• สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ

    ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน

    ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น

    อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล

    ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่

    #Newskit
    สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ความไวเป็นของปีศาจ บัญชีม้าชิงถอนเงิน : [NEWS UPDATE]
    นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) เผยถึงแนวทางการระงับบัญชีม้า จะตรวจสอบเส้นเงิน เชื่อมโยงข้อมูลตำรวจว่าเงินในบัญชีมีลักษณะอะไร รูปแบบการเงินปกติหรือไม่ จำนวนวงเงินเหมาะสมกับการใช้ชีวิตปกติหรือไม่ มีหลายเคสที่มีส่วนกระทำความผิด ต้องแยกคนบริสุทธิ์แยกบัญชี แต่จะมีจำนวนหนึ่งไม่สามารถเพิกถอนการระงับธุรกรรมได้ เพราะกระทบกับผู้บริสุทธิ์ที่ถูกหลอกลวง แต่ถ้าหลายเคสหลุดออก เส้นทางการเงินวิ่งต่อไป คนบริสุทธิ์อื่นๆ จะได้รับการเพิกถอนการระงับธุรกรรมชั่วคราวด้วย หากคนบริสุทธิ์มายื่นคำร้อง และตรวจสอบแล้วเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้อง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ศปอท.) มีอำนาจปลดระงับบัญชีได้ทันที วงเงินที่ถูกล็อกก็จะใช้ได้ ส่วนกรณีคนแห่ถอนเงิน จากการตรวจสอบพบว่ามีหลายเคสเป็นบัญชีม้า เพราะกลัวถูกระงับบัญชี


    ท้าทำรถไฟฟ้า 40 บาททั้งวัน

    "ทักษิณ"อยู่แดนผู้สูงอายุ

    เช็คบิลงบ 5 พันล้าน
    ความไวเป็นของปีศาจ บัญชีม้าชิงถอนเงิน : [NEWS UPDATE] นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) เผยถึงแนวทางการระงับบัญชีม้า จะตรวจสอบเส้นเงิน เชื่อมโยงข้อมูลตำรวจว่าเงินในบัญชีมีลักษณะอะไร รูปแบบการเงินปกติหรือไม่ จำนวนวงเงินเหมาะสมกับการใช้ชีวิตปกติหรือไม่ มีหลายเคสที่มีส่วนกระทำความผิด ต้องแยกคนบริสุทธิ์แยกบัญชี แต่จะมีจำนวนหนึ่งไม่สามารถเพิกถอนการระงับธุรกรรมได้ เพราะกระทบกับผู้บริสุทธิ์ที่ถูกหลอกลวง แต่ถ้าหลายเคสหลุดออก เส้นทางการเงินวิ่งต่อไป คนบริสุทธิ์อื่นๆ จะได้รับการเพิกถอนการระงับธุรกรรมชั่วคราวด้วย หากคนบริสุทธิ์มายื่นคำร้อง และตรวจสอบแล้วเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้อง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ศปอท.) มีอำนาจปลดระงับบัญชีได้ทันที วงเงินที่ถูกล็อกก็จะใช้ได้ ส่วนกรณีคนแห่ถอนเงิน จากการตรวจสอบพบว่ามีหลายเคสเป็นบัญชีม้า เพราะกลัวถูกระงับบัญชี ท้าทำรถไฟฟ้า 40 บาททั้งวัน "ทักษิณ"อยู่แดนผู้สูงอายุ เช็คบิลงบ 5 พันล้าน
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เพื่อไทยไม่ถอย ปรับกลยุทธ์รับเลือกตั้ง : [THE MESSAGE]

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีไทยและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เผยกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับโทษจำคุกจะส่งผลกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยกำลังใจดี เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ท้อถอย ในพรรคไม่มีปัญหา สมาชิกยังมีความห่วงใยพรรคและเดินหน้าทำกิจกรรมของพรรคตามนโยบาย เตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีกลยุทธ์หลายอย่างในการขับเคลื่อนงาน เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ขอให้รอดูว่าเวลาที่เหลืออยู่จะมีการเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ไม่วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้ ในส่วนดีอีงานที่ทำอยู่มีความสำคัญ เรื่องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การคืนเงินให้ประชาชน ส่งเสริมระบบการใช้ e-Office ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัลในอนาคต เรามีฝ่ายข้าราชการประจำที่เข้มแข็ง ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง เขาน่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้
    เพื่อไทยไม่ถอย ปรับกลยุทธ์รับเลือกตั้ง : [THE MESSAGE] นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีไทยและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เผยกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับโทษจำคุกจะส่งผลกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยกำลังใจดี เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ท้อถอย ในพรรคไม่มีปัญหา สมาชิกยังมีความห่วงใยพรรคและเดินหน้าทำกิจกรรมของพรรคตามนโยบาย เตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยมีกลยุทธ์หลายอย่างในการขับเคลื่อนงาน เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ขอให้รอดูว่าเวลาที่เหลืออยู่จะมีการเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ไม่วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้ ในส่วนดีอีงานที่ทำอยู่มีความสำคัญ เรื่องการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การคืนเงินให้ประชาชน ส่งเสริมระบบการใช้ e-Office ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัลในอนาคต เรามีฝ่ายข้าราชการประจำที่เข้มแข็ง ทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง เขาน่าจะทำให้เป็นประโยชน์ได้
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 618 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน

    เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง

    เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้

    ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน

    ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน

    #Newskit
    NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้ ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 745 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปลดล็อกวันนี้ ตามข้อเสนอของ คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้สนับสนุนส่งเสริมปีเที่ยวไทยเปิดให้ขายได้บางพื้นที่ใน 5 วันหยุดพิเศษ เน้น 5 กลุ่มสถานที่ ที่นักท่องเที่ยวใช้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ โรงแรม สนามบินอินเตอร์ สถานบริการ ย่านธุรกิจท่องเที่ยวทั่วประเทศและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว

    นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวหน้าที่1 เล่มที่ 142 ตอน189 ง ในวันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน เป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000043483

    #MGROnline #เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ปลดล็อกวันนี้ ตามข้อเสนอของ คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ให้สนับสนุนส่งเสริมปีเที่ยวไทยเปิดให้ขายได้บางพื้นที่ใน 5 วันหยุดพิเศษ เน้น 5 กลุ่มสถานที่ ที่นักท่องเที่ยวใช้บริการเป็นจำนวนมาก อาทิ โรงแรม สนามบินอินเตอร์ สถานบริการ ย่านธุรกิจท่องเที่ยวทั่วประเทศและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว • นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 เห็นชอบ ให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บางพื้นที่ในวันหยุดพิเศษ 5 วันทางศาสนา ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติได้สรุปผลการพิจารณาในทุกมิติเพื่อดูความเหมาะสมกับโลกปัจุบัน และที่ประชุมได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังกล่าวหน้าที่1 เล่มที่ 142 ตอน189 ง ในวันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม 2568 ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ โดยประกาศดังกล่าวฉบับนี้ ยังห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน เป็นการทั่วไปแต่ยกเว้นอนุญาตให้ขายได้เฉพาะ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/politics/detail/9680000043483 • #MGROnline #เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 697 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่โคราช ติดตามแผนพัฒนาจังหวัดและการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล
    .
    วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ปัญหาภัยแล้ง และการดำเนินงานตามแผนพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา และการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดนครราชสีม โดยมีนายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รายงานโครงการที่จังหวัดนครราชสีมา เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของรองนายกรัฐมนตรี
    .
    ซึ่งจังหวัดนครราชสีมา มีโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งสิ้น จำนวน 4 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 27,803,425 บาท ประกอบด้วย
    1.โครงการปรับปรุงซ่อมแซมสร้างผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตถนนสาย แยก ทล.2-บ้านซัยตะเคียน ม.13 ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา วงเงิน 13,520,000 บาท
    2.โครงการผันน้ำผิวดินจากอ่างขุนนิยมเข้าบ่อกักเก็บน้ำหมู่บ้านภายในตำบลหนองน้ำใส อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา วงเงิน 4,400,000 บาท
    3.โครงการ 1 ตำบล 1 แปลง ต้นแบบการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง จ.นครราชสีมา วงเงิน 6,883,425 บาท และ
    4.โครงการปรับปรุงถนนซ่อมสร้างผิวแอสฟัลต์คอนกรีต สายบ้านหนองม่วง ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ระยะทาง 0.725 กม. วงเงิน 3,000,000 บาท
    .
    นอกจากนี้ยังได้มีการรายงานแผนงานตามนโยบายของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าในการดำเนินงาน KORAT MICE CITY และมหกรรมพืชสวนโลก นครราชสีมา 2572 ความคืบหน้าการดำเนินงานการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ความคืบหน้าการพัฒนา ท่าเรือบกโคราช การบริหารจัดการท่าอากาศยานนครราชสีมา และความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้าง SKY WALK เพื่อส่งเสริมให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและธรรมชาติ ต่อไป
    รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่โคราช ติดตามแผนพัฒนาจังหวัดและการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล . วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ปัญหาภัยแล้ง และการดำเนินงานตามแผนพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา และการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดนครราชสีม โดยมีนายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รายงานโครงการที่จังหวัดนครราชสีมา เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของรองนายกรัฐมนตรี . ซึ่งจังหวัดนครราชสีมา มีโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งสิ้น จำนวน 4 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 27,803,425 บาท ประกอบด้วย 1.โครงการปรับปรุงซ่อมแซมสร้างผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตถนนสาย แยก ทล.2-บ้านซัยตะเคียน ม.13 ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา วงเงิน 13,520,000 บาท 2.โครงการผันน้ำผิวดินจากอ่างขุนนิยมเข้าบ่อกักเก็บน้ำหมู่บ้านภายในตำบลหนองน้ำใส อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา วงเงิน 4,400,000 บาท 3.โครงการ 1 ตำบล 1 แปลง ต้นแบบการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง จ.นครราชสีมา วงเงิน 6,883,425 บาท และ 4.โครงการปรับปรุงถนนซ่อมสร้างผิวแอสฟัลต์คอนกรีต สายบ้านหนองม่วง ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ระยะทาง 0.725 กม. วงเงิน 3,000,000 บาท . นอกจากนี้ยังได้มีการรายงานแผนงานตามนโยบายของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าในการดำเนินงาน KORAT MICE CITY และมหกรรมพืชสวนโลก นครราชสีมา 2572 ความคืบหน้าการดำเนินงานการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ความคืบหน้าการพัฒนา ท่าเรือบกโคราช การบริหารจัดการท่าอากาศยานนครราชสีมา และความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้าง SKY WALK เพื่อส่งเสริมให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและธรรมชาติ ต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รับฟังรายงานสถานการณ์น้ำ ในพื้นจังหวัดนครราชสีมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า
    .
    สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง
    “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รับฟังรายงานสถานการณ์น้ำ ในพื้นจังหวัดนครราชสีมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า . สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง
    เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า

    สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง
    ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง

    วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ
    ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน
    ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา

    จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน
    ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ
    อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ
    ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป

    ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน
    มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด
    เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้
    “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง
    เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า

    สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง
    ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง

    วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ
    ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน
    ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา

    จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน
    ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ
    อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ
    ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป

    ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน
    มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด
    เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
    3 พฤษภาคม 2568
    “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 3 พฤษภาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 812 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่น้ำกกป่วยเพราะสารพิษหนักเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่าใครจะเป็นหมอรักษา (ตอนที่ 5)
    .................
    มหากาพย์แร่หายากกำลังเป็นฝีแตกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพราะทำให้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และจะส่งผลต่อแม่น้ำโขงป่วยหนักขึ้น การบริโภค การใช้แม่น้ำที่มีวิญญาณของความเป็นแม่ ถูกความโลภ อำนาจ เผาผลาญ และเอากากความความโลภทิ้งลงแม่น้ำ แล้วทุนแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้กำลังสร้างตำนานซ้ำซากที่เกิดขึ้นในแอฟริกา เป็นกระบวนการถลุงแร่ธาตุ เพื่อให้เป็นเลือด
    .................
    สัญญาณแรก ประมงจังหวัดเชียงราย แถลงเมื่อ 25 เม.ย.68 ระบุพบปลากลุ่มตัวอย่างพบโลหะหนัก เช่น สารหนูและปรอท ไม่เกินค่ามาตรฐาน ก็อาจจะไม่ให้เราเบาใจและปล่อยปละละเลย และแสดงความกังวลว่าปลาลดน้อยลงมาก เพราะแม่น้ำเสื่อมโทรม ตั้งแต่ความตื้นเขิน น้ำมีตะกอนดินทั้งปี

    สัญญาณที่สอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ก็หวั่น ๆ ว่า ผลสรุปการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ำแม่น้ำกก บริเวณ อ.แม่อาย และอ.เมือง จ.เชียงราย พบมาตรฐานคุณภาพตะกอนดินเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน อาจจะเกิดอันตรายต่อสัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารของสัตว์น้ำ เช่น ปลา จะทำให้จำนวนหรือประเภทของสัตว์หน้าดินลดลง ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศลดลง สัตว์น้ำลดจำนวนลง และชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่กินสัตว์น้ำ แต่ไม่แน่ว่าหากมีการสะสมในปลา ถ้าชาวบ้านบริโภคปลาเป็นจำนวนมากและเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย เช่น ชาที่ปลายมือปลายเท้า (ไข้ดำ: ผิวหนังหนาและเข้ม) มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ

    สัญญาณที่สาม 30 เมษายน ผลตรวจสารหนูเบื้องต้นในแม่น้ำ อ.แม่สาย - อ.เชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่า มีหมายเหตุ ผลดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจเบื้องต้นทางทีมวิจัยจะนำตัวอย่างน้ำส่งตรวจใน Lab มาตรฐานต่อไป
    .................
    แรงกระเพื่อมต่อถึงทำเนียบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ติดตามสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล องค์ประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ

    ในการประชุม กระจายหน้าที่แต่ละกระทรวง กระทรวงมหาดไทย เร่งสั่งการการประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลสารปนเปื้อนในน้ำ แนวทางการกรองน้ำเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย รวมถึงการเร่งตรวจสอบแหล่งน้ำในพื้นที่อย่างเข้มข้น

    ประธานในการประชุมมีข้อสั่งการด้านการแก้ไขปัญหา 6 ประเด็น ดังนี้ 1. มอบหมายกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติบูรณาการร่วมกัน เร่งประสานประเทศเพื่อนบ้าน ใช้กลไกความร่วมมือทุกระดับเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดภายนอกประเทศที่อาจส่งผลให้เกิดสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก

    2. มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติใช้กลไกลุ่มน้ำโขงเหนือ บริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ เพิ่มน้ำต้นทุนเข้าสู่แม่น้ำกก

    3. มอบหมายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใช้นวัตกรรมดาวเทียม และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ช่วยประเมินความขุ่น สารแขวนลอยในแม่น้ำกกทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

    4. มอบหมายกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก

    5. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนในแม่น้ำกก และลำน้ำสาขา การปนเปื้อนในสัตว์น้ำและการสะสมในร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง

    6. มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากการทำเหมืองและประสานความร่วมมือในการเผยแพร่ให้ประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ
    คำถามที่ท้าทาย จะปล่อยให้ภาวะสะสมเกิดกับประชาชนชาวเชียงราย และประชาชนลุ่มน้ำสาย กก โขงแบบนี้เรื่อย ๆ ใช่หรือไม่

    .................
    เสียงประชาชนต้องดังกว่านี้ เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก) ก็ได้จัดเวทีความร่วมมือเตือนภัยน้ำกกหลากท่วมปี 2568 โดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ พชภ. เป็นประธานการประชุม โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินงานในพื้นที่แม่น้ำกก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมแลกเปลี่ยนพร้อมนำเสนอ ถึงนายกรรัฐมนตรี

    1.แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และนักวิชาการ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาทั้งในแหล่งกำเนิดมลพิษ ระหว่างทาง และผู้รับผลพิษ จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในจังหวัดเชียงราย
    2. เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำสาย อย่างเป็นระบบ มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพ
    3. สร้างความร่วมมือกับประเทศเมียนมา หรือกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่ เพื่อเพิ่มจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสารปนเปื้อน ตลอดลำน้ำกก น้ำสาย ทั้ง พื้นที่ต้นน้ำ ก่อนเหมืองในรัฐฉาน
    4 .สร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจุบัน
    5. ขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นการลุกล้ำหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ตลอดลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย
    6. เปิดการเจรจา 4 ฝ่ายคือ ไทย เมียนมา กองกำลังชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่สัมปทานเหมือง และประเทศจีน เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ

    สรุปคือการส่งเสียงว่ารัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การทำเหมืองทองต้องกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐไปเจรจา ทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล สื่อมวลชน ชาวบ้าน ประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าระดับประเทศแก้ไม่ได้ก็ต้องเป็นระดับอาเซียน ภูมิภาค หรือระดับนานาชาติร่วมกันแก้ไข ต้องคุยกับรัฐบาลพม่ารวมถึงรัฐบาลจีน เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้า เป็นการเมืองระหว่างประเทศ

    เปิดพื้นที่ผ่านการเล่าเรื่องของแม่น้ำกกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสิทธิของแม่น้ำ และ การเจรจาระหว่างรัฐกับธรรมชาติ ข้ามเขตแดนรัฐและแนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (Transboundary Environmental Governance)”
    .................

    ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้แนวคิดการทูตสิ่งแวดล้อมสร้างความร่วมมือแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด นอกจากนี้ต้องเสนอให้เมียนมาเข้าใจด้วยว่า เหมืองแร่อยู่ในเขตควบคุมของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่การเจรจาสันติภาพในเมียนมา ต้องหยิบยกเอาประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาด้วย

    น.ส.เพียงพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) และผู้อำนวยการฝ่ายรณรงรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ โดยมีต้นน้ำอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า การสร้างเหมืองทองที่บริเวณต้นน้ำ ทำให้ประชาชนและระบบนิเวศท้ายน้ำซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งหาทางยุติการทำเหมืองและเปิดหน้าดินในวงกว้างให้ได้ เพราะนอกจากส่งผลในเรื่องการปนเปื้อนสารโลหะหนักลงแม่น้ำแล้ว ยังส่งผลต่ออุทกภัยที่มีดินโคลนปนมาด้วย กลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่คนท้ายน้ำต้องเผชิญและหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา

    ก่อนหน้านี้กระแสกระเพื่อมขึ้นในพื้นที่ที่ดีมาก ที่ทาง พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ร่วมรับฟังปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

    เนื้อหาจึงเจาะประเด็นเชิงความมั่นคงทันทีในมิติของผลกระทบข้ามแดน ตามที่ได้นำเสนอในตอนต้น ๆ เป็นเรื่องของกระบวนการขุมเหมืองแร่สีเลือกเพื่อนำผลประโยชน์มาห่ำหั่นกันทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารพม่า อนุญาตให้ทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ในรัฐฉาน ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจีน แต่ก็มีประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และอิตาลีด้วย เหมืองทั้งหมดอยู่เหนือน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก
    .................

    มิติทางแม่น้ำระหว่างประเทศ เป็นวิกฤติมลพิษข้ามแดนที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับฝุ่นควันข้ามแดน ที่มีปลายทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้เวลาเกลี่ย ล๊อบบี้ กดดัน การตีโอบ เพื่อกระทบ อันจะให้การกดดันทุน และอำนาจรัฐเข้ามาเร่งรัดจัดการปัญหาข้ามพรมแดนไมว่าจะเป็น การทำระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ต้องเพิ่มต้นทุนก็ต้องทำ กรองน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อน

    การให้ความสำคัญมิติ สาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร การสื่อสาร กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างสัมพันธ์และความเข้าใจนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทุกฝ่ายต่อการโต้ตอบเหตุสารเคมีปนเปื้อน เพื่อสื่อสารและการประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารได้รับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลเพื่อนำไปศึกษาการจัดทำรายงานนำเสนอต้นสังกัดและรัฐบาลในการดำเนินการงานร่วมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาต่อไป

    แม่น้ำกกป่วยเพราะสารพิษหนักเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่าใครจะเป็นหมอรักษา (ตอนที่ 5) ................. มหากาพย์แร่หายากกำลังเป็นฝีแตกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพราะทำให้แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และจะส่งผลต่อแม่น้ำโขงป่วยหนักขึ้น การบริโภค การใช้แม่น้ำที่มีวิญญาณของความเป็นแม่ ถูกความโลภ อำนาจ เผาผลาญ และเอากากความความโลภทิ้งลงแม่น้ำ แล้วทุนแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้กำลังสร้างตำนานซ้ำซากที่เกิดขึ้นในแอฟริกา เป็นกระบวนการถลุงแร่ธาตุ เพื่อให้เป็นเลือด ................. สัญญาณแรก ประมงจังหวัดเชียงราย แถลงเมื่อ 25 เม.ย.68 ระบุพบปลากลุ่มตัวอย่างพบโลหะหนัก เช่น สารหนูและปรอท ไม่เกินค่ามาตรฐาน ก็อาจจะไม่ให้เราเบาใจและปล่อยปละละเลย และแสดงความกังวลว่าปลาลดน้อยลงมาก เพราะแม่น้ำเสื่อมโทรม ตั้งแต่ความตื้นเขิน น้ำมีตะกอนดินทั้งปี สัญญาณที่สอง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ก็หวั่น ๆ ว่า ผลสรุปการตรวจสอบคุณภาพตะกอนดินในแหล่งน้ำแม่น้ำกก บริเวณ อ.แม่อาย และอ.เมือง จ.เชียงราย พบมาตรฐานคุณภาพตะกอนดินเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน อาจจะเกิดอันตรายต่อสัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารของสัตว์น้ำ เช่น ปลา จะทำให้จำนวนหรือประเภทของสัตว์หน้าดินลดลง ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศลดลง สัตว์น้ำลดจำนวนลง และชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่กินสัตว์น้ำ แต่ไม่แน่ว่าหากมีการสะสมในปลา ถ้าชาวบ้านบริโภคปลาเป็นจำนวนมากและเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย เช่น ชาที่ปลายมือปลายเท้า (ไข้ดำ: ผิวหนังหนาและเข้ม) มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ สัญญาณที่สาม 30 เมษายน ผลตรวจสารหนูเบื้องต้นในแม่น้ำ อ.แม่สาย - อ.เชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบเกินค่ามาตรฐานสูงสุด 19 เท่า มีหมายเหตุ ผลดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจเบื้องต้นทางทีมวิจัยจะนำตัวอย่างน้ำส่งตรวจใน Lab มาตรฐานต่อไป ................. แรงกระเพื่อมต่อถึงทำเนียบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ติดตามสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล องค์ประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุม กระจายหน้าที่แต่ละกระทรวง กระทรวงมหาดไทย เร่งสั่งการการประปาส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการใช้น้ำดิบในการผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลสารปนเปื้อนในน้ำ แนวทางการกรองน้ำเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย รวมถึงการเร่งตรวจสอบแหล่งน้ำในพื้นที่อย่างเข้มข้น ประธานในการประชุมมีข้อสั่งการด้านการแก้ไขปัญหา 6 ประเด็น ดังนี้ 1. มอบหมายกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติบูรณาการร่วมกัน เร่งประสานประเทศเพื่อนบ้าน ใช้กลไกความร่วมมือทุกระดับเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดภายนอกประเทศที่อาจส่งผลให้เกิดสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก 2. มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติใช้กลไกลุ่มน้ำโขงเหนือ บริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ เพิ่มน้ำต้นทุนเข้าสู่แม่น้ำกก 3. มอบหมายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ใช้นวัตกรรมดาวเทียม และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ช่วยประเมินความขุ่น สารแขวนลอยในแม่น้ำกกทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน 4. มอบหมายกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนก 5. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนในแม่น้ำกก และลำน้ำสาขา การปนเปื้อนในสัตว์น้ำและการสะสมในร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง 6. มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากการทำเหมืองและประสานความร่วมมือในการเผยแพร่ให้ประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ คำถามที่ท้าทาย จะปล่อยให้ภาวะสะสมเกิดกับประชาชนชาวเชียงราย และประชาชนลุ่มน้ำสาย กก โขงแบบนี้เรื่อย ๆ ใช่หรือไม่ ................. เสียงประชาชนต้องดังกว่านี้ เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก) ก็ได้จัดเวทีความร่วมมือเตือนภัยน้ำกกหลากท่วมปี 2568 โดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ พชภ. เป็นประธานการประชุม โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนที่ดำเนินงานในพื้นที่แม่น้ำกก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมแลกเปลี่ยนพร้อมนำเสนอ ถึงนายกรรัฐมนตรี 1.แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และนักวิชาการ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาทั้งในแหล่งกำเนิดมลพิษ ระหว่างทาง และผู้รับผลพิษ จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในจังหวัดเชียงราย 2. เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำสาย อย่างเป็นระบบ มีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพ 3. สร้างความร่วมมือกับประเทศเมียนมา หรือกองกำลังที่ดูแลในพื้นที่ เพื่อเพิ่มจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสารปนเปื้อน ตลอดลำน้ำกก น้ำสาย ทั้ง พื้นที่ต้นน้ำ ก่อนเหมืองในรัฐฉาน 4 .สร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจุบัน 5. ขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นการลุกล้ำหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ตลอดลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย 6. เปิดการเจรจา 4 ฝ่ายคือ ไทย เมียนมา กองกำลังชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่สัมปทานเหมือง และประเทศจีน เพื่อร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์และรับผิดชอบ สรุปคือการส่งเสียงว่ารัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การทำเหมืองทองต้องกระตุ้นให้หน่วยงานรัฐไปเจรจา ทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งฝ่ายความมั่นคง รัฐบาล สื่อมวลชน ชาวบ้าน ประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าระดับประเทศแก้ไม่ได้ก็ต้องเป็นระดับอาเซียน ภูมิภาค หรือระดับนานาชาติร่วมกันแก้ไข ต้องคุยกับรัฐบาลพม่ารวมถึงรัฐบาลจีน เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้า เป็นการเมืองระหว่างประเทศ เปิดพื้นที่ผ่านการเล่าเรื่องของแม่น้ำกกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสิทธิของแม่น้ำ และ การเจรจาระหว่างรัฐกับธรรมชาติ ข้ามเขตแดนรัฐและแนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (Transboundary Environmental Governance)” ................. ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า รัฐบาลต้องใช้แนวคิดการทูตสิ่งแวดล้อมสร้างความร่วมมือแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด นอกจากนี้ต้องเสนอให้เมียนมาเข้าใจด้วยว่า เหมืองแร่อยู่ในเขตควบคุมของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่การเจรจาสันติภาพในเมียนมา ต้องหยิบยกเอาประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาด้วย น.ส.เพียงพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) และผู้อำนวยการฝ่ายรณรงรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ โดยมีต้นน้ำอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า การสร้างเหมืองทองที่บริเวณต้นน้ำ ทำให้ประชาชนและระบบนิเวศท้ายน้ำซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งหาทางยุติการทำเหมืองและเปิดหน้าดินในวงกว้างให้ได้ เพราะนอกจากส่งผลในเรื่องการปนเปื้อนสารโลหะหนักลงแม่น้ำแล้ว ยังส่งผลต่ออุทกภัยที่มีดินโคลนปนมาด้วย กลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่คนท้ายน้ำต้องเผชิญและหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้กระแสกระเพื่อมขึ้นในพื้นที่ที่ดีมาก ที่ทาง พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ร่วมรับฟังปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เนื้อหาจึงเจาะประเด็นเชิงความมั่นคงทันทีในมิติของผลกระทบข้ามแดน ตามที่ได้นำเสนอในตอนต้น ๆ เป็นเรื่องของกระบวนการขุมเหมืองแร่สีเลือกเพื่อนำผลประโยชน์มาห่ำหั่นกันทางการเมือง ที่รัฐบาลทหารพม่า อนุญาตให้ทำเหมืองแร่ต่าง ๆ ในรัฐฉาน ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจีน แต่ก็มีประเทศออสเตรเลีย รัสเซีย และอิตาลีด้วย เหมืองทั้งหมดอยู่เหนือน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก ................. มิติทางแม่น้ำระหว่างประเทศ เป็นวิกฤติมลพิษข้ามแดนที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับฝุ่นควันข้ามแดน ที่มีปลายทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่เบื้องหลัง ต้องใช้เวลาเกลี่ย ล๊อบบี้ กดดัน การตีโอบ เพื่อกระทบ อันจะให้การกดดันทุน และอำนาจรัฐเข้ามาเร่งรัดจัดการปัญหาข้ามพรมแดนไมว่าจะเป็น การทำระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ต้องเพิ่มต้นทุนก็ต้องทำ กรองน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อน การให้ความสำคัญมิติ สาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม การเกษตร การสื่อสาร กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างสัมพันธ์และความเข้าใจนำไปสู่การแก้ไขปัญหา และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทุกฝ่ายต่อการโต้ตอบเหตุสารเคมีปนเปื้อน เพื่อสื่อสารและการประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารได้รับฟังข้อมูลจากผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลเพื่อนำไปศึกษาการจัดทำรายงานนำเสนอต้นสังกัดและรัฐบาลในการดำเนินการงานร่วมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1803 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมเดินหน้าทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยแบบเซลล์บรอดแคสต์ (Cell Broadcast Service) แบบเต็มรูปแบบทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตัวแทนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ปภ. กสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างความมั่นใจในประสิทธิภาพการแจ้งเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติก่อนเปิดใช้งานจริง โดย ทรู คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง CBS เสร็จสมบูรณ์แล้วพร้อมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งในรูปแบบปกติและแบบ Virtual ตามระเบียบปฏิบัติประจำ (SOP) ที่ทุกหน่วยงานกำหนดร่วมกัน

    นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น มีความพร้อมเปิดใช้งาน Cell Broadcast Service (CBS) แล้ววันนี้ ทั้งในรูปแบบปกติและแบบ Virtual โดยได้ติดตั้งระบบ CBS ครอบคลุมทุกสถานีฐาน 4G และ 5G ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามระเบียบปฏิบัติประจำ (SOP) ที่ทุกหน่วยงานกำหนดร่วมกัน ทั้งนี้ เราพร้อมสนับสนุน ปภ. ทดสอบระบบแบบเต็มรูปแบบทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตัวแทนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

    ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ทดสอบการรับสัญญาณ Cell Broadcast เรียบร้อยแล้วทั้งในอุปกรณ์ iPhone และ Android ที่รองรับ 4G และ 5G สามารถรับข้อความแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ทดสอบต่อสายตานักข่าวสัปดาห์ที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000038134

    #MGROnline #CellBroadcastService #ทรูคอร์ปอเรชั่น #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
    ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมเดินหน้าทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยแบบเซลล์บรอดแคสต์ (Cell Broadcast Service) แบบเต็มรูปแบบทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตัวแทนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ปภ. กสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างความมั่นใจในประสิทธิภาพการแจ้งเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติก่อนเปิดใช้งานจริง โดย ทรู คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง CBS เสร็จสมบูรณ์แล้วพร้อมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งในรูปแบบปกติและแบบ Virtual ตามระเบียบปฏิบัติประจำ (SOP) ที่ทุกหน่วยงานกำหนดร่วมกัน • นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น มีความพร้อมเปิดใช้งาน Cell Broadcast Service (CBS) แล้ววันนี้ ทั้งในรูปแบบปกติและแบบ Virtual โดยได้ติดตั้งระบบ CBS ครอบคลุมทุกสถานีฐาน 4G และ 5G ทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามระเบียบปฏิบัติประจำ (SOP) ที่ทุกหน่วยงานกำหนดร่วมกัน ทั้งนี้ เราพร้อมสนับสนุน ปภ. ทดสอบระบบแบบเต็มรูปแบบทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก ระดับกลาง และระดับใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ตัวแทนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ • ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ทดสอบการรับสัญญาณ Cell Broadcast เรียบร้อยแล้วทั้งในอุปกรณ์ iPhone และ Android ที่รองรับ 4G และ 5G สามารถรับข้อความแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ทดสอบต่อสายตานักข่าวสัปดาห์ที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000038134 • #MGROnline #CellBroadcastService #ทรูคอร์ปอเรชั่น #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 791 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน

    วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข

    ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214

    #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
    #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน • วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข • ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214 • #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา
    .
    นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
    .
    นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้
    .
    1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ
    2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
    3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
    ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน
    4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
    5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    .
    นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา
    .
    “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว
    ...........
    Sondhi X
    กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา . นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา . นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้ . 1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ 3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน 4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม 5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา . นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา . “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว ........... Sondhi X
    Angry
    Like
    Sad
    Love
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3504 มุมมอง 0 รีวิว
  • มติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดช่องให้ขายเหล้าในวันพระใหญ่ ในโรงแรม-สถานบริการ-สนามบินระหว่างประเทศ-สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติ แต่ยังห้ามขายในสถานที่อื่นทั่วไป มั่นใจมาตรการออกทันก่อนวันวิสาขาบูชา 11 พ.ค.นี้

    ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 มี.ค.) นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ หรือ ดีอี​ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ให้ผ่อนคลายให้ขายได้บางสถานที่ดังนี้

    1. การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนานบินที่ให้บินการเที่ยวบินระหว่างประเทศ

    2. การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

    3. การชายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือแหล่งที่เป็นบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

    4. การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

    5. การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021005

    #MGROnline #ขายเหล้า #วันพระใหญ่
    มติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดช่องให้ขายเหล้าในวันพระใหญ่ ในโรงแรม-สถานบริการ-สนามบินระหว่างประเทศ-สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติ แต่ยังห้ามขายในสถานที่อื่นทั่วไป มั่นใจมาตรการออกทันก่อนวันวิสาขาบูชา 11 พ.ค.นี้ • ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 มี.ค.) นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ หรือ ดีอี​ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ให้ผ่อนคลายให้ขายได้บางสถานที่ดังนี้ • 1. การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนานบินที่ให้บินการเที่ยวบินระหว่างประเทศ • 2. การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ • 3. การชายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือแหล่งที่เป็นบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย • 4. การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม • 5. การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000021005 • #MGROnline #ขายเหล้า #วันพระใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1258 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1172 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลรุกคืบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กัดไม่ปล่อย “ไม่จบ ไม่เลิก” เร่งแก้ราคาสินค้าเกษตร-ประมง คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน

    มติประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การเยียวยาอุตสาหกรรมประมง และการคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน โดยเน้นนโยบาย "กัดไม่ปล่อย ไม่จบ ไม่เลิก" เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

    ปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” สองกระทรวงหลักร่วมรับผิดชอบ
    การระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างหนัก รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการเข้มข้น โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปราม

    กระทรวงกลาโหม ปิดช่องทางข้ามแดน ตัดเส้นทางเครือข่ายอาชญากรรม
    Seal ชายแดน 14 จังหวัด เพื่อสกัดเส้นทางลำเลียงอาชญากรข้ามชาติ
    กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่บริเวณชายแดน
    ดำเนินมาตรการ "ตัดไฟ ตัดทางน้ำมัน" เพื่อทำลายโครงสร้างสนับสนุน ของเครือข่ายมิจฉาชีพ
    ประสานงานกับประเทศปลายทาง เช่น จีนและเมียนมา เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
    คุมเข้มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบการทุจริต ดำเนินการลงโทษทันที

    กระทรวงดิจิทัลฯ ปิดช่องทางสื่อสารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
    รื้อถอนเสาสัญญาณใกล้ชายแดน โดยปรับลดความสูง ความแรงของสัญญาณ และควบคุมทิศทางของคลื่นความถี่
    ตัดสัญญาณซิมบ็อกซ์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดการโทรศัพท์หลอกลวงจากต่างประเทศ
    คัดกรองเบอร์โทรต้องสงสัย (Cleansing System) ปิดกั้นหมายเลข ที่มีแนวโน้มใช้ในทางมิชอบ

    เป้าหมายคือ การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย!

    แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
    เศรษฐกิจภาคเกษตร เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย แต่ราคาพืชผลยังคงผันผวน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินมาตรการระยะสั้น และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

    มาตรการเร่งด่วน
    ตรึงราคาข้าวเปลือก, มันสำปะหลัง, ข้าวโพด, ปาล์มน้ำมัน และยางพารา
    อุดหนุนเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำ
    ควบคุมต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และค่าแรง

    มาตรการระยะยาว
    พัฒนาพันธุ์พืชใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด
    นำเทคโนโลยี และนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) มาช่วยเพิ่มผลผลิต
    เชื่อมโยงข้อมูลตลาดล่วงหน้า (Agri-Market Intelligence) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ

    เกษตรกรไทยต้องมีรายได้ที่มั่นคง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้!

    แก้ปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมประมง เร่งจ่ายเงินเยียวยา
    อุตสาหกรรมประมงของไทย ได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย "นำเรือออกนอกระบบ" เพื่อลดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ทำให้เจ้าของเรือจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา

    แนวทางการช่วยเหลือ
    กรมประมง และกระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยา ให้เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ
    เสนอที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม
    ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมประมง ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ

    รัฐบาลยืนยันว่า ประมงไทยจะต้องอยู่รอด และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้!

    คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ปรับกฎหมายให้รัดกุมขึ้น
    ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า กำลังระบาดในกลุ่มเยาวชนอย่างหนัก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และการเสพติดในระยะยาว รัฐบาลจึงเร่งหามาตรการควบคุมอย่างจริงจัง

    มาตรการเร่งด่วน
    ปรับแก้ข้อกฎหมาย เพื่อให้การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
    เพิ่มโทษสำหรับการนำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต
    คุมเข้มโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่โฆษณาขายบุหรี่ไฟฟ้า

    มาตรการให้ความรู้เยาวชน
    จัดแคมเปญให้ความรู้ เรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
    สร้างระบบแจ้งเบาะแส เพื่อให้ประชาชนช่วยกันสอดส่อง

    รัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องสุขภาพเยาวชนไทย จากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า!

    เดินหน้าปฏิบัติการ กัดไม่ปล่อย! การประชุม ครม. ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงาน ที่จริงจังของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ

    กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำลายเครือข่ายอาชญากรรม
    ตรึงราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
    ฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมง ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
    คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ป้องกันภัยสุขภาพและการเสพติด

    รัฐบาลยืนยัน! จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเห็นผล!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262122 ก.พ. 2568

    #รัฐบาลไทย #ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ราคาสินค้าเกษตร #ปัญหาประมง #บุหรี่ไฟฟ้า #ปกป้องเยาวชน #นโยบายรัฐ #ครม2568 #เกษตรกรไทย #หยุดแก๊งมิจฉาชีพ
    รัฐบาลรุกคืบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กัดไม่ปล่อย “ไม่จบ ไม่เลิก” เร่งแก้ราคาสินค้าเกษตร-ประมง คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน 📅 มติประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การเยียวยาอุตสาหกรรมประมง และการคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน โดยเน้นนโยบาย "กัดไม่ปล่อย ไม่จบ ไม่เลิก" เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” สองกระทรวงหลักร่วมรับผิดชอบ การระบาดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างหนัก รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการเข้มข้น โดยมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปราม กระทรวงกลาโหม ปิดช่องทางข้ามแดน ตัดเส้นทางเครือข่ายอาชญากรรม 🔹 Seal ชายแดน 14 จังหวัด เพื่อสกัดเส้นทางลำเลียงอาชญากรข้ามชาติ 🔹 กวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่บริเวณชายแดน 🔹 ดำเนินมาตรการ "ตัดไฟ ตัดทางน้ำมัน" เพื่อทำลายโครงสร้างสนับสนุน ของเครือข่ายมิจฉาชีพ 🔹 ประสานงานกับประเทศปลายทาง เช่น จีนและเมียนมา เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 🔹 คุมเข้มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง หากพบการทุจริต ดำเนินการลงโทษทันที กระทรวงดิจิทัลฯ ปิดช่องทางสื่อสารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 🔸 รื้อถอนเสาสัญญาณใกล้ชายแดน โดยปรับลดความสูง ความแรงของสัญญาณ และควบคุมทิศทางของคลื่นความถี่ 🔸 ตัดสัญญาณซิมบ็อกซ์ที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดการโทรศัพท์หลอกลวงจากต่างประเทศ 🔸 คัดกรองเบอร์โทรต้องสงสัย (Cleansing System) ปิดกั้นหมายเลข ที่มีแนวโน้มใช้ในทางมิชอบ 🛡️ เป้าหมายคือ การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย! แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร เศรษฐกิจภาคเกษตร เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไทย แต่ราคาพืชผลยังคงผันผวน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินมาตรการระยะสั้น และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการเร่งด่วน ✔️ ตรึงราคาข้าวเปลือก, มันสำปะหลัง, ข้าวโพด, ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ✔️ อุดหนุนเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำ ✔️ ควบคุมต้นทุนการผลิต เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และค่าแรง มาตรการระยะยาว 🌱 พัฒนาพันธุ์พืชใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด 📡 นำเทคโนโลยี และนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) มาช่วยเพิ่มผลผลิต 📊 เชื่อมโยงข้อมูลตลาดล่วงหน้า (Agri-Market Intelligence) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ 👩‍🌾 เกษตรกรไทยต้องมีรายได้ที่มั่นคง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้! แก้ปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมประมง เร่งจ่ายเงินเยียวยา อุตสาหกรรมประมงของไทย ได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย "นำเรือออกนอกระบบ" เพื่อลดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ทำให้เจ้าของเรือจำนวนมาก ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา แนวทางการช่วยเหลือ ✅ กรมประมง และกระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยา ให้เจ้าของเรือที่ได้รับผลกระทบ ✅ เสนอที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม ✅ ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมประมง ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบสากล โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ 🎣 รัฐบาลยืนยันว่า ประมงไทยจะต้องอยู่รอด และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้! คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ปรับกฎหมายให้รัดกุมขึ้น ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า กำลังระบาดในกลุ่มเยาวชนอย่างหนัก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และการเสพติดในระยะยาว รัฐบาลจึงเร่งหามาตรการควบคุมอย่างจริงจัง มาตรการเร่งด่วน 🚫 ปรับแก้ข้อกฎหมาย เพื่อให้การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายชัดเจนยิ่งขึ้น 🚫 เพิ่มโทษสำหรับการนำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต 🚫 คุมเข้มโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่โฆษณาขายบุหรี่ไฟฟ้า มาตรการให้ความรู้เยาวชน 📢 จัดแคมเปญให้ความรู้ เรื่องอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน 📢 สร้างระบบแจ้งเบาะแส เพื่อให้ประชาชนช่วยกันสอดส่อง 🚭 รัฐบาลมุ่งมั่นปกป้องสุขภาพเยาวชนไทย จากภัยของบุหรี่ไฟฟ้า! เดินหน้าปฏิบัติการ กัดไม่ปล่อย! การประชุม ครม. ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทำงาน ที่จริงจังของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ✅ กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำลายเครือข่ายอาชญากรรม ✅ ตรึงราคาสินค้าเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ✅ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมประมง ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ✅ คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน ป้องกันภัยสุขภาพและการเสพติด 🏛️ รัฐบาลยืนยัน! จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเห็นผล! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 262122 ก.พ. 2568 📌 #รัฐบาลไทย #ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ราคาสินค้าเกษตร #ปัญหาประมง #บุหรี่ไฟฟ้า #ปกป้องเยาวชน #นโยบายรัฐ #ครม2568 #เกษตรกรไทย #หยุดแก๊งมิจฉาชีพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2006 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ครูหยุย" แฉเงื่อนงำทำพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ผ่านมติ ครม.โดยนายกฯ ไม่แถลง แต่กลับออกมาจากปากพ่อนายกฯ แทน และเอาเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็๋กซ์มากลบ ฟาดรัฐบาลหิวเงิน ทำลายแนวทางพอเพียงที่ในหลวง ร.9 พระราชทาน ระวังใช้นโยบายโจรจับโจรจะเพิ่มโจร เตือนนายกฯ อิ๊งค์ จะส่งต่อมรดกบาปให้ลูก

    จากการที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.เห็นชอบข้อเสนอแนะแก้ปัญหาพนันออนไลน์ ด้วยการนำขึ้นบนดินให้ถูกต้อง โดยจะแก้กฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว และให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน สอดคล้องกับที่นายทักษิณ ชินวัตร ไปพูดในงานดินดนแร์ทอล์กในคืนวันเดียวกันนั้น นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า น่าสังเกตว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่นายกรัฐมนตรีแถลงผลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่กลับออกมาจากปากของพ่อนายกฯ ที่ไปพูดเมื่อคืนก่อน แล้วต่อมา ถึงออกมาให้ข่าวว่าคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในเรื่องนี้แล้ว ทำให้ดูเหมือนมีเงื่อนงำแอบแฝงอะไรบางอย่าง ดูเป็นการลักหลับและซ่อนแอบเอากาสิโนมาหลอกให้คนสนใจ แต่แอบเอาเรื่องพนันออนไลน์แทรกเข้ามาแบบด่วนๆ ดูเป็นความเร่งรีบร้อนรนอย่างน่าสงสัย และจะมาแรงแซงทางโค้งเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่แอบซุกกาสิโนไว้ข้างใต้ กลายเป็นหายนะเรื่องใหม่ของสังคมไทยเลยทีเดียว เพราะจะพลิกโฉมสังคมไทยให้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมิอาจเรียกกลับมาได้ เพราะจะมีผลกระทบต่อวิธีคิดของเด็กเยาวชน และคนรุ่นใหม่อย่างมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000004353

    #MGROnline #ครูหยุย #พนันออนไลน์ #ถูกกฎหมาย
    "ครูหยุย" แฉเงื่อนงำทำพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ผ่านมติ ครม.โดยนายกฯ ไม่แถลง แต่กลับออกมาจากปากพ่อนายกฯ แทน และเอาเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็๋กซ์มากลบ ฟาดรัฐบาลหิวเงิน ทำลายแนวทางพอเพียงที่ในหลวง ร.9 พระราชทาน ระวังใช้นโยบายโจรจับโจรจะเพิ่มโจร เตือนนายกฯ อิ๊งค์ จะส่งต่อมรดกบาปให้ลูก • จากการที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.เห็นชอบข้อเสนอแนะแก้ปัญหาพนันออนไลน์ ด้วยการนำขึ้นบนดินให้ถูกต้อง โดยจะแก้กฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว และให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน สอดคล้องกับที่นายทักษิณ ชินวัตร ไปพูดในงานดินดนแร์ทอล์กในคืนวันเดียวกันนั้น นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า น่าสังเกตว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่นายกรัฐมนตรีแถลงผลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่กลับออกมาจากปากของพ่อนายกฯ ที่ไปพูดเมื่อคืนก่อน แล้วต่อมา ถึงออกมาให้ข่าวว่าคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในเรื่องนี้แล้ว ทำให้ดูเหมือนมีเงื่อนงำแอบแฝงอะไรบางอย่าง ดูเป็นการลักหลับและซ่อนแอบเอากาสิโนมาหลอกให้คนสนใจ แต่แอบเอาเรื่องพนันออนไลน์แทรกเข้ามาแบบด่วนๆ ดูเป็นความเร่งรีบร้อนรนอย่างน่าสงสัย และจะมาแรงแซงทางโค้งเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่แอบซุกกาสิโนไว้ข้างใต้ กลายเป็นหายนะเรื่องใหม่ของสังคมไทยเลยทีเดียว เพราะจะพลิกโฉมสังคมไทยให้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมิอาจเรียกกลับมาได้ เพราะจะมีผลกระทบต่อวิธีคิดของเด็กเยาวชน และคนรุ่นใหม่อย่างมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000004353 • #MGROnline #ครูหยุย #พนันออนไลน์ #ถูกกฎหมาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1011 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นเรื่องร้อนมาถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ทันที กรณี OPPO และ realme มีแอพพลิเคชั่นเงินกู้ติดมาพร้อมมือถือที่ไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

    #OPPO #realme #แอปFineasy #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    กลายเป็นเรื่องร้อนมาถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ทันที กรณี OPPO และ realme มีแอพพลิเคชั่นเงินกู้ติดมาพร้อมมือถือที่ไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ รวมถึงเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ #OPPO #realme #แอปFineasy #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1965 มุมมอง 39 0 รีวิว
  • ยื่นซักฟอกรัฐบาล หลังวาเลนไทน์ 'สุริยะ' จ่อโดนด้วย
    .
    หนึ่งในไฮไลต์ของการเมืองที่้หลายฝ่ายต่างจับตา คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาชน ซึ่งจะเป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้ทางพรรคประชาชนประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่าจะมีการยื่นญัตติดังกล่าวอย่างแน่นอน
    .
    นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่า ขอให้จับตาว่าถ้าหมดห้วงเวลาแห่งความรักในช่วง วันที่ 14 ก.พ.เมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความจริงอันโหดร้ายของรัฐบาล เมื่อนั้นก็ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่าความผิดสำเร็จแล้ว ทำอะไรก็ไม่ทัน รัฐบาลทำใจเถอะ
    .
    “มีเรื่องของกระทรวงคมนาคมด้วย ให้ปักธงเลยว่าอย่าคิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจแล้วจะรอด แล้วจะไม่โดน แต่จะโดนหนักกว่าใครด้วย ทำอะไรไว้รู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่คิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะปลอดภัย" นายวิโรจน์ กล่าวยืนยัน
    .
    นายวิโรจน์ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้สัญญาทำนองว่าในปี2568 ชีวิตประชาชนจะดีขึ้นนั้น ขออำนวยอวยพรให้มันเป็นอย่างที่นายกพูดจริงๆสักทีเหมือนกัน เพราะประชาชนก็รอมานานแล้ว พูดมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ ตั้งแต่ตอนหาเสียง แต่มันก็ไม่เป็นจริงสักครั้ง ส่วนเรื่องปัญหาค่าไฟ ไม่แก้ที่ต้นตอ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นกฎหมายที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่ำๆจะออก ก็ยังไม่ออกสักที ยังไม่รู้ว่าออกกฎหมายมาแล้ว การบังคับใช้กฎหมาย จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมถึงการปราบยาเสพติด ยาบ้ายังราคาถูก ถ้าปราบได้จริงยาบ้าต้องแพงขึ้นตามกลไกตลาด วันนี้ยาบ้า ก็ยังหาง่าย และราคาถูกอยู่เหมือนเดิม การปราบยาก็ยังเป็นแค่ภาพลวงตา
    ..............
    Sondhi X
    ยื่นซักฟอกรัฐบาล หลังวาเลนไทน์ 'สุริยะ' จ่อโดนด้วย . หนึ่งในไฮไลต์ของการเมืองที่้หลายฝ่ายต่างจับตา คือ การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาชน ซึ่งจะเป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้ทางพรรคประชาชนประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่าจะมีการยื่นญัตติดังกล่าวอย่างแน่นอน . นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่า ขอให้จับตาว่าถ้าหมดห้วงเวลาแห่งความรักในช่วง วันที่ 14 ก.พ.เมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความจริงอันโหดร้ายของรัฐบาล เมื่อนั้นก็ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่าความผิดสำเร็จแล้ว ทำอะไรก็ไม่ทัน รัฐบาลทำใจเถอะ . “มีเรื่องของกระทรวงคมนาคมด้วย ให้ปักธงเลยว่าอย่าคิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจแล้วจะรอด แล้วจะไม่โดน แต่จะโดนหนักกว่าใครด้วย ทำอะไรไว้รู้อยู่แก่ใจ ไม่ใช่คิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ แล้วจะปลอดภัย" นายวิโรจน์ กล่าวยืนยัน . นายวิโรจน์ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้สัญญาทำนองว่าในปี2568 ชีวิตประชาชนจะดีขึ้นนั้น ขออำนวยอวยพรให้มันเป็นอย่างที่นายกพูดจริงๆสักทีเหมือนกัน เพราะประชาชนก็รอมานานแล้ว พูดมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ ตั้งแต่ตอนหาเสียง แต่มันก็ไม่เป็นจริงสักครั้ง ส่วนเรื่องปัญหาค่าไฟ ไม่แก้ที่ต้นตอ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นกฎหมายที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่ำๆจะออก ก็ยังไม่ออกสักที ยังไม่รู้ว่าออกกฎหมายมาแล้ว การบังคับใช้กฎหมาย จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมถึงการปราบยาเสพติด ยาบ้ายังราคาถูก ถ้าปราบได้จริงยาบ้าต้องแพงขึ้นตามกลไกตลาด วันนี้ยาบ้า ก็ยังหาง่าย และราคาถูกอยู่เหมือนเดิม การปราบยาก็ยังเป็นแค่ภาพลวงตา .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    Yay
    10
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2181 มุมมอง 0 รีวิว
  • สว.ยัวะ รุมจวก รบ.ไม่เห็นหัว เทตอบ 5 กระทู้ “ยุคล”ตั้งฉายา “นายกฯ นินจา” หนีสภา ด้าน “หมอเปรม” อาลัย “แพทองโพย” ไร้รับผิดชอบ แขวะใส่ชุดนอนตรวจทหาร หิ้วผัวใต้ออกงาน

    เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. มีการประชุมวุฒิสภา ช่วงวาระตั้งกระทู้ถามรัฐบาล โดยจะมีการกระทู้ถามถึง 6 กระทู้ ปรากฏว่ามีเพียงนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาชี้แจงกระทู้ถาม เรื่องการระงับคลื่นวิทยุของ กสทช. ของน.ส.นันทนา นันทวโรภาส เพียงกระทู้เดียว ส่วนที่เหลืออีก 5 กระทู้นั้น รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีกลับไม่มาชี้แจงแม้แต่คนเดียว

    นายยุคคล ชนะวัฒน์ปัญญา สว.กล่าวว่าการตั้งกระทู้ถามทั้ง 2 เรื่องของตนตั้งถามนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่อง เอ็มโอยู 2544 ที่บังคับใช้ไม่ได้ทำไมถึงไม่ยกเลิก และกรณีเรื่องของว้าแดง อย่างไรก็ดีจากกรณีที่นายกฯ หนีตอบกระทู้ของวุฒิสภา ตนขอตั้งฉายาว่า นายกฯ นินจา อนิจจัง หนีตอบกระทู้ในสภาอย่างน่าสังเวช ทั้งนี้ตนจะสอบถามทุกสัปดาห์ว่านายกฯจะหนีอีกหรือไม่

    ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.กล่าวว่า ไม่ว่านายกฯ ที่รับตำแหน่ง 100 วัน ที่ผ่านมานายกฯ แถลงผลงานเมื่อครบ 90 วัน ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนแถลงนโยบายเมื่อทำงานได้ 90 วัน มีแต่ผลงานครบ 1 ปี ซึ่งการรีบแถลงผลงานเหมือนกับจะรีบไป ตนไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเล่นตลกกับสว.แบบนี้ เพราะทำลายระบบการตรวจสอบสว.

    “ผมจะถามว่านายกฯ อายไหมถึงแต่งกายคล้ายชุดนอนมาเดินแถวเกียรติยศ บางงานเอาสามีมาด้วย และแต่งตัวไม่เข้าระบบการทำงานฐานะผู้นำประชาชน ซึ่งการตรวจแถวเกียรติยศ การทำงานของนายกฯ จะมาทำเล่นทำหัวไม่ได้ เอาลูกมาเดินเล่นในทำเนียบไม่ได้ จะบอกว่า แฟมิลี่เกิร์ลไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน การตรวจสอบเป็นหน้าที่สว. แต่นายกฯไม่เคยให้เกียรติเลย ผมขอไว้อาลัยกับความไร้ความรับผิดชอบของนายกฯ” นพ.เปรมศักดิ์ อภิปราย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000122892

    #MGROnline #สว #วุฒิสภา
    สว.ยัวะ รุมจวก รบ.ไม่เห็นหัว เทตอบ 5 กระทู้ “ยุคล”ตั้งฉายา “นายกฯ นินจา” หนีสภา ด้าน “หมอเปรม” อาลัย “แพทองโพย” ไร้รับผิดชอบ แขวะใส่ชุดนอนตรวจทหาร หิ้วผัวใต้ออกงาน • เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. มีการประชุมวุฒิสภา ช่วงวาระตั้งกระทู้ถามรัฐบาล โดยจะมีการกระทู้ถามถึง 6 กระทู้ ปรากฏว่ามีเพียงนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาชี้แจงกระทู้ถาม เรื่องการระงับคลื่นวิทยุของ กสทช. ของน.ส.นันทนา นันทวโรภาส เพียงกระทู้เดียว ส่วนที่เหลืออีก 5 กระทู้นั้น รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีกลับไม่มาชี้แจงแม้แต่คนเดียว • นายยุคคล ชนะวัฒน์ปัญญา สว.กล่าวว่าการตั้งกระทู้ถามทั้ง 2 เรื่องของตนตั้งถามนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่อง เอ็มโอยู 2544 ที่บังคับใช้ไม่ได้ทำไมถึงไม่ยกเลิก และกรณีเรื่องของว้าแดง อย่างไรก็ดีจากกรณีที่นายกฯ หนีตอบกระทู้ของวุฒิสภา ตนขอตั้งฉายาว่า นายกฯ นินจา อนิจจัง หนีตอบกระทู้ในสภาอย่างน่าสังเวช ทั้งนี้ตนจะสอบถามทุกสัปดาห์ว่านายกฯจะหนีอีกหรือไม่ • ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.กล่าวว่า ไม่ว่านายกฯ ที่รับตำแหน่ง 100 วัน ที่ผ่านมานายกฯ แถลงผลงานเมื่อครบ 90 วัน ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลไหนแถลงนโยบายเมื่อทำงานได้ 90 วัน มีแต่ผลงานครบ 1 ปี ซึ่งการรีบแถลงผลงานเหมือนกับจะรีบไป ตนไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเล่นตลกกับสว.แบบนี้ เพราะทำลายระบบการตรวจสอบสว. • “ผมจะถามว่านายกฯ อายไหมถึงแต่งกายคล้ายชุดนอนมาเดินแถวเกียรติยศ บางงานเอาสามีมาด้วย และแต่งตัวไม่เข้าระบบการทำงานฐานะผู้นำประชาชน ซึ่งการตรวจแถวเกียรติยศ การทำงานของนายกฯ จะมาทำเล่นทำหัวไม่ได้ เอาลูกมาเดินเล่นในทำเนียบไม่ได้ จะบอกว่า แฟมิลี่เกิร์ลไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน การตรวจสอบเป็นหน้าที่สว. แต่นายกฯไม่เคยให้เกียรติเลย ผมขอไว้อาลัยกับความไร้ความรับผิดชอบของนายกฯ” นพ.เปรมศักดิ์ อภิปราย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000122892 • #MGROnline #สว #วุฒิสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 794 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิ๊กดาต้า-เอไอ ขับเคลื่อนเมืองเก่าภูเก็ต

    ปัจจุบันมีหน่วยงานขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ชื่อว่า "สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)" หรือบีดีไอ (BDI) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนสายเทคโนโลยี 80% ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล แม้จะเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งไม่นาน แต่ก็ได้มีความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเชื่อมโยงและส่งเสริมข้อมูล โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ที่ภาคเอกชนและภาครัฐเข้มแข็ง

    ที่ผ่านมาบีดีไอพัฒนา 3 แพลตฟอร์ม ใช้ภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Envi Link) แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) และแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะ (City Data Platform) โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตอย่างมีทิศทาง และประยุกต์ใช้แก่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยได้แถลงทิศทางการดำเนินงานและความร่วมมือไปเมื่อวันก่อน

    แพลตฟอร์ม Envi Link ได้นำมาใช้กับโครงการของมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ภายใต้ชื่อ “Phuket Old Town Carbon Neutrality 2030” เพื่อผลักดันย่านเมืองเก่าภูเก็ต ให้ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 โดยตั้งเป้าลดปริมาณคาร์บอน 30% ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาได้จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ และประมวลผลกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินท์ ทั้งไฟฟ้า ประปา ขยะ และเชื้อเพลิง

    พร้อมกันนี้ บีดีไอยังได้นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้กับกล้องซีซีทีวีในการประมาณการต่างๆ เช่น การใช้เอไอนับจำนวนรถและคัดแยกประเภทรถ ประเภทเชื้อเพลิง ก่อนคำนวณเป็นคาร์บอนฟุตพรินท์ การใช้เอไอนับจำนวนคนที่เข้ามาย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อประมาณการความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสม และร่วมกับ บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด (PKCD) ใช้เอไอนับจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์ฟรี Smart Bus EV เพื่อจัดตารางเดินรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    ล่าสุด มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน จัดซื้อเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ โดยนำขยะเศษอาหารและไขมันจากถังดักไขมันในชุมชนมาแปลงให้เป็นก๊าซชีวภาพ คิดเป็นกระแสไฟฟ้าได้ 33.75 กิโลวัตต์ และน้ำหมักใช้กับต้นไม้ พืชผลทางการเกษตรวันละ 500 ลิตร ช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่นำไปฝังกลบซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน หรือนำเข้าสู่เตาเผาขยะที่ย่านสะพานหิน ทำให้เตาเผาขยะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาเชื่อมโยงเพื่อวางแนวทางลดปริมาณคาร์บอนต่อไป

    #Newskit
    บิ๊กดาต้า-เอไอ ขับเคลื่อนเมืองเก่าภูเก็ต ปัจจุบันมีหน่วยงานขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ชื่อว่า "สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)" หรือบีดีไอ (BDI) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนสายเทคโนโลยี 80% ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล แม้จะเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งไม่นาน แต่ก็ได้มีความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเชื่อมโยงและส่งเสริมข้อมูล โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ที่ภาคเอกชนและภาครัฐเข้มแข็ง ที่ผ่านมาบีดีไอพัฒนา 3 แพลตฟอร์ม ใช้ภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Envi Link) แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านท่องเที่ยวแห่งชาติ (Travel Link) และแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองอัจฉริยะ (City Data Platform) โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดภูเก็ตอย่างมีทิศทาง และประยุกต์ใช้แก่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยได้แถลงทิศทางการดำเนินงานและความร่วมมือไปเมื่อวันก่อน แพลตฟอร์ม Envi Link ได้นำมาใช้กับโครงการของมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ภายใต้ชื่อ “Phuket Old Town Carbon Neutrality 2030” เพื่อผลักดันย่านเมืองเก่าภูเก็ต ให้ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 โดยตั้งเป้าลดปริมาณคาร์บอน 30% ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาได้จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ และประมวลผลกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินท์ ทั้งไฟฟ้า ประปา ขยะ และเชื้อเพลิง พร้อมกันนี้ บีดีไอยังได้นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้กับกล้องซีซีทีวีในการประมาณการต่างๆ เช่น การใช้เอไอนับจำนวนรถและคัดแยกประเภทรถ ประเภทเชื้อเพลิง ก่อนคำนวณเป็นคาร์บอนฟุตพรินท์ การใช้เอไอนับจำนวนคนที่เข้ามาย่านเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อประมาณการความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว บริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสม และร่วมกับ บริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด (PKCD) ใช้เอไอนับจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์ฟรี Smart Bus EV เพื่อจัดตารางเดินรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุด มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน จัดซื้อเครื่องย่อยขยะอินทรีย์ โดยนำขยะเศษอาหารและไขมันจากถังดักไขมันในชุมชนมาแปลงให้เป็นก๊าซชีวภาพ คิดเป็นกระแสไฟฟ้าได้ 33.75 กิโลวัตต์ และน้ำหมักใช้กับต้นไม้ พืชผลทางการเกษตรวันละ 500 ลิตร ช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ที่นำไปฝังกลบซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน หรือนำเข้าสู่เตาเผาขยะที่ย่านสะพานหิน ทำให้เตาเผาขยะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาเชื่อมโยงเพื่อวางแนวทางลดปริมาณคาร์บอนต่อไป #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1271 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อุดรธานี' จ่อไฟลุก 'พิธา' พร้อมชน 'ทักษิณ' ชิงดำเก้าอี้นายกอบจ.โค้งสุดท้าย
    .
    ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ถือว่ามีความเข้มข้นและดุเดือดอย่างยิ่ง ภายหลังรุ่นใหญ่พรรคเพื่อไทยและรุ่นใหม่พรรคประชาชนเตรียมวัดพลังกันครั้งสำคัญ โดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า เตรียมลงพื้นที่ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน เพื่อช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยหาเสียงพร้อมกับพบปะประชาชนในหลายอำเภอ
    .
    ขณะที่ พรรคประชาชน 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะบินกลับมาจากสหรัฐอเมริกา มาลงพื้นที่ช่วยนายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครของพรรคหาเสียงระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน หลังจากก่อนหน้านี้มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มาร่วมขบวนหาเสียงด้วย เพื่อหวังว่าจังหวัดอุดรธานีจะเป็นจังหวัดแรกที่จะสามารถปักธงส้มในพื้นที่สีแดงให้ได้เป็นครั้งแรก
    .
    ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงรอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า ผลงานของนายทักษิณในอดีต ยังอยู่ในใจพี่น้องประชาชน การเดินทางไปแต่ละที่ประชาชนยังพูดถึงความสำเร็จของท่านในอดีตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเดินทางไปจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆของนายทักษิณ ถือเป็นเรื่องปกติเพราะท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งจะเดินทางไปไหนก็ได้
    ..............
    Sondhi X
    'อุดรธานี' จ่อไฟลุก 'พิธา' พร้อมชน 'ทักษิณ' ชิงดำเก้าอี้นายกอบจ.โค้งสุดท้าย . ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ถือว่ามีความเข้มข้นและดุเดือดอย่างยิ่ง ภายหลังรุ่นใหญ่พรรคเพื่อไทยและรุ่นใหม่พรรคประชาชนเตรียมวัดพลังกันครั้งสำคัญ โดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า เตรียมลงพื้นที่ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน เพื่อช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยหาเสียงพร้อมกับพบปะประชาชนในหลายอำเภอ . ขณะที่ พรรคประชาชน 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะบินกลับมาจากสหรัฐอเมริกา มาลงพื้นที่ช่วยนายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครของพรรคหาเสียงระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน หลังจากก่อนหน้านี้มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มาร่วมขบวนหาเสียงด้วย เพื่อหวังว่าจังหวัดอุดรธานีจะเป็นจังหวัดแรกที่จะสามารถปักธงส้มในพื้นที่สีแดงให้ได้เป็นครั้งแรก . ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงรอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า ผลงานของนายทักษิณในอดีต ยังอยู่ในใจพี่น้องประชาชน การเดินทางไปแต่ละที่ประชาชนยังพูดถึงความสำเร็จของท่านในอดีตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเดินทางไปจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆของนายทักษิณ ถือเป็นเรื่องปกติเพราะท่านเป็นคนไทยคนหนึ่งจะเดินทางไปไหนก็ได้ .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2335 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts