• พลังแห่งเต๋า

    เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง
    เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม"

    ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้

    เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之)
    หมายความไฉน

    สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น
    แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น

    สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ

    สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน

    กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา

    คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้

    คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม”

    คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ

    ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้

    ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน

    เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม

    พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    พลังแห่งเต๋า เหลาจื่อกล่าวว่า เต๋าไร้รูปลักษณ์ ดูอ่อนด้อย เสมือนว่าไร้พลัง หากแต่โคจรสรรพสิ่ง เต๋าทำได้อย่างไร นั่นเพราะเต๋ามีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คุณธรรม" ในบทที่ ๕๑ ได้เขียนไว้อย่างนี้ เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การหล่อเลี้ยง (道生之 德畜之) หมายความไฉน สรรพสิ่งในใต้หล้าจะต้องประกอบด้วยสองคุณลักษณะ คุณลักษณะหนึ่งคือแก่น อีกคุณลักษณะหนึ่งคืออานุภาพ แก่นคือประธาน อานุภาพคือพลังที่แสดงออกแห่งประธานนั้น แก่นคือส่วนใน อานุภาพคือส่วนนอก แก่นคือหลักของอานุภาพ อานุภาพคือการแสดงออกของแก่น ไร้แก่นมิอาจมีอานุภาพ ไร้อานุภาพก็มิอาจเห็นซึ่งประโยชน์ของแก่น แก่นและอานุภาพเป็นสองสิ่งในสิ่งเดียว แยกจากกันไม่ได้ อยู่อย่างเป็นเอกเทศก็ไม่ได้ สองสิ่งจะเอื้อซึ่งกันและกัน และกระทบซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำคือแก่น การใส่น้ำคืออานุภาพของแก้ว ดินคือแก่น การให้ผลผลิต การเก็บกักน้ำ การสร้างอาคารบ้านอาศัยคืออานุภาพของดิน ไฟคือแก่น แสงที่เกิดจากไฟคืออานุภาพ เป็นต้น สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปเช่นนี้ ทุกสิ่งเกิดมาจะต้องมีอานุภาพ มีประโยชน์ ต่อให้เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในสายตาของชาวโลก สุดท้ายก็ย่อมจะต้องมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในวงจรแห่งธรรมชาติอยู่ดี นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแก่นและอานุภาพ สรรพสิ่งที่มีความสัมพันธ์ของแก่นและอานุภาพเป็นฉันใด เต๋าที่เป็นเอกแห่งสากล เป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง ก็ย่อมเป็นฉันนั้นดุจเดียวกัน กล่าวคือ เต๋าเป็นแก่น คุณธรรมเป็นอานุภาพแห่งเต๋า เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง เป็นหลักของสรรพสิ่ง ส่วนคุณธรรมก็ทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เติบใหญ่ บำรุงสรรพสิ่งให้มีชีวิตชีวา คุณธรรมคืออานุภาพแห่งเต๋า เต๋าเป็นแก่นแห่งคุณธรรม คุณธรรมนั้นไร้รูปลักษณ์ คือพลานุภาพที่แสดงออกแห่งเต๋า เป็นพลังที่บำรุงสรรพสิ่ง ผลักดันสิ่งเลวร้ายให้มลาย เป็นพลังที่จับต้องได้ยาก แต่จะแสดงออกให้เราเห็นในรูปของความกตัญญู ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ ความสุจริตยุติธรรม และอื่นๆ อีกมากมายสุดที่จะพรรณนาสิ้น ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเต๋า จึงพึงบำเพ็ญคุณธรรมทั้งปวงให้ถึงพร้อม ปฏิบัติคุณธรรมทั้งปวงให้สมบูรณ์ เช่นนี้จึงจะเข้าถึงเต๋าได้ คุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋ามีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ผู้คนไม่รู้จักพลังที่คอยหนุนนำสรรพสิ่งในโลกหล้านี้ เหลาจื่อจึงเรียกพลังที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้ว่า “คุณธรรม” คุณธรรมทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงสรรพสิ่ง หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง เป็นพลังที่มิอาจจับต้องมองเห็น หากแต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง มีขุนนางผู้มีใจอาจหาญท่านหนึ่งนามว่า “เหวินเทียนเสียง (文天祥)” ก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังแห่งคุณธรรมนี้ ในสมัยนั้น เหวินเทียนเสียงเป็นขุนนางตงฉินที่ถูกขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานานถึงห้าปี หลายคนมิอาจทนอยู่กับสภาพอันโหดร้ายภายในคุกจนเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นจำนวนมาก สาเหตุเพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับพลังร้ายในคุกใต้ดินถึงเจ็ดอย่าง เหวินเทียนเสียงเรียกพลังทั้งเจ็ดนี้ว่าเจ็ดพิษร้าย ประกอบด้วยพิษน้ำ (水氣) พิษดิน (土氣) พิษแดด (日氣) พิษไฟ (火氣) พิษข้าว (米氣) พิษไคล (人氣) พิษโสโครก (穢氣) ทุกคนต่างมิอาจทนอยู่กับสภาพของพิษร้ายทั้งเจ็ดนี้ได้ หากจะมีเหวินเทียนเสียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถหยัดยืนมั่นคงในท่ามกลางพิษทั้งเจ็ดนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เหวินเทียนเสียงสันนิษฐานว่าต้องมีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่คอยทานพิษทั้งเจ็ดนี้ไว้ ท่านไม่รู้ว่าพลังในท่ามกลางฟ้าดินนี้คือสิ่งใด จึงเรียกพลังนี้ว่าเจิ้งชี่ (正氣) หรือก็คือพลังเที่ยงธรรม เรียกสั้นๆ ว่าพลังธรรม พลังธรรมที่เหวินเทียนเสียงพบคือรูปแบบหนึ่งของพลังคุณธรรมแห่งเต๋านี้ คุณธรรมนี้เป็นพลังที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ไร้รูปไร้ลักษณ์ มีอยู่ทุกแห่งหน เป็นพลังที่ต่อต้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ยามที่จิตใจของผู้คนมีความเมตตาอันสูงส่ง มีความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ มีสัจจะวาจาที่เข้มแข็ง มีความจงรักภักดีอย่างไม่ห่วงกายา มีจิตกรุณาอารียิ่งเทียมฟ้า ยามนั้น คนผู้นี้ก็จะเป็นผู้ที่เข้าถึงเต๋า ด้วยเพราะคุณธรรมต่างๆ ที่เขาได้บำเพ็ญเพียรมา แท้ก็คือพลังคุณธรรมที่เป็นอานุภาพแห่งเต๋านี้นั่นแล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 หมดปัญหาแมลงกวนใจ พืชแข็งแรง โตไว ไร้สารตกค้าง! 🌿

    👨‍🌾 เกษตรกรยุคใหม่ต้องเลือก น้ำส้มควันไม้ ทีพีไอ ทางเลือกปลอดภัย ใช้ดี ไม่มีสารพิษ! 🛡✨

    ✔ ป้องกัน & ไล่แมลง เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น 🦗
    ✔ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์ ไม่มีสารตกค้าง ใช้ได้ทั้งพืชผักสวนครัว ผลไม้ และนาข้าว 🏡🌾
    ✔ ใช้งานง่าย แค่ผสมน้ำแล้วฉีดพ่น ประหยัดแต่ได้ผล!
    ✔ กำจัดศัตรูพืช อย่างมด ปลวก และแมลงต่าง ๆ 🐜
    ✔ ฆ่าเชื้อรา ลดการเกิดโรคพืช 🍃

    ✨ พืชงาม โตไว ทำกำไรสบายใจ ถูกใจเกษตรกร ✨

    📍 สนใจสั่งซื้อออนไลน์ คลิก https://bit.ly/3IXVnAA

    💚 ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เปลี่ยนสวนของคุณให้ไร้สารพิษตั้งแต่วันนี้!

    #น้ำส้มควันไม้TPIPL #ไล่แมลงไร้สารพิษ #เกษตรปลอดภัย #พืชงามไร้สารตกค้าง #TPIPOLENE
    🌿 หมดปัญหาแมลงกวนใจ พืชแข็งแรง โตไว ไร้สารตกค้าง! 🌿 👨‍🌾 เกษตรกรยุคใหม่ต้องเลือก น้ำส้มควันไม้ ทีพีไอ ทางเลือกปลอดภัย ใช้ดี ไม่มีสารพิษ! 🛡✨ ✔ ป้องกัน & ไล่แมลง เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น 🦗 ✔ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์ ไม่มีสารตกค้าง ใช้ได้ทั้งพืชผักสวนครัว ผลไม้ และนาข้าว 🏡🌾 ✔ ใช้งานง่าย แค่ผสมน้ำแล้วฉีดพ่น ประหยัดแต่ได้ผล! ✔ กำจัดศัตรูพืช อย่างมด ปลวก และแมลงต่าง ๆ 🐜 ✔ ฆ่าเชื้อรา ลดการเกิดโรคพืช 🍃 ✨ พืชงาม โตไว ทำกำไรสบายใจ ถูกใจเกษตรกร ✨ 📍 สนใจสั่งซื้อออนไลน์ คลิก https://bit.ly/3IXVnAA 💚 ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เปลี่ยนสวนของคุณให้ไร้สารพิษตั้งแต่วันนี้! #น้ำส้มควันไม้TPIPL #ไล่แมลงไร้สารพิษ #เกษตรปลอดภัย #พืชงามไร้สารตกค้าง #TPIPOLENE
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Larry Ellison ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Oracle ที่มีแผนใหญ่ในการรวบรวมข้อมูลของทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาไว้ในระบบเดียว รวมถึงข้อมูล DNA ของประชาชน เพื่อใช้ศึกษาและปรับปรุงการบริการสาธารณะต่าง ๆ

    Ellison เชื่อว่าการรวมข้อมูลของทั้งประเทศจะช่วยให้การบริการด้านสุขภาพดีขึ้น การบริการสังคมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถปรับปรุงได้ด้วย AI โดยเขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยศูนย์ข้อมูลควรตั้งอยู่ภายในประเทศที่มีข้อมูลนั้น ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด

    ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส Ellison ได้พูดถึงแผนนี้พร้อมกับ Tony Blair อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ โดยเสนอให้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดใส่ในฐานข้อมูลที่ AI สามารถใช้วิเคราะห์และตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ Oracle ก็พร้อมที่จะช่วยรัฐบาลในการสร้างระบบใหญ่โตนี้

    การรวมข้อมูลทั้งหมดนี้จะมีข้อดีหลายประการ เช่น การรักษาพยาบาลที่เป็นเฉพาะบุคคล การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรด้วยการวิเคราะห์ที่ดินและพืช และการป้องกันการทุจริตในบริการสังคม นอกจากนี้ Ellison ยังกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ของ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) จากความต้องการ AI ในระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/oracle-cto-wants-to-put-all-americas-data-into-one-big-system-to-study-including-dna
    Larry Ellison ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Oracle ที่มีแผนใหญ่ในการรวบรวมข้อมูลของทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาไว้ในระบบเดียว รวมถึงข้อมูล DNA ของประชาชน เพื่อใช้ศึกษาและปรับปรุงการบริการสาธารณะต่าง ๆ Ellison เชื่อว่าการรวมข้อมูลของทั้งประเทศจะช่วยให้การบริการด้านสุขภาพดีขึ้น การบริการสังคมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเกษตร และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถปรับปรุงได้ด้วย AI โดยเขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยศูนย์ข้อมูลควรตั้งอยู่ภายในประเทศที่มีข้อมูลนั้น ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด ในงาน AI Action Summit ที่ปารีส Ellison ได้พูดถึงแผนนี้พร้อมกับ Tony Blair อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ โดยเสนอให้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดใส่ในฐานข้อมูลที่ AI สามารถใช้วิเคราะห์และตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ Oracle ก็พร้อมที่จะช่วยรัฐบาลในการสร้างระบบใหญ่โตนี้ การรวมข้อมูลทั้งหมดนี้จะมีข้อดีหลายประการ เช่น การรักษาพยาบาลที่เป็นเฉพาะบุคคล การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรด้วยการวิเคราะห์ที่ดินและพืช และการป้องกันการทุจริตในบริการสังคม นอกจากนี้ Ellison ยังกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ของ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) จากความต้องการ AI ในระดับสูง https://www.techradar.com/pro/oracle-cto-wants-to-put-all-americas-data-into-one-big-system-to-study-including-dna
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌คู่หูเร่งโต 2 ขวด คุ้มทั้งสวน
    แคลเซียมโบรอน + เวก้า อะมิโนทางด่วน 28 ชนิด‼️

    1 ชุด แก้จบทุกปัญหา‼️
    📌พืชโตช้า 📌แคระแกรน 📌พืชใบเหลือง
    📌ดอกร่วง 📌ผลแตก ผลช้ำ
    📌แค่ 2 ขวดนี้ก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว ใบเขียว เร่งโต ผลดก เม็ดเต็ม เพราะระยะของพืชใช้ธาตุอาหารต่างกัน ในแต่ละช่วง

    ✨เวก้าอะมิโนทางด่วน ประกอบด้วยธาตุอาหารมากกว่า 28 ชนิด ที่พืชต้องการ
    •ป้องกันการขาดธาตุอาหาร
    •ช่วยเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้พืชแข็งแรง
    •ใบเขียว ใหญ่ ตั้ง แตกกอดี
    •ลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า60%
    •เพิ่มผลผลิตได้ถึง 3 เท่า

    ใช้ได้กับทุกชนิด เช่น ไม้กระถาง ไม้ดอกไม้ประดับ ทุเรียน ข้าว พืชไร่ พืชสวน และผักสวนครัวทุกชนิด
    ใช้ง่ายๆ ได้ทั้งทางดินและทางใบ

    อัตราการใช้ 20ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
    ใช้ทุกๆ 7-10 วันได้เลย
    1 ลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ใช้ได้ถึง 18-20ไร่

    ขออนุญาติ ฝากร้านนะคะ
    ไลน์ https://shop.line.me/@478savyo?utm_source=Seller
    ช้อปปี้ https://s.shopee.co.th/2qFQQ9s4UG
    ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.GxTJg


    📌คู่หูเร่งโต 2 ขวด คุ้มทั้งสวน แคลเซียมโบรอน + เวก้า อะมิโนทางด่วน 28 ชนิด‼️ 1 ชุด แก้จบทุกปัญหา‼️ 📌พืชโตช้า 📌แคระแกรน 📌พืชใบเหลือง 📌ดอกร่วง 📌ผลแตก ผลช้ำ 📌แค่ 2 ขวดนี้ก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว ใบเขียว เร่งโต ผลดก เม็ดเต็ม เพราะระยะของพืชใช้ธาตุอาหารต่างกัน ในแต่ละช่วง ✨เวก้าอะมิโนทางด่วน ประกอบด้วยธาตุอาหารมากกว่า 28 ชนิด ที่พืชต้องการ •ป้องกันการขาดธาตุอาหาร •ช่วยเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้พืชแข็งแรง •ใบเขียว ใหญ่ ตั้ง แตกกอดี •ลดต้นทุนการผลิตได้มากกว่า60% •เพิ่มผลผลิตได้ถึง 3 เท่า ใช้ได้กับทุกชนิด เช่น ไม้กระถาง ไม้ดอกไม้ประดับ ทุเรียน ข้าว พืชไร่ พืชสวน และผักสวนครัวทุกชนิด ใช้ง่ายๆ ได้ทั้งทางดินและทางใบ อัตราการใช้ 20ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้ทุกๆ 7-10 วันได้เลย 1 ลิตร ผสมน้ำได้ 1,000 ใช้ได้ถึง 18-20ไร่ ขออนุญาติ ฝากร้านนะคะ ไลน์ https://shop.line.me/@478savyo?utm_source=Seller ช้อปปี้ https://s.shopee.co.th/2qFQQ9s4UG ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.GxTJg
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออกซินที่มากเกินไป ทำให้ดอกและผลหลุดร่วง ⚠️ ทุเรียนสร้างอาหารไม่เพียงพอ⚠️ ส่งผลให้ไม่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา
    ✅อยากได้ทุเรียนเกรดส่งออก ขายได้ราคา ทำอย่างไร‼️ชมคลิปนี้
    เกษตรกรหลายท่านที่กำลังเข้าสู่ช่วงพัฒนาดอกและขยายผล มักพบเจอปัญหาคือออกซินที่มากเกินไปจนทำให้ดอกและผลหลุดร่วง ฮอร์โมนไซโตไคนินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากช่วยในการเลี้ยงผลทุเรียนจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หากมีฮอร์โมนออกซินมากเกินไป จะทำให้ทุเรียนแตกยอด แต่ถ้ามีออกซินน้อยเกินไปก็จะสังเคราะห์และสร้างอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เนื้อเยื่อไม่ดีหรือไม่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพขายไม่ได้ราคา ดังนั้น ไซโตไคนินจึงเป็นฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดในการขยายผลทุเรียน ไซโตไคนินนี้ได้จากกรดอาร์จีนีนในสาหร่ายดำ ซึ่งมีปริมาณไซโตไคนินสูง ยังช่วยลดการหลุดร่วงและอาการขาดอาหารในผลทุเรียน โดยยับยั้งการทำงานของกรดออกซินที่มากเกินไป
    ในช่วงที่อากาศแปรปรวน ซึ่งอาจทำให้ทุเรียนเครียด จึงต้องมีอาหารและพลังงานที่เร่งด่วนคือการเติมกรดอะมิโนเข้าไปฉีดพ่นทุก 7-10 วัน จะช่วยให้พืชใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องรอกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กรดอะมิโนนี้ เช่น อะมิโนโพลีน จะช่วยลดความเครียดของทุเรียน และทำให้ได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง ผลทุเรียนจึงไม่หลุดร่วงและขยายผลได้อย่างมั่นใจดังนั้น การใช้สาหร่ายดำเพื่อเพิ่มไซโตไคนิน และการฉีดพ่นกรดอะมิโนอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผลทุเรียน ลดการหลุดร่วง และทำให้ผลผลิตสวยงาม
    เคล็ดลับที่ชาวสวนทุเรียนมืออาชีพเกรดส่งออกเลือกใช้ เวก้า สาหร่ายอะมิโน มีสาหร่ายที่มีกรดอาจีนีนซึ่งมีปริมาณไซโตไคนินสูง ช่วยลดการหลุดร่วงและอาการขาดอาหารในผลทุเรียน มีอะมิโนที่เป็นอาหารจานด่วนสำหรับพืช
    เวก้า 2 สาหร่ายอะมิโน 1 ลิตร ใช้ได้ 18-20 ไร่
    😍ช่วยพัฒนาดอก ให้สมบูรณ์
    😍เติมอาหารให้ดอกบำรุง ให้สมบูรณ์
    😍ป้องกันการหลุดร่วง ขั้วดอกและผล
    😍ช่วยยับยั้งการทำงานของกรดออกซินที่มากเกินไป
    😍อะมิโนโพลีน จะช่วยลดความเครียดของทุเรียน และทำให้ได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง
    โปรโมชั่นวันนี้
    ✅1 ลิตร ปกติ 650.- ลดพิเศษเพียง 289.- ส่งฟรี
    ✅2 ลิตร ปกติ 1780.- ลดเหลือ 555.- ส่งฟรี
    โปรสุดคุ้ม
    ✅6 ลิตร ปกติ 3900.- ลดเหลือ 1590.- ส่งฟรี
    ✅12 ลิตร ยกลัง ปกติ 7800.- ลดเหลือ 2988.- แถมเสื้อ 1 ตัว ส่งฟรี
    เก็บเงินปลายทางไม่บวกเพิ่ม ส่งฟรีทั่วประเทศ
    ออกซินที่มากเกินไป ทำให้ดอกและผลหลุดร่วง ⚠️ ทุเรียนสร้างอาหารไม่เพียงพอ⚠️ ส่งผลให้ไม่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา ✅อยากได้ทุเรียนเกรดส่งออก ขายได้ราคา ทำอย่างไร‼️ชมคลิปนี้ เกษตรกรหลายท่านที่กำลังเข้าสู่ช่วงพัฒนาดอกและขยายผล มักพบเจอปัญหาคือออกซินที่มากเกินไปจนทำให้ดอกและผลหลุดร่วง ฮอร์โมนไซโตไคนินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากช่วยในการเลี้ยงผลทุเรียนจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หากมีฮอร์โมนออกซินมากเกินไป จะทำให้ทุเรียนแตกยอด แต่ถ้ามีออกซินน้อยเกินไปก็จะสังเคราะห์และสร้างอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เนื้อเยื่อไม่ดีหรือไม่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพขายไม่ได้ราคา ดังนั้น ไซโตไคนินจึงเป็นฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดในการขยายผลทุเรียน ไซโตไคนินนี้ได้จากกรดอาร์จีนีนในสาหร่ายดำ ซึ่งมีปริมาณไซโตไคนินสูง ยังช่วยลดการหลุดร่วงและอาการขาดอาหารในผลทุเรียน โดยยับยั้งการทำงานของกรดออกซินที่มากเกินไป ในช่วงที่อากาศแปรปรวน ซึ่งอาจทำให้ทุเรียนเครียด จึงต้องมีอาหารและพลังงานที่เร่งด่วนคือการเติมกรดอะมิโนเข้าไปฉีดพ่นทุก 7-10 วัน จะช่วยให้พืชใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องรอกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กรดอะมิโนนี้ เช่น อะมิโนโพลีน จะช่วยลดความเครียดของทุเรียน และทำให้ได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง ผลทุเรียนจึงไม่หลุดร่วงและขยายผลได้อย่างมั่นใจดังนั้น การใช้สาหร่ายดำเพื่อเพิ่มไซโตไคนิน และการฉีดพ่นกรดอะมิโนอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผลทุเรียน ลดการหลุดร่วง และทำให้ผลผลิตสวยงาม เคล็ดลับที่ชาวสวนทุเรียนมืออาชีพเกรดส่งออกเลือกใช้ เวก้า สาหร่ายอะมิโน มีสาหร่ายที่มีกรดอาจีนีนซึ่งมีปริมาณไซโตไคนินสูง ช่วยลดการหลุดร่วงและอาการขาดอาหารในผลทุเรียน มีอะมิโนที่เป็นอาหารจานด่วนสำหรับพืช เวก้า 2 สาหร่ายอะมิโน 1 ลิตร ใช้ได้ 18-20 ไร่ 😍ช่วยพัฒนาดอก ให้สมบูรณ์ 😍เติมอาหารให้ดอกบำรุง ให้สมบูรณ์ 😍ป้องกันการหลุดร่วง ขั้วดอกและผล 😍ช่วยยับยั้งการทำงานของกรดออกซินที่มากเกินไป 😍อะมิโนโพลีน จะช่วยลดความเครียดของทุเรียน และทำให้ได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง โปรโมชั่นวันนี้ ✅1 ลิตร ปกติ 650.- ลดพิเศษเพียง 289.- ส่งฟรี ✅2 ลิตร ปกติ 1780.- ลดเหลือ 555.- ส่งฟรี โปรสุดคุ้ม ✅6 ลิตร ปกติ 3900.- ลดเหลือ 1590.- ส่งฟรี ✅12 ลิตร ยกลัง ปกติ 7800.- ลดเหลือ 2988.- แถมเสื้อ 1 ตัว ส่งฟรี เก็บเงินปลายทางไม่บวกเพิ่ม ส่งฟรีทั่วประเทศ
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)**
    หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    ---

    ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา**
    - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้
    - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ

    2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)**
    - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง)

    3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์**
    - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

    ---

    ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์**
    1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง**
    - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น
    - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง

    2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ**
    - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์

    3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร**
    - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต**
    - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง

    ---

    ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก**
    1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)**
    - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI)

    2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น**
    - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม

    3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด**
    - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ

    4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร**
    - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน

    5. **มาตรการระดับสากล**
    - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม

    ---

    ### **กรณีศึกษา**
    - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว
    - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ

    ---

    **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    **การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช (Seed Monopoly)** หมายถึงการที่บริษัทหรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ควบคุมการผลิต จำหน่าย และสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์พืชจนกลายเป็นผู้กุมอำนาจหลักในตลาด ส่งผลให้เกษตรกร ผู้บริโภค และระบบนิเวศเกษตรได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง --- ### **สาเหตุของการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **สิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา** - บริษัทขนาดใหญ่เช่น **Monsanto (Bayer), Syngenta, Corteva** ใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ (GMO) หรือพันธุ์พืชปรับปรุงใหม่ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้ - เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี เนื่องจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีอายุสั้น (Terminator Seed Technology) หรือมีสัญญาผูกพันทางกฎหมายห้ามเก็บเมล็ดต่อ 2. **การรวมกิจการ (Mergers & Acquisitions)** - การควบรวมบริษัทเมล็ดพันธุ์และสารเคมีการเกษตร เช่น การซื้อ Monsanto โดย Bayer ในปี 2018 ทำให้เกิดการรวมอำนาจทั้งด้านเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่น ๆ (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง) 3. **การควบคุมสายพันธุ์เชิงพาณิชย์** - บริษัทเน้นพัฒนาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแต่ต้องใช้สารเคมีร่วมด้วย ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Monoculture) ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ --- ### **ผลกระทบจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์** 1. **เกษตรกรสูญเสียอำนาจต่อรอง** - เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในการซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี สูญเสียอิสระในการจัดการทรัพยากรพันธุ์พืชท้องถิ่น - มีคดีฟ้องร้องเกษตรกรหลายกรณีจากการละเมิดสิทธิบัตร เช่น กรณี **Percy Schmeiser** ในแคนาดาที่ถูก Monsanto ฟ้องร้อง 2. **สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ** - เมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์พื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยพันธุ์เชิงพาณิชย์ ทำให้พืชดั้งเดิมเสี่ยงสูญพันธุ์ 3. **ความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหาร** - การพึ่งพาพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. **เพิ่มต้นทุนการผลิต** - เกษตรกรต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์และซื้อสารเคมีในราคาสูง --- ### **แนวทางแก้ไขและทางเลือก** 1. **ส่งเสริมเมล็ดพันธุ์เปิด (Open Source Seeds)** - เมล็ดพันธุ์ที่อนุญาตให้เกษตรกรเก็บรักษาและแลกเปลี่ยนได้ฟรี เช่น โครงการ Open Source Seed Initiative (OSSI) 2. **อนุรักษ์และฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น** - สนับสนุนธนาคารเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเครือข่ายเกษตรกรเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชดั้งเดิม 3. **กฎหมายควบคุมการผูกขาด** - รัฐบาลต้องออกกฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ และตรวจสอบการใช้อำนาจเหนือตลาดของบริษัทข้ามชาติ 4. **สนับสนุนเกษตรอินทรีย์และวนเกษตร** - ลดการพึ่งพาเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์ด้วยระบบเกษตรที่เน้นความยั่งยืน 5. **มาตรการระดับสากล** - อนุสัญญา ITPGRFA (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture) ส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากรพันธุกรรมพืชอย่างเป็นธรรม --- ### **กรณีศึกษา** - **อินเดีย**: วิกฤตหนี้สินเกษตรกรปลูกฝ้าย Bt ของ Monsanto เนื่องจากราคาเมล็ดพันธุ์สูงและผลผลิตล้มเหลว - **เม็กซิโก**: การรุกรานของข้าวโพดจีเอ็มโอทำลายสายพันธุ์ข้าวโพดพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านบริษัทข้ามชาติ --- **สรุป**: การผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบทั้งระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม ทางออกคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลาง และปกป้องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • แมกนีเซียม กับเมล่อนสำคัญแค่ไหน และต้องระวังอะไร
    แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารรองที่มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน โดยเฉพาะในกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่ถ้าให้มากเกินไป จากการใช้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสม เช่น ปุ๋ย AB ที่ไม่สมดุลกับความต้องการของพืช อาจก่อให้เกิด พิษจากแมกนีเซียม ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนได้
    อาการของเมล่อนที่ได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป

    1. ใบเหลือง ใบแก่เริ่มเหลืองก่อน ขณะที่ใบอ่อนยังเขียวอยู่
    2. เนื้อใบตาย อาจเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำ และรุนแรงถึงขั้นใบแห้งตาย
    3. ต้นแคระแกรน การเจริญเติบโตลดลง ใบมีขนาดเล็กผิดปกติ
    4. Chlorosis ใบเหลืองจากการขาดคลอโรฟิลล์ เนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติ
    5.ใบไหม้ ปลายและขอบใบแห้งไหม้ คล้ายอาการขาดน้ำ
    6. ใบม้วนงอ ใบบิดเบี้ยวหรือม้วนผิดปกติ
    7. การออกดอกลดลง ปริมาณและขนาดของดอกลดลง ส่งผลต่อผลผลิต
    สิ่งสำคัญ อาการเหล่านี้อาจเกิดจาก ธาตุอาหารไม่สมดุล โรค หรือสภาพแวดล้อมที่เครียด ดังนั้น ควรตรวจสอบต้นเมล่อนให้แน่ชัดก่อนปรับปริมาณธาตุอาหาร
    หากสงสัยว่าเมล่อนของคุณได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการให้ปุ๋ย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Inbox นะครับ
    ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการปลูกเมล่อน
    แมกนีเซียม กับเมล่อนสำคัญแค่ไหน และต้องระวังอะไร แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารรองที่มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน โดยเฉพาะในกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่ถ้าให้มากเกินไป จากการใช้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสม เช่น ปุ๋ย AB ที่ไม่สมดุลกับความต้องการของพืช อาจก่อให้เกิด พิษจากแมกนีเซียม ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนได้ อาการของเมล่อนที่ได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป 1. ใบเหลือง ใบแก่เริ่มเหลืองก่อน ขณะที่ใบอ่อนยังเขียวอยู่ 2. เนื้อใบตาย อาจเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำ และรุนแรงถึงขั้นใบแห้งตาย 3. ต้นแคระแกรน การเจริญเติบโตลดลง ใบมีขนาดเล็กผิดปกติ 4. Chlorosis ใบเหลืองจากการขาดคลอโรฟิลล์ เนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติ 5.ใบไหม้ ปลายและขอบใบแห้งไหม้ คล้ายอาการขาดน้ำ 6. ใบม้วนงอ ใบบิดเบี้ยวหรือม้วนผิดปกติ 7. การออกดอกลดลง ปริมาณและขนาดของดอกลดลง ส่งผลต่อผลผลิต สิ่งสำคัญ อาการเหล่านี้อาจเกิดจาก ธาตุอาหารไม่สมดุล โรค หรือสภาพแวดล้อมที่เครียด ดังนั้น ควรตรวจสอบต้นเมล่อนให้แน่ชัดก่อนปรับปริมาณธาตุอาหาร หากสงสัยว่าเมล่อนของคุณได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการให้ปุ๋ย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Inbox นะครับ ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการปลูกเมล่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 🌿 #แมกนีเซียม (Mg) กับเมล่อน: สำคัญแค่ไหน และต้องระวังอะไร? 🌱
    #แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารรองที่มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน โดยเฉพาะในกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่ถ้าให้มากเกินไป จากการใช้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสม เช่น ปุ๋ย AB ที่ไม่สมดุลกับความต้องการของพืช อาจก่อให้เกิด พิษจากแมกนีเซียม ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนได้

    🍈 อาการของเมล่อนที่ได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป

    1. #ใบเหลือง 🍃 ใบแก่เริ่มเหลืองก่อน ขณะที่ใบอ่อนยังเขียวอยู่
    2. #เนื้อใบตาย ❌ อาจเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำ และรุนแรงถึงขั้นใบแห้งตาย
    3. #ต้นแคระแกรน 🌱 การเจริญเติบโตลดลง ใบมีขนาดเล็กผิดปกติ
    4. #Chlorosis 🟡 ใบเหลืองจากการขาดคลอโรฟิลล์ เนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติ
    5. #ใบไหม้ 🔥 ปลายและขอบใบแห้งไหม้ คล้ายอาการขาดน้ำ
    6. #ใบม้วนงอ 🌀 ใบบิดเบี้ยวหรือม้วนผิดปกติ
    7. #การออกดอกลดลง 🌼 ปริมาณและขนาดของดอกลดลง ส่งผลต่อผลผลิต

    📌 #สิ่งสำคัญ! อาการเหล่านี้อาจเกิดจาก ธาตุอาหารไม่สมดุล โรค หรือสภาพแวดล้อมที่เครียด ดังนั้น ควรตรวจสอบต้นเมล่อนให้แน่ชัดก่อนปรับปริมาณธาตุอาหาร

    💬 หากสงสัยว่าเมล่อนของคุณได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการให้ปุ๋ย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Inbox นะครับ! 😊✌️

    #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการปลูกเมล่อน 🍈✨
    🌿 #แมกนีเซียม (Mg) กับเมล่อน: สำคัญแค่ไหน และต้องระวังอะไร? 🌱 #แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารรองที่มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของเมล่อน โดยเฉพาะในกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่ถ้าให้มากเกินไป จากการใช้ปุ๋ยที่ไม่เหมาะสม เช่น ปุ๋ย AB ที่ไม่สมดุลกับความต้องการของพืช อาจก่อให้เกิด พิษจากแมกนีเซียม ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของต้นเมล่อนได้ 🍈 อาการของเมล่อนที่ได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป 1. #ใบเหลือง 🍃 ใบแก่เริ่มเหลืองก่อน ขณะที่ใบอ่อนยังเขียวอยู่ 2. #เนื้อใบตาย ❌ อาจเกิดจุดสีน้ำตาลหรือดำ และรุนแรงถึงขั้นใบแห้งตาย 3. #ต้นแคระแกรน 🌱 การเจริญเติบโตลดลง ใบมีขนาดเล็กผิดปกติ 4. #Chlorosis 🟡 ใบเหลืองจากการขาดคลอโรฟิลล์ เนื่องจากการดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติ 5. #ใบไหม้ 🔥 ปลายและขอบใบแห้งไหม้ คล้ายอาการขาดน้ำ 6. #ใบม้วนงอ 🌀 ใบบิดเบี้ยวหรือม้วนผิดปกติ 7. #การออกดอกลดลง 🌼 ปริมาณและขนาดของดอกลดลง ส่งผลต่อผลผลิต 📌 #สิ่งสำคัญ! อาการเหล่านี้อาจเกิดจาก ธาตุอาหารไม่สมดุล โรค หรือสภาพแวดล้อมที่เครียด ดังนั้น ควรตรวจสอบต้นเมล่อนให้แน่ชัดก่อนปรับปริมาณธาตุอาหาร 💬 หากสงสัยว่าเมล่อนของคุณได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการให้ปุ๋ย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Inbox นะครับ! 😊✌️ #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการปลูกเมล่อน 🍈✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาปิโตรนาส ปรับโครงสร้างองค์กร

    ปิโตรนาส (Petronas) บริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว กำลังจะปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการปรับลดขนาดกำลังคนที่มีกว่า 50,000 คน ซึ่งนายเต็งกู มูฮัมหมัด เตาฟิก ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามรายงานของ The Edge สื่อออนไลน์ในมาเลเซีย ยืนยันว่าไม่ใช้การเลิกจ้าง แต่เป็นการปรับลดขนาดกำลังคนเพื่อความอยู่รอดในอีกสิบปีข้างหน้า

    สำหรับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากโครงสร้างองค์กรใหม่จะประกาศใช้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งพนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ บางส่วนจะถูกเลิกจ้าง คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนฝ่ายสนับสนุน (Enablers) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหาร ที่มีอยู่ประมาณ 15,000-16,000 คน เมื่อเทียบกับกำลังคนทั่วโลกที่มีอยู่ 52,000-53,000 คน ซึ่งจะปรับขนาดของกำลังบุคลากรให้เหมาะสม

    พร้อมกันนี้ การปรับลดขนาดกำลังคนไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ยุติบทบาทผู้รวบรวมก๊าซในรัฐซาราวัก แต่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการดำเนินงาน ทั้งปัจจัยทางธรณีวิทยาที่ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นลดลง จากเดิมสูงกว่า 20% ซึ่งในอนาคตจะต้องจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนให้กับลูกค้า เช่น บลูแอมโมเนีย (Blue Ammonia) ก๊าซที่ผลิตจากไฮโดรคาร์บอน จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและคล่องตัวตอบสนองต่อพลวัตของตลาดใหม่

    ซีอีโอของปิโตรนาสยังกล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ว่า นับตั้งแต่ปิโตรนาสก่อตั้ง ได้มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติกว่า 1.5 ล้านล้านริงกิต ในรูปแบบเงินปันผล ภาษีการขายของรัฐ เงินสด ภาษีส่งออก และกองทุนมรดกแห่งชาติ ซึ่งในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ แต่ดำเนินการในฐานะบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศมาโดยตลอด และคู่แข่งก็ตัดสินใจลำบากเช่นกัน เพราะอัตรากำไรของอุตสาหกรรมและก๊าซถูกบีบลงจากเดิม 40-45% เหลือเพียง 20% ซึ่งปิโตรนาสก็ประสบปัญหาคล้ายกัน

    เพื่อที่ปิโตรนาสจะมีส่วนสนับสนุนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและขยายตัวในพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานราคาถูก ปลอดภัย และยั่งยืนมากขึ้น จึงต้องพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะคงไว้ซึ่งความเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนโดยผลผลิต นวัตกรรม ความยั่งยืน และความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้

    #Newskit
    ถึงเวลาปิโตรนาส ปรับโครงสร้างองค์กร ปิโตรนาส (Petronas) บริษัทพลังงานแห่งชาติของมาเลเซีย เพิ่งฉลองครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว กำลังจะปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการปรับลดขนาดกำลังคนที่มีกว่า 50,000 คน ซึ่งนายเต็งกู มูฮัมหมัด เตาฟิก ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ตามรายงานของ The Edge สื่อออนไลน์ในมาเลเซีย ยืนยันว่าไม่ใช้การเลิกจ้าง แต่เป็นการปรับลดขนาดกำลังคนเพื่อความอยู่รอดในอีกสิบปีข้างหน้า สำหรับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากโครงสร้างองค์กรใหม่จะประกาศใช้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งพนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่ บางส่วนจะถูกเลิกจ้าง คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนฝ่ายสนับสนุน (Enablers) ซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหาร ที่มีอยู่ประมาณ 15,000-16,000 คน เมื่อเทียบกับกำลังคนทั่วโลกที่มีอยู่ 52,000-53,000 คน ซึ่งจะปรับขนาดของกำลังบุคลากรให้เหมาะสม พร้อมกันนี้ การปรับลดขนาดกำลังคนไม่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ยุติบทบาทผู้รวบรวมก๊าซในรัฐซาราวัก แต่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมการดำเนินงาน ทั้งปัจจัยทางธรณีวิทยาที่ทำให้ส่วนแบ่งรายได้ในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นลดลง จากเดิมสูงกว่า 20% ซึ่งในอนาคตจะต้องจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนให้กับลูกค้า เช่น บลูแอมโมเนีย (Blue Ammonia) ก๊าซที่ผลิตจากไฮโดรคาร์บอน จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและคล่องตัวตอบสนองต่อพลวัตของตลาดใหม่ ซีอีโอของปิโตรนาสยังกล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ว่า นับตั้งแต่ปิโตรนาสก่อตั้ง ได้มีส่วนสนับสนุนประเทศชาติกว่า 1.5 ล้านล้านริงกิต ในรูปแบบเงินปันผล ภาษีการขายของรัฐ เงินสด ภาษีส่งออก และกองทุนมรดกแห่งชาติ ซึ่งในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติ แต่ดำเนินการในฐานะบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศมาโดยตลอด และคู่แข่งก็ตัดสินใจลำบากเช่นกัน เพราะอัตรากำไรของอุตสาหกรรมและก๊าซถูกบีบลงจากเดิม 40-45% เหลือเพียง 20% ซึ่งปิโตรนาสก็ประสบปัญหาคล้ายกัน เพื่อที่ปิโตรนาสจะมีส่วนสนับสนุนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและขยายตัวในพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานราคาถูก ปลอดภัย และยั่งยืนมากขึ้น จึงต้องพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะคงไว้ซึ่งความเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนโดยผลผลิต นวัตกรรม ความยั่งยืน และความมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตได้ #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานความสำเร็จของ Samsung ในการทดสอบการผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยกระบวนการ 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด โดยในขั้นตอนการทดสอบนี้ Samsung ได้รับผลผลิตถึง 30% ซึ่งแม้ว่าจะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่ TSMC ได้รับผลผลิตถึง 60% แต่ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดีเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ของกระบวนการ 3nm ที่ผ่านมาของ Samsung ที่มีความยากลำบาก

    เทคโนโลยี 2nm GAA (Gate All Around) ของ Samsung นี้ใช้การออกแบบขั้นสูงที่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้ถึง 12% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ 25% และลดพื้นที่ลง 5% เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี 3nm ก่อนหน้านี้

    ผลลัพธ์นี้สำคัญต่อ Samsung เนื่องจากบริษัทยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TSMC ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในด้านนี้ โดยในปัจจุบัน Samsung ต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นเพื่อรับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น Qualcomm และ MediaTek ในอนาคต

    อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือ Samsung ได้พัฒนาชิป Exynos 2600 ภายใต้โค้ดเนม "Ulysses" และคาดว่าการผลิตชิปเหล่านี้จะเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตชิปเซ็ตที่ใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Samsung

    https://wccftech.com/exynos-2600-test-production-on-samsung-2nm-technology-with-30-percent-yield/
    มีรายงานความสำเร็จของ Samsung ในการทดสอบการผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยกระบวนการ 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด โดยในขั้นตอนการทดสอบนี้ Samsung ได้รับผลผลิตถึง 30% ซึ่งแม้ว่าจะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่ TSMC ได้รับผลผลิตถึง 60% แต่ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดีเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ของกระบวนการ 3nm ที่ผ่านมาของ Samsung ที่มีความยากลำบาก เทคโนโลยี 2nm GAA (Gate All Around) ของ Samsung นี้ใช้การออกแบบขั้นสูงที่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้ถึง 12% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ 25% และลดพื้นที่ลง 5% เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี 3nm ก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์นี้สำคัญต่อ Samsung เนื่องจากบริษัทยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก TSMC ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในด้านนี้ โดยในปัจจุบัน Samsung ต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นเพื่อรับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ เช่น Qualcomm และ MediaTek ในอนาคต อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือ Samsung ได้พัฒนาชิป Exynos 2600 ภายใต้โค้ดเนม "Ulysses" และคาดว่าการผลิตชิปเหล่านี้จะเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตชิปเซ็ตที่ใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Samsung https://wccftech.com/exynos-2600-test-production-on-samsung-2nm-technology-with-30-percent-yield/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Test Production Run On Samsung’s 2nm Process Reportedly Achieves A Decent 30 Percent Yield, Half Of What TSMC Obtained, But It Is Still Healthy Progress
    A report claims that Samsung’s 2nm trial production for the Exynos 2600 obtained healthy yields, even if they are half of TSMC’s figure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล โดยพวกเขาสามารถพัฒนากระบวนการผลิตหน่วยความจำ 3D NAND Flash ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน่วยความจำประเภทนี้จะเรียงเซลล์ความจำซ้อนกันเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล

    ทีมนักวิจัยจาก Lam Research, University of Colorado Boulder และ Princeton Plasma Physics Lab ได้คิดค้นวิธีการกัดเซาะ (etching) แบบใหม่โดยใช้พลาสมาของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ วิธีการนี้สามารถเจาะช่องแนวตั้งผ่านวัสดุที่มีฐานเป็นซิลิคอนได้เร็วขึ้นถึงสองเท่า ด้วยความเร็ว 640 นาโนเมตรภายในเวลาหนึ่งนาที

    วิธีการนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเร็วในการกัดเซาะ แต่ยังค้นพบว่าการผสมสารเคมีบางชนิด เช่น ฟอสฟอรัสไตรฟลูออไรด์ ช่วยให้กระบวนการกัดเซาะเร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มน้ำเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากผลผลิตพลอยได้บางชนิดที่ทำให้กระบวนการช้าลง

    การพัฒนานี้สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยการใช้งานโปรแกรม AI ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล

    วิธีการนี้เรียกว่า "Cryo etch" โดยใช้พลาสมาของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีการก่อนหน้าที่ใช้แหล่งฟลูออรีนและไฮโดรเจนแยกกัน

    จากการวิจัยนี้เราสามารถบอกได้ว่าเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังมีการพัฒนากระบวนการผลิตใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลได้มากขึ้น นับว่าเป็นก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล

    https://www.techpowerup.com/332081/plasma-technology-doubles-etch-rate-for-3d-nand-flash-memory
    นักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล โดยพวกเขาสามารถพัฒนากระบวนการผลิตหน่วยความจำ 3D NAND Flash ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน่วยความจำประเภทนี้จะเรียงเซลล์ความจำซ้อนกันเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล ทีมนักวิจัยจาก Lam Research, University of Colorado Boulder และ Princeton Plasma Physics Lab ได้คิดค้นวิธีการกัดเซาะ (etching) แบบใหม่โดยใช้พลาสมาของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ วิธีการนี้สามารถเจาะช่องแนวตั้งผ่านวัสดุที่มีฐานเป็นซิลิคอนได้เร็วขึ้นถึงสองเท่า ด้วยความเร็ว 640 นาโนเมตรภายในเวลาหนึ่งนาที วิธีการนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเร็วในการกัดเซาะ แต่ยังค้นพบว่าการผสมสารเคมีบางชนิด เช่น ฟอสฟอรัสไตรฟลูออไรด์ ช่วยให้กระบวนการกัดเซาะเร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มน้ำเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากผลผลิตพลอยได้บางชนิดที่ทำให้กระบวนการช้าลง การพัฒนานี้สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยการใช้งานโปรแกรม AI ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล วิธีการนี้เรียกว่า "Cryo etch" โดยใช้พลาสมาของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีการก่อนหน้าที่ใช้แหล่งฟลูออรีนและไฮโดรเจนแยกกัน จากการวิจัยนี้เราสามารถบอกได้ว่าเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังมีการพัฒนากระบวนการผลิตใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลได้มากขึ้น นับว่าเป็นก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล https://www.techpowerup.com/332081/plasma-technology-doubles-etch-rate-for-3d-nand-flash-memory
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Plasma Technology Doubles Etch Rate for 3D NAND Flash Memory
    Scientists have made a big step forward in data storage technology, they've managed to improve the manufacturing process for 3D NAND flash memory. This type of storage technology stacks memory cells on top of each other to obtain higher data density. A team of experts from Lam Research, the Universi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนวัยทำงาน คนหนุ่มสาว ดูไว้นะ เอาชาติไปส่งคราม นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ไม่รู้ แต่ ประชากรหาย ผลผลิตชาติ ลด มีหนี้ แล้วก็ขายทรัพยากรใช้หนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่นักการเมือง คงได้
    https://mgronline.com/around/detail/9680000011123
    คนวัยทำงาน คนหนุ่มสาว ดูไว้นะ เอาชาติไปส่งคราม นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ไม่รู้ แต่ ประชากรหาย ผลผลิตชาติ ลด มีหนี้ แล้วก็ขายทรัพยากรใช้หนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ แต่นักการเมือง คงได้ https://mgronline.com/around/detail/9680000011123
    MGRONLINE.COM
    ทุกอย่างมีราคา! เซเลนสกีหน้าซีดทรัมป์ยื่นเงื่อนไข ขอแร่แรร์เอิร์ธแลกความช่วยเหลือทางการเงิน
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันจันทร์(3ก.พ.) ระบุต้องการให้ยูเครนป้อนแร่แรร์เอิร์ธแก่อเมริกา ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการชำระเงิน แลกกับความช่วยเหลือทางการเงินสนับสนุนประเทศแห่งนี้ที่กำลังทำสงครามกับรัสเซีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปลูกเมล่อนในถุง vs #ปลูกลงดิน วิธีไหนดีกว่ากัน? 🍈🌱
    คำตอบคือ...ขึ้นอยู่กับการจัดการของคุณ!
    ไม่ว่าจะปลูกแบบไหนก็ได้ผลผลิตดีถ้า วางแผนการปลูก+ดูแลอย่างถูกต้อง✅

    🆚 เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย

    🌟 #ปลูกในถุง
    ✅ ข้อดี
    - ควบคุมวัสดุปลูก-ธาตุอาหารได้แม่นยำ
    - ระบายน้ำดี ลดปัญหารากเน่า 💧
    - จัดตำแหน่งรับแสงแดดง่าย ☀️
    - ใช้พื้นที่น้อย เหมาะกับสวนหลังบ้าน
    ❌ ข้อเสีย
    - ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง (ถุงปลูก+วัสดุเพาะ)
    - ต้องรดน้ำ-ให้ปุ๋ยบ่อยกว่า
    - ย้ายถุงลำบาก ถ้าต้องการขยับตำแหน่ง

    🌟 #ปลูกลงดิน
    ✅ ข้อดี
    - ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องซื้อถุงปลูก
    - ดินอุ้มน้ำ-ธาตุอาหารได้นาน 🌧️
    - เหมาะกับพื้นที่กว้าง ปลูกจำนวนมาก
    ❌ ข้อเสีย
    - ควบคุมคุณภาพดินยาก
    - เสี่ยงโรคสะสม-แมลงในดิน 🐛
    - ต้องปรับสภาพดินก่อนปลูก

    🌟 #เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพการปลูก
    - ถุงปลูก 7x13 นิ้ว (สีขาวนอก-ดำใน) 👉 แช่วัสดุปลูกก่อนเจาะรูระบายน้ำทีหลัง สะดวกในการเตรียมแช่วัสดุปลูก
    - ปุ๋ยAB Fertilizer + ธาตุอาหารรอง
    👉 สูตรเฉพาะเร่งโตทุกช่วงวัย
    - ไตรโคบิวพลัส 👉 ป้องกันโรคเชื้อรา-แมลงแบบชีวภาพ

    💡 #ทำไมถุงปลูกของเราถึงปัง?
    ✅ ขนาด 7x13 นิ้วกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกิน
    ✅ สีดำด้านใน ช่วยเก็บความชื้น + กระตุ้นราก
    ✅ ราคาใบละ 5 บาทคุ้มค่าสำหรับมือใหม่-มือโปร อายุใช้งานประมาณ 1 ปีเมื่อถุงเสื่อมสภาพขาด ให้เปลี่ยนวัสดุปลูกพร้อมถุงปลูกเลย

    ---
    **#ลิตเติ้ลฟาร์ม** พร้อมสนับสนุนทุกสไตล์การปลูก!
    ✅ ถุงปลูกคุณภาพ
    ✅ ปุ๋ย AB สูตรเข้มข้น
    ✅ ไตรโคบิวพลัส ปลอดภัย 100%
    ✅ เมล็ดพันธุ์เมล่อนญี่ปุ่นแท้

    📩 ปรึกษาฟรี!
    Inbox หรือโทร **093-696-2691** (คุณศักรพี)

    #ปลูกเมล่อน #เมล่อนในถุง #เกษตรเมืองร้อน #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    ✨ "เลือกวิธีปลูกให้เหมาะกับพื้นที่...ผลผลิตดีมีอยู่จริง!" ✨

    (ภาพประกอบ: ตัวอย่างการปลูกเมล่อนในถุง 7x13 นิ้ว ที่อ.ฉวาง และอ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช)
    #ปลูกเมล่อนในถุง vs #ปลูกลงดิน วิธีไหนดีกว่ากัน? 🍈🌱 คำตอบคือ...ขึ้นอยู่กับการจัดการของคุณ! ไม่ว่าจะปลูกแบบไหนก็ได้ผลผลิตดีถ้า วางแผนการปลูก+ดูแลอย่างถูกต้อง✅ 🆚 เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย 🌟 #ปลูกในถุง ✅ ข้อดี - ควบคุมวัสดุปลูก-ธาตุอาหารได้แม่นยำ - ระบายน้ำดี ลดปัญหารากเน่า 💧 - จัดตำแหน่งรับแสงแดดง่าย ☀️ - ใช้พื้นที่น้อย เหมาะกับสวนหลังบ้าน ❌ ข้อเสีย - ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง (ถุงปลูก+วัสดุเพาะ) - ต้องรดน้ำ-ให้ปุ๋ยบ่อยกว่า - ย้ายถุงลำบาก ถ้าต้องการขยับตำแหน่ง 🌟 #ปลูกลงดิน ✅ ข้อดี - ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องซื้อถุงปลูก - ดินอุ้มน้ำ-ธาตุอาหารได้นาน 🌧️ - เหมาะกับพื้นที่กว้าง ปลูกจำนวนมาก ❌ ข้อเสีย - ควบคุมคุณภาพดินยาก - เสี่ยงโรคสะสม-แมลงในดิน 🐛 - ต้องปรับสภาพดินก่อนปลูก 🌟 #เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพการปลูก - ถุงปลูก 7x13 นิ้ว (สีขาวนอก-ดำใน) 👉 แช่วัสดุปลูกก่อนเจาะรูระบายน้ำทีหลัง สะดวกในการเตรียมแช่วัสดุปลูก - ปุ๋ยAB Fertilizer + ธาตุอาหารรอง 👉 สูตรเฉพาะเร่งโตทุกช่วงวัย - ไตรโคบิวพลัส 👉 ป้องกันโรคเชื้อรา-แมลงแบบชีวภาพ 💡 #ทำไมถุงปลูกของเราถึงปัง? ✅ ขนาด 7x13 นิ้วกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกิน ✅ สีดำด้านใน ช่วยเก็บความชื้น + กระตุ้นราก ✅ ราคาใบละ 5 บาทคุ้มค่าสำหรับมือใหม่-มือโปร อายุใช้งานประมาณ 1 ปีเมื่อถุงเสื่อมสภาพขาด ให้เปลี่ยนวัสดุปลูกพร้อมถุงปลูกเลย --- **#ลิตเติ้ลฟาร์ม** พร้อมสนับสนุนทุกสไตล์การปลูก! ✅ ถุงปลูกคุณภาพ ✅ ปุ๋ย AB สูตรเข้มข้น ✅ ไตรโคบิวพลัส ปลอดภัย 100% ✅ เมล็ดพันธุ์เมล่อนญี่ปุ่นแท้ 📩 ปรึกษาฟรี! Inbox หรือโทร **093-696-2691** (คุณศักรพี) #ปลูกเมล่อน #เมล่อนในถุง #เกษตรเมืองร้อน #ลิตเติ้ลฟาร์ม ✨ "เลือกวิธีปลูกให้เหมาะกับพื้นที่...ผลผลิตดีมีอยู่จริง!" ✨ (ภาพประกอบ: ตัวอย่างการปลูกเมล่อนในถุง 7x13 นิ้ว ที่อ.ฉวาง และอ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    หลายวันมานี้
    ความเย็นของอากาศยามเช้าเริ่มหายไป
    เป็นสัญญานว่าฤดูหนาวกำลังจากไป

    อากาศยามเช้าเริ่มร้อนมากขึ้น และมันคงจะทวีความร้อนแรง มากขึ้นไป

    ฤดูร้อน....เดินทางมาถึงแล้ว...

    ....................

    ในสมัยที่ผมยังเด็กนั้น
    ในต้นฤดูร้อนแบบนี้

    ตลิ่งริมแม่นำ้โขง ที่แม่บ้านเคยลงไปปลูกหอม กระเทียม คะน้า ก็เริ่มจะทิ้งร้าง อาจจะมีก็เพียง ต้นมะเขือที่เจริญเติบโตมาจาก แม่บ้านมักจะโยน มะเขือเน่าๆ ออกไปทางหน้าต่างครัว พอได้นำ้ได้แดด ก็เติบโต ออกผลให้ได้พอเก็บกิน

    แปลงปลูกผักคงเหลือแต่ต้นข้าวโพด ที่หักฝักแล้ว ยืนต้นตาย
    สุมทุมพุ่มไม้ วัชพืชต่างๆ ต่างแย่งขึ้นกัน จนสูงท่วมหัว

    บ่อยครั้ง ที่ผมมักจะไปนั่งเล่น ดูนก ดูไม้ไปเรื่อย ผมสังเกตเห็นนกกระจอกบ้าน ตัวเล็กๆ มันมักจะมาส่งทะเลาะกัน เสียงดัง โวยวาย แย่งเศษเมล็ดข้าวโพดที่แห้งคาต้น...

    ผมเกิดความคิดแว่บหนึ่งขึ้นมาในหัว

    ผมอยากจะจับนกพวกนี้มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน...

    ผมเริ่มคิดวิธีการที่จะจับนกเหล่านั้น
    ผมคิดอยู่หลายวิธี และหลายวัน จนผมได้วิธีการที่คิดว่า จับนกได้แน่นอน....

    ผมเห็นพื้นที่ว่าง ข้างๆ บาร์ปริ้นซ์ (บาร์ปริ๊นซ์ ปัจจุบันคือ ร้านสุขโขสโมสร) จะมีกองอิฐแดง ที่มีคนทิ้งไว้หลายก้อน

    อิฐแดงสมัยก่อนนั้น ก้อนจะมีขนาดใหญ่กว่าอิฐแดงปัจจุบันมากนัก เรียกว่าแต่ละก้อน ความยาวเกือบๆ ฟุตเลยทีเดียว ทั้งหนาทั้งหนัก

    ผมสังเกตดูว่าอิฐแดงนี้ไม่น่าจะมีเจ้าของ เพราะมันถูกทิ้งไว้นานแล้ว คิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มทะยอย ขนอิฐแดง 4-5 ก้อน มาเก็บไว้ "บ้านผี" ข้างบ้านผม

    "บ้านผี" ที่ว่านี้ อยู่ติดกับบาร์ปริ้นซ์ ด้านทิศใต้ ซึ่งผนังด้านหนึ่งของบ้านผีนี้ ติดกับบ้านของผม

    ที่ผมเรียกบ้านผี เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านร้าง ผมกับพี่น้องมักจะเอาตาแนบกับรอยแตก บนผนังไม้ เพื่อดูว่าในบ้านมีอะไร แต่ก็ไม่มีอะไร เรียกกันไปตามจินตนาการแห่งวัยเด็ก...

    ผมขนมากองหน้าบ้านผี จนหาเวลาเหมาะๆ ช่วงที่อาม่า แม่ แม่บ้าน ไม่ทันสังเกต ผมเริ่มทะยอยขนอิฐแดงนี้ ลงไปชั้นล่างของบ้าน คือแถวๆครัว ตรงห้องเก็บเครื่องมือและผลผลิตทางการเกษตร

    บ้านของผมนั้น จะมีประตูแนวราบ ที่เปิดขึ้นเพื้อลงไปสู่ตลิ่ง ด้านล่าง ผมทะยอยขนก้อนอิฐลงไปที่แปลงผักทิ้งร้าง

    ผมเลือกเอาชัยภูมิเหมาะๆ สำหรับตั้ง "กับดักนกกระจอกบ้าน" ของผม

    หลายๆวันที่ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของนกว่าจะลงมาจิกกินเศษข้าวโพด ตรงไหน บริเวณไหนที่นกลงมากที่สุด ผมจะเริ่มตรงนั้น...

    ผมเริ่มใช้อิฐแดง วางสันด้านยาวไปบนพื้นดิน โดยเรียงเหมือนคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ

    ด้านหนึ่งของด้านสี่เหลี่ยมนี้ ผมใช้อิฐแดงอีกก้อนวางพาดให้เป็นทรงหมาแหงน และแน่นอน ผมได้เตรียมไ้่ม้ไผ่ ที่เหลาแบนๆ ที่ใช้สานเพื่อทำภาชนะบรรจุถ่านไม้ ที่แม่ผม พาเรียกว่า "กระทอถ่าน" ลงมาด้วย
    ผมใช้ไม่ไผ่นี้เป็นตัวคำ้อิฐก้อนนี้ไว้

    ผมกลับขึ้นไปบนบ้านอย่างเงียบๆ แล้วกลับลงมาด้วยของบางอย่างในกระเป๋ากางเกง

    ผมเอากาวลาเท็กซ์ ลงมา พร้อมกับข้าวสาร1กำมือน้อยๆ

    ผมใช้กาวลาเท็กซ์ ทาที่ไม้ไผ่แบนๆด้านที่เปิดออกไปหานก แล้วผมเอาข้าวสาร มาโรยบนไม้ไผ่

    ไม่นาน ข้าวสาร จำนวนหนึ่งก็ติดบนไม้ไผ่
    ในความคิดตอนนั้น...

    ถ้านกลงมาหาของกิน พอมันเห็นข้าวสารที่ติดบนไม้ไผ่ มันจะต้องจิกแต่ข้าวสารนั้นถูกติดกาวไว้ มันต้องออกแรงจิก พอมันจิกแรงๆเข้า ไม้ไผ่ที่คำ้อิฐก็จะล้ม อิฐก็จะลงมาปิดคอกที่ผมสร้างไว้

    ผมตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ในช่วงสายของวันนั้น

    บ่ายวันนั้นทั้งวัน ผมแทบไม่ทำอะไรเลย นอกจากลงไปเฝ้าดูห่างๆว่าอิฐก้อนนั้นมันปิดลงมาหรือยัง ....?

    ผมเฝ้าอยู่ จนเย็น ก็ต้องขึ้นบ้าน เพราะอาม่า ตามตัวแล้ว
    ผมอาบนำ้ทานข้าวเย็นด้วยใจที่พะวงไปถึงกับดักผม ตลอดเวลา

    จวบจนความมืดมาเยือน...
    คืนนั้น ผมหลับไปด้วยหัวใจที่กระวนกระวายที่สุด..

    ...............

    ผมตื่นแต่เช้าก่อนฟ้าสาง บรรยากาศรอบตัวยังเต็มไปด้วยความมืด
    นอนรอเวลาฟ้าสว่างด้วยใจจดจ่อ...
    จนฟ้าสว่าง....

    ผมแอบลงไปส่องดูตรงกับดักของผม...

    อิฐก้อนบน ถูกปิดลงมาแล้ว....!!!!!

    ทั้งดีใจระคนตื่นเต้น ว่าจะมีนกกี่ตัวในนั้น

    ผมรอจน กินข้าวเช้าแล้ว ซึ่งปกติ ผมจะออกไปวิ่งเล่น อาม่าก็ไม่ได้สนใจอะไร

    ผมแอบลงไปที่วางกับดัก พร้อมกับ ตะกร้าพลาสติกมีตาถี่และฝาปิด นัยว่าจะได้เอานกใส่ตะกร้านี้ ขึ้นบ้าน

    ผมค่อยๆเดินเข้าไปที่กับดักผมพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว หูก็คอยฟังเสียงนกในกับดัก แต่....

    ไม่มีเสียงนก
    "มันคงยังไม่ตื่น.."
    ในใจก็คิดไปต่างๆนานา แต่ที่แน่นอนคือ วันนี้ได้เลี้ยงนกแน่นอนแล้ว...

    ผมค่อยๆขยับอิฐให้เป็นช่อง แล้วล้วงมือลงไปในกับดักอิฐแดงของผม....

    ผมสัมผัสอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่นก แน่นอน
    มือไวเท่าความคิด !!!!

    ผมทลายกับดักผมทันที
    หนูตัวเขื่องพุ่งสวนออกจากกับดัก...

    มันคงเข้าไปหาเศษอาหาร หรือข้าวสารกิน เลยติดกับดักนั้น

    ผมทิ้งตัวลงนั้นกับพื้นดินริมตลิ่ง จนคลายความตกใจ
    ผมค่อยๆกลับขึ้นบ้าน พร้อมกับล้างเท้าเอาเศษดินออก....

    ผมเริ่มต้นฤดูร้อนในปีนั้นด้วยความตื่นเต้น และมันกลายเป็นความทรงจำ ที่ตรึงอยู่ในใจของผม ตั้งแต่นั้น...เป็นต้นมา...

    .......................

    ทุกๆครั้งที่ผมผ่านไปที่ตลิ่งริมแม่นำ้ มองเห็นแปลงผักรกร้าง วัชพืชสูงท่วมหัว

    ผมมักจะคิดถึงฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตในวัยเด็กของผมอยู่เสมอ...
    .
    .
    .
    ฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตวัยเด็ก ที่ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย....

    .........................

    "กับดัก"
    เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2560 ที่เพจ
    ' ล ม ห ว น '
    สมัยที่ผมยังเด็ก... หลายวันมานี้ ความเย็นของอากาศยามเช้าเริ่มหายไป เป็นสัญญานว่าฤดูหนาวกำลังจากไป อากาศยามเช้าเริ่มร้อนมากขึ้น และมันคงจะทวีความร้อนแรง มากขึ้นไป ฤดูร้อน....เดินทางมาถึงแล้ว... .................... ในสมัยที่ผมยังเด็กนั้น ในต้นฤดูร้อนแบบนี้ ตลิ่งริมแม่นำ้โขง ที่แม่บ้านเคยลงไปปลูกหอม กระเทียม คะน้า ก็เริ่มจะทิ้งร้าง อาจจะมีก็เพียง ต้นมะเขือที่เจริญเติบโตมาจาก แม่บ้านมักจะโยน มะเขือเน่าๆ ออกไปทางหน้าต่างครัว พอได้นำ้ได้แดด ก็เติบโต ออกผลให้ได้พอเก็บกิน แปลงปลูกผักคงเหลือแต่ต้นข้าวโพด ที่หักฝักแล้ว ยืนต้นตาย สุมทุมพุ่มไม้ วัชพืชต่างๆ ต่างแย่งขึ้นกัน จนสูงท่วมหัว บ่อยครั้ง ที่ผมมักจะไปนั่งเล่น ดูนก ดูไม้ไปเรื่อย ผมสังเกตเห็นนกกระจอกบ้าน ตัวเล็กๆ มันมักจะมาส่งทะเลาะกัน เสียงดัง โวยวาย แย่งเศษเมล็ดข้าวโพดที่แห้งคาต้น... ผมเกิดความคิดแว่บหนึ่งขึ้นมาในหัว ผมอยากจะจับนกพวกนี้มาเลี้ยงไว้ที่บ้าน... ผมเริ่มคิดวิธีการที่จะจับนกเหล่านั้น ผมคิดอยู่หลายวิธี และหลายวัน จนผมได้วิธีการที่คิดว่า จับนกได้แน่นอน.... ผมเห็นพื้นที่ว่าง ข้างๆ บาร์ปริ้นซ์ (บาร์ปริ๊นซ์ ปัจจุบันคือ ร้านสุขโขสโมสร) จะมีกองอิฐแดง ที่มีคนทิ้งไว้หลายก้อน อิฐแดงสมัยก่อนนั้น ก้อนจะมีขนาดใหญ่กว่าอิฐแดงปัจจุบันมากนัก เรียกว่าแต่ละก้อน ความยาวเกือบๆ ฟุตเลยทีเดียว ทั้งหนาทั้งหนัก ผมสังเกตดูว่าอิฐแดงนี้ไม่น่าจะมีเจ้าของ เพราะมันถูกทิ้งไว้นานแล้ว คิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มทะยอย ขนอิฐแดง 4-5 ก้อน มาเก็บไว้ "บ้านผี" ข้างบ้านผม "บ้านผี" ที่ว่านี้ อยู่ติดกับบาร์ปริ้นซ์ ด้านทิศใต้ ซึ่งผนังด้านหนึ่งของบ้านผีนี้ ติดกับบ้านของผม ที่ผมเรียกบ้านผี เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านร้าง ผมกับพี่น้องมักจะเอาตาแนบกับรอยแตก บนผนังไม้ เพื่อดูว่าในบ้านมีอะไร แต่ก็ไม่มีอะไร เรียกกันไปตามจินตนาการแห่งวัยเด็ก... ผมขนมากองหน้าบ้านผี จนหาเวลาเหมาะๆ ช่วงที่อาม่า แม่ แม่บ้าน ไม่ทันสังเกต ผมเริ่มทะยอยขนอิฐแดงนี้ ลงไปชั้นล่างของบ้าน คือแถวๆครัว ตรงห้องเก็บเครื่องมือและผลผลิตทางการเกษตร บ้านของผมนั้น จะมีประตูแนวราบ ที่เปิดขึ้นเพื้อลงไปสู่ตลิ่ง ด้านล่าง ผมทะยอยขนก้อนอิฐลงไปที่แปลงผักทิ้งร้าง ผมเลือกเอาชัยภูมิเหมาะๆ สำหรับตั้ง "กับดักนกกระจอกบ้าน" ของผม หลายๆวันที่ผมเฝ้าดูพฤติกรรมของนกว่าจะลงมาจิกกินเศษข้าวโพด ตรงไหน บริเวณไหนที่นกลงมากที่สุด ผมจะเริ่มตรงนั้น... ผมเริ่มใช้อิฐแดง วางสันด้านยาวไปบนพื้นดิน โดยเรียงเหมือนคอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านหนึ่งของด้านสี่เหลี่ยมนี้ ผมใช้อิฐแดงอีกก้อนวางพาดให้เป็นทรงหมาแหงน และแน่นอน ผมได้เตรียมไ้่ม้ไผ่ ที่เหลาแบนๆ ที่ใช้สานเพื่อทำภาชนะบรรจุถ่านไม้ ที่แม่ผม พาเรียกว่า "กระทอถ่าน" ลงมาด้วย ผมใช้ไม่ไผ่นี้เป็นตัวคำ้อิฐก้อนนี้ไว้ ผมกลับขึ้นไปบนบ้านอย่างเงียบๆ แล้วกลับลงมาด้วยของบางอย่างในกระเป๋ากางเกง ผมเอากาวลาเท็กซ์ ลงมา พร้อมกับข้าวสาร1กำมือน้อยๆ ผมใช้กาวลาเท็กซ์ ทาที่ไม้ไผ่แบนๆด้านที่เปิดออกไปหานก แล้วผมเอาข้าวสาร มาโรยบนไม้ไผ่ ไม่นาน ข้าวสาร จำนวนหนึ่งก็ติดบนไม้ไผ่ ในความคิดตอนนั้น... ถ้านกลงมาหาของกิน พอมันเห็นข้าวสารที่ติดบนไม้ไผ่ มันจะต้องจิกแต่ข้าวสารนั้นถูกติดกาวไว้ มันต้องออกแรงจิก พอมันจิกแรงๆเข้า ไม้ไผ่ที่คำ้อิฐก็จะล้ม อิฐก็จะลงมาปิดคอกที่ผมสร้างไว้ ผมตระเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ในช่วงสายของวันนั้น บ่ายวันนั้นทั้งวัน ผมแทบไม่ทำอะไรเลย นอกจากลงไปเฝ้าดูห่างๆว่าอิฐก้อนนั้นมันปิดลงมาหรือยัง ....? ผมเฝ้าอยู่ จนเย็น ก็ต้องขึ้นบ้าน เพราะอาม่า ตามตัวแล้ว ผมอาบนำ้ทานข้าวเย็นด้วยใจที่พะวงไปถึงกับดักผม ตลอดเวลา จวบจนความมืดมาเยือน... คืนนั้น ผมหลับไปด้วยหัวใจที่กระวนกระวายที่สุด.. ............... ผมตื่นแต่เช้าก่อนฟ้าสาง บรรยากาศรอบตัวยังเต็มไปด้วยความมืด นอนรอเวลาฟ้าสว่างด้วยใจจดจ่อ... จนฟ้าสว่าง.... ผมแอบลงไปส่องดูตรงกับดักของผม... อิฐก้อนบน ถูกปิดลงมาแล้ว....!!!!! ทั้งดีใจระคนตื่นเต้น ว่าจะมีนกกี่ตัวในนั้น ผมรอจน กินข้าวเช้าแล้ว ซึ่งปกติ ผมจะออกไปวิ่งเล่น อาม่าก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมแอบลงไปที่วางกับดัก พร้อมกับ ตะกร้าพลาสติกมีตาถี่และฝาปิด นัยว่าจะได้เอานกใส่ตะกร้านี้ ขึ้นบ้าน ผมค่อยๆเดินเข้าไปที่กับดักผมพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว หูก็คอยฟังเสียงนกในกับดัก แต่.... ไม่มีเสียงนก "มันคงยังไม่ตื่น.." ในใจก็คิดไปต่างๆนานา แต่ที่แน่นอนคือ วันนี้ได้เลี้ยงนกแน่นอนแล้ว... ผมค่อยๆขยับอิฐให้เป็นช่อง แล้วล้วงมือลงไปในกับดักอิฐแดงของผม.... ผมสัมผัสอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่นก แน่นอน มือไวเท่าความคิด !!!! ผมทลายกับดักผมทันที หนูตัวเขื่องพุ่งสวนออกจากกับดัก... มันคงเข้าไปหาเศษอาหาร หรือข้าวสารกิน เลยติดกับดักนั้น ผมทิ้งตัวลงนั้นกับพื้นดินริมตลิ่ง จนคลายความตกใจ ผมค่อยๆกลับขึ้นบ้าน พร้อมกับล้างเท้าเอาเศษดินออก.... ผมเริ่มต้นฤดูร้อนในปีนั้นด้วยความตื่นเต้น และมันกลายเป็นความทรงจำ ที่ตรึงอยู่ในใจของผม ตั้งแต่นั้น...เป็นต้นมา... ....................... ทุกๆครั้งที่ผมผ่านไปที่ตลิ่งริมแม่นำ้ มองเห็นแปลงผักรกร้าง วัชพืชสูงท่วมหัว ผมมักจะคิดถึงฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตในวัยเด็กของผมอยู่เสมอ... . . . ฤดูร้อนและความสนุกของชีวิตวัยเด็ก ที่ไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย.... ......................... "กับดัก" เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2560 ที่เพจ ' ล ม ห ว น '
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Yangtze Memory Technologies Co. (YMTC) ของจีนได้เริ่มจัดส่งหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 ที่มีจำนวนชั้นทั้งหมด 294 ชั้น และชั้นที่ใช้งานจริง 232 ชั้น นักวิเคราะห์จาก TechInsights ได้รับชิปเหล่านี้มาวิเคราะห์และพบว่า YMTC สามารถเพิ่มความหนาแน่นของบิตให้เทียบเท่ากับคู่แข่งในอุตสาหกรรมได้ แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ก็ตาม

    ชิปนี้มีจำนวนชั้นทั้งหมด 294 ชั้น ซึ่งถือเป็นจำนวนชั้นที่สูงที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน จำนวนชั้นที่ใช้งานจริงของ 3D NAND รุ่นที่ 5 ของ YMTC คาดว่าจะเป็น 232 ชั้น ซึ่งเท่ากับรุ่นที่ 4 ของบริษัท การเพิ่มจำนวนชั้นทั้งหมดอาจเป็นวิธีการปรับปรุงผลผลิตโดยการเพิ่มความซ้ำซ้อนหรือเปิดใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง

    แม้ว่า YMTC จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 แต่ได้เริ่มจัดส่งในปริมาณมากแล้ว การเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นการหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเสี่ยงต่อการถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติม

    YMTC ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไฮบริดในการเชื่อมต่อแฟลชอาร์เรย์กับตรรกะ CMOS และอินเทอร์เฟซ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บและประสิทธิภาพ I/O สำหรับ SSD ที่ดีที่สุดได้

    การเปิดตัวหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 ของ YMTC นี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับบริษัทและอุตสาหกรรมหน่วยความจำแฟลชของจีน โดยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinese-chipmaker-ships-record-breaking-chips-ymtc-quietly-begins-shipping-5th-gen-3d-tlc-nand
    บริษัท Yangtze Memory Technologies Co. (YMTC) ของจีนได้เริ่มจัดส่งหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 ที่มีจำนวนชั้นทั้งหมด 294 ชั้น และชั้นที่ใช้งานจริง 232 ชั้น นักวิเคราะห์จาก TechInsights ได้รับชิปเหล่านี้มาวิเคราะห์และพบว่า YMTC สามารถเพิ่มความหนาแน่นของบิตให้เทียบเท่ากับคู่แข่งในอุตสาหกรรมได้ แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ก็ตาม ชิปนี้มีจำนวนชั้นทั้งหมด 294 ชั้น ซึ่งถือเป็นจำนวนชั้นที่สูงที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน จำนวนชั้นที่ใช้งานจริงของ 3D NAND รุ่นที่ 5 ของ YMTC คาดว่าจะเป็น 232 ชั้น ซึ่งเท่ากับรุ่นที่ 4 ของบริษัท การเพิ่มจำนวนชั้นทั้งหมดอาจเป็นวิธีการปรับปรุงผลผลิตโดยการเพิ่มความซ้ำซ้อนหรือเปิดใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง แม้ว่า YMTC จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 แต่ได้เริ่มจัดส่งในปริมาณมากแล้ว การเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นการหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเสี่ยงต่อการถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติม YMTC ใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไฮบริดในการเชื่อมต่อแฟลชอาร์เรย์กับตรรกะ CMOS และอินเทอร์เฟซ ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มความหนาแน่นของการจัดเก็บและประสิทธิภาพ I/O สำหรับ SSD ที่ดีที่สุดได้ การเปิดตัวหน่วยความจำ 3D NAND รุ่นที่ 5 ของ YMTC นี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับบริษัทและอุตสาหกรรมหน่วยความจำแฟลชของจีน โดยแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/chinese-chipmaker-ships-record-breaking-chips-ymtc-quietly-begins-shipping-5th-gen-3d-tlc-nand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เทคนิคเด็ดแขนงเมล่อนให้ได้ผลผลิตดี 🍈🌿
    เมื่อต้นเมล่อนเริ่มตั้งเถา ต้องรีบ **#เด็ดแขนง** ออกจากข้อใบทันที! เพื่อไม่ให้แย่งอาหารต้นหลัก ช่วยให้ลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่ 🌱

    ### ทำไมต้องเด็ดแขนง?
    - ลดการแย่งอาหารจากต้นหลัก
    - กระตุ้นการเติบโตของผลเมล่อน
    - ป้องกันโรคจากความชื้นสะสมในทรงพุ่ม

    ### วิธีเด็ดแขนงแบบมือโปร ✅
    1. **ช่วงเวลา**: เด็ดในเช้ามืดถึงเช้าตรู่ ที่มีแสงแดดอ่อน 🌞 (ต้นไม่ช้ำ แผลแห้งเร็ว)
    2. **เทคนิคเด็ด**: ใช้มือดึงเบาๆ ตรงโคนแขนงที่เพิ่งแทงยอดใหม่ (ขนาด 2-3 ซม.) จะเด็ดง่าย ไม่ทำลายลำต้น
    3. **หลังเด็ด**: พ่น **#ไตรโคบิวพลัส** ช่วงเย็น เพื่อปิดแผล+ป้องกันเชื้อรา+เร่งฟื้นตัว 🛡️

    ### ข้อควรระวัง ❗
    - ห้ามเด็ดแขนงตอนแดดจัดหรือฝนตก (เสี่ยงเชื้อราเข้าทำลาย)
    - ใช้มีดสะอาดหากแขนงใหญ่เกินไป

    #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    เราพร้อมส่งมอบอุปกรณ์คุณภาพสำหรับเมล่อนทุกขั้นตอน!
    ✅ ปุ๋ย AB สูตรเร่งใบ-เร่งผล
    ✅ ไตรโคบิวพลัส ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง
    ✅ ธาตุอาหารรอง-อาหารเสริมทางใบ
    ✅ เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพสูง

    📩 สอบถามหรือสั่งซื้อ:
    Inbox หรือโทร **093-696-2691** (คุณศักรพี)

    #เด็ดแขนงเมล่อน #ปลูกเมล่อน #ไตรโคบิวพลัส #ลิตเติ้ลฟาร์ม 🌱🍈
    #เทคนิคเด็ดแขนงเมล่อนให้ได้ผลผลิตดี 🍈🌿 เมื่อต้นเมล่อนเริ่มตั้งเถา ต้องรีบ **#เด็ดแขนง** ออกจากข้อใบทันที! เพื่อไม่ให้แย่งอาหารต้นหลัก ช่วยให้ลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่ 🌱 ### ทำไมต้องเด็ดแขนง? - ลดการแย่งอาหารจากต้นหลัก - กระตุ้นการเติบโตของผลเมล่อน - ป้องกันโรคจากความชื้นสะสมในทรงพุ่ม ### วิธีเด็ดแขนงแบบมือโปร ✅ 1. **ช่วงเวลา**: เด็ดในเช้ามืดถึงเช้าตรู่ ที่มีแสงแดดอ่อน 🌞 (ต้นไม่ช้ำ แผลแห้งเร็ว) 2. **เทคนิคเด็ด**: ใช้มือดึงเบาๆ ตรงโคนแขนงที่เพิ่งแทงยอดใหม่ (ขนาด 2-3 ซม.) จะเด็ดง่าย ไม่ทำลายลำต้น 3. **หลังเด็ด**: พ่น **#ไตรโคบิวพลัส** ช่วงเย็น เพื่อปิดแผล+ป้องกันเชื้อรา+เร่งฟื้นตัว 🛡️ ### ข้อควรระวัง ❗ - ห้ามเด็ดแขนงตอนแดดจัดหรือฝนตก (เสี่ยงเชื้อราเข้าทำลาย) - ใช้มีดสะอาดหากแขนงใหญ่เกินไป #ลิตเติ้ลฟาร์ม เราพร้อมส่งมอบอุปกรณ์คุณภาพสำหรับเมล่อนทุกขั้นตอน! ✅ ปุ๋ย AB สูตรเร่งใบ-เร่งผล ✅ ไตรโคบิวพลัส ชีวภัณฑ์ป้องกันโรคและแมลง ✅ ธาตุอาหารรอง-อาหารเสริมทางใบ ✅ เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพสูง 📩 สอบถามหรือสั่งซื้อ: Inbox หรือโทร **093-696-2691** (คุณศักรพี) #เด็ดแขนงเมล่อน #ปลูกเมล่อน #ไตรโคบิวพลัส #ลิตเติ้ลฟาร์ม 🌱🍈
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ
    .
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ
    .
    พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
    .
    นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง
    .
    ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย
    .
    ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
    .
    วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ
    .
    นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
    .
    ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก . เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ . พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ . พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง . นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง . ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย . ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ . วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ . นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก . ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    Like
    Love
    Haha
    30
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1587 มุมมอง 0 รีวิว
  • โยวโจวคือสถานที่ใด?

    สวัสดีค่ะ Storyฯ เพิ่งอ่านนวนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จบไป (ชอบมาก คุณธรรมน้ำมิตรดี แนะนำ!) แต่ยังไม่มีเวลาดูซีรีส์ ก็ไม่แน่ใจว่ามีการดัดแปลงเนื้อหาไปจากนิยายต้นฉบับมากน้อยแค่ไหน

    เนื่องจากมีหลายเหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ‘โยวโจว’ (幽州) จึงเกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่ามันคือสถานที่ใด เพราะชื่อนี้ปรากฏบ่อยมากในนิยายและซีรีส์จีนโบราณหลายเรื่องที่มีฉากสู้รบ (ใครคุ้นหูคุ้นตาจากเรื่องอะไรมาเม้นท์บอกกันได้) Storyฯ เลยไปทำการบ้านมาเล่าสู่กันฟัง

    ‘โจว’ ปัจจุบันใช้เรียกทวีป เช่น ย่าโจว คือทวีปเอเชีย แต่ในสมัยจีนโบราณ โจวเป็นการเรียกเขตพื้นที่ แต่ขนาดและอำนาจการปกครองของมันแตกต่างกันไป แรกเริ่มเลยมันเป็นเพียงการแบ่งพื้นที่ ไม่ได้มีอำนาจการปกครอง ในสมัยฉินมีการกล่าวถึงเก้าโจว แต่จากบันทึกโบราณพบว่าชื่อเรียกของเก้าโจวนี้แตกต่างกันไป ต่อมาในสมัยราชวงศ์ฮั่นเพิ่มเป็นสิบสามโจว มีอำนาจการปกครองท้องถิ่น นับเป็นเขตการปกครองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุด หากต้องใช้คำไทย Storyฯ คิดว่า ‘มณฑล’ น่าจะเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุด ถัดจากโจวคือจวิ้น (郡) แล้วก็เป็นเซี่ยน (县)

    สิบสามมณฑลนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ดูได้ในรูปประกอบ 2 (ขวา) โยวโจวคือเขตพื้นที่สีเหลืองและหยางโจว (บ้านเดิมของพระเอกและนางเอกในเรื่อง) คือพื้นที่สีม่วง เห็นแล้วเพื่อนเพจคงได้อรรถรสของความยากลำบากและระยะทางของการเดินทางที่ถูกกล่าวถึงในนิยาย/ละครเรื่องนี้กัน

    <สยบรักจอมเสเพล> ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เกิดในสมัยฮั่น มันเป็นยุคสมัยสมมุติและราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากเหตุการณ์ต่างๆ และสไตล์การแต่งกายในละครแล้ว เทียบใกล้เคียงกับช่วงปลายสมัยห้าราชวงศ์สิบรัฐที่แม่ทัพใหญ่ระดับเจี๋ยตู้สื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองและการทหารในพื้นที่ของตนและช่วงชิงดินแดนกัน (เริ่มมีตำแหน่งนี้ในสมัยถัง) และเลียนแบบเหตุการณ์สวมอาภรณ์สีเหลืองตั้งตนเป็นฮ่องเต้อันเป็นตำนานของจ้าวควงอิ้นเมื่อครั้งสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง มีการกล่าวถึงแม่น้ำฮวงโห เขตเปี้ยนเหลียงและเมืองหลวงที่ชื่อว่าตงตู ซึ่งอาจเป็นชื่อสมมุติของเมืองตงจิง (เปี้ยนเหลียงหรือไคเฟิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือ) หรืออาจหมายถึงเมืองลั่วหยางซึ่งเป็นตงตูหรือนครตะวันออกสมัยถัง (หมายเหตุ ‘จิง’ ‘ตู’ และ ‘เฉิง’ ล้วนแปลว่านครหรือเมือง)

    แต่... แม้ว่าเหตุการณ์ในละคร/นิยายจะใกล้เคียงกับช่วงต้นราชวงศ์ซ่ง ทว่าการเรียกเขตพื้นที่การปกครองต่างๆ ยังอิงตามสิบสามมณฑลสมัยฮั่น เพราะในสมัยซ่งเหนือ โยวโจวไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของซ่ง แต่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์เหลียว และมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไป (ดูแผนที่โดยคร่าวในรูปประกอบ 1)

    หน้าตาแผนที่ของจีนเปลี่ยนไปในแต่ละสมัย การแบ่งเขตปกครองและชื่อเรียกก็ย่อมแตกต่างกันไป โยวโจวในสมัยฮั่นนั้น ต่อมาถูกเรียกเป็นเยียนเป่ยในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจัวจวิ้นในสมัยสุย กลับมาเป็นโยวโจวในสมัยถัง ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่ออีกเป็นฟ่านหยางจวิ้นในสมัยถังกลาง หลังจากนั้นกลับมาเป็นโยวโจวแล้วจัวโจว ในสมัยเหลียว/ซ่งกลายเป็นเขตปกครองสิบหกเขตย่อยเรียกว่าโยวอวิ๋นหรือเยียนอวิ๋น หลังจากนั้นเขตการปกครองก็เปลี่ยนไปอีก และชื่อ ‘โยวโจว’ ก็หายไปจากแผนที่จีน

    แต่มันไม่ได้หายไปไหน ศูนย์การปกครองของโยวโจวในสมัยโบราณคือเมืองโยวตู (หรือในสมัยสุยคือจัวตู) ซึ่งก็คือกรุงปักกิ่งในปัจจุบันนั่นเอง

    โยวตูในสมัยก่อนเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นศูนย์กลางการปกครองของมณฑลโยวโจว ซึ่งเป็นฐานกำลังทหารรักษาชายแดนที่สำคัญ ในสมัยถังนั้น เจี๋ยตู้สื่อแห่งโยวโจวมีอำนาจการปกครองและจำนวนกองทัพในมือมากที่สุดในบรรดาเจี๋ยตู้สื่อทั้งหมด จึงไม่แปลกที่จะมีนิยายเกี่ยวกับการรบและการแย่งชิงกำลังทหารกันที่โยวโจว นอกจากนี้ โยวตูยังเป็นเมืองปลายทางเมืองหนึ่งของคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสุย จึงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าขายในภาคเหนือของจีน พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์การเกษตรธัญพืชที่สำคัญ ไม่เพียงมีปริมาณผลผลิตเพียงพอสำหรับประชากรในโยวโจวเอง หากแต่ยังส่งออกโดยผ่านต้าอวิ้นเหอไปขายเป็นเสบียงยังพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย ดังเช่นที่ถูกกล่าวถึงในนิยาย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g44250708/destined/
    https://kknews.cc/history/l8r6qvg.html
    https://www.artsmia.org/art-of-asia/history/maps.cfm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/幽州/1049370
    https://zh.wikipedia.org/wiki/北京历史
    https://www.sohu.com/a/674479826_121180648
    https://www.sohu.com/a/277568460_628936

    #สยบรักจอมเสเพล #โยวโจว #โยวตู #สิบสามมณฑล #ปักกิ่ง
    โยวโจวคือสถานที่ใด? สวัสดีค่ะ Storyฯ เพิ่งอ่านนวนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จบไป (ชอบมาก คุณธรรมน้ำมิตรดี แนะนำ!) แต่ยังไม่มีเวลาดูซีรีส์ ก็ไม่แน่ใจว่ามีการดัดแปลงเนื้อหาไปจากนิยายต้นฉบับมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมีหลายเหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ‘โยวโจว’ (幽州) จึงเกิดความ ‘เอ๊ะ’ ว่ามันคือสถานที่ใด เพราะชื่อนี้ปรากฏบ่อยมากในนิยายและซีรีส์จีนโบราณหลายเรื่องที่มีฉากสู้รบ (ใครคุ้นหูคุ้นตาจากเรื่องอะไรมาเม้นท์บอกกันได้) Storyฯ เลยไปทำการบ้านมาเล่าสู่กันฟัง ‘โจว’ ปัจจุบันใช้เรียกทวีป เช่น ย่าโจว คือทวีปเอเชีย แต่ในสมัยจีนโบราณ โจวเป็นการเรียกเขตพื้นที่ แต่ขนาดและอำนาจการปกครองของมันแตกต่างกันไป แรกเริ่มเลยมันเป็นเพียงการแบ่งพื้นที่ ไม่ได้มีอำนาจการปกครอง ในสมัยฉินมีการกล่าวถึงเก้าโจว แต่จากบันทึกโบราณพบว่าชื่อเรียกของเก้าโจวนี้แตกต่างกันไป ต่อมาในสมัยราชวงศ์ฮั่นเพิ่มเป็นสิบสามโจว มีอำนาจการปกครองท้องถิ่น นับเป็นเขตการปกครองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุด หากต้องใช้คำไทย Storyฯ คิดว่า ‘มณฑล’ น่าจะเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุด ถัดจากโจวคือจวิ้น (郡) แล้วก็เป็นเซี่ยน (县) สิบสามมณฑลนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ดูได้ในรูปประกอบ 2 (ขวา) โยวโจวคือเขตพื้นที่สีเหลืองและหยางโจว (บ้านเดิมของพระเอกและนางเอกในเรื่อง) คือพื้นที่สีม่วง เห็นแล้วเพื่อนเพจคงได้อรรถรสของความยากลำบากและระยะทางของการเดินทางที่ถูกกล่าวถึงในนิยาย/ละครเรื่องนี้กัน <สยบรักจอมเสเพล> ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เกิดในสมัยฮั่น มันเป็นยุคสมัยสมมุติและราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากเหตุการณ์ต่างๆ และสไตล์การแต่งกายในละครแล้ว เทียบใกล้เคียงกับช่วงปลายสมัยห้าราชวงศ์สิบรัฐที่แม่ทัพใหญ่ระดับเจี๋ยตู้สื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองและการทหารในพื้นที่ของตนและช่วงชิงดินแดนกัน (เริ่มมีตำแหน่งนี้ในสมัยถัง) และเลียนแบบเหตุการณ์สวมอาภรณ์สีเหลืองตั้งตนเป็นฮ่องเต้อันเป็นตำนานของจ้าวควงอิ้นเมื่อครั้งสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง มีการกล่าวถึงแม่น้ำฮวงโห เขตเปี้ยนเหลียงและเมืองหลวงที่ชื่อว่าตงตู ซึ่งอาจเป็นชื่อสมมุติของเมืองตงจิง (เปี้ยนเหลียงหรือไคเฟิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือ) หรืออาจหมายถึงเมืองลั่วหยางซึ่งเป็นตงตูหรือนครตะวันออกสมัยถัง (หมายเหตุ ‘จิง’ ‘ตู’ และ ‘เฉิง’ ล้วนแปลว่านครหรือเมือง) แต่... แม้ว่าเหตุการณ์ในละคร/นิยายจะใกล้เคียงกับช่วงต้นราชวงศ์ซ่ง ทว่าการเรียกเขตพื้นที่การปกครองต่างๆ ยังอิงตามสิบสามมณฑลสมัยฮั่น เพราะในสมัยซ่งเหนือ โยวโจวไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของซ่ง แต่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์เหลียว และมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไป (ดูแผนที่โดยคร่าวในรูปประกอบ 1) หน้าตาแผนที่ของจีนเปลี่ยนไปในแต่ละสมัย การแบ่งเขตปกครองและชื่อเรียกก็ย่อมแตกต่างกันไป โยวโจวในสมัยฮั่นนั้น ต่อมาถูกเรียกเป็นเยียนเป่ยในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจัวจวิ้นในสมัยสุย กลับมาเป็นโยวโจวในสมัยถัง ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่ออีกเป็นฟ่านหยางจวิ้นในสมัยถังกลาง หลังจากนั้นกลับมาเป็นโยวโจวแล้วจัวโจว ในสมัยเหลียว/ซ่งกลายเป็นเขตปกครองสิบหกเขตย่อยเรียกว่าโยวอวิ๋นหรือเยียนอวิ๋น หลังจากนั้นเขตการปกครองก็เปลี่ยนไปอีก และชื่อ ‘โยวโจว’ ก็หายไปจากแผนที่จีน แต่มันไม่ได้หายไปไหน ศูนย์การปกครองของโยวโจวในสมัยโบราณคือเมืองโยวตู (หรือในสมัยสุยคือจัวตู) ซึ่งก็คือกรุงปักกิ่งในปัจจุบันนั่นเอง โยวตูในสมัยก่อนเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นศูนย์กลางการปกครองของมณฑลโยวโจว ซึ่งเป็นฐานกำลังทหารรักษาชายแดนที่สำคัญ ในสมัยถังนั้น เจี๋ยตู้สื่อแห่งโยวโจวมีอำนาจการปกครองและจำนวนกองทัพในมือมากที่สุดในบรรดาเจี๋ยตู้สื่อทั้งหมด จึงไม่แปลกที่จะมีนิยายเกี่ยวกับการรบและการแย่งชิงกำลังทหารกันที่โยวโจว นอกจากนี้ โยวตูยังเป็นเมืองปลายทางเมืองหนึ่งของคลองใหญ่ต้าอวิ้นเหอที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสุย จึงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าขายในภาคเหนือของจีน พัฒนาขึ้นเป็นศูนย์การเกษตรธัญพืชที่สำคัญ ไม่เพียงมีปริมาณผลผลิตเพียงพอสำหรับประชากรในโยวโจวเอง หากแต่ยังส่งออกโดยผ่านต้าอวิ้นเหอไปขายเป็นเสบียงยังพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย ดังเช่นที่ถูกกล่าวถึงในนิยาย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g44250708/destined/ https://kknews.cc/history/l8r6qvg.html https://www.artsmia.org/art-of-asia/history/maps.cfm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/幽州/1049370 https://zh.wikipedia.org/wiki/北京历史 https://www.sohu.com/a/674479826_121180648 https://www.sohu.com/a/277568460_628936 #สยบรักจอมเสเพล #โยวโจว #โยวตู #สิบสามมณฑล #ปักกิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..."

    ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ

    เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า

    "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว

    ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

    ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

    ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..."

    สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน

    ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

    อ้างอิง:

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html

    อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/

    คลิปรายการของไทยโพสต์:
    https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..." ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..." สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ อ้างอิง: พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/ คลิปรายการของไทยโพสต์: https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ตัดสินใจลดการลงทุนในการผลิตชิปลงถึง 50% เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตและคำสั่งซื้อที่ลดลง ในปี 2025 Samsung จะลงทุนเพียง 5 ล้านล้านวอนในการผลิตชิป ซึ่งลดลงจาก 10 ล้านล้านวอนในปี 2024

    Samsung จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตรและ 1.4 นาโนเมตรแทนการขยายสายการผลิตชิปขนาด 5 นาโนเมตรและเทคโนโลยีอื่น ๆ โรงงานใน Hwaeseong จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร ในขณะที่โรงงานใน Pyeongtaek จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิปขนาด 1.4 นาโนเมตร

    แม้ว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ AI จะเพิ่มขึ้น แต่ Samsung ยังคงเผชิญกับปัญหาด้านผลผลิตที่ต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขนาด 3 นาโนเมตร การลดการลงทุนนี้จะเปิดโอกาสให้ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น

    https://wccftech.com/samsung-to-cut-chipmaking-investment-by-a-whopping-50-as-it-struggles-with-yields-report/
    Samsung ตัดสินใจลดการลงทุนในการผลิตชิปลงถึง 50% เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตและคำสั่งซื้อที่ลดลง ในปี 2025 Samsung จะลงทุนเพียง 5 ล้านล้านวอนในการผลิตชิป ซึ่งลดลงจาก 10 ล้านล้านวอนในปี 2024 Samsung จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตรและ 1.4 นาโนเมตรแทนการขยายสายการผลิตชิปขนาด 5 นาโนเมตรและเทคโนโลยีอื่น ๆ โรงงานใน Hwaeseong จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร ในขณะที่โรงงานใน Pyeongtaek จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตชิปขนาด 1.4 นาโนเมตร แม้ว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ AI จะเพิ่มขึ้น แต่ Samsung ยังคงเผชิญกับปัญหาด้านผลผลิตที่ต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขนาด 3 นาโนเมตร การลดการลงทุนนี้จะเปิดโอกาสให้ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น https://wccftech.com/samsung-to-cut-chipmaking-investment-by-a-whopping-50-as-it-struggles-with-yields-report/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Cut Chipmaking Investment By A Whopping 50% As It Struggles With Yields - Report
    Korean chip manufacturer Samsung Foundry will slash its chip spending by 50% in 2025 as it struggles with quality control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสบียงของทหารจีนโบราณ

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ?

    วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ

    ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง)

    ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว

    วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ

    โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ

    แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร?

    จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น

    ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้

    ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent
    http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html
    https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html
    http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html
    https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html
    https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003
    https://www.sohu.com/a/239218972_155326
    http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773
    https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/
    https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html
    https://www.sohu.com/a/710019104_121119015
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    เสบียงของทหารจีนโบราณ เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ? วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง) ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร? จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้ ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003 https://www.sohu.com/a/239218972_155326 http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃 https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773 https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/ https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html https://www.sohu.com/a/710019104_121119015 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    🙏🙏🙏
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 801 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ##
    ..
    ..
    เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล
    .
    ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก
    .
    พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า...
    .
    “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...”
    .
    บทความ โดย โรม บุนนาค
    https://shorturl.asia/lBfp5
    ....
    ....
    ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...???
    .
    ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...???
    .
    ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...???
    .
    ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...???
    .
    และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...???
    .
    สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน
    .
    เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้
    https://shorturl.asia/wJ2vQ
    .
    ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง)
    .
    ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!!
    .
    ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย...
    .
    โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)...
    .
    ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ)
    .
    คำถามคือ คุ้มมั้ย...???
    .
    รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!!
    ...
    ...
    สรุป
    .
    คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10%
    โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ## .. .. เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล . ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก . พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า... . “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...” . บทความ โดย โรม บุนนาค https://shorturl.asia/lBfp5 .... .... ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...??? . ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...??? . ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...??? . ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...??? . และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...??? . สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน . เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้ https://shorturl.asia/wJ2vQ . ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง) . ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!! . ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย... . โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)... . ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ) . คำถามคือ คุ้มมั้ย...??? . รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!! ... ... สรุป . คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10% โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    SHORTURL.ASIA
    ร.๕ กับการเลิกบ่อนการพนัน! ที่ว่าไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย ฉันเป็นคนไม่เล่นเบี้ยยังรู้สึกสนุก!!
    ในสมัยก่อน ระบบการเก็บภาษียังไม่กว้างขวางพอที่จะหาเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ บ่อนการพนันจึงเป็นอีกทางหนึ่งของรายได้รัฐ และได้มากเสียด้วย แต่การพนันก็ทำให้คนลุ่มหลงได้ง่าย จนไม่ยอมทำมาหากิน เป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคน ทำให้ครอบครั
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน!

    🔍 สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง:
    - หมอกหนาในตอนเช้า
    - ลมพัดเบาๆ
    - อากาศเย็นชื้น

    🌿 ลักษณะอาการที่พบ:
    - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ
    - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ
    - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง

    ⚠️ ผลกระทบต่อผลผลิต:
    1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ
    2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต
    3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก
    4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง

    🛡️ แนวทางการป้องกัน:
    1. ก่อนปลูก:
    - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
    - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค

    2. ระหว่างปลูก:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน
    - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน
    - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ

    🏥 วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด:
    1. ระบาดเล็กน้อย:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน
    - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง

    2. ระบาดรุนแรง:
    - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
    - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้
    - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย

    ⚡ ข้อควรระวัง:
    - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
    - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้
    - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

    🌱 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา:
    - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ
    - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค
    - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง
    - ธาตุอาหารเสริม

    📱 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    - Inbox
    - โทร: 093-696-2691

    #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    🚨 #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน! 🔍 สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง: - หมอกหนาในตอนเช้า - ลมพัดเบาๆ - อากาศเย็นชื้น 🌿 ลักษณะอาการที่พบ: - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง ⚠️ ผลกระทบต่อผลผลิต: 1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ 2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต 3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก 4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง 🛡️ แนวทางการป้องกัน: 1. ก่อนปลูก: - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค 2. ระหว่างปลูก: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ 🏥 วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด: 1. ระบาดเล็กน้อย: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง 2. ระบาดรุนแรง: - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้ - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย ⚡ ข้อควรระวัง: - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้ - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 🌱 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา: - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง - ธาตุอาหารเสริม 📱 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: - Inbox - โทร: 093-696-2691 #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts