• ดวงอาทิตย์ (Sun) ในโหราศาสตร์ธุรกิจ 🌞✨

    ดวงอาทิตย์ ถือเป็นจุดศูนย์กลางและพลังงานหลักในแผนที่ดวงชะตา ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ดวงบุคคลหรือดวงธุรกิจ ดวงอาทิตย์แสดงถึงพลังแห่งการเป็นผู้นำ ทิศทาง และศักยภาพของธุรกิจในการเติบโตและเจริญรุ่งเรือง 💼🌟

    ดวงอาทิตย์ในโหราศาสตร์ธุรกิจมีความหมายอย่างไร? 🔍

    ดวงอาทิตย์ในดวงชะตาธุรกิจสามารถบ่งบอกได้ถึง ภาพลักษณ์หลักของธุรกิจ และ จุดเด่นของแบรนด์ ที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่ง รวมถึงวิธีการที่บริษัทนำเสนอความเป็นตัวเองต่อลูกค้าและสังคม 🌐✨

    การมีดวงอาทิตย์ที่เด่นชัดในดวงชะตาธุรกิจ แปลว่าธุรกิจนั้นจะมีความมั่นใจ มีความโดดเด่น และสามารถเป็นผู้นำในสายงานได้อย่างดีเยี่ยม 🚀💪

    วิธีการใช้ดวงอาทิตย์ในการวางกลยุทธ์ธุรกิจ 📊

    1️⃣ การสร้างแบรนด์: ธุรกิจที่มีดวงอาทิตย์เด่น มักมีศักยภาพในการสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนและมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง ✨ เหมาะกับการลงทุนในด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อทำให้แบรนด์ของคุณเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน 💡

    2️⃣ การเป็นผู้นำในตลาด: การมองหาช่องทางการขยายตัวหรือการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม การวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่ง ควรใช้ดวงอาทิตย์ในการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแคมเปญ หรือกิจกรรมที่ต้องการให้ธุรกิจได้รับการยอมรับจากสังคม 🎯

    3️⃣ การบริหารและการจัดการ: ดวงอาทิตย์ยังบ่งบอกถึงความสามารถในการบริหารและการตัดสินใจในธุรกิจได้ดี 🌟 หากดวงอาทิตย์ของธุรกิจอยู่ในราศีที่เป็นธาตุไฟ เช่น ราศีเมษ ราศีสิงห์ หรือราศีธนู อาจหมายถึงการบริหารงานอย่างมั่นใจ กล้าหาญ และมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 🔥

    สรุป: พลังของดวงอาทิตย์ในโหราศาสตร์ธุรกิจ 🌞

    ดวงอาทิตย์ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนของธุรกิจ แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากคุณต้องการสร้างธุรกิจที่มีความโดดเด่น และต้องการดึงดูดลูกค้า ดวงอาทิตย์ในดวงชะตาธุรกิจของคุณสามารถช่วยบอกได้ว่า คุณควรเน้นการนำเสนอจุดแข็งอะไรบ้าง และควรวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของคุณเปล่งประกายที่สุด! ✨💼

    #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #ดวงอาทิตย์ #การวางแผนธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #การสร้างแบรนด์ #ความสำเร็จ #ดวงชะตาธุรกิจ #การบริหารธุรกิจ
    ดวงอาทิตย์ (Sun) ในโหราศาสตร์ธุรกิจ 🌞✨ ดวงอาทิตย์ ถือเป็นจุดศูนย์กลางและพลังงานหลักในแผนที่ดวงชะตา ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ดวงบุคคลหรือดวงธุรกิจ ดวงอาทิตย์แสดงถึงพลังแห่งการเป็นผู้นำ ทิศทาง และศักยภาพของธุรกิจในการเติบโตและเจริญรุ่งเรือง 💼🌟 ดวงอาทิตย์ในโหราศาสตร์ธุรกิจมีความหมายอย่างไร? 🔍 ดวงอาทิตย์ในดวงชะตาธุรกิจสามารถบ่งบอกได้ถึง ภาพลักษณ์หลักของธุรกิจ และ จุดเด่นของแบรนด์ ที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่ง รวมถึงวิธีการที่บริษัทนำเสนอความเป็นตัวเองต่อลูกค้าและสังคม 🌐✨ การมีดวงอาทิตย์ที่เด่นชัดในดวงชะตาธุรกิจ แปลว่าธุรกิจนั้นจะมีความมั่นใจ มีความโดดเด่น และสามารถเป็นผู้นำในสายงานได้อย่างดีเยี่ยม 🚀💪 วิธีการใช้ดวงอาทิตย์ในการวางกลยุทธ์ธุรกิจ 📊 1️⃣ การสร้างแบรนด์: ธุรกิจที่มีดวงอาทิตย์เด่น มักมีศักยภาพในการสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนและมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง ✨ เหมาะกับการลงทุนในด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อทำให้แบรนด์ของคุณเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน 💡 2️⃣ การเป็นผู้นำในตลาด: การมองหาช่องทางการขยายตัวหรือการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม การวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่ง ควรใช้ดวงอาทิตย์ในการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแคมเปญ หรือกิจกรรมที่ต้องการให้ธุรกิจได้รับการยอมรับจากสังคม 🎯 3️⃣ การบริหารและการจัดการ: ดวงอาทิตย์ยังบ่งบอกถึงความสามารถในการบริหารและการตัดสินใจในธุรกิจได้ดี 🌟 หากดวงอาทิตย์ของธุรกิจอยู่ในราศีที่เป็นธาตุไฟ เช่น ราศีเมษ ราศีสิงห์ หรือราศีธนู อาจหมายถึงการบริหารงานอย่างมั่นใจ กล้าหาญ และมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 🔥 สรุป: พลังของดวงอาทิตย์ในโหราศาสตร์ธุรกิจ 🌞 ดวงอาทิตย์ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนของธุรกิจ แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากคุณต้องการสร้างธุรกิจที่มีความโดดเด่น และต้องการดึงดูดลูกค้า ดวงอาทิตย์ในดวงชะตาธุรกิจของคุณสามารถช่วยบอกได้ว่า คุณควรเน้นการนำเสนอจุดแข็งอะไรบ้าง และควรวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้ธุรกิจของคุณเปล่งประกายที่สุด! ✨💼 #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #ดวงอาทิตย์ #การวางแผนธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #การสร้างแบรนด์ #ความสำเร็จ #ดวงชะตาธุรกิจ #การบริหารธุรกิจ
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) เครื่องมือวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม! 🚀✨

    คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ “โหราศาสตร์ธุรกิจ” หรือไม่? 🤔 ไม่ใช่แค่การทำนายอนาคตหรืออ่านดวงชะตา แต่เป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยวางแผนกลยุทธ์การทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🌟 เพราะโหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) จะนำข้อมูลการเคลื่อนที่ของดวงดาวและจักรราศีมาวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่การเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจ 📊

    ประโยชน์ของโหราศาสตร์ธุรกิจ 🔍💡

    1️⃣ วางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ 🗓️: การใช้โหราศาสตร์ช่วยในการระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน การเปิดตัวสินค้า หรือการขยายตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ 💼

    2️⃣ เข้าใจลักษณะของธุรกิจได้ลึกซึ้ง 🔎: โหราศาสตร์สามารถช่วยวิเคราะห์ศักยภาพ จุดแข็ง และจุดอ่อนของธุรกิจได้ โดยการพิจารณาตำแหน่งของดาวในดวงชะตาธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการบริหารงานได้อย่างเหมาะสม 💪

    3️⃣ ปรับปรุงความสัมพันธ์และการเจรจาต่อรอง 💬: การใช้โหราศาสตร์ในการทำความเข้าใจลักษณะนิสัยของหุ้นส่วน พนักงาน หรือแม้แต่ลูกค้า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ 👫

    4️⃣ ช่วยในการจัดการความเสี่ยง ⚠️: ด้วยการวิเคราะห์จากการโคจรของดาวที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ เช่น ดาวเสาร์ที่มักบ่งบอกถึงข้อจำกัด หรือดาวมฤตยูที่แสดงถึงความไม่แน่นอน การเตรียมตัวและการวางแผนรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ จึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📉

    การประยุกต์ใช้โหราศาสตร์กับการทำธุรกิจ ✨

    โหราศาสตร์ธุรกิจสามารถนำมาใช้ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ เลือกวันเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ การวางแผนทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการกับสถานการณ์วิกฤติ 💥 เช่น หากธุรกิจอยู่ในช่วงที่ดาวมฤตยูทำมุมกระทบกับดวงชะตา ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนลดต้นทุน การเก็บเงินสดสำรอง หรือการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น 📈

    นอกจากนี้ การทำความเข้าใจดวงชะตาของทีมงานและคู่ค้าทางธุรกิจ ก็สามารถช่วยในการเลือกคนเข้ามาร่วมงานที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น 👥 เช่น หากต้องการหุ้นส่วนที่มีความมั่นคงและเข้าใจในความเสี่ยง ควรพิจารณาผู้ที่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ในราศีมังกรหรือพฤษภ ซึ่งจะมีลักษณะของความอดทนและการวางแผนระยะยาว 💼

    ทำไมโหราศาสตร์ธุรกิจถึงได้รับความนิยม? 🔥

    ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การวางแผนกลยุทธ์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายบริษัทเริ่มมองหาเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ เช่น การใช้โหราศาสตร์ในการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคู่ค้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น 🌐

    สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะนำโหราศาสตร์มาประยุกต์ใช้ การทำความเข้าใจพื้นฐานของดวงดาวและความหมายของจักรราศี รวมถึงการวิเคราะห์ดวงชะตาธุรกิจ (Business Horoscope) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ควรคว้า หรืออุปสรรคที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ 🔮

    สรุป: โหราศาสตร์ธุรกิจคืออะไร? 📌

    โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเคลื่อนที่ของดวงดาวมาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 🌠

    #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #การวางแผนกลยุทธ์ #ดวงชะตาธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #ความสำเร็จ #กลยุทธ์การตลาด #การบริหารธุรกิจ #การวางแผนธุรกิจ
    โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) เครื่องมือวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม! 🚀✨ คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ “โหราศาสตร์ธุรกิจ” หรือไม่? 🤔 ไม่ใช่แค่การทำนายอนาคตหรืออ่านดวงชะตา แต่เป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยวางแผนกลยุทธ์การทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🌟 เพราะโหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) จะนำข้อมูลการเคลื่อนที่ของดวงดาวและจักรราศีมาวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่การเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจ 📊 ประโยชน์ของโหราศาสตร์ธุรกิจ 🔍💡 1️⃣ วางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ 🗓️: การใช้โหราศาสตร์ช่วยในการระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน การเปิดตัวสินค้า หรือการขยายตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ 💼 2️⃣ เข้าใจลักษณะของธุรกิจได้ลึกซึ้ง 🔎: โหราศาสตร์สามารถช่วยวิเคราะห์ศักยภาพ จุดแข็ง และจุดอ่อนของธุรกิจได้ โดยการพิจารณาตำแหน่งของดาวในดวงชะตาธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการบริหารงานได้อย่างเหมาะสม 💪 3️⃣ ปรับปรุงความสัมพันธ์และการเจรจาต่อรอง 💬: การใช้โหราศาสตร์ในการทำความเข้าใจลักษณะนิสัยของหุ้นส่วน พนักงาน หรือแม้แต่ลูกค้า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ 👫 4️⃣ ช่วยในการจัดการความเสี่ยง ⚠️: ด้วยการวิเคราะห์จากการโคจรของดาวที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ เช่น ดาวเสาร์ที่มักบ่งบอกถึงข้อจำกัด หรือดาวมฤตยูที่แสดงถึงความไม่แน่นอน การเตรียมตัวและการวางแผนรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ จึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📉 การประยุกต์ใช้โหราศาสตร์กับการทำธุรกิจ ✨ โหราศาสตร์ธุรกิจสามารถนำมาใช้ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ เลือกวันเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ การวางแผนทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการกับสถานการณ์วิกฤติ 💥 เช่น หากธุรกิจอยู่ในช่วงที่ดาวมฤตยูทำมุมกระทบกับดวงชะตา ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนลดต้นทุน การเก็บเงินสดสำรอง หรือการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น 📈 นอกจากนี้ การทำความเข้าใจดวงชะตาของทีมงานและคู่ค้าทางธุรกิจ ก็สามารถช่วยในการเลือกคนเข้ามาร่วมงานที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น 👥 เช่น หากต้องการหุ้นส่วนที่มีความมั่นคงและเข้าใจในความเสี่ยง ควรพิจารณาผู้ที่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ในราศีมังกรหรือพฤษภ ซึ่งจะมีลักษณะของความอดทนและการวางแผนระยะยาว 💼 ทำไมโหราศาสตร์ธุรกิจถึงได้รับความนิยม? 🔥 ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การวางแผนกลยุทธ์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายบริษัทเริ่มมองหาเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ เช่น การใช้โหราศาสตร์ในการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคู่ค้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น 🌐 สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะนำโหราศาสตร์มาประยุกต์ใช้ การทำความเข้าใจพื้นฐานของดวงดาวและความหมายของจักรราศี รวมถึงการวิเคราะห์ดวงชะตาธุรกิจ (Business Horoscope) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ควรคว้า หรืออุปสรรคที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ 🔮 สรุป: โหราศาสตร์ธุรกิจคืออะไร? 📌 โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเคลื่อนที่ของดวงดาวมาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 🌠 #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #การวางแผนกลยุทธ์ #ดวงชะตาธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #ความสำเร็จ #กลยุทธ์การตลาด #การบริหารธุรกิจ #การวางแผนธุรกิจ
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋)

    นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving)
    เกิด: 16 สิงหาคม 2534 (อายุ 31 ปี), เซี่ยงไฮ, จีน
    ความสูง: 1.57 ม.
    ค่ายเพลง: Sony Music Entertainment (SME)
    พี่น้อง: อีเลน แทง

    เธอ เป็น นักร้องนักแต่งเพลงชาวฮ่องกง
    ที่ อพยพมาจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
    เธอ..เดบิวต์ในวงการเพลงฮ่องกง ในปี 2008
    หลังจากออกอัลบั้ม 3 อัลบั้มในฮ่องกง
    และการปรากฏตัวของเธอ(ชัดเจน)ในรายการแข่งขันร้องเพลงจีน I Am a Singer รุ่นปี 2014

    ดิฉัน..สะดุด เทหัวใจ(หมดทั้งหัวใจ) ให้เธอ ไปแล้ว...
    เพราะเธอมี DNA ของนักร้องในดวงใจทั้งสาม คือ Christina Aguilera, Beyoncé, และ Mariah Carey

    ตัวอย่าง ในเพลง hei fun nei 《喜欢你》
    https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU



    ----------------------------------------------
    รวมเพลงจีน-กวางตุ้ง
    1. เพลงจีนกวางตุ้ง 光辉岁月 อ่านว่า Gwong Fai Seui Yut
    แปลว่า "วันแห่งความรุ่งโรจน์" เป็นเพลงของวง Beyond ในยุค '90
    ที่มีความหมายดีๆ.. นำมาขับร้องใหม่ ไฉไล..,มันส์ มากกว่า-เดิม ค่ะ
    https://www.youtube.com/watch?v=Y98BJoztFwM
    เพลงแนว Canto-Pop 光辉岁月 Gwong Fai Seui Yuet
    ของ วง Beyond ต้นฉบับ(เดิม) พร้อมอักษรจีน-กวางตุ้ง
    ค่อยๆอ่าน+ร้องตาม สักวันหนึ่งที่มี "วันแห่งความรุ่งโรจน์"
    https://www.youtube.com/watch?v=PrGsAMbgUh4
    เพลง Glorious Years (光辉岁月)
    https://www.youtube.com/watch?v=4Sjqt37ipcU

    2. เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) ของ ศิลปิน BEYOND
    ขับร้องโดย สุดยอดนักร้องยอดนิยมของฮ่องกง
    ในเพลง 不再猶豫 อ่านว่า Bat joi yau yu แปลว่า ไม่ลังเล
    https://www.youtube.com/watch?v=RvDjCTqoLuw
    3. เพลงภาษาจีนกวางตุ้ง 一生中最爱 อ่านว่า (Yi Sheng Zhong Zui Ai)
    เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 และใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง
    "A Tale of Two Cities" ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ
    เพื่อนรักสองคนที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งในเวลาเดียวกัน
    แต่ให้กันและกันด้วยความเป็นพี่น้อง และทั้งสามคนต้องพบกับ
    บททดสอบมิตรภาพและความรัก เพลงนี้เลยดูเหมือนร้อง
    เกี่ยวกับระยะห่างระหว่างเพื่อนกับคนรัก
    https://www.youtube.com/watch?v=KbZLN2X_lFU
    สุดยอด..เพลงจีนกวางตุ้ง(ชาย) ต้องยกให้ ALAN TAM
    ในบทเพลง一生中最愛. Yat Saang Jung Jeui Ngoi
    คือ เพลงที่ดีที่สุด ครองตำแหน่งมาตั้งแต่ 1991- ปัจจุบัน
    https://www.youtube.com/watch?v=62ejBUq1J5o

    4. เพลงจีนกวางตุ้ง 明日話今天 หมายถึง คุยกันวันนี้..ไม่ต้องรอในวันพรุ่งนี้
    และเพลงที่ 2 奮鬥 หมายความถึง การต่อสู้
    ขับร้องโดย Jenny Tseng และ CoCo Lee จำกันได้ไหม..ล่ะ?
    https://www.youtube.com/watch?v=ZXAguTHqYnc

    5. 7 เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) ของ 容祖兒 - Joey Yung
    นำเสนอในแบบ Medley รวดเดียวในเพลง
    อ่านออกเสียงสำเนียงกวางตุ้ง 粤拼 ➔ jyut6ping3 ได้ว่า.....
    mat6jau5 / syun2jau5 / sam1gam1ming6dai2 / zou2jau5jyu6mau4 / zeoi6fui1 / ze3gwo3 / ngo5jaa5bat1
    密友 / 損友 / 心甘命抵 / 早有預謀 / 罪魁 / 借過 / 我也不想這樣
    https://www.youtube.com/watch?v=NpC07u2NMj0
    6. เพลงรัก..ภาษากวางตุ้ง ทั้ง 20 เพลง
    สรุปเป็นการขับร้องแนวเศร้าๆของหนุ่มมองเครื่องบิน
    ที่ไม่สามารถเด็ดดอกฟ้าลงมาเชยชมได้
    ถ้าได้..จะร้องแนวมันส์ๆ สนุกสนาน กระดี๊ กระด๊า รื่นเริง หลุดโลก..
    ช่าย หมาย..ล่ะ
    https://www.youtube.com/watch?v=x1z6as3uwMY
    7. ชาวกวางตุ้ง..เป็นชาวจีนที่อาศัยอยู่ติดทะเลทางตอนใต้ของจีน
    ตื่นเช้าขึ้นมา..จะพบกับ "ท้องฟ้า และ ทะเล"
    มักจะแหกปากขับร้องเพลง Hoi fut tin hung ของ Beyond
    海闊天空 ให้ดัง..ไกล ถึง ดาวพระอังคาร..ไปเลย
    ช่วยกัน "แหกปาก" ร้องดังๆ..นะ คะ
    https://www.youtube.com/watch?v=wk9TMnbx7fQ
    8. เพลงอมตะ..นิรันดร์กาล และ อยู่ในใจของชาวจีนกวางตุ้ง
    คือ เพลง Naan Dak Yau Ching Yan ( 难得有情人 )
    แปลเป็นภาษาอังกฤษ Happy Are Those in Love
    ขับร้องโดย Shirley Kwan (關淑怡)
    ฉันมีความสุขมากที่ได้ฟัง และร้องคลอเคลียตามไปด้วย
    ชาวกวางตุ้ง..ทุกคนสัมผัสความสุขนี้ได้ นะคะ
    https://www.youtube.com/watch?v=lhB9uMNveXI
    9. หนึ่งใน..เพลงที่ดีที่สุดของ Joey Yung 容祖兒
    มีหลายประเทศนำไปเลียนแบบใส่เนื้อร้องใหม่
    ในเพลง 習慣失戀 แปลไทย ว่า " อกหักจนเคยชิน"
    ไพเราะ..มาก ค่ะ " Always Heartbroken "
    https://www.youtube.com/watch?v=aQmieaqmLmU
    10. เพลง..ล้านคิวเพลง《千千阙歌》ในภาษาจีนกวางตุ้ง
    ที่ทำให้ 陈慧娴 Priscilla Chan ที่กำลังจะเกษียณอำลาวงการ
    กลับทำให้เธอ..ดังระเบิดแรงกว่า..ระเบิดปรมาณู ในปี 1983
    11. 朋友 ผั่งเหย่า..ภาษาจีน(กวางตุ้ง) แปลว่า เพื่อน
    เป็นเพลงที่ใช้ภาษาพูด ฟังได้ใจความอย่างง่ายๆ
    คิดถึงความสุข..สมัยที่ได้เรียนที่นี่ในวัยเด็ก

    12. เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋)
    นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving)
    เกิด: 16 สิงหาคม 2534 (อายุ 31 ปี), เซี่ยงไฮ, จีน
    ความสูง: 1.57 ม.
    ค่ายเพลง: Sony Music Entertainment (SME)
    พี่น้อง: อีเลน แทง
    เธอ เป็น นักร้องนักแต่งเพลงชาวฮ่องกง
    ที่ อพยพมาจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
    เธอ..เดบิวต์ในวงการเพลงฮ่องกง ในปี 2008
    หลังจากออกอัลบั้ม 3 อัลบั้มในฮ่องกง
    และการปรากฏตัวของเธอ(ชัดเจน)ในรายการแข่งขันร้องเพลงจีน I Am a Singer รุ่นปี 2014
    ดิฉัน..สะดุด เทหัวใจ(หมดทั้งหัวใจ) ให้เธอ ไปแล้ว...
    เพราะเธอมี DNA ของนักร้องในดวงใจทั้งสาม คือ Christina Aguilera, Beyoncé, และ Mariah Carey
    ตัวอย่าง ในเพลง hei fun nei 《喜欢你》
    https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU
    13. สุดยอดมหากาพย์ของเพลงจีนกวางตุ้ง..ต้องเพลงนี้
    《千千阙歌》หรือ แปลว่า "เพลงล้านคิว"
    "Song of a Thousand Thousand Que"
    ต้นฉบับของเพลงนี้คือ "Yuyakiけの歌" แต่งโดย Makaiye Yasuji
    โดยนักร้องชาวญี่ปุ่นMasahiko Kondo ในปี 1988
    หลังจากที่ Priscilla Chan ประกาศว่าจะเกษียณจากวงการเพลง
    PolyGram ได้ผลิตเพลง "อำลา" เพลงนี้แหละที่ประพันธ์เพลง
    ในภาษาจีนกวางตุ้ง โดย Lin Zhenqiang
    กลับทำให้ Priscilla Chan ยิ่งโด่งดังมากยิ่งขึ้น ด้วยฝีมือของ
    Anita Mui, Blue Jeans, Polygram, Huaxing Records,
    CBS/SonyและWingo Creative
    ด้วยเพลงนี้ พริสซิลลา ชาน ได้รับรางวัล
    " My Favorite Song Award in the Music World "
    ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2,715 เสียง
    ใน พิธีมอบรางวัล Top Music Pop Awards ในปี 1989
    https://www.youtube.com/watch?v=P9kcwRnGk5w

    14. อัลบั๊มรวมเพลงจากสวรรค์ ของ 4 ราชาเพลงดังแห่งฮ่องกง
    ♛ Andy Lau ♛Jacky Cheung ♛Li Mingi ♛Aaron Kwok
    https://www.youtube.com/watch?v=a55w198tsLo

    15. Album รวม-เพลงกวางตุ้งที่ดีที่สุด ของ Alan Tam
    https://www.youtube.com/watch?v=w5QIjqHiSp4

    16. เธอ คือ 伍珂玥 หรือ Karrie Ng เป็นชาวเมืองไท่ซาน มณฑลกวางตุ้ง. เป็นนักร้องเพลงป๊อปชาวจีน
    เป็นนักศึกษาปี 2021 ของ Jinzhong Conservatory of Music of Shenzhen University
    และเป็นแชมป์รวมของ " The Voice of China 2021 "
    เธอ คือ สุดยอด..ความภาคภูมิใจ ของ ชาวกวางตุ้งทั่วโลก
    นี่คือ อัลบั๊ม เพลงอันแสนไพเราะ จากน้ำเสียงระดับโลกของเธอ
    https://www.youtube.com/watch?v=usKqLgvf6pI

    17. เพลงจีนกวางตุ้ง ชื่อเพลง《最爱》แปลว่า.. " รักที่ซู๊ดด ด.. "
    เรียบเรียงจากบทกวี เปรียบ ท้องฟ้า สายลม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
    น้ำขึ้น-น้ำลง เงา สายน้ำ จินตนาการกับความรักในฝัน.
    https://www.youtube.com/watch?v=IEwzbPWB3zg

    18. ชื่อภาษาจีน(ต้วย่อ) 刘德华 คนไทย รู้จักในชื่อ “หลิว เต๋อ หัว”
    สาวๆชาวจีนกวางตุ้ง...กรี๊ด สนั่น ในนาม “เหล่า ตั๊ก หวา” (Andy Lau)
    นี่แหละจักรพรรดิแห่ง..ดาราฮ่องกง เจ้าของผลงานภาพยนตร์ฮ่องกงแนวบู๊ ตีรันฟันแทง มากกว่าครึ่ง
    สูง ยาว หล่อ ล่ำ+เสียงดี ร้องเพลงยอดนิยมเพลงเดียว นานถึง 30 ปี คือ เพลง Yat Hei Jau Gwoh Dik Yat Ji
    《一起走过的日子》แปลเป็นอังกฤษ ว่าThe Days We Spent Together
    สาวกวางตุ้ง ต้องแหกปาก ร้องคลอ..ตามไปได้(ทุกคน)
    โดยเฉพาะท่อนแรก (ร้องดังๆ..นะ)
    如何面对 曾一起走过的日子
    jyu4 ho4 min6 deoi3 cang4 jat1 hei2 zau2 gwo3 dik1 jat6 zi2
    现在剩下我独行
    jin6 zoi6 sing6 haa6 ngo5 duk6 hang4
    如何用心声一一讲你知
    jyu4 ho4 jung6 sam1 sing1/seng1 jat1 jat1 gong2 nei5 zi1
    从来没人明白我
    cung4 loi4 mut6 jan4 ming4 baak6 ngo5
    唯一你给我好日子
    wai4 jat1 nei5 kap1 ngo5 hou2 jat6 zi2
    有你有我有情有生有死有义
    jau5 nei5 jau5 ngo5 jau5 cing4 jau5 sang1/saang1 jau5 sei2 jau5 ji6
    https://www.youtube.com/watch?v=VUZ4w2NN5fQ
    19. เพลงจีนกวางตุ้งคลาสสิก ขับร้องโดย : 張學友 / Jacky Cheung
    ชื่อเพลง : 『我留著你在身邊心仍然很遠』
    แปลไทย ได้ว่า "ฉันคอยเธอเคียงข้างใจยังห่างไกล"
    หรือ แปลเป็นอังกฤษ = Let me stay by your side
    https://www.youtube.com/watch?v=WHTfF5kIz80

    20. เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) Yue Ban Xiao Ye Qu
    คืนพระจันทร์เสี้ยว《月半小夜曲》
    ฝาหรั่งเรียกว่า "Half Moon Serenade"
    นักร้อง : Li Keqin, Wu Keyue และ He San
    นำมาขับร้อง แบบ Trio ในปลายปี 2021 ได้ไพเราะจับใจ(มาก)
    ความหมายของเพลง บรรยายถึง ความในใจทุกจุดของ..ชายหนุ่มที่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าในค่ำคืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว รำพันถึงสาวในฝัน ที่น่าจะเป็นดวงดาวที่อยู่ไกลๆ เค้าเผชิญกับความจริงที่ยอมรับไม่ได้ ความรักของเค้าจะไม่เปลี่ยนไปตามลำดับ แต่ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งห่วงใยกันตลอดไป…”
    https://www.youtube.com/watch?v=MfDa59mTHes

    21. เพลงจีนกวางตุ้ง เศร้าๆ.. ขับร้องโดย 容祖兒 - Joey Yung
    ชื่อเพลง : 天窗 แปลว่า แสงจากท้องฟ้า
    ความหมายของเพลง : หญิง-ชาย ดื่มน้ำชา หลังจากอาหารมื่อหนึ่ง
    ซึ่ง ทั้งคู่นัดกันมาพบกันเพื่อบอกเลิกกัน
    ทั้งคู่ไม่ยอมเปิดเผยความจริง
    หรือ ไม่ยอม..เปิดแสงจากฟ้าให้เข้าใจกัน นั่นเอง.
    https://www.youtube.com/watch?v=YnW545U1KgU

    22. เพลงเก่า..ยอดนิยม ประมาณ 30 ปี
    ภาษาจีนกวางตุ้ง ของ Jacky Cheung (張學友 / Cheung Hok-yau)
    ชื่อเพลง : 只想一生跟你走 (Ji seung yat sang gan nie jau)
    แปลว่า : ชีวิตนี้ฉันต้องการไปกับเธอ
    ความหมายของเพลง....พระเอกของเราได้พบกับคนที่หลงรัก
    และค้นพบว่าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเธอคนนั้น
    สองคนนี้เลิกกัน โดยฝ่ายหญิงสะบัดกันหนีไป
    ปล่อยให้พระเอกของเรา นั่งร้องไห้เศร้าเสียใจ
    มโนว่า เธอคนนั้น..ไม่ได้จากไป
    และทุกอย่างเหมือนอยู่ในความฝัน
    (ยังเสือกถามว่า ฝ่ายหญิงทำไมไม่ฝันถึงเค้าบ้าง)
    ร้องไหัและขอให้เธออย่าลืมรักเก่าๆเงียบๆ
    เพียงลำพัง คิดว่าในชีวิตนี้ ไม่สามารถอยู่ได้
    โดยปราศจากเธอ
    ตรงกับชื่อเพลง
    "ชีวิตนี้ฉันต้องการไปกับเธอ 只想一生跟你走
    Only Want to Go with You in this Life
    https://www.youtube.com/watch?v=Ou3NHHS6f4c
    23. เพลงแนว Soft-Rock
    อมตะนิรันด์กาล ของ Beyond
    บทเพลงภาษาจีนกวางตุ้ง Hoi Fut Tin Hung - 海闊天空
    https://www.youtube.com/watch?v=wk9TMnbx7fQ
    24. เพลงในแนวศิลปินคู่ Duo ชาย-หญิง
    บนเวที่ Voice of China เพลงในภาษากวางตุ้ง
    ได้รับการยอมรับ จากชาวจีนทั่วทั้งประเทศ
    เพลง : คืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
    Yue Ban Xiao Ye Qu (月半小夜曲)
    ศิลปิน : 李克勤 และ 周深
    ความหมายของเพลง บรรยายถึง ความในใจทุกจุดของ..ชายหนุ่มที่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าในค่ำคืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว รำพันถึงสาวในฝัน ที่น่าจะเป็นดวงดาวที่อยู่ไกลๆ เค้าเผชิญกับความจริงที่ยอมรับไม่ได้ ความรักของเค้าจะไม่เปลี่ยนไปตามลำดับ แต่ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งห่วงใยกันตลอดไป…”

    25. เพลงเศร้าๆ..ภาษากวางตุ้ง ชื่อเพลง 天窗 แปลว่า แสงปลายอุโมงค์
    เป็นการเล่าเรื่องราวของหนุ่มน้อยอกหัก นั่งในห้องมืดๆเพียงลำพัง
    โดยมีลำแสงเล็กๆลอดช่องหน้าต่างลงมาที่เขานั่ง คิดปลงตัวเอง
    รำพึง รำพัน อย่างน่าฉงฉาน..จุงเบย
    https://www.youtube.com/watch?v=YnW545U1KgU

    26. เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋)
    นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving)
    https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121627308556329&set=a.108283646557372

    -《暗裡著迷》
    - Cantonese LOVE Song "Yat Saang Jung Jeui Ngoi" 一生中最愛 [Love Of A Lifetime] - Alan Tam 譚詠麟
    - เมโลดี้..หวานๆ ในเพลง 光輝歲月 -Gwong Fai Seui Yuet
    ของวง Beyond แน่นอน
    https://www.youtube.com/watch?v=SVBC35ByZUY
    - เมโลดี้..อันแสนไพเราะ ในเพลงจีนกวางตุ้ง(อมตะ)
    天若有情. tin yeuk yau ching ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ
    - เพลงจีนกวางตุ้งยอดนิยม(ตลอดกาล)ของ Beyond ทั้ง 2 เพลง
    1) "วันแห่งความรุ่งโรจน์" [ Gwong Fai Seui Yuet ] 光輝歲月
    2) "ทะเลและท้องฟ้า" [ Hoi Fut Tin Hung ] 海闊天空
    - เพลงสำหรับเทศกาลปีใหม่ Auld Lang Syne
    ใส่เนื้อร้องเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง
    กลายเป็นเพลง (เหย่ายี่หมานโส๋ย) 友誼萬歲 = มิตรภาพที่ยืนยาว
    ขับร้องโดย "หลีหลี่รุ่ย" 李麗蕊 Sara Lee
    ฟังง่าย -ชัดถ้อย-ชัดคำ(มาก) ค่ะ
    - ศิลป และ เทคนิคในการเขียนอักษรจีน โดยใช้ "แกนร่วม"
    เขียนว่า 身体健康 แปลว่า -ร่างกาย-สุขภาพดี
    ต้องหัดเขียน เพื่อนำไปอวยพรญาติผู้ใหญ่
    (ซึ่ง..เหลือน้อย แล้ว)
    https://www.youtube.com/shorts/th4bgNYZrsI
    - เพลงภาษาจีนกวางตุ้ง ประมาณว่า อกหัก..รักคุด
    ของ Joey Yuong 容祖兒
    แสนรันทดใจ ฟัง..ไป ร้องไห้..ไป
    สังเกตไหม คะ ว่า..คล้ายกับเพลงในละคอนไทย "สามีตีลังกา"
    ไม่ทราบว่า จีนลอกไทย หรือ ไทยลอกจีน
    - เพลงจีนกวางตุ้ง สำเนียง..ซ๊าม-ยับ-หวา
    แสนไพเราะ..เย็นๆ จาก #ฮัคเคน_ลี (李克勤) Hacken Lee
    เค้า..เป็นนักร้อง พิธีกรรายการโทรทัศน์ และนักแสดงชาวฮ่องกง มีผลงานตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปี 2013 เพลง "House of Cards" ของ Lee กวาดหลายรางวัลในงานประกาศรางวัลของฮ่องกง รวมถึง "เพลงที่ดีที่สุดในโลก" และ "Broadcasting Index"
    ใน Metro's Awards ในปี 2013 เขาได้รับรางวัล "Outstanding Pop Singer Award" ในงาน "Top Ten Chinese Gold Songs Awards" ของ RTHK ถึง 14 ครั้ง และสร้างสถานะที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ในอุตสาหกรรมเพลงของฮ่องกงและเอเชีย.
    https://www.youtube.com/watch?v=RMH8Xv2siYM
    - สุดยอด..การประกวด 中国好声音 (Voice of China)
    เพลง(จีนกวางตุ้ง)Manjusaka= 蔓珠莎華 ของ Wu Keyue
    ไม่เพียงรักษาจิตวิญญาณแห่งการครอบงำของ Anita Mui
    แต่...ยังมีเสียงตอนจบที่คล้ายกับ Priscilla Chan มาก
    เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋) นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving) เกิด: 16 สิงหาคม 2534 (อายุ 31 ปี), เซี่ยงไฮ, จีน ความสูง: 1.57 ม. ค่ายเพลง: Sony Music Entertainment (SME) พี่น้อง: อีเลน แทง เธอ เป็น นักร้องนักแต่งเพลงชาวฮ่องกง ที่ อพยพมาจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เธอ..เดบิวต์ในวงการเพลงฮ่องกง ในปี 2008 หลังจากออกอัลบั้ม 3 อัลบั้มในฮ่องกง และการปรากฏตัวของเธอ(ชัดเจน)ในรายการแข่งขันร้องเพลงจีน I Am a Singer รุ่นปี 2014 ดิฉัน..สะดุด เทหัวใจ(หมดทั้งหัวใจ) ให้เธอ ไปแล้ว... เพราะเธอมี DNA ของนักร้องในดวงใจทั้งสาม คือ Christina Aguilera, Beyoncé, และ Mariah Carey ตัวอย่าง ในเพลง hei fun nei 《喜欢你》 https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU ---------------------------------------------- รวมเพลงจีน-กวางตุ้ง 1. เพลงจีนกวางตุ้ง 光辉岁月 อ่านว่า Gwong Fai Seui Yut แปลว่า "วันแห่งความรุ่งโรจน์" เป็นเพลงของวง Beyond ในยุค '90 ที่มีความหมายดีๆ.. นำมาขับร้องใหม่ ไฉไล..,มันส์ มากกว่า-เดิม ค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=Y98BJoztFwM เพลงแนว Canto-Pop 光辉岁月 Gwong Fai Seui Yuet ของ วง Beyond ต้นฉบับ(เดิม) พร้อมอักษรจีน-กวางตุ้ง ค่อยๆอ่าน+ร้องตาม สักวันหนึ่งที่มี "วันแห่งความรุ่งโรจน์" https://www.youtube.com/watch?v=PrGsAMbgUh4 เพลง Glorious Years (光辉岁月) https://www.youtube.com/watch?v=4Sjqt37ipcU 2. เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) ของ ศิลปิน BEYOND ขับร้องโดย สุดยอดนักร้องยอดนิยมของฮ่องกง ในเพลง 不再猶豫 อ่านว่า Bat joi yau yu แปลว่า ไม่ลังเล https://www.youtube.com/watch?v=RvDjCTqoLuw 3. เพลงภาษาจีนกวางตุ้ง 一生中最爱 อ่านว่า (Yi Sheng Zhong Zui Ai) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 และใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "A Tale of Two Cities" ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของ เพื่อนรักสองคนที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งในเวลาเดียวกัน แต่ให้กันและกันด้วยความเป็นพี่น้อง และทั้งสามคนต้องพบกับ บททดสอบมิตรภาพและความรัก เพลงนี้เลยดูเหมือนร้อง เกี่ยวกับระยะห่างระหว่างเพื่อนกับคนรัก https://www.youtube.com/watch?v=KbZLN2X_lFU สุดยอด..เพลงจีนกวางตุ้ง(ชาย) ต้องยกให้ ALAN TAM ในบทเพลง一生中最愛. Yat Saang Jung Jeui Ngoi คือ เพลงที่ดีที่สุด ครองตำแหน่งมาตั้งแต่ 1991- ปัจจุบัน https://www.youtube.com/watch?v=62ejBUq1J5o 4. เพลงจีนกวางตุ้ง 明日話今天 หมายถึง คุยกันวันนี้..ไม่ต้องรอในวันพรุ่งนี้ และเพลงที่ 2 奮鬥 หมายความถึง การต่อสู้ ขับร้องโดย Jenny Tseng และ CoCo Lee จำกันได้ไหม..ล่ะ? https://www.youtube.com/watch?v=ZXAguTHqYnc 5. 7 เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) ของ 容祖兒 - Joey Yung นำเสนอในแบบ Medley รวดเดียวในเพลง อ่านออกเสียงสำเนียงกวางตุ้ง 粤拼 ➔ jyut6ping3 ได้ว่า..... mat6jau5 / syun2jau5 / sam1gam1ming6dai2 / zou2jau5jyu6mau4 / zeoi6fui1 / ze3gwo3 / ngo5jaa5bat1 密友 / 損友 / 心甘命抵 / 早有預謀 / 罪魁 / 借過 / 我也不想這樣 https://www.youtube.com/watch?v=NpC07u2NMj0 6. เพลงรัก..ภาษากวางตุ้ง ทั้ง 20 เพลง สรุปเป็นการขับร้องแนวเศร้าๆของหนุ่มมองเครื่องบิน ที่ไม่สามารถเด็ดดอกฟ้าลงมาเชยชมได้ ถ้าได้..จะร้องแนวมันส์ๆ สนุกสนาน กระดี๊ กระด๊า รื่นเริง หลุดโลก.. ช่าย หมาย..ล่ะ https://www.youtube.com/watch?v=x1z6as3uwMY 7. ชาวกวางตุ้ง..เป็นชาวจีนที่อาศัยอยู่ติดทะเลทางตอนใต้ของจีน ตื่นเช้าขึ้นมา..จะพบกับ "ท้องฟ้า และ ทะเล" มักจะแหกปากขับร้องเพลง Hoi fut tin hung ของ Beyond 海闊天空 ให้ดัง..ไกล ถึง ดาวพระอังคาร..ไปเลย ช่วยกัน "แหกปาก" ร้องดังๆ..นะ คะ https://www.youtube.com/watch?v=wk9TMnbx7fQ 8. เพลงอมตะ..นิรันดร์กาล และ อยู่ในใจของชาวจีนกวางตุ้ง คือ เพลง Naan Dak Yau Ching Yan ( 难得有情人 ) แปลเป็นภาษาอังกฤษ Happy Are Those in Love ขับร้องโดย Shirley Kwan (關淑怡) ฉันมีความสุขมากที่ได้ฟัง และร้องคลอเคลียตามไปด้วย ชาวกวางตุ้ง..ทุกคนสัมผัสความสุขนี้ได้ นะคะ https://www.youtube.com/watch?v=lhB9uMNveXI 9. หนึ่งใน..เพลงที่ดีที่สุดของ Joey Yung 容祖兒 มีหลายประเทศนำไปเลียนแบบใส่เนื้อร้องใหม่ ในเพลง 習慣失戀 แปลไทย ว่า " อกหักจนเคยชิน" ไพเราะ..มาก ค่ะ " Always Heartbroken " https://www.youtube.com/watch?v=aQmieaqmLmU 10. เพลง..ล้านคิวเพลง《千千阙歌》ในภาษาจีนกวางตุ้ง ที่ทำให้ 陈慧娴 Priscilla Chan ที่กำลังจะเกษียณอำลาวงการ กลับทำให้เธอ..ดังระเบิดแรงกว่า..ระเบิดปรมาณู ในปี 1983 11. 朋友 ผั่งเหย่า..ภาษาจีน(กวางตุ้ง) แปลว่า เพื่อน เป็นเพลงที่ใช้ภาษาพูด ฟังได้ใจความอย่างง่ายๆ คิดถึงความสุข..สมัยที่ได้เรียนที่นี่ในวัยเด็ก 12. เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋) นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving) เกิด: 16 สิงหาคม 2534 (อายุ 31 ปี), เซี่ยงไฮ, จีน ความสูง: 1.57 ม. ค่ายเพลง: Sony Music Entertainment (SME) พี่น้อง: อีเลน แทง เธอ เป็น นักร้องนักแต่งเพลงชาวฮ่องกง ที่ อพยพมาจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เธอ..เดบิวต์ในวงการเพลงฮ่องกง ในปี 2008 หลังจากออกอัลบั้ม 3 อัลบั้มในฮ่องกง และการปรากฏตัวของเธอ(ชัดเจน)ในรายการแข่งขันร้องเพลงจีน I Am a Singer รุ่นปี 2014 ดิฉัน..สะดุด เทหัวใจ(หมดทั้งหัวใจ) ให้เธอ ไปแล้ว... เพราะเธอมี DNA ของนักร้องในดวงใจทั้งสาม คือ Christina Aguilera, Beyoncé, และ Mariah Carey ตัวอย่าง ในเพลง hei fun nei 《喜欢你》 https://www.youtube.com/watch?v=IQ1g8ShGaVU 13. สุดยอดมหากาพย์ของเพลงจีนกวางตุ้ง..ต้องเพลงนี้ 《千千阙歌》หรือ แปลว่า "เพลงล้านคิว" "Song of a Thousand Thousand Que" ต้นฉบับของเพลงนี้คือ "Yuyakiけの歌" แต่งโดย Makaiye Yasuji โดยนักร้องชาวญี่ปุ่นMasahiko Kondo ในปี 1988 หลังจากที่ Priscilla Chan ประกาศว่าจะเกษียณจากวงการเพลง PolyGram ได้ผลิตเพลง "อำลา" เพลงนี้แหละที่ประพันธ์เพลง ในภาษาจีนกวางตุ้ง โดย Lin Zhenqiang กลับทำให้ Priscilla Chan ยิ่งโด่งดังมากยิ่งขึ้น ด้วยฝีมือของ Anita Mui, Blue Jeans, Polygram, Huaxing Records, CBS/SonyและWingo Creative ด้วยเพลงนี้ พริสซิลลา ชาน ได้รับรางวัล " My Favorite Song Award in the Music World " ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 2,715 เสียง ใน พิธีมอบรางวัล Top Music Pop Awards ในปี 1989 https://www.youtube.com/watch?v=P9kcwRnGk5w 14. อัลบั๊มรวมเพลงจากสวรรค์ ของ 4 ราชาเพลงดังแห่งฮ่องกง ♛ Andy Lau ♛Jacky Cheung ♛Li Mingi ♛Aaron Kwok https://www.youtube.com/watch?v=a55w198tsLo 15. Album รวม-เพลงกวางตุ้งที่ดีที่สุด ของ Alan Tam https://www.youtube.com/watch?v=w5QIjqHiSp4 16. เธอ คือ 伍珂玥 หรือ Karrie Ng เป็นชาวเมืองไท่ซาน มณฑลกวางตุ้ง. เป็นนักร้องเพลงป๊อปชาวจีน เป็นนักศึกษาปี 2021 ของ Jinzhong Conservatory of Music of Shenzhen University และเป็นแชมป์รวมของ " The Voice of China 2021 " เธอ คือ สุดยอด..ความภาคภูมิใจ ของ ชาวกวางตุ้งทั่วโลก นี่คือ อัลบั๊ม เพลงอันแสนไพเราะ จากน้ำเสียงระดับโลกของเธอ https://www.youtube.com/watch?v=usKqLgvf6pI 17. เพลงจีนกวางตุ้ง ชื่อเพลง《最爱》แปลว่า.. " รักที่ซู๊ดด ด.. " เรียบเรียงจากบทกวี เปรียบ ท้องฟ้า สายลม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ น้ำขึ้น-น้ำลง เงา สายน้ำ จินตนาการกับความรักในฝัน. https://www.youtube.com/watch?v=IEwzbPWB3zg 18. ชื่อภาษาจีน(ต้วย่อ) 刘德华 คนไทย รู้จักในชื่อ “หลิว เต๋อ หัว” สาวๆชาวจีนกวางตุ้ง...กรี๊ด สนั่น ในนาม “เหล่า ตั๊ก หวา” (Andy Lau) นี่แหละจักรพรรดิแห่ง..ดาราฮ่องกง เจ้าของผลงานภาพยนตร์ฮ่องกงแนวบู๊ ตีรันฟันแทง มากกว่าครึ่ง สูง ยาว หล่อ ล่ำ+เสียงดี ร้องเพลงยอดนิยมเพลงเดียว นานถึง 30 ปี คือ เพลง Yat Hei Jau Gwoh Dik Yat Ji 《一起走过的日子》แปลเป็นอังกฤษ ว่าThe Days We Spent Together สาวกวางตุ้ง ต้องแหกปาก ร้องคลอ..ตามไปได้(ทุกคน) โดยเฉพาะท่อนแรก (ร้องดังๆ..นะ) 如何面对 曾一起走过的日子 jyu4 ho4 min6 deoi3 cang4 jat1 hei2 zau2 gwo3 dik1 jat6 zi2 现在剩下我独行 jin6 zoi6 sing6 haa6 ngo5 duk6 hang4 如何用心声一一讲你知 jyu4 ho4 jung6 sam1 sing1/seng1 jat1 jat1 gong2 nei5 zi1 从来没人明白我 cung4 loi4 mut6 jan4 ming4 baak6 ngo5 唯一你给我好日子 wai4 jat1 nei5 kap1 ngo5 hou2 jat6 zi2 有你有我有情有生有死有义 jau5 nei5 jau5 ngo5 jau5 cing4 jau5 sang1/saang1 jau5 sei2 jau5 ji6 https://www.youtube.com/watch?v=VUZ4w2NN5fQ 19. เพลงจีนกวางตุ้งคลาสสิก ขับร้องโดย : 張學友 / Jacky Cheung ชื่อเพลง : 『我留著你在身邊心仍然很遠』 แปลไทย ได้ว่า "ฉันคอยเธอเคียงข้างใจยังห่างไกล" หรือ แปลเป็นอังกฤษ = Let me stay by your side https://www.youtube.com/watch?v=WHTfF5kIz80 20. เพลงจีนกวางตุ้ง(ยอดนิยม) Yue Ban Xiao Ye Qu คืนพระจันทร์เสี้ยว《月半小夜曲》 ฝาหรั่งเรียกว่า "Half Moon Serenade" นักร้อง : Li Keqin, Wu Keyue และ He San นำมาขับร้อง แบบ Trio ในปลายปี 2021 ได้ไพเราะจับใจ(มาก) ความหมายของเพลง บรรยายถึง ความในใจทุกจุดของ..ชายหนุ่มที่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าในค่ำคืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว รำพันถึงสาวในฝัน ที่น่าจะเป็นดวงดาวที่อยู่ไกลๆ เค้าเผชิญกับความจริงที่ยอมรับไม่ได้ ความรักของเค้าจะไม่เปลี่ยนไปตามลำดับ แต่ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งห่วงใยกันตลอดไป…” https://www.youtube.com/watch?v=MfDa59mTHes 21. เพลงจีนกวางตุ้ง เศร้าๆ.. ขับร้องโดย 容祖兒 - Joey Yung ชื่อเพลง : 天窗 แปลว่า แสงจากท้องฟ้า ความหมายของเพลง : หญิง-ชาย ดื่มน้ำชา หลังจากอาหารมื่อหนึ่ง ซึ่ง ทั้งคู่นัดกันมาพบกันเพื่อบอกเลิกกัน ทั้งคู่ไม่ยอมเปิดเผยความจริง หรือ ไม่ยอม..เปิดแสงจากฟ้าให้เข้าใจกัน นั่นเอง. https://www.youtube.com/watch?v=YnW545U1KgU 22. เพลงเก่า..ยอดนิยม ประมาณ 30 ปี ภาษาจีนกวางตุ้ง ของ Jacky Cheung (張學友 / Cheung Hok-yau) ชื่อเพลง : 只想一生跟你走 (Ji seung yat sang gan nie jau) แปลว่า : ชีวิตนี้ฉันต้องการไปกับเธอ ความหมายของเพลง....พระเอกของเราได้พบกับคนที่หลงรัก และค้นพบว่าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเธอคนนั้น สองคนนี้เลิกกัน โดยฝ่ายหญิงสะบัดกันหนีไป ปล่อยให้พระเอกของเรา นั่งร้องไห้เศร้าเสียใจ มโนว่า เธอคนนั้น..ไม่ได้จากไป และทุกอย่างเหมือนอยู่ในความฝัน (ยังเสือกถามว่า ฝ่ายหญิงทำไมไม่ฝันถึงเค้าบ้าง) ร้องไหัและขอให้เธออย่าลืมรักเก่าๆเงียบๆ เพียงลำพัง คิดว่าในชีวิตนี้ ไม่สามารถอยู่ได้ โดยปราศจากเธอ ตรงกับชื่อเพลง "ชีวิตนี้ฉันต้องการไปกับเธอ 只想一生跟你走 Only Want to Go with You in this Life https://www.youtube.com/watch?v=Ou3NHHS6f4c 23. เพลงแนว Soft-Rock อมตะนิรันด์กาล ของ Beyond บทเพลงภาษาจีนกวางตุ้ง Hoi Fut Tin Hung - 海闊天空 https://www.youtube.com/watch?v=wk9TMnbx7fQ 24. เพลงในแนวศิลปินคู่ Duo ชาย-หญิง บนเวที่ Voice of China เพลงในภาษากวางตุ้ง ได้รับการยอมรับ จากชาวจีนทั่วทั้งประเทศ เพลง : คืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว Yue Ban Xiao Ye Qu (月半小夜曲) ศิลปิน : 李克勤 และ 周深 ความหมายของเพลง บรรยายถึง ความในใจทุกจุดของ..ชายหนุ่มที่นอนไม่หลับมองท้องฟ้าในค่ำคืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว รำพันถึงสาวในฝัน ที่น่าจะเป็นดวงดาวที่อยู่ไกลๆ เค้าเผชิญกับความจริงที่ยอมรับไม่ได้ ความรักของเค้าจะไม่เปลี่ยนไปตามลำดับ แต่ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งห่วงใยกันตลอดไป…” 25. เพลงเศร้าๆ..ภาษากวางตุ้ง ชื่อเพลง 天窗 แปลว่า แสงปลายอุโมงค์ เป็นการเล่าเรื่องราวของหนุ่มน้อยอกหัก นั่งในห้องมืดๆเพียงลำพัง โดยมีลำแสงเล็กๆลอดช่องหน้าต่างลงมาที่เขานั่ง คิดปลงตัวเอง รำพึง รำพัน อย่างน่าฉงฉาน..จุงเบย https://www.youtube.com/watch?v=YnW545U1KgU 26. เติ้ง จื่อ ฉี Tang Tsz-kei (鄧紫棋) นักร้อง-นักแต่งเพลง ในชื่อ G.E.M. ( Get Everybody Moving) https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121627308556329&set=a.108283646557372 -《暗裡著迷》 - Cantonese LOVE Song "Yat Saang Jung Jeui Ngoi" 一生中最愛 [Love Of A Lifetime] - Alan Tam 譚詠麟 - เมโลดี้..หวานๆ ในเพลง 光輝歲月 -Gwong Fai Seui Yuet ของวง Beyond แน่นอน https://www.youtube.com/watch?v=SVBC35ByZUY - เมโลดี้..อันแสนไพเราะ ในเพลงจีนกวางตุ้ง(อมตะ) 天若有情. tin yeuk yau ching ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ - เพลงจีนกวางตุ้งยอดนิยม(ตลอดกาล)ของ Beyond ทั้ง 2 เพลง 1) "วันแห่งความรุ่งโรจน์" [ Gwong Fai Seui Yuet ] 光輝歲月 2) "ทะเลและท้องฟ้า" [ Hoi Fut Tin Hung ] 海闊天空 - เพลงสำหรับเทศกาลปีใหม่ Auld Lang Syne ใส่เนื้อร้องเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง กลายเป็นเพลง (เหย่ายี่หมานโส๋ย) 友誼萬歲 = มิตรภาพที่ยืนยาว ขับร้องโดย "หลีหลี่รุ่ย" 李麗蕊 Sara Lee ฟังง่าย -ชัดถ้อย-ชัดคำ(มาก) ค่ะ - ศิลป และ เทคนิคในการเขียนอักษรจีน โดยใช้ "แกนร่วม" เขียนว่า 身体健康 แปลว่า -ร่างกาย-สุขภาพดี ต้องหัดเขียน เพื่อนำไปอวยพรญาติผู้ใหญ่ (ซึ่ง..เหลือน้อย แล้ว) https://www.youtube.com/shorts/th4bgNYZrsI - เพลงภาษาจีนกวางตุ้ง ประมาณว่า อกหัก..รักคุด ของ Joey Yuong 容祖兒 แสนรันทดใจ ฟัง..ไป ร้องไห้..ไป สังเกตไหม คะ ว่า..คล้ายกับเพลงในละคอนไทย "สามีตีลังกา" ไม่ทราบว่า จีนลอกไทย หรือ ไทยลอกจีน - เพลงจีนกวางตุ้ง สำเนียง..ซ๊าม-ยับ-หวา แสนไพเราะ..เย็นๆ จาก #ฮัคเคน_ลี (李克勤) Hacken Lee เค้า..เป็นนักร้อง พิธีกรรายการโทรทัศน์ และนักแสดงชาวฮ่องกง มีผลงานตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปี 2013 เพลง "House of Cards" ของ Lee กวาดหลายรางวัลในงานประกาศรางวัลของฮ่องกง รวมถึง "เพลงที่ดีที่สุดในโลก" และ "Broadcasting Index" ใน Metro's Awards ในปี 2013 เขาได้รับรางวัล "Outstanding Pop Singer Award" ในงาน "Top Ten Chinese Gold Songs Awards" ของ RTHK ถึง 14 ครั้ง และสร้างสถานะที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ในอุตสาหกรรมเพลงของฮ่องกงและเอเชีย. https://www.youtube.com/watch?v=RMH8Xv2siYM - สุดยอด..การประกวด 中国好声音 (Voice of China) เพลง(จีนกวางตุ้ง)Manjusaka= 蔓珠莎華 ของ Wu Keyue ไม่เพียงรักษาจิตวิญญาณแห่งการครอบงำของ Anita Mui แต่...ยังมีเสียงตอนจบที่คล้ายกับ Priscilla Chan มาก
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • 🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผิว ตอน 02.🤠

    🤯3. ภายใต้การปกครองอาณานิคมของอังกฤษ🤯

    ในศตวรรษที่ 17 อินเดียได้รับการสนับสนุนจากชาวอังกฤษผิวขาว

    บริเตนเคยเป็นที่รู้จักในนามจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะกษัตริย์พระองค์หนึ่งของเขาตรัสว่า ที่ใดดวงอาทิตย์ส่องแสงไปถึง ที่นั่นก็มีที่ดินอยู่ภายใต้เขตอำนาจของอังกฤษ

    โดยผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกและการปฏิรูปสังคม สหราชอาณาจักรเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเริ่มขยายอาณานิคมไปทั่วโลก

    การขับเคลื่อนเป็นพลังช่วยด้วยสถานะระหว่างประเทศที่เข้มแข็งและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก อังกฤษเปิดฉากสงครามกับอินเดียครั้งแรกในปี ค.ศ. 1757 ด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารขั้นสูงและติดสินบนเจ้าหน้าที่อินเดียด้วยเงินจำนวนมาก อังกฤษจึงเข้ายึดครองแคว้นเบงกอลของอินเดียโดยใช้กองกำลังจำนวนน้อยมาก

    แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศอารยธรรมโบราณ แต่อยู่ในภาวะแบ่งแยกมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีประเทศเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในขอบเขตของตน ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ยังคงดำเนินกิจการปกครองอย่างเป็นอิสระ และสงครามก็ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถรวมพลังเป็นเอกภาพได้เลย

    หลังจากที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้าสู่อินเดีย ต่างจากชาวอารยันผู้โหดร้ายรุนแรง ไม่มีการเร่งรีบที่จะรวมชาวอินเดียเข้าด้วยกัน พวกเขากลับไปเยือนประเทศต่างๆ ด้วยทัศนคติที่เป็นมิตร และใช้เส้นทางวิธีแห่งการติดสินบน การแบ่งแยก และการโจมตี

    ในตอนแรกพวกเขาสร้างพันธมิตรกับกองกำลังอินเดียที่ทรงอำนาจมากกว่า จากนั้นเอาชนะกองกำลังอินเดียที่อ่อนแอกว่า และยังคงสร้างความขัดแย้งเพื่อให้กองกำลังอินเดียในท้องถิ่นโจมตีกันเอง ในขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามไปด้วยไปด้วย

    ภายใต้ระบบวรรณะดั้งเดิมของอินเดีย ผู้คนในวรรณะ ศูทร จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นทหาร ส่งผลให้อินเดียมีกำลังทหารที่อ่อนแอ

    เพื่อเสริมสร้างการปกครองทางทหารในอินเดีย อังกฤษได้ยกเว้นและรวมคนวรรณะ ศูทร เหล่านี้เข้าในกองทัพ เพื่อเพิ่มขนาดของกองทัพ ด้วยความแข็งแกร่งทางศักยภาพการทหารที่เข้มแข็งและวิถีทางทางการเมืองที่ยืดหยุ่น โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออกเป็นกำลังหลัก จึงค่อย ๆ รุกล้ำเข้าไปในหลายภูมิภาคในอินเดีย

    จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1858 สหราชอาณาจักรได้จำแนกอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบร้อยปี

    การปกครองอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียมีไว้เพื่อพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่นและอำนวยความสะดวกทางการค้าเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการให้ความรู้แก่ประชาชน และไม่ต้องการครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ พวกเขาเพียงแค่สร้างระบบบางอย่างและสร้างสภาพแวดล้อมการค้าขายที่มีคุณภาพสูง

    เนื่องจากอินเดียถูกปกครองโดยชาวอารยัน และจากนั้นก็ถูกพิชิตและปกครองโดยชาวกรีกและมองโกลที่มีอำนาจอย่างต่อเนื่อง กระดูกสันหลังรากเหง้าของชาติเผ่าพันธุ์ถูกทำลายไปนานแล้ว โดยได้ปรับตัวให้เข้ากับการปกครองของอังกฤษอย่างรวดเร็วและไม่มีความรู้สึกต่อต้านเลย

    รวมทั้งเมื่อประกอบกับศาสนาที่หลากหลาย พวกเขาเผยแพร่ลัทธิเวรกรรมของการกลับชาติมาเกิด ทำให้ผู้คนสามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานของชีวิตนี้ได้อย่างมีสติ และตั้งตารอชีวิตที่ไร้สาระและมีความสุขในชีวิตหน้า ผู้คนถูกผูกมัดความคิดที่ต่อต้านจากภายนอกด้วยศาสนาเอาไว้ และไม่สนใจการเมืองที่เป็นอยู่ในมือ ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเลย

    คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากวรรณะบน และพวกเขามีความเคารพอย่างลึกซึ้งและการเชื่อฟังต่อชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนผิวขาวเช่นกัน

    อังกฤษปกครองอินเดียโดยได้รับเครื่องเทศ ยางไม้ น้ำตาล และทรัพยากรอื่นๆ จากอินเดียอย่างง่ายดายและต่อเนื่อง ต่อมาพวกเขาได้พัฒนาอินเดียให้เป็นอุตสาหกรรมและได้รับทรัพยากรทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก

    🤯4. จำนวนคนผิวขาวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง🤯

    ด้วยการปกครองของอังกฤษในอินเดียคนผิวขาวเข้ามาในประเทศอินเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของคนผิวขาวและเพิ่มการบูรณาการทางเชื้อชาติ

    อาณานิคมของอังกฤษตระหนักดีถึงระบบเชื้อชาติของอินเดีย ซึ่งเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ละเลยซึ่งกันและกัน และความมั่งคั่งและเสียงส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนที่มีวรรณะสูง ตราบใดที่วรรณะบนสนับสนุนการปกครองของตน วรรณะอื่นๆ ก็จะปฏิบัติตาม

    ดังนั้น ในระหว่างการปกครองในอินเดีย ชาวอังกฤษจึงให้การปฏิบัติอันเป็นที่ชื่นชอบแก่คนวรรณะสูงมากมาย และสร้างพันธมิตรที่เป็นมิตรกับพวกเขา

    เพื่อแสดงความเคารพต่อคนวรรณะสูงของอังกฤษ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอังกฤษบางคนจะแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียวรรณะสูงเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุความร่วมมือกับวรรณะบนและบรรลุผลประโยชน์ที่มากขึ้น

    คนอังกฤษซึ่งฐานะเป็นผู้ปกครองหลังจากเข้าสู่อินเดียจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มวรรณะสูงโดยอัตโนมัติ ผู้สูงศักดิ์อินเดียก็มีความยินดีที่ได้แต่งงานกับพวกเขาเช่นกัน การแต่งงานระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและผู้สูงศักดิ์อินเดียในลักษณะนี้ ส่วนผสมของเลือดของชาวอินเดียมีเพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มการผสมผสานระหว่างสายเลือดของชาวอินเดียอย่างมาก และยังช่วยยกสถานะของอินเดียนผิวขาวด้วย

    นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีอิทธิพลบางคนเห็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและชีวิตความเป็นอยู่ พวกเขาจึงปฏิบัติทำตามและแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียในท้องถิ่นและมีลูกหลาน

    นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษบางคนที่อาศัยสถานะของตนในฐานะชาวอาณานิคมมีชีวิตในอินเดียแย่มาก จะเลี้ยงดูผู้หญิงอินเดียที่สวยงามไว้บางคน

    แม้ว่าชาวอังกฤษจะเป็นคนผิวขาวเช่นกัน แต่ไม่เหมือนชาวอารยันซึ่งมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งเข้มงวดในเรื่องของสายเลือด มองการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการทรยศชั่วร้าย ในทางตรงกันข้าม รู้สึกว่าการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง

    ในช่วง 200 ปีแห่งการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอินเดียยังคงผสมกันในสายเลือดกับชาวอังกฤษผิวขาวอยู่ไม่ขาด และเด็กผสมเชื้อชาติผิวขาวจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น

    อินเดียได้รับความนิยมมากกว่าในประเทศตะวันตก สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าชาวอินเดียมีสายเลือดคนผิวขาวอยู่ในร่างกาย จึงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพวกเขา

    เนื่องจากมีเชื้อสายยุโรปจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างชาวอินเดียกับผู้คนจากประเทศในเอเชียตะวันออก แม้ว่าผมของพวกเขาจะเป็นสีดำ แต่ใบหน้าของพวกเขามีมิติมากกว่า โดยส่วนใหญ่เป็นสันจมูกตรงและตาโต

    บางครั้งเมื่อคุณเห็นคนผิวขาวในอินเดีย คุณอาจคิดว่าพวกเขาเป็นคนยุโรป แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงอินเดียวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ที่มีผิวขาวเท่านั้น

    แต่ไม่ใช่ว่าคนผิวขาวทุกคนจะมีวรรณะสูง เด็กลูกผสมบางคนเกิดจากคู่รักชาวอังกฤษและอินเดีย แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นคนผิวขาว แต่ก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสชนชั้นต่ำเท่านั้น

    เด็กเชื้อชาติผสมผิวขาววรรณะต่ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่มีสิทธิในการรับมรดกตามกฎหมาย แต่ยังถูกเลือกปฏิบัติในสังคมด้วย เนื่องจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับแตกต่างจากการศึกษาในท้องถิ่น

    เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อินเดียประกาศอิสรภาพ และอังกฤษก็ถอนตัวออกจากอินเดีย เด็กอินเดียผิวขาวที่เหลือไม่สามารถกลับไปอังกฤษเพื่อมีอัตลักษณ์ของอังกฤษได้ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอินเดียซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็ง มาเป็นแพะรับบาปให้กับอินเดียเพื่อระบายความอัปยศอดสูและความสิ้นหวังในประวัติศาสตร์ของตัวเอง

    โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลมีชีวิตอกำเนิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวไหลไปข้างหน้า การแลกเปลี่ยนและการบูรณาการระหว่างเชื้อชาติไม่เพียงแต่มีด้านที่โหดร้ายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความมั่งคั่งร่ำรวยและความหลากหลายของอารยธรรมอีกด้วย

    ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นเอกภาพซึ่งคนผิวเหลือง คนผิวดำ และคนผิวขาวจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกจะไปที่นั่นเพื่อพัฒนา

    เมื่อเดินไปตามถนนหนทางจะไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคนผิวสีต่างๆอีกต่อไป

    แม้ว่าด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียยังคงมีสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีแต่ผู้คนกลับไม่มองว่าสีผิวเป็นสิ่งซึ่งใช้ในการโอ่อวดอีกต่อไป

    ด้วยความก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องของอารยธรรม ประเพณีพื้นบ้านมีความเป็นอารยะมากขึ้น และทุกคนก็มีสติสัมปชัญญะสำนึกในเหตุผลมากขึ้นพวกเขาไม่ตัดสินคนจากสีผิวอีกต่อไป ผู้คนทุกสีผิวจะต้องทำงานหนักเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นสูงของสังคม

    ต้องรู้ว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและไม่สามารถแยกแยะตามสีผิว ชาติพันธุ์ เพศ หรือความเชื่อได้ ควรปฏิบัติต่อทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก

    🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เบื้องหลังทำไมชววอินเดียมีหลากสีผิว ตอน 02.🤠 🤯3. ภายใต้การปกครองอาณานิคมของอังกฤษ🤯 ในศตวรรษที่ 17 อินเดียได้รับการสนับสนุนจากชาวอังกฤษผิวขาว บริเตนเคยเป็นที่รู้จักในนามจักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะกษัตริย์พระองค์หนึ่งของเขาตรัสว่า ที่ใดดวงอาทิตย์ส่องแสงไปถึง ที่นั่นก็มีที่ดินอยู่ภายใต้เขตอำนาจของอังกฤษ โดยผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกและการปฏิรูปสังคม สหราชอาณาจักรเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเริ่มขยายอาณานิคมไปทั่วโลก การขับเคลื่อนเป็นพลังช่วยด้วยสถานะระหว่างประเทศที่เข้มแข็งและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก อังกฤษเปิดฉากสงครามกับอินเดียครั้งแรกในปี ค.ศ. 1757 ด้วยการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารขั้นสูงและติดสินบนเจ้าหน้าที่อินเดียด้วยเงินจำนวนมาก อังกฤษจึงเข้ายึดครองแคว้นเบงกอลของอินเดียโดยใช้กองกำลังจำนวนน้อยมาก แม้ว่าอินเดียจะเป็นประเทศอารยธรรมโบราณ แต่อยู่ในภาวะแบ่งแยกมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีประเทศเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายในขอบเขตของตน ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ยังคงดำเนินกิจการปกครองอย่างเป็นอิสระ และสงครามก็ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถรวมพลังเป็นเอกภาพได้เลย หลังจากที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้าสู่อินเดีย ต่างจากชาวอารยันผู้โหดร้ายรุนแรง ไม่มีการเร่งรีบที่จะรวมชาวอินเดียเข้าด้วยกัน พวกเขากลับไปเยือนประเทศต่างๆ ด้วยทัศนคติที่เป็นมิตร และใช้เส้นทางวิธีแห่งการติดสินบน การแบ่งแยก และการโจมตี ในตอนแรกพวกเขาสร้างพันธมิตรกับกองกำลังอินเดียที่ทรงอำนาจมากกว่า จากนั้นเอาชนะกองกำลังอินเดียที่อ่อนแอกว่า และยังคงสร้างความขัดแย้งเพื่อให้กองกำลังอินเดียในท้องถิ่นโจมตีกันเอง ในขณะเดียวกันก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามไปด้วยไปด้วย ภายใต้ระบบวรรณะดั้งเดิมของอินเดีย ผู้คนในวรรณะ ศูทร จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นทหาร ส่งผลให้อินเดียมีกำลังทหารที่อ่อนแอ เพื่อเสริมสร้างการปกครองทางทหารในอินเดีย อังกฤษได้ยกเว้นและรวมคนวรรณะ ศูทร เหล่านี้เข้าในกองทัพ เพื่อเพิ่มขนาดของกองทัพ ด้วยความแข็งแกร่งทางศักยภาพการทหารที่เข้มแข็งและวิถีทางทางการเมืองที่ยืดหยุ่น โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออกเป็นกำลังหลัก จึงค่อย ๆ รุกล้ำเข้าไปในหลายภูมิภาคในอินเดีย จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1858 สหราชอาณาจักรได้จำแนกอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบร้อยปี การปกครองอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียมีไว้เพื่อพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่นและอำนวยความสะดวกทางการค้าเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการให้ความรู้แก่ประชาชน และไม่ต้องการครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ พวกเขาเพียงแค่สร้างระบบบางอย่างและสร้างสภาพแวดล้อมการค้าขายที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากอินเดียถูกปกครองโดยชาวอารยัน และจากนั้นก็ถูกพิชิตและปกครองโดยชาวกรีกและมองโกลที่มีอำนาจอย่างต่อเนื่อง กระดูกสันหลังรากเหง้าของชาติเผ่าพันธุ์ถูกทำลายไปนานแล้ว โดยได้ปรับตัวให้เข้ากับการปกครองของอังกฤษอย่างรวดเร็วและไม่มีความรู้สึกต่อต้านเลย รวมทั้งเมื่อประกอบกับศาสนาที่หลากหลาย พวกเขาเผยแพร่ลัทธิเวรกรรมของการกลับชาติมาเกิด ทำให้ผู้คนสามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมานของชีวิตนี้ได้อย่างมีสติ และตั้งตารอชีวิตที่ไร้สาระและมีความสุขในชีวิตหน้า ผู้คนถูกผูกมัดความคิดที่ต่อต้านจากภายนอกด้วยศาสนาเอาไว้ และไม่สนใจการเมืองที่เป็นอยู่ในมือ ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเลย คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากวรรณะบน และพวกเขามีความเคารพอย่างลึกซึ้งและการเชื่อฟังต่อชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนผิวขาวเช่นกัน อังกฤษปกครองอินเดียโดยได้รับเครื่องเทศ ยางไม้ น้ำตาล และทรัพยากรอื่นๆ จากอินเดียอย่างง่ายดายและต่อเนื่อง ต่อมาพวกเขาได้พัฒนาอินเดียให้เป็นอุตสาหกรรมและได้รับทรัพยากรทางอุตสาหกรรมจำนวนมาก 🤯4. จำนวนคนผิวขาวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง🤯 ด้วยการปกครองของอังกฤษในอินเดียคนผิวขาวเข้ามาในประเทศอินเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของคนผิวขาวและเพิ่มการบูรณาการทางเชื้อชาติ อาณานิคมของอังกฤษตระหนักดีถึงระบบเชื้อชาติของอินเดีย ซึ่งเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ละเลยซึ่งกันและกัน และความมั่งคั่งและเสียงส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนที่มีวรรณะสูง ตราบใดที่วรรณะบนสนับสนุนการปกครองของตน วรรณะอื่นๆ ก็จะปฏิบัติตาม ดังนั้น ในระหว่างการปกครองในอินเดีย ชาวอังกฤษจึงให้การปฏิบัติอันเป็นที่ชื่นชอบแก่คนวรรณะสูงมากมาย และสร้างพันธมิตรที่เป็นมิตรกับพวกเขา เพื่อแสดงความเคารพต่อคนวรรณะสูงของอังกฤษ เจ้าหน้าที่อาวุโสของอังกฤษบางคนจะแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียวรรณะสูงเป็นภรรยา ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุความร่วมมือกับวรรณะบนและบรรลุผลประโยชน์ที่มากขึ้น คนอังกฤษซึ่งฐานะเป็นผู้ปกครองหลังจากเข้าสู่อินเดียจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มวรรณะสูงโดยอัตโนมัติ ผู้สูงศักดิ์อินเดียก็มีความยินดีที่ได้แต่งงานกับพวกเขาเช่นกัน การแต่งงานระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและผู้สูงศักดิ์อินเดียในลักษณะนี้ ส่วนผสมของเลือดของชาวอินเดียมีเพิ่มมากขึ้น ช่วยเพิ่มการผสมผสานระหว่างสายเลือดของชาวอินเดียอย่างมาก และยังช่วยยกสถานะของอินเดียนผิวขาวด้วย นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มีอิทธิพลบางคนเห็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและชีวิตความเป็นอยู่ พวกเขาจึงปฏิบัติทำตามและแต่งงานกับผู้หญิงอินเดียในท้องถิ่นและมีลูกหลาน นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษบางคนที่อาศัยสถานะของตนในฐานะชาวอาณานิคมมีชีวิตในอินเดียแย่มาก จะเลี้ยงดูผู้หญิงอินเดียที่สวยงามไว้บางคน แม้ว่าชาวอังกฤษจะเป็นคนผิวขาวเช่นกัน แต่ไม่เหมือนชาวอารยันซึ่งมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งเข้มงวดในเรื่องของสายเลือด มองการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการทรยศชั่วร้าย ในทางตรงกันข้าม รู้สึกว่าการแต่งงานกับคนอินเดียเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ในช่วง 200 ปีแห่งการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอินเดียยังคงผสมกันในสายเลือดกับชาวอังกฤษผิวขาวอยู่ไม่ขาด และเด็กผสมเชื้อชาติผิวขาวจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น อินเดียได้รับความนิยมมากกว่าในประเทศตะวันตก สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าชาวอินเดียมีสายเลือดคนผิวขาวอยู่ในร่างกาย จึงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพวกเขา เนื่องจากมีเชื้อสายยุโรปจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างชาวอินเดียกับผู้คนจากประเทศในเอเชียตะวันออก แม้ว่าผมของพวกเขาจะเป็นสีดำ แต่ใบหน้าของพวกเขามีมิติมากกว่า โดยส่วนใหญ่เป็นสันจมูกตรงและตาโต บางครั้งเมื่อคุณเห็นคนผิวขาวในอินเดีย คุณอาจคิดว่าพวกเขาเป็นคนยุโรป แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงอินเดียวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ที่มีผิวขาวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่าคนผิวขาวทุกคนจะมีวรรณะสูง เด็กลูกผสมบางคนเกิดจากคู่รักชาวอังกฤษและอินเดีย แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะเป็นคนผิวขาว แต่ก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสชนชั้นต่ำเท่านั้น เด็กเชื้อชาติผสมผิวขาววรรณะต่ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่มีสิทธิในการรับมรดกตามกฎหมาย แต่ยังถูกเลือกปฏิบัติในสังคมด้วย เนื่องจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับแตกต่างจากการศึกษาในท้องถิ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อินเดียประกาศอิสรภาพ และอังกฤษก็ถอนตัวออกจากอินเดีย เด็กอินเดียผิวขาวที่เหลือไม่สามารถกลับไปอังกฤษเพื่อมีอัตลักษณ์ของอังกฤษได้ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอินเดียซึ่งมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เข้มแข็ง มาเป็นแพะรับบาปให้กับอินเดียเพื่อระบายความอัปยศอดสูและความสิ้นหวังในประวัติศาสตร์ของตัวเอง โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลมีชีวิตอกำเนิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ที่ทอดยาวไหลไปข้างหน้า การแลกเปลี่ยนและการบูรณาการระหว่างเชื้อชาติไม่เพียงแต่มีด้านที่โหดร้ายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความมั่งคั่งร่ำรวยและความหลากหลายของอารยธรรมอีกด้วย ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติรวมเป็นเอกภาพซึ่งคนผิวเหลือง คนผิวดำ และคนผิวขาวจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกจะไปที่นั่นเพื่อพัฒนา เมื่อเดินไปตามถนนหนทางจะไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคนผิวสีต่างๆอีกต่อไป แม้ว่าด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คนผิวขาวส่วนใหญ่ในอินเดียยังคงมีสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีแต่ผู้คนกลับไม่มองว่าสีผิวเป็นสิ่งซึ่งใช้ในการโอ่อวดอีกต่อไป ด้วยความก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องของอารยธรรม ประเพณีพื้นบ้านมีความเป็นอารยะมากขึ้น และทุกคนก็มีสติสัมปชัญญะสำนึกในเหตุผลมากขึ้นพวกเขาไม่ตัดสินคนจากสีผิวอีกต่อไป ผู้คนทุกสีผิวจะต้องทำงานหนักเพื่อที่จะกลายเป็นชนชั้นสูงของสังคม ต้องรู้ว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและไม่สามารถแยกแยะตามสีผิว ชาติพันธุ์ เพศ หรือความเชื่อได้ ควรปฏิบัติต่อทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ไม่แบ่งแยก 🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • 🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠

    🤯สาม การพลิกกลับ🤯

    สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม

    เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด

    ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก

    ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก

    สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม

    แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต

    เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้

    อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้

    เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง

    ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น

    แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี

    ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก

    🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯

    อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน

    ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้

    บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา

    ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้

    ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน

    😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎

    เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน

    ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง

    สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง

    ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 02.🤠 🤯สาม การพลิกกลับ🤯 สถานการณ์สงครามโลกที่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างโลกทำให้ทางการสหรัฐฯไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson伍德罗·威尔逊) ลาออกจากตำแหน่ง นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่ลัทธิโดดเดี่ยวอย่างเดิม เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำในสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจึงผ่านกฎหมายความเป็นกลาง ซึ่งกำหนดให้มีการคว่ำบาตร "อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์" ไปยังประเทศคู่สงครามทั้งหมด และห้ามเรือค้าขายของสหรัฐฯ จากการขนส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม ขบวนการโดดเดี่ยวในสหรัฐอเมริกาถึงจุดสูงสุด ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือยุโรปเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งสงคราม นโยบายการโอนอ่อนผ่อนตามของอังกฤษและฝรั่งเศสมีส่วนทำให้เกิดความหยิ่งลำพองของเยอรมนีมีความเป็นฟาสซิสต์มากขึ้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นาซีเยอรมนีเปิดการโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์ และสงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจโดยมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยอมจำนน ในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา ญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ต่อสหรัฐอเมริกา และลากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่วังวนแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างกันออกไป ในเวลานี้ สหรัฐฯมีบทบาทเป็นผู้นำ โดยควบคุมในแอฟริกาเหนือ แนวรบด้านตะวันตก และสนามรบในมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ลืมวางแผนสำหรับรูปแบบโลกหลังสงคราม และไม่ต้องการทำผิดพลาดแบบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ำอีก สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือเรื่องการครอบงำทางการเงินของโลกที่อังกฤษโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ไวท์( White) ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้เปิดตัวแผนของไวท์( White) ซึ่งเป็นแผนเศรษฐกิจในช่วงสงคราม แผนดังกล่าวรวมถึงการจัดตั้งสถาบันสองแห่ง ได้แก่ กองทุนรักษาเสถียรภาพแห่งชาติ (National Stabilization Fund) และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (Bank for Reconstruction and Development.) ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันก่อนหน้าของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund)และธนาคารโลก (World Bank.)ในอนาคต เพื่อป้องกันอิทธิพลอำนาจทางการเงินของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามและปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง สหราชอาณาจักรยังเสนอให้จัดตั้งศูนย์หักบัญชีระหว่างประเทศ (international clearing center) ตาม "ลัทธิเคนส์ (Keynesianism)" และออกแบบระบบการเงินที่มีทองคำเป็นหน่วยการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้สหราชอาณาจักรมีแรงใจมากล้นแต่ไม่มีกำลังกายเพียงพอ และความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจทำให้อังกฤษไม่สามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเพื่อครอบงำทางการเงินได้ เพียงสองปีหลังจากการเสนอแผนของไวท์( White) ทางการสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมการเงินและการเงินแห่งสหประชาชาติ (United Nations Monetary and Financial Conference)ที่เบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ทางการสหรัฐฯมีอำนาจเหนือการเจรจาอย่างท่วมท้น และในที่สุดประเทศต่างๆ ก็ลงนามใน "ข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement)" อันโด่งดัง ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงสกุลเงินของประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการกับดอลลาร์สหรัฐ และสร้างระบบมาตรฐานทองคำที่ดอลลาร์สหรัฐเชื่อมโยงกับทองคำ สำนักงานใหญ่ของกองทุนการเงินแห่งชาติ (National Monetary Fund)ตั้งอยู่ในวอชิงตัน (Washington) เห็นได้ชัดว่าระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods system)เป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจมากที่สุดและเหล่าบริวารอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมสงครามในขณะนั้น แม้ว่าอังกฤษไม่เต็มใจที่จะมอบอำนาจทางการเงินของตนให้กับผู้อื่น แต่ความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็สูญสิ้นไปนานแล้ว สหรัฐฯ ขู่ว่าจะปฏิเสธคำขอกู้ยืมของอังกฤษและบังคับให้ทางการอังกฤษยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้การล่มสลายของระบบอาณานิคมในอนาคตเป็นข้อแก้ตัวด้วย บังคับให้ฝ่ายอังกฤษละทิ้งระบบจักรวรรดิดั้งเดิมที่ให้การปฏิบัติเระบบสิทธิพิเศษ และใช้เงินปอนด์ที่แปลงสภาพอย่างเสรี ในท้ายที่สุด อังกฤษก็ยอมสละอำนาจทางการเงินของตน และสหรัฐฯ ได้ขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการก้าวไปสู่อำนาจอำนาจของโลก 🤯4. บทสรุปและการรู้แจ้ง🤯 อารยธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่มานานนับพันปี ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีระบอบการปกครองใดที่สามารถรักษาความได้เปรียบของตนไว้ได้ตลอดไปในสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อน ตัวแทนของยุคอาณานิคมตอนต้น - สเปนและโปรตุเกส สเปนใช้ประโยชน์จากยุคแห่งการค้นพบ และยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกา แต่เขาสูญเสียเรือรบทั้งหมดในการรบทางเรือกับอังกฤษ ผู้ครองอำนาจเจ้าโลกรุ่นแรกจึงจำต้องสละสิทธิทางทะเลแก่สหราชอาณาจักรด้วยประการฉะนี้นี้ บนพื้นฐานของลัทธิล่าอาณานิคมสเปน อังกฤษได้ก่อตั้งกลุ่มอาณานิคมขึ้น เช่น บริษัทอินเดียตะวันออก และดำเนินกิจกรรมปล้นสะดมขนาดใหญ่ในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง บรรดาสุภาพบุรุษผู้สูงศักดิ์ชาวอังกฤษคอยกินบุญเก่าซึ่งมีรายชื่อในสมุดความดีความชอบมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบอาณานิคมของตนไว้ โดยไม่สนใจการเพิ่มทวีขึ้นของจิตสำนึกแห่งชาติเผ่าของอาณานิคม และพยายามใช้วิธีการที่ต่ำทรามน่ารังเกียจต่างๆ เพื่อรักษาสถานะที่ว่าอาณาจักรที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินของตนไว้ ด้วยการผงาดรุ่งเรืองขึ้นของประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ และการทำลายล้างเศรษฐกิจของอังกฤษโดยสงครามโลกครั้งที่สอง ในที่สุดอังกฤษก็ถูกบังคับให้สละอำนาจเจ้าโลกของตนในที่สุด สหรัฐฯ ผ่านการปฏิบัติการหลายประการมีการสถาปนาอำนาจนำในหลายแง่มุมซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศตน 😎ในกระบวนการแย่งชิงอำนาจของอังกฤษโดยสหรัฐอเมริกา การรวมอำนาจทางการเมือง การขยายอาณาเขต การรักษาความสามัคคี และการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการได้รับอำนาจเป็นเจ้าโลก😎 เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งทางการทหารมีมากกว่าประเทศอื่นๆ มาก การโอนอำนาจก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง การเก็บตัวและสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามและการแทรกแซงสงครามในเวลาที่เหมาะสม ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเฉียบแหลมทางการเมืองอันยอดเยี่ยมของกลุ่มนักคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประเทศในยุโรปไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา การโอนอำนาจเจ้าโลกจะเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน ในปัจจุบัน ขณะที่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งที่สามกำลังจะสิ้นสุดลง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่กำลังจะแตกออก อำนาจของอเมริกาก็มาถึงทางแยกแห่งโชคชะตาเนื่องจากมีเหตุการณ์เป็นตัวเร่งคือเรื่องของการเสริมกำลังทหารและความขัดแย้งภายในของตัวเอง สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จีนดำเนินตามขั้นตอนเดิมพัฒนาในลักษณะที่ไม่สำคัญต่อไป จากยุทธศาสตร์ปิดล้อมด้วย“สายโซ่แห่งดินแดนวงล้อมชั้นแรก” (First Island Chain)รวมกับเครือข่ายพื้นที่แผ่นดินใหญ่ในยุคโอบามา ไปจนถึงสงครามการค้ากับจีนในยุคทรัมป์ และการโจมตีจีนโดยรัฐบริวารในเอเชียในเรื่องต่างๆ จะเห็นได้ว่าความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการรักษาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่นั้นเปรียบเสมือนนักรบที่ติดอยู่ในสนามประลอง ในยุคแห่งความขัดแย้งครั้งใหญ่นี้ การยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองและระวังการแทรกซึมของกองกำลังศัตรูเป็นหนทางที่จะทำลายแผนการสมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯ และอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐฯ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • 🤠#สหรัฐฯค่อยๆเข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 01.🤠

    ตั้งแต่สมัยโบราณมา การถ่ายโอนและการส่งมอบอำนาจจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายนั้นจะมาพร้อมกับสงครามที่ดุเดือดเสมอ ตัวอย่างเช่น การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทะเลระหว่างอังกฤษและสเปน และการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทวีประหว่างจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิไรช์ที่ 3 ของฝรั่งเศส

    อย่างไรก็ตาม ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจเจ้าโลกและในการถ่ายโอนอำนาจครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ กล่าวคือ การถ่ายโอนอำนาจระหว่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาไม่ได้เกิดขึ้นในความขัดแย้งโดยตรงขนาดใหญ่ ยกเว้นสงครามระดับภูมิภาคขนาดเล็กระหว่างทั้งสองประเทศ และการส่งมอบอย่างสันติก็บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง

    😎แล้วสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่อังกฤษในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของโลกโดยวิธีใด และสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างไรต่อการสลายอำนาจนำ?😎

    🤯หนึ่ง จุดเริ่มต้นของอำนาจครอบงำของอังกฤษและความเสื่อมถอย🤯

    ในปีค.ศ. 1815 นโปเลียนพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรของยุโรปซึ่งนำโดยนายพลเวลลิงตัน(Wellington)แห่งอังกฤษที่วอเตอร์ลู(Waterloo) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อังกฤษได้ขจัดอุปสรรคทั้งหมดในทวีปยุโรปและทั่วโลก

    ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจของอังกฤษถึงจุดสูงสุด ซึ่งเห็นได้จากการตระหนักถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงในบริเตนและการขยายอาณานิคมขนาดใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ

    😎สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนำของอังกฤษคือสันติภาพภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ ความได้เปรียบประการแรกที่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สหราชอาณาจักรมีบทบาทในการลดมิติในสงคราม โดยมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอำนาจทางเรือ เป็นการรับประกันที่มั่นคงสำหรับอำนาจเจ้าโลกของอังกฤษ😎

    😎หน่วยงานของจักรวรรดิได้นำประเด็นสำคัญสามประการมาใช้: นโยบายการตรวจสอบและถ่วงดุลของยุโรป การขยายอาณานิคม และความเหนือกว่าทางเรือ ในที่สุดก็กลายเป็นอาณาจักรที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน😎

    ด้วยการพัฒนาด้านการผลิตอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันขององค์กรได้อีกต่อไป และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองก็เกิดขึ้น คราวนี้พระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานเช้าช้างสหราชอาณาจักร แต่ทรงนำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองให้เกิดขึ้นในโลก โดยมอบให้กับเยอรมนีในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร

    อาศัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้สร้างแบบจำลองของอเมริกันและแบบของเยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รัฐบาลของทั้งสองประเทศพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างแข็งขัน และสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อแข่งขันกับอังกฤษเพื่อชิงอำนาจ

    😎อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโมเดลมีความแตกต่างกันในนโยบายต่างประเทศ คนเยอรมันกระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอำนาจทางทะเล เพื่อทำลายการปิดล้อมทางเรือของอังกฤษ กองทัพเรือเยอรมันจึงเปิดการแข่งขันด้านอาวุธทางเรือกับอังกฤษ😎

    😎สหรัฐอเมริกาอยู่ในทวีปอเมริกาและไม่มีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงเท่ากับเยอรมนี นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็ไม่เต็มใจที่จะทำสงครามกับอังกฤษอีกเช่นกัน เมื่อเทียบผลประโยชน์กับอำนาจเจ้าโลก ทางการสหรัฐฯ จึงสนใจเปิดสวนหลังบ้านในอเมริกาเป็นของตนเองเพื่อแสวงผลประโยชน์มากขึ้น😎

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่แท้จริงคืออังกฤษสูญเสียความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในการรักษาอำนาจอำนาจเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้แซงหน้าอังกฤษอย่างต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งยังเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจสำหรับการถ่ายโอนอำนาจในอนาคตด้วย

    🤯สอง ทางตัน🤯

    ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลก ในแง่ของการทหาร แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่อันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ได้เอาชนะสเปนผู้เป็นอาณานิคมเก่าในสงครามสเปน-อเมริกา

    ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกาทำให้ทางการสหรัฐฯ มั่นใจ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทูตทั้งหมด อดีตยุทธศาสตร์แผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและนโยบายความเป็นกลางในกิจการระหว่างประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการพัฒนาของสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป และลัทธิเจ้าโลกก็ค่อยๆผงาดสูงขึ้น

    ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากภายในประเทศมีการแพร่หลายลัทธิโดดเดี่ยวอย่างมาก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงแสดงจุดยืนที่เป็นกลางทันที

    อย่างไรก็ตาม สงครามในยุโรปไม่ได้ปล่อยให้สหรัฐอเมริกาอยู่ตามลำพัง การห้ามการค้าของประเทศต่างๆ และการโจมตีตามอำเภอใจต่างๆ ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อสหรัฐอเมริกา

    ประธานาธิบดีวิลสัน (Wilson)ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปได้หากปราศจากการแทรกแซงในสนามรบของยุโรป และพฤติกรรมซึ่งดูแล้วชวนทำให้เกิดความสิ้นหวังของทางการเยอรมันได้เร่งการแทรกแซงของสหรัฐฯ ในสงครามให้เร็วขึ้น

    ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ สกัดกั้นจดหมายลับสุดยอดที่ส่งจากเยอรมนีไปยังเม็กซิโก เนื้อหาของจดหมายประกอบด้วยเรื่องราวยุทธศาสตร์ระดับโลกในอนาคตของเยอรมนี ซึ่งรวมถึงแผนการจัดวางกำลังในอเมริกาเพื่อช่วยเม็กซิโกฟื้นฟูดินแดนที่ถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผย ความคิดเห็นของสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาก็เกิดความโกลาหล และกลุ่มซึ่งแต่เดิมมีความคิดนโยบายโดดเดี่ยวไม่เข้ากับฝ่ายใดก็เริ่มโน้มเข้าหาฝ่ายต้องการทำสงครามมากขึ้น

    เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการทำสงครามกับเยอรมนี แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐฯจะชนะ อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของทางการสหรัฐฯ และแผนสำหรับระเบียบโลกใหม่ล้มเหลว และอำนาจนำแบบดั้งเดิมยังคงยึดครองอย่างมั่นคงโดยกลุ่มประเทศอาณานิคมเก่า

    🤯โปรดติดตามบทความ#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง? ตอน 02. ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สหรัฐฯค่อยๆเข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ตอน 01.🤠 ตั้งแต่สมัยโบราณมา การถ่ายโอนและการส่งมอบอำนาจจากฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายนั้นจะมาพร้อมกับสงครามที่ดุเดือดเสมอ ตัวอย่างเช่น การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทะเลระหว่างอังกฤษและสเปน และการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจทางทวีประหว่างจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิไรช์ที่ 3 ของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจเจ้าโลกและในการถ่ายโอนอำนาจครั้งล่าสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ กล่าวคือ การถ่ายโอนอำนาจระหว่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกาไม่ได้เกิดขึ้นในความขัดแย้งโดยตรงขนาดใหญ่ ยกเว้นสงครามระดับภูมิภาคขนาดเล็กระหว่างทั้งสองประเทศ และการส่งมอบอย่างสันติก็บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง 😎แล้วสหรัฐฯ เข้ามาแทนที่อังกฤษในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของโลกโดยวิธีใด และสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างไรต่อการสลายอำนาจนำ?😎 🤯หนึ่ง จุดเริ่มต้นของอำนาจครอบงำของอังกฤษและความเสื่อมถอย🤯 ในปีค.ศ. 1815 นโปเลียนพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรของยุโรปซึ่งนำโดยนายพลเวลลิงตัน(Wellington)แห่งอังกฤษที่วอเตอร์ลู(Waterloo) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อังกฤษได้ขจัดอุปสรรคทั้งหมดในทวีปยุโรปและทั่วโลก ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 อำนาจของอังกฤษถึงจุดสูงสุด ซึ่งเห็นได้จากการตระหนักถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับสูงในบริเตนและการขยายอาณานิคมขนาดใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ 😎สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนำของอังกฤษคือสันติภาพภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ ความได้เปรียบประการแรกที่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้สหราชอาณาจักรมีบทบาทในการลดมิติในสงคราม โดยมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอำนาจทางเรือ เป็นการรับประกันที่มั่นคงสำหรับอำนาจเจ้าโลกของอังกฤษ😎 😎หน่วยงานของจักรวรรดิได้นำประเด็นสำคัญสามประการมาใช้: นโยบายการตรวจสอบและถ่วงดุลของยุโรป การขยายอาณานิคม และความเหนือกว่าทางเรือ ในที่สุดก็กลายเป็นอาณาจักรที่อยู่ยงคงกระพันซึ่งดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดิน😎 ด้วยการพัฒนาด้านการผลิตอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันขององค์กรได้อีกต่อไป และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองก็เกิดขึ้น คราวนี้พระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานเช้าช้างสหราชอาณาจักร แต่ทรงนำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองให้เกิดขึ้นในโลก โดยมอบให้กับเยอรมนีในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร อาศัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้สร้างแบบจำลองของอเมริกันและแบบของเยอรมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รัฐบาลของทั้งสองประเทศพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างแข็งขัน และสร้างพื้นฐานความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อแข่งขันกับอังกฤษเพื่อชิงอำนาจ 😎อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโมเดลมีความแตกต่างกันในนโยบายต่างประเทศ คนเยอรมันกระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอำนาจทางทะเล เพื่อทำลายการปิดล้อมทางเรือของอังกฤษ กองทัพเรือเยอรมันจึงเปิดการแข่งขันด้านอาวุธทางเรือกับอังกฤษ😎 😎สหรัฐอเมริกาอยู่ในทวีปอเมริกาและไม่มีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงเท่ากับเยอรมนี นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็ไม่เต็มใจที่จะทำสงครามกับอังกฤษอีกเช่นกัน เมื่อเทียบผลประโยชน์กับอำนาจเจ้าโลก ทางการสหรัฐฯ จึงสนใจเปิดสวนหลังบ้านในอเมริกาเป็นของตนเองเพื่อแสวงผลประโยชน์มากขึ้น😎 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่แท้จริงคืออังกฤษสูญเสียความได้เปรียบทางเศรษฐกิจในการรักษาอำนาจอำนาจเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาได้แซงหน้าอังกฤษอย่างต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งยังเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจสำหรับการถ่ายโอนอำนาจในอนาคตด้วย 🤯สอง ทางตัน🤯 ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลก ในแง่ของการทหาร แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ใช่อันดับหนึ่งของโลก แต่ก็ได้เอาชนะสเปนผู้เป็นอาณานิคมเก่าในสงครามสเปน-อเมริกา ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกาทำให้ทางการสหรัฐฯ มั่นใจ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการทูตทั้งหมด อดีตยุทธศาสตร์แผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและนโยบายความเป็นกลางในกิจการระหว่างประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการพัฒนาของสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป และลัทธิเจ้าโลกก็ค่อยๆผงาดสูงขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากภายในประเทศมีการแพร่หลายลัทธิโดดเดี่ยวอย่างมาก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงแสดงจุดยืนที่เป็นกลางทันที อย่างไรก็ตาม สงครามในยุโรปไม่ได้ปล่อยให้สหรัฐอเมริกาอยู่ตามลำพัง การห้ามการค้าของประเทศต่างๆ และการโจมตีตามอำเภอใจต่างๆ ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีวิลสัน (Wilson)ของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปได้หากปราศจากการแทรกแซงในสนามรบของยุโรป และพฤติกรรมซึ่งดูแล้วชวนทำให้เกิดความสิ้นหวังของทางการเยอรมันได้เร่งการแทรกแซงของสหรัฐฯ ในสงครามให้เร็วขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ สกัดกั้นจดหมายลับสุดยอดที่ส่งจากเยอรมนีไปยังเม็กซิโก เนื้อหาของจดหมายประกอบด้วยเรื่องราวยุทธศาสตร์ระดับโลกในอนาคตของเยอรมนี ซึ่งรวมถึงแผนการจัดวางกำลังในอเมริกาเพื่อช่วยเม็กซิโกฟื้นฟูดินแดนที่ถูกผนวกโดยสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผย ความคิดเห็นของสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาก็เกิดความโกลาหล และกลุ่มซึ่งแต่เดิมมีความคิดนโยบายโดดเดี่ยวไม่เข้ากับฝ่ายใดก็เริ่มโน้มเข้าหาฝ่ายต้องการทำสงครามมากขึ้น เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการทำสงครามกับเยอรมนี แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐฯจะชนะ อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของทางการสหรัฐฯ และแผนสำหรับระเบียบโลกใหม่ล้มเหลว และอำนาจนำแบบดั้งเดิมยังคงยึดครองอย่างมั่นคงโดยกลุ่มประเทศอาณานิคมเก่า 🤯โปรดติดตามบทความ#สหรัฐฯ ค่อยๆ เข้ามาแทนที่อังกฤษและกลายเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร? #การรื้ออำนาจเจ้าโลกจะมีผลกระทบอะไรบ้าง? ตอน 02. ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • 🛑 ขอนอกคอกหน่อย คนอื่น หรือแหล่งข้อมูลหลากหลาย จะแปลว่า รวยทางเดียว..
    มาดูสิ่งที่ผู้เขียน รับฟังจาก มหาเศรษฐีขาวจีนท่านนึง เขาอธิบายว่า
    _เลข 1 คือ เป็นที่ 1
    _ เลข 6 คือ การเดินทาง (ไม่ได้หมายถึงแค่การขับรถหมายรวมไปถึงทุกการเดินทาง (การใช้ชีวิตนั่นเอง)
    _ เลข 8 คือ ความร่ำรวย.
    ...
    ก็เอาความหมายเหล่านี้ผสมกัน ส่วนใครจะคิดคำสละสลวยแบบใด ก็ว่ากันไป..
    🧡 อยากที่เคยเขียน ผู้เขียนจะไม่เชื่อข้อมูลจากแหล่งเดียว จะเอาข้อมูลหบายส่วนมาเทียบและประมวลผล.
    1 ผลรวม 168 ได้ 15 ถือว่า ดีเยี่ยม
    2. ความหมายเลข 1 คือ ดวงอาทิตย์ ความเป็นที่ 1 มีพลังงานมาก
    ความหมายเลข 6 คือ การลุ่มหลง การมีมากๆ ความสุข สนุกสนาน.
    ความหมายเลข 8 คือ เลขรวย ของชาวจีน
    #สรุป# ทั้ง 3 เหตุผล จึงเป็นคำอธิบายว่า เลขนี้ ทำไมนิยม ทำไมแพง 🙂🙏🧡

    🛑 ขอนอกคอกหน่อย คนอื่น หรือแหล่งข้อมูลหลากหลาย จะแปลว่า รวยทางเดียว.. มาดูสิ่งที่ผู้เขียน รับฟังจาก มหาเศรษฐีขาวจีนท่านนึง เขาอธิบายว่า _เลข 1 คือ เป็นที่ 1 _ เลข 6 คือ การเดินทาง (ไม่ได้หมายถึงแค่การขับรถหมายรวมไปถึงทุกการเดินทาง (การใช้ชีวิตนั่นเอง) _ เลข 8 คือ ความร่ำรวย. ... ก็เอาความหมายเหล่านี้ผสมกัน ส่วนใครจะคิดคำสละสลวยแบบใด ก็ว่ากันไป.. 🧡 อยากที่เคยเขียน ผู้เขียนจะไม่เชื่อข้อมูลจากแหล่งเดียว จะเอาข้อมูลหบายส่วนมาเทียบและประมวลผล. 1 ผลรวม 168 ได้ 15 ถือว่า ดีเยี่ยม 2. ความหมายเลข 1 คือ ดวงอาทิตย์ ความเป็นที่ 1 มีพลังงานมาก ความหมายเลข 6 คือ การลุ่มหลง การมีมากๆ ความสุข สนุกสนาน. ความหมายเลข 8 คือ เลขรวย ของชาวจีน #สรุป# ทั้ง 3 เหตุผล จึงเป็นคำอธิบายว่า เลขนี้ ทำไมนิยม ทำไมแพง 🙂🙏🧡
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1189 Views 0 Reviews

  • หมายเลข 1

    : หมายถึง ความฉลาด รอบรู้ ว่องไว ใจร้อน ชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ มีเสน่ห์ ความเป็นผู้นำ เกี่ยวข้องกับพลังงานทุกชนิด
    แทน ดวงอาทิตย์
    หมายเลข 1 : หมายถึง ความฉลาด รอบรู้ ว่องไว ใจร้อน ชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจ มีเสน่ห์ ความเป็นผู้นำ เกี่ยวข้องกับพลังงานทุกชนิด แทน ดวงอาทิตย์
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.72: Three body problem

    ความในตอนนี้ก็ตอบสนองความสนใจส่วนตัวผมเองอีกละครับ พอดีว่าในเน็ทฟลิกซ์เขามีซีรี่ส์ชื่อเดียวกันนี้ คือ “Three body problem" แต่ตอนหลังผมถึงได้รู้มันมีความหมายทางวิทยาศาสตร์อยู่

    ผมจึงไปหาดูตามช่องยูทูบ 3-4 ช่องที่เขาได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ ซึ่งคนที่อธิบายได้เข้าใจที่สุดก็คือ ”ด็อกเตอร์นีล เดอกราส ไทสัน“ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คนดังชาวอเมริกันครับ

    ผมจึงขอเรียบเรียงสิ่งที่ผมเข้าใจมาให้ได้ลองอ่านกันดังนี้ครับ
    .
    .
    .
    คำว่า "Three body problem" นี้ แปลเป็นไทยแล้วจะงงๆ เพราะคำว่า body ในที่นี้แต่ดั้งเดิมมาจาก “ดวงดาว” ครับ

    คนที่สนใจในเรื่องนี้เป็นคนแรก คือ เซอร์ไอแซค นิวตัน (คนที่ลูกแอปเปิ้ลตกใส่หัวนั่นละครับ) เขาสงสัยว่าเมื่อดาวดวงหนึ่งโคจรรอบดาวอีกดวงหนึ่ง มันจะมีผลหรือมีแรงดึงต่อกันอย่างไร

    เช่น ดวงจันทร์โคจรรอบโลก หรือ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

    อันนี้ถือว่าเป็น Two body problem เพราะเป็นเรื่องของดาวสองดวง และนิวตันก็แก้โจทย์ในเรื่องนี้ได้สำเร็จด้วยการคิดค้นกฎของการเคลื่อนที่และสมการแรงโน้มถ่วงออกมา

    เรียกว่าเป็นแคลคูลัสในยุคแรกๆ

    แต่นิวตันก็ยังสังเกตอีกว่า ในระหว่างที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่นั้น เมื่อใดก็ตามที่โลกบังเอิญโคจรไปอยู่ตรงกับตำแหน่งที่ใกล้ดาวพฤหัสที่สุดปุ๊บ…

    แรงดึงดูดอันมหาศาลของดาวพฤหัส ก็สามารถดึงโลกเราหลุดออกจากวงโคจรปกติได้แว้บหนึ่ง ก่อนที่จะกลับสู่วงโคจรปกติได้เมื่อโลกกับดาวพฤหัสเคลื่อนคลาดกันไป

    พอนิวตันแกเห็นดั่งนี้ แกก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่คนเดียวบนโลก เพราะแกคิดว่าวงโคจรในระบบสุริยะนั้นมันไม่แน่นอนเสียแล้ว วันใดวันหนึ่งดาวเคราะห์อะไรต่างๆมันคงหลุดจากวงโคจรแล้วชนกันวินาศสันตะโรไปหมด

    ในความกลุ้มใจนั้น แกก็ยังแปลกใจอยู่อีกว่า แล้วทำไมวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ยังคงเสถียรอยู่ได้อีกล่ะ ทั้งๆที่ดาวดวงโน้นดึงดวงนี้กันอยู่ทุกทิศทาง

    แกไม่รู้จะตอบตัวเองอย่างไร แกก็เลยยกให้ว่า “พระเจ้าคงจัดการแก้ไว้หมดแล้วแหละ” แล้วนิวตันก็ตายจากโลกนี้ไป ทิ้งความสงสัยไว้ให้คนรุ่นหลัง
    .
    .
    .
    ผ่านไปอีก 100 กว่าปี ก็มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งชื่อ “ลาปลาซ - Laplace" (ใครที่เรียนวิศวะไฟฟ้าคงจะคุ้นชื่อแกดี เพราะแกเป็นคนคิดค้น Laplace transform) ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส เอาความสงสัยของนิวตันมาคิดต่อ

    และลาปลาซก็พัฒนาแคลคูลัสของนิวตัน จนกระทั่งแก้โจทย์ข้อนี้ได้สำเร็จเรียกว่า Perturbation Theory

    สรุปทฤษฎีนี้ได้สั้นๆว่า เมื่อโลกโคจรพ้นดาวพฤหัสไป แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ก็จะแก้วงโคจรของโลก(และดาวเคราะห์ทั้งหลาย)ให้กลับสู่วงโคจรปกติได้เอง

    เมื่อลาปลาซอธิบายเรื่องนี้ได้ทางคณิตศาสตร์ ก็ทำให้เราสบายใจได้ว่าวงโคจรของระบบสุริยะจะยังเสถียรต่อไปอีกหลายหมื่นปี และทำให้นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ล่วงหน้าได้เป็นร้อยๆพันๆปีว่าอะไรจะไปอยู่ตรงไหนเมื่อไร
    .
    .
    .
    ทีนี้ก็มาถึงโจทย์ Three body problem

    จากที่เราคุยกันไปตะกี้ว่า ลาปลาซเขาได้อธิบายแล้วว่าวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์จะยังคงเสถียรอยู่แม้จะโดนดาวพฤหัสดูดให้หลุดๆไปบ้างก็ตาม

    เหตุผลใหญ่ๆก็คือ โลกนั้นมีขนาดเล็กมากจนแรงดึงดูดเราสู้อะไรกับดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสไม่ได้ ใครใหญ่กว่าเราก็ต้องโคจรรอบเขาไป

    เรื่องนี้แม้จะถือเป็น Three bodies (ดวงอาทิตย์ - โลก - ดาวพฤหัส) แต่ถือว่ามีข้อจำกัด (restricted) เพราะขนาดของดาวทั้งสามไม่เท่ากัน โลกเราเล็กกระจิ๋วเดียว

    หรือ เมื่อดาวหางโคจรมาใกล้โลกกับดวงอาทิตย์ อันนี้ก็ยังถือว่าเป็น Restricted Three Body Problem เพราะดาวหางนั้นเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับโลกและดวงอาทิตย์

    โจทย์ Three body problem ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อดาวทั้งสามดวงมีขนาดไล่เลี่ยกัน มีแรงดึงดูดใกล้เคียงกัน โคจรวนมาเจอกัน ซึ่งนักคณิตศาสตร์พบว่าจะเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นทันที

    เพราะสมมติว่าถ้าหากดาว A ขยับไปทางซ้ายนิดเดียวทำให้ไปอยู่ใกล้ดาว B มากขึ้นหน่อยนึง หรือ ดาว C เคลื่อนออกไปนิดนึงก็ไม่มีใครสามารถคำนวณได้แล้วว่าการเดินทางของดาวทั้งสามดวงจะไปในทิศทางไหน

    เพราะแรงดึงดูดของดาวทั้งสามดวงมีความสัมพันธ์ต่อกัน จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความใกล้ไกล เมื่อมีอะไรเปลี่ยนนิดเดียวก็จะกระทบทั้งสามดวงเลย

    เรียกว่าเป็นความโกลาหล หรือ Chaos ของแท้

    อันเป็นปัญหาที่แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดบนโลกก็ไม่สามารถแก้โจทย์นี้ได้

    (บางคนอาจสงสัยว่า เฮ้ย…มันจะ “คำนวณ” ไม่ได้เลยเชียวรึ คำตอบคือ คำนวณได้ครับแต่จะ “คาดการณ์ - Predict" ไม่ได้ เพราะมันต้องคำนวณไปเรื่อยๆตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด เพราะตัวแปรเปลี่ยนตลอด)
    .
    .
    .
    คำว่า Three body problem นี้ถูกนำมาใช้ในการพูดถึงว่า “ความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยก็จะสามารถส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงได้”

    หรือ ”สิ่งต่างๆที่มีขนาดใกล้เคียงกันล้วนสร้างผลกระทบต่อกัน“

    ในตอนกลางๆเรื่อง ดร.นีล เดอกราส ไทสัน แกได้พูดถึงว่าเราชาวโลกควรสบายใจได้ว่าระบบสุริยะของเรายังคงเสถียรอยู่ ส่วนเรื่องวงโคจรจะเปลี่ยนไปไหมนั้น คำตอบก็คือมันก็มีโอกาส แต่จะเป็นอนาคตในอีกไกลแสนไกลข้างหน้าโน้นน

    …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ… ใครสนใจลองคลิกชมข้างล่างได้เลย ผมแถมคลิปอื่นที่ผมดูไว้ให้ด้วย

    https://youtu.be/6GfIDwwxfsM?si=_4_lFHPupSWAtCMU
    https://youtu.be/l2wnqlcOL9A?si=g_bOV4FOms7BblUb
    https://youtu.be/D89ngRr4uZg?si=oMReKBiPycFPerh7



    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.72: Three body problem ความในตอนนี้ก็ตอบสนองความสนใจส่วนตัวผมเองอีกละครับ พอดีว่าในเน็ทฟลิกซ์เขามีซีรี่ส์ชื่อเดียวกันนี้ คือ “Three body problem" แต่ตอนหลังผมถึงได้รู้มันมีความหมายทางวิทยาศาสตร์อยู่ ผมจึงไปหาดูตามช่องยูทูบ 3-4 ช่องที่เขาได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ ซึ่งคนที่อธิบายได้เข้าใจที่สุดก็คือ ”ด็อกเตอร์นีล เดอกราส ไทสัน“ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คนดังชาวอเมริกันครับ ผมจึงขอเรียบเรียงสิ่งที่ผมเข้าใจมาให้ได้ลองอ่านกันดังนี้ครับ . . . คำว่า "Three body problem" นี้ แปลเป็นไทยแล้วจะงงๆ เพราะคำว่า body ในที่นี้แต่ดั้งเดิมมาจาก “ดวงดาว” ครับ คนที่สนใจในเรื่องนี้เป็นคนแรก คือ เซอร์ไอแซค นิวตัน (คนที่ลูกแอปเปิ้ลตกใส่หัวนั่นละครับ) เขาสงสัยว่าเมื่อดาวดวงหนึ่งโคจรรอบดาวอีกดวงหนึ่ง มันจะมีผลหรือมีแรงดึงต่อกันอย่างไร เช่น ดวงจันทร์โคจรรอบโลก หรือ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ อันนี้ถือว่าเป็น Two body problem เพราะเป็นเรื่องของดาวสองดวง และนิวตันก็แก้โจทย์ในเรื่องนี้ได้สำเร็จด้วยการคิดค้นกฎของการเคลื่อนที่และสมการแรงโน้มถ่วงออกมา เรียกว่าเป็นแคลคูลัสในยุคแรกๆ แต่นิวตันก็ยังสังเกตอีกว่า ในระหว่างที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่นั้น เมื่อใดก็ตามที่โลกบังเอิญโคจรไปอยู่ตรงกับตำแหน่งที่ใกล้ดาวพฤหัสที่สุดปุ๊บ… แรงดึงดูดอันมหาศาลของดาวพฤหัส ก็สามารถดึงโลกเราหลุดออกจากวงโคจรปกติได้แว้บหนึ่ง ก่อนที่จะกลับสู่วงโคจรปกติได้เมื่อโลกกับดาวพฤหัสเคลื่อนคลาดกันไป พอนิวตันแกเห็นดั่งนี้ แกก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่คนเดียวบนโลก เพราะแกคิดว่าวงโคจรในระบบสุริยะนั้นมันไม่แน่นอนเสียแล้ว วันใดวันหนึ่งดาวเคราะห์อะไรต่างๆมันคงหลุดจากวงโคจรแล้วชนกันวินาศสันตะโรไปหมด ในความกลุ้มใจนั้น แกก็ยังแปลกใจอยู่อีกว่า แล้วทำไมวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 9 ที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ยังคงเสถียรอยู่ได้อีกล่ะ ทั้งๆที่ดาวดวงโน้นดึงดวงนี้กันอยู่ทุกทิศทาง แกไม่รู้จะตอบตัวเองอย่างไร แกก็เลยยกให้ว่า “พระเจ้าคงจัดการแก้ไว้หมดแล้วแหละ” แล้วนิวตันก็ตายจากโลกนี้ไป ทิ้งความสงสัยไว้ให้คนรุ่นหลัง . . . ผ่านไปอีก 100 กว่าปี ก็มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งชื่อ “ลาปลาซ - Laplace" (ใครที่เรียนวิศวะไฟฟ้าคงจะคุ้นชื่อแกดี เพราะแกเป็นคนคิดค้น Laplace transform) ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส เอาความสงสัยของนิวตันมาคิดต่อ และลาปลาซก็พัฒนาแคลคูลัสของนิวตัน จนกระทั่งแก้โจทย์ข้อนี้ได้สำเร็จเรียกว่า Perturbation Theory สรุปทฤษฎีนี้ได้สั้นๆว่า เมื่อโลกโคจรพ้นดาวพฤหัสไป แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ก็จะแก้วงโคจรของโลก(และดาวเคราะห์ทั้งหลาย)ให้กลับสู่วงโคจรปกติได้เอง เมื่อลาปลาซอธิบายเรื่องนี้ได้ทางคณิตศาสตร์ ก็ทำให้เราสบายใจได้ว่าวงโคจรของระบบสุริยะจะยังเสถียรต่อไปอีกหลายหมื่นปี และทำให้นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ล่วงหน้าได้เป็นร้อยๆพันๆปีว่าอะไรจะไปอยู่ตรงไหนเมื่อไร . . . ทีนี้ก็มาถึงโจทย์ Three body problem จากที่เราคุยกันไปตะกี้ว่า ลาปลาซเขาได้อธิบายแล้วว่าวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์จะยังคงเสถียรอยู่แม้จะโดนดาวพฤหัสดูดให้หลุดๆไปบ้างก็ตาม เหตุผลใหญ่ๆก็คือ โลกนั้นมีขนาดเล็กมากจนแรงดึงดูดเราสู้อะไรกับดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสไม่ได้ ใครใหญ่กว่าเราก็ต้องโคจรรอบเขาไป เรื่องนี้แม้จะถือเป็น Three bodies (ดวงอาทิตย์ - โลก - ดาวพฤหัส) แต่ถือว่ามีข้อจำกัด (restricted) เพราะขนาดของดาวทั้งสามไม่เท่ากัน โลกเราเล็กกระจิ๋วเดียว หรือ เมื่อดาวหางโคจรมาใกล้โลกกับดวงอาทิตย์ อันนี้ก็ยังถือว่าเป็น Restricted Three Body Problem เพราะดาวหางนั้นเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับโลกและดวงอาทิตย์ โจทย์ Three body problem ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อดาวทั้งสามดวงมีขนาดไล่เลี่ยกัน มีแรงดึงดูดใกล้เคียงกัน โคจรวนมาเจอกัน ซึ่งนักคณิตศาสตร์พบว่าจะเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นทันที เพราะสมมติว่าถ้าหากดาว A ขยับไปทางซ้ายนิดเดียวทำให้ไปอยู่ใกล้ดาว B มากขึ้นหน่อยนึง หรือ ดาว C เคลื่อนออกไปนิดนึงก็ไม่มีใครสามารถคำนวณได้แล้วว่าการเดินทางของดาวทั้งสามดวงจะไปในทิศทางไหน เพราะแรงดึงดูดของดาวทั้งสามดวงมีความสัมพันธ์ต่อกัน จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความใกล้ไกล เมื่อมีอะไรเปลี่ยนนิดเดียวก็จะกระทบทั้งสามดวงเลย เรียกว่าเป็นความโกลาหล หรือ Chaos ของแท้ อันเป็นปัญหาที่แม้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุดบนโลกก็ไม่สามารถแก้โจทย์นี้ได้ (บางคนอาจสงสัยว่า เฮ้ย…มันจะ “คำนวณ” ไม่ได้เลยเชียวรึ คำตอบคือ คำนวณได้ครับแต่จะ “คาดการณ์ - Predict" ไม่ได้ เพราะมันต้องคำนวณไปเรื่อยๆตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด เพราะตัวแปรเปลี่ยนตลอด) . . . คำว่า Three body problem นี้ถูกนำมาใช้ในการพูดถึงว่า “ความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยก็จะสามารถส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงได้” หรือ ”สิ่งต่างๆที่มีขนาดใกล้เคียงกันล้วนสร้างผลกระทบต่อกัน“ ในตอนกลางๆเรื่อง ดร.นีล เดอกราส ไทสัน แกได้พูดถึงว่าเราชาวโลกควรสบายใจได้ว่าระบบสุริยะของเรายังคงเสถียรอยู่ ส่วนเรื่องวงโคจรจะเปลี่ยนไปไหมนั้น คำตอบก็คือมันก็มีโอกาส แต่จะเป็นอนาคตในอีกไกลแสนไกลข้างหน้าโน้นน …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ… ใครสนใจลองคลิกชมข้างล่างได้เลย ผมแถมคลิปอื่นที่ผมดูไว้ให้ด้วย https://youtu.be/6GfIDwwxfsM?si=_4_lFHPupSWAtCMU https://youtu.be/l2wnqlcOL9A?si=g_bOV4FOms7BblUb https://youtu.be/D89ngRr4uZg?si=oMReKBiPycFPerh7 นัทแนะ
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • #ถ้าพี่ชายจริงป่านนี้เอามาออกกล้องด้วยแล้ว
    แหม่ มีซูม แพนกล้อง นึกว่าถ่าย mv นะ
    อิเหวิงกาฝาก คนไทยดูออก
    ปิดคอมเม้น แล้วผัวกะเอเจนซี่หวังแก้เกมส์
    ลบภาพคู่กับชาลีเกลี้ยง
    คือ ถามจริงๆนะ เชื่อจริงๆเหรอว่าถ้าไม่มีเน็กชาลี
    แล้วใครจะมาซัพพอตเมิงฟร๊ะ
    เป็นแค่ดาวแคระ แต่คิดว่าตัวเองเป็นดวงอาทิตย์
    ไหนกร่างว่า ใครไม่ชอบฉันก็อันฟอลไปดิ
    นึกถึงเพลงพี่เท่งขึ้นมาเลย ร้องไห้หา......
    อยากดูต่อว่าจะแสดงได้อีกซักกี่น้ำ
    เพราะตอนนี้ความฮับก็ถูกเปิดแล้ว
    ว่าไอ่ที่แดรกม่ามาหาค่าเทอมเป็นแค่การแสดง
    ได้ส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์เดือนเจ็ดแปดหมื่น
    นั่งไลฟ์สดแทบจะ 24 ชม.
    ก่อนที่ชาลีดึงมาเป็นดาว
    แล้วเมิงก็บอกว่าเมิงดังด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งใคร
    วันนี้มาสร้างคอนเท้นร้องน้ำตาเล็ด
    ก็คอนเท้นอีกตามเคย
    แต่ก็ยังมีนะ คนไทยบางคนแบบที่อิเหวิงมันบอก
    คือ ห-ล-อ-ก ง่าย ยังอวยไม่เลิก
    ก็ส่งติ๊กเกอร์ยาวๆกันต่อไป
    ให้มันมีกินมีใช้กับผัวไปอีกนานๆ
    ฮ่าๆๆๆๆ
    ไอ่ฉัด
    (ฉอตหลังคัทมีหัวเราะก่อนด้วยในตต. อิเหวิงกาฝาก อิกามิจ อิเหม็นเอ๊ย)
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ถ้าพี่ชายจริงป่านนี้เอามาออกกล้องด้วยแล้ว แหม่ มีซูม แพนกล้อง นึกว่าถ่าย mv นะ อิเหวิงกาฝาก คนไทยดูออก ปิดคอมเม้น แล้วผัวกะเอเจนซี่หวังแก้เกมส์ ลบภาพคู่กับชาลีเกลี้ยง คือ ถามจริงๆนะ เชื่อจริงๆเหรอว่าถ้าไม่มีเน็กชาลี แล้วใครจะมาซัพพอตเมิงฟร๊ะ เป็นแค่ดาวแคระ แต่คิดว่าตัวเองเป็นดวงอาทิตย์ ไหนกร่างว่า ใครไม่ชอบฉันก็อันฟอลไปดิ นึกถึงเพลงพี่เท่งขึ้นมาเลย ร้องไห้หา...... อยากดูต่อว่าจะแสดงได้อีกซักกี่น้ำ เพราะตอนนี้ความฮับก็ถูกเปิดแล้ว ว่าไอ่ที่แดรกม่ามาหาค่าเทอมเป็นแค่การแสดง ได้ส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์เดือนเจ็ดแปดหมื่น นั่งไลฟ์สดแทบจะ 24 ชม. ก่อนที่ชาลีดึงมาเป็นดาว แล้วเมิงก็บอกว่าเมิงดังด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งใคร วันนี้มาสร้างคอนเท้นร้องน้ำตาเล็ด ก็คอนเท้นอีกตามเคย แต่ก็ยังมีนะ คนไทยบางคนแบบที่อิเหวิงมันบอก คือ ห-ล-อ-ก ง่าย ยังอวยไม่เลิก ก็ส่งติ๊กเกอร์ยาวๆกันต่อไป ให้มันมีกินมีใช้กับผัวไปอีกนานๆ ฮ่าๆๆๆๆ ไอ่ฉัด (ฉอตหลังคัทมีหัวเราะก่อนด้วยในตต. อิเหวิงกาฝาก อิกามิจ อิเหม็นเอ๊ย) #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 4
    ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.2011 Feltman ซึ่งเป็นทั้งนายและเพื่อน Stevens เดินทางมา Benghazi เพื่อมาฟังความคืบหน้า ในการนัดพบครั้งหลังสุดในวันที่ 20 สิงหาคม กับแกนนำระดับสูงของฝ่ายกบฎ ซึ่งเป็นระดับรัฐมนตรี ฝ่ายอเมริกันอยากรู้ให้แน่ใจว่าฝ่ายกบฏจะบุก Tripoli เมื่อไหร่
    เมื่อทั้ง 2 คนเดินเข้าไปที่โรงแรม El Fadeel Hotel ซึ่งรัฐมนตรีนั่งคอยอยู่ในห้องประชุม Stevens กระซิบบอก Feltman ว่า เรายังมีเวลา เราไปนั่งสังเกตการณ์สักพักกันดีกว่า Stevens ชอบไปซุ่มสังเกตการณ์ตามร้านกาแฟ หรือตลาด ในสำนักงานหรือห้องรับแขก เขาต้องการได้ข้อมูล บางที่เป็นข้อมูลทั่วไป บางที่เป็นข้อมูลเฉพาะ เขาบอกว่าเราจะไม่ได้ข้อมูลนั้นจากการถามตรงๆหรอก เราจะได้จากการฟังมากกว่าการถาม แล้วเขาจะใช้วิธีหยุดฟังเวลาคุย หยุดเพื่อสร้างโอกาส ให้อีกฝ่ายพูดเติม
    รัฐมนตรีที่พวกอเมริกันจะไปคุยด้วยนี้ เป็นรัฐมนตรีที่ Qaddafi ตัดสินประหารชีวิตหลังจาก ที่เจ้าตัวหนีมาแล้ว รัฐมนตรีทักทายกับอเมริกันอย่างเป็นมิตร ชาถูกนำมาเสริฟ การสนทนาเริ่มขึ้น รัฐมนตรีเล่าถึงการที่เตรียมบุก Tripoli ซึ่งขณะนั้นการรบกำลังรุกไปที่ Soug-al-Jumaa เมืองที่อยู่ติด ๆ กับ Barghazi ส่วนเมืองอื่นๆจะลุกฮือพร้อมนำอาวุธที่ลอบนำเข้าไปไว้ในเมืองแล้ว และถึงตอนนั้นชาวเมือง Tripoli ก็จะประกาศว่าพวกเขาได้ทำการปฏิวัติแล้ว และกองกำลังคณะปฏิวัติก็จะรุกคืบไปทางตะวันออกต่อไป
    รัฐมนตรีอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติการอย่างชัดเจน แต่ Felthman ยังสงสัยว่า ไอ้ทีพูดมาทั้งหมดจะเชื่อถือได้ขนาดไหน
    “แล้วทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” Stevens ถาม
    “จวนแล้วละ” รัฐมนตรีตอบ
    Stevens จิบชา แล้วถามต่อว่า เออ ! จวนแล้วของคุณนี่หมายความว่าอย่างไรนะ
    “ในไม่ช้านี้ละ”
    “เราได้ยินมาแยะแล้ว” Stevens พูดนุ่มๆ และเงียบ มันไม่ใช่ความเงียบแบบที่ทำให้อึดอัด แต่ดูเป็นการพักคิดมากกว่า Stevens เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้ความเงียบกลายเป็นการเชื้อเชิญ
    รัฐมนตรีพูดต่อว่า “มันจะเริ่มคืนนี้แล้วละ”
    นี่เป็นข้อมูลที่น่าตื่นเต้น สมมุติว่าเป็นเรื่องจริง จังหวะเวลา การออกแบบ การจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้ในเมืองหลวงของประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการมากว่า 40 ปี ! ทั้ง Stevens และ Felthman ต่างรีบส่งรหัสลับรายงานไปทางวอซิงตัน แต่มันก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก ใครจะรู้ว่าจะเชื่อใครได้ขนาดไหนในระหว่างการทำสงคราม ?
    ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินหลังกำแพง Château Christophe ความมืดค่อยๆเข้ามาครอบคลุมเถาองุ่นต้นฝรั่งและเรือนรับรอง หลังจากมืดสนิท Felthman ได้ยินเสียงของปืนไรเฟิลดังก้อง เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องเหมือนการเฉลิมฉลอง
    การต่อสู้ที่ Tripoli ได้เริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับเสียงสวดที่กำลังเริ่มเช่นกัน และเมืองที่ตื่นขึ้นมาเมืองแรกคือ Souq al-Jamaa
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 4 ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.2011 Feltman ซึ่งเป็นทั้งนายและเพื่อน Stevens เดินทางมา Benghazi เพื่อมาฟังความคืบหน้า ในการนัดพบครั้งหลังสุดในวันที่ 20 สิงหาคม กับแกนนำระดับสูงของฝ่ายกบฎ ซึ่งเป็นระดับรัฐมนตรี ฝ่ายอเมริกันอยากรู้ให้แน่ใจว่าฝ่ายกบฏจะบุก Tripoli เมื่อไหร่ เมื่อทั้ง 2 คนเดินเข้าไปที่โรงแรม El Fadeel Hotel ซึ่งรัฐมนตรีนั่งคอยอยู่ในห้องประชุม Stevens กระซิบบอก Feltman ว่า เรายังมีเวลา เราไปนั่งสังเกตการณ์สักพักกันดีกว่า Stevens ชอบไปซุ่มสังเกตการณ์ตามร้านกาแฟ หรือตลาด ในสำนักงานหรือห้องรับแขก เขาต้องการได้ข้อมูล บางที่เป็นข้อมูลทั่วไป บางที่เป็นข้อมูลเฉพาะ เขาบอกว่าเราจะไม่ได้ข้อมูลนั้นจากการถามตรงๆหรอก เราจะได้จากการฟังมากกว่าการถาม แล้วเขาจะใช้วิธีหยุดฟังเวลาคุย หยุดเพื่อสร้างโอกาส ให้อีกฝ่ายพูดเติม รัฐมนตรีที่พวกอเมริกันจะไปคุยด้วยนี้ เป็นรัฐมนตรีที่ Qaddafi ตัดสินประหารชีวิตหลังจาก ที่เจ้าตัวหนีมาแล้ว รัฐมนตรีทักทายกับอเมริกันอย่างเป็นมิตร ชาถูกนำมาเสริฟ การสนทนาเริ่มขึ้น รัฐมนตรีเล่าถึงการที่เตรียมบุก Tripoli ซึ่งขณะนั้นการรบกำลังรุกไปที่ Soug-al-Jumaa เมืองที่อยู่ติด ๆ กับ Barghazi ส่วนเมืองอื่นๆจะลุกฮือพร้อมนำอาวุธที่ลอบนำเข้าไปไว้ในเมืองแล้ว และถึงตอนนั้นชาวเมือง Tripoli ก็จะประกาศว่าพวกเขาได้ทำการปฏิวัติแล้ว และกองกำลังคณะปฏิวัติก็จะรุกคืบไปทางตะวันออกต่อไป รัฐมนตรีอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติการอย่างชัดเจน แต่ Felthman ยังสงสัยว่า ไอ้ทีพูดมาทั้งหมดจะเชื่อถือได้ขนาดไหน “แล้วทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” Stevens ถาม “จวนแล้วละ” รัฐมนตรีตอบ Stevens จิบชา แล้วถามต่อว่า เออ ! จวนแล้วของคุณนี่หมายความว่าอย่างไรนะ “ในไม่ช้านี้ละ” “เราได้ยินมาแยะแล้ว” Stevens พูดนุ่มๆ และเงียบ มันไม่ใช่ความเงียบแบบที่ทำให้อึดอัด แต่ดูเป็นการพักคิดมากกว่า Stevens เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้ความเงียบกลายเป็นการเชื้อเชิญ รัฐมนตรีพูดต่อว่า “มันจะเริ่มคืนนี้แล้วละ” นี่เป็นข้อมูลที่น่าตื่นเต้น สมมุติว่าเป็นเรื่องจริง จังหวะเวลา การออกแบบ การจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้ในเมืองหลวงของประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการมากว่า 40 ปี ! ทั้ง Stevens และ Felthman ต่างรีบส่งรหัสลับรายงานไปทางวอซิงตัน แต่มันก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก ใครจะรู้ว่าจะเชื่อใครได้ขนาดไหนในระหว่างการทำสงคราม ? ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินหลังกำแพง Château Christophe ความมืดค่อยๆเข้ามาครอบคลุมเถาองุ่นต้นฝรั่งและเรือนรับรอง หลังจากมืดสนิท Felthman ได้ยินเสียงของปืนไรเฟิลดังก้อง เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องเหมือนการเฉลิมฉลอง การต่อสู้ที่ Tripoli ได้เริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับเสียงสวดที่กำลังเริ่มเช่นกัน และเมืองที่ตื่นขึ้นมาเมืองแรกคือ Souq al-Jamaa คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 Comments 0 Shares 449 Views 0 Reviews
  • ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ ๒ ดวง วันที่ ๙ ที่บางกอก
    ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ ๒ ดวง วันที่ ๙ ที่บางกอก
    0 Comments 0 Shares 131 Views 47 0 Reviews
  • 8 สิงหาคม 2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไม...ยุบก้าวไกล" ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาดังนี้

    ถาม เห็นพวกทูตฝรั่ง และประธานกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐ ดาหน้าออกมาท้วงติงไม่ให้ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว อาจารย์รับได้ไหมครับ ?

    ตอบ ฝรั่งตะวันตกถือตนเองเป็นจ้าวจักรวาล มีอเมริกาเป็นรัฐดวงอาทิตย์มีฝูงรัฐดาวเทียมในยุโรปเป็นบริวาร ร่วมกันถือประชาธิปไตยเป็นบัตรเสือก เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงประเทศเล็กๆที่เป็นรัฐอุกกาบาตล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ทั่วไป ถ้ารัฐบาลรัฐอุกาบาตใดขืนมือขืนเท้า เขาก็เปลี่ยนเอาได้ง่ายๆ
    ใครจะรับรัฐฝรั่งเหล่านี้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว มันสำคัญที่คนไทยเราเองต่างหากว่า เราเข้าใจและรับได้ในคำพิพากษานี้หรือไม่ สำหรับผม..ผมรับได้ครับ

    กษัตริย์แตะต้องไม่ได้ ?

    ถาม ฝรั่งมันว่า เสนอกฎหมายลดความคุ้มครองกษัตริย์ มันจะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร?

    ตอบ ต้องบอกเขาเลยว่า ร่างกฎหมายก้าวไกล ไม่ได้ลดความคุ้มครองนะครับ แต่เลิกการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ไปเลย ใครไปด่าว่าในหลวง ก็ต้องให้ในวังไปแจ้งความกล่าวโทษเอาเอง กษัตริย์เลยกลายเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ใช่สถาบันที่รัฐต้องคุ้มครองอีกต่อไป

    อำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญ!

    ถาม ถ้าร่างกฎหมายก้าวไกลขัดรัฐธรรมนูญ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสิครับ ว่ากฎหมายอย่างนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ใช้บังคับได้หรือเปล่า ไปสั่งปิดปากเขาก่อน แล้วฝังกลบยุบพรรคเขาเลยได้อย่างไร

    ตอบ สิ่งที่ศาลเห็นว่าผิดคือ “ความเคลื่อนไหว” ไม่ใช่ “ความคิด ” ตอนฮิตเลอร์สถาปนาพรรคนาซี เขาก็มีร่างกฎหมายชาตินิยมเสนอขึ้นมามากมาย แต่อันตรายต่อรัฐธรรมนูญมันอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของขบวนการนาซี ทั้งความคิด ทั้งการชุมนุม ทั้งการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังฮึกเหิม ที่มุ่งปฏิวัติกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยเยอรมันทั้งระบอบเลย

    พอหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศฝรั่งก็สร้างกฎหมายขึ้นมาป้องปรามความเคลื่อนไหวมวลชนปฏิวัติแบบนี้ขึ้นหลายแนวทาง ไทยเราก็คิดขึ้นมาใช้เหมือนกันในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๓ เกิดเป็น “สิทธิปกป้องรัฐธรรมนูญ ”ขึ้นมา แล้วมันผิดจากมาตรฐานโลกที่ตรงไหน

    ถาม ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถึง “ความเคลื่อนไหว” อันเป็นภัยนี้ ไว้ที่ตรงไหน ผมไม่เห็น

    ตอบ ต้องดูในคำวินิจฉัยแรกที่ศาลได้สั่งให้ก้าวไกลหยุดความเคลื่อนไหวทั้งปวงเลย

    “เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมือง นำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการปกครองที่สำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง ”

    “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค รวมทั้ง มีการรณรงค์ ให้มีการยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ”

    “ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย”

    อนาคตใหม่ ๓

    ถาม อาจารย์ว่าพรรค “อนาคตใหม่ ๓” จะยอมเลิกเคลื่อนไหวกร่อนเซาะสถาบันหรือไม่ ?

    ตอบ โลกนี้มันมีความฝัน ความคิด ให้นำมาปรุงแต่งเป็นธงนำได้หลายประการ เรื่องโลกแห่งความเสมอภาคนั้น คอมมูนิสต์ก็พยายามชี้นำ อธิบายเหมาโลกมาแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ชนชั้นนายทุน มาวันนี้ธงชี้นำนี้ก็เก่าไปแล้ว

    พอมาช่วงไล่ คสช. ก็มีผู้นำ “สถาบันกษัตริย์” มาเหมาให้เป็นจำเลยใหม่อีก แถมเอาไปโยงเชื่อมต่อกับปฏิวัติ ๒๔๗๕ ให้ดูขลังขึ้นอีกด้วย จากนั้นก็ปรุงแต่งเพิ่มความเสมอภาคของเพศ,ของเด็ก,ของผู้ใช้แรงงาน และของผู้อพยพเข้าไปอีก “ความใหม่” มันก็ก่อตัวจนดูดี มีแรงดึงดูดขึ้นมาได้

    เมื่อผนวกกับฝ่ายผู้บริโภคคือคนรุ่นใหม่ ที่กำลังหลงเริงอยู่ในยุคแห่งอิสระภาพ จากพ่อแม่ จากสังคมชาติ จากวัฒนธรรม พวกเขาก็เลยสมาทานความใหม่เหล่านี้ผ่านโลกโซเชียล เข้าไปในตัวตนได้ในที่สุด

    ถาม “อนาคตใหม่ ๓” จะไม่ยอมเปลี่ยน “ความใหม่ ”ข้างต้นนี้หรือครับ

    ตอบ เราได้แต่หวังเท่านั้นว่าเขาจะเปลี่ยน คิดใหม่แล้วชูธงใหม่ไปในทางสร้างสรรค์ มุ่งแก้ปัญหาจริงในบ้านเมืองอย่างจริงจัง แล้วชักนำพลังคนรุ่นใหม่ไปสร้างบ้านเมืองใหม่ของเขาได้ต่อไป คนดีที่รู้จักคิดอ่านผมก็เห็นว่าพอมีอยู่บ้างเหมือนกัน

    เฉพาะวันนี้วิกฤตโลกาภิวัฒน์เกิดชัดเจนแล้วทั้งสงครามและเศรษฐกิจ

    “อนาคตเก่า” อยู่ไม่ได้แล้วล่ะครับ

    ที่มา : ไทยโพสต์
    8 สิงหาคม 2567 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง "ทำไม...ยุบก้าวไกล" ในรูปแบบถาม-ตอบ มีเนื้อหาดังนี้ ถาม เห็นพวกทูตฝรั่ง และประธานกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐ ดาหน้าออกมาท้วงติงไม่ให้ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว อาจารย์รับได้ไหมครับ ? ตอบ ฝรั่งตะวันตกถือตนเองเป็นจ้าวจักรวาล มีอเมริกาเป็นรัฐดวงอาทิตย์มีฝูงรัฐดาวเทียมในยุโรปเป็นบริวาร ร่วมกันถือประชาธิปไตยเป็นบัตรเสือก เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงประเทศเล็กๆที่เป็นรัฐอุกกาบาตล่องลอยเคว้งคว้างอยู่ทั่วไป ถ้ารัฐบาลรัฐอุกาบาตใดขืนมือขืนเท้า เขาก็เปลี่ยนเอาได้ง่ายๆ ใครจะรับรัฐฝรั่งเหล่านี้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย มันเป็นเช่นนี้มานานแล้ว มันสำคัญที่คนไทยเราเองต่างหากว่า เราเข้าใจและรับได้ในคำพิพากษานี้หรือไม่ สำหรับผม..ผมรับได้ครับ กษัตริย์แตะต้องไม่ได้ ? ถาม ฝรั่งมันว่า เสนอกฎหมายลดความคุ้มครองกษัตริย์ มันจะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร? ตอบ ต้องบอกเขาเลยว่า ร่างกฎหมายก้าวไกล ไม่ได้ลดความคุ้มครองนะครับ แต่เลิกการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ไปเลย ใครไปด่าว่าในหลวง ก็ต้องให้ในวังไปแจ้งความกล่าวโทษเอาเอง กษัตริย์เลยกลายเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ใช่สถาบันที่รัฐต้องคุ้มครองอีกต่อไป อำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญ! ถาม ถ้าร่างกฎหมายก้าวไกลขัดรัฐธรรมนูญ ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสิครับ ว่ากฎหมายอย่างนี้ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ใช้บังคับได้หรือเปล่า ไปสั่งปิดปากเขาก่อน แล้วฝังกลบยุบพรรคเขาเลยได้อย่างไร ตอบ สิ่งที่ศาลเห็นว่าผิดคือ “ความเคลื่อนไหว” ไม่ใช่ “ความคิด ” ตอนฮิตเลอร์สถาปนาพรรคนาซี เขาก็มีร่างกฎหมายชาตินิยมเสนอขึ้นมามากมาย แต่อันตรายต่อรัฐธรรมนูญมันอยู่ที่ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของขบวนการนาซี ทั้งความคิด ทั้งการชุมนุม ทั้งการปลุกระดมมวลชนให้เกลียดชังฮึกเหิม ที่มุ่งปฏิวัติกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยเยอรมันทั้งระบอบเลย พอหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศฝรั่งก็สร้างกฎหมายขึ้นมาป้องปรามความเคลื่อนไหวมวลชนปฏิวัติแบบนี้ขึ้นหลายแนวทาง ไทยเราก็คิดขึ้นมาใช้เหมือนกันในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๓ เกิดเป็น “สิทธิปกป้องรัฐธรรมนูญ ”ขึ้นมา แล้วมันผิดจากมาตรฐานโลกที่ตรงไหน ถาม ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถึง “ความเคลื่อนไหว” อันเป็นภัยนี้ ไว้ที่ตรงไหน ผมไม่เห็น ตอบ ต้องดูในคำวินิจฉัยแรกที่ศาลได้สั่งให้ก้าวไกลหยุดความเคลื่อนไหวทั้งปวงเลย “เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมือง นำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการปกครองที่สำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง ” “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค รวมทั้ง มีการรณรงค์ ให้มีการยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ” “ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย” อนาคตใหม่ ๓ ถาม อาจารย์ว่าพรรค “อนาคตใหม่ ๓” จะยอมเลิกเคลื่อนไหวกร่อนเซาะสถาบันหรือไม่ ? ตอบ โลกนี้มันมีความฝัน ความคิด ให้นำมาปรุงแต่งเป็นธงนำได้หลายประการ เรื่องโลกแห่งความเสมอภาคนั้น คอมมูนิสต์ก็พยายามชี้นำ อธิบายเหมาโลกมาแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ชนชั้นนายทุน มาวันนี้ธงชี้นำนี้ก็เก่าไปแล้ว พอมาช่วงไล่ คสช. ก็มีผู้นำ “สถาบันกษัตริย์” มาเหมาให้เป็นจำเลยใหม่อีก แถมเอาไปโยงเชื่อมต่อกับปฏิวัติ ๒๔๗๕ ให้ดูขลังขึ้นอีกด้วย จากนั้นก็ปรุงแต่งเพิ่มความเสมอภาคของเพศ,ของเด็ก,ของผู้ใช้แรงงาน และของผู้อพยพเข้าไปอีก “ความใหม่” มันก็ก่อตัวจนดูดี มีแรงดึงดูดขึ้นมาได้ เมื่อผนวกกับฝ่ายผู้บริโภคคือคนรุ่นใหม่ ที่กำลังหลงเริงอยู่ในยุคแห่งอิสระภาพ จากพ่อแม่ จากสังคมชาติ จากวัฒนธรรม พวกเขาก็เลยสมาทานความใหม่เหล่านี้ผ่านโลกโซเชียล เข้าไปในตัวตนได้ในที่สุด ถาม “อนาคตใหม่ ๓” จะไม่ยอมเปลี่ยน “ความใหม่ ”ข้างต้นนี้หรือครับ ตอบ เราได้แต่หวังเท่านั้นว่าเขาจะเปลี่ยน คิดใหม่แล้วชูธงใหม่ไปในทางสร้างสรรค์ มุ่งแก้ปัญหาจริงในบ้านเมืองอย่างจริงจัง แล้วชักนำพลังคนรุ่นใหม่ไปสร้างบ้านเมืองใหม่ของเขาได้ต่อไป คนดีที่รู้จักคิดอ่านผมก็เห็นว่าพอมีอยู่บ้างเหมือนกัน เฉพาะวันนี้วิกฤตโลกาภิวัฒน์เกิดชัดเจนแล้วทั้งสงครามและเศรษฐกิจ “อนาคตเก่า” อยู่ไม่ได้แล้วล่ะครับ ที่มา : ไทยโพสต์
    0 Comments 0 Shares 763 Views 0 Reviews