• บาดแผลคดีตากใบ ไม่มีวันหมดอายุ

    ในที่สุดคดีสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 หมดอายุความแล้ว หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา (26 ต.ค.) หลังจากที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดนำตัวผู้ต้องหาที่มีทั้งหมด 7 ราย ส่งให้ศาลจังหวัดนราธิวาส แม้แต่ศาลในพื้นที่ทุกจังหวัด ที่มีช่องทางรับตัวโดยมีสักขีพยานสอบผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่มีรายงานว่ามีการส่งตัวจำเลยแต่อย่างใด

    แม้การหมดอายุความของคดีตากใบ จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน รวมทั้งคนในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บางคนโล่งใจที่ไม่ถูกเช็กบิล แต่ยังต้องเฝ้าระวังการก่อเหตุรุนแรง ที่เกิดจากความแค้นในคดีดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุลอบวางระเบิดทหารพรานที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และเหตุคาร์บอมบ์ที่ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี

    พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ ยกระดับควบคุมพื้นที่มาตรการสูงสุด ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ข่าวว่า เหตุการณ์ตากใบเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการที่วางแผนปลุกปั่นอย่างดี และเจ้าหน้าที่มีความผิดพลาดในการควบคุมตัว

    รายงานข่าวจากศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า คลิปเหตุการณ์ตากใบถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก ทำให้เยาวชนในพื้นที่แม้จะเกิดไม่ทัน แต่ก็ได้ดูคลิปเหตุการณ์ด้วย ซึ่งแต่ละคนรู้สึกเจ็บใจมาก รุ่นตนต้องไม่เกิดขึ้นอีก ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด ชาวบ้านจะได้รับความเป็นธรรม บางคนดูคลิปแล้วโกรธเจ้าหน้าที่ สงสารชาวบ้านที่ถูกกระทำเช่นนั้น

    ส่วนกลุ่มนักปั่นจักรยานกว่า 30 คัน ออกจาก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส รวมตัวที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ซึ่งห่างออกไป 145 กิโลเมตร เพื่อชูป้ายเรียกร้องความยุติธรรม ต่อด้วยหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แต่ที่ สภ.ตากใบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผกก.สภ.ตากใบ ใช้วิธีลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับมวลชนอย่างต่อเนื่อง

    แม้คดีตากใบจะหมดอายุความ แต่บาดแผลในอดีตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลัง ที่เห็นเหตุการณ์ผ่านสื่อโซเชียลฯ แล้วเกิดความคับแค้นยังคงไม่หมดไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจเอากรณีนี้เป็นเงื่อนไขปลุกระดมมวลชน สร้างสถานการณ์ในพื้นที่อีกครั้ง

    ขณะที่การบริหารประเทศของ น.ส.แพทองธาร ที่มีผู้ใหญ่เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรทั้งสิ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์คงต้องใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน จนกว่าเรื่องราวจะเงียบหายไปกับสายลม

    #Newskit #คดีตากใบ
    บาดแผลคดีตากใบ ไม่มีวันหมดอายุ ในที่สุดคดีสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 หมดอายุความแล้ว หลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา (26 ต.ค.) หลังจากที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดนำตัวผู้ต้องหาที่มีทั้งหมด 7 ราย ส่งให้ศาลจังหวัดนราธิวาส แม้แต่ศาลในพื้นที่ทุกจังหวัด ที่มีช่องทางรับตัวโดยมีสักขีพยานสอบผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่มีรายงานว่ามีการส่งตัวจำเลยแต่อย่างใด แม้การหมดอายุความของคดีตากใบ จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน รวมทั้งคนในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บางคนโล่งใจที่ไม่ถูกเช็กบิล แต่ยังต้องเฝ้าระวังการก่อเหตุรุนแรง ที่เกิดจากความแค้นในคดีดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเหตุลอบวางระเบิดทหารพรานที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และเหตุคาร์บอมบ์ที่ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวในพื้นที่ ยกระดับควบคุมพื้นที่มาตรการสูงสุด ส่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ข่าวว่า เหตุการณ์ตากใบเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการที่วางแผนปลุกปั่นอย่างดี และเจ้าหน้าที่มีความผิดพลาดในการควบคุมตัว รายงานข่าวจากศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา ระบุว่า คลิปเหตุการณ์ตากใบถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก ทำให้เยาวชนในพื้นที่แม้จะเกิดไม่ทัน แต่ก็ได้ดูคลิปเหตุการณ์ด้วย ซึ่งแต่ละคนรู้สึกเจ็บใจมาก รุ่นตนต้องไม่เกิดขึ้นอีก ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด ชาวบ้านจะได้รับความเป็นธรรม บางคนดูคลิปแล้วโกรธเจ้าหน้าที่ สงสารชาวบ้านที่ถูกกระทำเช่นนั้น ส่วนกลุ่มนักปั่นจักรยานกว่า 30 คัน ออกจาก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส รวมตัวที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ซึ่งห่างออกไป 145 กิโลเมตร เพื่อชูป้ายเรียกร้องความยุติธรรม ต่อด้วยหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แต่ที่ สภ.ตากใบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่ง พ.ต.อ.ศุภชัช ณ พัทลุง ผกก.สภ.ตากใบ ใช้วิธีลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับมวลชนอย่างต่อเนื่อง แม้คดีตากใบจะหมดอายุความ แต่บาดแผลในอดีตของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นหลัง ที่เห็นเหตุการณ์ผ่านสื่อโซเชียลฯ แล้วเกิดความคับแค้นยังคงไม่หมดไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจเอากรณีนี้เป็นเงื่อนไขปลุกระดมมวลชน สร้างสถานการณ์ในพื้นที่อีกครั้ง ขณะที่การบริหารประเทศของ น.ส.แพทองธาร ที่มีผู้ใหญ่เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา ก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรทั้งสิ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์คงต้องใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน จนกว่าเรื่องราวจะเงียบหายไปกับสายลม #Newskit #คดีตากใบ
    Like
    Sad
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลเกมคดี’ดิ ไอคอน’จะรอดเพราะเงินมันเยอะ
    .
    หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน"
    .
    ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย
    .
    ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว
    .
    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง
    .
    ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ
    .
    คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
    .
    คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม

    ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ

    #Thaitimes
    กลเกมคดี’ดิ ไอคอน’จะรอดเพราะเงินมันเยอะ . หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน" . ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย . ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว . นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง . ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ . คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว . คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม ที่มา คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 804 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลเกมคดี ’ดิ ไอคอน’ จะรอดเพราะเงินมันเยอะ
    .
    หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน"
    .
    ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย
    .
    ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว
    .
    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง
    .
    ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ
    .
    คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
    .
    คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม
    กลเกมคดี ’ดิ ไอคอน’ จะรอดเพราะเงินมันเยอะ . หลังจากที่ "บอสพอล" กับเหล่า "บอส" ทั้งหลายที่ถูกจับกุมตัวและทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว ผมอยากจะเล่าให้ฟังถึงกลเกมคดีของ "ดิ ไอคอน" . ข้อที่หนึ่ง เบื้องหลังของนายพอล วรัตน์พล นอกจากมีนักการเมือง ข้าราชการ แบ็กอยู่แล้ว ยังมีผู้พิพากษาท่านหนึ่งคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย วางเกมในการดำเนินคดีอีกด้วย . ข้อที่สอง-คาดว่าเกมคดีต่อจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการอำพรางคดี คือบริษัท "บอสพอล" ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่อ้างว่าบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของแม่ข่ายและแม่ทีมอย่างเดียว ขณะที่แม่ข่ายก็จะพยายามผันตัวจากผู้สมรู้ร่วมคิด แบ่งงานกันทำกับเหล่า "บอส" แปลงร่างเป็นผู้เสียหายเป็นโจทก์ ถ้าแผนนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้อง ทั้งขบวน "บอส" ทั้งหมดก็จะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ แต่แม่ข่ายที่เป็นผู้กระทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะได้แปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหายไปแล้ว . นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่น่าจับตาและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับคดีแชร์ลูกโซ่ "ดิ ไอคอน" อีกประเด็นหนึ่ง คือการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กำลังจะเข้ามารับคดีเป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แค่ข่าวนี้ออกมา ประชาชนออกมาโวยวาย เขาไม่ไว้ใจพวกคุณเลย คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน คุณแค่เอาจำเลยไปเขย่าเฉยๆ ก็ได้เศษสตางค์หล่นมาเยอะแล้ว เป็นจำนวนเป็นล้านๆ ผมบอกให้เลยว่าจำเลยทั้ง 18 คน และจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่งกับดีเอสไอได้แล้ว รับประกันว่าไม่ผิดหวัง เพราะดีเอสไอมีชื่อมากในเรื่องการรับเงินรับทอง . ผมก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ดีเอสไอรับไป เรื่องหุ้น STARK เรื่อง EARTH เรื่องหมูเถื่อน แม้กระทั่งสต๊อกลม GGC บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)ในเครือ ปตท. ที่ดีเอสไอดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจทำใกล้เสร็จ เตรียมส่งฟ้องต่ออัยการ สุดท้ายแล้วก็ยังแช่อยู่ที่ดีเอสไอ . คุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณจริงๆ เลย ตั้งแต่นายคุณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วคุณก็มาเป็นรักษาการอธิบดี จนกระทั่งมาเป็นอธิบดี ดีเอสไอไม่มีผลงานอะไรออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว . คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี "ดิ ไอคอน" ไปแล้วยังเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธา แค่เมื่อเขาได้ยินชื่อคุณทวี สอดส่อง คุณยุทธนา แพรดำ ประชาชนเขาก็ยี้เลยก่อนฟังข้อมูล คุณช่วยทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหม
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง

    เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร

    ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม
    จึงมีเหยื่อมากมายนัก
    ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

    🌻

    นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น

    เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้

    ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย

    สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้
    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด
    ของ storyteller อย่างชัดๆ

    🌻

    “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา

    บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“

    เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^

    🌻

    เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ

    เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"

    ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว

    ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
    ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
    เหมือนกบหูหนวก

    🌻

    คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา

    แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”

    “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“

    คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์
    ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี
    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ
    หรือชวนเอ๊ะเลย

    ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู

    ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง

    อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้

    ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้

    ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป

    ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง

    ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด
    ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้
    เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

    🌻

    เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย

    เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้

    สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง

    เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )

    พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง

    ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

    แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน

    ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม
    และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

    🌻

    นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin

    One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น

    รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
    เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่

    บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่

    วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

    🌻

    ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง

    เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน

    นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ

    ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้

    One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI

    ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้

    🌻

    จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย

    คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

    🌻

    ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย

    เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

    🌻

    "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"

    เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

    🌻

    "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"

    เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

    🌻

    นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด

    นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

    บางครั้งนิทานเหล่านี้
    มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
    ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย
    อาจใช้เพื่อกดดัน
    ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร

    การยอมรับความจริง
    เลิกทนและถอยออกมา
    ก็อาจเป็นการตัดสินใจ
    ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

    🌻

    “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”

    ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)

    ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”

    ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

    การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล

    ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ

    ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”

    ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง

    เพื่อรักษาสมดุล
    ระหว่างอารมณ์และเหตุผล
    ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
    มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

    🌻

    จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง

    เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

    นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์

    เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด

    Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ

    ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว

    เรื่องเล่าเหล่านี้
    มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน
    และความหวังของผู้คน
    ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
    ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

    🌻

    นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้

    ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ
    คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
    และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง
    เพื่อแยกแยะให้ออก
    ระหว่างการใช้ Storytelling
    ในทางที่สร้างสรรค์
    หรือการใช้เพื่อหลอกลวง

    🌻

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก ‘ปราย พันแสง เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม จึงมีเหยื่อมากมายนัก ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้ 🌻 นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้ ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้ มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด ของ storyteller อย่างชัดๆ 🌻 “มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็ตกลงมา บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“ เคลิ้มมั้ยล่ะ ^__^ 🌻 เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!" ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ แต่ความจริงของเรื่องนี้คือ กบตัวนี้หูหนวก มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย เหมือนกบหูหนวก 🌻 คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้ ที่เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยบ้านเกิด พาไปชมแฟลตเก่าชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัด หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต” “20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“ คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์ ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย ยิ่งตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว คือถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่สกปรกรุงรังว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้ ชีวิตวัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าอยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีอาจน้ำตาร่วง อีกทั้งน้ำเสียงของแม่ปลายสาย ก็ร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมธรรมดาก็ยังงดงามขึ้นมาได้ ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้ ใครไม่เคลิ้มให้มันรูัไป ยอดขายระเบิดเถิดเทิงหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน 🌻 เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้ สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ ) พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แมดอล์ฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง ในความเป็นจริง แมดอล์ฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน ปัจจุบันแมดอล์ฟฟ์ถูกจับกุม และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี 🌻 นอกจากนิทานปลาทองของแมดอล์ฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin One Coin เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ บริษัท One Coin เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน 🌻 ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ ในความเป็นจริง One Coin ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin เป็นเงินจริงได้ One Coin มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้ 🌻 จะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency 🌻 ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา 🌻 "นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก" เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น 🌻 "นิทานเรื่องหินสลักและค้อน" เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา" 🌻 นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดัน ให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน 🌻 “ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)” ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี) ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์” ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น” ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบัน ที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​ 🌻 จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์ เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว เรื่องเล่าเหล่านี้ มักเล็งเป้าไปที่ความฝัน และความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง 🌻 นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือ คือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง เพื่อแยกแยะให้ออก ระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์ หรือการใช้เพื่อหลอกลวง 🌻 ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/sg5pYj1hseTp1QGK/?mibextid=CTbP7 #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ได้เวลาล้างบางสตม
    โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้
    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง
    แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้
    ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย
    ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ
    คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว
    เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่
    เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ได้เวลาล้างบางสตม โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า แม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้ ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า แม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนี้เสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่ เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับแม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ได้เวลาล้างบางสตม
    โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้
    แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง
    แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า เม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้
    ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย
    ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า เม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ
    คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนีเสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว
    เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่
    เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับเม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    #ได้เวลาล้างบางสตม โจ๊ก แม้จะกลายเป็นข้าวต้มเละ จากแมวเก้าชีวิต แต่ใช้ไปหมดไม่เหลือ สิ้นภาพการกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ใฝ่ฝัน แม้จะมีพ่อบุญธรรม อย่างเสรีพิสทธิ์ ช่วยปูทาง พาลัดเลาะกฏกติกา เลี่ยงอย่างไร ก็ไม่สามารถกู้ลมหายใจในวงการสีกากีของโจ๊ก กลับมาได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ยังไม่จางหาย ที่คล้ายกับเป็นทายาทอสูร หากย้อนกลับไป สมัยโจ๊ก เรืองอำนาจ ได้ใช้หน่วยงาน สตม.ในการเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ทั้งจากการรีดทรัพย์จากกลุ่มทุนจีน และแรงงานที่เป็นต่างด้าว ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในกำกับดูแลของสตม. เอื้อให้ต่างด้าว อยู่ในประเทศไทย อย่างไม่ถูกต้อง เป็นปฐมบทแห่งความร่ำรวย ที่โจ๊กสร้างแบบแผนไว้อย่างมั่นคง แม้โจ๊กจากไปแบบไม่หวนกลับ ผู้รับช่วงต่อ ชื่อในวงการตร. เรียกว่า เม่นดำ ซึงถามถึงความซั่วก็กินกันไม่ลงกับโจ๊กเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะนอกเหนือจากการเรียกรับเก็บแบบรายเดือน กับต่างด้าวที่ไม่ได้ขออนุญาต เดือนละ 500 ต่อหัว ซึ่งมีจำนวนนับล้านคนในปัจจุบัน หรือถ้าขาดการต่อการขออนุญาตที่เข้ามาอย่างถูกกฏหมาย กลุ่มนี้ หลายพันบ.ต่อหัวต่อเดือน ซึ่งยอดรวมมหาศาลนี้ ก็ยังไม่ทำให้เม่นดำอิ่มได้ ยังคงดำเนินต่อ ไปยังส่วยบ่ออน สถานบันเทิง ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนเองเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบัน เม่นดำ มีความทะเยอทะยาน วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งในระดับ ผู้บัญชาการ สตม. เพราะยังเชื่อว่าเส้นสายที่โจ๊กได้วางไว้ ตนจะสามารถเข้ามาแทนได้อย่างเต็มรูปแบบ บ้างก็อ้างว่า เม่นดำ เป็นเด็กในคาถาของลุง ส่วนลุงไหน ไม่รู้ว ไม่รู้วจริงๆ คิงส์โพธิ์ดำ พินิจพิเคราะห์แล้วว่า ถ้าจะถึงเวลาอันสมควร ในการล้างบางกลุ่มอำนาจ ที่มีบริบทเป็นทายาทอสูร ต่อจากโจ๊ก มิเช่นนั้น คนไทย ก็ไม่ต่างจากการหนีเสือ ปะตะกวด เจ้าของกิจการแทนที่จะได้การอำนวยความสะดวก จากสตม. ให้แรงงานของตนสามารถนำเข้าสู่ระบบ ให้ถูกต้อง กลับกลายเป็นต้องตกอยู่ในสภาวะถูกรีด ไถ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่รวมถึง สวัสดภาพของคนไทย ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างด้าวที่ไม่มีประวัติใดๆ แต่อยู่ได้จากการจ่ายส่วย ทำให้ต้องถามถึงความปลอดภัยของตนและคนในครอบครัว เป็นโจทย์สำคัญ ให้รัฐบาลอิ๊ง 1 โดยเฉพาะ เสี่ยหนู มท.1 ที่มีความตั้งใจจริงในการล้างบาง ความตำบอลที่เกิดขึ้นในสตม.หรือไม่ เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนไทย จะต้องพบกับเม่นดำแทนมารดำ ที่พร้อมต้อนรับเงินสีเทา และแผ่ขยายอำนาจจนสะเทือนทั้งประเทศยิ่งกว่าสุรเชษฐ์ หักพาลก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน

    บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน

    New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน

    การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน

    ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้

    ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้
    —————
    ภาพ: Reuters
    TNNWorldNews
    ผลสำรวจในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าคนจ้างงานส่วนใหญ่ ไม่อยากรับคนวัย Gen Z เข้าทำงาน หรือหากรับเข้าทำงานแล้วก็ถูกไล่ออกหลังจากทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน โดยให้เหตุผลว่า Gen Z ทำงานไม่เป็น ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ตั้งใจทำงาน คิดอะไรเองไม่เป็น มีปัญหาด้านการสื่อสาร และไร้มารยาทในที่ทำงาน บริษัทในสหรัฐฯ 1 ใน 7 เปิดเผยว่าอาจจะต้องหยุดรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางบริษัทบอกว่านักศึกษาจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานควรเข้าคอร์สอบรมเรื่องมารยาทในออฟฟิศและการพูดคุยกับผู้อื่นก่อนที่จะเริ่มงาน New York Post ลงบทความเรื่อง Gen Z can’t cope with life or hold down a job ซึ่งแปลว่า Gen Z รับมือกับชีวิตหรือทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ เผยสาเหตุหลักที่ทำให้ คน Gen Z ทั่วโลกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะสภาพสังคมและการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากคนยุคก่อน เราจะเห็นว่าพ่อแม่ยุคใหม่เลี้ยงดูลูกแบบประคบประหงม ไม่เคยสอนลูกให้รู้จักความลำบาก หรือความรับผิดชอบใดๆ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความผิดหวัง เราจะเห็นว่าการแข่งขันกีฬา หรือการแข่งขันดนตรีสำหรับเด็กๆ สมัยนี้ จะต้องมีรางวัลให้เด็กทุกคนที่เข้าร่วม เพื่อไม่ให้เด็กที่แพ้การแข่งขันต้องเสียใจ แต่การทำแบบนี้ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องแพ้ชนะ และไม่เคยเรียนรู้เรื่องความผิดหวัง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ที่ซึ่งบางครั้งเราก็เป็นผู้ชนะ บางครั้งเราก็เป็นผู้แพ้ เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีและเป็นผู้แพ้ที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก หากไม่เคยเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน พอโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจอกับความผิดหวัง ก็จะรับมือทางอารมณ์ไม่ทัน การที่ Gen Z เติบโตมากับโลกดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่านหน้าจอด้วยการส่งข้อความตลอดเวลา ทำให้คนรุ่นนี้ไม่มีทักษะการพูดคุยกับคนที่อยู่ตรงหน้า หลายคนไม่กล้าหรืออึดอัดที่จะต้องพูดคุยกับคนอื่น เลือกคำพูดไม่ถูก จับใจความไม่ได้ ใช้คำพูดห้วนๆ สีหน้านิ่งเฉย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทในการพูดคุยกับผู้อื่น เรื่องนี้ทำให่คน Gen Z จำนวนมาก มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นในที่ทำงาน ตอกย้ำด้วยค่านิยมของ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับแรก ถ้าหากพวกเขาเจอกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะไม่ทนทำงานต่อ หรือหากเจอกับคำพูดที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพียงนิดเดียว ก็จะปิดหูไม่ทนฟังอีกต่อไป ตรงนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง และทำให้คน Gen Z ทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคน Gen Z เป็นคนอุปนิสัยแบบนี้โดยสายเลือด แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เด็กรุ่นใหม่ได้เจอกับโลกของการทำงาน ไม่เคยสอนให้เด็กรู้จักเรื่องความผิดหวัง ความรับผิดชอบ และความไม่แน่นอนของชีวิต ในบางครั้งเราต้องย้ำเตือนให้เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้คุณค่าของความพยายาม การทำงานหนัก และชีวิตนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความผิดหวังที่ทุกคนต้องฟันฝ่าเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเอาไว้ ————— ภาพ: Reuters TNNWorldNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • #น่าเป็นห่วง# ระยะหลังเห็นคุณผู้หญิง มากมาย มาไล่ประมูลพระเก๊ใน Live สด โดยเชื่อนิทาน ของคนขาย เพิ่มขึ้นจำนวนมาก..โดยคาดหวังว่าจะทำกำไรได้มากจากส่วนนี้ ..เคยเห็นคลิปที่ผู้หญิงคนนึงนำพระที่ประมูลเหล่านี้ หลักร้อย หลักพัน ไปขายเซียนใหญ่ รวมมูลค่าที่ซื้อไปต่างกรรมต่างวาระ รวมกันเป็นล้าน ...!! สรุป เก๊ทั้งหมด..
    วงการพระ ไม่ง่ายแบบนั้น อย่าหลงเป็นเหยื่อ ..ไม่โลภ ..ไม่โดน ท่องเอาไว้ครับ
    #น่าเป็นห่วง# ระยะหลังเห็นคุณผู้หญิง มากมาย มาไล่ประมูลพระเก๊ใน Live สด โดยเชื่อนิทาน ของคนขาย เพิ่มขึ้นจำนวนมาก..โดยคาดหวังว่าจะทำกำไรได้มากจากส่วนนี้ ..เคยเห็นคลิปที่ผู้หญิงคนนึงนำพระที่ประมูลเหล่านี้ หลักร้อย หลักพัน ไปขายเซียนใหญ่ รวมมูลค่าที่ซื้อไปต่างกรรมต่างวาระ รวมกันเป็นล้าน ...!! สรุป เก๊ทั้งหมด.. วงการพระ ไม่ง่ายแบบนั้น อย่าหลงเป็นเหยื่อ ..ไม่โลภ ..ไม่โดน ท่องเอาไว้ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่วมแล้วไปไหน? จับตาอีสาน 7 จังหวัดริมโขง

    อิทธิพลของพายุยางิ ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่ฝนตกทั้งวันอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้มวลน้ำจากประเทศเมียนมา ไหลเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เข้าท่วมเขตเทศบาลตำบลแม่สาย ชายแดนไทย-เมียนมา ตามมาด้วยแม่น้ำกก เข้าท่วมเขตเทศบาลนครเชียงราย ข้อมูลสะสม ณ วันที่ 12 ก.ย. จังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายรวม 6 อำเภอ 25 ตำบล 125 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (22 ชุมชน) ตลาดชุมชนเศรษฐกิจ 2 แห่ง ร้านค้าและสถานประกอบการ 92 แห่ง ราษฎรได้รับผลกระทบ 51,353 ครัวเรือน เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 2 ราย

    ปลายทางของมวลน้ำทั้งสองสายอยู่ที่อำเภอเชียงแสน โดยแม่น้ำรวกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ส่วนแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สบกก (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) แต่การระบายน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแม่น้ำโขงมีระดับน้ำที่สูงขึ้น และเข้าท่วมเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีมวลน้ำสาขาจาก สปป.ลาว ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยเฉพาะแม่น้ำทาจากแขวงหลวงน้ำทา ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รวมทั้งแขวงหลวงพระบาง แขวงอุดมไซ และแขวงไชยบุรี ยังประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือ 7 จังหวัดภาคอีสานที่อยู่ริมแม่น้ำโขง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจ้งเตือนระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ อ.เชียงคาน จ.เลย ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00-3.60 เมตร คาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50-1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. อ.เมือง จ.หนองคาย และ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.50-3.90 เมตร และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 1.50-2.50 เมตรในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.00-2.60 เมตร ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 0.50-1.30 เมตร

    ด้านเทศบาลเมืองหนองคาย ยกระดับการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมเป็นธงสีแดง (มากกว่า 12 เมตร) สภาวะน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ให้อาศัยอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและปฏิบัติตามข้อสั่งการ โดยระดับน้ำยังคงมีระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ล่าสุดเมื่อเวลา 00.00 น. วันนี้ (13 ก.ย.) ระดับน้ำที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับอยู่ที่ 12.82 เมตร สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของตลิ่งถึง 62 เซนติเมตร

    (ระบบติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง https://monitoring.tnmc-is.org)

    #Newskit #น้ำท่วม #แม่น้ำโขง
    ท่วมแล้วไปไหน? จับตาอีสาน 7 จังหวัดริมโขง อิทธิพลของพายุยางิ ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ แต่ฝนตกทั้งวันอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้มวลน้ำจากประเทศเมียนมา ไหลเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เข้าท่วมเขตเทศบาลตำบลแม่สาย ชายแดนไทย-เมียนมา ตามมาด้วยแม่น้ำกก เข้าท่วมเขตเทศบาลนครเชียงราย ข้อมูลสะสม ณ วันที่ 12 ก.ย. จังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายรวม 6 อำเภอ 25 ตำบล 125 หมู่บ้าน 1 เทศบาลนคร (22 ชุมชน) ตลาดชุมชนเศรษฐกิจ 2 แห่ง ร้านค้าและสถานประกอบการ 92 แห่ง ราษฎรได้รับผลกระทบ 51,353 ครัวเรือน เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ปลายทางของมวลน้ำทั้งสองสายอยู่ที่อำเภอเชียงแสน โดยแม่น้ำรวกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ส่วนแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่สบกก (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) แต่การระบายน้ำเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแม่น้ำโขงมีระดับน้ำที่สูงขึ้น และเข้าท่วมเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังมีมวลน้ำสาขาจาก สปป.ลาว ไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยเฉพาะแม่น้ำทาจากแขวงหลวงน้ำทา ไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รวมทั้งแขวงหลวงพระบาง แขวงอุดมไซ และแขวงไชยบุรี ยังประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงนับจากนี้ คือ 7 จังหวัดภาคอีสานที่อยู่ริมแม่น้ำโขง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แจ้งเตือนระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ อ.เชียงคาน จ.เลย ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.00-3.60 เมตร คาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 0.50-1.50 เมตร ในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. อ.เมือง จ.หนองคาย และ อ.เมือง จ.บึงกาฬ ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.50-3.90 เมตร และคาดว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มสูงกว่าตลิ่ง 1.50-2.50 เมตรในช่วงวันที่ 13-16 ก.ย. จ.นครพนม จ.มุกดาหาร จ.อำนาจเจริญ และ จ.อุบลราชธานี ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประมาณ 2.00-2.60 เมตร ยังคงต่ำกว่าตลิ่ง 0.50-1.30 เมตร ด้านเทศบาลเมืองหนองคาย ยกระดับการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมเป็นธงสีแดง (มากกว่า 12 เมตร) สภาวะน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ให้อาศัยอยู่ในสถานที่ปลอดภัยและปฏิบัติตามข้อสั่งการ โดยระดับน้ำยังคงมีระดับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ล่าสุดเมื่อเวลา 00.00 น. วันนี้ (13 ก.ย.) ระดับน้ำที่ส่วนอุทกวิทยาหนองคาย กรมทรัพยากรน้ำ มีระดับอยู่ที่ 12.82 เมตร สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของตลิ่งถึง 62 เซนติเมตร (ระบบติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง https://monitoring.tnmc-is.org) #Newskit #น้ำท่วม #แม่น้ำโขง
    Like
    Sad
    7
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1062 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สถานการณ์น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ ยังน่าเป็นห่วง
    GISTDA เปิดภาพดาวเทียม น้ำท่วมพื้นที่รวมกว่า
    86,438 ไร่ 8 อำเภอจมบาดาล ประชาชนในพื้นที่
    ได้รับความเดือดร้อนหนัก วอนทุกหน่วยงาน
    เข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
    ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #น้ำท่วม #thaitimes
    🔥🔥สถานการณ์น้ำท่วมเชียงราย-เชียงใหม่ ยังน่าเป็นห่วง GISTDA เปิดภาพดาวเทียม น้ำท่วมพื้นที่รวมกว่า 86,438 ไร่ 8 อำเภอจมบาดาล ประชาชนในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อนหนัก วอนทุกหน่วยงาน เข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #น้ำท่วม #thaitimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1193 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11/09/24 - แนวโน้มน้ำมัน

    • G95 : 80.21 (-1.38)
    • D10ppm : 82.80 (-1.21)
    ค่าเงินบาท (฿/$) : 34.03 (+0.06)
    ค่าการตลาด (฿/L)
    • GH95 : 3.29 (+0.02)
    • B7 : 2.31 (+0.17)
    • เฉลี่ยรายเดือนทุกกลุ่ม : 2.55 (+0.03)
    - - - - - - - - - - - - -
    กลุ่มเบนซิน :
    • ค่าการตลาดค่อนข้างทรงตัว
    ✳️ หน้าปั๊มวันนี้คาดว่ายังไม่ปรับ
    ✳️ กบน. คาดว่าไม่ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเช่นกัน
    - - - - - - - - - - - - -
    กลุ่มดีเซล :
    • มติ ครม. ตรึงราคาไม่เกิน 33 ฿/L “ถึง 31/10/24” โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมัน
    • ค่าการตลาดขึ้นมาสูงกว่า 2.00 ฿/L ระดับหนึ่ง กองทุนน้ำมันเก็บอยู่ที่ +2.76 ฿/L
    ✳️ กบน. มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุน คาดว่าประมาณ 0.41 ฿/L (+/-)
    - - - - - - - - - - - - -
    Note:
    • สถานะกองทุนน้ำมัน -105,121 ล้านบาท (เริ่มติดลบลดลงเรื่อยๆ สภาพคล่องเริ่มกลับเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ติดลบของกองทุนยังน่าเป็นห่วง)
    #ราคาน้ำมัน
    11/09/24 - แนวโน้มน้ำมัน • G95 : 80.21 (-1.38) • D10ppm : 82.80 (-1.21) ค่าเงินบาท (฿/$) : 34.03 (+0.06) ค่าการตลาด (฿/L) • GH95 : 3.29 (+0.02) • B7 : 2.31 (+0.17) • เฉลี่ยรายเดือนทุกกลุ่ม : 2.55 (+0.03) - - - - - - - - - - - - - กลุ่มเบนซิน : • ค่าการตลาดค่อนข้างทรงตัว ✳️ หน้าปั๊มวันนี้คาดว่ายังไม่ปรับ ✳️ กบน. คาดว่าไม่ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเช่นกัน - - - - - - - - - - - - - กลุ่มดีเซล : • มติ ครม. ตรึงราคาไม่เกิน 33 ฿/L “ถึง 31/10/24” โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมัน • ค่าการตลาดขึ้นมาสูงกว่า 2.00 ฿/L ระดับหนึ่ง กองทุนน้ำมันเก็บอยู่ที่ +2.76 ฿/L ✳️ กบน. มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุน คาดว่าประมาณ 0.41 ฿/L (+/-) - - - - - - - - - - - - - Note: • สถานะกองทุนน้ำมัน -105,121 ล้านบาท (เริ่มติดลบลดลงเรื่อยๆ สภาพคล่องเริ่มกลับเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ติดลบของกองทุนยังน่าเป็นห่วง) #ราคาน้ำมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีหลายเรื่องที่น่าเป็นห่วง เรื่องสำคัญยิ่ง คือ อนาคตของชาติ ภายใต้รัฐบาลของกลุ่มคนที่หาความซื่อสัตย์ สุจริตทางกาย วาจา ใจ ได้ยากมาก

    ที่พอจะมีอยู่บ้าง เมื่อไปร่วมผสมกับพวกอสัตย์ ทุจริต เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว ดูเหมือนว่าจะกลมกลืนกันดี ฝ่ายใดมีมาก ก็น่าจะลากกันไปตามระบบเสียงข้างมาก ส่วนอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร จึงเห็นได้ชัดว่า จะไปทางเสื่อมถอยมากกว่าไปทางเจริญเป็นแน่

    เพระเหตุใดหรือ จึงสรุปอย่างนั้น..ก็เพราะทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัยประกอบกัน เมื่อปัจจัยที่เป็นเหตุ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองนายกหญิงคนที่ 2 ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไร้จริยธรรมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้ ้้ เช่นนั้นแล้ว ปัจจัยที่เกิดจากเหตุ ก็ย่อมไม่ไกลจาก DNA ของผู้ครอบครองสักเท่าใด

    #ห้องสมุเธรรมชาติพรหมโลก
    #บ้านพรหมวิมาน
    มีหลายเรื่องที่น่าเป็นห่วง เรื่องสำคัญยิ่ง คือ อนาคตของชาติ ภายใต้รัฐบาลของกลุ่มคนที่หาความซื่อสัตย์ สุจริตทางกาย วาจา ใจ ได้ยากมาก ที่พอจะมีอยู่บ้าง เมื่อไปร่วมผสมกับพวกอสัตย์ ทุจริต เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว ดูเหมือนว่าจะกลมกลืนกันดี ฝ่ายใดมีมาก ก็น่าจะลากกันไปตามระบบเสียงข้างมาก ส่วนอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร จึงเห็นได้ชัดว่า จะไปทางเสื่อมถอยมากกว่าไปทางเจริญเป็นแน่ เพระเหตุใดหรือ จึงสรุปอย่างนั้น..ก็เพราะทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัยประกอบกัน เมื่อปัจจัยที่เป็นเหตุ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองนายกหญิงคนที่ 2 ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไร้จริยธรรมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้ ้้ เช่นนั้นแล้ว ปัจจัยที่เกิดจากเหตุ ก็ย่อมไม่ไกลจาก DNA ของผู้ครอบครองสักเท่าใด #ห้องสมุเธรรมชาติพรหมโลก #บ้านพรหมวิมาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล
    ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ
    1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้
    2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน
    3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น
    4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง
    5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568
    6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท
    7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง
    ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน
    ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน
    นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง
    เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา
    คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่
    แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
    ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ 1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้ 2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน 3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น 4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง 5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568 6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท 7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่ แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามรายงานของกองกำลังป้องกันพลเรือนปาเลสในกาซา ผู้ถูกดับชีพและได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีโรงเรียนฮัสซัน ซาลามา และอัลนาสร์เมื่อวันอาทิตย์เป็นเยาวชนถึง ร้อยละ 80
    รายงานจากเดียร์ อัล บาลาห์ ฮานี มะห์มูด ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา ระบุว่า โรงเรียนซึ่งถูกใช้เป็นที่พักพิงของชาวปาเลสที่ต้องอพยพ ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
    “นี่คือสถานการณ์เดียวกันกับที่เราเคยเห็นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ก็คือมีการโจมตีศูนย์อพยพเป็นจำนวนมาก สิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็คือ … กองทัพเอลไม่ได้แจ้งเตือนผู้คนที่อยู่ในศูนย์อพยพเหล่านี้ล่วงหน้า” มะห์มูดกล่าว
    ผู้สื่อข่าวได้ระบุว่าอาคารส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นที่พักพิงของผู้พลัดถิ่นในกาซาคือโรงเรียน เนื่องจากปัจจุบันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งเดียวที่สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากได้
    “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักและสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับประชากรที่เคยต้องอพยพไปแล้วถึง 5 6 หรือ 7 ครั้งในพื้นที่ทางตอนเหนือของกาซา” มะห์มูดกล่าว
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    ตามรายงานของกองกำลังป้องกันพลเรือนปาเลสในกาซา ผู้ถูกดับชีพและได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีโรงเรียนฮัสซัน ซาลามา และอัลนาสร์เมื่อวันอาทิตย์เป็นเยาวชนถึง ร้อยละ 80 รายงานจากเดียร์ อัล บาลาห์ ฮานี มะห์มูด ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา ระบุว่า โรงเรียนซึ่งถูกใช้เป็นที่พักพิงของชาวปาเลสที่ต้องอพยพ ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง “นี่คือสถานการณ์เดียวกันกับที่เราเคยเห็นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ก็คือมีการโจมตีศูนย์อพยพเป็นจำนวนมาก สิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็คือ … กองทัพเอลไม่ได้แจ้งเตือนผู้คนที่อยู่ในศูนย์อพยพเหล่านี้ล่วงหน้า” มะห์มูดกล่าว ผู้สื่อข่าวได้ระบุว่าอาคารส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นที่พักพิงของผู้พลัดถิ่นในกาซาคือโรงเรียน เนื่องจากปัจจุบันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งเดียวที่สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากได้ “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักและสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับประชากรที่เคยต้องอพยพไปแล้วถึง 5 6 หรือ 7 ครั้งในพื้นที่ทางตอนเหนือของกาซา” มะห์มูดกล่าว . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67)
    โดย อ.รุ่งโรจน์
    ///////

    เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ
    ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก

    1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว
    - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา..
    คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด

    2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67
    - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์
    - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์
    คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ
    - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก
    - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
    ค่อย ๆ ทะยอยตามมา

    3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ
    - Sub Contract, งานรายวัน
    - อัตรากำลังเกิน
    - Performance ต่ำ
    - น้องใหม่อายุงานไม่มาก

    4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง
    - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น
    - ปลด Sub Contracts
    - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต
    - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ
    - ปรับผัง ลดคน
    - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง
    - ไม่รับคนใหม่
    - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น

    HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า
    เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน

    ~ อ.รุ่งโรจน์

    *****
    หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย
    ค้ากสิกร

    - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้

    ชลบุรี 118 แห่ง
    สมุทรปราการ 45 แห่ง
    กรุงเทพฯ 44 แห่ง
    ปทุมธานี 36 แห่ง
    พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง

    - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด
    ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ

    ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ...

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    สถานการณ์แรงงานช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 67) โดย อ.รุ่งโรจน์ /////// เริ่มวางแผนกันไว้บ้างก็ดีครับ ขอแชร์ข้อมูลที่หลาย ๆ Business เริ่มกังวลส่งสัญญาณทึ่น่าเป็นห่วงเริ่มมาเป็นระลอก 1. เริ่มจากจังหวัดที่เริ่มกระทบแล้ว - ชลบุรี สมุทรปราการ กทม ปทุมธานี อยุธยา.. คาดว่ากค. ถึงสิ้นปี 67คงมีตาม มาอีกหลายจังหวัด 2. Business ที่เริ่มเจอตั้งแต่ต้นปี 67 - งานบริการร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ - ก่อสร้าง, ชิ้นส่วนยานยนต์ , รถมือ 2, ขายของออนไลน์ คาดว่า ครึ่งปีหลังที่จะเจอ - กระดาษ ไม้ ยาง เหล็ก ไฟฟ้า พลาสติก เหล็ก - สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ค่อย ๆ ทะยอยตามมา 3. กลุ่มพนักงานที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ - Sub Contract, งานรายวัน - อัตรากำลังเกิน - Performance ต่ำ - น้องใหม่อายุงานไม่มาก 4. แนวทางที่เริ่มใช้กันช่วงครึ่งปีหลัง - ตัดงบด้าน HR อบรม พัฒนา เลี้ยงสังสรร มากขึ้น - ปลด Sub Contracts - จ่าย 75% ช่วง หยุดผลิต - ปรับลดค่าจ้าง เงินช่วยเหลือ - ปรับผัง ลดคน - โยกย้ายคนทำงานหลายตำแหน่ง - ไม่รับคนใหม่ - อาจเลิกจ้างหนักขึ้น HR คงต้องต้องปรับแผนปรับตัวกันไว้ล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ~ อ.รุ่งโรจน์ ***** หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก ประชาชาติ และ ศูนย์วิจัย ค้ากสิกร - สำหรับข้อมูลการปิดโรงงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า 5 อันดับจังหวัดที่มีโรงงานปิดตัวลงมากที่สุด มีดังนี้ ชลบุรี 118 แห่ง สมุทรปราการ 45 แห่ง กรุงเทพฯ 44 แห่ง ปทุมธานี 36 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 28 แห่ง - ขณะที่ประเภทอุตสาหกรรมของโรงงานที่ปิดตัวมากที่สุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ตามจำนวนของโรงงาน ได้แก่ โรงโม่ บดย่อยหิน/โรงขุด, อาหารและเครื่องดื่ม, การทำยางขั้นต้น/ผลิตภัณฑ์ยาง, อโลหะ และเหล็ก โลหะ ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแรงงานที่ถูกเลิกจ้างคือ อุตสาหกรรมแปรรูปไม้/ผลิตภัณฑ์กระดาษ, ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, การทำยางขั้นต้นและพลาสติก และเหล็ก โลหะ... ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MWMxQtbfnVJUkyxs/?mibextid=CTbP7E
    Facebook
    Sieh dir auf Facebook Beiträge, Fotos und vieles mehr an.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • เยาวชนยังคงถูกดับชีพในกาซาในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้'
    อเล็กซานดรา ไซเอห์ โฆษกขององค์กร Save the Children บอกกับ อัลยาซีรา ว่าการโจมตีของเอลในกาซายังคงส่งผลให้แหล่าเยาวชน ถูกดับชีพและได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
    “ไม่มีสถานที่ใดในกาซาที่สามารถให้การพักผ่อนแก่พลเรือนได้ และไม่มีสถานที่ใดในกาซาที่ปลอดภัย”
    Saieh ตั้งข้อสังเกตว่าองค์กร Save the Children ประมาณการว่ามีตัวน้อย ในกาซามากกว่า 20,000 คนที่ไม่มีที่อยู่
    “ซึ่งรวมถึงเยาวชน ที่ถูกพรากจากครอบครัว และอีกกว่า 4,000 คนที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังและคาดว่าถูกดับชีพแล้ว นอกจากนี้ยังรวมถึงเยาวชนที่ถูกกองกำลังเอลกักขังและสูญหายไป” เธอกล่าว
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #เรื่องราวที่น่าเป็นห่วง
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    เยาวชนยังคงถูกดับชีพในกาซาในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้' อเล็กซานดรา ไซเอห์ โฆษกขององค์กร Save the Children บอกกับ อัลยาซีรา ว่าการโจมตีของเอลในกาซายังคงส่งผลให้แหล่าเยาวชน ถูกดับชีพและได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง “ไม่มีสถานที่ใดในกาซาที่สามารถให้การพักผ่อนแก่พลเรือนได้ และไม่มีสถานที่ใดในกาซาที่ปลอดภัย” Saieh ตั้งข้อสังเกตว่าองค์กร Save the Children ประมาณการว่ามีตัวน้อย ในกาซามากกว่า 20,000 คนที่ไม่มีที่อยู่ “ซึ่งรวมถึงเยาวชน ที่ถูกพรากจากครอบครัว และอีกกว่า 4,000 คนที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังและคาดว่าถูกดับชีพแล้ว นอกจากนี้ยังรวมถึงเยาวชนที่ถูกกองกำลังเอลกักขังและสูญหายไป” เธอกล่าว . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #เรื่องราวที่น่าเป็นห่วง #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว