• ปราชญ์ 3สี

    วิเคราะห์: ทำไมโตโยต้าถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เหตุเพราะแนวคิด Woke?

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด Woke ได้กลายเป็นกระแสที่มีอิทธิพลมากในด้านสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการบันเทิงและการจัดกิจกรรมระดับโลก เช่น โอลิมปิก แนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียม และการยุติการเลือกปฏิบัติ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง แนวคิด Woke กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างแท้จริง หากแต่ใช้เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมืองและคุกคามผู้ที่ไม่เห็นด้วย

    เหตุการณ์โอลิมปิกและการถอนตัวของโตโยต้า

    ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2024 โตโยต้าได้ตัดสินใจยกเลิกการสนับสนุนโอลิมปิกที่จัดขึ้นในฝรั่งเศส โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พิธีเปิดโอลิมปิกได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Woke ซึ่งการแสดงออกในพิธีนั้นมีลักษณะที่ไปกระทบความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งมองว่าการแสดงออกบางส่วนไม่เคารพค่านิยมทางศาสนาและสร้างความไม่พอใจอย่างมาก การที่โตโยต้าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของโอลิมปิกทำให้บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสาธารณชนและลูกค้ากลุ่มศาสนจักรที่ไม่พอใจกับการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

    โตโยต้าจึงตัดสินใจถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการปกป้องค่านิยมของบริษัท แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความรอบคอบในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก

    แนวคิด Woke และการคุกคามทางการเมือง

    โตโยต้าไม่ได้หยุดเพียงแค่การถอนตัวจากโอลิมปิกเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคม 2024 บริษัทได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า จะไม่สนับสนุนกลุ่มหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด Woke อีกต่อไป การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าโตโยต้ามองว่าแนวคิด Woke ไม่ได้มีเป้าหมายในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง แต่กลับกลายเป็นการใช้การข่มขู่และบังคับให้สังคมยอมรับความเชื่อและอุดมการณ์ของพวกเขา

    แนวคิด Woke ถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่เน้นไปที่การกดดันให้ทุกคนต้องเห็นด้วยกับแนวทางเดียวเท่านั้น ใครที่มีความเห็นต่างหรือไม่ยอมรับในแนวคิดนี้ มักจะถูกโจมตี ถูกข่มขู่ หรือแม้กระทั่งถูกทำลายชื่อเสียงผ่านสื่อสังคม นอกจากนี้ แนวคิด Woke ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบประวัติศาสตร์หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อทำให้สังคมต้องปรับตัวตามอุดมการณ์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่มีการให้พื้นที่แก่ความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างบรรยากาศของความกลัวและการคุกคามทางความคิด

    ผลกระทบของ Woke ต่อสังคม

    แนวคิด Woke ไม่ได้มีเพียงผลกระทบเชิงบวกตามที่กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวอ้าง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้แนวคิด Woke ในการบังคับผู้อื่นให้ยอมรับวิถีชีวิตและอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ศาสนา หรือค่านิยมดั้งเดิมของผู้อื่น เป็นการสร้างความไม่สมานฉันท์ในระดับสากล ตัวอย่างของพิธีเปิดโอลิมปิกที่ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงการพยายามบังคับให้ทุกคนยอมรับแนวคิดนี้ผ่านทางการแสดงออกทางวัฒนธรรม ซึ่งกลับส่งผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โตโยต้าเลือกที่จะถอนตัวออกจากกิจกรรมดังกล่าว

    การตัดสินใจของโตโยต้า: บทเรียนที่สำคัญ

    การตัดสินใจของโตโยต้าที่ถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิกและประกาศยุติการสนับสนุนแนวคิด Woke เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับองค์กรทั่วโลก ว่าการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่มีความขัดแย้งสูง อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรได้ การตัดสินใจของโตโยต้าแสดงให้เห็นว่าการปกป้องค่านิยมดั้งเดิมและความเชื่อของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ และการหลีกเลี่ยงการสนับสนุนแนวคิดที่สร้างความขัดแย้งสามารถช่วยปกป้ององค์กรจากการถูกวิจารณ์ในทางลบ

    สุดท้ายนี้ แนวคิด Woke ที่เคยมีเจตนาดีในการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาค กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกและการควบคุมสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว

    #โตโยต้า #ลัทธิWoke #ยกเลิกสนับสนุนโอลิมปิก #ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม #ผลกระทบทางการเมือง #การเคลื่อนไหวทางสังคม #วิพากษ์Woke #ปกป้องคุณค่าดั้งเดิม #ความแตกแยกในสังคม
    ปราชญ์ 3สี วิเคราะห์: ทำไมโตโยต้าถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เหตุเพราะแนวคิด Woke? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิด Woke ได้กลายเป็นกระแสที่มีอิทธิพลมากในด้านสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการบันเทิงและการจัดกิจกรรมระดับโลก เช่น โอลิมปิก แนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียม และการยุติการเลือกปฏิบัติ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง แนวคิด Woke กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างแท้จริง หากแต่ใช้เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมืองและคุกคามผู้ที่ไม่เห็นด้วย เหตุการณ์โอลิมปิกและการถอนตัวของโตโยต้า ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2024 โตโยต้าได้ตัดสินใจยกเลิกการสนับสนุนโอลิมปิกที่จัดขึ้นในฝรั่งเศส โดยการตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พิธีเปิดโอลิมปิกได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Woke ซึ่งการแสดงออกในพิธีนั้นมีลักษณะที่ไปกระทบความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งมองว่าการแสดงออกบางส่วนไม่เคารพค่านิยมทางศาสนาและสร้างความไม่พอใจอย่างมาก การที่โตโยต้าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของโอลิมปิกทำให้บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสาธารณชนและลูกค้ากลุ่มศาสนจักรที่ไม่พอใจกับการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โตโยต้าจึงตัดสินใจถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการปกป้องค่านิยมของบริษัท แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความรอบคอบในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มลูกค้าทั่วโลก แนวคิด Woke และการคุกคามทางการเมือง โตโยต้าไม่ได้หยุดเพียงแค่การถอนตัวจากโอลิมปิกเท่านั้น แต่ในเดือนตุลาคม 2024 บริษัทได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า จะไม่สนับสนุนกลุ่มหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด Woke อีกต่อไป การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นว่าโตโยต้ามองว่าแนวคิด Woke ไม่ได้มีเป้าหมายในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง แต่กลับกลายเป็นการใช้การข่มขู่และบังคับให้สังคมยอมรับความเชื่อและอุดมการณ์ของพวกเขา แนวคิด Woke ถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่เน้นไปที่การกดดันให้ทุกคนต้องเห็นด้วยกับแนวทางเดียวเท่านั้น ใครที่มีความเห็นต่างหรือไม่ยอมรับในแนวคิดนี้ มักจะถูกโจมตี ถูกข่มขู่ หรือแม้กระทั่งถูกทำลายชื่อเสียงผ่านสื่อสังคม นอกจากนี้ แนวคิด Woke ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลบประวัติศาสตร์หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อทำให้สังคมต้องปรับตัวตามอุดมการณ์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่มีการให้พื้นที่แก่ความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างบรรยากาศของความกลัวและการคุกคามทางความคิด ผลกระทบของ Woke ต่อสังคม แนวคิด Woke ไม่ได้มีเพียงผลกระทบเชิงบวกตามที่กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวอ้าง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้แนวคิด Woke ในการบังคับผู้อื่นให้ยอมรับวิถีชีวิตและอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ศาสนา หรือค่านิยมดั้งเดิมของผู้อื่น เป็นการสร้างความไม่สมานฉันท์ในระดับสากล ตัวอย่างของพิธีเปิดโอลิมปิกที่ฝรั่งเศสแสดงให้เห็นถึงการพยายามบังคับให้ทุกคนยอมรับแนวคิดนี้ผ่านทางการแสดงออกทางวัฒนธรรม ซึ่งกลับส่งผลให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โตโยต้าเลือกที่จะถอนตัวออกจากกิจกรรมดังกล่าว การตัดสินใจของโตโยต้า: บทเรียนที่สำคัญ การตัดสินใจของโตโยต้าที่ถอนตัวจากการสนับสนุนโอลิมปิกและประกาศยุติการสนับสนุนแนวคิด Woke เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับองค์กรทั่วโลก ว่าการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่มีความขัดแย้งสูง อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กรได้ การตัดสินใจของโตโยต้าแสดงให้เห็นว่าการปกป้องค่านิยมดั้งเดิมและความเชื่อของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญ และการหลีกเลี่ยงการสนับสนุนแนวคิดที่สร้างความขัดแย้งสามารถช่วยปกป้ององค์กรจากการถูกวิจารณ์ในทางลบ สุดท้ายนี้ แนวคิด Woke ที่เคยมีเจตนาดีในการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาค กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยกและการควบคุมสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว #โตโยต้า #ลัทธิWoke #ยกเลิกสนับสนุนโอลิมปิก #ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม #ผลกระทบทางการเมือง #การเคลื่อนไหวทางสังคม #วิพากษ์Woke #ปกป้องคุณค่าดั้งเดิม #ความแตกแยกในสังคม
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • #วิมานลอย

    วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง

    เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง

    และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก

    เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น

    เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์

    ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน

    ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

    เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน

    ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง

    ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน

    จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป

    ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้

    การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม

    สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม

    ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ

    นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน

    ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย
    สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า

    ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ

    #นิยายแปล
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    #วิมานลอย
    #gonewiththewind
    #หนังสือน่าอ่าน
    #สงครามกลางเมือง
    #สหรัฐอเมริกา
    #ชนชั้น
    #แรงงาน
    #บริวาร
    #ทาส
    #คนผิวดำ
    #thaitimes
    #นิยาย
    #หนังสือ
    #วิมานลอย วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์ ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้ การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ #นิยายแปล #วรรณกรรมคลาสสิก #วิมานลอย #gonewiththewind #หนังสือน่าอ่าน #สงครามกลางเมือง #สหรัฐอเมริกา #ชนชั้น #แรงงาน #บริวาร #ทาส #คนผิวดำ #thaitimes #นิยาย #หนังสือ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1641 Views 0 Reviews