• "…. ถ้ากฎหมายถูกบังคับใช้อย่างเด็ดขาดเหมือนในหลายประเทศ วันนี้ตู้คีบตุ๊กตาคงจะหายไปจากบรรดาร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไปแล้ว โดยถูกขนไปเผาทุบทำลาย เพราะเป็นอบายมุขที่บ่อนทำลายเด็กและเยาวชน

    แต่ปฏิบัติการกวาดล้างปราบปรามเครื่องเล่นการพนัน ซึ่งแฝงมาในรูปตู้คีบตุ๊กตาแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ

    ร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ ตู้คีบตุ๊กตายังตั้งตระหง่าน ท้าทายกฎหมายอยู่ รวมทั้งเซเว่น อีเลฟเว่นที่ถูกโจมตีมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว

    อย่างไรก็ตาม การกำจัดอบายมุขให้ห่างไกลจากเด็กและเยาวชนเริ่มมีการขยับเหมือนกัน

    เพราะ CPALL เป็นบริษัทจดทะเบียน และเคยได้รับรางวัลมากมายจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งรางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมแห่งปี เมื่อนำอบายมุขมาเปิดในพื้นที่เซเว่น อีเลฟเว่น ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร และกระทบต่อสังคม

    …. ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำกับดูแลเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเท่านั้น ไม่มีอำนาจก้าวล่วงไปถึงบริษัททั่วไปที่ไร้สำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม ปล่อยให้เครื่องเล่นการพนันเข้ามาตั้งสูบเงินจากเด็กและเยาวชน

    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่โดยตรงที่จะกวดขัน จับกุม ปราบปราบอบายมุขที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งตู้คีบไฟฟ้า แต่กลับปล่อยให้เครื่องเล่นการพนันชนิดนี้ระบาดไปทั่วประเทศ ซึ่งอาจเป็นเพราะผลประโยชน์ที่ได้รับการแบ่งปันจากเงินที่ได้จากการมอมเมาเด็กและเยาวชน

    รัฐบาลมีหน้าที่กำกับ ดูแล สอดส่อง การทำงานของตำรวจ หากละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือเลือกปฏิบัติ ปล่อยให้อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง สามารถลงโทษตำรวจได้

    แต่ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนใส่ใจต่ออบายมุข ในรูปตู้คีบตุ๊กตา ที่ทำให้เด็กและเยาวชนเสียคน รวมทั้งรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร"

    จากคอลัมน์ ชุมชนคนหุ้น ของสุนันท์​ ศรีจันทรา

    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000105018

    #Thaitimes
    "…. ถ้ากฎหมายถูกบังคับใช้อย่างเด็ดขาดเหมือนในหลายประเทศ วันนี้ตู้คีบตุ๊กตาคงจะหายไปจากบรรดาร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไปแล้ว โดยถูกขนไปเผาทุบทำลาย เพราะเป็นอบายมุขที่บ่อนทำลายเด็กและเยาวชน แต่ปฏิบัติการกวาดล้างปราบปรามเครื่องเล่นการพนัน ซึ่งแฝงมาในรูปตู้คีบตุ๊กตาแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ ร้านสะดวกซื้อในหลายพื้นที่ ตู้คีบตุ๊กตายังตั้งตระหง่าน ท้าทายกฎหมายอยู่ รวมทั้งเซเว่น อีเลฟเว่นที่ถูกโจมตีมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว อย่างไรก็ตาม การกำจัดอบายมุขให้ห่างไกลจากเด็กและเยาวชนเริ่มมีการขยับเหมือนกัน เพราะ CPALL เป็นบริษัทจดทะเบียน และเคยได้รับรางวัลมากมายจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งรางวัลบริษัทจดทะเบียนยอดเยี่ยมแห่งปี เมื่อนำอบายมุขมาเปิดในพื้นที่เซเว่น อีเลฟเว่น ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร และกระทบต่อสังคม …. ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำกับดูแลเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเท่านั้น ไม่มีอำนาจก้าวล่วงไปถึงบริษัททั่วไปที่ไร้สำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม ปล่อยให้เครื่องเล่นการพนันเข้ามาตั้งสูบเงินจากเด็กและเยาวชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่โดยตรงที่จะกวดขัน จับกุม ปราบปราบอบายมุขที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งตู้คีบไฟฟ้า แต่กลับปล่อยให้เครื่องเล่นการพนันชนิดนี้ระบาดไปทั่วประเทศ ซึ่งอาจเป็นเพราะผลประโยชน์ที่ได้รับการแบ่งปันจากเงินที่ได้จากการมอมเมาเด็กและเยาวชน รัฐบาลมีหน้าที่กำกับ ดูแล สอดส่อง การทำงานของตำรวจ หากละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือเลือกปฏิบัติ ปล่อยให้อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง สามารถลงโทษตำรวจได้ แต่ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนใส่ใจต่ออบายมุข ในรูปตู้คีบตุ๊กตา ที่ทำให้เด็กและเยาวชนเสียคน รวมทั้งรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" จากคอลัมน์ ชุมชนคนหุ้น ของสุนันท์​ ศรีจันทรา https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000105018 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    CPALL ไล่ตู้คีบตุ๊กตาพ้น 7-11 / สุนันท์ ศรีจันทรา
    อีกไม่นาน ตู้คีบตุ๊กตาที่มอมเมา หลอกกินเงินเด็กและเยาวชน จะถูกกวาดล้าง ออกจากพื้นที่ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น – อีเลฟเว่น ในทุกสาขาทั่วประเทศ หลัง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ถูกโจมตี ในความไม่รับผิดชอบต่อสังคม
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอร์ด AOT บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มีมติอนุมัติจ่ายโบนัสพนักงานในปีงบ 2567 ในอัตรา 8 เดือน หลังจากผลประกอบการปีนี้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 จากอุตสาหกรรมการบินกลับสู่ภาวะปกติ

    สำหรับรายงานงบ 2567 (ต.ค. 2566 - ก.ย. 2567) AOT อยู่ระหว่างแจ้งตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ ส่วนผลประกอบการในรอบ 9 เดือนปี 2567 (ต.ค. 2566 - มิ.ย. 2567)​ มีกำไรสุทธิ 14,910.347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,551.41 ล้านบาท เติบโต 178.23% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 50,764.96 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 1.04 โดยเมื่อปีก่อน AOT ก็จ่ายโบนัสพนักงาน 7 เดือน

    #Thaitimes
    บอร์ด AOT บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มีมติอนุมัติจ่ายโบนัสพนักงานในปีงบ 2567 ในอัตรา 8 เดือน หลังจากผลประกอบการปีนี้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 จากอุตสาหกรรมการบินกลับสู่ภาวะปกติ สำหรับรายงานงบ 2567 (ต.ค. 2566 - ก.ย. 2567) AOT อยู่ระหว่างแจ้งตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ ส่วนผลประกอบการในรอบ 9 เดือนปี 2567 (ต.ค. 2566 - มิ.ย. 2567)​ มีกำไรสุทธิ 14,910.347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,551.41 ล้านบาท เติบโต 178.23% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 50,764.96 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 1.04 โดยเมื่อปีก่อน AOT ก็จ่ายโบนัสพนักงาน 7 เดือน #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล
    ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น

    บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ
    ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล
    ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ
    และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน
    ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
    ได้แก่

    (1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน
    และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน

    (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก
    ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

    (3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน
    และการบังคับใช้กฎหมาย และ

    (4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
    อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล
    ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ
    มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม
    (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน
    หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ
    พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่
    และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
    หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม
    หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม
    ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น

    อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน
    และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ
    ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา
    ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น
    และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ
    มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน
    ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้

    (1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์
    เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง
    พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

    (2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน
    เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น
    ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน
    อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน
    การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้

    (3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน
    International Sustainability Standards Board (ISSB)
    ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ
    จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ
    และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน

    (4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment)
    ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน
    สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี
    ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    ที่มา ก.ล.ต.
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    💥💥สุดยอด ปรบมือ!! ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือ ยกระดับการทำหน้าที่กำกับดูแล ตลาดทุนร่วมกัน ให้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม มากยิ่งขึ้น บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการ ทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแล ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ (1) การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (2) การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิก ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (3) การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน และการบังคับใช้กฎหมาย และ (4) การออกระเบียบข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแล ระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียน หลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการ พิจารณา มีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น อีกทั้งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงาน และการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการ ของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนา ตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อน ร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้ (1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่น ที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุน อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุน การขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้ (3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน (4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment) ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุน สามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่มา ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บอสต๋อยกับควาามจบไม่จ๋วยในวัยบั้นปลาย
    ต๋อย ไตรภพ กับรายการทไวไลท์โชว์ในอดีต เป็นรายการเรทติ้งอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ ที่หลายๆคนเคยได้ยินรุ่นอาเจ็ก อากงเล่าให้ฟัง ย้อนวันวานในอดีต
    ..เอาจริงๆ ต๋อย ไตรภาพ ชีวิตก็พลิกผันไม่น้อย จากช่องสาม สู่ความทะเยอทะยาน ไปยิ่งใหญ่ในไอทีวี เมื่อเกือบจะ 20 ปีที่แล้ว แต่สุดท้า้ย ไอทีวีสถานีถูกยึด กลายเป็น ไทยพีบีเอสใน ปจบ.
    ..วันที่ต๋อย รู้ว่าคสช จะยึดสถานี ต๋อยนัดรวมตัวรายการต่างๆของไอทีวี เพื่อหวังให้รายการตนเองมีพลังที่จะต่อรองกับคสช วันที่นัดรวมตัวครั้งแรก ออกท่าขึงขัง ทำให้ผู้จัดต่างๆ มีความหวัง แต่รอบที่สอง เหมือนหนังคนละม้วน เพราะตัวเองหาทางออกได้ หรือไปได้ข้อตกลงอะไรที่ทำให้ฟิน กลับมาบอกกับมวลหมู่ผู้จัดว่า เค้าจะเอาไปเปิดสารคดี มีประโยชน์ พวกคุณจะไปห้ามเค้าทำไม "อ้าว ไอ่ฉัด"
    ..หลังจากนั้น ต๋อยก็ไปหากินกับรายการอาหาร ครัวคุณต๋อย ที่รังเดิม ทำมาหากินกับการจัดอีเว้นท์ บันเทิงไปตามระบบ
    ...และที่หลายๆคน ไม่ทราบคือ ก่อนที่ เสี่ยตา จะเอาบริษัทเวิร์คพ็อย เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีนักข่าวเอาไมค์ไปจ่อถามว่า แล้วบริษัทของต๋อย ไตรภพ ไม่มีแผนจะเอาเข้าตลาดแบบเวิร์คพ็อยหรือ
    ต๋อย ออกแนวหล่ออีกแล้ววว "ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเอาเงินของพี่น้องประชาชนไปทำอะไร" ประมาณแขวะเสี่ยตา ตามไสตล์ต๋อย
    และเวลาผ่านไป กับเวิร์คพ็อย ที่โตอย่างหยุดไม่อยู่ แม้จะผ่านมาหลายมรสุม แต่เวิร์คพ็อย กับเป็นทีวีที่มีเรตติ้งสูงแซงช่องหลักๆ
    ..แต่เมื่อตัดภาพมาที่ต๋อยไตรภพ ที่คล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง ของโบราณตกยุค ที่ยังคงฉายวนซ้ำแบบเดิมๆ กับรายการอวย วิธีการสื่อสาร เหมือนทไวไลท์โชว์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว
    ...จนต้องรับผลประโยชน์ ในการสร้างเครดิต ให้กับกลุ่มลูกโซ่เหล่านี้ อวยฉ่ำ อวยเชิด อวยเริศ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อถือให้กับพี่น้องประชาชนไทย ในแบรนดิไอค่อน แม้กระทั่ง ให้นำรูปไปใช้ในการทักถึงผู้คน เพื่อชวนมาเข้าสู่วังวน จนเป็นปัญหามาถึงปัจจุบัน
    ได้ทราบมาว่า ตอนละ 6.5 แสน ทำดิล 10 ตอน ต๋อยคงฟินไม่น้อย กับช่วงบั้นปลาย
    ...วันนี้ ต๋อย หมดสภาพแล้ว วิธีการดำเนินรายการแบบที่ต๋อยเคยทำ มันไม่ตรงกับยุคกับสมัยแล้ว จีบปาก จีบคอ อวย นั่นมันเทรนเก่าสมัยอนาล็อค แล้วถ้าสิ่งที่ต๋อยทำ มันเข้าข่ายที่จะต้องโดนหางเลข อันนี้ก็ไม่มีใครช่วยต๋อยได้
    ต๋อยเลือกเอง คงเป็นกรรมของต๋อยที่ก่อไว้กับหลายๆคน ที่คงต้องรับผิดชอบกันไป
    จบแล้ว ต๋อย
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #บอสต๋อยกับควาามจบไม่จ๋วยในวัยบั้นปลาย ต๋อย ไตรภพ กับรายการทไวไลท์โชว์ในอดีต เป็นรายการเรทติ้งอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ ที่หลายๆคนเคยได้ยินรุ่นอาเจ็ก อากงเล่าให้ฟัง ย้อนวันวานในอดีต ..เอาจริงๆ ต๋อย ไตรภาพ ชีวิตก็พลิกผันไม่น้อย จากช่องสาม สู่ความทะเยอทะยาน ไปยิ่งใหญ่ในไอทีวี เมื่อเกือบจะ 20 ปีที่แล้ว แต่สุดท้า้ย ไอทีวีสถานีถูกยึด กลายเป็น ไทยพีบีเอสใน ปจบ. ..วันที่ต๋อย รู้ว่าคสช จะยึดสถานี ต๋อยนัดรวมตัวรายการต่างๆของไอทีวี เพื่อหวังให้รายการตนเองมีพลังที่จะต่อรองกับคสช วันที่นัดรวมตัวครั้งแรก ออกท่าขึงขัง ทำให้ผู้จัดต่างๆ มีความหวัง แต่รอบที่สอง เหมือนหนังคนละม้วน เพราะตัวเองหาทางออกได้ หรือไปได้ข้อตกลงอะไรที่ทำให้ฟิน กลับมาบอกกับมวลหมู่ผู้จัดว่า เค้าจะเอาไปเปิดสารคดี มีประโยชน์ พวกคุณจะไปห้ามเค้าทำไม "อ้าว ไอ่ฉัด" ..หลังจากนั้น ต๋อยก็ไปหากินกับรายการอาหาร ครัวคุณต๋อย ที่รังเดิม ทำมาหากินกับการจัดอีเว้นท์ บันเทิงไปตามระบบ ...และที่หลายๆคน ไม่ทราบคือ ก่อนที่ เสี่ยตา จะเอาบริษัทเวิร์คพ็อย เข้าตลาดหลักทรัพย์ มีนักข่าวเอาไมค์ไปจ่อถามว่า แล้วบริษัทของต๋อย ไตรภพ ไม่มีแผนจะเอาเข้าตลาดแบบเวิร์คพ็อยหรือ ต๋อย ออกแนวหล่ออีกแล้ววว "ผมยังไม่รู้ว่าผมจะเอาเงินของพี่น้องประชาชนไปทำอะไร" ประมาณแขวะเสี่ยตา ตามไสตล์ต๋อย และเวลาผ่านไป กับเวิร์คพ็อย ที่โตอย่างหยุดไม่อยู่ แม้จะผ่านมาหลายมรสุม แต่เวิร์คพ็อย กับเป็นทีวีที่มีเรตติ้งสูงแซงช่องหลักๆ ..แต่เมื่อตัดภาพมาที่ต๋อยไตรภพ ที่คล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง ของโบราณตกยุค ที่ยังคงฉายวนซ้ำแบบเดิมๆ กับรายการอวย วิธีการสื่อสาร เหมือนทไวไลท์โชว์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว ...จนต้องรับผลประโยชน์ ในการสร้างเครดิต ให้กับกลุ่มลูกโซ่เหล่านี้ อวยฉ่ำ อวยเชิด อวยเริศ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อถือให้กับพี่น้องประชาชนไทย ในแบรนดิไอค่อน แม้กระทั่ง ให้นำรูปไปใช้ในการทักถึงผู้คน เพื่อชวนมาเข้าสู่วังวน จนเป็นปัญหามาถึงปัจจุบัน ได้ทราบมาว่า ตอนละ 6.5 แสน ทำดิล 10 ตอน ต๋อยคงฟินไม่น้อย กับช่วงบั้นปลาย ...วันนี้ ต๋อย หมดสภาพแล้ว วิธีการดำเนินรายการแบบที่ต๋อยเคยทำ มันไม่ตรงกับยุคกับสมัยแล้ว จีบปาก จีบคอ อวย นั่นมันเทรนเก่าสมัยอนาล็อค แล้วถ้าสิ่งที่ต๋อยทำ มันเข้าข่ายที่จะต้องโดนหางเลข อันนี้ก็ไม่มีใครช่วยต๋อยได้ ต๋อยเลือกเอง คงเป็นกรรมของต๋อยที่ก่อไว้กับหลายๆคน ที่คงต้องรับผิดชอบกันไป จบแล้ว ต๋อย #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 476 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สนธิ” ไม่ได้โกงธนาคารกรุงไทย แต่เป็นคดีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์
    ฟังเต็มๆ ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8SbA0QbYto0&t=36s&ab_channel=sondhitalk

    #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #สนธิเล่าเรื่อง #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Sondhi #Sondhitalk
    “สนธิ” ไม่ได้โกงธนาคารกรุงไทย แต่เป็นคดีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ ฟังเต็มๆ ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=8SbA0QbYto0&t=36s&ab_channel=sondhitalk #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #สนธิเล่าเรื่อง #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Sondhi #Sondhitalk
    Like
    Love
    Sad
    Angry
    53
    1 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 5147 มุมมอง 2169 0 รีวิว
  • พระราม 4 หอมกลิ่นความเจริญ

    การเปิดตัวโครงการวันแบงค็อก (One Bangkok) อสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ย่านถนนพระรามที่ 4 ในวันที่ 25 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ นับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 108 ไร่ ส่วนหนึ่งชนะประมูลที่ดินระยะยาวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 30 ปี และต่อสัญญาอีก 30 ปี พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้แก่ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

    วันแบงค็อก ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีกกว่า 190,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาเหรด โซนเดอะสตอรี่ส์ และโซนโพสต์ไนน์ทีนทเวนตี้เอท มีแมกเนตหลักได้แก่ King Power City Boutique กับ Mitsukoshi ของกลุ่มอิเซตันมิตซูโคชิ อาคารสำนักงานหนึ่งในนั้นคือซิกเนเจอร์ ทาวเวอร์ สูง 65 ชั้น 436.1 เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะครองแชมป์สูงที่สุดในไทย อีกด้านกำลังจะมีโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แบงค็อก โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก และเฟรเซอร์ สวีทส์ เซอร์วิสอพาร์มเมนท์

    หากสำรวจตลอดแนวถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่สถานีรถไฟหัวลำโพง ถึงพระโขนง พบว่ามีหลายโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มสิริวัฒนภักดี อาทิ สามย่านมิตรทาวน์ มิกซ์ยูส 3 อาคาร บนที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 ไร่ เปิดตัวเมื่อปี 2562 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้, สีลมเอจ (SILOM EDGE) อาคารสูง 24 ชั้น บริเวณแยกศาลาแดง เปิดตัวเมื่อปี 2566 พัฒนาโดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

    ส่วนบริเวณแยกพระรามที่ 4 ประกอบด้วย เดอะปาร์ค (THE PARQ) อาคารสำนักงานสูง 16 ชั้น เปิดตัวเมื่อปี 2563 พัฒนาโดย เกษมทรัพย์สิริ, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ปิดปรับปรุงเมื่อปี 2562 ก่อนเปิดตัวเมื่อปี 2565 ด้วยพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร พัฒนาโดย เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์, อาคารไทยเบฟควอเตอร์ (Thaibev Quarter) สูง 18 ชั้น อดีตอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ แล้วเสร็จเมื่อปี 2562, เอฟวายไอเซ็นเตอร์ (FYI Center) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร เปิดตัวเมื่อปี 2560 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้

    ไม่นับรวมห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 อดีตห้างคาร์ฟูร์ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2543 แข่งกับห้างโลตัส พระราม 4 ปัจจุบันเป็นของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธุรกิจค้าปลีกของตระกูลสิริวัฒนภักดี และเมื่อเข้าไปในซอยโรงพยาบาล 1 บริเวณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แล้วไปออกซอยรูเบีย ก็ยังมีอาคารบีเจซี เฮ้าส์ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี อีกด้วย

    #Newskit #OneBangkok #พระราม4
    พระราม 4 หอมกลิ่นความเจริญ การเปิดตัวโครงการวันแบงค็อก (One Bangkok) อสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ย่านถนนพระรามที่ 4 ในวันที่ 25 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ นับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 120,000 ล้านบาท บนที่ดินกว่า 108 ไร่ ส่วนหนึ่งชนะประมูลที่ดินระยะยาวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 30 ปี และต่อสัญญาอีก 30 ปี พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้แก่ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ และ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ วันแบงค็อก ประกอบด้วย พื้นที่ค้าปลีกกว่า 190,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาเหรด โซนเดอะสตอรี่ส์ และโซนโพสต์ไนน์ทีนทเวนตี้เอท มีแมกเนตหลักได้แก่ King Power City Boutique กับ Mitsukoshi ของกลุ่มอิเซตันมิตซูโคชิ อาคารสำนักงานหนึ่งในนั้นคือซิกเนเจอร์ ทาวเวอร์ สูง 65 ชั้น 436.1 เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะครองแชมป์สูงที่สุดในไทย อีกด้านกำลังจะมีโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แบงค็อก โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก และเฟรเซอร์ สวีทส์ เซอร์วิสอพาร์มเมนท์ หากสำรวจตลอดแนวถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่สถานีรถไฟหัวลำโพง ถึงพระโขนง พบว่ามีหลายโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มสิริวัฒนภักดี อาทิ สามย่านมิตรทาวน์ มิกซ์ยูส 3 อาคาร บนที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 13 ไร่ เปิดตัวเมื่อปี 2562 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้, สีลมเอจ (SILOM EDGE) อาคารสูง 24 ชั้น บริเวณแยกศาลาแดง เปิดตัวเมื่อปี 2566 พัฒนาโดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ส่วนบริเวณแยกพระรามที่ 4 ประกอบด้วย เดอะปาร์ค (THE PARQ) อาคารสำนักงานสูง 16 ชั้น เปิดตัวเมื่อปี 2563 พัฒนาโดย เกษมทรัพย์สิริ, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ปิดปรับปรุงเมื่อปี 2562 ก่อนเปิดตัวเมื่อปี 2565 ด้วยพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร พัฒนาโดย เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์, อาคารไทยเบฟควอเตอร์ (Thaibev Quarter) สูง 18 ชั้น อดีตอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับปรุงเป็นสำนักงานใหญ่ของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ แล้วเสร็จเมื่อปี 2562, เอฟวายไอเซ็นเตอร์ (FYI Center) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร เปิดตัวเมื่อปี 2560 พัฒนาโดย แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ไม่นับรวมห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 อดีตห้างคาร์ฟูร์ที่เปิดให้บริการเมื่อปี 2543 แข่งกับห้างโลตัส พระราม 4 ปัจจุบันเป็นของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ธุรกิจค้าปลีกของตระกูลสิริวัฒนภักดี และเมื่อเข้าไปในซอยโรงพยาบาล 1 บริเวณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แล้วไปออกซอยรูเบีย ก็ยังมีอาคารบีเจซี เฮ้าส์ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี อีกด้วย #Newskit #OneBangkok #พระราม4
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือน
    ประชาชนและผู้ลงทุน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง
    แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน
    สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ
    3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนการลงทุน

    ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง
    ในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่อง
    ทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ
    และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ
    โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้

    🚩(1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทาง
    โซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่อง
    ข้อความส่วนตัว ในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่า
    อาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต
    ส่วนใหญ่ มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่าน
    โซเชียลมีเดีย

    🚩(2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตาม
    ในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเอง
    กับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่
    ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพ
    มักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง
    รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ
    ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ

    🚩(3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดู
    ชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชี
    ของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่

    ที่มา : กลต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือน ประชาชนและผู้ลงทุน ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพหลอกลวง แอบอ้างเป็นผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ลงทุน สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูง พร้อมแนะนำ 3 ข้อสังเกตระมัดระวังก่อนการลงทุน ก.ล.ต. จึงแจ้งเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง ในการรับข้อมูลชักชวนให้ลงทุน โดยฉพาะผ่านช่อง ทางโซเชียลมีเดีย อย่าหลงเชื่อเมื่อพบความผิดปกติ และควรตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยมีจุดสังเกต 3 ข้อควรระวังก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้ 🚩(1) หากถูกทักส่วนตัวและชักชวนลงทุนในช่องทาง โซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความในไลน์ส่วนตัว หรือกล่อง ข้อความส่วนตัว ในเฟซบุ๊ก (Messenger) ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจเป็นมิจฉาชีพ เพราะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ส่วนใหญ่ มักไม่ชักชวนลงทุนในลักษณะส่วนตัวผ่าน โซเชียลมีเดีย 🚩(2) หากถูกชักชวนโดยอ้างชื่อ/ภาพของบุคคลใดก็ตาม ในข้อความโฆษณา ให้สงสัยไว้ก่อนและสอบถามด้วยตัวเอง กับบริษัทที่ถูกอ้างชื่อว่า มีบุคคลนั้นเป็นบุคคลากรทำหน้าที่ ผู้แนะนำการลงทุนอยู่ในบริษัทจริงหรือไม่ เพราะมิจฉาชีพ มักจะแอบอ้างเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีชื่อเสียง รวมทั้งต้องตรวจเช็กด้วยว่าบริษัทนั้น ๆ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ และ 🚩(3) ก่อนโอนเงินชำระค่าเปิดบัญชีซื้อขายหรือค่าซื้อต้องตรวจดู ชื่อบัญชีธนาคารปลายทางก่อนโอนทุกครั้งว่า เป็นชื่อบัญชี ของบริษัทที่ประสงค์จะลงทุนจริงหรือไม่ ที่มา : กลต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่

    ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ

    อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร

    อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย

    ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้

    อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย

    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004

    #Thaitimes
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet หลังเกิดกระแสสังคมสงสัยที่มาของเงินถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ไบแนนซ์ระบุว่า "เบื้องต้นฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ดำเนินการติดต่อประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้รับการชี้แจงว่าในขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไบแนนซ์ดำเนินงานโดยให้ความสำคัญในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ผ่านการประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" ฝ่ายสืบสวนของไบแนนซ์ ระบุ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะมีการอายัดบัญชีและเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาทใน Binance Hot Wallet ซึ่งเกี่ยวข้องกับ The iCON GROUP เพื่อตรวจสอบตามกระบวนการทางกฏหมายหรือไม่ แม้ว่าทางไปแนนซ์จะยืนยันว่า "ประสานงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย" แต่เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้กฏหมายของไทยอาจมีข้อจำกัดเฉพาะในราชอาณาจักร ทำให้การอายัดทรัพย์นอกราชอาณาจักรของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย ไม่สามารถทำได้โดยตรง เนื่องจากอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทยจำกัดอยู่ภายในราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม หากมีการสืบสวนพบว่าทรัพย์สินที่ต้องสงสัยอยู่ในต่างประเทศ หน่วยงานไทยสามารถขอความร่วมมือจากประเทศที่เกี่ยวข้อง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือความร่วมมือด้านกฎหมายในระดับนานาชาติ (MLAT) เพื่อให้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่อยู่นอกอาณาเขตของไทย ทั้งนี้การขอความร่วมมือเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและกฎหมายของประเทศที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ และจะต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายของทั้งสองประเทศ อีกทั้ง ไบแนนซ์เอง ก็อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฏหมายของไทย ณ ปัจจุบัน Binance (ไบแนนซ์) ยังไม่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Exchange) ในประเทศไทยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ในกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการการดำเนินงานของไบแนน์ในประเทศไทย หรือเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย จึงอาจถูกจำกัดทางกฏหมาย หรือ ล่าช้าเพิกเฉยได้ อย่างไรก็ดี ทางสำนักงาน ก.ล.ต. แนะนำผู้ลงทุนในไทยควรใช้แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000101004 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    "ไบแนนซ์" แจงประเด็นร้อน "The iCON GROUP" หลัง USDT กว่า 8,223 ล้านโอนเข้า Binance Hot Wallet
    ไบแนนซ์ ออกโรงชี้แจงผ่านหนังสือด่วน หลังเกิดประเด็นร้อนจากการโอนเหรียญ USDT มูลค่ากว่า 8,223 ล้านบาท ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ซึ่งเชื่อมโยงกับ The iCON GROUP เข้ามายัง Binance Hot Wallet
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน

    18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง

    ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน

    แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท

    ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้

    ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท

    ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน

    ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี

    คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

    คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว

    "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน"

    ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697

    #Thaitimes
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน 18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้ ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน" ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697 #Thaitimes
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนหลักทรัพย์ของ SMK
    หรือ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)
    จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
    เหตุผลเพราะ บริษัทได้เลิกกิจการซึ่งเป็นผลจากการ
    ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย

    และจะเปิดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราวระหว่างวันที่
    29 ต.ค. - 6 พ.ย. 2567 โดยให้ซื้อด้วยบัญชี
    Cash Balance

    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SMK #สินมั่นคงประกันภัย
    #ตลาดหลักทรัพย์ #SET #thaitimes
    🔥🔥ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนหลักทรัพย์ของ SMK หรือ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เหตุผลเพราะ บริษัทได้เลิกกิจการซึ่งเป็นผลจากการ ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย และจะเปิดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราวระหว่างวันที่ 29 ต.ค. - 6 พ.ย. 2567 โดยให้ซื้อด้วยบัญชี Cash Balance ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SMK #สินมั่นคงประกันภัย #ตลาดหลักทรัพย์ #SET #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/tHAvxVyB4rc?si=K36I__d6Ds2dYxGP

    แสนล้าน รันทุกวงการ (หนักกว่าหรือพอๆ กับฟอเร็ก 3D กับ สตาร์ค)โชคดียังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่งั้นมูลค่าความเสียหายจะไปขนาดไหนเนี่ย
    https://youtu.be/tHAvxVyB4rc?si=K36I__d6Ds2dYxGP แสนล้าน รันทุกวงการ (หนักกว่าหรือพอๆ กับฟอเร็ก 3D กับ สตาร์ค)โชคดียังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่งั้นมูลค่าความเสียหายจะไปขนาดไหนเนี่ย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥 ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งเตือน GL ให้เร่งแก้ไข
    เหตุเพิกถอน
    ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศให้บริษัท
    กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) (GL)
    เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนกรณีไม่นำส่งงบการเงิน
    ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ภายในเวลาที่กำหนด
    โดยจะครบกำหนดเวลาแก้ไขเหตุเพิกถอนในวันที่
    14 พฤศจิกายน 2567 นั้น

    🚩เนื่องจากใกล้ครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ
    จึงขอแจ้งให้ GL เร่งแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไป
    หาก GL ยังไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
    ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ
    เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #GL #กรุ๊ปลีส #ตลาดหลักทรัพย์
    #thaitimes
    🔥🔥 ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งเตือน GL ให้เร่งแก้ไข เหตุเพิกถอน ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศให้บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) (GL) เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนกรณีไม่นำส่งงบการเงิน ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ภายในเวลาที่กำหนด โดยจะครบกำหนดเวลาแก้ไขเหตุเพิกถอนในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 นั้น 🚩เนื่องจากใกล้ครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอแจ้งให้ GL เร่งแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไป หาก GL ยังไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #GL #กรุ๊ปลีส #ตลาดหลักทรัพย์ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥ข้อมูลการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย
    ตามกลุ่มนักลงทุน ตั้งแต่วันที่ 01-11 ตุลาคม 2567

    🚩1. สถาบันในประเทศ(กองทุน)
    🟢ซื้อหุ้นไทยสุทธิ 27,206 ล้านบาท

    🚩2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์)
    🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -1,827 ล้านบาท

    🚩3. นักลงทุนต่างประเทศ
    🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -17,206 ล้านบาท

    🚩4. นักลงในประเทศ
    🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -8,173 ล้านบาท

    ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    #ข้อมูลการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน
    💥ข้อมูลการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย ตามกลุ่มนักลงทุน ตั้งแต่วันที่ 01-11 ตุลาคม 2567 🚩1. สถาบันในประเทศ(กองทุน) 🟢ซื้อหุ้นไทยสุทธิ 27,206 ล้านบาท 🚩2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์(โบรกเกอร์) 🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -1,827 ล้านบาท 🚩3. นักลงทุนต่างประเทศ 🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -17,206 ล้านบาท 🚩4. นักลงในประเทศ 🟢ขายหุ้นไทยสุทธิ -8,173 ล้านบาท ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes #ข้อมูลการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥10 อันดับนักลงทุนต่างประเทศ
    ที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด
    (อัพเดตเดือน สิงหาคม 2567)

    🚩อันดับ 1 คือ สหราชอาณาจักร
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.53 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 29.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    🚩อันดับ 2 คือ สิงคโปร์
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.37 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 26.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    🚩อันดับ 3 คือ ฮ่องกง
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 0.57 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 11.0% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    ที่มา : SET Research
    (ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย
    #นักลงทุนต่างประเทศที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด
    #thaitimes
    💥💥10 อันดับนักลงทุนต่างประเทศ ที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด (อัพเดตเดือน สิงหาคม 2567) 🚩อันดับ 1 คือ สหราชอาณาจักร มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.53 ล้านล้านบาท คิดเป็น 29.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด 🚩อันดับ 2 คือ สิงคโปร์ มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.37 ล้านล้านบาท คิดเป็น 26.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด 🚩อันดับ 3 คือ ฮ่องกง มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 0.57 ล้านล้านบาท คิดเป็น 11.0% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด ที่มา : SET Research (ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย #นักลงทุนต่างประเทศที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 286 0 รีวิว
  • 💥💥10 อันดับนักลงทุนต่างประเทศ
    ที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด
    (อัพเดตเดือน สิงหาคม 2567)

    🚩อันดับ 1 คือ สหราชอาณาจักร
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.53 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 29.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    🚩อันดับ 2 คือ สิงคโปร์
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.37 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 26.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    🚩อันดับ 3 คือ ฮ่องกง
    มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 0.57 ล้านล้านบาท
    คิดเป็น 11.0% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด

    ที่มา : SET Research
    (ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย
    #นักลงทุนต่างประเทศที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด
    #thaitimes
    💥💥10 อันดับนักลงทุนต่างประเทศ ที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด (อัพเดตเดือน สิงหาคม 2567) 🚩อันดับ 1 คือ สหราชอาณาจักร มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.53 ล้านล้านบาท คิดเป็น 29.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด 🚩อันดับ 2 คือ สิงคโปร์ มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 1.37 ล้านล้านบาท คิดเป็น 26.6% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด 🚩อันดับ 3 คือ ฮ่องกง มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 0.57 ล้านล้านบาท คิดเป็น 11.0% ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด ที่มา : SET Research (ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) #หุ้นติดดอย #การลงทุน #SET #ตลาดหุ้นไทย #นักลงทุนต่างประเทศที่ถือครองหุ้นไทยมากที่สุด #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 2 ราย
    ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด
    เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
    กรณีซื้อหรือขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
    ก่อนทำรายการซื้อขายของกองทุน
    โดยใช้ข้อมูลการลงทุนของกองทุน และรายงาน
    การดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
    ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2566
    และตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า
    ผู้กระทำความผิดรวม 2 ราย ได้แก่ (1) นายโกเมน นิยมวานิช และ
    (2) นางสาวมนสิชา อุ้นพิพัฒน์ ได้ร่วมกันกระทำการเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น
    ในประการที่น่าจะทำให้กองทุนรวมเสียประโยชน์

    โดยนายโกเมนในฐานะผู้จัดการกองทุน (ขณะกระทำผิดสังกัดบริษัทหลักทรัพย์
    จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูล
    เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนที่ตนเป็นผู้จัดการ ได้เปิดเผยข้อมูล
    เกี่ยวกับคำสั่งของกองทุนรวมที่นายโกเมนเป็นผู้จัดการกองทุนให้แก่
    นางสาวมนสิชา และนางสาวมนสิชาได้ส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์
    และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก่อนที่นายโกเมนจะส่งคำสั่งซื้อหรือขาย
    ให้แก่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนจำนวนหลายรายการ ในช่วงปี 2565
    อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/2 ประกอบมาตรา 244/1 และมาตรา 315
    แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ)
    แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 2 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณา
    ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

    พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อ ปปง. เพื่อพิจารณา
    ดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
    เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
    ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
    พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

    ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมาย
    ทางอาญาต่อไป เป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดี
    ของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ
    โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับ
    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย
    ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

    ที่มา : ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 2 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีซื้อหรือขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก่อนทำรายการซื้อขายของกองทุน โดยใช้ข้อมูลการลงทุนของกองทุน และรายงาน การดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2566 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ผู้กระทำความผิดรวม 2 ราย ได้แก่ (1) นายโกเมน นิยมวานิช และ (2) นางสาวมนสิชา อุ้นพิพัฒน์ ได้ร่วมกันกระทำการเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น ในประการที่น่าจะทำให้กองทุนรวมเสียประโยชน์ โดยนายโกเมนในฐานะผู้จัดการกองทุน (ขณะกระทำผิดสังกัดบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูล เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนที่ตนเป็นผู้จัดการ ได้เปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับคำสั่งของกองทุนรวมที่นายโกเมนเป็นผู้จัดการกองทุนให้แก่ นางสาวมนสิชา และนางสาวมนสิชาได้ส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก่อนที่นายโกเมนจะส่งคำสั่งซื้อหรือขาย ให้แก่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนจำนวนหลายรายการ ในช่วงปี 2565 อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/2 ประกอบมาตรา 244/1 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 2 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณา ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อ ปปง. เพื่อพิจารณา ดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ทางอาญาต่อไป เป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดี ของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น

    ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546

    ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา

    ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา

    แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB.

    ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน

    แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย

    ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ

    ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ

    AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี

    แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา

    แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย

    ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก

    ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย
    ---------

    แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล

    เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง

    จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣

    แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า

    คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ

    คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.?

    ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ

    ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน

    เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว

    เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้

    เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล

    ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน

    ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ

    ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว

    บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ

    ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้

    รอติดตาม ep.2

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    ไมเคิล ชาเฟล..มหาเทพในตำนาน ผู้ร่ำรวยบนความฉิบหายของคนอื่น ท้าวความ..สมัยไมเคิลอายุได้ 16 ปี เรียนอยู่เอแบค ไมเคิลได้ไปรู้จักกับ Herbalife ในปี 2546 ยุคนั้นคนยังไม่ค่อยรู้จัก Facebook (Facebook เปิดให้บริการครั้งแรก 2547) ยังไม่มีการยิงโฆษณา ไมเคิล..คือผู้มาก่อนกาลเวลาเหนือผู้ใด เรียกว่ายุคที่ยังไม่มีการขายของออนไลน์เลย Herbalife ก็คือสินค้า MLM ธรรมดา แต่..ไมเคิล มองออกว่าโลกออนไลน์มีพลังมากกว่าการชวนคนแบบเจอหน้าในออฟไลน์ จึงคิดแผนการตลาดขึ้นมาด้วยการที่ให้คนชวนคนบน FB. ต้องเข้าใจนะว่าไม่มีการยิงโฆษณาใดๆ เพราะมันเป็นยุคแรกของโลก Social แทนที่คนจะได้คุยกัน แบ่งปันเรื่องราวตามที่ Mark มันออกแบบมาต้องการให้ FB.เป็นเหมือนชุมชนเพื่อน แต่..ไมเคิลมันรู้ว่าสามารถเอา FB.มาเป็นร้านค้าได้ด้วยการโพสต์และแชร์ไปเรื่อยๆ ยุคนั้น Algorithm ของ FB.ยังไม่ได้ฉลาดเหมือนทุกวันนี้เลย ตอนนั้น FB.เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ มีแต่แผนจะร่ำรวยดันตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เลยไม่ได้สนใจในการพัฒนา AI.ตรวจจับการทำ Content ซ้ำๆ ถ้าพูดกันถึงยุคนี้ถ้าเราโพสต์ Content ซ้ำๆ จะโดน Algorithm ของ FB.แบนทันที เหมือนที่เราเคยเห็นตอนที่คนแชร์คลิปเพลงของ Lisa แล้ว FB.แบนนั่นแหละ AI มันทำหน้าที่ของมัน เพราะมันคิดว่าเป็นการกระหน่ำ Spam ระบบ หรือระบบกำลังโดนโจมตี แต่ยุคของไมเคิลนั้นโล่งสบาย เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้ จะสแปมยังไงก็ได้ดังนั้นมันจึงตั้ง Herbalife Thailand ขึ้นมา แล้วจัดสัมมนา โดยมีหลักในการ Motivate ที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกฎทุกกฎของคนทำ MLM ในประเทศไทย ไมเคิล..เก่งเรื่อง NLP ล้างสมองคนได้ ไม่ต้องมีอะไร แค่บอกว่าทำกับมันแล้วรวย วิธี Sponsor ของมันสุดติ่งมาก ยุคนั้น..เป็นการชวนคนแบบโพสต์ออนไลน์แล้วให้สมาชิกลากคนมาฟัง นั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์อบรมของมัน แล้วมันก็เข้าปิดการขายได้แบบ Conversion กระหน่ำจุกๆเลย --------- แผนประทุษกรรมของ..ไมเคิล เปิดตัวด้วยความเร้าใจ เดินเข้ามาในห้องแล้วโชว์ Black Berry แล้วถามคนในห้องว่าโทรศัพท์นี้แพงไหม ทุกคนตอบว่าแพง จากนั้นมันก็เขวี้ยงโทรศัพท์ Black Berry ไปที่กำแพงให้แตกแล้วพูดด้วยเสียงนิ่มๆว่า "ถ้าคุณทำธุรกิจกับผม คุณจะซื้อ Black Berry อีกกี่รอบก็ได้" ถถถ🤣 แค่นี้ก็ทำ First Impression ให้คนในห้องแม่งตะลึงได้แล้ว จากนั้นมันก็จะใช้กลยุทธการปิดการขายโดยใช้หลักการที่เรียกว่า..ทฤษฏีห้องเปล่า คือทุกคนย่อมไม่มีเงินลงทุน มันบอกว่าก็ลองมองไปยังของในห้องที่คุณอยู่หรือบ้านที่คุณอยู่สิ คุณมีอะไรขายได้เอามาลงทุนกับผมแล้วจะรวย ขายได้ ขายให้หมด เอาเงินสดมาลงทุนกับผม แล้วผมจะพาคุณรวยไปด้วยกัน.? ได้ผล..คนแห่ซื้อของแม่งอย่างกับลดแลกแจกแถม เพราะอยากได้ Black Berry กี่รอบก็ได้ตามที่มันแสดง Action ให้ดู ว่าคนรวย เงินแค่นี้จิ๊บๆ ไมเคิล..สอนให้คนทำการตลาดด้วยการแนะนำสินค้าบน FB.ด้วยการโพสต์ และแชร์ และให้ทุกคนเริ่มต้นซื้อสินค้าของมัน เปิดบิลขั้นต่ำ 25,000 บาท สูงๆก็หลักแสน หลังเปิดบิลแล้วก็จะได้สต็อกของเต็มห้องหลังจากเข้าสู่วังวน“ทฤษฏีห้องเปล่า”เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนจากทรัพย์ที่มีเป็นสินค้า Herbalife เพราะคุณจะรวยไปด้วยกันกับไมเคิล ยุคนั้นเป็นยุคตื่นทอง คนไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เลยคิดเอาเองว่า..นี่แหละวะคือทางออกของ Passive Income และนั่นคือจุดเริ่มต้นความรวยของ..ไมเคิล ชาเฟล ไมเคิล..มีรถ Super Car ขับหลังจากนั้นไม่นาน รวยเร็ว รวยไว อายุน้อยร้อยล้านของแท้ แต่คนอื่นฉิบหายช่างมัน ใครอยากรอดตายให้ชวนคนมาต่อตูดถึงจะได้ค่าหัวคิวเปิดบิล..แชร์ลูกโซ่ชัดๆ ไมเคิล..เริ่มรวยหลักร้อยล้าน มันก็เริ่มคิดอยากจะมีในสิ่งที่เศรษฐีทั่วไปเขามีกันบางคนอยากได้นาฬิกาแพงๆ มันมีแล้ว บางคนอยากได้รถหรู มันมีแล้ว บ้านหลังใหญ่ มันมีแล้ว สิ่งที่ไมเคิลฝันนั้นสุดโต่งขึ้นตามลำดับ ไมเคิล..ฝันอยากได้เฮลิคอปเตอร์มันบอกเพื่อนๆว่า รถมันกระจอก กูจะมีเฮลิคอปเตอร์เอาไว้บินจากกรุงเทพไปพัทยาและ..กูจะทำให้ได้ รอติดตาม ep.2 สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮ็อป อินน์ สปินออฟ ขยายโรงแรมทั่วเอเชีย

    สปินออฟ (Spin-off) คือการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม แยกออกมาจากบริษัทแม่ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มีความอิสระในการบริหารงาน สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่ประชาชน (IPO) และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (เครื่องหมายการค้า SCG)

    บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด เจ้าของโรงแรทฮ็อป อินน์ (Hop Inn) บัดเจ็ทโฮเทลที่มีสาขามากกว่า 70 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 7,000 ห้องใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น กำลังมีแผนจะสปินออฟออกจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยคาดว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งได้พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ คือ ลาพิส ฮอสปิทอลิตี้ พีทีอี ลิมิเต็ด (Lapis Hospitality Pte. Ltd.) บริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุนลอมบาร์ด เอเชีย วี, แอล.พี. (Lombard Asia V, L.P.) เข้าร่วมลงทุน 16.09% มูลค่า 700 ล้านบาท

    น.ส.พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ทำได้ตามแผนทั้งการขยายสาขาและรักษาคุณภาพบริการ ในปี 2030 มีเป้าหมายจะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเซียแปซิฟิค โดยจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ขณะที่ น.ส.นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพ ในทุกประเทศที่ไปขยาย และมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

    อนึ่ง โรงแรมฮ็อป อินน์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2557 ที่สาขาหนองคายและมุกดาหาร กระทั่งขยายสาขาไปยังประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2559 และญี่ปุ่นในปี 2566 สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 มีแผนเปิดสาขาสงขลาและพะเยา ก่อนหน้านี้กำลังศึกษาเปิดสาขาเพิ่มในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย

    #Newskit #HopInn
    ฮ็อป อินน์ สปินออฟ ขยายโรงแรมทั่วเอเชีย สปินออฟ (Spin-off) คือการนำบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วม แยกออกมาจากบริษัทแม่ ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้มีความอิสระในการบริหารงาน สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่ประชาชน (IPO) และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ที่แยกออกมาจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (เครื่องหมายการค้า SCG) บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด เจ้าของโรงแรทฮ็อป อินน์ (Hop Inn) บัดเจ็ทโฮเทลที่มีสาขามากกว่า 70 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 7,000 ห้องใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น กำลังมีแผนจะสปินออฟออกจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยคาดว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งได้พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ คือ ลาพิส ฮอสปิทอลิตี้ พีทีอี ลิมิเต็ด (Lapis Hospitality Pte. Ltd.) บริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุนลอมบาร์ด เอเชีย วี, แอล.พี. (Lombard Asia V, L.P.) เข้าร่วมลงทุน 16.09% มูลค่า 700 ล้านบาท น.ส.พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ทำได้ตามแผนทั้งการขยายสาขาและรักษาคุณภาพบริการ ในปี 2030 มีเป้าหมายจะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเซียแปซิฟิค โดยจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ขณะที่ น.ส.นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพ ในทุกประเทศที่ไปขยาย และมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อนึ่ง โรงแรมฮ็อป อินน์ เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2557 ที่สาขาหนองคายและมุกดาหาร กระทั่งขยายสาขาไปยังประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2559 และญี่ปุ่นในปี 2566 สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 มีแผนเปิดสาขาสงขลาและพะเยา ก่อนหน้านี้กำลังศึกษาเปิดสาขาเพิ่มในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย #Newskit #HopInn
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
  • OKJ ลากแมลงเม่าไปเชือด / สุนันท์ ศรีจันทรา

    หุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เพียง 2 วัน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้สนั่นหวั่นไหว เพราะราคาทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จนถูกตั้งคำถามว่า มีใครอยู่เบื้องหลัง ลากนักลงทุนรายย่อยขึ้นไปเชือดหรือไม่

    OKJ นำหุ้นจำนวน 159 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณ 26% ของทุนจดทะเบียน เสนอขายนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 6.70 บาท โดย บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน

    โอ้กะจู๋ หรือ OKJ สร้างชื่อเสียงจากร้านอาหารพักปลอดสารเพื่อสุขภาพ จนเติบโตเป็นที่นิยมและขยายสาขาต่อเนื่อง หุ้นที่นำมาเสนอขายนักลงทุน จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่จองล้นโควตาจัดสรร

    เป็นที่คาดหมายก่อนหน้าแล้วว่า การซื้อขายหุ้น OKJ จะมีความคึกคัก และเมื่อได้ฤกษ์ประเดิมเคาะซื้อขายวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงตามคาด โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 10.10 บาท และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 12.50 บาท ก่อนปิดที่ 12.40 บาท สูงกว่าราคาจอง 5.70 บาท หรือสูงกว่าจอง 85% มูลค่าซื้อขาย 4,678.91 ล้านบาท

    การซื้อขายวันที่สอง หรือวันที่ 7 ตุลาคม OKJ ยังร้อนไม่หยุด เปิดซื้อขายที่ราคา 12.80 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุด 14.60 บาท แต่ถูกเทขาย จนร่วงลงมาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 50 สตางค์หรือเพิ่มขึ้น 4.03% มูลค่าซื้อขายยังหนาแน่น 1,829.41 ล้านบาท

    หุ้น OKJ ที่พุ่งทะยาน ถูกวิจารณ์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุนว่า ราคาร้อนเกินเหตุ และเป็นราคาที่ล้ำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปมาก จนมีเสียงเตือนให้ระมัดระวังการตามแห่เก็งกำไร เพราะอาจมีคนที่อยู่เบื้องหลังการลากราคาหุ้น

    ค่าพี/อีเรโช OKJ จากระดับ 24 เท่า ช่วงที่เสนอขายหุ้นในราคา 6.70บาท ล่าสุดพุ่งขึ้นไปเป็น 46 เท่าแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอาหารด้วยกัน ถือว่า เป็นหุ้นกลุ่มอาหารที่มีค่า พี/อี เรโช สูงกว่าหุ้นกลุ่มอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ซึ่งราคาปิดล่าสุดที่ 30.25 บาท มีค่า พี/อี เรโช 16 เท่า

    หุ้นน้องใหม่ที่เคยสร้างสถิติความร้อนแรงสุดขีดคือ หุ้นบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI จากราคาจอง 4.95 บาท และนับจากประเดิมเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ราคาพุ่งไม่หยุด แม้จะถูกมาตรการกำกับการซื้อขายหลายครั้ง โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 65.50 บาท ก่อนจะปรับฐานสู่พื้นฐานที่เป็นจริง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมราคาปิดที่ 14.50 บาท

    นักลงทุนขาใหญ่ที่ลากหุ้น MGI ขึ้นไป ขายหุ้นทำกำไร เผ่นหนีออกไปแล้ว ปล่อยให้แมลงเม่าที่ตามแห่เก็งกำไร ติดค้างอยู่บนยอดดอย ขาดทุนกันป่นปี้

    เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งอาจมีนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังความร้อนแรงของราคา และ "ขาใหญ่" อาจทิ้งหุ้นไปแล้ว เมื่อราคาหุ้นพุ่งเกิน 100% เหนือราคาจอง

    หุ้นน้องใหม่ ส่วนใหญ่จะมีเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังการสร้างราคา โดยอาจมีข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในการทำราคา แลกกับการจัดสรรหุ้นต้นทุนต่ำ จึงปรากฏรายชื่อบรรดานักลงทุนขาใหญ่หรือเซียนหุ้นได้รับการจัดสรรหุ้นใหม่จำนวนมาก

    และการซื้อขายหุ้นใหม่ในวันแรก ๆ ดูเหมือนว่าตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยผี ปล่อยให้ทำราคากันได้เต็มที่ บางครั้งปล่อยให้ลากราคาสูงกว่าจองเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปิดตลาดกลับถูกทุบลงต่ำกว่าราคาจองอย่างน่าประหลาดใจ จนนักลงทุนรายย่อยตายกันเป็นเบือ

    เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งเป็นหุ้นชื่อเสียงดี แต่พฤติกรรมราคาใน 2 วันแรกที่เข้าซื้อขาย ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก และน่าจะมีแมลงเม่าจำนวนไม่น้อยต้องเซ่นสังเวยในกองไฟ

    แต่ตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยจับ ฆาตกรที่ลากหุ้นใหม่ขึ้นไปเชือดในวันแรกๆที่เข้าซื้อขายได้สักราย

    ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000095940

    #Thaitimes
    OKJ ลากแมลงเม่าไปเชือด / สุนันท์ ศรีจันทรา หุ้นบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เพียง 2 วัน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้สนั่นหวั่นไหว เพราะราคาทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จนถูกตั้งคำถามว่า มีใครอยู่เบื้องหลัง ลากนักลงทุนรายย่อยขึ้นไปเชือดหรือไม่ OKJ นำหุ้นจำนวน 159 ล้านหุ้น หรือสัดส่วนประมาณ 26% ของทุนจดทะเบียน เสนอขายนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกในราคาหุ้นละ 6.70 บาท โดย บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นในสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน โอ้กะจู๋ หรือ OKJ สร้างชื่อเสียงจากร้านอาหารพักปลอดสารเพื่อสุขภาพ จนเติบโตเป็นที่นิยมและขยายสาขาต่อเนื่อง หุ้นที่นำมาเสนอขายนักลงทุน จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่จองล้นโควตาจัดสรร เป็นที่คาดหมายก่อนหน้าแล้วว่า การซื้อขายหุ้น OKJ จะมีความคึกคัก และเมื่อได้ฤกษ์ประเดิมเคาะซื้อขายวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคลื่อนไหวร้อนแรงตามคาด โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 10.10 บาท และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 12.50 บาท ก่อนปิดที่ 12.40 บาท สูงกว่าราคาจอง 5.70 บาท หรือสูงกว่าจอง 85% มูลค่าซื้อขาย 4,678.91 ล้านบาท การซื้อขายวันที่สอง หรือวันที่ 7 ตุลาคม OKJ ยังร้อนไม่หยุด เปิดซื้อขายที่ราคา 12.80 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไปสูงสุด 14.60 บาท แต่ถูกเทขาย จนร่วงลงมาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 50 สตางค์หรือเพิ่มขึ้น 4.03% มูลค่าซื้อขายยังหนาแน่น 1,829.41 ล้านบาท หุ้น OKJ ที่พุ่งทะยาน ถูกวิจารณ์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักลงทุนว่า ราคาร้อนเกินเหตุ และเป็นราคาที่ล้ำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปมาก จนมีเสียงเตือนให้ระมัดระวังการตามแห่เก็งกำไร เพราะอาจมีคนที่อยู่เบื้องหลังการลากราคาหุ้น ค่าพี/อีเรโช OKJ จากระดับ 24 เท่า ช่วงที่เสนอขายหุ้นในราคา 6.70บาท ล่าสุดพุ่งขึ้นไปเป็น 46 เท่าแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอาหารด้วยกัน ถือว่า เป็นหุ้นกลุ่มอาหารที่มีค่า พี/อี เรโช สูงกว่าหุ้นกลุ่มอาหารอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ซึ่งราคาปิดล่าสุดที่ 30.25 บาท มีค่า พี/อี เรโช 16 เท่า หุ้นน้องใหม่ที่เคยสร้างสถิติความร้อนแรงสุดขีดคือ หุ้นบริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI จากราคาจอง 4.95 บาท และนับจากประเดิมเข้าซื้อขายในตลาด MAI วันที่ 14 ธันวาคม 2566 ราคาพุ่งไม่หยุด แม้จะถูกมาตรการกำกับการซื้อขายหลายครั้ง โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 65.50 บาท ก่อนจะปรับฐานสู่พื้นฐานที่เป็นจริง ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมราคาปิดที่ 14.50 บาท นักลงทุนขาใหญ่ที่ลากหุ้น MGI ขึ้นไป ขายหุ้นทำกำไร เผ่นหนีออกไปแล้ว ปล่อยให้แมลงเม่าที่ตามแห่เก็งกำไร ติดค้างอยู่บนยอดดอย ขาดทุนกันป่นปี้ เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งอาจมีนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังความร้อนแรงของราคา และ "ขาใหญ่" อาจทิ้งหุ้นไปแล้ว เมื่อราคาหุ้นพุ่งเกิน 100% เหนือราคาจอง หุ้นน้องใหม่ ส่วนใหญ่จะมีเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่ อยู่เบื้องหลังการสร้างราคา โดยอาจมีข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นใหญ่ในการทำราคา แลกกับการจัดสรรหุ้นต้นทุนต่ำ จึงปรากฏรายชื่อบรรดานักลงทุนขาใหญ่หรือเซียนหุ้นได้รับการจัดสรรหุ้นใหม่จำนวนมาก และการซื้อขายหุ้นใหม่ในวันแรก ๆ ดูเหมือนว่าตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยผี ปล่อยให้ทำราคากันได้เต็มที่ บางครั้งปล่อยให้ลากราคาสูงกว่าจองเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปิดตลาดกลับถูกทุบลงต่ำกว่าราคาจองอย่างน่าประหลาดใจ จนนักลงทุนรายย่อยตายกันเป็นเบือ เช่นเดียวกับ OKJ ซึ่งเป็นหุ้นชื่อเสียงดี แต่พฤติกรรมราคาใน 2 วันแรกที่เข้าซื้อขาย ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก และน่าจะมีแมลงเม่าจำนวนไม่น้อยต้องเซ่นสังเวยในกองไฟ แต่ตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยจับ ฆาตกรที่ลากหุ้นใหม่ขึ้นไปเชือดในวันแรกๆที่เข้าซื้อขายได้สักราย ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000095940 #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 704 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
    ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล
    ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ
    ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ)
    เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ
    และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน

    🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ
    และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน
    ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ
    โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก
    (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล
    ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ

    🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น
    ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market)
    เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้
    ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ
    บริหารความเสี่ยงด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
    เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data)
    ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน

    🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ
    ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง
    ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

    (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ
    ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม
    เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต.
    สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ
    หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้

    (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม
    ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล
    รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์
    และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์

    ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567
    เป็นต้นไป

    ที่มา : ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานข้อมูล ของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และ ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อให้ ก.ล.ต.มีข้อมูลเชิงลึกในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ และตลาดทุน รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานข้อมูล เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลในตลาดทุน 🚩ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการ และหลักเกณฑ์ที่เสนอปรับปรุงเกี่ยวกับการยื่นรายงานทรัพย์สิน ของลูกค้าและการทำธุรกรรมของผู้ประกอบธุรกิจ โดยปรับปรุงการรายงานให้มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงลึก (granular data) เพื่อประโยชน์ในการติดตามกำกับดูแล ความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ 🚩รวมทั้งความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) และความเป็น ระเบียบเรียบร้อยในตลาดทุน (fair and orderly market) เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนและตลาดทุนโดยรวม รวมทั้งจะทำให้ ผู้ประกอบธุรกิจได้รับข้อมูลภาพรวมสำหรับใช้ประกอบการ บริหารความเสี่ยงด้วย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล (open data) ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน 🚩ก.ล.ต. จึงออกประกาศหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงแล้ว โดยได้นำ ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากการเปิดรับฟัง ความคิดเห็นดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตการยื่นรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ ให้รวมถึงการนำส่งข้อมูล หรือเอกสาร โดยจำกัดให้ครอบคลุม เท่าที่จำเป็น ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ ก.ล.ต. สามารถปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือการคุ้มครองผู้ลงทุนได้ (2) ปรับปรุงแบบรายงานทรัพย์สินลูกค้า และการทำธุรกรรม ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานข้อมูล รายละเอียดเชิงลึก แยกรายลูกค้าและรายหลักทรัพย์ และกำหนดให้ยื่นต่อ ก.ล.ต. เป็นรายสัปดาห์ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว* จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศิษย์เกษตรเริ่มเข้าสู่การทำธุรกิจอย่างจริงจัง เรากลับมาเริ่มศึกษาการวิเคราะห์แผนธุรกิจอีกครั้ง ขอบคุณตลาดหลักทรัพย์ที่ทำห้องเรียนไว้ให้ศึกษาฟรี หลักสูตรนี้ทำให้เข้าใจง่ายมากครับและก็เห็นภาพด้วย

    https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/527/info
    ศิษย์เกษตรเริ่มเข้าสู่การทำธุรกิจอย่างจริงจัง เรากลับมาเริ่มศึกษาการวิเคราะห์แผนธุรกิจอีกครั้ง ขอบคุณตลาดหลักทรัพย์ที่ทำห้องเรียนไว้ให้ศึกษาฟรี หลักสูตรนี้ทำให้เข้าใจง่ายมากครับและก็เห็นภาพด้วย https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/527/info
    ELEARNING.SET.OR.TH
    Business Model Canvas
    รู้จักกับ BMC เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างโมเดลธุรกิจ คิดได้รอบด้าน เห็นภาพรวมของธุรกิจและเชื่อมโยงเป็น Business Model ที่ดี ผ่านกรณีศึกษา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตัวอย่างชวนคนเลือกตั้งเขตสาทร เขตสีลม คิด
    เขตนี้มีคนทำงานสำนักงานและสถาบันการเงินอยู่ แล้ว สส. ที่คุณเลือก ไปเสนอเรื่องในสภาฯ เรื่องเกี่ยวกับส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้สินเชื่อที่อยู่ ที่เหมาะสม, เรื่องตลาดหลักทรัพย์ปิดแล้ว ชีวิตคนทำงานต่อจากตลาดฯ ปิดนั้นดึก และคุณภาพสุขภาพและครอบครัวทำไม่ได้อย่างอเมริกาที่ที่พวกเค้าบูชา, เรื่องน้ำดำคลองสาทร จะเปลี่ยนแปลงได้ไหม, รวมถึงภาพใหญ่ขึ้น จะแก้รัฐธรรมนูญให้เขียนใหม่ มันไม่เกี่ยวกับการทำมาหากินของคนไทย มันหมกมุ่นกับ ม.112 เหมือนกันเป็นพวกอั่งยี่กลับชาติมาเกิด หรือมันเป็นคนไทยที่แยกตัวเป็นใหญ่หลังกรุงฯแตก แล้วพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านรวบรวมก่อนรับศึกประเทศ

    คิดตรึกตรอง ว่า สส. ที่เลือกไป เค้าทำกน้าที่ให้คุณ หรือเพื่อหม่อง อย่างที่คุณสนธิ นำมาบอก

    อย่าตื่นเพียงคนเดียว ต้องช่วยกัน ทำให้คนอื่นตื่นด้วย ขอบคุณยูทูปเบอร์ทุกๆ คน ที่ออกมาต่อสู้ทางปัญญากับด้อมส้ม เถียงข้างๆ สีข้างทะลอก
    #ตัวอย่างชวนคนเลือกตั้งเขตสาทร เขตสีลม คิด เขตนี้มีคนทำงานสำนักงานและสถาบันการเงินอยู่ แล้ว สส. ที่คุณเลือก ไปเสนอเรื่องในสภาฯ เรื่องเกี่ยวกับส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้สินเชื่อที่อยู่ ที่เหมาะสม, เรื่องตลาดหลักทรัพย์ปิดแล้ว ชีวิตคนทำงานต่อจากตลาดฯ ปิดนั้นดึก และคุณภาพสุขภาพและครอบครัวทำไม่ได้อย่างอเมริกาที่ที่พวกเค้าบูชา, เรื่องน้ำดำคลองสาทร จะเปลี่ยนแปลงได้ไหม, รวมถึงภาพใหญ่ขึ้น จะแก้รัฐธรรมนูญให้เขียนใหม่ มันไม่เกี่ยวกับการทำมาหากินของคนไทย มันหมกมุ่นกับ ม.112 เหมือนกันเป็นพวกอั่งยี่กลับชาติมาเกิด หรือมันเป็นคนไทยที่แยกตัวเป็นใหญ่หลังกรุงฯแตก แล้วพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านรวบรวมก่อนรับศึกประเทศ คิดตรึกตรอง ว่า สส. ที่เลือกไป เค้าทำกน้าที่ให้คุณ หรือเพื่อหม่อง อย่างที่คุณสนธิ นำมาบอก อย่าตื่นเพียงคนเดียว ต้องช่วยกัน ทำให้คนอื่นตื่นด้วย ขอบคุณยูทูปเบอร์ทุกๆ คน ที่ออกมาต่อสู้ทางปัญญากับด้อมส้ม เถียงข้างๆ สีข้างทะลอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
    และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้น
    บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SABUY)
    ศึกษาข้อมูลและไปเข้าร่วมประชุมและใช้สิทธิออกเสียง
    ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2567

    🚩เกี่ยวกับการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญในบริษัท
    ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด (LOCKBOX) และบริษัท
    ลอคบอกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด (LOCKVENT)
    ซึ่งจะชำระค่าตอบแทนด้วยการออก และเสนอขาย
    หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SABUY

    🚩โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ให้ความเห็นว่า
    ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการลงทุนดังกล่าว

    ที่มา : ก.ล.ต.

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    🔥🔥สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้น บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SABUY) ศึกษาข้อมูลและไปเข้าร่วมประชุมและใช้สิทธิออกเสียง ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 🚩เกี่ยวกับการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญในบริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด (LOCKBOX) และบริษัท ลอคบอกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด (LOCKVENT) ซึ่งจะชำระค่าตอบแทนด้วยการออก และเสนอขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SABUY 🚩โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ให้ความเห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการเข้าทำรายการลงทุนดังกล่าว ที่มา : ก.ล.ต. #หุ้นติดดอย #การลงทุน #กลต #thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥62 ปี กับความท้าทายของตลาดหุ้นไทย
    กับการจัดการปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น
    ของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์

    รวมทั้งปัญหาคัสโตเดี้ยน ที่นำหุ้นของรายใหญ่
    ที่นำหุ้นมาจำนำนอกตลาด แล้วเอามาขาย
    แบบหุ้นลม เพื่อจับเสือมือเปล่า
    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥62 ปี กับความท้าทายของตลาดหุ้นไทย กับการจัดการปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งปัญหาคัสโตเดี้ยน ที่นำหุ้นของรายใหญ่ ที่นำหุ้นมาจำนำนอกตลาด แล้วเอามาขาย แบบหุ้นลม เพื่อจับเสือมือเปล่า ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1218 มุมมอง 0 รีวิว
  • TIPCO ขาดทุนหนัก เลิกผลิตสัปปะรดกระป๋องตั้งแต่25 กันยายนนี้

    25 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแบรนด์น้ำผลไม้ชื่อดัง TIPCO ประกาศหยุดผลิตสับปะรดกระป๋อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก โดย พล.อ.อ.พงศธร บัวทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567

    โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้หยุดการดำเนินงานในธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋องของ บริษัท ทิปโก้ ไพน์แอปเปิ้ล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท นับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 มีสาเหตุหลักเนื่องจากผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง และสภาวะความผันผวนของปริมาณและราคาของวัตถุดิบสำคัญคือผลสับปะรดสด มาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทของบริษัทย่อย ยังไม่ได้มีมติเลิกบริษัท ชำระบัญชีแต่อย่างใด บริษัทย่อยกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนการจัดการสื่อสาร และแจ้งให้คู่ค้า เจ้าหนี้ ลูกจ้าง พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ ให้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว และดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นธรรมและสอดคล้องกับกฎหมาย

    อนึ่ง การหยุดการดำเนินงานในธุรกิจดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายในของบริษัท ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทที่ดำเนินการอยู่ โดยธุรกิจนี้คิดเป็นประมาณ 22% ของรายได้รวม หากมีความคืบหน้าจากการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจะทำการแจ้งให้ทราบต่อไป

    #Thaitimes
    TIPCO ขาดทุนหนัก เลิกผลิตสัปปะรดกระป๋องตั้งแต่25 กันยายนนี้ 25 กันยายน 2567 -รายงานข่าวแบรนด์น้ำผลไม้ชื่อดัง TIPCO ประกาศหยุดผลิตสับปะรดกระป๋อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก โดย พล.อ.อ.พงศธร บัวทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้หยุดการดำเนินงานในธุรกิจการผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋องของ บริษัท ทิปโก้ ไพน์แอปเปิ้ล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท นับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 มีสาเหตุหลักเนื่องจากผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง และสภาวะความผันผวนของปริมาณและราคาของวัตถุดิบสำคัญคือผลสับปะรดสด มาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทของบริษัทย่อย ยังไม่ได้มีมติเลิกบริษัท ชำระบัญชีแต่อย่างใด บริษัทย่อยกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนการจัดการสื่อสาร และแจ้งให้คู่ค้า เจ้าหนี้ ลูกจ้าง พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ ให้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว และดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นธรรมและสอดคล้องกับกฎหมาย อนึ่ง การหยุดการดำเนินงานในธุรกิจดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายในของบริษัท ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทที่ดำเนินการอยู่ โดยธุรกิจนี้คิดเป็นประมาณ 22% ของรายได้รวม หากมีความคืบหน้าจากการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจะทำการแจ้งให้ทราบต่อไป #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts