กล่าวในการประชุมกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่เมืองลิมาว่า จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๐๒๕: . Chinese leader Xi Jinping said at a meeting in Lima with US President Joe Biden that China is ready to work with the new administration of US President-elect Donald Trump who will assume the office on January 20, 2025: https://tass.com/world/1873531 . 7:51 AM · Nov 17, 2024 · 3,337 Views https://x.com/tassagency_en/status/1857949576247783505
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ บนพื้นฐานของความเคารพกันและกัน จากคำยืนยันของกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา แต่พวกนักยุทธศสตร์เตือนว่าปักกิ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเจ็บปวดจากการถูกมหาอำนาจคู่อริแห่งนี้เล่นงานในประเด็นการค้า เทคโนโลยีและความมั่นคง
    .
    "นโยบายของเราที่มีต่อสหรัฐฯ มีความคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนแปลง" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวันในกรุงปักกิ่ง เมื่อถูกถามว่าการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ จะส่งผลประทบอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
    .
    "เราจะยังคงมองและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สอดคล้องกับหลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และร่วมมือกันแบบที่เป็นฝ่ายชนะทั้งคู่(วิน-วิน)" เธอกล่าว
    .
    อย่างไรก็ตามพวกนักยุทธศาสตร์จีน คาดหมายว่าปักกิ่งอาจต้องเจอกับวาทกรรมที่เผ็ดร้อนมากกว่าเดิมและเป็นไปได้ว่าจะโดนมาตรการรีดภาษีที่หนักหน่วงจากทรัมป์ แม้บางส่วนเชื่อว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ที่ค่อนข้างจะโน้มเอียงไปทางลัทธิโดดเดี่ยว (Isolationism) อาจเปิดช่องว่างให้ปักกิ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเช่นกัน
    .
    "ปักกิ่งคาดหมายว่าการชิงชัยจะเป็นไปอย่างคู่คี่สูสีในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ และแม้ชัยชนะของทรัมป์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จีนชื่นชอบและก่อความกังวลต่างๆนานา แต่มันก็ไม่ได้ผิดคาดไปโดยสิ้นเชิง" ถง จ้าว เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ( CEIP ) ให้ความเห็น
    .
    "มีความเป็นไปได้ว่าผู้นำจีนจะมุ่งมั่นคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่อบอุ่นและจริงใจกับทรัมป์ แต่ขณะเดียวกันก็จะพยายามอย่างเข้มข้นในความพยายามฉายภาพพลานุภาพและความเข้มแข็งของจีน" เขากล่าว
    .
    ต้า เหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคงและยุทธศาตร์ระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง บอกว่า "ชัยชนะของทรัมป์ อาจก่อความท้าทายค่อนข้างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อ้างอิงจากนโยบายต่างๆที่เขาเสนอระหว่างการหาเสียง และการกระทำต่างๆนานาของเขาครั้งที่ดำรงตำแหน่งสมัยก่อน"
    .
    "สืบเนื่องจากทรัมป์ เป็นคนคาดเดาได้ยากมากๆ ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีน ที่จะบอกได้ว่ามีแผนอย่างเต็มขึ้นสำหรับรับมือเมื่อ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ นอกจากนี้แล้วมันยังขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของทรัมป์จะนำนโยบายใดบ้างมาใช้" เขากล่าว
    .
    ทรัมป์ เคยเสนอรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเกินกว่า 60% และยุติสถานะของจีน ในด้านชาติที่ได้รับอนุเคราะห์สูงสุดทางการค้า(most-favoured-nation trading status) ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มของสงครามการค้าที่อาจโหมกระพืออีกรอบ อาจก่อแรงสั่นสะเทือนความเป็นผู้นำของจีน
    .
    จีน ขายสินค้าให้แก่สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และขายส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่อเมริกาซื้อจากประเทศอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าอีกหลานแสนล้านดอลลาร์เช่นกัน
    .
    "ปักกิ่งมีความกังวลโดยเฉพาะเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการคืนชีพสงครามการค้าภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้จีนกำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ" จ้าวกล่าว
    .
    "จีนคาดหมายเช่นกันว่า ทรัมป์ จะเร่งรัดแยกตัวห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯและจีน ความเคลื่อนไหวที่อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศ" เขาระบุ
    .
    "ในการตอบโต้ มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะยกระดับผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจและเทคโนโนโลยีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจรู้สึกเหมือนถึงกดดันให้ต้องยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆอย่างเช่นรัสเซีย ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107153
    ..............
    Sondhi X
    จีนจะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ บนพื้นฐานของความเคารพกันและกัน จากคำยืนยันของกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา แต่พวกนักยุทธศสตร์เตือนว่าปักกิ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเจ็บปวดจากการถูกมหาอำนาจคู่อริแห่งนี้เล่นงานในประเด็นการค้า เทคโนโลยีและความมั่นคง . "นโยบายของเราที่มีต่อสหรัฐฯ มีความคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนแปลง" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวันในกรุงปักกิ่ง เมื่อถูกถามว่าการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ จะส่งผลประทบอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ . "เราจะยังคงมองและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สอดคล้องกับหลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และร่วมมือกันแบบที่เป็นฝ่ายชนะทั้งคู่(วิน-วิน)" เธอกล่าว . อย่างไรก็ตามพวกนักยุทธศาสตร์จีน คาดหมายว่าปักกิ่งอาจต้องเจอกับวาทกรรมที่เผ็ดร้อนมากกว่าเดิมและเป็นไปได้ว่าจะโดนมาตรการรีดภาษีที่หนักหน่วงจากทรัมป์ แม้บางส่วนเชื่อว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ที่ค่อนข้างจะโน้มเอียงไปทางลัทธิโดดเดี่ยว (Isolationism) อาจเปิดช่องว่างให้ปักกิ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเช่นกัน . "ปักกิ่งคาดหมายว่าการชิงชัยจะเป็นไปอย่างคู่คี่สูสีในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ และแม้ชัยชนะของทรัมป์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จีนชื่นชอบและก่อความกังวลต่างๆนานา แต่มันก็ไม่ได้ผิดคาดไปโดยสิ้นเชิง" ถง จ้าว เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ( CEIP ) ให้ความเห็น . "มีความเป็นไปได้ว่าผู้นำจีนจะมุ่งมั่นคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่อบอุ่นและจริงใจกับทรัมป์ แต่ขณะเดียวกันก็จะพยายามอย่างเข้มข้นในความพยายามฉายภาพพลานุภาพและความเข้มแข็งของจีน" เขากล่าว . ต้า เหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคงและยุทธศาตร์ระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง บอกว่า "ชัยชนะของทรัมป์ อาจก่อความท้าทายค่อนข้างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อ้างอิงจากนโยบายต่างๆที่เขาเสนอระหว่างการหาเสียง และการกระทำต่างๆนานาของเขาครั้งที่ดำรงตำแหน่งสมัยก่อน" . "สืบเนื่องจากทรัมป์ เป็นคนคาดเดาได้ยากมากๆ ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีน ที่จะบอกได้ว่ามีแผนอย่างเต็มขึ้นสำหรับรับมือเมื่อ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ นอกจากนี้แล้วมันยังขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของทรัมป์จะนำนโยบายใดบ้างมาใช้" เขากล่าว . ทรัมป์ เคยเสนอรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเกินกว่า 60% และยุติสถานะของจีน ในด้านชาติที่ได้รับอนุเคราะห์สูงสุดทางการค้า(most-favoured-nation trading status) ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มของสงครามการค้าที่อาจโหมกระพืออีกรอบ อาจก่อแรงสั่นสะเทือนความเป็นผู้นำของจีน . จีน ขายสินค้าให้แก่สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และขายส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่อเมริกาซื้อจากประเทศอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าอีกหลานแสนล้านดอลลาร์เช่นกัน . "ปักกิ่งมีความกังวลโดยเฉพาะเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการคืนชีพสงครามการค้าภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้จีนกำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ" จ้าวกล่าว . "จีนคาดหมายเช่นกันว่า ทรัมป์ จะเร่งรัดแยกตัวห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯและจีน ความเคลื่อนไหวที่อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศ" เขาระบุ . "ในการตอบโต้ มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะยกระดับผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจและเทคโนโนโลยีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจรู้สึกเหมือนถึงกดดันให้ต้องยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆอย่างเช่นรัสเซีย ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107153 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1606 มุมมอง 1 รีวิว
  • ปฏิญญา BRICS นับหนึ่งระเบียบโลกหลายขั้ว
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ขึ้น โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นเจ้าภาพ กลุ่ม BRICS กำลังสร้างระเบียบโลกใหม่ขึ้นอีกระบบหนึ่งที่มีขั้วอำนาจหลายขั้ว ที่นำโดย 5 ประเทศก่อตั้ง คือ จีน รัสเซีย แอฟริกาใต้ บราซิล และ อินเดีย กับสมาชิกถาวรอีก 4 ประเทศ คือ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ เอธิโอเปีย ได้จับมือรวมกลุ่มกับประเทศซีกโลกใต้ ที่เขาเรียกว่า Global South ที่เป็นประเทศพันธมิตรหุ้นส่วนอีก 13 ประเทศ มีแอลจีเรีย เบราลุส โบลิเวีย คิวบา อินโดนีเซีย คาซัคสถาน มาเลเซีย ไนจีเรีย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกินสถาน เวียดนาม และ ประเทศไทย
    .
    ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส นายเอ็มมานูเอล ทอดด์ ได้เรียกการประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ 16 นี้ว่าเป็นชัยชนะของรัสเซีย และเป็นความพ่ายแพ้ย่อยยับของตะวันตก ซึ่งขณะนี้ก็ยังดื้อด้าน ไม่ยอมรับ และแสดงอำนาจบาตรใหญ่ คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของประเทศที่แสดงความปรารถนาจะใกล้ชิดกับรัสเซีย
    .
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน พูดถึงระเบียบโลกใหม่ที่BRICS สร้างเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มความร่วมมือที่หลากหลายในหลายมิติ ไม่ใช่การแสวงหาประโยชน์หรือบูรณาการเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ ให้ความสำคัญ Global South โลกใต้ที่เป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน,BRICS Peaceใช้กลไกสันติภาพยุติสงครามความขัดแย้ง,นวัตกรรมของBRICS Innovationเพื่ออนาคตเปิดพรมแดนใหม่ๆเพื่อมนุษยชาติ,Green BRICS ซึ่งจีนเป็นเจ้าโลกเทคโนโลยีสีเขียวและรถไฟฟ้าตอบโจทย์แก้โลกร้อน Climate Change และประเด็น Justices&Humanity BRICSที่ผู้นำจีนเสนอควรต้องให้แต้มต่อประเทศยากจนถึงจะเป็นธรรม
    .
    การประชุมสุดยอดของผู้นำ BRICS ปิดฉากลงด้วยการรับรองปฏิญญาคาซาน 2024 ซึ่งเป็นคำประกาศแถลงการณ์ร่วมของสมาชิก BRICS โดยมีแผนที่จะยื่นเอกสารดังกล่าวต่อสหประชาชาติด้วย เนื้อหาระบุไว้4หัวข้อหลัก
    .
    หนึ่ง-ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลกเช่นองค์การการค้าโลก คัดค้านมาตรการฝ่ายเดียวที่เลือกปฏิบัติและการคุ้มครองทางการค้า รวมทั้งเสนอให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ ให้เป็นตัวแทนประเทศทั่วโลกมากขึ้น
    .
    สอง-โครงการของ BRICS ริเริ่มใหม่ (BRICS Initiative) ด้านศักยภาพเทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัลและเปลี่ยนแปลงเพิ่มบทบาทธนาคารพัฒนาแห่งใหม่ (NDB)ของBRICS แทนธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟที่ล้มเหลวต่อการพัฒนาประเทศ Global South รวมถึงการทำแพลตฟอร์มใหม่ๆพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบชำระเงินระหว่างประเทศ BRICS ClearแทนระบบSWIFTของตะวันตก และร่วมมือการพัฒนายารักษาโรครวมทั้งวัคซีนและโครงการ เวชศาสตร์นิวเคลียร์
    .
    สาม-การขยายความร่วมมือของ BRICS โดยการใช้สกุลเงินท้องถิ่นประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS+ และพันธมิตรทางการค้า ดำเนินยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
    .
    สี่-วิกฤตการณ์โลกที่ BRICS ต่อต้าน ประณามการใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติ คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธ รวมถึงปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติและข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจาเท่านั้น
    .
    ทั้งหมดนี้ จีน รัสเซีย ในฐานะแกนนำมหาอำนาจขั้วโลกใหม่ จะเป็นผู้นำวางกฎระเบียบโลกใหม่ และได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงยุทธศาสตร์เชิงภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงสภาพการขับเคี่ยวกันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างเศรษฐกิจกลุ่ม Global North และ Global South สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการนับหนึ่งที่กำลังจะสั่นสะเทือนอนาคตของระเบียบโลกเก่า
    ปฏิญญา BRICS นับหนึ่งระเบียบโลกหลายขั้ว . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย มีการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ขึ้น โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นเจ้าภาพ กลุ่ม BRICS กำลังสร้างระเบียบโลกใหม่ขึ้นอีกระบบหนึ่งที่มีขั้วอำนาจหลายขั้ว ที่นำโดย 5 ประเทศก่อตั้ง คือ จีน รัสเซีย แอฟริกาใต้ บราซิล และ อินเดีย กับสมาชิกถาวรอีก 4 ประเทศ คือ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ เอธิโอเปีย ได้จับมือรวมกลุ่มกับประเทศซีกโลกใต้ ที่เขาเรียกว่า Global South ที่เป็นประเทศพันธมิตรหุ้นส่วนอีก 13 ประเทศ มีแอลจีเรีย เบราลุส โบลิเวีย คิวบา อินโดนีเซีย คาซัคสถาน มาเลเซีย ไนจีเรีย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกินสถาน เวียดนาม และ ประเทศไทย . ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส นายเอ็มมานูเอล ทอดด์ ได้เรียกการประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ 16 นี้ว่าเป็นชัยชนะของรัสเซีย และเป็นความพ่ายแพ้ย่อยยับของตะวันตก ซึ่งขณะนี้ก็ยังดื้อด้าน ไม่ยอมรับ และแสดงอำนาจบาตรใหญ่ คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของประเทศที่แสดงความปรารถนาจะใกล้ชิดกับรัสเซีย . ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน พูดถึงระเบียบโลกใหม่ที่BRICS สร้างเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มความร่วมมือที่หลากหลายในหลายมิติ ไม่ใช่การแสวงหาประโยชน์หรือบูรณาการเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ ให้ความสำคัญ Global South โลกใต้ที่เป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน,BRICS Peaceใช้กลไกสันติภาพยุติสงครามความขัดแย้ง,นวัตกรรมของBRICS Innovationเพื่ออนาคตเปิดพรมแดนใหม่ๆเพื่อมนุษยชาติ,Green BRICS ซึ่งจีนเป็นเจ้าโลกเทคโนโลยีสีเขียวและรถไฟฟ้าตอบโจทย์แก้โลกร้อน Climate Change และประเด็น Justices&Humanity BRICSที่ผู้นำจีนเสนอควรต้องให้แต้มต่อประเทศยากจนถึงจะเป็นธรรม . การประชุมสุดยอดของผู้นำ BRICS ปิดฉากลงด้วยการรับรองปฏิญญาคาซาน 2024 ซึ่งเป็นคำประกาศแถลงการณ์ร่วมของสมาชิก BRICS โดยมีแผนที่จะยื่นเอกสารดังกล่าวต่อสหประชาชาติด้วย เนื้อหาระบุไว้4หัวข้อหลัก . หนึ่ง-ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลกเช่นองค์การการค้าโลก คัดค้านมาตรการฝ่ายเดียวที่เลือกปฏิบัติและการคุ้มครองทางการค้า รวมทั้งเสนอให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ ให้เป็นตัวแทนประเทศทั่วโลกมากขึ้น . สอง-โครงการของ BRICS ริเริ่มใหม่ (BRICS Initiative) ด้านศักยภาพเทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัลและเปลี่ยนแปลงเพิ่มบทบาทธนาคารพัฒนาแห่งใหม่ (NDB)ของBRICS แทนธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟที่ล้มเหลวต่อการพัฒนาประเทศ Global South รวมถึงการทำแพลตฟอร์มใหม่ๆพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบชำระเงินระหว่างประเทศ BRICS ClearแทนระบบSWIFTของตะวันตก และร่วมมือการพัฒนายารักษาโรครวมทั้งวัคซีนและโครงการ เวชศาสตร์นิวเคลียร์ . สาม-การขยายความร่วมมือของ BRICS โดยการใช้สกุลเงินท้องถิ่นประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS+ และพันธมิตรทางการค้า ดำเนินยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ . สี่-วิกฤตการณ์โลกที่ BRICS ต่อต้าน ประณามการใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติ คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธ รวมถึงปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติและข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจาเท่านั้น . ทั้งหมดนี้ จีน รัสเซีย ในฐานะแกนนำมหาอำนาจขั้วโลกใหม่ จะเป็นผู้นำวางกฎระเบียบโลกใหม่ และได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงยุทธศาสตร์เชิงภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงสภาพการขับเคี่ยวกันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างเศรษฐกิจกลุ่ม Global North และ Global South สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการนับหนึ่งที่กำลังจะสั่นสะเทือนอนาคตของระเบียบโลกเก่า
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1002 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สี จิ้นผิง" พบ "ปูติน" ในการประชุมสุดยอดผู้นำ ซัมมิต BRICS ครั้งที่ 16 ที่เมืองโบราณ คาซานของรัสเซีย

    โกลบอลไทมส์สื่อของทางการจีนรายงานว่า ระหว่างพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมผู้นำชาติกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถานของรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) นั้น

    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนได้กล่าวยกย่องการก่อตั้งกลไกความร่วมมือบริกส์ ซึ่งมีชาติทั้งสองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ว่า จีนและรัสเซียได้พบหนทางที่ถูกต้องแล้วในการอยู่ร่วมกันระหว่างชาติใหญ่ๆ ในลักษณะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่มีการเผชิญหน้า และไม่มีการล็อกเป้าหมายใดๆ ทั้งสิ้นกับฝ่ายที่สาม

    ผู้นำจีนระบุว่า กลไกความร่วมมือบริกส์ถือเป็นกำลังหลักในการส่งเสริมโลกที่มีหลายขั้วอำนาจอย่างเท่าเทียมกันและเป็นระเบียบ ตลอดจนส่งเสริมการสร้างโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์อย่างครอบคลุมทั่วโลก

    นอกจากนั้น สี จิ้นผิงยังกล่าวด้วยว่า ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียเดินมาไกลและบุกเบิกสร้างความสำเร็จมาด้วยกันหลายประการ

    ด้านรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ สี จิ้นผิงได้กล่าวกับผู้นำรัสเซียว่า ขณะนี้โลกกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบหนึ่งร้อยปี สถานการณ์ระหว่างประเทศพัวพันกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย “แต่ผมเชื่อมั่นหนักแน่นว่า มิตรภาพระหว่างจีนกับรัสเซียจะดำเนินต่อไปหลายชั่วอายุคน และชาติที่ยิ่งใหญ่จะมีความรับผิดชอบต่อประชาชนของตนอย่างไม่เปลี่ยนแปลง”

    ขณะที่ปูตินเรียกสี จิ้นผิงว่า “เพื่อนรัก” และกล่าวว่า ความร่วมมือรัสเซีย-จีนบนเวทีโลกเป็นปัจจัยหลักอันหนึ่งในการสร้างเสถียรภาพในโลก

    ทั้งนี้ กลุ่มบริกส์ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยคำว่า BRICS เป็นอักษรตัวแรกของชื่อชาติสมาชิกเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม จีนมองคำว่า BRICS นี้คือ “ก้อนทองคำ” (gold bricks) สำหรับจีน ซึ่งบ่งบอกถึงการมองศักยภาพและอนาคตอันสดใสของกลุ่มบริกส์ในแง่ดีนั่นเอง

    ภาพประกอบข่าว
    1ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2567 - ภาพ: ซินหัว
    2 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2567 - ภาพ : รอยเตอร์
    3 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ชมคอนเสิร์ตก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างไม่เป็นทางการระหว่างการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน รัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 - ภาพ : รอยเตอร์

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/oFBNCmDeuDCUXw9G/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    "สี จิ้นผิง" พบ "ปูติน" ในการประชุมสุดยอดผู้นำ ซัมมิต BRICS ครั้งที่ 16 ที่เมืองโบราณ คาซานของรัสเซีย โกลบอลไทมส์สื่อของทางการจีนรายงานว่า ระหว่างพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมผู้นำชาติกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถานของรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (22 ต.ค.) นั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนได้กล่าวยกย่องการก่อตั้งกลไกความร่วมมือบริกส์ ซึ่งมีชาติทั้งสองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ว่า จีนและรัสเซียได้พบหนทางที่ถูกต้องแล้วในการอยู่ร่วมกันระหว่างชาติใหญ่ๆ ในลักษณะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่มีการเผชิญหน้า และไม่มีการล็อกเป้าหมายใดๆ ทั้งสิ้นกับฝ่ายที่สาม ผู้นำจีนระบุว่า กลไกความร่วมมือบริกส์ถือเป็นกำลังหลักในการส่งเสริมโลกที่มีหลายขั้วอำนาจอย่างเท่าเทียมกันและเป็นระเบียบ ตลอดจนส่งเสริมการสร้างโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์อย่างครอบคลุมทั่วโลก นอกจากนั้น สี จิ้นผิงยังกล่าวด้วยว่า ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียเดินมาไกลและบุกเบิกสร้างความสำเร็จมาด้วยกันหลายประการ ด้านรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ สี จิ้นผิงได้กล่าวกับผู้นำรัสเซียว่า ขณะนี้โลกกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบหนึ่งร้อยปี สถานการณ์ระหว่างประเทศพัวพันกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย “แต่ผมเชื่อมั่นหนักแน่นว่า มิตรภาพระหว่างจีนกับรัสเซียจะดำเนินต่อไปหลายชั่วอายุคน และชาติที่ยิ่งใหญ่จะมีความรับผิดชอบต่อประชาชนของตนอย่างไม่เปลี่ยนแปลง” ขณะที่ปูตินเรียกสี จิ้นผิงว่า “เพื่อนรัก” และกล่าวว่า ความร่วมมือรัสเซีย-จีนบนเวทีโลกเป็นปัจจัยหลักอันหนึ่งในการสร้างเสถียรภาพในโลก ทั้งนี้ กลุ่มบริกส์ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยคำว่า BRICS เป็นอักษรตัวแรกของชื่อชาติสมาชิกเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม จีนมองคำว่า BRICS นี้คือ “ก้อนทองคำ” (gold bricks) สำหรับจีน ซึ่งบ่งบอกถึงการมองศักยภาพและอนาคตอันสดใสของกลุ่มบริกส์ในแง่ดีนั่นเอง ภาพประกอบข่าว 1ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2567 - ภาพ: ซินหัว 2 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 16 เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2567 - ภาพ : รอยเตอร์ 3 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ชมคอนเสิร์ตก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำอย่างไม่เป็นทางการระหว่างการประชุมสุดยอด BRICS ที่เมืองคาซาน รัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 - ภาพ : รอยเตอร์ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/oFBNCmDeuDCUXw9G/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.กมล กมลตระกูลโพสต์ประเด็น“ เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนตอนนี้คือ Luxury Shame หรือ ความน่าละอายของชีวิตหรู

    กล่าวคือ ผู้คนรู้สึกกันว่าการใช้สินค้าแบรนด์เนมนั้นคือสิ่งน่าอาย ยิ่งถือกระเป๋าหรือแต่งตัวด้วยสินค้าหรู ใช้รถราคาแพงเท่าไร ก็ยิ่งน่าละอายเท่านั้น

    สื่ออเมริกันบอกว่า เทรนด์นี้เกิดขึ้นเพราะผู้นำจีนคือ ท่านสี จิ้นผิง และรัฐบาลจีน ได้ออกมารณรงค์ให้ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆของจีน รวมทั้งธนาคารใหญ่ๆในฮ่องกง ให้เลิกสวมเสื้อผ้าและนาฬิกาหรู ให้งดการเลี้ยงสังสรรค์ทางธุรกิจในสถานที่หรูหราจัดงาน และลดโบนัสก้อนโต

    คนจีนที่มีสตางค์ในเวลานี้นิยมแต่งตัวที่มีรสนิยมหรูเรียบๆ มากกว่าแต่งตัวแบบเรียกร้องความสนใจ

    ก็คือยังใช้ของแพงหรือแบรนด์เนมอยู่ตามฐานะ แต่ไม่ใช่รุ่นที่แพงระยับสะกดสายตาผู้คน

    โดยผู้นำจีนได้ทำตัวให้เป็นตัวอย่างด้วย

    บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่อวดและขายสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาแพงเว่อร์ ก็ถูกทางการจีนสกัดดาวรุ่งไปแล้ว

    ศัพท์ที่เขาใช้เรียกอินฟลูแบรนด์เนมเหล่านี้คือ Wealth Fluanting ครับ มีความหมายว่า ”พวกอวดรวยให้คนอิจฉา“

    จิตวิทยาของสินค้าหรูหราราคาแพง คือ เป็นสินค้าที่ผู้ใช้ต้องการแสดงตัวในสังคมว่าเป็นคนมีฐานะดี มีชื่อเสียงหรือประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากสังคมมองว่าสินค้านั้นคือความน่าอาย ต้องการแสดงความแตกต่าง ความสูงส่ง เหนือผู้คนในสังคม คนที่เคยซื้อเขาก็เลิกซื้อ เพราะซื้อไปก็ไม่ได้อวดใคร

    แถมยังอาจตกเป็นเป้าสายตาของทางการอีก ด้วย ดีไม่ดีอาจจะถูกตรวจสอบที่มาของเงินการจ่ายภาษีย้อนหลังอีกด้วย

    เทรนด์ในจีนตอนนี้ก็คือ ”Quiet Luxury“ หรือ “หรูหราแบบเงียบ ” ครับ

    สื่ออเมริกันเขาบอกว่า จีนได้ใช้นโยบายนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของฐานะในสังคม ฟังดูแล้วผมก็ว่าดีนะ เพราะขนาดสื่ออเมริกันที่ปกติจะเหน็บจีนยังบอกว่า คนจีนนั้นฉลาดในการใช้เงินมากขึ้นเยอะ

    ...แชร์ มาเล่าสู่กันฟังครับ…”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/D5Lvch3RTrXrH6K9/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ดร.กมล กมลตระกูลโพสต์ประเด็น“ เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนตอนนี้คือ Luxury Shame หรือ ความน่าละอายของชีวิตหรู กล่าวคือ ผู้คนรู้สึกกันว่าการใช้สินค้าแบรนด์เนมนั้นคือสิ่งน่าอาย ยิ่งถือกระเป๋าหรือแต่งตัวด้วยสินค้าหรู ใช้รถราคาแพงเท่าไร ก็ยิ่งน่าละอายเท่านั้น สื่ออเมริกันบอกว่า เทรนด์นี้เกิดขึ้นเพราะผู้นำจีนคือ ท่านสี จิ้นผิง และรัฐบาลจีน ได้ออกมารณรงค์ให้ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆของจีน รวมทั้งธนาคารใหญ่ๆในฮ่องกง ให้เลิกสวมเสื้อผ้าและนาฬิกาหรู ให้งดการเลี้ยงสังสรรค์ทางธุรกิจในสถานที่หรูหราจัดงาน และลดโบนัสก้อนโต คนจีนที่มีสตางค์ในเวลานี้นิยมแต่งตัวที่มีรสนิยมหรูเรียบๆ มากกว่าแต่งตัวแบบเรียกร้องความสนใจ ก็คือยังใช้ของแพงหรือแบรนด์เนมอยู่ตามฐานะ แต่ไม่ใช่รุ่นที่แพงระยับสะกดสายตาผู้คน โดยผู้นำจีนได้ทำตัวให้เป็นตัวอย่างด้วย บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่อวดและขายสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาแพงเว่อร์ ก็ถูกทางการจีนสกัดดาวรุ่งไปแล้ว ศัพท์ที่เขาใช้เรียกอินฟลูแบรนด์เนมเหล่านี้คือ Wealth Fluanting ครับ มีความหมายว่า ”พวกอวดรวยให้คนอิจฉา“ จิตวิทยาของสินค้าหรูหราราคาแพง คือ เป็นสินค้าที่ผู้ใช้ต้องการแสดงตัวในสังคมว่าเป็นคนมีฐานะดี มีชื่อเสียงหรือประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากสังคมมองว่าสินค้านั้นคือความน่าอาย ต้องการแสดงความแตกต่าง ความสูงส่ง เหนือผู้คนในสังคม คนที่เคยซื้อเขาก็เลิกซื้อ เพราะซื้อไปก็ไม่ได้อวดใคร แถมยังอาจตกเป็นเป้าสายตาของทางการอีก ด้วย ดีไม่ดีอาจจะถูกตรวจสอบที่มาของเงินการจ่ายภาษีย้อนหลังอีกด้วย เทรนด์ในจีนตอนนี้ก็คือ ”Quiet Luxury“ หรือ “หรูหราแบบเงียบ ” ครับ สื่ออเมริกันเขาบอกว่า จีนได้ใช้นโยบายนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของฐานะในสังคม ฟังดูแล้วผมก็ว่าดีนะ เพราะขนาดสื่ออเมริกันที่ปกติจะเหน็บจีนยังบอกว่า คนจีนนั้นฉลาดในการใช้เงินมากขึ้นเยอะ ...แชร์ มาเล่าสู่กันฟังครับ…” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/D5Lvch3RTrXrH6K9/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียและจีนจัดการเจรจาด้านกลาโหมอย่างจริงจัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในขณะที่ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรแบบ "ไร้ขีดจำกัด" และร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ที่พยายามขยายอิทธิพลในเอเชีย
    .
    "อังเดรย์ เบลูซอฟ" รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียพบหารือกับ "จาง โหย่วเสีย" รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและจีนมีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์เหล่านี้
    .
    กระทรวงกลาโหมจีนกล่าวหลังการประชุมว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการขยายความสัมพันธ์ทางทหารและรักษาการติดต่อในระดับสูง
    .
    การเยือนจีนของเบลูซอฟเกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น หลังจากได้จัดการซ้อมรบที่เป็นการเตือนต่อ "การแบ่งแยกดินแดน"
    .
    จีนและรัสเซียประกาศพันธมิตร "ไร้ขีดจำกัด" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เยือนจีน ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนครั้งใหญ่ จนนำไปสู่สงครามที่รุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
    .
    ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ปูตินและสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ให้คำมั่นว่าจะสร้าง "ยุคใหม่" ของความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศ โดยมองว่าสหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกที่ก้าวร้าวและสร้างความวุ่นวายไปทั่วโลก
    .
    เบลูซอฟกล่าวเสริมว่า ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะกระชับ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" และเขามั่นใจว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตจะนำไปสู่การตัดสินใจที่สำคัญและเป็นประโยชน์
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียยังประกาศว่า จะยืนเคียงข้างจีนในประเด็นต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงการวิพากษ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการขยายอิทธิพลและสร้างความตึงเครียดรอบไต้หวัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100035
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียและจีนจัดการเจรจาด้านกลาโหมอย่างจริงจัง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในขณะที่ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรแบบ "ไร้ขีดจำกัด" และร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ที่พยายามขยายอิทธิพลในเอเชีย . "อังเดรย์ เบลูซอฟ" รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียพบหารือกับ "จาง โหย่วเสีย" รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียและจีนมีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อรับมือสถานการณ์เหล่านี้ . กระทรวงกลาโหมจีนกล่าวหลังการประชุมว่า ทั้งสองฝ่ายต้องการขยายความสัมพันธ์ทางทหารและรักษาการติดต่อในระดับสูง . การเยือนจีนของเบลูซอฟเกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมหากจำเป็น หลังจากได้จัดการซ้อมรบที่เป็นการเตือนต่อ "การแบ่งแยกดินแดน" . จีนและรัสเซียประกาศพันธมิตร "ไร้ขีดจำกัด" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เยือนจีน ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนครั้งใหญ่ จนนำไปสู่สงครามที่รุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง . ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ปูตินและสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ให้คำมั่นว่าจะสร้าง "ยุคใหม่" ของความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศ โดยมองว่าสหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกที่ก้าวร้าวและสร้างความวุ่นวายไปทั่วโลก . เบลูซอฟกล่าวเสริมว่า ผู้นำทั้งสองประเทศได้ตกลงที่จะกระชับ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" และเขามั่นใจว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตจะนำไปสู่การตัดสินใจที่สำคัญและเป็นประโยชน์ . เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียยังประกาศว่า จะยืนเคียงข้างจีนในประเด็นต่างๆ ในเอเชีย รวมถึงการวิพากษ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการขยายอิทธิพลและสร้างความตึงเครียดรอบไต้หวัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000100035 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1359 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวจะปวด!! : [News story]

    นายกฯ “อุ๊งอิ๊ง” พลาด โพสต์ ตำแหน่งผู้นำจีน ผิด!!..
    หัวจะปวด!! : [News story] นายกฯ “อุ๊งอิ๊ง” พลาด โพสต์ ตำแหน่งผู้นำจีน ผิด!!..
    Haha
    Sad
    Like
    Wow
    Yay
    Angry
    25
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1540 มุมมอง 661 0 รีวิว
  • อย่างนี้มันเสียชื่อประเทศไทยไหม!!
    แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ X เขียนตำแหน่งผู้นำจีนผิดพลาดอย่างแรงว่า
    “ในระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ ดิฉันได้มีโอกาสพบกับท่าน
    ประธานาธิบดีหลี่เฉียงของจีน และได้แสดงความยินดีที่ไทยและจีนจะเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีหน้า เป็นโอกาสที่จะยิ่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน และ กิจกรรมอีกมากมาย ไทยและจีนเป็นมิตรที่ใกล้ชิด และมีความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความมั่นคง และความมั่งคั่งของภูมิภาค

    During the ASEAN Summits in Vientiane, I had the opportunity to meet with President Li Qiang of China and looked forward to our celebration of the 50th anniversary of the establishment of Thai-China diplomatic relations…“

    นายกฯอุ๊งอิ้งค์เขียนโดยขาดการศึกษาความรู้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนมาสิบปีจนถึงปัจจุบันคือ สี จิ้นผิง ขณะที่นายหลี่ เฉียง เป็นนายกรัฐมนตรีจีน ที่นายกฯฟันน้ำนมไทยจับมือด้วยดังในภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชน

    โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง..
    “President”คือประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
    ”Prime Minister “คือ นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง

    #Thaitimes
    อย่างนี้มันเสียชื่อประเทศไทยไหม!! แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ X เขียนตำแหน่งผู้นำจีนผิดพลาดอย่างแรงว่า “ในระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เวียงจันทน์ ดิฉันได้มีโอกาสพบกับท่าน ประธานาธิบดีหลี่เฉียงของจีน และได้แสดงความยินดีที่ไทยและจีนจะเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีหน้า เป็นโอกาสที่จะยิ่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน และ กิจกรรมอีกมากมาย ไทยและจีนเป็นมิตรที่ใกล้ชิด และมีความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความมั่นคง และความมั่งคั่งของภูมิภาค During the ASEAN Summits in Vientiane, I had the opportunity to meet with President Li Qiang of China and looked forward to our celebration of the 50th anniversary of the establishment of Thai-China diplomatic relations…“ นายกฯอุ๊งอิ้งค์เขียนโดยขาดการศึกษาความรู้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนมาสิบปีจนถึงปัจจุบันคือ สี จิ้นผิง ขณะที่นายหลี่ เฉียง เป็นนายกรัฐมนตรีจีน ที่นายกฯฟันน้ำนมไทยจับมือด้วยดังในภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชน โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง.. “President”คือประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ”Prime Minister “คือ นายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 861 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ระบุว่า…

    หากเราดูการพบกันของนายกรัฐมนตรีของไทย กับ ประธานาธิบดีของอิหร่านที่เกิดขึ้นวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา เราจะพบ “ความประหลาด”

    ตรงที่นายกฯ ไทย พยายามพูดและอ่านข้อความ “ภาษาอังกฤษ” ในแท็บเล็ตตลอดทั้งการพบปะหารือ แต่ประธานาธิบดีอิหร่านกลับ “ไม่พูดภาษาอังกฤษ” แม้แต่คำเดียว

    ทั้งนี้เวลาที่เป็นเวทีสากล มีผู้นำประเทศหลากหลายชาติเข้าร่วม เขามักจะเลือกใช้ภาษากลางๆ เช่น ภาษาอังกฤษเป็นตัวสื่อสาร เพื่อจะไม่ได้ไม่ต้องแปลข้ามกันไปมาหลายชาติ

    แต่เวลาไปเจรจาหรือพบปะ หารือระหว่าง 2 ชาติ/ทวิภาคี (bilateral) การใช้ภาษาของตนและให้มีล่ามแปล เป็นข้อควรปฏิบัติที่ควรยึดถือ

    เช่น เมื่อผู้นำไทยจะคุยกับผู้นำอิหร่าน ก็คือเรื่องของ “ไทย-อิหร่าน” ภาษาที่ใช้คือ ภาษาไทยและภาษาเปอร์เซีย ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับที่ผู้นำจีนกับรัสเซียสนทนากัน ก็จะใช้ภาษาของตนและมีล่ามแปลให้

    การทำเช่นนี้คือ การแสดงถึง “ความเคารพ เกียรติ และศักดิ์ศรีของสองชาติ” ที่ไม่จำเป็นต้องมีภาษาของประเทศที่สาม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเข้ามา (ส่วนในช่วงส่วนตัว/หลังไมค์ เขาจะคุยกันด้วยภาษาอะไร ก็ว่ากันไป)

    ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็คือ

    – ผู้นำไทย ใช้ภาษาไทย มีล่ามแปลอิหร่าน
    – ผู้นำอิหร่าน ใช้ภาษาอิหร่าน/เปอร์เซีย มีล่ามแปลไทย (ซึ่งฝั่งอิหร่านเขาทำแบบนี้อยู่แล้ว)

    การพยายามคุยภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาของชาติ “ศัตรูคู่อาฆาต” ที่รบกับอิหร่านตลอดให้ผู้นำอิหร่านฟัง ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นความประทับใจอะไรให้เขาเลย กลับกันเขาน่าจะมองตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ…

    #Thaitimes
    ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ระบุว่า… หากเราดูการพบกันของนายกรัฐมนตรีของไทย กับ ประธานาธิบดีของอิหร่านที่เกิดขึ้นวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา เราจะพบ “ความประหลาด” ตรงที่นายกฯ ไทย พยายามพูดและอ่านข้อความ “ภาษาอังกฤษ” ในแท็บเล็ตตลอดทั้งการพบปะหารือ แต่ประธานาธิบดีอิหร่านกลับ “ไม่พูดภาษาอังกฤษ” แม้แต่คำเดียว ทั้งนี้เวลาที่เป็นเวทีสากล มีผู้นำประเทศหลากหลายชาติเข้าร่วม เขามักจะเลือกใช้ภาษากลางๆ เช่น ภาษาอังกฤษเป็นตัวสื่อสาร เพื่อจะไม่ได้ไม่ต้องแปลข้ามกันไปมาหลายชาติ แต่เวลาไปเจรจาหรือพบปะ หารือระหว่าง 2 ชาติ/ทวิภาคี (bilateral) การใช้ภาษาของตนและให้มีล่ามแปล เป็นข้อควรปฏิบัติที่ควรยึดถือ เช่น เมื่อผู้นำไทยจะคุยกับผู้นำอิหร่าน ก็คือเรื่องของ “ไทย-อิหร่าน” ภาษาที่ใช้คือ ภาษาไทยและภาษาเปอร์เซีย ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับที่ผู้นำจีนกับรัสเซียสนทนากัน ก็จะใช้ภาษาของตนและมีล่ามแปลให้ การทำเช่นนี้คือ การแสดงถึง “ความเคารพ เกียรติ และศักดิ์ศรีของสองชาติ” ที่ไม่จำเป็นต้องมีภาษาของประเทศที่สาม ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเข้ามา (ส่วนในช่วงส่วนตัว/หลังไมค์ เขาจะคุยกันด้วยภาษาอะไร ก็ว่ากันไป) ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็คือ – ผู้นำไทย ใช้ภาษาไทย มีล่ามแปลอิหร่าน – ผู้นำอิหร่าน ใช้ภาษาอิหร่าน/เปอร์เซีย มีล่ามแปลไทย (ซึ่งฝั่งอิหร่านเขาทำแบบนี้อยู่แล้ว) การพยายามคุยภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาของชาติ “ศัตรูคู่อาฆาต” ที่รบกับอิหร่านตลอดให้ผู้นำอิหร่านฟัง ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นความประทับใจอะไรให้เขาเลย กลับกันเขาน่าจะมองตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ… #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 742 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567

    “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan”

    เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น...

    และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

    คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!”

    นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย...

    ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!!

    ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน...

    ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่”

    อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป...

    อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้...

    ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!”

    ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567 “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น... และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!” นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย... ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน... ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป... อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้... ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!” ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    สมรภูมิใหม่...ในแนวรบทะเลจีนใต้???
    เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปแวะดู “แนวรบทะเลจีนใต้” เป็นการเฉพาะ เพราะสำหรับแนวรบอีก 2 แนวคือยุโรปตะวันออกกับตะวันออกกลางนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึกอะไรกันมาก ด้วยเหตุเพราะโดยสภาพ
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 942 มุมมอง 0 รีวิว