“โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่แบ่งขั้วการเมือง — แต่มันกำลังเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองผ่าน ‘การสุดโต่งของชนชั้นนำ’”
บทความโดย Nathan Witkin ใน Arachne Magazine ได้โต้แย้งแนวคิดของนักปรัชญา Dan Williams ที่มองว่า “โซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” โดย Witkin เสนอว่า แม้หลักฐานเรื่อง “การแบ่งขั้วทางอารมณ์” (affective polarization) จะยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบทางการเมืองจากโซเชียลมีเดียกลับรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ
Witkin เสนอทฤษฎีใหม่ชื่อ “การสุดโต่งของชนชั้นนำ” (Elite Radicalization Theory) ซึ่งชี้ว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแบ่งขั้วกันมากขึ้นโดยตรง แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง — ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักข่าว หรืออินฟลูเอนเซอร์ — ผลิตเนื้อหาที่รุนแรง อารมณ์จัด และแบ่งขั้ว เพื่อเรียกความสนใจและรายได้จากแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับ engagement
ผลคือ คนทั่วไปที่เสพเนื้อหาเหล่านี้เริ่มมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังคมรอบตัว เช่น คิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความเป็นจริง และอาจเริ่มแสดงออกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง
งานวิจัยหลายชิ้นจากยุโรปและรัสเซียพบว่า การเข้าถึงโซเชียลมีเดียในระดับเมืองสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรง การเลือกพรรคประชานิยม และการลดความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ ซึ่ง Witkin มองว่าเป็นผลกระทบที่ “หลุดกรอบ” จากการวัดแบบเดิม เช่น affective polarization
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าโซเชียลมีเดียอาจทำให้คนจำนวนมากเลิกยึดโยงกับพรรคการเมืองหลัก และหันไปเป็น “อิสระ” มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การวัดความแบ่งขั้วแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ข้อมูลสำคัญจากบทความ
Witkin เสนอว่าโซเชียลมีเดียส่งผลร้ายต่อการเมืองผ่านการสุดโต่งของชนชั้นนำ
อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองผลิตเนื้อหาที่รุนแรงเพื่อเรียก engagement
คนทั่วไปเสพเนื้อหาเหล่านี้และเข้าใจผิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความจริง
ผลคือเกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่รุนแรง เช่น การประท้วงและ hate crime
งานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎี
การเข้าถึงโซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับการเลือกพรรคประชานิยมในยุโรป
เมืองที่ใช้ VK ในรัสเซียมีอัตรา hate crime และการประท้วงสูงขึ้น
การทดลองให้ unfollow อินฟลูเอนเซอร์สุดโต่งช่วยลดความเกลียดชังทางการเมือง
โซเชียลมีเดียกระตุ้นการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
โซเชียลมีเดียให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่าเนื้อหากลาง ๆ
คนที่โพสต์การเมืองบ่อยมักเป็นกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งไม่สะท้อนประชากรส่วนใหญ่
ความเข้าใจผิดนี้อาจกลายเป็น “คำทำนายที่ทำให้เกิดจริง” เมื่อคนเริ่มสุดโต่งตาม
จำนวนคนที่ระบุว่าเป็น “อิสระ” ทางการเมืองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลังปี 2010
https://arachnemag.substack.com/p/the-case-against-social-media-is
บทความโดย Nathan Witkin ใน Arachne Magazine ได้โต้แย้งแนวคิดของนักปรัชญา Dan Williams ที่มองว่า “โซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” โดย Witkin เสนอว่า แม้หลักฐานเรื่อง “การแบ่งขั้วทางอารมณ์” (affective polarization) จะยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบทางการเมืองจากโซเชียลมีเดียกลับรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ
Witkin เสนอทฤษฎีใหม่ชื่อ “การสุดโต่งของชนชั้นนำ” (Elite Radicalization Theory) ซึ่งชี้ว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแบ่งขั้วกันมากขึ้นโดยตรง แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง — ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักข่าว หรืออินฟลูเอนเซอร์ — ผลิตเนื้อหาที่รุนแรง อารมณ์จัด และแบ่งขั้ว เพื่อเรียกความสนใจและรายได้จากแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับ engagement
ผลคือ คนทั่วไปที่เสพเนื้อหาเหล่านี้เริ่มมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังคมรอบตัว เช่น คิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความเป็นจริง และอาจเริ่มแสดงออกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง
งานวิจัยหลายชิ้นจากยุโรปและรัสเซียพบว่า การเข้าถึงโซเชียลมีเดียในระดับเมืองสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรง การเลือกพรรคประชานิยม และการลดความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ ซึ่ง Witkin มองว่าเป็นผลกระทบที่ “หลุดกรอบ” จากการวัดแบบเดิม เช่น affective polarization
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าโซเชียลมีเดียอาจทำให้คนจำนวนมากเลิกยึดโยงกับพรรคการเมืองหลัก และหันไปเป็น “อิสระ” มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การวัดความแบ่งขั้วแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ข้อมูลสำคัญจากบทความ
Witkin เสนอว่าโซเชียลมีเดียส่งผลร้ายต่อการเมืองผ่านการสุดโต่งของชนชั้นนำ
อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองผลิตเนื้อหาที่รุนแรงเพื่อเรียก engagement
คนทั่วไปเสพเนื้อหาเหล่านี้และเข้าใจผิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความจริง
ผลคือเกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่รุนแรง เช่น การประท้วงและ hate crime
งานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎี
การเข้าถึงโซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับการเลือกพรรคประชานิยมในยุโรป
เมืองที่ใช้ VK ในรัสเซียมีอัตรา hate crime และการประท้วงสูงขึ้น
การทดลองให้ unfollow อินฟลูเอนเซอร์สุดโต่งช่วยลดความเกลียดชังทางการเมือง
โซเชียลมีเดียกระตุ้นการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
โซเชียลมีเดียให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่าเนื้อหากลาง ๆ
คนที่โพสต์การเมืองบ่อยมักเป็นกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งไม่สะท้อนประชากรส่วนใหญ่
ความเข้าใจผิดนี้อาจกลายเป็น “คำทำนายที่ทำให้เกิดจริง” เมื่อคนเริ่มสุดโต่งตาม
จำนวนคนที่ระบุว่าเป็น “อิสระ” ทางการเมืองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลังปี 2010
https://arachnemag.substack.com/p/the-case-against-social-media-is
📱 “โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่แบ่งขั้วการเมือง — แต่มันกำลังเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจทางการเมืองผ่าน ‘การสุดโต่งของชนชั้นนำ’”
บทความโดย Nathan Witkin ใน Arachne Magazine ได้โต้แย้งแนวคิดของนักปรัชญา Dan Williams ที่มองว่า “โซเชียลมีเดียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด” โดย Witkin เสนอว่า แม้หลักฐานเรื่อง “การแบ่งขั้วทางอารมณ์” (affective polarization) จะยังไม่ชัดเจน แต่ผลกระทบทางการเมืองจากโซเชียลมีเดียกลับรุนแรงและลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเข้าใจ
Witkin เสนอทฤษฎีใหม่ชื่อ “การสุดโต่งของชนชั้นนำ” (Elite Radicalization Theory) ซึ่งชี้ว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแบ่งขั้วกันมากขึ้นโดยตรง แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมือง — ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักข่าว หรืออินฟลูเอนเซอร์ — ผลิตเนื้อหาที่รุนแรง อารมณ์จัด และแบ่งขั้ว เพื่อเรียกความสนใจและรายได้จากแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับ engagement
ผลคือ คนทั่วไปที่เสพเนื้อหาเหล่านี้เริ่มมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสังคมรอบตัว เช่น คิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความเป็นจริง และอาจเริ่มแสดงออกทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือการเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้ง
งานวิจัยหลายชิ้นจากยุโรปและรัสเซียพบว่า การเข้าถึงโซเชียลมีเดียในระดับเมืองสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรง การเลือกพรรคประชานิยม และการลดความไว้วางใจในสถาบันต่าง ๆ ซึ่ง Witkin มองว่าเป็นผลกระทบที่ “หลุดกรอบ” จากการวัดแบบเดิม เช่น affective polarization
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าโซเชียลมีเดียอาจทำให้คนจำนวนมากเลิกยึดโยงกับพรรคการเมืองหลัก และหันไปเป็น “อิสระ” มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้การวัดความแบ่งขั้วแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป
✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ
➡️ Witkin เสนอว่าโซเชียลมีเดียส่งผลร้ายต่อการเมืองผ่านการสุดโต่งของชนชั้นนำ
➡️ อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองผลิตเนื้อหาที่รุนแรงเพื่อเรียก engagement
➡️ คนทั่วไปเสพเนื้อหาเหล่านี้และเข้าใจผิดว่าคนอื่นสุดโต่งกว่าความจริง
➡️ ผลคือเกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่รุนแรง เช่น การประท้วงและ hate crime
✅ งานวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎี
➡️ การเข้าถึงโซเชียลมีเดียสัมพันธ์กับการเลือกพรรคประชานิยมในยุโรป
➡️ เมืองที่ใช้ VK ในรัสเซียมีอัตรา hate crime และการประท้วงสูงขึ้น
➡️ การทดลองให้ unfollow อินฟลูเอนเซอร์สุดโต่งช่วยลดความเกลียดชังทางการเมือง
➡️ โซเชียลมีเดียกระตุ้นการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว และความขยะแขยง
✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก
➡️ โซเชียลมีเดียให้รางวัลกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์มากกว่าเนื้อหากลาง ๆ
➡️ คนที่โพสต์การเมืองบ่อยมักเป็นกลุ่มสุดโต่ง ซึ่งไม่สะท้อนประชากรส่วนใหญ่
➡️ ความเข้าใจผิดนี้อาจกลายเป็น “คำทำนายที่ทำให้เกิดจริง” เมื่อคนเริ่มสุดโต่งตาม
➡️ จำนวนคนที่ระบุว่าเป็น “อิสระ” ทางการเมืองในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นหลังปี 2010
https://arachnemag.substack.com/p/the-case-against-social-media-is
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
6 มุมมอง
0 รีวิว