• ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ##
    ..
    ..
    เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล
    .
    ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก
    .
    พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า...
    .
    “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...”
    .
    บทความ โดย โรม บุนนาค
    https://shorturl.asia/lBfp5
    ....
    ....
    ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...???
    .
    ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...???
    .
    ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...???
    .
    ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...???
    .
    และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...???
    .
    สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน
    .
    เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้
    https://shorturl.asia/wJ2vQ
    .
    ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง)
    .
    ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!!
    .
    ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย...
    .
    โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)...
    .
    ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ)
    .
    คำถามคือ คุ้มมั้ย...???
    .
    รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!!
    ...
    ...
    สรุป
    .
    คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10%
    โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    ## รัชกาลที่ 5 กับการเลิกบ่อนการพนัน...!!! ## .. .. เมื่อคราวที่ รัชกาล 5 เสด็จประพาสยุโรป ทรงเสด็จไปศึกษาบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ของ ยุโรป ที่เมือง มอนติคาโล . ทรงส่งชิปราคา 100 ฟรังก์ มาพระราชทาน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 เหรียญ เป็นที่ระลึก . พร้อมพระราชหัตถ์เลขามีความตอนหนึ่งว่า... . “ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจแล้ว ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอไรๆ หมด ถ้าชาวบางกอกรู้ได้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าสักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที ถ้ารู้ถึงผู้ดีเล่นเบี้ยของเรา น่ากลัวอย่างยิ่ง จะดื่มไม่เงย แต่ฉันเปนคนไม่เล่นเบี้ยเลย ยังนึกรู้สึกสนุก ...” . บทความ โดย โรม บุนนาค https://shorturl.asia/lBfp5 .... .... ปีนี้ รัฐบาล จะมอบ คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ ถูกกฎหมาย ให้ประเทศไทย...??? . ไอ้คำขวัญวันเด็กปี 2568 ที่ว่า "ทุกโอกาสคือการเรียนรู้" ให้เรียนรู้อะไรครับ...??? . ให้เด็กๆเรียนรู้กับบ่อนการพนัน...??? . ให้เด็กเรียนรู้ เป็นนักแจกไพ่...??? . และที่ว่า GDP จะโต ก็คือ เรื่องโกหก...??? . สภาพัฒน์ บอกว่า เงินพนันนี้ เป็นเงินโอน คือ เงินพนัน ไหลจาก นักพนัน ไปสู่เจ้าของบ่อนพนัน . เงินจากการพนันมีลักษณะเป็น "เงินโอน (Transfer)" จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจเนื่องจากไม่ทำให้เกิดผลผลิต (Production) ดังนั้น ธุรกิจ กาสิโน อาจจะไม่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่มีการคาดการณ์ไว้ https://shorturl.asia/wJ2vQ . ผู้ที่จะได้ประโยชน์หลัก คือเจ้าของบ่อน ซึ่งก็คือ ทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ กับทุนภายในประเทศ (ซึ่งบางคนเชื่อว่าเป็นทุนการเมือง) . ดังนั้น จะไม่มีผลต่อ GDP เท่าไหร่ เพราะเงินเล่นพนันไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อะไร ไม่สามารถ เจนเนอร์เรส GDP ให้โตได้...!!! . ตัวเลขการจ้างงานจาก คาสิโน จะมีเพีบงประมาณ 9,000 -15,300 ตำแหน่ง โดย ตำแหน่งพนักการเสิร์ฟน้ำและอาหาร พนักงานแจกไพ่ ไม่ได้ช่วยให้มีแรงงานไทยเพิ่มทักษะเพิ่ม Skill มีฝีมือ อะไรเพิ่มเติมได้เลย... . โดยอ้างว่าจะมีตัวเลขจากการท่องเทียวเพิ่มขึ้น 1 - 4 แสนล้าน (ตัวเลขกลมๆ)... . ขณะเดียวกันก็ระบุว่า จะมีรายได้จากภาษี 1 - 3 หมื่นล้าน ต่อปี (ตัวเลขกลมๆ) . คำถามคือ คุ้มมั้ย...??? . รัฐได้รายได้มาไม่ถึง 10% แต่ปัญหาสังคมที่จะตามมาอีกมากมายไม่รู้กี่เรื่อง...!!! ... ... สรุป . คนได้ประโยชน์หลัก คือ เจ้าของบ่อน แลกกับ รายได้ของรัฐไม่ถึง 10% โดยการ "เซ่นสังเวย ประชาชน" ด้วยการ "ก่อปัญหาสังคม" ให้ประเทศ แลก กับกำไรของ เจ้าของบ่อน ใช่หรือไม่...???
    SHORTURL.ASIA
    ร.๕ กับการเลิกบ่อนการพนัน! ที่ว่าไม่สนุกนั้นไม่จริงเลย ฉันเป็นคนไม่เล่นเบี้ยยังรู้สึกสนุก!!
    ในสมัยก่อน ระบบการเก็บภาษียังไม่กว้างขวางพอที่จะหาเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ บ่อนการพนันจึงเป็นอีกทางหนึ่งของรายได้รัฐ และได้มากเสียด้วย แต่การพนันก็ทำให้คนลุ่มหลงได้ง่าย จนไม่ยอมทำมาหากิน เป็นหนี้เป็นสิน เสียผู้เสียคน ทำให้ครอบครั
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว
    รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี
    ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4%

    เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี

    อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี)

    ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9%

    ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

    จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า


    เงินเฟ้อและการจ้างงาน
    ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^
    core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน

    การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน
    .......................................
    เพิ่มเติม
    1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง
    2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง)
    3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
    4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ
    5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน
    6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน
    #เศรษฐกิจ


    ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4% เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี) ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9% ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า เงินเฟ้อและการจ้างงาน ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^ core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน ....................................... เพิ่มเติม 1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง 2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง) 3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า 4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ 5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน 6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตความมั่นคงสหรัฐฯ! DJI ปลดล็อกโดรน 6 แสนลำ บินเสรีเหนือทำเนียบขาว-รัฐสภา หลังถูกกดดันแบนสินค้า

    ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุด หลัง DJI ผู้ผลิตโดรนยักษ์ใหญ่จากจีนที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 90% ประกาศยกเลิกระบบกำหนดเขตห้ามบิน มีผล 13 มกราคม 2568

    ส่งผลให้โดรนกว่า 600,000 ลำสามารถบินเหนือพื้นที่หวงห้ามได้อย่างเสรี อาทิ ทำเนียบขาว รัฐสภา สนามบิน ฐานทัพ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสถานที่ราชการสำคัญ

    การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเผชิญแรงกดดันหนักจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2562 ที่ห้ามกระทรวงกลาโหมซื้อโดรนจีน ตามด้วยการขึ้นบัญชี DJI เป็นบริษัททหารจีนในปี 2564 ล่าสุดถูกกล่าวหาใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิต นำไปสู่การระงับนำเข้า พร้อมกับการผ่านร่าง Countering CCP Drones Act ที่อาจนำไปสู่การแบนสินค้าโดยสิ้นเชิง

    ยิ่งไปกว่านั้น การยกเลิกระบบความปลอดภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุโดรน DJI Mini ชนเครื่องบินดับเพลิงที่ลอสแองเจลิส และในช่วงเวลาสำคัญก่อนพิธีสาบานตนประธานาธิบดี ด้าน DJI แถลงคัดค้านข้อกล่าวหาว่าไร้มูลความจริงและสะท้อนอคติต่อชาวต่างชาติ


    https://www.imctnews.com/news_details-news-6184.html
    วิกฤตความมั่นคงสหรัฐฯ! DJI ปลดล็อกโดรน 6 แสนลำ บินเสรีเหนือทำเนียบขาว-รัฐสภา หลังถูกกดดันแบนสินค้า ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุด หลัง DJI ผู้ผลิตโดรนยักษ์ใหญ่จากจีนที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 90% ประกาศยกเลิกระบบกำหนดเขตห้ามบิน มีผล 13 มกราคม 2568 ส่งผลให้โดรนกว่า 600,000 ลำสามารถบินเหนือพื้นที่หวงห้ามได้อย่างเสรี อาทิ ทำเนียบขาว รัฐสภา สนามบิน ฐานทัพ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสถานที่ราชการสำคัญ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเผชิญแรงกดดันหนักจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2562 ที่ห้ามกระทรวงกลาโหมซื้อโดรนจีน ตามด้วยการขึ้นบัญชี DJI เป็นบริษัททหารจีนในปี 2564 ล่าสุดถูกกล่าวหาใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิต นำไปสู่การระงับนำเข้า พร้อมกับการผ่านร่าง Countering CCP Drones Act ที่อาจนำไปสู่การแบนสินค้าโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น การยกเลิกระบบความปลอดภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังอุบัติเหตุโดรน DJI Mini ชนเครื่องบินดับเพลิงที่ลอสแองเจลิส และในช่วงเวลาสำคัญก่อนพิธีสาบานตนประธานาธิบดี ด้าน DJI แถลงคัดค้านข้อกล่าวหาว่าไร้มูลความจริงและสะท้อนอคติต่อชาวต่างชาติ https://www.imctnews.com/news_details-news-6184.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอง ถ้าทะลุ $2717 จะกลับมาเป็นขาขึ้น follow buy ได้
    ได้แรงหนุนจาก ดอลลาร์อ่อนค่า
    ตลาดคาด เฟดจะลดดอกเบี้ยประมาณช่วงกลางปีได้ 1 ครั้ง แต่ยังต้องจับตาดูตัวเลขจากตลาดแรงงาน
    #ทอง #gold
    ทอง ถ้าทะลุ $2717 จะกลับมาเป็นขาขึ้น follow buy ได้ ได้แรงหนุนจาก ดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดคาด เฟดจะลดดอกเบี้ยประมาณช่วงกลางปีได้ 1 ครั้ง แต่ยังต้องจับตาดูตัวเลขจากตลาดแรงงาน #ทอง #gold
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงแรงงานขานรับ Soft Power ผลักดันงานปักผ้าด้นมือภูมิปัญญาท้องถิ่น
    https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1241444617453400
    กระทรวงแรงงานขานรับ Soft Power ผลักดันงานปักผ้าด้นมือภูมิปัญญาท้องถิ่น https://www.facebook.com/pradenrath/posts/1241444617453400
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายกฯ บอกสื่อให้รอสัมภาษณ์เรื่อง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หลังประชุม ครม.

    เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนการประชุมผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ในที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวรอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม.

    เมื่อถามอีกว่าต่อไปนี้จะลงพื้นที่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบเช่นเดิมว่า ไว้รอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม.

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้มีรัฐมนตรีแจ้งลาการประชุม 6 คน ได้แก่ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย 2.นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 3.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน 4.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม 5.นายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ลา ครม.เนื่องจากติดภารกิจตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.30 น.นายอนุทิน ได้เดินทางกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปหลังเสร็จภารกิจที่จังหวัดชลบุรี

    #MGROnline #เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์
    นายกฯ บอกสื่อให้รอสัมภาษณ์เรื่อง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หลังประชุม ครม. • เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ม.ค. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนการประชุมผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ในที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวรอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม. • เมื่อถามอีกว่าต่อไปนี้จะลงพื้นที่บ่อยๆ ใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบเช่นเดิมว่า ไว้รอสัมภาษณ์หลังประชุม ครม. • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้มีรัฐมนตรีแจ้งลาการประชุม 6 คน ได้แก่ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย 2.นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 3.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน 4.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม 5.นายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ 6.น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ลา ครม.เนื่องจากติดภารกิจตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง จ.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.30 น.นายอนุทิน ได้เดินทางกลับมาประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปหลังเสร็จภารกิจที่จังหวัดชลบุรี • #MGROnline #เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.103 : สิงคโปร์ รับมือวิกฤตประชากรอย่างไร?
    .
    นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ก่อตั้ง เทสลา, Space X และเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เคยทวีตข้อความว่า “สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศกำลังจะหายไป” เพราะว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่น้อย ประชากรของประเทศก็จะมีแต่ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงงานจะขาดแคลน ทุกคนก็ต้องทำงานหนักขึ้น หรือทำงานจนแทบจะไม่มีวันเกษียณอายุ ประเทศก็มีภาระสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่ว่าจำนวนคนที่ทำงานและเสียภาษีกลับลดน้อยลง และเมื่อไม่มีประชากรรุ่นใหม่ ประเทศอย่าง สิงคโปร์ ที่มีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน ก็อาจจะหายไปแบบที่ นายอีลอน มัสก์ บอกก็เป็นได้ ......
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=zZVzvRdgEUE
    บูรพาไม่แพ้ Ep.103 : สิงคโปร์ รับมือวิกฤตประชากรอย่างไร? . นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ก่อตั้ง เทสลา, Space X และเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X เคยทวีตข้อความว่า “สิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศกำลังจะหายไป” เพราะว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่น้อย ประชากรของประเทศก็จะมีแต่ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงงานจะขาดแคลน ทุกคนก็ต้องทำงานหนักขึ้น หรือทำงานจนแทบจะไม่มีวันเกษียณอายุ ประเทศก็มีภาระสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่ว่าจำนวนคนที่ทำงานและเสียภาษีกลับลดน้อยลง และเมื่อไม่มีประชากรรุ่นใหม่ ประเทศอย่าง สิงคโปร์ ที่มีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน ก็อาจจะหายไปแบบที่ นายอีลอน มัสก์ บอกก็เป็นได้ ...... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=zZVzvRdgEUE
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุรีรัมย์- แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ กว่า 100 คน ถูกสาวแสบอ้างเป็น จนท.สถานทูต หลอกจะพาไปทำงานที่ออสเตรเลีย สูญเงินรายละ 6 หมื่นถึง 1.2 แสน รวมกว่า 6 ล้าน ก่อนปล่อยลอยแพที่สนามบิน ญาติ ตร.โดนหลอกด้วย โอดบางคนกู้ยืมมาหวังได้ค่าแรงเดือนหลักแสนกลับเป็นหนี้สินเพิ่ม จัดหางานรุดลงพื้นที่รับคำร้องและสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งความเอาผิดนายหน้าเถื่อนแสบ

    วันนี้ (7 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ละอองทอง จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ นำทีมเจ้าหน้าที่จัดหางานลงพื้นที่ สภ.พุทไธสง เพื่อรับคำร้องและสอบสวนข้อเท็จจริงจากแรงงานที่ถูก น.ส.ธมลวรรณ หรือออย อายุ 28 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ อ.พุทไธสง หลอกลวงจะพาไปทำงานเกษตร โรงแรม และร้านอาหาร ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ปล่อยลอยแพที่สนามบิน และโรงแรมที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินทางไปทำงานจริงตามที่กล่าวอ้าง สูญเงินรายละ 60,000 - 120,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมคำร้องและหลักฐานจากแรงงานผู้เสียหาย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง เพื่อเอาผิดตามกับ น.ส.ออย นายหน้าแสบที่หลอกลวงแรงงานด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001666

    #MGROnline #บุรีรัมย์ #ออสเตรเลีย
    บุรีรัมย์- แรงงานชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ กว่า 100 คน ถูกสาวแสบอ้างเป็น จนท.สถานทูต หลอกจะพาไปทำงานที่ออสเตรเลีย สูญเงินรายละ 6 หมื่นถึง 1.2 แสน รวมกว่า 6 ล้าน ก่อนปล่อยลอยแพที่สนามบิน ญาติ ตร.โดนหลอกด้วย โอดบางคนกู้ยืมมาหวังได้ค่าแรงเดือนหลักแสนกลับเป็นหนี้สินเพิ่ม จัดหางานรุดลงพื้นที่รับคำร้องและสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งความเอาผิดนายหน้าเถื่อนแสบ • วันนี้ (7 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรีสมชาย ละอองทอง จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ นำทีมเจ้าหน้าที่จัดหางานลงพื้นที่ สภ.พุทไธสง เพื่อรับคำร้องและสอบสวนข้อเท็จจริงจากแรงงานที่ถูก น.ส.ธมลวรรณ หรือออย อายุ 28 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ อ.พุทไธสง หลอกลวงจะพาไปทำงานเกษตร โรงแรม และร้านอาหาร ที่ประเทศออสเตรเลีย แต่ปล่อยลอยแพที่สนามบิน และโรงแรมที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินทางไปทำงานจริงตามที่กล่าวอ้าง สูญเงินรายละ 60,000 - 120,000 บาท พร้อมกันนี้ยังได้รวบรวมคำร้องและหลักฐานจากแรงงานผู้เสียหาย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง เพื่อเอาผิดตามกับ น.ส.ออย นายหน้าแสบที่หลอกลวงแรงงานด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000001666 • #MGROnline #บุรีรัมย์ #ออสเตรเลีย
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี :

    การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว

    เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS

    หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด

    ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    ฮาคาน ฟิดาน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองของตุรกี : การกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย YPG/PKK ออกจากซีเรียใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อนุญาตให้ PKK มีอำนาจทางทหารเพิ่มขึ้นภายใต้ข้ออ้างเพื่อใช้ในการต่อสู้กับ ISIS หากประเทศใดที่มีเจตนาแอบแฝง และตั้งใจที่ใช้ PKK บังหน้า โดยใช้ข้ออ้างเพื่อต่อสู้กับ ISIS จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เราพร้อมที่จะทำลายแผนการนี้ทั้งหมด ที่ผ่านมาพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) ถูกกล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมาโดยตลอด แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะประกาศให้กลุ่ม PKK เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติมาตั้งแต่ปี 1997 ก็ตาม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5//68

    การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

    เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้

    แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย

    สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง

    ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร

    การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้

    และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด

    เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW)
    สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน

    UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า

    ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง***

    1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที

    2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต

    3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน

    4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน***

    ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น

    แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา***

    #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง###

    ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น***

    ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว

    ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป

    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง***

    เดชา นฤนารท .

    4/1/68 11.25 น.
    5//68 การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้ และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW) สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง*** 1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที 2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต 3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน 4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน*** ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา*** #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง### ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น*** ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง*** เดชา นฤนารท . 4/1/68 11.25 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายเดวิด เบอร์ริตต์( David B. Burritt )ประธานและ CEO ของ U.S. Steel เดือดจัดออกหนังสือด่าไบเดนยับข้อหาล้มดีลยักษ์มูลค่า14,900 ดอลลาร์สหรัฐ(480,000 ล้านบาท) กับบริษัท นิปปอนสตีล ของญี่ปุ่น

    บริษัท Nippon Steel และ U.S. Steel กล่าวว่าการตัดสินใจของ Biden แสดงให้เห็นว่าการขัดขวางข้อตกลงดังกล่าวนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทุจริต
    นายเดวิด เบอร์ริตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ U.S. Steel เรียกการกระทำของนายไบเดนว่า "น่าละอายและฉ้อฉล" และเสริมว่า นายไบเดนได้ดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญยิ่งของสหรัฐ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง โดยแถลงการณ์ประณามไบเดน ข้อหาล้มดีลยักษ์กับบริษัทนิปปอน สตีล ของญี่ปุ่นว่า
    ”การกระทำของปธน.ไบเดนในวันนี้น่าละอายและฉ้อฉล เขาให้ผลตอบแทนทางการเมืองแก่หัวหน้าสหภาพแรงงาน ในขณะที่ทำร้ายอนาคตของบริษัท, คนงานของเราและความมั่นคงของชาติ เขาดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติที่สำคัญ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่งกำลังเต้นรำบนถนน และไบเดนทำทั้งหมดนี้โดยปฏิเสธที่จะพบกับเราเพื่อรับรู้ข้อเท็จจริง
    พนักงานและชุมชนของเราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เราต้องการประธานาธิบดี. ซึ่งทำงานหนักและรู้วิธีทำข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับอเมริกา อย่าเข้าใจผิด: การลงทุนนี้คือสิ่งที่รับประกันอนาคตที่ยิ่งใหญ่สำหรับ U. S. Steel พนักงานของเรา ชุมชนของเรา และประเทศของเรา เราตั้งใจที่จะต่อสู้กับการทุจริตทางการเมืองของประธานาธิบดีไบเดน“
    บริษัททั้งสองแห่งขู่ว่าจะฟ้องรัฐบาลหากข้อตกลงดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่3มกราคมนี้ว่าจะ "ดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายของพวกเขา" และระบุในแถลงการณ์ว่า "เราเชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนได้ทำลายอนาคตของคนงานโรงงานเหล็กชาวอเมริกันเพื่อวาระทางการเมืองของตัวเอง" และเสริมว่าการขัดขวางครั้งนี้ส่ง "ข้อความอันน่าสะพรึงกลัวไปยังบริษัทใดๆ ก็ตามที่มีฐานอยู่ในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่กำลังพิจารณาลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐฯ"
    ผลเสียหายที่ Nippon Steel อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาจำนวน 565 ล้านดอลลาร์หรือราว 19,000 ล้านบาทให้กับ US Steel หากข้อตกลงดังกล่าวไม่ผ่าน นอกจากนี้ทางบริษัทยังต้องประเมินกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐใหม่ ซึ่งคาดว่าอุปสงค์จะยังคงมีเสถียรภาพ
    เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่าพวกเขาผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ “มีความกังวลอย่างมากจากวงการเศรษฐกิจทั้งของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของญี่ปุ่น กล่าวในแถลงการณ์ถึงรอยเตอร์
    การตัดสินใจของประธานาธิบดี โจ ไบเดนเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากที่Nippon Steel ประกาศข้อตกลงมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์ (12 พันล้านปอนด์)เพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งUSS Steel ที่มีขนาดเล็กกว่าและมีฐานอยู่ในเพนซิลเวเนีย เป็นครั้งแรก
    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญๆ เกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าของบริษัทUSS Steel  ซึ่งมีชื่อเสียงกว่า 124 ปี และครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของอเมริกา แต่ปัจจุบันก็ความสำคัญลดน้อยลงไปมาก
    บริษัทUSS Steel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาผู้ซื้อรายอื่นก่อนที่จะประกาศความร่วมมือกับบริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในเดือนธันวาคม 2023
    บริษัท US Steel ได้เตือนว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานโดยไม่ได้ผู้ร่วมลงทุนเจ้าของใหม่ ความกังวลนี้ได้รับการสะท้อนจากพนักงานบางส่วนและนักการเมืองท้องถิ่น
    บริษัททั้งสองแห่งให้คำมั่นว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงานและยอมประนีประนอมในประเด็นอื่น ๆ เพื่อพยายามหาเสียงสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว เมื่อสัปดาห์นี้เอง บริษัททั้งสองแห่งเสนอที่จะให้ทุนสนับสนุนศูนย์ฝึกอบรมแรงงาน และมีรายงานว่าให้สิทธิ์รัฐบาลในการยับยั้งการลดการผลิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
    แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่สามารถโน้มน้าวใจไบเดน ซึ่งออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อต้นปีที่แล้ว เนื่องจากอยู่ระหว่างฤดูกาลเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้นขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่จะมีบทบาท 
    ธุรกรรมดังกล่าวยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ ซึ่งการอุทธรณ์ต่อคนงานสหภาพแรงงานของเขาถือเป็นส่วนสำคัญของข้อความหาเสียงของพวกเขา
    คณะกรรมการรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ทบทวนข้อตกลงและความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ส่งผลให้ไบเดนต้องตัดสินใจแทน โดยเขาต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 15 วัน
    ในประกาศของประธานาธิบีไบเดนเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มกราคมนี้  เขากล่าวว่าการเป็นเจ้าของUSS Steel โดยบริษัทชาวต่างชาตินั้นมีความเสี่ยงต่อความมั่นคง และสั่งให้บริษัททั้งสอง ยกเลิกข้อตกลงภายใน 30 วัน
    “อุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่เป็นเจ้าของและดำเนินการในประเทศที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกด้านความมั่นคงของชาติและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น” เขากล่าว
    “นั่นเป็นเพราะเหล็กกล้าเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศของเรา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมยานยนต์ และฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หากไม่มีการผลิตเหล็กกล้าในประเทศและแรงงานจากเหล็กกล้าในประเทศ ประเทศของเราจะไม่แข็งแกร่งและปลอดภัย”
    สหภาพแรงงานคนงานเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา เรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น "การตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับสมาชิกและความมั่นคงของชาติของเรา" และกล่าวว่าการคัดค้านของสหภาพฯ เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้
    “เรารู้สึกขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนที่เต็มใจดำเนินการอันกล้าหาญเพื่อรักษาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในประเทศให้แข็งแกร่ง และสำหรับความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของเขาที่มีต่อคนงานชาวอเมริกัน” เดวิด แมคคอลล์ประธานสหภาพUnited Steelworkers กล่าว
    ศาสตราจารย์สตีเฟน นาจี จากภาควิชาการเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคริสเตียนนานาชาติแห่งโตเกียว เรียกการตัดสินใจของไบเดนว่าเป็น "เรื่องการเมือง" โดยระบุว่ารัฐบาลตั้งแต่แรกเริ่มได้สัญญาไว้ถึงนโยบายต่างประเทศ "สำหรับชนชั้นกลาง"
    “นี่คือการตอบสนองโดยตรงและสานต่อแผนงาน MAGA ของทรัมป์ในการทำให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขากล่าว “รัฐบาลของไบเดนไม่สามารถแสดงท่าทีอ่อนแอต่อธุรกิจต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูก็ตาม”
    จอห์น เคอร์บี้ โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรญี่ปุ่น โดยกล่าวว่าไบเดนได้ชี้แจงชัดเจนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ "ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลญี่ปุ่น"
    “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตเหล็กกล้าของสหรัฐฯ และการรักษาให้ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของโดยชาวอเมริกัน” เขากล่าวในการแถลงข่าว
    หุ้นของบริษัท US Steel ร่วงลงมากกว่า 5% ในวันศุกร์
    นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจไม่ถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลง คำสั่งของไบเดนระบุว่าคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ สามารถขยายเวลา 30 วันในการยกเลิกธุรกรรมดังกล่าวได้
    ศาสตราจารย์ Nagy กล่าวว่าเขาคิดว่าบริษัทต่างๆ อาจตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งภายใต้การนำของทรัมป์ โดยอาจเสนอเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีคนใหม่สามารถอ้างได้ว่าเขาเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าได้
    นักวิเคราะห์การเมือง Terry Haines จาก Pangaea Policy กล่าวด้วยเช่นกันว่า แม้ทรัมป์จะวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าว แต่เขาอาจมีเหตุผลให้พิจารณาการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้ง
    “สิ่งหนึ่งที่ยากในการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ” เขากล่าว “รัฐบาลมีภาระทางหลักฐานมากมายในการพิสูจน์สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยง”

    นายเดวิด เบอร์ริตต์( David B. Burritt )ประธานและ CEO ของ U.S. Steel เดือดจัดออกหนังสือด่าไบเดนยับข้อหาล้มดีลยักษ์มูลค่า14,900 ดอลลาร์สหรัฐ(480,000 ล้านบาท) กับบริษัท นิปปอนสตีล ของญี่ปุ่น บริษัท Nippon Steel และ U.S. Steel กล่าวว่าการตัดสินใจของ Biden แสดงให้เห็นว่าการขัดขวางข้อตกลงดังกล่าวนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทุจริต นายเดวิด เบอร์ริตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ U.S. Steel เรียกการกระทำของนายไบเดนว่า "น่าละอายและฉ้อฉล" และเสริมว่า นายไบเดนได้ดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญยิ่งของสหรัฐ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยง โดยแถลงการณ์ประณามไบเดน ข้อหาล้มดีลยักษ์กับบริษัทนิปปอน สตีล ของญี่ปุ่นว่า ”การกระทำของปธน.ไบเดนในวันนี้น่าละอายและฉ้อฉล เขาให้ผลตอบแทนทางการเมืองแก่หัวหน้าสหภาพแรงงาน ในขณะที่ทำร้ายอนาคตของบริษัท, คนงานของเราและความมั่นคงของชาติ เขาดูหมิ่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติที่สำคัญ และทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่งกำลังเต้นรำบนถนน และไบเดนทำทั้งหมดนี้โดยปฏิเสธที่จะพบกับเราเพื่อรับรู้ข้อเท็จจริง พนักงานและชุมชนของเราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ เราต้องการประธานาธิบดี. ซึ่งทำงานหนักและรู้วิธีทำข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับอเมริกา อย่าเข้าใจผิด: การลงทุนนี้คือสิ่งที่รับประกันอนาคตที่ยิ่งใหญ่สำหรับ U. S. Steel พนักงานของเรา ชุมชนของเรา และประเทศของเรา เราตั้งใจที่จะต่อสู้กับการทุจริตทางการเมืองของประธานาธิบดีไบเดน“ บริษัททั้งสองแห่งขู่ว่าจะฟ้องรัฐบาลหากข้อตกลงดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่3มกราคมนี้ว่าจะ "ดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมายของพวกเขา" และระบุในแถลงการณ์ว่า "เราเชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนได้ทำลายอนาคตของคนงานโรงงานเหล็กชาวอเมริกันเพื่อวาระทางการเมืองของตัวเอง" และเสริมว่าการขัดขวางครั้งนี้ส่ง "ข้อความอันน่าสะพรึงกลัวไปยังบริษัทใดๆ ก็ตามที่มีฐานอยู่ในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่กำลังพิจารณาลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐฯ" ผลเสียหายที่ Nippon Steel อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาจำนวน 565 ล้านดอลลาร์หรือราว 19,000 ล้านบาทให้กับ US Steel หากข้อตกลงดังกล่าวไม่ผ่าน นอกจากนี้ทางบริษัทยังต้องประเมินกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐใหม่ ซึ่งคาดว่าอุปสงค์จะยังคงมีเสถียรภาพ เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่าพวกเขาผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ “มีความกังวลอย่างมากจากวงการเศรษฐกิจทั้งของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของญี่ปุ่น กล่าวในแถลงการณ์ถึงรอยเตอร์ การตัดสินใจของประธานาธิบดี โจ ไบเดนเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากที่Nippon Steel ประกาศข้อตกลงมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์ (12 พันล้านปอนด์)เพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งUSS Steel ที่มีขนาดเล็กกว่าและมีฐานอยู่ในเพนซิลเวเนีย เป็นครั้งแรก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญๆ เกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าของบริษัทUSS Steel  ซึ่งมีชื่อเสียงกว่า 124 ปี และครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของอเมริกา แต่ปัจจุบันก็ความสำคัญลดน้อยลงไปมาก บริษัทUSS Steel ใช้เวลาหลายเดือนในการหาผู้ซื้อรายอื่นก่อนที่จะประกาศความร่วมมือกับบริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในเดือนธันวาคม 2023 บริษัท US Steel ได้เตือนว่าบริษัทอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานโดยไม่ได้ผู้ร่วมลงทุนเจ้าของใหม่ ความกังวลนี้ได้รับการสะท้อนจากพนักงานบางส่วนและนักการเมืองท้องถิ่น บริษัททั้งสองแห่งให้คำมั่นว่าจะไม่เลิกจ้างพนักงานและยอมประนีประนอมในประเด็นอื่น ๆ เพื่อพยายามหาเสียงสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว เมื่อสัปดาห์นี้เอง บริษัททั้งสองแห่งเสนอที่จะให้ทุนสนับสนุนศูนย์ฝึกอบรมแรงงาน และมีรายงานว่าให้สิทธิ์รัฐบาลในการยับยั้งการลดการผลิตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่สามารถโน้มน้าวใจไบเดน ซึ่งออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าวเมื่อต้นปีที่แล้ว เนื่องจากอยู่ระหว่างฤดูกาลเลือกตั้งที่กำลังเข้มข้นขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐสำคัญที่จะมีบทบาท  ธุรกรรมดังกล่าวยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประธานาธิบดีคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ ซึ่งการอุทธรณ์ต่อคนงานสหภาพแรงงานของเขาถือเป็นส่วนสำคัญของข้อความหาเสียงของพวกเขา คณะกรรมการรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ทบทวนข้อตกลงและความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ส่งผลให้ไบเดนต้องตัดสินใจแทน โดยเขาต้องดำเนินการภายในระยะเวลา 15 วัน ในประกาศของประธานาธิบีไบเดนเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มกราคมนี้  เขากล่าวว่าการเป็นเจ้าของUSS Steel โดยบริษัทชาวต่างชาตินั้นมีความเสี่ยงต่อความมั่นคง และสั่งให้บริษัททั้งสอง ยกเลิกข้อตกลงภายใน 30 วัน “อุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่เป็นเจ้าของและดำเนินการในประเทศที่แข็งแกร่งถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกด้านความมั่นคงของชาติและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น” เขากล่าว “นั่นเป็นเพราะเหล็กกล้าเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศของเรา ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมยานยนต์ และฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หากไม่มีการผลิตเหล็กกล้าในประเทศและแรงงานจากเหล็กกล้าในประเทศ ประเทศของเราจะไม่แข็งแกร่งและปลอดภัย” สหภาพแรงงานคนงานเหล็กกล้าแห่งสหรัฐอเมริกา เรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น "การตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับสมาชิกและความมั่นคงของชาติของเรา" และกล่าวว่าการคัดค้านของสหภาพฯ เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้ “เรารู้สึกขอบคุณประธานาธิบดีไบเดนที่เต็มใจดำเนินการอันกล้าหาญเพื่อรักษาอุตสาหกรรมเหล็กกล้าในประเทศให้แข็งแกร่ง และสำหรับความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของเขาที่มีต่อคนงานชาวอเมริกัน” เดวิด แมคคอลล์ประธานสหภาพUnited Steelworkers กล่าว ศาสตราจารย์สตีเฟน นาจี จากภาควิชาการเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยคริสเตียนนานาชาติแห่งโตเกียว เรียกการตัดสินใจของไบเดนว่าเป็น "เรื่องการเมือง" โดยระบุว่ารัฐบาลตั้งแต่แรกเริ่มได้สัญญาไว้ถึงนโยบายต่างประเทศ "สำหรับชนชั้นกลาง" “นี่คือการตอบสนองโดยตรงและสานต่อแผนงาน MAGA ของทรัมป์ในการทำให้ประเทศอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เขากล่าว “รัฐบาลของไบเดนไม่สามารถแสดงท่าทีอ่อนแอต่อธุรกิจต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือศัตรูก็ตาม” จอห์น เคอร์บี้ โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรญี่ปุ่น โดยกล่าวว่าไบเดนได้ชี้แจงชัดเจนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ "ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลญี่ปุ่น" “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตเหล็กกล้าของสหรัฐฯ และการรักษาให้ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของโดยชาวอเมริกัน” เขากล่าวในการแถลงข่าว หุ้นของบริษัท US Steel ร่วงลงมากกว่า 5% ในวันศุกร์ นักวิเคราะห์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจไม่ถือเป็นการสิ้นสุดข้อตกลง คำสั่งของไบเดนระบุว่าคณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ สามารถขยายเวลา 30 วันในการยกเลิกธุรกรรมดังกล่าวได้ ศาสตราจารย์ Nagy กล่าวว่าเขาคิดว่าบริษัทต่างๆ อาจตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งภายใต้การนำของทรัมป์ โดยอาจเสนอเงื่อนไขที่แตกต่างออกไปซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีคนใหม่สามารถอ้างได้ว่าเขาเจรจาข้อตกลงที่ดีกว่าได้ นักวิเคราะห์การเมือง Terry Haines จาก Pangaea Policy กล่าวด้วยเช่นกันว่า แม้ทรัมป์จะวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงดังกล่าว แต่เขาอาจมีเหตุผลให้พิจารณาการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้ง “สิ่งหนึ่งที่ยากในการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือ ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ” เขากล่าว “รัฐบาลมีภาระทางหลักฐานมากมายในการพิสูจน์สิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการหลีกเลี่ยง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC เริ่มสร้างโรงงาน Fab 21 ใกล้เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา บริษัทได้ส่งพนักงานที่มีทักษะมากกว่า 1,000 คนจากไต้หวันเพื่อให้โครงการเสร็จสิ้นตามเวลาและงบประมาณ ซึ่งทำให้สหภาพแรงงานในรัฐแอริโซนาไม่พอใจ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการแย่งงานจากคนท้องถิ่น และยังมีการฟ้องร้องเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ

    ปัจจุบัน ประมาณครึ่งหนึ่งของพนักงาน 2,200 คนที่โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนามาจากไต้หวัน แต่ TSMC คาดว่าจำนวนพนักงานชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทสร้างเฟสเพิ่มเติมของโรงงานในอีกห้าปีข้างหน้า โครงการนี้คาดว่าจะสร้างงานที่มีรายได้ดีประมาณ 6,000 ตำแหน่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/50-percent-of-tsmcs-arizona-employees-are-from-taiwan-despite-recent-controversies-company-plans-to-hire-more-us-workers-over-time
    TSMC เริ่มสร้างโรงงาน Fab 21 ใกล้เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา บริษัทได้ส่งพนักงานที่มีทักษะมากกว่า 1,000 คนจากไต้หวันเพื่อให้โครงการเสร็จสิ้นตามเวลาและงบประมาณ ซึ่งทำให้สหภาพแรงงานในรัฐแอริโซนาไม่พอใจ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการแย่งงานจากคนท้องถิ่น และยังมีการฟ้องร้องเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ปัจจุบัน ประมาณครึ่งหนึ่งของพนักงาน 2,200 คนที่โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนามาจากไต้หวัน แต่ TSMC คาดว่าจำนวนพนักงานชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทสร้างเฟสเพิ่มเติมของโรงงานในอีกห้าปีข้างหน้า โครงการนี้คาดว่าจะสร้างงานที่มีรายได้ดีประมาณ 6,000 ตำแหน่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/50-percent-of-tsmcs-arizona-employees-are-from-taiwan-despite-recent-controversies-company-plans-to-hire-more-us-workers-over-time
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Half of TSMC's Arizona staff are Taiwanese, despite recent controversies
    TSMC plans to add more American workers at the Fab 21 site in Arizona.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทูตแรงงานไทยในเกาหลี เผยตรวจสอบเบื้องต้น พบคนไทยบนเครื่องเจจูแอร์ที่ประสบอุบัติเหตุในเกาหลี ยังไม่ทราบชะตากรรม ล่าสุดสำนักข่าวยอนฮัปของเกากลีใต้คาดมีผู้เสียชีวิตเกือบยกลำ รอดแค่ 2 คน

    นางศิริรัตน์ ศรีชาติ ผู้ช่วยทูตฝ่ายแรงงาน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ทำหนังสือด่วนแจ้ง ผู้บริหารกระทรวงแรงงานว่า

    จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 เวลาท้องถิ่นประมาณ 09.07 น. สายการบินเจจูแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 7C 2216 ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าสู่สนามบินมูอันเมืองชอลลานัมโด สาธารณรัฐเกาหลี ประสบอุบัติเหตุเนื่องจากขณะจะลงจอดล้อของเครื่องบินไม่กางออกทำให้ตัวเครื่องบินไถลไปตามรันเวย์ เครื่องบินไฟไหม้ มีผู้เสียชีวิตหลายราย จากผู้โดยสารทั้งหมด 175 ราย ลูกเรือ 6 คน

    เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีผู้โดยสารคนไทยเดินทางกลับจากสายการบินดังกล่าวจำนวน 2 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

    ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานทูต ประเทศไทย ณ กรุงโซล จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป

    ล่าสุดสำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากหน่วยดับเพลิงคาดมีผู้เสียชีวิตเกือบยกลำ ช่วยเหลือออกมาได้แค่ 2 คน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000124797

    #MGROnline #เจจูแอร์ #JejuAir
    ทูตแรงงานไทยในเกาหลี เผยตรวจสอบเบื้องต้น พบคนไทยบนเครื่องเจจูแอร์ที่ประสบอุบัติเหตุในเกาหลี ยังไม่ทราบชะตากรรม ล่าสุดสำนักข่าวยอนฮัปของเกากลีใต้คาดมีผู้เสียชีวิตเกือบยกลำ รอดแค่ 2 คน • นางศิริรัตน์ ศรีชาติ ผู้ช่วยทูตฝ่ายแรงงาน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ทำหนังสือด่วนแจ้ง ผู้บริหารกระทรวงแรงงานว่า • จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 เวลาท้องถิ่นประมาณ 09.07 น. สายการบินเจจูแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 7C 2216 ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าสู่สนามบินมูอันเมืองชอลลานัมโด สาธารณรัฐเกาหลี ประสบอุบัติเหตุเนื่องจากขณะจะลงจอดล้อของเครื่องบินไม่กางออกทำให้ตัวเครื่องบินไถลไปตามรันเวย์ เครื่องบินไฟไหม้ มีผู้เสียชีวิตหลายราย จากผู้โดยสารทั้งหมด 175 ราย ลูกเรือ 6 คน • เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีผู้โดยสารคนไทยเดินทางกลับจากสายการบินดังกล่าวจำนวน 2 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างการตรวจสอบ • ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานทูต ประเทศไทย ณ กรุงโซล จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป • ล่าสุดสำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากหน่วยดับเพลิงคาดมีผู้เสียชีวิตเกือบยกลำ ช่วยเหลือออกมาได้แค่ 2 คน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000124797 • #MGROnline #เจจูแอร์ #JejuAir
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิงฟู คนบอกเวลา

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับนาฬิกาหยดน้ำโบราณ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีอุปกรณ์บอกเวลาเพราะนาฬิกาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายหรือนาฬิกาหยดน้ำนั้น ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้เฉพาะในวังหรือกลุ่มคนมีอันจะกิน ส่วนชาวบ้านธรรมดานั้น กลางวันมักอาศัยการสังเกตตำแหน่งของดวงอาทิตย์ และกลางคืนสามารถจุดธูปเพื่อวัดเวลา ซึ่งธูปแต่ละชนิดออกแบบมาให้เผาไหม้หมดในเวลาที่กำหนด เช่น 30 นาทีหรือ 60 นาทีเป็นต้น แต่การจุดธูปนั้นสิ้นเปลืองและไม่สามารถทำได้ตลอดคืน ดังนั้น ชาวบ้านทั่วไปจึงต้องพึ่งพาคนบอกเวลา

    คนบอกเวลาหรือ ‘เกิงฟู’ (更夫) หรือ ‘ต่าเกิงเหริน’ (打更人) เป็นหนึ่งในตัวละครไร้นามที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์ยามค่ำคืนที่เดินตีฆ้องหรือตีกระบอกไม้และตะโกน “ระวังฟืนระวังไฟ” วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    ก่อนอื่นคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับการนับเวลาจีนโบราณ เพื่อนเพจหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าจีนโบราณแบ่งเวลาเป็นสิบสองชั่วยาม ชั่วยามหนึ่งเทียบเท่าสองชั่วโมง แต่เชื่อว่าหลายท่านคงงงกับคำว่า ‘เกิง’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้สำหรับช่วงเวลากลางคืน

    จีนโบราณแบ่งช่วงเวลากลางคืนออกเป็นห้ายามหรือ ‘เกิง’ (更 ซึ่งในสมัยโบราณออกเสียงว่า ‘จิง’ ต่อมาปรับใช้เป็น ‘เกิง’ จวบจนปัจจุบัน) โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 1-3 ทุ่ม เรียกว่า ‘เกิงที่หนึ่ง’ หรือยามหนึ่ง ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เตรียมตัวเข้านอนสำหรับคนทั่วไป และไปสิ้นสุดที่ตี 3-5 เรียกว่า ‘เกิงที่ห้า’ หรือยามห้า ซึ่งก็คือเวลาตื่นและเตรียมพร้อมไปทำงานนั่นเอง จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘ยามสามกลางดึก’ (三更半夜 / ซันเกิงป้านเยี่ย) ซึ่งยามสามก็คือช่วงเวลากึ่งกลางของกลางคืนพอดี (คือระหว่าง 5 ทุ่ม - ตี 1)

    จริงๆ แล้วโดยปกติคนบอกยามหรือเกิงฟูมักออกเดินเป็นคู่ ไม่ค่อยฉายเดี่ยวเหมือนที่เห็นในซีรีส์ เพื่อว่าจะได้ช่วยเหลือกันได้หากเกิดเหตุอะไร พวกเขาไม่ใช่อาสาสมัคร ได้เงินค่าจ้างจากรัฐบาล แต่ไม่ใช่ข้าราชการและมีสถานะทางสังคมเหมือนพวกที่ใช้แรงงานหยาบทั่วไป

    เกิงฟูมีมาแต่ยุคสมัยใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่ได้ชัดเจน บ้างว่ามีมาแต่สมัยราชวงศ์ฉิน แต่ไม่ว่ายุคสมัยใด เกิงฟูจริงๆ แล้วทำหลายหน้าที่มากกว่าการบอกเวลา หน้าที่สำคัญอีกหน้าที่หนึ่งคือการดูแลและเตือนภัยหรือก็คือหน้าที่ รปภ. นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการคอยสอดส่องหรือเตือนภัยเพลิงไหม้ สัตว์ป่าบุกรุก ขโมยขโจร หรือแม้แต่คนแปลกหน้าเพ่นพ่านยามวิกาล ดังนั้นในช่วงสงคราม เมืองสำคัญต่างๆ จะมีเกิงฟูมากกว่าปกติ นอกจากนี้ เกิงฟูยังเตือนเรื่องสภาพอากาศเช่น หนาวจัด จะมีฝน ลมแรง ฯลฯ ดังนั้นคำตะโกนของเกิงฟูจะผันแปรไปตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่แค่ “อากาศแห้ง ระวังฟืนระวังไฟ” แบบที่เรามักได้ยินในซีรีส์อย่างเดียว

    เกิงฟูบอกเวลาอย่างไร?

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกเหมือน Storyฯ ว่าเขาก็คงตีฆ้องหรือกระบอกไม้เป็นจำนวนครั้งตามเวลา เช่น ยามที่หนึ่ง ตีหนึ่งครั้ง ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วเขามีจังหวะยาวสั้นหรือใช้สลับฆ้องและกระบอกไม้ เพื่อว่าเวลาคนฟังจะได้ไม่หลงว่าได้ยินซ้ำของเก่าหรือไม่ Storyฯ ลองเปรียบเทียบข้อมูลดู พบว่ามีสองเวอร์ชั่นสรุปได้ดังนี้

    เวอร์ชั่นแรก ใช้จังหวะยาว(ช้า)และสั้น(เร็ว)สลับกัน คือ
    - เกิงที่หนึ่ง ตียาวหนึ่งครั้งสั้นหนึ่งครั้ง รวมสามชุด
    - เกิงที่สอง ตีสั้นติดกันสองครั้ง ตีได้ต่อเนื่องหลายๆ ชุด ประหนึ่งว่าไล่ให้ไปนอนได้แล้ว
    - เกิงที่สาม ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสองครั้ง รวมสามชุด
    - เกิงที่สี่ ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสามครั้ง รวมสามชุด
    - เกิงที่ห้า ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสี่ครั้ง รวมสามชุด

    เวอร์ชั่นที่สอง ใช้สลับฆ้องและกระบอกไม้ ดังนี้
    - เกิงที่หนึ่ง ตีฆ้องหนึ่งครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง
    - เกิงที่สอง ตีฆ้องสองครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง
    - เกิงที่สาม ตีตีฆ้องสามครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง
    - เกิงที่สี่ ตีฆ้องสี่ครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง
    - เกิงที่ห้า ตีแต่กระบอกไม้เท่านั้น ตีได้เรื่อยๆ รัวๆ ประหนึ่งว่ากำลังปลุกให้ลุกขึ้นมาทำงานได้แล้ว

    Storyฯ ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของจังหวะการตีทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ แต่ที่เล่ามาคือเพื่อให้เพื่อนเพจเห็นภาพว่า การตีบอกเวลาจะมีจังหวะของมันอยู่ คนที่ได้ยินก็จะรู้เวลาได้โดยง่าย

    ในเมืองใหญ่จะมีหอนาฬิกาและ/หรือหอสังเกตการณ์ ที่หอนี้มีทหารหรือเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมระวังภัยและจับตาดูนาฬิกาในหอแล้วส่งสัญญาณบอกเวลาเช่นเป่าแตรหรือตีกลอง โดยทำงานเป็นกะ เฝ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน และด้วยการสื่อสารจากหอสังเกตการณ์เหล่านี้ บรรดาเกิงฟูก็จะออกเดินทางเพื่อบอกเวลาและรายงานสภาพแวดล้อมทันทีที่ถึงต้นโมงยาม ในเมืองเล็กก็จะมีจุดศูนย์กลางสักแห่งที่มีนาฬิกาหรือเครื่องบอกเวลาสักชนิดหนึ่ง (เช่น วัดที่มีการจุดธูปต่อเนื่อง) เพื่อให้เหล่าเกิงฟูเริ่มงานได้เช่นกัน

    ทีนี้คำถามต่อมาคือ เกิงฟูเดินไปเรื่อยๆ เส้นทางใกล้ไกลไม่เหมือนกัน แล้วพวกเขาจะรู้เวลาได้อย่างไรว่ากาลเวลาล่วงเข้าอีกยามหนึ่งแล้ว?

    สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น การบอกเวลาเหล่านี้ไม่ต้องการความ ‘เป๊ะ’ เหมือนปัจจุบัน แต่เป็นการบอกโดยประมาณเพื่อให้กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีหลักเกณฑ์โดยคร่าว แต่อย่างไรก็ดี เกิงฟูมีตัวช่วยค่ะ บางคนพกธูปบอกเวลาซึ่งได้รับมาจากจุดเริ่มต้น บางคนพกป้ายที่เรียกว่า ‘เกิงผาย’ ซึ่งมีการกำหนดไว้เป็นจำนวนก้าวว่าเดินกี่ก้าวเปลี่ยนป้ายครั้งหนึ่ง เมื่อครบจำนวนครั้งก็ครบยาม

    การเล่าข้างต้นเป็นการเล่าโดยคร่าวเพื่อให้เห็นภาพนะคะ จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดกว่านี้ เช่นมีการปรับจำนวนก้าวในช่วงฤดูต่างๆ เพราะในสมัยโบราณมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การนับเวลา เช่นหนึ่งเค่ออาจหมายถึง 13 นาทีกว่า หรือ 15 นาทีแล้วแต่ยุคสมัย

    อาชีพเกิงฟูนี้นับได้ว่าสำคัญมากสำหรับสังคมจีนโบราณ แต่ชีวิตของเกิงฟูลำเค็ญไม่น้อยเพราะต้องฟันฝ่าอุปสรรคทางสภาพอากาศ เงินเดือนก็น้อยนิด และยังต้องมีสมาธิในการทำงานดีมากด้วย เพื่อนเพจว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/602047304_120231588
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/打更/2113152
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_8909910
    https://k.sina.cn/article_7722512403_1cc4c3013001011q40.html?from=news
    https://www.163.com/dy/article/G08FUAJD05430TXY.html
    https://www.toutiao.com/article/6590549906669175300/?source=seo_tt_juhe
    https://www.toutiao.com/article/6590549906669175300/?source=seo_tt_juhe

    #เกิงฟู #ต่าเกิงเหริน #คนบอกเวลาจีนโบราณ #ตีฆ้องบอกเวลา
    เกิงฟู คนบอกเวลา สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับนาฬิกาหยดน้ำโบราณ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีอุปกรณ์บอกเวลาเพราะนาฬิกาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายหรือนาฬิกาหยดน้ำนั้น ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่มีใช้เฉพาะในวังหรือกลุ่มคนมีอันจะกิน ส่วนชาวบ้านธรรมดานั้น กลางวันมักอาศัยการสังเกตตำแหน่งของดวงอาทิตย์ และกลางคืนสามารถจุดธูปเพื่อวัดเวลา ซึ่งธูปแต่ละชนิดออกแบบมาให้เผาไหม้หมดในเวลาที่กำหนด เช่น 30 นาทีหรือ 60 นาทีเป็นต้น แต่การจุดธูปนั้นสิ้นเปลืองและไม่สามารถทำได้ตลอดคืน ดังนั้น ชาวบ้านทั่วไปจึงต้องพึ่งพาคนบอกเวลา คนบอกเวลาหรือ ‘เกิงฟู’ (更夫) หรือ ‘ต่าเกิงเหริน’ (打更人) เป็นหนึ่งในตัวละครไร้นามที่เราเห็นบ่อยในซีรีส์ยามค่ำคืนที่เดินตีฆ้องหรือตีกระบอกไม้และตะโกน “ระวังฟืนระวังไฟ” วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน ก่อนอื่นคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับการนับเวลาจีนโบราณ เพื่อนเพจหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าจีนโบราณแบ่งเวลาเป็นสิบสองชั่วยาม ชั่วยามหนึ่งเทียบเท่าสองชั่วโมง แต่เชื่อว่าหลายท่านคงงงกับคำว่า ‘เกิง’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้สำหรับช่วงเวลากลางคืน จีนโบราณแบ่งช่วงเวลากลางคืนออกเป็นห้ายามหรือ ‘เกิง’ (更 ซึ่งในสมัยโบราณออกเสียงว่า ‘จิง’ ต่อมาปรับใช้เป็น ‘เกิง’ จวบจนปัจจุบัน) โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 1-3 ทุ่ม เรียกว่า ‘เกิงที่หนึ่ง’ หรือยามหนึ่ง ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เตรียมตัวเข้านอนสำหรับคนทั่วไป และไปสิ้นสุดที่ตี 3-5 เรียกว่า ‘เกิงที่ห้า’ หรือยามห้า ซึ่งก็คือเวลาตื่นและเตรียมพร้อมไปทำงานนั่นเอง จึงเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า ‘ยามสามกลางดึก’ (三更半夜 / ซันเกิงป้านเยี่ย) ซึ่งยามสามก็คือช่วงเวลากึ่งกลางของกลางคืนพอดี (คือระหว่าง 5 ทุ่ม - ตี 1) จริงๆ แล้วโดยปกติคนบอกยามหรือเกิงฟูมักออกเดินเป็นคู่ ไม่ค่อยฉายเดี่ยวเหมือนที่เห็นในซีรีส์ เพื่อว่าจะได้ช่วยเหลือกันได้หากเกิดเหตุอะไร พวกเขาไม่ใช่อาสาสมัคร ได้เงินค่าจ้างจากรัฐบาล แต่ไม่ใช่ข้าราชการและมีสถานะทางสังคมเหมือนพวกที่ใช้แรงงานหยาบทั่วไป เกิงฟูมีมาแต่ยุคสมัยใด Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่ได้ชัดเจน บ้างว่ามีมาแต่สมัยราชวงศ์ฉิน แต่ไม่ว่ายุคสมัยใด เกิงฟูจริงๆ แล้วทำหลายหน้าที่มากกว่าการบอกเวลา หน้าที่สำคัญอีกหน้าที่หนึ่งคือการดูแลและเตือนภัยหรือก็คือหน้าที่ รปภ. นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการคอยสอดส่องหรือเตือนภัยเพลิงไหม้ สัตว์ป่าบุกรุก ขโมยขโจร หรือแม้แต่คนแปลกหน้าเพ่นพ่านยามวิกาล ดังนั้นในช่วงสงคราม เมืองสำคัญต่างๆ จะมีเกิงฟูมากกว่าปกติ นอกจากนี้ เกิงฟูยังเตือนเรื่องสภาพอากาศเช่น หนาวจัด จะมีฝน ลมแรง ฯลฯ ดังนั้นคำตะโกนของเกิงฟูจะผันแปรไปตามสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่แค่ “อากาศแห้ง ระวังฟืนระวังไฟ” แบบที่เรามักได้ยินในซีรีส์อย่างเดียว เกิงฟูบอกเวลาอย่างไร? เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกเหมือน Storyฯ ว่าเขาก็คงตีฆ้องหรือกระบอกไม้เป็นจำนวนครั้งตามเวลา เช่น ยามที่หนึ่ง ตีหนึ่งครั้ง ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วเขามีจังหวะยาวสั้นหรือใช้สลับฆ้องและกระบอกไม้ เพื่อว่าเวลาคนฟังจะได้ไม่หลงว่าได้ยินซ้ำของเก่าหรือไม่ Storyฯ ลองเปรียบเทียบข้อมูลดู พบว่ามีสองเวอร์ชั่นสรุปได้ดังนี้ เวอร์ชั่นแรก ใช้จังหวะยาว(ช้า)และสั้น(เร็ว)สลับกัน คือ - เกิงที่หนึ่ง ตียาวหนึ่งครั้งสั้นหนึ่งครั้ง รวมสามชุด - เกิงที่สอง ตีสั้นติดกันสองครั้ง ตีได้ต่อเนื่องหลายๆ ชุด ประหนึ่งว่าไล่ให้ไปนอนได้แล้ว - เกิงที่สาม ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสองครั้ง รวมสามชุด - เกิงที่สี่ ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสามครั้ง รวมสามชุด - เกิงที่ห้า ตียาวหนึ่งครั้งสั้นสี่ครั้ง รวมสามชุด เวอร์ชั่นที่สอง ใช้สลับฆ้องและกระบอกไม้ ดังนี้ - เกิงที่หนึ่ง ตีฆ้องหนึ่งครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง - เกิงที่สอง ตีฆ้องสองครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง - เกิงที่สาม ตีตีฆ้องสามครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง - เกิงที่สี่ ตีฆ้องสี่ครั้ง ตีกระบอกไม้สองครั้ง - เกิงที่ห้า ตีแต่กระบอกไม้เท่านั้น ตีได้เรื่อยๆ รัวๆ ประหนึ่งว่ากำลังปลุกให้ลุกขึ้นมาทำงานได้แล้ว Storyฯ ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของจังหวะการตีทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ แต่ที่เล่ามาคือเพื่อให้เพื่อนเพจเห็นภาพว่า การตีบอกเวลาจะมีจังหวะของมันอยู่ คนที่ได้ยินก็จะรู้เวลาได้โดยง่าย ในเมืองใหญ่จะมีหอนาฬิกาและ/หรือหอสังเกตการณ์ ที่หอนี้มีทหารหรือเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมระวังภัยและจับตาดูนาฬิกาในหอแล้วส่งสัญญาณบอกเวลาเช่นเป่าแตรหรือตีกลอง โดยทำงานเป็นกะ เฝ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน และด้วยการสื่อสารจากหอสังเกตการณ์เหล่านี้ บรรดาเกิงฟูก็จะออกเดินทางเพื่อบอกเวลาและรายงานสภาพแวดล้อมทันทีที่ถึงต้นโมงยาม ในเมืองเล็กก็จะมีจุดศูนย์กลางสักแห่งที่มีนาฬิกาหรือเครื่องบอกเวลาสักชนิดหนึ่ง (เช่น วัดที่มีการจุดธูปต่อเนื่อง) เพื่อให้เหล่าเกิงฟูเริ่มงานได้เช่นกัน ทีนี้คำถามต่อมาคือ เกิงฟูเดินไปเรื่อยๆ เส้นทางใกล้ไกลไม่เหมือนกัน แล้วพวกเขาจะรู้เวลาได้อย่างไรว่ากาลเวลาล่วงเข้าอีกยามหนึ่งแล้ว? สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น การบอกเวลาเหล่านี้ไม่ต้องการความ ‘เป๊ะ’ เหมือนปัจจุบัน แต่เป็นการบอกโดยประมาณเพื่อให้กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันมีหลักเกณฑ์โดยคร่าว แต่อย่างไรก็ดี เกิงฟูมีตัวช่วยค่ะ บางคนพกธูปบอกเวลาซึ่งได้รับมาจากจุดเริ่มต้น บางคนพกป้ายที่เรียกว่า ‘เกิงผาย’ ซึ่งมีการกำหนดไว้เป็นจำนวนก้าวว่าเดินกี่ก้าวเปลี่ยนป้ายครั้งหนึ่ง เมื่อครบจำนวนครั้งก็ครบยาม การเล่าข้างต้นเป็นการเล่าโดยคร่าวเพื่อให้เห็นภาพนะคะ จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดกว่านี้ เช่นมีการปรับจำนวนก้าวในช่วงฤดูต่างๆ เพราะในสมัยโบราณมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การนับเวลา เช่นหนึ่งเค่ออาจหมายถึง 13 นาทีกว่า หรือ 15 นาทีแล้วแต่ยุคสมัย อาชีพเกิงฟูนี้นับได้ว่าสำคัญมากสำหรับสังคมจีนโบราณ แต่ชีวิตของเกิงฟูลำเค็ญไม่น้อยเพราะต้องฟันฝ่าอุปสรรคทางสภาพอากาศ เงินเดือนก็น้อยนิด และยังต้องมีสมาธิในการทำงานดีมากด้วย เพื่อนเพจว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/602047304_120231588 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/打更/2113152 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_8909910 https://k.sina.cn/article_7722512403_1cc4c3013001011q40.html?from=news https://www.163.com/dy/article/G08FUAJD05430TXY.html https://www.toutiao.com/article/6590549906669175300/?source=seo_tt_juhe https://www.toutiao.com/article/6590549906669175300/?source=seo_tt_juhe #เกิงฟู #ต่าเกิงเหริน #คนบอกเวลาจีนโบราณ #ตีฆ้องบอกเวลา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ภูมิธรรม" โต้กลับ "สนธิ" ไม่เชื่อแรงงานต่างด้าวจะเป็นปัญหาใหญ่ปีหน้า 27/12/67 #ภูมิธรรม #สนธิ #แรงงานต่างด้าว #รัฐบาล
    "ภูมิธรรม" โต้กลับ "สนธิ" ไม่เชื่อแรงงานต่างด้าวจะเป็นปัญหาใหญ่ปีหน้า 27/12/67 #ภูมิธรรม #สนธิ #แรงงานต่างด้าว #รัฐบาล
    Like
    Haha
    Sad
    10
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 886 มุมมอง 36 0 รีวิว
  • คนเก่งเทคโนโลยีใน ‘จีน’ พุ่งไม่หยุด

    🧑‍💻👩‍💻🧑‍💻

    รายงานฉบับใหม่จาก Maimai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหางานของจีน ระบุว่าตลาดแรงงานที่มีความสามารถสูงในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและไฮเทคของจีนยังคงมีการแข่งขันที่สูง โดยอัตราส่วนอุปสงค์ต่ออุปทานแรงงานกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
    .

    แม้ว่าการแข่งขันจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เงินเดือนเฉลี่ยในภาคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต เกมส์ ฟินเทค อีคอมเมิร์ซ ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์พลังงานใหม่ กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 เงินเดือนเฉลี่ยสำหรับตำแหน่งงานใหม่อยู่ที่ 42,874 หยวน เพิ่มขึ้นจาก 42,789 หยวนในปี 2566 และ 41,394 หยวนในปี 2565 ขณะที่อัตราส่วนอุปสงค์ต่ออุปทานของบุคลากรที่มีความสามารถสูงในบรรดาภาคส่วนเหล่านี้ เพิ่มขึ้นจาก 1.29 ในปี 2565 และ 2 ในปี 2566 มาเป็น 2.06 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งหมายความว่า 1 ตำแหน่งว่าง จะมีผู้สมัครมากกว่า 2 คนแข่งขันกัน
    .

    นายหลิน ฟาน ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Maimai กล่าวว่าบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคหลักยังคงขาดแคลน โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งรวมถึงตำแหน่งวิศวกรอัลกอริทึม วิศวกร AI ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมวลผลภาษาคอมพิวเตอร์ และนักพัฒนาแบ็กเอนด์โปรแกรม Java, C++ และ Android ที่ต่างเป็นตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดอีกด้วย
    .

    ทั้งนี้ ในแง่ของเงินเดือน ตำแหน่งงานด้านเทคนิคที่ได้รับค่าจ้างสูงที่สุดในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ วิศวกรฟรอนต์เอนด์ดิจิทัล โดยมีเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 67,728 หยวน
    .

    อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าทั้งกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้กำลังเผชิญกับกระแสแรงงานไหลออก บ่งชี้ว่าบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมากกำลังย้ายออกจากศูนย์กลางเหล่านี้ไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพราะในทางกลับกัน เมืองซูโจว เซินเจิ้น และหางโจว พบว่ามีกระแสแรงงานที่มีความสามารถสูงไหลเข้ามากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจที่เพิ่มขึ้นในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี

    ที่มา : AECConnect
    คนเก่งเทคโนโลยีใน ‘จีน’ พุ่งไม่หยุด 🧑‍💻👩‍💻🧑‍💻 รายงานฉบับใหม่จาก Maimai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหางานของจีน ระบุว่าตลาดแรงงานที่มีความสามารถสูงในอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและไฮเทคของจีนยังคงมีการแข่งขันที่สูง โดยอัตราส่วนอุปสงค์ต่ออุปทานแรงงานกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา . แม้ว่าการแข่งขันจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เงินเดือนเฉลี่ยในภาคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต เกมส์ ฟินเทค อีคอมเมิร์ซ ปัญญาประดิษฐ์ และยานยนต์พลังงานใหม่ กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 เงินเดือนเฉลี่ยสำหรับตำแหน่งงานใหม่อยู่ที่ 42,874 หยวน เพิ่มขึ้นจาก 42,789 หยวนในปี 2566 และ 41,394 หยวนในปี 2565 ขณะที่อัตราส่วนอุปสงค์ต่ออุปทานของบุคลากรที่มีความสามารถสูงในบรรดาภาคส่วนเหล่านี้ เพิ่มขึ้นจาก 1.29 ในปี 2565 และ 2 ในปี 2566 มาเป็น 2.06 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งหมายความว่า 1 ตำแหน่งว่าง จะมีผู้สมัครมากกว่า 2 คนแข่งขันกัน . นายหลิน ฟาน ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Maimai กล่าวว่าบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคหลักยังคงขาดแคลน โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งรวมถึงตำแหน่งวิศวกรอัลกอริทึม วิศวกร AI ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมวลผลภาษาคอมพิวเตอร์ และนักพัฒนาแบ็กเอนด์โปรแกรม Java, C++ และ Android ที่ต่างเป็นตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดอีกด้วย . ทั้งนี้ ในแง่ของเงินเดือน ตำแหน่งงานด้านเทคนิคที่ได้รับค่าจ้างสูงที่สุดในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ วิศวกรฟรอนต์เอนด์ดิจิทัล โดยมีเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 67,728 หยวน . อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าทั้งกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้กำลังเผชิญกับกระแสแรงงานไหลออก บ่งชี้ว่าบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมากกำลังย้ายออกจากศูนย์กลางเหล่านี้ไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพราะในทางกลับกัน เมืองซูโจว เซินเจิ้น และหางโจว พบว่ามีกระแสแรงงานที่มีความสามารถสูงไหลเข้ามากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจที่เพิ่มขึ้นในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่มา : AECConnect
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีผู้ต้องขังมากกว่า 1,500 ราย หลบหนีออกจากเรือนจำแห่งหนึ่งในกรุงมาปูโต เมืองหลวงของโมซัมบิกในวันพุธ (25ธ.ค.) ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ความไม่สงบ ที่มีต้นตอจากประเด็นถกเถียงกรณีพรรคเฟรลิโม ที่ปกครองประเทศแห่งนี้มาช้านาน ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา
    .
    รวมแล้วมีนักโทษ 1,534 ราย หลบหนีออกจากเรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น และตั้งอยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงแค่ราวๆ 15 กิโลเมตร จากการเปิดเผยของ เบอร์นาร์ดิโน ราฟาเอล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างแถลงข่าว
    .
    ในบรรดาผู้พยายามหลบหนีเหล่านี้ มีอยู่ 33 รายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 15 คน ในเหตุปะทะกับพวกเจ้าหน้าที่เรือนจำ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าว และบอกว่าปฏิบัติการตามล่าหนึ่งๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ นำมาซึ่งการรวบตัวนักโทษผู้หลบหนีกลับมาได้ราวๆ 150 คน
    .
    ทั้งนี้มีผู้ต้องขังราวๆ 30 คน ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบและเหตุโจมตีต่างๆในจังหวัดคาโบ เดลดาโก ทางเหนือของประเทศ ในช่วง 7 ปีท่ผ่านมา "เรากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์นี้" ราฟาเอลบอก
    .
    ศาลสูงสุดของชาติแอฟริกาแห่งนี้ ที่พูดภาษาโปรตุเกส ยืนยันเมื่อวันจันทร์(23ธ.ค.) ว่าพรรคเฟรลิโม ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1975 เป็นผู้ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 9 ตุลาคม ที่โหมกระพือสถานการณ์ความไม่สงบมาแล้วหลายสัปดาห์
    .
    กลุ่มผู้ประท้วงรุกคืบเข้าหาเรือนจำในวันพุธ(25ธ.ค.) ก่อความสับสนและจุดชนวนความไม่สงบภายในเรือนจำ บริเวณที่พวกนักโทษช่วยกันทุบเจาะกำแพงช่วงหนึ่ง สำหรับใช้หลบหนีออกมา
    .
    เครื่องกีดขวางยังคงถูกติดตั้งในหลายพื้นที่ของเมืองหลวงจนถึงวันพุธ(25ธ.ค.) เพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวต่างๆ ท่ามกลางพฤติกรรมทำลายทรัพย์สินยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ร้านค้าและอาคารสาธารณะหลายแห่งถูกปล้นสะดมในวันจันทร์(23ธ.ค.) รถฉุกเฉินหลายคันถูกจุดไฟเผา เช่นเดียวกับร้านขายยาและธุรกิจอื่นๆ ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพี
    .
    ผู้ประท้วงบางส่วนยังตั้งโต๊ะบนท้องถนนเพื่อยึดพื้นที่สำหรับฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวหรือเพื่อนบ้าน ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพีที่พบเห็นเหตุการณ์ในพื้นที่ชนชั้นแรงงานหลายๆย่านในเมืองหลวง
    .
    การยืนยันผลเลือกตั้งในวันจันทร์(23ธ.ค.) มีขึ้นแม้ว่ามีคำกล่าวอ้างจากบรรดาผู้สังเกตการณ์หลายคน เกี่ยวกับการพบความผิดปกติต่างๆนานา
    .
    ดาเนียล ชาโป หัวหน้าพรรคเฟรลิโม ได้คะแนนโหวต 65.17% น้อยกว่าผลในเบื้องต้นที่ประกาศออกมาโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งของประเทศ ราวๆ 5%
    .
    เวนันซิโอ มอนด์ลาเน ผู้นำฝ่ายค้านที่หลบหนีอยู่ในต่างแดนและผู้ท้าทายหลักของชาโป อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง และมันโหมกระพือความรุนแรงระหว่างพวกผู้สนับสนุนของ 2 พรรคคู่อริ โดยจนถึงตอนนี้สถานการณ์ความไม่สงบ ปลิดชีพผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 150 ราย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123941
    ..............
    Sondhi X
    มีผู้ต้องขังมากกว่า 1,500 ราย หลบหนีออกจากเรือนจำแห่งหนึ่งในกรุงมาปูโต เมืองหลวงของโมซัมบิกในวันพุธ (25ธ.ค.) ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ความไม่สงบ ที่มีต้นตอจากประเด็นถกเถียงกรณีพรรคเฟรลิโม ที่ปกครองประเทศแห่งนี้มาช้านาน ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา . รวมแล้วมีนักโทษ 1,534 ราย หลบหนีออกจากเรือนจำที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น และตั้งอยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวงแค่ราวๆ 15 กิโลเมตร จากการเปิดเผยของ เบอร์นาร์ดิโน ราฟาเอล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระหว่างแถลงข่าว . ในบรรดาผู้พยายามหลบหนีเหล่านี้ มีอยู่ 33 รายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 15 คน ในเหตุปะทะกับพวกเจ้าหน้าที่เรือนจำ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าว และบอกว่าปฏิบัติการตามล่าหนึ่งๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ นำมาซึ่งการรวบตัวนักโทษผู้หลบหนีกลับมาได้ราวๆ 150 คน . ทั้งนี้มีผู้ต้องขังราวๆ 30 คน ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความไม่สงบและเหตุโจมตีต่างๆในจังหวัดคาโบ เดลดาโก ทางเหนือของประเทศ ในช่วง 7 ปีท่ผ่านมา "เรากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์นี้" ราฟาเอลบอก . ศาลสูงสุดของชาติแอฟริกาแห่งนี้ ที่พูดภาษาโปรตุเกส ยืนยันเมื่อวันจันทร์(23ธ.ค.) ว่าพรรคเฟรลิโม ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1975 เป็นผู้ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 9 ตุลาคม ที่โหมกระพือสถานการณ์ความไม่สงบมาแล้วหลายสัปดาห์ . กลุ่มผู้ประท้วงรุกคืบเข้าหาเรือนจำในวันพุธ(25ธ.ค.) ก่อความสับสนและจุดชนวนความไม่สงบภายในเรือนจำ บริเวณที่พวกนักโทษช่วยกันทุบเจาะกำแพงช่วงหนึ่ง สำหรับใช้หลบหนีออกมา . เครื่องกีดขวางยังคงถูกติดตั้งในหลายพื้นที่ของเมืองหลวงจนถึงวันพุธ(25ธ.ค.) เพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวต่างๆ ท่ามกลางพฤติกรรมทำลายทรัพย์สินยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ร้านค้าและอาคารสาธารณะหลายแห่งถูกปล้นสะดมในวันจันทร์(23ธ.ค.) รถฉุกเฉินหลายคันถูกจุดไฟเผา เช่นเดียวกับร้านขายยาและธุรกิจอื่นๆ ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพี . ผู้ประท้วงบางส่วนยังตั้งโต๊ะบนท้องถนนเพื่อยึดพื้นที่สำหรับฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวหรือเพื่อนบ้าน ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพีที่พบเห็นเหตุการณ์ในพื้นที่ชนชั้นแรงงานหลายๆย่านในเมืองหลวง . การยืนยันผลเลือกตั้งในวันจันทร์(23ธ.ค.) มีขึ้นแม้ว่ามีคำกล่าวอ้างจากบรรดาผู้สังเกตการณ์หลายคน เกี่ยวกับการพบความผิดปกติต่างๆนานา . ดาเนียล ชาโป หัวหน้าพรรคเฟรลิโม ได้คะแนนโหวต 65.17% น้อยกว่าผลในเบื้องต้นที่ประกาศออกมาโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งของประเทศ ราวๆ 5% . เวนันซิโอ มอนด์ลาเน ผู้นำฝ่ายค้านที่หลบหนีอยู่ในต่างแดนและผู้ท้าทายหลักของชาโป อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง และมันโหมกระพือความรุนแรงระหว่างพวกผู้สนับสนุนของ 2 พรรคคู่อริ โดยจนถึงตอนนี้สถานการณ์ความไม่สงบ ปลิดชีพผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 150 ราย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000123941 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1063 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะพัดปลัดกระทรวงการคลังระบุ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ไม่ผ่านคุณสมบัติประธานบอร์แบงก์ชาติ แต่ให้ไปถาม "พิชัย" เอาเอง คาดขัดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมือง เผย 2 แนวทาง เลือก "กุลิศ สมบัติศิริ" อดีตปลัดพลังงาน 1 ในแคนดิเดตที่เหลือ หรือคัดเลือกกันใหม่ตั้งแต่ต้น
    .
    วันนี้ (24 ธ.ค.) หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าว นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับทราบผลการตีความทางกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลัง และอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนรายละเอียดในฐานะปลัดกระทรวงการคลังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยข้อมูล
    .
    “มีการคอนเฟิร์มแล้วว่า นายกิตติรัตน์ ไม่ผ่านคุณสมบัติ รายละเอียดต้องไปถามรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง” นายลวรณ กล่าว
    .
    ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีดังกล่าวยังไม่เคยเกิดปัญหาแบบนี้มาก่อน ส่วนแนวทางการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติขั้นตอนต่อไปอาจจะออกมาสองแนวทางคือ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และในฐานะประธานคัดเลือก ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะเลือกนายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ให้ รมว.คลังพิจารณา หรืออีกแนวทางคือ เริ่มการคัดเลือกกันใหม่ตั้งแต่ต้น
    .
    รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับรายชื่อที่เข้ารับการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มี 3 ราย คือ นายกิตติรัตน์ เสนอโดยกระทรวงการคลัง นายกุลิศ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และนายสุรพล นิติไกรพจน์ ศาสตราจารย์ประจำสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
    ปรากฎว่าที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2567 มีมติเลือกนายกิตติรัตน์เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หลังการประชุมผ่านไป 5 ชั่วโมง แต่ไม่มีกรรมการคนใดออกมาให้สัมภาษณ์ รวมทั้งนายสถิตย์เอง ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก็เดินทางกลับไปในทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ซึ่งในวันดังกล่าวได้มีตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์ที่น้อมนำธรรมองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ยื่นหนังสือคัดค้านนายกิตติรัตน์ และมีผู้ชุมนุมจากกองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ปักหลักชุมนุมหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย บางขุนพรหม
    .
    ทั้งนี้ คาดว่าสาเหตุที่นายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจาก คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2485 ข้อ 4 ระบุไว้ว่า "ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี" และข้อ 5 ระบุว่า "ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วหนึ่งปี"
    .
    หากพิจารณาจากตำแหน่งในทางการเมืองของนายกิตติรัตน์ ทั้งในบทบาทของประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย จึงน่าจะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติ และอาจจะกลายเป็นปัญหาหากมีผู้ร้องว่าเป็นการแต่งตั้งที่ขัดกฎหมายดังกล่าว
    .
    ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ว่า เรื่องดังกล่าวอาจล่าช้าและจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงเดือน ม.ค. 2568
    ..............
    Sondhi X
    สะพัดปลัดกระทรวงการคลังระบุ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ไม่ผ่านคุณสมบัติประธานบอร์แบงก์ชาติ แต่ให้ไปถาม "พิชัย" เอาเอง คาดขัดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมือง เผย 2 แนวทาง เลือก "กุลิศ สมบัติศิริ" อดีตปลัดพลังงาน 1 ในแคนดิเดตที่เหลือ หรือคัดเลือกกันใหม่ตั้งแต่ต้น . วันนี้ (24 ธ.ค.) หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าว นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับทราบผลการตีความทางกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.คลัง และอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนรายละเอียดในฐานะปลัดกระทรวงการคลังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยข้อมูล . “มีการคอนเฟิร์มแล้วว่า นายกิตติรัตน์ ไม่ผ่านคุณสมบัติ รายละเอียดต้องไปถามรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง” นายลวรณ กล่าว . ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีดังกล่าวยังไม่เคยเกิดปัญหาแบบนี้มาก่อน ส่วนแนวทางการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติขั้นตอนต่อไปอาจจะออกมาสองแนวทางคือ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และในฐานะประธานคัดเลือก ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะเลือกนายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ให้ รมว.คลังพิจารณา หรืออีกแนวทางคือ เริ่มการคัดเลือกกันใหม่ตั้งแต่ต้น . รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับรายชื่อที่เข้ารับการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มี 3 ราย คือ นายกิตติรัตน์ เสนอโดยกระทรวงการคลัง นายกุลิศ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และนายสุรพล นิติไกรพจน์ ศาสตราจารย์ประจำสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย . ปรากฎว่าที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2567 มีมติเลือกนายกิตติรัตน์เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หลังการประชุมผ่านไป 5 ชั่วโมง แต่ไม่มีกรรมการคนใดออกมาให้สัมภาษณ์ รวมทั้งนายสถิตย์เอง ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก็เดินทางกลับไปในทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ซึ่งในวันดังกล่าวได้มีตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์ที่น้อมนำธรรมองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ยื่นหนังสือคัดค้านนายกิตติรัตน์ และมีผู้ชุมนุมจากกองทัพธรรม ร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ปักหลักชุมนุมหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย บางขุนพรหม . ทั้งนี้ คาดว่าสาเหตุที่นายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจาก คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2485 ข้อ 4 ระบุไว้ว่า "ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี" และข้อ 5 ระบุว่า "ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วหนึ่งปี" . หากพิจารณาจากตำแหน่งในทางการเมืองของนายกิตติรัตน์ ทั้งในบทบาทของประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย จึงน่าจะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติ และอาจจะกลายเป็นปัญหาหากมีผู้ร้องว่าเป็นการแต่งตั้งที่ขัดกฎหมายดังกล่าว . ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ว่า เรื่องดังกล่าวอาจล่าช้าและจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงเดือน ม.ค. 2568 .............. Sondhi X
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร?

    เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป

    แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์

    เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว

    มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน

    ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว"

    จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม

    ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร

    ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู

    เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก

    ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก

    ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย

    และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ

    อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ

    ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า

    ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว

    แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ?

    ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก

    บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น

    คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน

    กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่

    นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก

    ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด

    แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน

    ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า

    อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก

    ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก)

    ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง

    หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย

    ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร



    Kornkit Disthan
    ด้วยอัตราการเกิดที่ต่ำติดอันดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอัตราการเกิดสูงขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร? เมื่อเร็วๆ นี้ ผมดูคลิปหนึ่งเรื่องความถดถอยของเกาหลีใต้ ตอนหนึ่งเอ่ยถึงอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้เกาหลีใต้จะ "สิ้นชาติ" ภายในปี 2100 เพราะประชากร 70% จะหายไป แม้ว่าเกาหลีใต้จะทุ่มเงิน 2.7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งดูท่าว่าการใช้เงินจะไม่ได้ผลในประเทศอื่นด้วย เช่น ในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เช่น การให้เงินอุดหนุนคนมีลูก หรือเพิ่มวันลาคลอดทั้งชายทั้งหญิงไปจนถึงรัฐบาลช่วยจับคู่ให้ประชากร ทั้งหมดดูจะล้มเหลว มีการเทียบสถานการณ์นี้กับสหภาพโซเวียตซึ่งในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960 จากอัตราการเกิดสูงถึง 24.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 1966 มาอยู่ที่ 17.4/ประชากร 1,000 คน ปัญหาเกิดจากอะไร? เกิดจากการพัฒนามากเกินไปแบบ "กระจุกตัว" จากเอกสารลับของ CIA (ตอนนี้ไม่ลับแล้ว) บอกว่า การที่อัตราการเกิดในโซเวียตต่ำเป็นเพราะการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเปลี่ยนจากสังคมเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ช่วงหนึ่งโซเวียตทำลายภาคเกษตรอย่างย่อยยับด้วยระบบคอมมูน ซึ่งทำให้การเกษตรล้มหลว จนเกษตรกรต้องอพยพเข้ามาอยูในเมืองและเป็นแรงงานโรงงาน ชีวิตคนเมืองแบบนี้ไม่เอื้อต่อการทำลูกมากๆ ต่างจากสังคมเกษตร ในเวลาเดียวกัน เมื่อคนแห่เข้ามาอยู่ในเมืองมากๆ ที่อาศัยในเมืองก็ไม่พอ ทำให้ยิ่งไม่เหมาะกับการมีลูกในแฟลตเล็กๆ ที่อยู่แออัดเหมือนรังหนู เมื่อคนมากขึ้นในเมือง แต่ภาคเกษตรล้ม ทำให้ของยิ่งแพง เศรษฐกิจแบบนี้คนจึงไม่อยากมีลูก ในเวลาเดียวกัน โซเวียตปลดปล่อยสิทธิสตรี ทำให้ผู้หญิงไม่ต้องผูกมัดกับการมีลูกเพื่อมีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังให้สิทธิในการทำแท้งเสรี เมื่อผู้หญิงทำงานเท่าผู้ชาย ก็ไม่อยากจะมีลูกอีก ในกรณีของโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่าอัตราการเกิดต่ำในปี 1960 ลงมาเพราะผู้หญิงออกมาทำงานและเรียนมากขึ้นถึง 90% แต่เมื่อดูจากสังคมญี่ปุ่นที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า แต่แล้วก็ยังมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก บางทีเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเลย และต่อมาอัตราเกิดของโซเวียตยิ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ เสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหามากในช่วงที่ทั้งสองประเทศทำสงครามเย็น หากแรงงานลดลง จะแข่งเรื่องการพัฒนาสร้างความก้าวหน้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำสงครามจริงๆ อีกปัญหาก็คือ สหภาพโซเวียตประกอบด้วยสาธารณรัฐและชนชาติต่างๆ มากมาย ในขณะที่ประชากรชาวรัสเซียลดลงฮวบฮาบ ประชากรชนชาติอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และในที่สุดทำนายกันว่าภายในทศวรรษ 2000 ชาวรัสเซียจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ถามว่ารัสเซียนจะกลืนชนชาติอื่นมาเป็นตน (Russification) ได้ไหม? ตอบว่าทำไม่สำเร็จ เพราะกลุ่มที่เกิดมากกว่าไม่ยอมถูกลืนเป็นรัสเซียนและถืออัตลักษณ์ของตนมากกว่า ในประเด็นนี้ ผมเคยเสนอว่าวิธีการแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำของไทย อาจแก้ด้วยการเปิดรับผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามามากๆ แล้ว ทำให้พวกเขาเป็นไทย (Thaification) ด้วยการสร้างชาตินิยมไทยให้เข้มแข็ง เพื่อให้ "คนนอก" รู้สึกสำนึกว่าเป็น "คนใน" เช่นที่ไทยเคยทำ Thaification กับประชากรเชื้อชาติจีนสำเร็จมาแล้ว แต่เมื่อเห็นปัญหาของโซเวียตผมชักไม่แน่ใจว่าการเอาคนนอกเข้ามาเป็น "คนไทยใหม่" แทน "คนไทยเดิม" ที่เกิดน้อยลงเป็นไอเดียที่จะเวิร์กหรือไม่? ส่วนหนึ่งการทำลาย "ความภูมิใจในความเป็นไทย" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยบางคนก็ไม่อยากเป็นไทย แล้วคนนอกจะยังอยากเป็นไทยหรือ? ตัวอย่างเช่น ที่สหรัฐฯ อัตราการเกิดนับตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มากจากแม่ที่เป็นผู้อพยพ ส่วนคนท้องถิ่นมีลูกน้อยลง แต่ปัญหาผู้อพยพในสหรัฐ ตอนนี้กำลังทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก บางทีการแก้ปัญหาหาอาจต้องเน้นการสร้างเด็กเกิดใหม่โดยคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากปัญหาของการไม่มีลูกอยู่ที่การกระจุกตัวของสังคมเมือง รัฐบาลก็ต้องกระจายโอกาสให้เมืองชนบทมากขึ้น คนทำเกษตรควรจะมีสวัสดิภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาอาจเป็นความหวังของการมีลูกมากว่าคนเมือง ดังนั้น แทนที่จะหนุนคนหนุ่มสาวในเมืองให้มีลูก รัฐควรเน้นที่นอกเมืองแทน กรณีของสหภาพโซเวียต CIA วิเคราะห์ว่า "เพราะปัญหาเมืองใหญ่ แต่บ้านเล็ก" นั่นคือ แม้เมืองจะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนบ้านนอกเข้ามาเยอะ แต่การมีบ้านในเมืองเป็นเรื่องยาก ในปี 1967 อัตราพื้นที่อยู่อาศัยต่อหัวของโซเวียตอยู่ที่แค่ 7 ตร.ม. เท่านั้น ขนาดคนเดียวยังไม่รอด แล้วจะไปมีลูกได้อย่างไร และในทศวรรษที่ 1950 มีการสำรวจพบว่า 14% ที่ไม่มีลูกในเมืองแล้วเลือกทำแท้ง เพราะบ้านไม่พออยู่ นี่ขนาดโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมที่บ้านไม่ใช่ของแพง (แต่สร้างยาก) แล้วยังมีพื้นที่ประเทศใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนที่อยู่แพงและหายากและเล็กจิ๋ว จะเป็นปัญหาของคนจีน เกาหลี สิงคโปร์ และญี่ปุ่นด้วย เพระาคนเยอะแต่ดินแดนมีจำกัด แต่สหรัฐฯ ในช่วง 1970 อัตรการเกิดสูงมาก เนื่องจากเป็นยุคเศรษฐกิจบูม บ้านราคาไม่แพง และภาคเกษตรไม่ตกต่ำและยืนเคียงข้างภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดูเหมือนการพัฒนาจะไม่กระจุกในเมือง เพราะมีเขตรอบนอกเมือง และชนบทที่เข้าถึงการปัจจัยในการดำรงชีพได้พอๆ กัน ในกรณีของสหรัฐฯ ปี 1970 เป็นต้นมามีปัญหาหนึ่งคล้ายกับไทย คือ "ท้องนอกสมรสกันเยอะ" แต่เพราะทำแท้งยาก ลูกก็เลยเต็มเมือง แต่เมื่อลูกแบบนี้เยอะก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเข้าถึงการศึกษาได้ถ้วนหน้า อัตราการเกิดของสหรัฐฯ จะคึกมาถึงทศวรรษที่ 1990 เลยด้วยซ้ำตามสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ลดลงเพราะ "จักรวรรดิเศรษฐกิจเริ่มพังทลาย" และสังคมแตกแยกสูง จนตั้งแง่กับผู้อพยพอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อมองมาที่ไทย ถ้ารัฐบาลอยากให้มีลูก ไม่ควรจะแจกเงินเท่านั้นเพราจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ควรจะไปแก้ที่ปัจจัยสี่แห่งการมีลูก คือ บ้านต้องมีกันได้ง่ายๆ (บ้านไม่แพง) สาธารณสุขต้องครบครัน (มีลูกต้องไม่แพง) คนชนทบทต้องไม่หนีเข้ามาในเมือง (มีงานและโอกาสทั่วถึง) และควรให้สวัสดิการผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เช่นวันหยุดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ตั้งใจหรือกำลังมีลูก) ถ้าปัจจัยครบ รัฐบาลไม่ต้องเสียเวลาบังคับให้ใครมีลูก เดี๋ยวเขาจะมีกันเอง หรือถ้ามีกระตุ้นให้มีลูกกันเองไม่ได้ บางทีอาจจะต้องอาศัยการรับผู้อพบพเข้ามาแล้วทำให้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ อย่างในกรณีของสหรัฐมีผู้อพยพจากประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ถือเป็น "อเมริกัน" ไม่ใช่คนชาติเดิมอีก บางทีเราต้องดูตัวอย่างการกลืน (Assimilation) แบบสหรัฐฯ ด้วย ปัจจัยสี่แห่งการมีลูกนี้ผมนึกเอาเอง ผมคิดว่าหลายคนก็คงมีไอเดียอื่นๆ ด้วย และที่เล่ามานั้นไม่ใช่ถูกหรือผิด เพียงแค่อยากจะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาของชาติเท่านั้น ไม่ได้อยากจะอวดดีอวดเก่งอะไร Kornkit Disthan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568

    วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098

    #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    คณะกรรมการไตรภาคีค่าจ้าง มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกจังหวัด แต่ได้ถึง 400 บาทเฉพาะจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง กับ 1 อำเภอ คือ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 • วันนี้(23 ธ.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ชุดที่ 22 ประกอบด้วยฝ่ายภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง มาประชุมครบองค์ประชุมเพื่อพิจารณาการปรับค่าจ้าง 400 บาททั่วประเทศในบางอาชีพ และบางกิจการ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นการประชุมบอร์ดไตรภาคีครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาระบุว่า ต้องการที่จะได้ตัวเลข 400 บาททั่วประเทศ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000123098 • #MGROnline #ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ #400บาท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มาร์ฮัฟ อาบู กาสรา" รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของซีเรีย กล่าวถึงชาวเคิร์ดทางเหนือของซีเรีย:

    "เราแบ่งแยกชัดเจนระหว่างพลเมืองเคิร์ดและฝ่ายกบฏเคิร์ด (SDF) หรือพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK)
    สำหรับพลเมืองชาวเคิร์ดจะได้รับสิทธิเต็มที่เช่นเดียวกับประชาชนชาวซีเรีย หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือไม่มีการแบ่งแยกของประชาชน มีเพียงรัฐบาลเดียว นั่นคือรัฐบาลกลาง ซีเรียจะรวมเป็นหนึ่งเดียว"


    จากคำกล่าวของ อาบู กาสรา บ่งบอกวัตถุประสงค์ของซีเรียที่คล้อยตามตุรกี โดยต้องการกำจัดกลุ่มกบฏเคิร์ด และจะเป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ นั่นคือทางเหนือของซีเรียยังคงเป็นภูมิภาคที่ร้อนแรงและไม่สงบต่อไป ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับยุคของอัสซาด และอาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เมื่อตุรกีลงมาเล่นเกมนี้อย่างเปิดเผย

    นอกเหนือไปจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรราว 30 ล้านคนในตะวันออกกลางที่กระจายอาศัยอยู่ใน 4 ประเทศ และยังไม่มีรัฐเป็นของตัวเอง อาจจะอาศัยความอ่อนแอของซีเรีย ยกระดับการต่อสู้เพื่อให้มีรัฐของตัวเอง
    "มาร์ฮัฟ อาบู กาสรา" รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของซีเรีย กล่าวถึงชาวเคิร์ดทางเหนือของซีเรีย: "เราแบ่งแยกชัดเจนระหว่างพลเมืองเคิร์ดและฝ่ายกบฏเคิร์ด (SDF) หรือพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) สำหรับพลเมืองชาวเคิร์ดจะได้รับสิทธิเต็มที่เช่นเดียวกับประชาชนชาวซีเรีย หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือไม่มีการแบ่งแยกของประชาชน มีเพียงรัฐบาลเดียว นั่นคือรัฐบาลกลาง ซีเรียจะรวมเป็นหนึ่งเดียว" จากคำกล่าวของ อาบู กาสรา บ่งบอกวัตถุประสงค์ของซีเรียที่คล้อยตามตุรกี โดยต้องการกำจัดกลุ่มกบฏเคิร์ด และจะเป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ นั่นคือทางเหนือของซีเรียยังคงเป็นภูมิภาคที่ร้อนแรงและไม่สงบต่อไป ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับยุคของอัสซาด และอาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เมื่อตุรกีลงมาเล่นเกมนี้อย่างเปิดเผย นอกเหนือไปจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรราว 30 ล้านคนในตะวันออกกลางที่กระจายอาศัยอยู่ใน 4 ประเทศ และยังไม่มีรัฐเป็นของตัวเอง อาจจะอาศัยความอ่อนแอของซีเรีย ยกระดับการต่อสู้เพื่อให้มีรัฐของตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • Jensen Wong 黃仁勳 ผู้ก่อตั้ง ประธาน และ ซีอีโอ NVIDIA
    มาเยือนไทย และ เวียตนาม

    สรุปว่า ไปลงทุนที่เวียตนาม ไม่มาลงทุนที่ไทย เพราะ

    1. มีฐานข้อมูลดิจิตัล ทางภาษา และวัฒนธรรม
    2. เวียตนามมีวิศวกรเก่งๆ มากมาย
    3. มีโครงสร้างพื้นฐานทาง AI คือ มีAIสตาร์ทอัพมากมาย มีศูนย์ข้อมูล วิศวกร และศูนย์AI ที่มีความพร้อม

    หากว่า ไทยไม่รีบพัฒนา ในอนาคตคนไทยต้องไหลไปขายแรงงานที่เวียตนามอย่างแน่นอน.
    Jensen Wong 黃仁勳 ผู้ก่อตั้ง ประธาน และ ซีอีโอ NVIDIA มาเยือนไทย และ เวียตนาม สรุปว่า ไปลงทุนที่เวียตนาม ไม่มาลงทุนที่ไทย เพราะ 1. มีฐานข้อมูลดิจิตัล ทางภาษา และวัฒนธรรม 2. เวียตนามมีวิศวกรเก่งๆ มากมาย 3. มีโครงสร้างพื้นฐานทาง AI คือ มีAIสตาร์ทอัพมากมาย มีศูนย์ข้อมูล วิศวกร และศูนย์AI ที่มีความพร้อม หากว่า ไทยไม่รีบพัฒนา ในอนาคตคนไทยต้องไหลไปขายแรงงานที่เวียตนามอย่างแน่นอน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี

    วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย

    มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย

    และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง

    การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย

    และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย

    แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ

    จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้

    อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml
    https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560
    http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html
    http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf
    https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml

    #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    การหย่าร้างในสมัยจีนโบราณ สวัสดีค่ะ ในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> พูดถึงการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) บ่อยครั้ง ชวนให้ Storyฯ คิดถึงนิยายและซีรีส์ไม่น้อยที่กล่าวถึงการเลิกรากันด้วยวิธีต่างๆ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการหย่าร้างหรือเลิกราของสามีภรรยาในจีนโบราณว่ามีกี่วิธี วิธีแรกคือบุรุษเป็นฝ่ายทิ้งสตรี หรือที่เรียกว่า ‘ซิว’ (休) หรือ ‘ชู’ (出) หรือ ‘ชวี่’ (去) โดยมีหลักการว่า ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ (七出,三不去) ซึ่งเป็นหลักการที่เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว (1046-256 ปีก่อนคริสตกาล) และพัฒนาขึ้นมาเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ผ่านหลายยุคหลายสมัย มีบทความภาษาไทยหลายบทความที่กล่าวถึงหลักการ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ นี้โดยละเอียด เพื่อนเพจสามารถหาอ่านดูได้ Storyฯ ขอพูดแบบสรุปว่า หากภรรยาเข้าข่ายประการใดประการหนึ่งในเจ็ดประการนี้สามีและ/หรือพ่อแม่สามีสามารถขับภรรยาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายหญิง ขอเพียงสองฝ่ายรับทราบและมีพยานลงนามรับรู้ถือว่าจบ แต่หากฝ่ายชายทิ้งเมียโดยไม่เข้าข่ายเจ็ดข้อนี้ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย อย่างในสมัยถังคือให้ไปเป็นแรงงานหนักหนึ่งปีครึ่ง และเจ็ดประการนี้คือ (1) ไม่เชื่อฟังพ่อแม่สามี (2) ไม่มีบุตรชาย (3) คบชู้สู่ชาย (4) หึงหวงสามี (5) มีโรคร้ายหรือพิการ (6) ปากไม่ดี และ (7) ลักขโมย และแม้ว่าภรรยาจะเข้าข่ายเจ็ดประการนี้ แต่หากมีความจำเป็นหนึ่งในสามลักษณะนี้ กฎหมายก็ห้ามไม่ให้บุรุษทิ้งเมีย กล่าวคือ (ก) ภรรยาเมื่อถูกทิ้งและขับออกจากเรือนของสามีแล้วจะไม่มีที่ไป เช่น ตอนแต่งงานพ่อแม่ของสตรียังมีชีวิตอยู่แต่ตอนนี้เสียไปแล้ว (ข) ได้เคยร่วมไว้ทุกข์ให้พ่อแม่สามีนานสามปีแล้ว ถือว่ามีความกตัญญูอย่างยิ่งยวดจนไม่อาจขับไล่ และ (ค) สามีแต่งภรรยามาตอนยากจน พอรวยแล้วจะทิ้งเมีย ทำไม่ได้ หากใครฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน อย่างในสมัยถังคือโบยหนึ่งร้อยครั้ง การเลิกราแบบที่สองคือ ‘อี้เจวี๋ย’ (义绝 /ตัดสัมพันธ์) หรือการบังคับหย่าโดยอำนาจศาลหรือที่ว่าการท้องถิ่น ปรากฏครั้งแรกในประมวลกฎหมายถัง ซึ่งถูกประกาศใช้ในยุคถังเกาจง (ฮ่องเต้องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ถัง) เมื่อปีค.ศ. 653 เป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกสามีหรือคนในบ้านสามีกระทำรุนแรง เช่น ตบตีทำร้ายร่างกายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด บังคับให้ภรรยาไปหลับนอนกับชายอื่น เอาเมียไปขาย หรือมีการประทุษร้ายรุนแรงต่อครอบครัวจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แล้ว เช่น ฆ่าพ่อแม่ของอีกฝ่าย เป็นต้น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงลักษณะนี้ ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจฟ้องหย่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายนี้ แม้ว่าสตรีจะร้องทุกข์เพื่อขอหย่ายังมักถูกตัดสินให้รับโทษด้วยเพราะถูกมองว่าการร้องเรียนสามีหรือครอบครัวสามีเป็นการกระทำที่ไม่ถูกจรรยาของสตรี แต่เมื่อมีกฎหมายรองรับแล้ว การบังคับหย่าจึงเป็นเส้นทางสู่อิสรภาพของสตรีวิธีหนึ่ง และเป็นการตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอีกด้วย และการเลิกราแบบสุดท้ายคือการหย่าร้างแบบสมัครใจทั้งสองฝ่ายหรือที่เรียกว่า ‘เหอหลี’ (和离) ซึ่งว่ากันว่ามีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉิน แต่... มันไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับใช้จวบจนสมัยถัง โดยประมวลกฎหมายแห่งถังบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อสามีภรรยาไม่พอใจซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมครองเรือนกันต่อไปได้แล้วนั้น ให้เลิกรากันได้โดยไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมาย แม้ว่าบทกฎหมายดังกล่าวจะถูกใช้ต่อมาอีกหลายยุคสมัย แต่ไม่มีการอธิบายหลักการนี้เพิ่มเติม และในปัจจุบันยังมีบทความวิเคราะห์ที่ให้ความคิดเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับเลิกโดยสมัครใจนี้ในบริบทของสังคมจีนโบราณ ทั้งนี้ ในบริบทของสังคมจีนโบราณ การแต่งงานถูกมองว่าเป็นการเกี่ยวดองของสองตระกูลที่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายและไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น อย่างที่กล่าวในตอนต้น การเลิกหรือขับเมียยังสามารถทำได้โดยพ่อแม่ของฝ่ายชาย และการถูกบังคับหย่าโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล จึงเป็นที่กังขาว่า การเลิกราโดยสมัครใจเป็นการตัดสินใจร่วมของคนสองคนเท่านั้นจริงหรือ จะเห็นได้ว่า นับแต่สมัยถังมามีบทกฎหมายที่คุ้มครองสตรีในการสมรสมากขึ้น แต่กระนั้น บุรุษก็ยังมีทางเลือกมากกว่าสตรี โดยอาจใช้ข้ออ้างของ ‘เจ็ดขับสามไม่ไป’ มาใช้เป็นเหตุผลในการทิ้งเมีย และหากบุรุษไม่ยินยอมเลิกรา สตรีก็หย่าขาดจากสามีไม่ได้ยกเว้นเกิดกรณีร้ายแรงพอที่จะฟ้องหย่าได้ อย่างไรก็ดี ในยุคสมัยต่อๆ มามีการเพิ่มเติมข้ออนุโลมให้สตรีใช้เป็นเหตุผลการหย่าร้างได้อีกแต่ไม่มาก ตัวอย่างเช่น ในสมัยหมิงมีการกำหนดไว้ว่า หากสามีหายตัวไปไม่กลับบ้านนานเกินสามปี ภรรยาสามารถยกเลิกพันธะสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเอกสารราชการยืนยัน (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.manmankan.com/dy2013/202401/20764.shtml Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinacourt.org/article/detail/2022/11/id/7011234.shtml https://www.legal-theory.org/?mod=info&act=view&id=21560 http://www.legaldaily.com.cn/fxjy/content/2021-05/12/content_8503165.html http://law.newdu.com/uploads/202401/31/201005130115.pdf https://bjgy.bjcourt.gov.cn/article/detail/2020/11/id/5563896.shtml #ทำนองรักกังวานแดนดิน #การหย่าร้าง #เหอหลี #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผยสารพัดสิทธิของ "ต่างด้าว" ทำคนไทยอ่วม แบกทั้งค่ารักษา-ค่าคลอดบุตรของพม่าที่ข้ามมารักษาฝั่งไทย โดยใช้ “กองทุนสิทธิ ท.99” ปีละกว่า 1,500 ล้าน ไม่รวมกลุ่มที่เบี้ยวค่ารักษาพยาบาล เฉพาะ รพ.ตามแนวชายแดน สูญเงินแล้วกว่า 2,500 ล้านต่อปี ขณะที่เด็กต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยได้สิทธิ “บัตรทอง” ทันที รักษาฟรีตลอดชีวิต อีกทั้งยังให้สิทธิเรียนฟรี 15 ปี แก่เด็กต่างด้าวทั้งที่เกิดในไทยและติดตามพ่อแม่เข้ามา ด้าน “ประธานสภาองค์การลูกจ้าง” ระบุหลายฝ่ายเสนอแยก “กองทุนประกันสังคม” เหตุลักษณะการใช้สิทธิของแรงงานไทยกับแรงงานข้ามชาติแตกต่างกัน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000122057

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เผยสารพัดสิทธิของ "ต่างด้าว" ทำคนไทยอ่วม แบกทั้งค่ารักษา-ค่าคลอดบุตรของพม่าที่ข้ามมารักษาฝั่งไทย โดยใช้ “กองทุนสิทธิ ท.99” ปีละกว่า 1,500 ล้าน ไม่รวมกลุ่มที่เบี้ยวค่ารักษาพยาบาล เฉพาะ รพ.ตามแนวชายแดน สูญเงินแล้วกว่า 2,500 ล้านต่อปี ขณะที่เด็กต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยได้สิทธิ “บัตรทอง” ทันที รักษาฟรีตลอดชีวิต อีกทั้งยังให้สิทธิเรียนฟรี 15 ปี แก่เด็กต่างด้าวทั้งที่เกิดในไทยและติดตามพ่อแม่เข้ามา ด้าน “ประธานสภาองค์การลูกจ้าง” ระบุหลายฝ่ายเสนอแยก “กองทุนประกันสังคม” เหตุลักษณะการใช้สิทธิของแรงงานไทยกับแรงงานข้ามชาติแตกต่างกัน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000122057 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 865 มุมมอง 1 รีวิว
Pages Boosts