• ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจงปมประกาศงดบริการ ย้ำความปลอดภัยบุคลากร-ผู้ป่วยสำคัญควบคู่มนุษยธรรม
    https://www.thai-tai.tv/news/20664/
    .
    #ไทยไทด้วย #รพสรรพสิทธิประสงค์ #บริการทางการแพทย์ #มนุษยธรรม #ผู้ป่วยฉุกเฉิน #สาธารณสุข #อุบลราชธานี #ข่าวปลอม #ความปลอดภัย #โรงพยาบาล
    ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจงปมประกาศงดบริการ ย้ำความปลอดภัยบุคลากร-ผู้ป่วยสำคัญควบคู่มนุษยธรรม https://www.thai-tai.tv/news/20664/ . #ไทยไทด้วย #รพสรรพสิทธิประสงค์ #บริการทางการแพทย์ #มนุษยธรรม #ผู้ป่วยฉุกเฉิน #สาธารณสุข #อุบลราชธานี #ข่าวปลอม #ความปลอดภัย #โรงพยาบาล
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • มะเร็งยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุด หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือคนส่วนใหญ่มักตรวจพบเมื่อสายเกินไป แต่ตอนนี้...ทีมวิจัยจาก Johns Hopkins นำโดย ดร.ยวี่ซวน หวัง (Dr. Yuxuan Wang) ได้เปิดเผยผลงานในวารสาร Cancer Discovery ว่าเขาสามารถตรวจพบ "DNA ของเนื้องอก" ในเลือดได้ ล่วงหน้า 3 ปี ก่อนที่อาการจะปรากฏชัด

    พวกเขาศึกษาตัวอย่างพลาสมาเลือด 52 รายที่เคยบริจาคไว้ในการศึกษาก่อนหน้า พบว่า 8 รายมีผลตรวจ “บวก” ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า MCED (Multicancer Early Detection test) และสุดท้ายทั้ง 8 รายถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจริงภายใน 4 เดือน!

    ยิ่งน่าทึ่งคือ ในบางราย ทีมงานมีตัวอย่างเลือดย้อนหลังไปถึง 3.5 ปีก่อนวินิจฉัย และพบ "การกลายพันธุ์ของ DNA ที่ชี้ถึงมะเร็ง" ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว… ทั้งหมดนี้เกิดจากการตรวจหา ctDNA (circulating tumor DNA) หรือเศษดีเอ็นเอที่เซลล์เนื้องอกปล่อยออกสู่กระแสเลือด

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ MCED ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA และมีราคาหลักหลายร้อยดอลลาร์ แถมประกันสุขภาพส่วนใหญ่ยังไม่ครอบคลุม และ American Cancer Society ก็เตือนว่า ผลตรวจ "บวก" ยังไม่ใช่ข้อยืนยันว่าคุณเป็นมะเร็งจริง ๆ

    แต่ที่แน่ ๆ งานนี้อาจกลายเป็นก้าวแรกของ “การตรวจสุขภาพแบบล้ำอนาคต” ที่ไม่ต้องรออาการ แค่เจาะเลือดก็รู้!

    ทีมวิจัย Johns Hopkins พัฒนาเทคนิคตรวจเลือดเพื่อหา DNA จากเนื้องอก (ctDNA)  
    • ใช้วิธี MCED (Multicancer Early Detection)  
    • ตรวจพบความผิดปกติได้ล่วงหน้าถึง 3.5 ปี ก่อนมีอาการ

    ผลการทดลองเบื้องต้น: มีผู้ที่ตรวจพบผลบวก 8 ราย และได้รับการวินิจฉัยมะเร็งจริงภายใน 4 เดือน  
    • ยืนยันว่าการตรวจ ctDNA อาจใช้ช่วยวินิจฉัยล่วงหน้าได้จริง

    วิธีการศึกษาคือวิเคราะห์พลาสมาเลือดย้อนหลังที่เก็บไว้จากโครงการวิจัยอื่น  
    • โดยเปรียบเทียบเลือดจากกลุ่มที่ป่วยกับกลุ่มไม่ป่วย

    บทความตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Discovery  
    • นำโดย ดร. ยวี่ซวน หวัง จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins

    MCED ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA และไม่ครอบคลุมโดยประกันส่วนใหญ่  
    • การตรวจนี้ยังถือเป็นการวิจัย ไม่ใช่บริการทางการแพทย์ทั่วไป  
    • อาจมีต้นทุนหลักหลายร้อยดอลลาร์ต่อครั้ง

    ผลตรวจ “บวก” ของ MCED ยังไม่ถือเป็นหลักฐานยืนยันการเป็นมะเร็ง  
    • ต้องใช้ร่วมกับการวินิจฉัยแบบดั้งเดิม เช่น CT scan, MRI หรือการตรวจชิ้นเนื้อ  
    • อาจเกิด “ผลบวกลวง (False Positive)” และสร้างความวิตกโดยไม่จำเป็น

    ข้อมูลชุดทดสอบยังน้อยเกินไปที่จะใช้กับประชากรทั่วไปได้ทันที  
    • กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยมีเพียง 52 ราย

    การวิเคราะห์ ctDNA มีความซับซ้อนและต้องการห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง  
    • ยังไม่สามารถให้บริการได้ในโรงพยาบาลทั่วไป

    https://wccftech.com/this-blood-test-can-detect-cancer-tumors-years-before-clinical-symptoms-develop-claims-a-new-study/
    มะเร็งยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุด หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือคนส่วนใหญ่มักตรวจพบเมื่อสายเกินไป แต่ตอนนี้...ทีมวิจัยจาก Johns Hopkins นำโดย ดร.ยวี่ซวน หวัง (Dr. Yuxuan Wang) ได้เปิดเผยผลงานในวารสาร Cancer Discovery ว่าเขาสามารถตรวจพบ "DNA ของเนื้องอก" ในเลือดได้ ล่วงหน้า 3 ปี ก่อนที่อาการจะปรากฏชัด พวกเขาศึกษาตัวอย่างพลาสมาเลือด 52 รายที่เคยบริจาคไว้ในการศึกษาก่อนหน้า พบว่า 8 รายมีผลตรวจ “บวก” ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า MCED (Multicancer Early Detection test) และสุดท้ายทั้ง 8 รายถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจริงภายใน 4 เดือน! ยิ่งน่าทึ่งคือ ในบางราย ทีมงานมีตัวอย่างเลือดย้อนหลังไปถึง 3.5 ปีก่อนวินิจฉัย และพบ "การกลายพันธุ์ของ DNA ที่ชี้ถึงมะเร็ง" ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว… ทั้งหมดนี้เกิดจากการตรวจหา ctDNA (circulating tumor DNA) หรือเศษดีเอ็นเอที่เซลล์เนื้องอกปล่อยออกสู่กระแสเลือด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ MCED ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA และมีราคาหลักหลายร้อยดอลลาร์ แถมประกันสุขภาพส่วนใหญ่ยังไม่ครอบคลุม และ American Cancer Society ก็เตือนว่า ผลตรวจ "บวก" ยังไม่ใช่ข้อยืนยันว่าคุณเป็นมะเร็งจริง ๆ แต่ที่แน่ ๆ งานนี้อาจกลายเป็นก้าวแรกของ “การตรวจสุขภาพแบบล้ำอนาคต” ที่ไม่ต้องรออาการ แค่เจาะเลือดก็รู้! ✅ ทีมวิจัย Johns Hopkins พัฒนาเทคนิคตรวจเลือดเพื่อหา DNA จากเนื้องอก (ctDNA)   • ใช้วิธี MCED (Multicancer Early Detection)   • ตรวจพบความผิดปกติได้ล่วงหน้าถึง 3.5 ปี ก่อนมีอาการ ✅ ผลการทดลองเบื้องต้น: มีผู้ที่ตรวจพบผลบวก 8 ราย และได้รับการวินิจฉัยมะเร็งจริงภายใน 4 เดือน   • ยืนยันว่าการตรวจ ctDNA อาจใช้ช่วยวินิจฉัยล่วงหน้าได้จริง ✅ วิธีการศึกษาคือวิเคราะห์พลาสมาเลือดย้อนหลังที่เก็บไว้จากโครงการวิจัยอื่น   • โดยเปรียบเทียบเลือดจากกลุ่มที่ป่วยกับกลุ่มไม่ป่วย ✅ บทความตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Discovery   • นำโดย ดร. ยวี่ซวน หวัง จากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ‼️ MCED ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA และไม่ครอบคลุมโดยประกันส่วนใหญ่   • การตรวจนี้ยังถือเป็นการวิจัย ไม่ใช่บริการทางการแพทย์ทั่วไป   • อาจมีต้นทุนหลักหลายร้อยดอลลาร์ต่อครั้ง ‼️ ผลตรวจ “บวก” ของ MCED ยังไม่ถือเป็นหลักฐานยืนยันการเป็นมะเร็ง   • ต้องใช้ร่วมกับการวินิจฉัยแบบดั้งเดิม เช่น CT scan, MRI หรือการตรวจชิ้นเนื้อ   • อาจเกิด “ผลบวกลวง (False Positive)” และสร้างความวิตกโดยไม่จำเป็น ‼️ ข้อมูลชุดทดสอบยังน้อยเกินไปที่จะใช้กับประชากรทั่วไปได้ทันที   • กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยมีเพียง 52 ราย ‼️ การวิเคราะห์ ctDNA มีความซับซ้อนและต้องการห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง   • ยังไม่สามารถให้บริการได้ในโรงพยาบาลทั่วไป https://wccftech.com/this-blood-test-can-detect-cancer-tumors-years-before-clinical-symptoms-develop-claims-a-new-study/
    WCCFTECH.COM
    This Blood Test Can Detect Cancer Tumors Years Before Clinical Symptoms Develop, Claims A New Study
    Despite a lack of approval from the FDA, MCED tests can play a critical ancillary role in the early diagnosis of cancer.
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • ประกันสังคมแจงยิบ รักษา-ยาเท่าบัตรทอง : [NEWS UPDATE]

    นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) เผยยืนยัน การรักษาตามสิทธิประกันสังคมไม่ด้อยกว่าบัตรทอง หลังสังคมตั้งข้อสงสัยและเปรียบเทียบสิทธิประกันสังคมกับบัตรทอง โดยประกันสังคมคุ้มครอง 7 กรณี ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายของผู้ประกันตน ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน ให้สิทธิการรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมทุกโรค อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่รวดเร็ว ด้านทันตกรรมครอบคลุมการถอนฟัน ผ่าฟันคุด อุดฟัน ขูดหินปูน เบิกฟันเทียม รวมถึงยกระดับการรักษา 5 โรคสำคัญ ได้แก่ หัวใจและหลอดเลือด หลอดเลือดสมอง นิ่วในไตและถุงน้ำดี มะเร็งเต้านม และก้อนเนื้อที่มดลูกและหรือรังไข่ เพิ่มทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็ง สิทธิการตรวจสุขภาพ และการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งยังพัฒนาให้ผู้ประกันตนได้สิทธิเพิ่ม ย้ำ ไม่ว่าสิทธิใด คุณภาพในการรักษา รวมถึงยา ต้องเป็นไปตามมาตรฐานและเท่าเทียมกัน

    -1.2 พันคนเอี่ยวฮั้วเลือก สว.

    -ทลายแหล่งกบดานแก็งคอล

    -น้ำลำตะคองลดฮวบ

    -ยังไม่พบไวรัสใหม่ติดคน
    ประกันสังคมแจงยิบ รักษา-ยาเท่าบัตรทอง : [NEWS UPDATE] นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) เผยยืนยัน การรักษาตามสิทธิประกันสังคมไม่ด้อยกว่าบัตรทอง หลังสังคมตั้งข้อสงสัยและเปรียบเทียบสิทธิประกันสังคมกับบัตรทอง โดยประกันสังคมคุ้มครอง 7 กรณี ตั้งแต่เกิดจนวาระสุดท้ายของผู้ประกันตน ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน ให้สิทธิการรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมทุกโรค อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่รวดเร็ว ด้านทันตกรรมครอบคลุมการถอนฟัน ผ่าฟันคุด อุดฟัน ขูดหินปูน เบิกฟันเทียม รวมถึงยกระดับการรักษา 5 โรคสำคัญ ได้แก่ หัวใจและหลอดเลือด หลอดเลือดสมอง นิ่วในไตและถุงน้ำดี มะเร็งเต้านม และก้อนเนื้อที่มดลูกและหรือรังไข่ เพิ่มทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็ง สิทธิการตรวจสุขภาพ และการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งยังพัฒนาให้ผู้ประกันตนได้สิทธิเพิ่ม ย้ำ ไม่ว่าสิทธิใด คุณภาพในการรักษา รวมถึงยา ต้องเป็นไปตามมาตรฐานและเท่าเทียมกัน -1.2 พันคนเอี่ยวฮั้วเลือก สว. -ทลายแหล่งกบดานแก็งคอล -น้ำลำตะคองลดฮวบ -ยังไม่พบไวรัสใหม่ติดคน
    Like
    7
    0 Comments 0 Shares 1442 Views 54 0 Reviews
  • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์ถูกควบคุมโดย AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีประเด็นสำคัญหลายด้านที่ต้องพิจารณา ทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยง:

    ### โอกาส:
    1. **การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ**: AI สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการจัดการข้อมูลด้วยมนุษย์
    2. **การให้บริการส่วนบุคคล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้บริการที่ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การแนะนำสินค้า บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล
    3. **ความปลอดภัยของข้อมูล**: AI สามารถช่วยในการตรวจสอบและป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### ความเสี่ยง:
    1. **ความเป็นส่วนตัว**: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม
    2. **การเลือกปฏิบัติ**: AI อาจใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตัดสินใจที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น การให้สินเชื่อ การจ้างงาน
    3. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะในการจัดการข้อมูลด้วยตนเอง

    ### มาตรการป้องกัน:
    1. **กฎหมายและนโยบาย**: ต้องมีกฎหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดย AI
    2. **ความโปร่งใส**: กระบวนการทำงานของ AI ต้องมีความโปร่งใส เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและตรวจสอบได้
    3. **การมีส่วนร่วมของสาธารณะ**: ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะในการกำหนดนโยบายและการใช้ AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล

    ### บทสรุป:
    การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบและมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและสิทธิของบุคคล
    เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์ถูกควบคุมโดย AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีประเด็นสำคัญหลายด้านที่ต้องพิจารณา ทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยง: ### โอกาส: 1. **การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ**: AI สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการจัดการข้อมูลด้วยมนุษย์ 2. **การให้บริการส่วนบุคคล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้บริการที่ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การแนะนำสินค้า บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล 3. **ความปลอดภัยของข้อมูล**: AI สามารถช่วยในการตรวจสอบและป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### ความเสี่ยง: 1. **ความเป็นส่วนตัว**: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม 2. **การเลือกปฏิบัติ**: AI อาจใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตัดสินใจที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น การให้สินเชื่อ การจ้างงาน 3. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะในการจัดการข้อมูลด้วยตนเอง ### มาตรการป้องกัน: 1. **กฎหมายและนโยบาย**: ต้องมีกฎหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดย AI 2. **ความโปร่งใส**: กระบวนการทำงานของ AI ต้องมีความโปร่งใส เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและตรวจสอบได้ 3. **การมีส่วนร่วมของสาธารณะ**: ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะในการกำหนดนโยบายและการใช้ AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ### บทสรุป: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบและมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและสิทธิของบุคคล
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • ปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร?

    ณ ใจกลางเมืองที่วุ่นวาย ศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าก้มตากับกองเอกสารทางการแพทย์ที่สูงเป็นภูเขา เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และวันนี้เขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของระบบสาธารณสุขไทย นั่นคือความล่าช้าและซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย
    "ทำไมมันยากขนาดนี้นะ" เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่พยายามค้นหาประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายหนึ่ง "ถ้าเรามีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันคงจะง่ายกว่านี้มาก"
    ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน พวกเขาต้องเสียเวลาอันมีค่าไปกับการค้นหาข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการดูแลผู้ป่วย
    วันหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ได้อ่านรายงานนักลงทุนด้านสุขภาพดิจิทัล หัวข้อ "ตลาดแพลตฟอร์มที่น่าสนใจที่สุดในอุตสาหกรรมสุขภาพ" ข้อความในรายงานสะกิดใจเขาอย่างจัง เมื่อเขาได้อ่านถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถปฏิวัติวงการสาธารณสุขได้
    "นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ!" ศักดิ์สิทธิ์อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น "แพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย"
    เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างจริงจัง และพบว่ามีหลายแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา ทำให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการการทดลองทางคลินิก การรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลอง และการแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์
    ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เขาและเพื่อนร่วมงานกำลังเผชิญอยู่ เขาตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหัวหน้าแผนกและผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
    หลังจากนั้นไม่นาน โรงพยาบาลได้เริ่มนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ในการทำงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก ศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนร่วมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วย
    "ผมดีใจมากที่เราตัดสินใจนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้" ศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นและดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ผมหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้การดูแลสุขภาพของคนไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย"
    จากเรื่องราวของศักดิ์สิทธิ์ เราจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการสาธารณสุข ช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

    แพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    ระบบนิเวศของทุกอย่างมีส่วนที่ส่งเสริมกัน นิเวศแพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพก็เช่นกัน เรามาลงรายละเอียดในเรื่องนี้กัน

    แพลตฟอร์ม
    บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม ในระดับโลก บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 ใน 10 แห่งคือแพลตฟอร์ม ในตลาดเอกชน บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกินพันล้านดอลลาร์ (ยูนิคอร์น) 60-70% เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม
    แพลตฟอร์มในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล
    ในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไปอย่างมาก โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากขึ้น มีมูลค่าประเมินที่สูงกว่า ได้รับเงินทุนต่อเนื่องอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า
    ตลาดแพลตฟอร์มด้านการดูแลสุขภาพ
    การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการตลาดมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับแพลตฟอร์มในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดได้มากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสามารถช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพ ปรับปรุงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการดูแลสุขภาพ

    แพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    1.ห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา (ใบสั่งยา)
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงร้านขายยา ผู้ให้บริการทางการแพทย์ และผู้ป่วย เพื่อให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
    2.การจัดการการทดลองทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและติดตามการทดลองทางคลินิก ตั้งแต่การออกแบบ การรับสมัครผู้เข้าร่วม ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล
    3.การรับสมัครการทดลองทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการค้นหาและคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกที่เหมาะสม
    4.การแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
    5.การทำสัญญาและการรับรอง
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการสัญญาและการรับรองระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ชำระเงิน
    6.การอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เหมาะสม
    7.การเคลมทางการแพทย์
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและดำเนินการเคลมทางการแพทย์
    8.ตลาดพนักงาน
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ให้บริการทางการแพทย์กับผู้ที่กำลังมองหางานในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    9.การอ้างอิงการจำหน่าย/LTPAC
    แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลหรือศูนย์ดูแลระยะยาว

    แพลตฟอร์มเกิดใหม่
    1.การเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้บริการอิสระ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์อิสระสามารถเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพ
    2.การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัย
    3.เครือข่ายที่ไม่ใช่ทางคลินิก
    แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ป่วยกับชุมชนและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ครอบคลุม
    4.ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเลือกบริการทางการแพทย์ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง
    5.ไดเรกทอรี/ข้อมูลรับรองที่ผู้ให้บริการควบคุม
    แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถจัดการข้อมูลรับรองและข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้

    แล้วปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? อย่าลืมติดตามตอนต่อไปครับ

    ที่มาของรูปภาพ: https://cellworks.life/technology/pipeline
    #เมื่อมีของจงแบ่งปันสู่ผู้คน
    www.10-xconsulting
    www.lifealignmentor.com
    ปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? ณ ใจกลางเมืองที่วุ่นวาย ศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าก้มตากับกองเอกสารทางการแพทย์ที่สูงเป็นภูเขา เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และวันนี้เขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของระบบสาธารณสุขไทย นั่นคือความล่าช้าและซับซ้อนในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย "ทำไมมันยากขนาดนี้นะ" เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่พยายามค้นหาประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายหนึ่ง "ถ้าเรามีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันคงจะง่ายกว่านี้มาก" ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกัน พวกเขาต้องเสียเวลาอันมีค่าไปกับการค้นหาข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการดูแลผู้ป่วย วันหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ได้อ่านรายงานนักลงทุนด้านสุขภาพดิจิทัล หัวข้อ "ตลาดแพลตฟอร์มที่น่าสนใจที่สุดในอุตสาหกรรมสุขภาพ" ข้อความในรายงานสะกิดใจเขาอย่างจัง เมื่อเขาได้อ่านถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถปฏิวัติวงการสาธารณสุขได้ "นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ!" ศักดิ์สิทธิ์อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น "แพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย" เขาเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างจริงจัง และพบว่ามีหลายแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา ทำให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการการทดลองทางคลินิก การรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลอง และการแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เขาและเพื่อนร่วมงานกำลังเผชิญอยู่ เขาตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหัวหน้าแผนกและผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน โรงพยาบาลได้เริ่มนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ในการทำงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก ศักดิ์สิทธิ์และเพื่อนร่วมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วย "ผมดีใจมากที่เราตัดสินใจนำแพลตฟอร์มดิจิทัลมาใช้" ศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นและดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ผมหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้การดูแลสุขภาพของคนไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย" จากเรื่องราวของศักดิ์สิทธิ์ เราจะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการสาธารณสุข ช่วยให้การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ แพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพ ระบบนิเวศของทุกอย่างมีส่วนที่ส่งเสริมกัน นิเวศแพลตฟอร์มที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมสุขภาพก็เช่นกัน เรามาลงรายละเอียดในเรื่องนี้กัน แพลตฟอร์ม บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม ในระดับโลก บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 6 ใน 10 แห่งคือแพลตฟอร์ม ในตลาดเอกชน บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกินพันล้านดอลลาร์ (ยูนิคอร์น) 60-70% เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล ในอุตสาหกรรมสุขภาพดิจิทัล แพลตฟอร์มมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าบริษัทซอฟต์แวร์ทั่วไปอย่างมาก โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากขึ้น มีมูลค่าประเมินที่สูงกว่า ได้รับเงินทุนต่อเนื่องอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า ตลาดแพลตฟอร์มด้านการดูแลสุขภาพ การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการตลาดมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับแพลตฟอร์มในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มสามารถจัดการกับความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดได้มากมาย ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสามารถช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพ ปรับปรุงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบการดูแลสุขภาพ แพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1.ห่วงโซ่คุณค่าของร้านขายยา (ใบสั่งยา) แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงร้านขายยา ผู้ให้บริการทางการแพทย์ และผู้ป่วย เพื่อให้การจัดการใบสั่งยาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 2.การจัดการการทดลองทางคลินิก แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและติดตามการทดลองทางคลินิก ตั้งแต่การออกแบบ การรับสมัครผู้เข้าร่วม ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูล 3.การรับสมัครการทดลองทางคลินิก แพลตฟอร์มที่ช่วยในการค้นหาและคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกที่เหมาะสม 4.การแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนภาพทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 5.การทำสัญญาและการรับรอง แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการสัญญาและการรับรองระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ชำระเงิน 6.การอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เหมาะสม 7.การเคลมทางการแพทย์ แพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดการและดำเนินการเคลมทางการแพทย์ 8.ตลาดพนักงาน แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ให้บริการทางการแพทย์กับผู้ที่กำลังมองหางานในอุตสาหกรรมสุขภาพ 9.การอ้างอิงการจำหน่าย/LTPAC แพลตฟอร์มที่ช่วยในการอ้างอิงผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลหรือศูนย์ดูแลระยะยาว แพลตฟอร์มเกิดใหม่ 1.การเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้บริการอิสระ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์อิสระสามารถเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการให้บริการที่มีคุณภาพ 2.การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพ แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างปลอดภัย 3.เครือข่ายที่ไม่ใช่ทางคลินิก แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ป่วยกับชุมชนและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ครอบคลุม 4.ตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบและเลือกบริการทางการแพทย์ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง 5.ไดเรกทอรี/ข้อมูลรับรองที่ผู้ให้บริการควบคุม แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถจัดการข้อมูลรับรองและข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้ แล้วปัญญาประดิษฐ์และดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สถานบริการสุขภาพไทยได้อย่างไร? อย่าลืมติดตามตอนต่อไปครับ ที่มาของรูปภาพ: https://cellworks.life/technology/pipeline #เมื่อมีของจงแบ่งปันสู่ผู้คน www.10-xconsulting www.lifealignmentor.com
    0 Comments 0 Shares 1019 Views 0 Reviews
  • บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชายแดนแห่งหนึ่งได้ร้องเรียนผ่านเพจ Drama-addict ถึงปัญหาคนไข้ต่างด้าวจำนวนมากที่ข้ามแดนเข้ามารับบริการรักษาพยาบาลฟรีในโรงพยาบาลรัฐ โดยอาศัยช่องโหว่ของ "สิทธิ ท.99" ซึ่งเป็นสิทธิสำหรับบุคคลผู้มีปัญหาสถานะรวมถึงคนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิการรักษาพยาบาลใดๆ โดยกองทุนสิทธิ ท.99 จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด

    ผู้ร้องเรียนเล่าถึงเคสคนไข้หญิงตั้งครรภ์ชาวพม่าที่เดินทางมาโรงพยาบาลโดยแจ้งว่าจะชำระค่ารักษาเอง แต่เมื่อทราบค่าใช้จ่ายซึ่งสูงเป็นหลักแสน กลับอ้างว่าจะใช้สิทธิ ท.99 ทำให้พยาบาลตกใจมากที่คนไข้ต่างชาติรับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิทธิ ท.99 และส่งต่อกันเป็นวงกว้างเพื่อชวนกันเข้ามาใช้บริการฟรีโดยอาศัยช่องโหว่นี้

    บุคลากรทางการแพทย์คนนี้กังวลว่างบประมาณจากภาษีของคนไทยจะถูกนำไปใช้รักษาคนต่างด้าวจำนวนมาก และอาจเป็นสาเหตุให้ระบบสาธารณสุขไทยมีปัญหาในอนาคต เพราะทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีภาระงานหนักขึ้น คนไข้ชาวไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยากขึ้นและล่าช้าลง เนื่องจากต้องรอคิวคนไข้ต่างชาติ

    นอกจากนี้ จดหมายร้องเรียนยังระบุด้วยว่า จำนวนคนต่างด้าวที่คลอดบุตรในโรงพยาบาลชายแดนแห่งนี้มากกว่าคนไทยถึง 2 เท่า โดยเดือนที่แล้วมีคนไทยมาใชับริการคลอดบุตรเพียง 80 คน ขณะที่คนต่างด้าวข้ามมาคลอดบุตรในไทยถึง 160 คน

    ปัจจุบันคนไทยไม่เพียงทำงานจ่ายภาษีให้นักการเมืองและข้าราชการขี้ฉ้อเอาไปกินกัน ยังต้องทำงานจ่ายภาษีเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ประเทศเพื้อนบ้านอีกต่างหาก โดยเราไม่ได้อะไรเลย
    บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลชายแดนแห่งหนึ่งได้ร้องเรียนผ่านเพจ Drama-addict ถึงปัญหาคนไข้ต่างด้าวจำนวนมากที่ข้ามแดนเข้ามารับบริการรักษาพยาบาลฟรีในโรงพยาบาลรัฐ โดยอาศัยช่องโหว่ของ "สิทธิ ท.99" ซึ่งเป็นสิทธิสำหรับบุคคลผู้มีปัญหาสถานะรวมถึงคนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิการรักษาพยาบาลใดๆ โดยกองทุนสิทธิ ท.99 จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด ผู้ร้องเรียนเล่าถึงเคสคนไข้หญิงตั้งครรภ์ชาวพม่าที่เดินทางมาโรงพยาบาลโดยแจ้งว่าจะชำระค่ารักษาเอง แต่เมื่อทราบค่าใช้จ่ายซึ่งสูงเป็นหลักแสน กลับอ้างว่าจะใช้สิทธิ ท.99 ทำให้พยาบาลตกใจมากที่คนไข้ต่างชาติรับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิทธิ ท.99 และส่งต่อกันเป็นวงกว้างเพื่อชวนกันเข้ามาใช้บริการฟรีโดยอาศัยช่องโหว่นี้ บุคลากรทางการแพทย์คนนี้กังวลว่างบประมาณจากภาษีของคนไทยจะถูกนำไปใช้รักษาคนต่างด้าวจำนวนมาก และอาจเป็นสาเหตุให้ระบบสาธารณสุขไทยมีปัญหาในอนาคต เพราะทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีภาระงานหนักขึ้น คนไข้ชาวไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยากขึ้นและล่าช้าลง เนื่องจากต้องรอคิวคนไข้ต่างชาติ นอกจากนี้ จดหมายร้องเรียนยังระบุด้วยว่า จำนวนคนต่างด้าวที่คลอดบุตรในโรงพยาบาลชายแดนแห่งนี้มากกว่าคนไทยถึง 2 เท่า โดยเดือนที่แล้วมีคนไทยมาใชับริการคลอดบุตรเพียง 80 คน ขณะที่คนต่างด้าวข้ามมาคลอดบุตรในไทยถึง 160 คน ปัจจุบันคนไทยไม่เพียงทำงานจ่ายภาษีให้นักการเมืองและข้าราชการขี้ฉ้อเอาไปกินกัน ยังต้องทำงานจ่ายภาษีเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ประเทศเพื้อนบ้านอีกต่างหาก โดยเราไม่ได้อะไรเลย
    0 Comments 0 Shares 546 Views 0 Reviews
  • โรงพยาบาลธนบุรี สลัดภาพหมอบุญ

    กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ภายใต้ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ได้เป็นของกลุ่มหมอบุญ นพ.บุญ วนาสิน ที่หลบหนีคดีฉ้อโกงและฟอกเงินไปอยู่ต่างประเทศอีกต่อไป แต่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน THG ภายใต้การนำของ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ กำลังเข้ามากอบกู้สถานการณ์ แม้ยี่ห้อหมอบุญกับโรงพยาบาลธนบุรี จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่เคยใช้บริการก็ตาม

    ก่อนหน้านี้มีการแต่งตั้ง ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และอดีตรองคณบดีฝ่ายพันธกิจบริการทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี หลังเกษียณอายุงานเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นคณะกรรมการบริษัทฯ ในเครือ THG มาตั้งแต่ปี 2559

    นพ.วิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่าในปี 2568 จะเปิดคลินิกเฉพาะทาง เริ่มจากคลินิกการนอนหลับ ต่อด้วยกลุ่มเด็กแรกเกิด กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมกับเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ ลูกค้าองค์กร และผู้ป่วยต่างชาติจากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง อีกด้านหนึ่ง จะเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ต้นปี 2568 ดึงบุคลากรรุ่นใหม่ Gen Z เข้ามาเสริมทัพ เปลี่ยนระบบค่าตอบแทนใหม่ และสร้างอินฟลูเอนเซอร์จากบุคลากรในโรงพยาบาล

    สำหรับโครงการของ นพ.บุญที่เกี่ยวข้องกับ THG มีเพียงโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เท่านั้นที่ใช้เงินบริษัทลงทุน ไม่ใช่เงินส่วนตัวของ นพ.บุญ ส่วนธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการที่ไม่มีอยู่จริง นพ.บุญทำเองไม่เกี่ยวกับ THG ด้านศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า และแผนการสร้างโรงพยาบาลในเวียดนาม หลังบริษัทฯ ทำเอ็มโอยูช่วงปี 2565-2566 เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้อย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจไม่ลงทุนทั้งสองโครงการ

    นพ.บุญได้ลาออกจาก THG มาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2565 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงาน ส่วนนางจารุวรรณ วนาสิน อดีตภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน บุตรสาว นพ.บุญ แม้ยังไม่ได้แจ้งขอลาออกจากกรรมการบริษัทฯ และยังไม่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด แต่ทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจ จึงไม่มีอำนาจกระทำการใดๆ ในนามบริษัทฯ และการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังเป็นปกติ

    ปัจจุบัน นางจารุวรรณถือหุ้น THG จำนวน 14.22% บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ถือหุ้น 3.70% น.ส.ณวรา กุญชร ณ อยุธยา อดีตลูกสะใภ้ถือหุ้น 3.03% และ นพ.บุญ ถือหุ้น 0.68% ส่วน น.ส.นลินให้การกับตำรวจว่ามีเพียง 10,000 หุ้นเท่านั้น

    #Newskit
    โรงพยาบาลธนบุรี สลัดภาพหมอบุญ กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ภายใต้ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ได้เป็นของกลุ่มหมอบุญ นพ.บุญ วนาสิน ที่หลบหนีคดีฉ้อโกงและฟอกเงินไปอยู่ต่างประเทศอีกต่อไป แต่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน THG ภายใต้การนำของ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ กำลังเข้ามากอบกู้สถานการณ์ แม้ยี่ห้อหมอบุญกับโรงพยาบาลธนบุรี จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่เคยใช้บริการก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการแต่งตั้ง ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และอดีตรองคณบดีฝ่ายพันธกิจบริการทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี หลังเกษียณอายุงานเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นคณะกรรมการบริษัทฯ ในเครือ THG มาตั้งแต่ปี 2559 นพ.วิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่าในปี 2568 จะเปิดคลินิกเฉพาะทาง เริ่มจากคลินิกการนอนหลับ ต่อด้วยกลุ่มเด็กแรกเกิด กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมกับเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ ลูกค้าองค์กร และผู้ป่วยต่างชาติจากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง อีกด้านหนึ่ง จะเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ต้นปี 2568 ดึงบุคลากรรุ่นใหม่ Gen Z เข้ามาเสริมทัพ เปลี่ยนระบบค่าตอบแทนใหม่ และสร้างอินฟลูเอนเซอร์จากบุคลากรในโรงพยาบาล สำหรับโครงการของ นพ.บุญที่เกี่ยวข้องกับ THG มีเพียงโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เท่านั้นที่ใช้เงินบริษัทลงทุน ไม่ใช่เงินส่วนตัวของ นพ.บุญ ส่วนธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการที่ไม่มีอยู่จริง นพ.บุญทำเองไม่เกี่ยวกับ THG ด้านศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า และแผนการสร้างโรงพยาบาลในเวียดนาม หลังบริษัทฯ ทำเอ็มโอยูช่วงปี 2565-2566 เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้อย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจไม่ลงทุนทั้งสองโครงการ นพ.บุญได้ลาออกจาก THG มาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2565 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงาน ส่วนนางจารุวรรณ วนาสิน อดีตภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน บุตรสาว นพ.บุญ แม้ยังไม่ได้แจ้งขอลาออกจากกรรมการบริษัทฯ และยังไม่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด แต่ทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจ จึงไม่มีอำนาจกระทำการใดๆ ในนามบริษัทฯ และการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังเป็นปกติ ปัจจุบัน นางจารุวรรณถือหุ้น THG จำนวน 14.22% บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ถือหุ้น 3.70% น.ส.ณวรา กุญชร ณ อยุธยา อดีตลูกสะใภ้ถือหุ้น 3.03% และ นพ.บุญ ถือหุ้น 0.68% ส่วน น.ส.นลินให้การกับตำรวจว่ามีเพียง 10,000 หุ้นเท่านั้น #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 1399 Views 0 Reviews
  • นิทรรศการ: นิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติจีนครั้งที่ 15 ( Zhuhai Airshow2024 )
    ระยะเวลาจัดงาน : 12-17 พฤศจิกายน 2024
    สถานที่จัดนิทรรศการ: ศูนย์นิทรรศการการบินนานาชาติจูไห่ ประเทศจีน

    สำหรับงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติของจีน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า China Airshow หรือ Zhuhai Airshow ก่อตั้งขึ้นในปี 1996 เป็นงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติที่ครอบคลุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองจูไห่ ประเทศจีน ทุกๆ สองปี โดยได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประชาชนส่วนกลาง

    ปีนี้ไฮไลท์งานแสดงนิทรรศการการบิน จีนจะเปิดตัวครั้งแรก เครื่องบินขับไล่สเตลท์ J-35A ใหม่ของจีน และ รัสเซียส่งเครื่องบินรบ Su-57 ร่วมงาน China Airshow ครั้งที่ 15เป็นครั้งแรก เครื่องบินรบรุ่นนี้ เครมลิน ขนานนามว่า เป็น "เครื่องบินขับไล่ล่องหน เจเนอเรชั่นที่ 5" ที่ล้ำหน้าและล้ำสมัยที่สุดในยุคปัจจุบัน

    ลักษณะเด่นหลักคือการจัดแสดง บริษัท AVIC (Aviation Industry Corporation of China) จะจัดแสดง H135 ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มการตรวจสอบแบบไร้คนขับสำหรับระบบพลังงานการบินแบบไฮบริด บริษัท Beijing Jing Hang Power Science & Technology จะจัดแสดงเครื่องบิน Pilatus PC-12 ในขณะที่บริษัท Huayi Xiangfei Aviation Technology (Beijing) จะจัดแสดงเครื่องบิน Latou-24 การจัดแสดงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มการบินที่มีคนขับในงานนี้

    บริษัท Wuhan Tianhe Beidou Aviation Technology Co., Ltd. จะร่วมจัดแสดงเครื่องบิน NF Explorer ในขณะที่บริษัท Baiyan Intelligent Technology Co., Ltd. จะจัดแสดงเครื่องบิน Falcon-1800DH นอกจากนี้ บริษัท Chongqing General Aviation Industry Group ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญอีกรายหนึ่ง จะจัดแสดงเครื่องบินขนส่งสินค้าไร้คนขับรุ่น W5000 จาก Air White Whale ควบคู่ไปกับโดรนพลังงานไฮบริดสำหรับการบิน โดยเน้นที่เทคโนโลยีที่ใช้ระบบไฮบริด บริษัท Xi'an Shaanxi Aviation Science and Technology Co., Ltd. จะแนะนำรุ่น T580 นอกจากนี้ บริษัท Zongshen Aviation Power จะมาจัดแสดงเครื่องบินรุ่น CA22 และ BAI-D1

    นอกจากนี้ นิทรรศการดังกล่าวยังจัดแสดงยานบินไร้คนขับ (UAV) หลายรุ่น โดยบริษัทต่างๆ จะจัดแสดงระบบต่างๆ มากมาย บริษัท Sichuan Xinwan Tianyu Innovation จะจัดแสดงยานบินไร้คนขับรุ่น MN-218 และ LXH-200 ในบรรดานิทรรศการที่น่าสนใจ ได้แก่ Twintailed Scorpion D ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์คู่และสี่เครื่องยนต์ ยานบินไร้คนขับรุ่นอื่นๆ เช่น Featherless Arrow และยานบินไร้คนขับโลจิสติกส์เครื่องยนต์คู่ขนาดใหญ่รุ่น Tendgen จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการบินไร้คนขับ

    บริษัท Rosoboronexport (JSC) ของรัสเซียและ Russian Helicopters เป็นตัวแทนบริษัทต่างชาติในการเข้าร่วมงาน โดยบริษัทเหล่านี้จะนำเครื่องบินรบ เช่น เครื่องบินรบสเตลท์ Su-57/Su-57E, Su-35 และ Su-30 มาด้วย บริษัท Russian Helicopters จะจัดแสดงเฮลิคอปเตอร์ Ka-32 ในขณะที่เครื่องบินรุ่นอื่นๆ เช่น เครื่องบินขนส่ง Il-76 จะช่วยส่งเสริมให้งานนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    กองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชน (PLAAF) จะจัดแสดงเครื่องบินหลากหลายรุ่น เช่น เฮลิคอปเตอร์หลายบทบาท Z-8 เฮลิคอปเตอร์โจมตี Z-10 และเฮลิคอปเตอร์ทางทะเล Z-20F พร้อมด้วยเครื่องบินขับไล่ เช่น เครื่องบินโจมตีหลายบทบาท J-16 เครื่องบิน J-10C ที่ได้รับการอัพเกรด เครื่องบินขับไล่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน J-15T เครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 Mighty Dragon และ J-35A นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบินขนส่ง Y-20, Y-20A และ Y-8 พร้อมด้วยเครื่องบินแจ้งเตือนล่วงหน้า KJ-500 นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ H-6K เครื่องบิน Guizhou WZ-7 Soaring Dragon และโดรน Chengdu Wing Loong-10 (WZ-10) MALE ที่จะมาเสริมทัพการจัดแสดงของกองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชน

    นอกจากเครื่องบินทหารแล้ว ภาคการบินของจีนยังจะมีเครื่องบินพลเรือนและเครื่องบินพาณิชย์อีกหลายรุ่นเข้าร่วมด้วย บริษัท COMAC (Commercial Aircraft Corporation of China) จะนำเสนอเครื่องบินหลายรุ่น รวมถึงเครื่องบินขนส่งสินค้า ARJ21 ที่ได้รับการดัดแปลงจาก COMAC และเครื่องบินเจ็ตสำหรับบริการทางการแพทย์ ARJ21 นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินพาณิชย์รุ่นอื่นๆ เช่น C919, P600X และ P600U ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของจีนในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์

    นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มการบินใหม่ๆ อื่นๆ ในงานนิทรรศการด้วย ได้แก่ เครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่ AG600 และเครื่องบินขนส่ง H400 โมเดลใหม่เหล่านี้บ่งชี้ถึงการพัฒนาทั้งในภาคพลเรือนและทหาร โดยนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการด้านการปฏิบัติการที่หลากหลาย

    โดยรวมแล้ว Zhuhai Airshow ประจำปี 2024 จะเป็นงานสำคัญที่จัดแสดงความก้าวหน้าล่าสุดด้านการบินของจีนมากมาย โดยจะเน้นที่ความสามารถที่เติบโตขึ้นของทั้งกองทัพปลดแอกประชาชนและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ โดยเน้นที่เครื่องบินใหม่ ระบบไร้คนขับ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย การเปิดตัวเครื่องบินรบสเตลท์ J-35 ที่อาจเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเปิดตัวอื่นๆ เช่น เครื่องบินขนส่งและโดรนรุ่นปรับปรุงใหม่ จะช่วยให้เข้าใจถึงการบินทางทหารของจีนที่กำลังพัฒนา

    https://youtu.be/z52eiKrtj0k?si=OosMNq1zAP5r2Gou

    #Thaitimes
    นิทรรศการ: นิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติจีนครั้งที่ 15 ( Zhuhai Airshow2024 ) ระยะเวลาจัดงาน : 12-17 พฤศจิกายน 2024 สถานที่จัดนิทรรศการ: ศูนย์นิทรรศการการบินนานาชาติจูไห่ ประเทศจีน สำหรับงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติของจีน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า China Airshow หรือ Zhuhai Airshow ก่อตั้งขึ้นในปี 1996 เป็นงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติที่ครอบคลุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองจูไห่ ประเทศจีน ทุกๆ สองปี โดยได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลประชาชนส่วนกลาง ปีนี้ไฮไลท์งานแสดงนิทรรศการการบิน จีนจะเปิดตัวครั้งแรก เครื่องบินขับไล่สเตลท์ J-35A ใหม่ของจีน และ รัสเซียส่งเครื่องบินรบ Su-57 ร่วมงาน China Airshow ครั้งที่ 15เป็นครั้งแรก เครื่องบินรบรุ่นนี้ เครมลิน ขนานนามว่า เป็น "เครื่องบินขับไล่ล่องหน เจเนอเรชั่นที่ 5" ที่ล้ำหน้าและล้ำสมัยที่สุดในยุคปัจจุบัน ลักษณะเด่นหลักคือการจัดแสดง บริษัท AVIC (Aviation Industry Corporation of China) จะจัดแสดง H135 ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มการตรวจสอบแบบไร้คนขับสำหรับระบบพลังงานการบินแบบไฮบริด บริษัท Beijing Jing Hang Power Science & Technology จะจัดแสดงเครื่องบิน Pilatus PC-12 ในขณะที่บริษัท Huayi Xiangfei Aviation Technology (Beijing) จะจัดแสดงเครื่องบิน Latou-24 การจัดแสดงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มการบินที่มีคนขับในงานนี้ บริษัท Wuhan Tianhe Beidou Aviation Technology Co., Ltd. จะร่วมจัดแสดงเครื่องบิน NF Explorer ในขณะที่บริษัท Baiyan Intelligent Technology Co., Ltd. จะจัดแสดงเครื่องบิน Falcon-1800DH นอกจากนี้ บริษัท Chongqing General Aviation Industry Group ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญอีกรายหนึ่ง จะจัดแสดงเครื่องบินขนส่งสินค้าไร้คนขับรุ่น W5000 จาก Air White Whale ควบคู่ไปกับโดรนพลังงานไฮบริดสำหรับการบิน โดยเน้นที่เทคโนโลยีที่ใช้ระบบไฮบริด บริษัท Xi'an Shaanxi Aviation Science and Technology Co., Ltd. จะแนะนำรุ่น T580 นอกจากนี้ บริษัท Zongshen Aviation Power จะมาจัดแสดงเครื่องบินรุ่น CA22 และ BAI-D1 นอกจากนี้ นิทรรศการดังกล่าวยังจัดแสดงยานบินไร้คนขับ (UAV) หลายรุ่น โดยบริษัทต่างๆ จะจัดแสดงระบบต่างๆ มากมาย บริษัท Sichuan Xinwan Tianyu Innovation จะจัดแสดงยานบินไร้คนขับรุ่น MN-218 และ LXH-200 ในบรรดานิทรรศการที่น่าสนใจ ได้แก่ Twintailed Scorpion D ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์คู่และสี่เครื่องยนต์ ยานบินไร้คนขับรุ่นอื่นๆ เช่น Featherless Arrow และยานบินไร้คนขับโลจิสติกส์เครื่องยนต์คู่ขนาดใหญ่รุ่น Tendgen จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการบินไร้คนขับ บริษัท Rosoboronexport (JSC) ของรัสเซียและ Russian Helicopters เป็นตัวแทนบริษัทต่างชาติในการเข้าร่วมงาน โดยบริษัทเหล่านี้จะนำเครื่องบินรบ เช่น เครื่องบินรบสเตลท์ Su-57/Su-57E, Su-35 และ Su-30 มาด้วย บริษัท Russian Helicopters จะจัดแสดงเฮลิคอปเตอร์ Ka-32 ในขณะที่เครื่องบินรุ่นอื่นๆ เช่น เครื่องบินขนส่ง Il-76 จะช่วยส่งเสริมให้งานนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก กองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชน (PLAAF) จะจัดแสดงเครื่องบินหลากหลายรุ่น เช่น เฮลิคอปเตอร์หลายบทบาท Z-8 เฮลิคอปเตอร์โจมตี Z-10 และเฮลิคอปเตอร์ทางทะเล Z-20F พร้อมด้วยเครื่องบินขับไล่ เช่น เครื่องบินโจมตีหลายบทบาท J-16 เครื่องบิน J-10C ที่ได้รับการอัพเกรด เครื่องบินขับไล่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน J-15T เครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 Mighty Dragon และ J-35A นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบินขนส่ง Y-20, Y-20A และ Y-8 พร้อมด้วยเครื่องบินแจ้งเตือนล่วงหน้า KJ-500 นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ H-6K เครื่องบิน Guizhou WZ-7 Soaring Dragon และโดรน Chengdu Wing Loong-10 (WZ-10) MALE ที่จะมาเสริมทัพการจัดแสดงของกองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชน นอกจากเครื่องบินทหารแล้ว ภาคการบินของจีนยังจะมีเครื่องบินพลเรือนและเครื่องบินพาณิชย์อีกหลายรุ่นเข้าร่วมด้วย บริษัท COMAC (Commercial Aircraft Corporation of China) จะนำเสนอเครื่องบินหลายรุ่น รวมถึงเครื่องบินขนส่งสินค้า ARJ21 ที่ได้รับการดัดแปลงจาก COMAC และเครื่องบินเจ็ตสำหรับบริการทางการแพทย์ ARJ21 นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินพาณิชย์รุ่นอื่นๆ เช่น C919, P600X และ P600U ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของจีนในอุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มการบินใหม่ๆ อื่นๆ ในงานนิทรรศการด้วย ได้แก่ เครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่ AG600 และเครื่องบินขนส่ง H400 โมเดลใหม่เหล่านี้บ่งชี้ถึงการพัฒนาทั้งในภาคพลเรือนและทหาร โดยนำเสนอแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการด้านการปฏิบัติการที่หลากหลาย โดยรวมแล้ว Zhuhai Airshow ประจำปี 2024 จะเป็นงานสำคัญที่จัดแสดงความก้าวหน้าล่าสุดด้านการบินของจีนมากมาย โดยจะเน้นที่ความสามารถที่เติบโตขึ้นของทั้งกองทัพปลดแอกประชาชนและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ โดยเน้นที่เครื่องบินใหม่ ระบบไร้คนขับ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย การเปิดตัวเครื่องบินรบสเตลท์ J-35 ที่อาจเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเปิดตัวอื่นๆ เช่น เครื่องบินขนส่งและโดรนรุ่นปรับปรุงใหม่ จะช่วยให้เข้าใจถึงการบินทางทหารของจีนที่กำลังพัฒนา https://youtu.be/z52eiKrtj0k?si=OosMNq1zAP5r2Gou #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1319 Views 0 Reviews
  • นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร

    จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี

    ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน

    การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ)

    ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ)

    สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ)

    ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

    #Thaitimes
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ กองทุนบัตรทอง 30 บาท ปีงบประมาณ 2566 ได้จัดสรรงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว เพื่อดูแลประชากรไทยผู้มีสิทธิจำนวน 47.727 ล้านคน ที่จำนวน 99,760.58 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือนผู้ให้บริการ) หรือคิดเป็นอัตรา 3,385.98 บาทต่อประชากร ในจำนวนนี้เป็นงบบริการผู้ป่วยนอกที่อัตรา 1,344.40 บาทต่อประชากร และงบผู้ป่วยในที่อัตรา 1,477.01 บาทต่อประชากร จากรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอกโดยใช้สิทธิบัตรทองทั้งสิ้น 170.39 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 3.63 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 ที่เริ่มต้นกองทุนฯ อยู่ที่จำนวน 111.95 ครั้งต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.45 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1.18 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในมีจำนวนการรับบริการทั้งสิ้น 6.09 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการรับบริการเฉลี่ย 0.13 ครั้งต่อคนต่อปี จากปี 2546 อยู่ที่ 4.30 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 0.09 ครั้งต่อคนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 0.04 ครั้งต่อคนต่อปี โดยปี 2566 รวมจำนวนวันนอนของผู้ป่วยในทั้งสิ้น 25,617,886 วัน การเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 170.39 ล้านครั้งนี้ ข้อมูล 10 อันดับแรก เป็นการเข้ารับบริการด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุสูงเป็นอันดับ 1 หรือที่จำนวน 19,898,178 ครั้ง รองลงมา เป็นภาวะเบาหวานไม่พึ่งอินซูลิน จำนวน 11,309,503 ครั้ง ความผิดปกติของเมตบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่น จำนวน 9,811,445 ครั้ง คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน (ไข้หวัด) จำนวน 6,944,943 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 5,114,833 ครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน จำนวน 3,303,586 ครั้ง ฟันผุ จำนวน 3,170,446 ครั้ง อาหารไม่ย่อย จำนวน 2,728,596 ครั้ง ความผิดปกติอื่นของกล้ามเนื้อ จำนวน 2,700,975 ครั้ง และเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ จำนวน 2,093,009 ครั้ง (ตามลำดับ) ส่วนการเข้ารับบริการผู้ป่วยใน ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 6.09 ล้านครั้ง จากข้อมูล 10 อันดับแรก พบว่าโรคกระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีจำนวนการเข้ารับบริการมากเป็นอับดับแรก จำนวน 244,030 ครั้ง รองลงมาโรคปอดบวม ไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 198,616 ครั้ง ต้อกระจกในวัยชรา จำนวน 178,319 ครั้ง ไตวายเรื้อรัง จำนวน 125,689 ครั้ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบอื่น จำนวน 125,322 ครั้ง หัวใจล้มเหลว จำนวน 121,584 ครั้ง ธาลัสซีเมีย จำนวน 116,719 ครั้ง เนื้อสมองตายเพราะขาดเลือด จำนวน 115,038 ครั้ง เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน 112,472 ครั้ง และความผิดปกติของระบบปัสสาวะ จำนวน 99,650 ครั้ง (ตามลำดับ) สำหรับในส่วนของการให้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลนั้น สัดส่วนจำนวนครั้งการให้บริการรักษาผู้ป่วยในสูงสุดคือ โรงพยาบาลชุมชน รองลงมาคือโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 41.75, 25.79 และร้อยละ 22.12 (ตามลำดับ) ส่วนสัดส่วนของวันนอนในโรงพยาบาลสูงสุด คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ ที่ร้อยละ 31.89, 26.15 และร้อยละ 25.21 (ตามลำดับ) ขณะที่สัดส่วนการใช้ทรัพยากรการรักษาพยาบาล โดยสะท้อนจากผลรวมค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Sum Adj.RW) สูงสุด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ที่ร้อยละ 32.95, 27.11 และร้อยละ 23.43 (ตามลำดับ) ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ #Thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 974 Views 0 Reviews
  • อีกหลายชั้นความคิดกว่าจะถึง Non-Family DOT ..
    ..ประเทศไทยจึงยังคงมีอุบัติการณ์ผู้ป่วยวัณโรคปีละไม่ต่ำกว่า “หนึ่งแสนราย” และกลับมามีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” อีกครั้งตามที่ “องค์การอนามัยโลก”คาดการณ์ไว้
    ..กลุ่มเสี่ยงต่างๆ รวมถึง บุคลากรผู้ให้บริการทางการแพทย์ ก็ยังคงเสี่ยงกับวัณโรคกันต่อไป
    อีกหลายชั้นความคิดกว่าจะถึง Non-Family DOT .. ..ประเทศไทยจึงยังคงมีอุบัติการณ์ผู้ป่วยวัณโรคปีละไม่ต่ำกว่า “หนึ่งแสนราย” และกลับมามีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” อีกครั้งตามที่ “องค์การอนามัยโลก”คาดการณ์ไว้ ..กลุ่มเสี่ยงต่างๆ รวมถึง บุคลากรผู้ให้บริการทางการแพทย์ ก็ยังคงเสี่ยงกับวัณโรคกันต่อไป
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • Jin Wellbeing County : จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้, ปทุมธานี

    คอนโด Jin Wellbeing County ทางเลือกใหม่คอนโดสำหรับผู้สูงอายุ ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ พร้อมมการดูแลจากแพทย์ พยาบาล 24 ชั่วโมง รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริงบนถนนพหลโยธิน โซนรังสิต ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพรังสิต จ.ปทุมธานี

    ✦ จุดเด่น ✦
    ▸ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทางเลือกใหม่ของการใช้ชีวิต
    ▸โครงการภายใต้การดำเนินงานของกลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ที่มีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาล และการดูแลสุขภาพมากกว่า 40 ปี
    ▸โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ที่พักอาศัยรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrative Healthcare ) และการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย

    นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยของวัยผู้สูงอายุอย่างแท้จริงทางโครงการยังมีบริการทางการแพทย์รองรับด้วย ได้แก่

    (1) การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ที่ให้บริการแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วยทีมแพทย์และพยาบาลที่มากประสบการณ์ และยังมีการแนะนำโภชนาการสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะอีกด้วย
    (2) การดูแลสมดุลร่างกายจากภายใน เป็นการดูแลโดยนักจิตบำบัดที่ช่วยการปรับสมดุลด้านอารมณ์และจิตใจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดความเครียดและอาการซึมเศร้า พร้อมกับมีกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ
    (3) การดูแลความแข็งแรงและสร้างเสริมสมรรถภาพของร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายด้านต่างๆที่ถูกออกแบบตามปัญหาแต่ละบุคคล

    ▸ ภายในพื้นที่ 140 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยแบบ Low Rise 7 ชั้น จำนวน 5 อาคาร โดยแบ่งเป็น Cluster 1 จำนวน 2 อาคาร คือ อาคาร 1-AM และ
    อาคาร 1-C1Cluster 2 จำนวน 3 อาคาร คือ อาคาร 2-AM, อาคาร 2-C1 และอาคาร 2-D1

    ✦ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทางเลือกใหม่ของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทยในโครงการที่เราอยู่ได้ตลอดไป ✦

    ▸ ที่สุด.. แห่งการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ
    ▸ ที่สุด.. แห่งการออกแบบ Universal Design รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริง
    ▸ ที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้สูงวัย
    ▸ ที่สุด.. แห่งความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย
    ▸ ที่สุด.. แห่งสังคมคุณภาพ ผ่านการให้
    การรับและการแบ่งปัน
    ▸ ที่สุด.. แห่งประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เหนือระดับ

    -------------------------------------------
    สนใจสอบถามข้อมูลที่
    โทร.081-822-6553
    รับซื้อ ฝากขายที่ดิน บ้าน คอนโด อสังหาริมทรัพย์
    ทุกชนิด “ฟรี” ค่าใช้จ่ายจนกว่าจะขายได้
    พร้อมทั้งทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อ
    จนถึงโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน
    Jin Wellbeing County : จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้, ปทุมธานี คอนโด Jin Wellbeing County ทางเลือกใหม่คอนโดสำหรับผู้สูงอายุ ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ พร้อมมการดูแลจากแพทย์ พยาบาล 24 ชั่วโมง รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริงบนถนนพหลโยธิน โซนรังสิต ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพรังสิต จ.ปทุมธานี ✦ จุดเด่น ✦ ▸ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทางเลือกใหม่ของการใช้ชีวิต ▸โครงการภายใต้การดำเนินงานของกลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ที่มีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาล และการดูแลสุขภาพมากกว่า 40 ปี ▸โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) ที่พักอาศัยรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrative Healthcare ) และการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยของวัยผู้สูงอายุอย่างแท้จริงทางโครงการยังมีบริการทางการแพทย์รองรับด้วย ได้แก่ (1) การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ที่ให้บริการแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วยทีมแพทย์และพยาบาลที่มากประสบการณ์ และยังมีการแนะนำโภชนาการสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะอีกด้วย (2) การดูแลสมดุลร่างกายจากภายใน เป็นการดูแลโดยนักจิตบำบัดที่ช่วยการปรับสมดุลด้านอารมณ์และจิตใจ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดความเครียดและอาการซึมเศร้า พร้อมกับมีกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ (3) การดูแลความแข็งแรงและสร้างเสริมสมรรถภาพของร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายด้านต่างๆที่ถูกออกแบบตามปัญหาแต่ละบุคคล ▸ ภายในพื้นที่ 140 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยแบบ Low Rise 7 ชั้น จำนวน 5 อาคาร โดยแบ่งเป็น Cluster 1 จำนวน 2 อาคาร คือ อาคาร 1-AM และ อาคาร 1-C1Cluster 2 จำนวน 3 อาคาร คือ อาคาร 2-AM, อาคาร 2-C1 และอาคาร 2-D1 ✦ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ทางเลือกใหม่ของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทยในโครงการที่เราอยู่ได้ตลอดไป ✦ ▸ ที่สุด.. แห่งการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ▸ ที่สุด.. แห่งการออกแบบ Universal Design รองรับผู้สูงวัยอย่างแท้จริง ▸ ที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้สูงวัย ▸ ที่สุด.. แห่งความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย ▸ ที่สุด.. แห่งสังคมคุณภาพ ผ่านการให้ การรับและการแบ่งปัน ▸ ที่สุด.. แห่งประสบการณ์ใช้ชีวิตที่เหนือระดับ ------------------------------------------- สนใจสอบถามข้อมูลที่ โทร.081-822-6553 รับซื้อ ฝากขายที่ดิน บ้าน คอนโด อสังหาริมทรัพย์ ทุกชนิด “ฟรี” ค่าใช้จ่ายจนกว่าจะขายได้ พร้อมทั้งทำเรื่องยื่นกู้สินเชื่อ จนถึงโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน
    0 Comments 0 Shares 1093 Views 0 Reviews