• แกะรอยนักล่า ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (3)
    คุณครูผู้ปกครอง CRS เขียนสมุดรายงานความประพฤตินักเรียนไทยแบบไม่ต้องตีความกันมาก อเมริการับไม่ได้ที่จะให้ไทยแลนด์เล่นกีฬาสีภายในกันไปตลอดชาติ มันต้องหยุดเสียที จะหยุดแบบไหน ก็แบบที่ทำให้ประเทศไทยมีความสงบมั่นคงนั่นแหละ เพราะมันเป็นความจำเป็นของนักล่า ในการจะใช้ไทย ที่มีบ้านเมืองสงบมั่นคง ร่วมขบวนทัพไปบุกบ้านอาเฮีย !

คุณครูเขียนเองนะว่า ประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมว่า มีความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองมาตลอด จนเมื่อมีการปฏิวัติ ค.ศ. 2006 (เมื่อมีการไล่ไอ้โจรร้ายออกไป แล้วไอ้โจรร้ายมันไม่ยอมรับ ไม่ว่าผลทางกฏหมาย หรือผลทางการเมือง มันถึงได้ตีตั๋วรวนแบบตั๋วไม่มีหมดอายุ จนกว่าหมดอายุกันไปข้างหนึ่งน่ะแหละ) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าสื่อนอกหรือคุณนายฑูต มันว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เอารายงานคุณครู CRS ของพวกมันเองนี้แหละ ส่งไปให้อ่านนะครับ ทำเป็นแผ่นโปสเตอร์ใหญ่ ติดหน้าสถาน
ฑูตมันเลยดีไหมพี่น้อง เดี๋ยวผมจะเอา link มาลง แล้วก็ช่วยกันอ่าน ช่วยกันก๊อบส่งกันไป จริง ๆ ก็หาไม่ยากอะไร กดถามอากู “Thailand : Background and US Relations” ปี ค.ศ. 2013 มันก็ขึ้นมาแล้วครับ
    นักล่ามันจะทนนั่งเกาหัวดูอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ประเทศนี้อยู่ในอุ้งมือมันมาตั้งกะ ค.ศ. 1954 กว่า 60 ปีมาแล้ว ของมันเคย เคยมี เคยสั่ง เคยใช้กันได้ วันดีคืนดีมีอาเฮียมายืนพุงโต แอบจับมือกับสมันน้อยอีกคน ความอิจฉาตาร้อนก็ต้องมีเป็นธรรมดา ยังมาปากแข็งทำเป็นขู่ว่า ไอไม่ให้ไทยแลนด์เล่นเป็นตัวเอกในหนังใหม่เรื่อง เมื่อคาวบอยบุก
เซียงไฮ้ “Rebalancing” พูดแบบนี้ นึกว่าสมันน้อยจะร้องไห้ฟูมฟายหรือ ขอโทษผ่านมา 60 ปีแล้ว ไม่มีคอมมี่มาขู่ให้สมันน้อยผวาแล้ว แถมตอนนี้สมันน้อยเนื้อหอม
ไม่ให้เล่นเป็นพระเอก ในเรื่องคาวบอยบุกเซียงไฮ้ สมันน้อยอาจจะเลือกไปเล่นเป็นนางเอกเรื่อง เมื่อเซียงไฮ้ถล่มแอลเอ แทนก็ได้นะ
แล้วไงล่ะ ไปเอาพวกตัวประกอบหน้าใหม่ ผักชีโรยหน้ามาเล่นแทนนะ จะให้กบกระโดดมาจากอินโดนีเซี ย หรือออสเตรเลีย ไม่มีใบบัวแถวชุมพรรองรับ กบได้จมน้ำตายเกลี้ยง เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน ก็รู้อยู่แก่ใจ จนหลุดปากบอกออกมาแล้วว่า ตำแหน่งที่ประเทศไทยตั้งอยู่มันเป็นส่วนสำคัญ (อย่างยิ่ง !) สำหรับการจะเข้าไปเล่นบทคาวบอยบุกเซียงไฮ้
    รายงานของคุณครูผู้ปกครอง CRS ออกมาปลายธันวาคม ค.ศ. 2013
shut down กรุงเทพฯ ของลุงกำนัน 9 ธันวาคม เกิดขึ้นแล้ว นักล่าเห็นแล้วว่า
มวลมหาประชาชน แม้จะร้องรำทำเพลงประกอบการประท้วงขับไล่ทุกวัน แต่ก็เอาจริง (เอะ ! หรือนักล่ามันเป็นคนช่วยส่ง ช่วยเสริม ให้เอาจริง ความสงบจะได้มาเร็ว !?!) แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ให้เห็นว่ารัฐบาลแพ้ยับเยิน บวกกับรายงานการสำรวจของ Asia Foundation ที่บอกว่าคนชั้นกลางจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ สนับสนุนฝ่ายไล่รัฐบาล
    นักล่าไม่ต้องคิดมาก คุณครู CRS เขียนสารภาพออกมาแล้วว่า ไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ นำเข้าสินค้าจากอเมริกาเป็นจำนวนมาก ชนชั้นกลางคือผู้มีกำลังซื้อ จะปล่อยให้เล่นชกมวยสนามในบ้านไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้นักล่าเสียหายในสนามภูมิภาค แถมจะกระเทือนตำแหน่งแชมป์โลกเอาด้วย ไหนจะเรื่องกบจะจมน้ำเพราะไม่มีใบบัวรองรับ ไหนจะมีอาเฮียคอยคว้าสะเอวสมัน น้อยไปเดินเล่น นี่ยังมีเรื่องค้าขายอีก โอ้ พระเจ้า เศรษฐกิจไอกำลังอาการหนัก ต้องการกำลังซื้ออย่างยิ่ง แล้วพวกผักชีโรยหน้าที่ไปเจรจาไว้นะ เอาเข้าจริงจะพึ่งได้แบบ Mil to Mil อย่างคุณพี่ทหารของไทยแลนด์หรือเปล่า สิงคโปร์น่ะ ยังต้องส่งทหารมาฝึกกับคุณพี่ตู่ทุกปี เวียตนามล่ะ รบคนละแนว อาวุธยุทโธปกรณ์เขาก็ได้จากพี่ปูของรัสเซียทั้งนั้น แล้วแน่ใจหรือว่าคุณเวียตเขาจะเชื่อว่านักล่า รักจริงหวังแต่ง รบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบื่อ เขาไม่ลืมง่าย ๆ หรอกน่า
    ส่วนอินโดน่ะ ตอนคุณพี่ Obama ไปตั้งให้เป็นคู่หูคนใหม่ เพราะบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยอาศัยอยู่บ้านเมืองเขาอยู่เมื่อเด็ก ๆ น่ะ นักวิเคราะห์ค่ายนักล่าเอง หัวร่อกันครืน บอกว่าทดแทนบุญคุณผิดที่เสียแล้วท่าน ท่านอาจจะกำลังยื่นดาบให้ศัตรู (อ้าวตาย เรื่องนี้เขาปิดกันหรือเปล่านะ) ฟิลิปปินส์เองก็ใช่ว่าหายเคืองกัน เดี๋ยวสั่งปิดเดี๋ยวสั่งเปิดฐานทัพ ชาวบ้านเขาก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ วัน ๆ วิดน้ำทะเลออกจากบ้านก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว พายุมาแล้ว มาอีก แล้วคุณพ่ออเมริกามาช่วยอะไรบ้างล่ะ ถ้าจะให้ดีช่วยกลับไปอ่าน ยุทธการกบกระโดด อีกรอบนะครับ จะได้ประหยัดแรงงานคนแก่ ไม่ต้องเขียนซ้ำ
    เห็นได้ชัดว่า นักล่าแทบไม่มีทางเลือกหรอก อยากจะบุกเซียงไฮ้ ไม่มีไทยแลนด์เข้าฉากด้วย บอกได้คำเดียวว่าหนังจืดครับ เผลอ ๆ คนดูนอนหลับ น้ำลายไหลยึด จะลุยกับ
อาเฮียเขาทั้งที มันต้องยกทัพโยธาเป็นขบวนใหญ่ มันถึงจะสมศักดิ์ศรีนักล่า มีแต่เด็ก ๆ หรือพวกหน้าใหม่ผักชีโรยหน้าไป แต่หัวหมู่ทะลวงฟันคบกับมา 60 ปี มองหน้ารู้ใจ
ไม่เอาไปด้วย อย่างนี้ต้องส่งสามก๊กบวกตำรา ซุนวูไปให้ คุณพี่ Obama อ่านแทนฟังรายงานของ ไอ้พวกถังสมอง (think tank) พูดถึงเรื่องถังสมอง เดี๋ยวจะแถมให้ก่อนจบ ถ้าไม่ลืมซะก่อน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (3) คุณครูผู้ปกครอง CRS เขียนสมุดรายงานความประพฤตินักเรียนไทยแบบไม่ต้องตีความกันมาก อเมริการับไม่ได้ที่จะให้ไทยแลนด์เล่นกีฬาสีภายในกันไปตลอดชาติ มันต้องหยุดเสียที จะหยุดแบบไหน ก็แบบที่ทำให้ประเทศไทยมีความสงบมั่นคงนั่นแหละ เพราะมันเป็นความจำเป็นของนักล่า ในการจะใช้ไทย ที่มีบ้านเมืองสงบมั่นคง ร่วมขบวนทัพไปบุกบ้านอาเฮีย !

คุณครูเขียนเองนะว่า ประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมว่า มีความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองมาตลอด จนเมื่อมีการปฏิวัติ ค.ศ. 2006 (เมื่อมีการไล่ไอ้โจรร้ายออกไป แล้วไอ้โจรร้ายมันไม่ยอมรับ ไม่ว่าผลทางกฏหมาย หรือผลทางการเมือง มันถึงได้ตีตั๋วรวนแบบตั๋วไม่มีหมดอายุ จนกว่าหมดอายุกันไปข้างหนึ่งน่ะแหละ) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าสื่อนอกหรือคุณนายฑูต มันว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เอารายงานคุณครู CRS ของพวกมันเองนี้แหละ ส่งไปให้อ่านนะครับ ทำเป็นแผ่นโปสเตอร์ใหญ่ ติดหน้าสถาน
ฑูตมันเลยดีไหมพี่น้อง เดี๋ยวผมจะเอา link มาลง แล้วก็ช่วยกันอ่าน ช่วยกันก๊อบส่งกันไป จริง ๆ ก็หาไม่ยากอะไร กดถามอากู “Thailand : Background and US Relations” ปี ค.ศ. 2013 มันก็ขึ้นมาแล้วครับ นักล่ามันจะทนนั่งเกาหัวดูอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ประเทศนี้อยู่ในอุ้งมือมันมาตั้งกะ ค.ศ. 1954 กว่า 60 ปีมาแล้ว ของมันเคย เคยมี เคยสั่ง เคยใช้กันได้ วันดีคืนดีมีอาเฮียมายืนพุงโต แอบจับมือกับสมันน้อยอีกคน ความอิจฉาตาร้อนก็ต้องมีเป็นธรรมดา ยังมาปากแข็งทำเป็นขู่ว่า ไอไม่ให้ไทยแลนด์เล่นเป็นตัวเอกในหนังใหม่เรื่อง เมื่อคาวบอยบุก
เซียงไฮ้ “Rebalancing” พูดแบบนี้ นึกว่าสมันน้อยจะร้องไห้ฟูมฟายหรือ ขอโทษผ่านมา 60 ปีแล้ว ไม่มีคอมมี่มาขู่ให้สมันน้อยผวาแล้ว แถมตอนนี้สมันน้อยเนื้อหอม
ไม่ให้เล่นเป็นพระเอก ในเรื่องคาวบอยบุกเซียงไฮ้ สมันน้อยอาจจะเลือกไปเล่นเป็นนางเอกเรื่อง เมื่อเซียงไฮ้ถล่มแอลเอ แทนก็ได้นะ
แล้วไงล่ะ ไปเอาพวกตัวประกอบหน้าใหม่ ผักชีโรยหน้ามาเล่นแทนนะ จะให้กบกระโดดมาจากอินโดนีเซี ย หรือออสเตรเลีย ไม่มีใบบัวแถวชุมพรรองรับ กบได้จมน้ำตายเกลี้ยง เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน ก็รู้อยู่แก่ใจ จนหลุดปากบอกออกมาแล้วว่า ตำแหน่งที่ประเทศไทยตั้งอยู่มันเป็นส่วนสำคัญ (อย่างยิ่ง !) สำหรับการจะเข้าไปเล่นบทคาวบอยบุกเซียงไฮ้ รายงานของคุณครูผู้ปกครอง CRS ออกมาปลายธันวาคม ค.ศ. 2013
shut down กรุงเทพฯ ของลุงกำนัน 9 ธันวาคม เกิดขึ้นแล้ว นักล่าเห็นแล้วว่า
มวลมหาประชาชน แม้จะร้องรำทำเพลงประกอบการประท้วงขับไล่ทุกวัน แต่ก็เอาจริง (เอะ ! หรือนักล่ามันเป็นคนช่วยส่ง ช่วยเสริม ให้เอาจริง ความสงบจะได้มาเร็ว !?!) แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ให้เห็นว่ารัฐบาลแพ้ยับเยิน บวกกับรายงานการสำรวจของ Asia Foundation ที่บอกว่าคนชั้นกลางจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ สนับสนุนฝ่ายไล่รัฐบาล นักล่าไม่ต้องคิดมาก คุณครู CRS เขียนสารภาพออกมาแล้วว่า ไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ นำเข้าสินค้าจากอเมริกาเป็นจำนวนมาก ชนชั้นกลางคือผู้มีกำลังซื้อ จะปล่อยให้เล่นชกมวยสนามในบ้านไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้นักล่าเสียหายในสนามภูมิภาค แถมจะกระเทือนตำแหน่งแชมป์โลกเอาด้วย ไหนจะเรื่องกบจะจมน้ำเพราะไม่มีใบบัวรองรับ ไหนจะมีอาเฮียคอยคว้าสะเอวสมัน น้อยไปเดินเล่น นี่ยังมีเรื่องค้าขายอีก โอ้ พระเจ้า เศรษฐกิจไอกำลังอาการหนัก ต้องการกำลังซื้ออย่างยิ่ง แล้วพวกผักชีโรยหน้าที่ไปเจรจาไว้นะ เอาเข้าจริงจะพึ่งได้แบบ Mil to Mil อย่างคุณพี่ทหารของไทยแลนด์หรือเปล่า สิงคโปร์น่ะ ยังต้องส่งทหารมาฝึกกับคุณพี่ตู่ทุกปี เวียตนามล่ะ รบคนละแนว อาวุธยุทโธปกรณ์เขาก็ได้จากพี่ปูของรัสเซียทั้งนั้น แล้วแน่ใจหรือว่าคุณเวียตเขาจะเชื่อว่านักล่า รักจริงหวังแต่ง รบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบื่อ เขาไม่ลืมง่าย ๆ หรอกน่า ส่วนอินโดน่ะ ตอนคุณพี่ Obama ไปตั้งให้เป็นคู่หูคนใหม่ เพราะบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยอาศัยอยู่บ้านเมืองเขาอยู่เมื่อเด็ก ๆ น่ะ นักวิเคราะห์ค่ายนักล่าเอง หัวร่อกันครืน บอกว่าทดแทนบุญคุณผิดที่เสียแล้วท่าน ท่านอาจจะกำลังยื่นดาบให้ศัตรู (อ้าวตาย เรื่องนี้เขาปิดกันหรือเปล่านะ) ฟิลิปปินส์เองก็ใช่ว่าหายเคืองกัน เดี๋ยวสั่งปิดเดี๋ยวสั่งเปิดฐานทัพ ชาวบ้านเขาก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ วัน ๆ วิดน้ำทะเลออกจากบ้านก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว พายุมาแล้ว มาอีก แล้วคุณพ่ออเมริกามาช่วยอะไรบ้างล่ะ ถ้าจะให้ดีช่วยกลับไปอ่าน ยุทธการกบกระโดด อีกรอบนะครับ จะได้ประหยัดแรงงานคนแก่ ไม่ต้องเขียนซ้ำ เห็นได้ชัดว่า นักล่าแทบไม่มีทางเลือกหรอก อยากจะบุกเซียงไฮ้ ไม่มีไทยแลนด์เข้าฉากด้วย บอกได้คำเดียวว่าหนังจืดครับ เผลอ ๆ คนดูนอนหลับ น้ำลายไหลยึด จะลุยกับ
อาเฮียเขาทั้งที มันต้องยกทัพโยธาเป็นขบวนใหญ่ มันถึงจะสมศักดิ์ศรีนักล่า มีแต่เด็ก ๆ หรือพวกหน้าใหม่ผักชีโรยหน้าไป แต่หัวหมู่ทะลวงฟันคบกับมา 60 ปี มองหน้ารู้ใจ
ไม่เอาไปด้วย อย่างนี้ต้องส่งสามก๊กบวกตำรา ซุนวูไปให้ คุณพี่ Obama อ่านแทนฟังรายงานของ ไอ้พวกถังสมอง (think tank) พูดถึงเรื่องถังสมอง เดี๋ยวจะแถมให้ก่อนจบ ถ้าไม่ลืมซะก่อน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย

    การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน

    ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้

    ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้

    ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

    ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง

    #Newskit
    อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้ ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง #Newskit
    1 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • API ที่ดีไม่ควรฉลาดเกินไป — แค่ “น่าเบื่อ” ก็พอ

    ลองจินตนาการว่า API คือเครื่องมือช่างในกล่อง — คุณไม่อยากให้ไขควงมีฟีเจอร์ลับซ่อนอยู่ คุณแค่อยากให้มันหมุนได้ดีและไม่พังเมื่อใช้งาน

    Sean Goedecke เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า API ที่ดีควร “น่าเบื่อ” เพราะมันควรใช้งานได้โดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องอ่านเอกสารยาวเหยียด และไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้จะเปลี่ยนโครงสร้างจนโค้ดพัง

    แต่การออกแบบ API ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันต้องสมดุลระหว่าง “ความคุ้นเคย” กับ “ความยืดหยุ่น” และที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าทำให้ผู้ใช้ต้องแก้โค้ดเพราะคุณเปลี่ยนใจ”

    เขายกตัวอย่างว่าแม้แต่การเปลี่ยนชื่อ field หรือย้ายตำแหน่งใน JSON ก็อาจทำให้ระบบ downstream พังทั้งแถบ เพราะฉะนั้นหลักการสำคัญคือ “WE DO NOT BREAK USERSPACE”

    ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องใช้ versioning — เช่น /v1/ กับ /v2/ — เพื่อให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะอยู่กับเวอร์ชันเดิมหรืออัปเกรด

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นักพัฒนามักมองข้าม เช่น การรองรับ idempotency เพื่อให้ retry ได้อย่างปลอดภัย, การตั้ง rate limit เพื่อป้องกัน abuse, และการใช้ cursor-based pagination เพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมาก

    สุดท้าย เขาย้ำว่า API ที่ดีไม่สามารถช่วยผลิตภัณฑ์ที่แย่ได้ และผลิตภัณฑ์ที่ดีจะทำให้ผู้ใช้ยอมทนกับ API ที่แย่ — ดังนั้นจงโฟกัสที่ “สิ่งที่ API เชื่อมต่ออยู่” มากกว่าตัว API เอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    API ที่ดีควร “น่าเบื่อ” เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องอ่านเอกสาร
    การเปลี่ยนแปลง API มีต้นทุนสูง เพราะอาจทำให้ระบบ downstream พัง
    หลักการสำคัญคือ “WE DO NOT BREAK USERSPACE” — ห้ามเปลี่ยน field หรือโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว
    การเปลี่ยน API ควรใช้ versioning เช่น /v1/, /v2/ เพื่อให้ผู้ใช้เลือกได้
    API versioning เป็น “สิ่งจำเป็นแต่ยุ่งยาก” เพราะต้องดูแลหลายเวอร์ชันพร้อมกัน
    API ที่ดีควรมี idempotency key เพื่อให้ retry ได้โดยไม่เกิดผลซ้ำ
    ควรมี rate limit และ killswitch เพื่อป้องกันการใช้งานเกินขอบเขต
    การใช้ cursor-based pagination เหมาะกับข้อมูลจำนวนมาก เพราะเร็วและเสถียรกว่า offset
    ควรทำให้ field ที่ใช้ทรัพยากรสูงเป็น optional เช่น subscription status
    GraphQL มีข้อดีเรื่องความยืดหยุ่น แต่ซับซ้อนและยากต่อผู้ใช้ทั่วไป
    Internal API สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เพราะควบคุมผู้ใช้ได้โดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API versioning ช่วยให้สามารถอัปเดตระบบโดยไม่กระทบผู้ใช้เดิม
    การจัดการ breaking changes ต้องมีแผนระยะยาวและการสื่อสารที่ชัดเจน
    API-as-a-Service (APIaaS) ทำให้การจัดการเวอร์ชันเป็นเรื่องสำคัญในระบบขนาดใหญ่
    การใช้ header เช่น X-Limit-Remaining และ Retry-After ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการเรียก API ได้ดีขึ้น
    การใช้ Redis สำหรับเก็บ idempotency key เป็นวิธีง่ายและมีประสิทธิภาพ

    https://bmitch.net/blog/2025-08-22-ghrc-appears-malicious/
    🎙️ API ที่ดีไม่ควรฉลาดเกินไป — แค่ “น่าเบื่อ” ก็พอ ลองจินตนาการว่า API คือเครื่องมือช่างในกล่อง — คุณไม่อยากให้ไขควงมีฟีเจอร์ลับซ่อนอยู่ คุณแค่อยากให้มันหมุนได้ดีและไม่พังเมื่อใช้งาน Sean Goedecke เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า API ที่ดีควร “น่าเบื่อ” เพราะมันควรใช้งานได้โดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องอ่านเอกสารยาวเหยียด และไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้จะเปลี่ยนโครงสร้างจนโค้ดพัง แต่การออกแบบ API ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันต้องสมดุลระหว่าง “ความคุ้นเคย” กับ “ความยืดหยุ่น” และที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าทำให้ผู้ใช้ต้องแก้โค้ดเพราะคุณเปลี่ยนใจ” เขายกตัวอย่างว่าแม้แต่การเปลี่ยนชื่อ field หรือย้ายตำแหน่งใน JSON ก็อาจทำให้ระบบ downstream พังทั้งแถบ เพราะฉะนั้นหลักการสำคัญคือ “WE DO NOT BREAK USERSPACE” ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องใช้ versioning — เช่น /v1/ กับ /v2/ — เพื่อให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะอยู่กับเวอร์ชันเดิมหรืออัปเกรด นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นักพัฒนามักมองข้าม เช่น การรองรับ idempotency เพื่อให้ retry ได้อย่างปลอดภัย, การตั้ง rate limit เพื่อป้องกัน abuse, และการใช้ cursor-based pagination เพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมาก สุดท้าย เขาย้ำว่า API ที่ดีไม่สามารถช่วยผลิตภัณฑ์ที่แย่ได้ และผลิตภัณฑ์ที่ดีจะทำให้ผู้ใช้ยอมทนกับ API ที่แย่ — ดังนั้นจงโฟกัสที่ “สิ่งที่ API เชื่อมต่ออยู่” มากกว่าตัว API เอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ API ที่ดีควร “น่าเบื่อ” เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องอ่านเอกสาร ➡️ การเปลี่ยนแปลง API มีต้นทุนสูง เพราะอาจทำให้ระบบ downstream พัง ➡️ หลักการสำคัญคือ “WE DO NOT BREAK USERSPACE” — ห้ามเปลี่ยน field หรือโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว ➡️ การเปลี่ยน API ควรใช้ versioning เช่น /v1/, /v2/ เพื่อให้ผู้ใช้เลือกได้ ➡️ API versioning เป็น “สิ่งจำเป็นแต่ยุ่งยาก” เพราะต้องดูแลหลายเวอร์ชันพร้อมกัน ➡️ API ที่ดีควรมี idempotency key เพื่อให้ retry ได้โดยไม่เกิดผลซ้ำ ➡️ ควรมี rate limit และ killswitch เพื่อป้องกันการใช้งานเกินขอบเขต ➡️ การใช้ cursor-based pagination เหมาะกับข้อมูลจำนวนมาก เพราะเร็วและเสถียรกว่า offset ➡️ ควรทำให้ field ที่ใช้ทรัพยากรสูงเป็น optional เช่น subscription status ➡️ GraphQL มีข้อดีเรื่องความยืดหยุ่น แต่ซับซ้อนและยากต่อผู้ใช้ทั่วไป ➡️ Internal API สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เพราะควบคุมผู้ใช้ได้โดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API versioning ช่วยให้สามารถอัปเดตระบบโดยไม่กระทบผู้ใช้เดิม ➡️ การจัดการ breaking changes ต้องมีแผนระยะยาวและการสื่อสารที่ชัดเจน ➡️ API-as-a-Service (APIaaS) ทำให้การจัดการเวอร์ชันเป็นเรื่องสำคัญในระบบขนาดใหญ่ ➡️ การใช้ header เช่น X-Limit-Remaining และ Retry-After ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการเรียก API ได้ดีขึ้น ➡️ การใช้ Redis สำหรับเก็บ idempotency key เป็นวิธีง่ายและมีประสิทธิภาพ https://bmitch.net/blog/2025-08-22-ghrc-appears-malicious/
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม
    =================================================================
    ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น
    .
    ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม.
    .
    แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่)
    .
    สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน
    .
    ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง
    .
    ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร
    .
    ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่
    .
    ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O
    .
    เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้
    .
    สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด
    .
    เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง
    .
    อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน
    .
    เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป
    =========================================================
    ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม ================================================================= ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น . ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม. . แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่) . สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน . ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง . ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก . คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร . ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่ . ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O . เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้ . สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด . เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง . อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน . เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป =========================================================
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • ...R.I.P. ‍ ขอแสดงความเสียใจกับพลทหารรัฐภูมิอย่างสุดซึ้ง...#ไล่ไทม์ไลน์ช่วงเวลาและจากพฤติกรรมแวดล้อมแล้ว"ฉันเห็นด้านกายภาพดูรู้เลยว่า พลทหารรัฐภูมิไม่ได้คลั่งแต่อย่างใด เพราะถ้าเขาคลั่งสองคนนั้นมันคงไม่รอดหรอก#วาทะกรรมชั่วๆมันควรได้รับโทษนะ"ที่กล่าวว่า มีทหารไว้ทำไม รบก็ไม่ชนะเขมรแค่นี้เขาก็เจ็บปวดมากแล้วถ้าไม่มีใครเตะเบรคไว้ป่านนี้เขมรคงราบไปหมดแล้วล่ะปชช.คนไทยหัวใจไทยเขามองกันออกแต่ทำอะไรไม่ได้ไงฉันเองยังเจ็บใจเลยในวันที่ไปเจรจาคืนนั้นเขมรมันบุกหนักไม่ได้หยุดยิงแต่อย่างใดเลย ทำให้ทหารไทยต้องพลีชีพเข้าแลกเสียชีวิตคืนนั้นตายไปกี่ศพกี่ครอบครัวที่ต้องเจ็บปวดกับการบริหารแบบนี้.. เดินก็เหยียบแต่กับระเบิดขาขาด คำพูดเหมือนขวานฟาดฟันโดยไร้บาดแผลแต่สร้างบาดแผลทางใจอย่างเจ็บปวดเพราะถ้าทหารเขาคลั่งจริงๆละก็คนพวกนั้นคงหมดลมหายใจไปแล้ว จริงๆแล้วควรมีมาตรการลงโทษคนที่ดูถูกเหยีดหยามเจ้าหน้าที่รัฐ "เคสแบบนี้ถ้าเป็นสหรัฐฯก็คงไม่รอดแล้วล่ะ "ทหารเขาต้องแบกรับหน้าที่ๆหนักอยู่แล้วสถานการณ์ก็ไม่ปกติมันใช่หรือที่ประชาชนจะมานั่งดื่มเหล้าเปิดเพลงฟังสนุกสนานตั้งแต่บ่ายยันดึกขนาดนั้น พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมก็จะเห็น #คนตายเขาพูดไม่ได้ ชาวบ้านในพื้นที่เขาให้ข้อมูลแต่เขาก็ไม่กล้าเปิดหน้ามาเป็นพยานหรอก เพราะเขาก็ไม่อยากมีเรื่องคนเป็นพูดอะไรก็ได้แต่พยานแวดล้อมและช่วงเวลามันบอกมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดคนเสียอีก "การที่ทหารเขายิงปืนลงดินแสดงถึงความหนักแน่นในใจพอสมควรเพราะถ้าคลั่งลูกกระสุนคงอยู่ในร่างคนทั้งหมดนั่นแหละ #แทนที่จะเห็นใจและขอบคุณทหารที่มาลาดตระเวนให้ความปลอดภัยให้ตัวเองนอนหลับอยู่สบายกับมาพ่นคำทำร้ายจิตใจกันแบบนี้#‍น้องทหารหลับให้สบายไม่ต้องทุกข์อีกแล้วขอบคุณนะที่ยอมเสียสละเพื่อชาติใครไม่เห็นเราเห็น สื่อมวลชนนำเสนอข่าวควรให้ความเป็นธรรมกับพลทหารรัฐภูมิด้วยถ้าเขาไม่แข็งแกร่งจริงๆคงไม่มีชีวิตมาถึงวันนี้หรอก คนที่ครอบครัวแตกแยกต้องโดดเดี่ยวเพียงใดใครรู้บ้าง ฉันรู้เพราะฉันเองก็เป็น้ช่นนั้นเหมือนกันคนอื่นอาจจะอดทน50%แต่เราต้อง100%...อ่อนแอไม่ได้เลย แต่อย่าลืมว่าเราก็เป็นมนุษย์คนนึงที่มีอารมณ์เหมือนกันไม่ใช่พระอรหันต์มาจากไหน...คนเป็นพูดให้คิดมากๆ"คนตายเขาพูดไม่ได้แล้วชีวิตคนเรามีค่าเท่ากัน#หลับให้สบายนะลูกแผ่บุญพระกรรมฐานให้เธอ‍#ชีวิตเธอมีค่ามากไม่ควรมาแลกกับ"สวะแบบนั้นเลย...
    😔...R.I.P. 💂‍♂️ ขอแสดงความเสียใจกับพลทหารรัฐภูมิอย่างสุดซึ้ง🖤🇹🇭...#ไล่ไทม์ไลน์ช่วงเวลาและจากพฤติกรรมแวดล้อมแล้ว"ฉันเห็นด้านกายภาพดูรู้เลยว่า พลทหารรัฐภูมิไม่ได้คลั่งแต่อย่างใด เพราะถ้าเขาคลั่งสองคนนั้นมันคงไม่รอดหรอก#วาทะกรรมชั่วๆมันควรได้รับโทษนะ"ที่กล่าวว่า มีทหารไว้ทำไม รบก็ไม่ชนะเขมรแค่นี้เขาก็เจ็บปวดมากแล้วถ้าไม่มีใครเตะเบรคไว้ป่านนี้เขมรคงราบไปหมดแล้วล่ะปชช.คนไทยหัวใจไทยเขามองกันออกแต่ทำอะไรไม่ได้ไงฉันเองยังเจ็บใจเลยในวันที่ไปเจรจาคืนนั้นเขมรมันบุกหนักไม่ได้หยุดยิงแต่อย่างใดเลย ทำให้ทหารไทยต้องพลีชีพเข้าแลกเสียชีวิตคืนนั้นตายไปกี่ศพกี่ครอบครัวที่ต้องเจ็บปวดกับการบริหารแบบนี้.. เดินก็เหยียบแต่กับระเบิดขาขาด คำพูดเหมือนขวานฟาดฟันโดยไร้บาดแผลแต่สร้างบาดแผลทางใจอย่างเจ็บปวดเพราะถ้าทหารเขาคลั่งจริงๆละก็คนพวกนั้นคงหมดลมหายใจไปแล้ว จริงๆแล้วควรมีมาตรการลงโทษคนที่ดูถูกเหยีดหยามเจ้าหน้าที่รัฐ "เคสแบบนี้ถ้าเป็นสหรัฐฯก็คงไม่รอดแล้วล่ะ "ทหารเขาต้องแบกรับหน้าที่ๆหนักอยู่แล้วสถานการณ์ก็ไม่ปกติมันใช่หรือที่ประชาชนจะมานั่งดื่มเหล้าเปิดเพลงฟังสนุกสนานตั้งแต่บ่ายยันดึกขนาดนั้น พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรมก็จะเห็น #คนตายเขาพูดไม่ได้ ชาวบ้านในพื้นที่เขาให้ข้อมูลแต่เขาก็ไม่กล้าเปิดหน้ามาเป็นพยานหรอก เพราะเขาก็ไม่อยากมีเรื่องคนเป็นพูดอะไรก็ได้แต่พยานแวดล้อมและช่วงเวลามันบอกมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดคนเสียอีก "การที่ทหารเขายิงปืนลงดินแสดงถึงความหนักแน่นในใจพอสมควรเพราะถ้าคลั่งลูกกระสุนคงอยู่ในร่างคนทั้งหมดนั่นแหละ #แทนที่จะเห็นใจและขอบคุณทหารที่มาลาดตระเวนให้ความปลอดภัยให้ตัวเองนอนหลับอยู่สบายกับมาพ่นคำทำร้ายจิตใจกันแบบนี้😡#🖤💂‍♂️🇹🇭น้องทหารหลับให้สบายไม่ต้องทุกข์อีกแล้วขอบคุณนะที่ยอมเสียสละเพื่อชาติใครไม่เห็นเราเห็น สื่อมวลชนนำเสนอข่าวควรให้ความเป็นธรรมกับพลทหารรัฐภูมิด้วยถ้าเขาไม่แข็งแกร่งจริงๆคงไม่มีชีวิตมาถึงวันนี้หรอก คนที่ครอบครัวแตกแยกต้องโดดเดี่ยวเพียงใดใครรู้บ้าง ฉันรู้เพราะฉันเองก็เป็น้ช่นนั้นเหมือนกันคนอื่นอาจจะอดทน50%แต่เราต้อง100%...อ่อนแอไม่ได้เลย แต่อย่าลืมว่าเราก็เป็นมนุษย์คนนึงที่มีอารมณ์เหมือนกันไม่ใช่พระอรหันต์มาจากไหน...คนเป็นพูดให้คิดมากๆ🤔"คนตายเขาพูดไม่ได้แล้วชีวิตคนเรามีค่าเท่ากัน#หลับให้สบายนะลูกแผ่บุญพระกรรมฐานให้เธอ🤲🔆🧘‍♀️#🇹🇭ชีวิตเธอมีค่ามากไม่ควรมาแลกกับ"สวะแบบนั้นเลย...
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 0 Reviews
  • ตอน 12
    พี่เบิ้มหายไปไหน ถึงได้ตกข่าวขนาดนั้น ก็พี่เบิ้มกำลังไปขุดเผือกขุดน้ำมันไง
    ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) ระหว่างที่เห็นลางว่า รบกับพวกแกวนี่ท่าทางกูจะเหนื่อย เอาเครื่องบินไล่ถล่มอยู่ดีๆ มันทะลึ่งหนีลงรูไปหมด พี่เบิ้มไม่โง่นี่ จะได้มุดรูดตาม พี่เบิ้มก็เลยหาทางไปรับประทานทางอื่นต่อดีกว่า
    พี่เบิ้มก็เข้าไปยุให้อิรัก อิหร่าน มันรบกัน ป่วนเรื่องอียิปต์ อิสราเอล และซาอุหนุนคูเวต สารพัดละก็แถวนั้นมันบ่อน้ำมันทั้งนั้น
    จำง่ายๆ เวลาพี่เบิ้มเขาอยากได้อะไร …เขาก็ต้องสร้างเรื่องให้ประเทศเจ้าของบ้าน มันวุ่น มันงง แล้วในที่สุดก็เละ… เขาจะได้เข้าไปได้สะดวกโดยเจ้าของบ้านไม่รู้ตัว ก็สูตรธรรมดา จะไปขโมยของบ้านเขา รอบรั้วการป้อง กันเขาแข็งแรง จะขโมยได้ง่ายยังไง เสือใบ เสือดำ นักปล้นรุ่นโบราณของบ้านเรายังรู้เลย จะปล้นเขา ก็ต้องรอให้มันมืด มอมเหล้าเด็กแถวบ้านมันบ้าง ปล่อยหมาให้มันไปกัดกันหน้าบ้านบ้าง ปาก้อนอิฐใส่บ้าง พอเจ้า ของบ้านมันงง ก็ค่อยเขย่งเก็งกอย เข้าไปหยิบฉวยสมบัติเจ้าคุณปู่เขาออกมา ก็เท่านั้น
    ทุกเรื่องที่พี่เบิ้มเขาทำ มันก็สูตรทำนองนี้ ทั้งนั้น แต่มันสร้างเรื่อง ทำฉากให้ใหญ่โต ก็ติดนิสัยนักสร้างหนังฮอลลีวู้ดไง ถ้าเราดูอะไรแบบตรงไปตรงมา อย่าไปตื่นเต้นกับฉากมโหฬาร ถามตัวเองก่อน… ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยใครได้ ใครเสีย วิเคราะห์เองบ้าง ก็จะมองเห็นละนะคุณโยม ไม่ต้องไปหาหมอดู ถามมันวันละ 3 ครั้งให้เสียเงินเปล่าๆ ว่าบ้านเมืองมันเราจะเป็นยังไง มันจะแย่ไหมค้า
    เอ้ากลับมาที่คุณน้าขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์
    ไอ้เรื่องดาวเทียม เรื่องโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ใหญ่ยังไง ก็แหม ดาวเทียมนี่ เอามาลอยตุ๊บป่องจัดวางให้ถูกองศา ส่องไปที่ไหนนี่นะ ไม่อยากพูดเลย เหมือนดูหนังโป๊ สิว ไฝ ฝ้า หูด แผล มีตรงไหนเห็นหมดแล้วไอ้การกำหนดองศา slot ของดาวเทียมนี้ มันมีองค์การที่ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งดาวเทียม ที่แต่ละประเทศก็มีสิทธิจองกัน
    นี่ถ้าเราให้สมันน้อย จององศาให้ถูกที่เราต้องการนะ อาเฮียกำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี้เกาหูด ไอก็เห็นทุกช็อต เฮ้อ! แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง
    ส่วนไอ้ 3 ล้านเลขหมายนะ มันเรื่องจ้อย มันอยากจะจ้อกันทั้งวันก็ช่างหัวมันเต๊อะ
    แต่การจะใช้ 3 ล้านเลขหมายนี้นะ มันต้องวางเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกทั้งประเทศ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้น้ำ ใครกระซิบ ใครส่งข่าวอะไร ไอ้สายบ้านี่มันจับได้หมด
    แหม! มีทั้งบนฟ้า มีทั้งบนดิน ใต้ดิน บวกกับค่ายรามสูรที่ไอแกล้งทำลืม ไม่เอากลับตอนเลิกรบกับ เวียต นามนะ ไทยแลนด์ ไอไม่ต้องจ่ายค่าวิ่งผลัด อย่างเมื่อก่อน ไอก็คุมได้ เข้าใจไหมสมันน้อย
    แล้วจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ต้องเล่าให้ชัดกว่านี้มั้ย
    อ่านนิทานมาจนบัดนี้แล้วน่ะ หัดตอบโจทย์เองบ้าง ไม่ต้องไปรอใครทำหน้าฉลาดตอบให้หรอก
    แล้วมันจะบังเอิญไปหน่อยไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องพฤษภาทมิฬ
    คุณทหารทั้งหลายก็ลุกขึ้นมาแย่งอำนาจกัน บี้กันไปบี้กันมา เหล่าม๊อบมือถือแห่งไทยแลนด์แดนสวรรค์ ก็หน้ามุ่ยออกไปประท้วง ทั้งลุงจำลอง ลุงฉลาด แย่งกันอดข้าว อดน้ำ
    แล้วไง พอถึงเวลา ต้ายตาย ดร.อาทิตย์หน้าแฉล้ม ปล่อยให้คุณน้าสมบุญเป็นพ่อสายบัว แต่งชุดขาว ภู่ระหงส์ เหี่ยวรออยู่กับบ้าน แต่ดันไปอุ้มคุณน้านัน technocrat แห่งซิบวีนัส ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
    คิดแล้ว ไม่แปลกใจบ้างหรือจ๊ะ เมืองไทยนี้สมกับเป็นแดนแห่ง Amazing Thailand จริ๊ง จริง คุณน้านัน ผู้ดีเก่า นี่น่าสนใจ
    สมัยสงครามเวียตนามช่วงท้าย ระหว่างที่คุณลุงถนัดออกมาอาละวาด ฟาดงวงงา เรื่องพี่เบิ้มไม่ยอมทำสัญญาจริงๆ จังๆกับไทย คุณน้านันเป็นทูตไทยประจำ UN คุณน้าเลยต้องเป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับพี่เบิ้มตลอดเวลา (สมัยนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นนายกฯ)
    เสร็จการเจรจา รายงานฝ่ายอเมริกาบอก Mr. A นี่ เป็นคนที่เราจะต้องจับตามอง เขาเป็นคนที่เราจะพูดคุยได้รู้เรื่อง (เหมือนกับ Mr. P รุ่นปู่เจ้าพ่อน้ำดำเลยนะ) เอ้า! ก็อย่างว่า แล้วคุณน้านัน ก็มาเป็นนายก เป็นแล้วเป็นอีก ช่วงปี พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2535 เขาว่า งานแรกที่คุณน้านัน มาจัดการก็คือเรื่องที่ค้างคา (คาใจพี่เบิ้ม!) เป็นที่เรียบร้อย
    ไอ้ 3 ล้านเลขหมาย เขาว่า (อีกแล้ว) คุณน้าเรียกมาแบ่งเค้ก เอ้ย! เจรจาเองเลยนะ บริษัทของพี่เบิ้มตกรอบ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการ 3 ล้านเลขหมาย ไม่เป็นไรยูรับเหมาวาง fiber optic ไปแล้วกันนะ แหะแหะ สมใจนึกบางลำพู ทำท่าหงอยๆ รับ ok ok กลับไปรายงานข้ามโลกว่า We win! แล้วดาวเทียมล่ะ เสร็จโก๋ท้องถิ่นหน้าใหม่เอี่ยมเหลี่ยมพราว นายหน้าเหลี่ยมแจ้งเกิด ได้สัมปทานดาวเทียมเอาไปกอดอยู่ 15 ปี ต่อมาขายให้สิงคโปร์ กำไรบานตะเกียงไม่เสียภาษีซักกะแดง ไอ้หนุ่ยลูกป้าเหน่ง ทำงานเป็นเสมียน เงินเดือนๆ ละ 20,000 ยังเสียภาษีเดือนละ 2,000 บาทเลย เป็นงงเอาฝ่าเท้าก่ายหน้าผากรำพึง มันทำได้ไงวะ
    พูดถึงดาวเทียม ข้อมูลมันน่าสนใจ ไม่รู้ลืมกันหมดหรือยัง ไม่เล่าสู่กันฟัง มารู้ภายหลัง เดี๋ยวจะมาต่อว่ามีของดีแล้วไม่บอก
    ไอ้ดาวเทียมไทยคมนี้ นายหน้าเหลี่ยมเขาได้ไปก็จริง แต่ขบวนการมันน่าคิดนะ ตอนไปขอสัมปทานกับรัฐน่ะ
    ยังต้องให้เจ๊กระบัง ตากหน้าไปแลกเช็คอยู่เลย เอาเงินจากไหนมาคิดสร้างดาวเทียมน่ะ มันดวงละ 100, 200 บาท ซะเมื่อไหร่ ไม่ใช่ลูกโป่งนะ
    อ๋อ! ก็กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ (Exim Bank, Export Import Bank) ของพี่เบิ้ม ที่สนง.ใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซิ คร้าบ อา! มาแล้ว เริ่มเห็นหัวโผล่ๆ มาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนอ่านนิทานฉลาดจะตาย อ่านนิทานไปไม่เท่าไหร่ พอจะปะติดปะต่อกันได้ อิ! อิ!
    มันไม่เท่านั้นนะนาย กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ แล้วยังมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้อีก เอ! แล้วธนาคารนี้มาเกี่ยวอะไร เขาถ้าจะรักฝังใจ เสียดายดาวเทียม ตอนแรกก็ทำคลอดให้ ตอนจบก็ช่วยแต่งศพให้ ..เอ๊ะ! เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยซีลุง
    ก็คืองี้ ตอนกู้เงินสร้างดาวเทียม ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กรุณาค้ำประกันให้ตอนจะขายให้ Temasek ของสิงคโปร์ บริษัทลูกของไทยพาณิชย์ ก็เป็นที่ปรึกษาการเงินให้เสร็จ แล้วเพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่สัมปทานกำหนด เกณฑ์คนต่างด้าวถือหุ้นเอาไว้ ก็ต้องสร้างนอมินี (nominee) ไทยมาถือแทนต่างด้าว (อีนอมาอีกแล้ว) อีนอก็ดันไม่มีเงินซื้อ ไปกู้เงินจากไทยพาณิชย์ เป็นทุนมาซื้อหุ้นดาวเทียม
    บริษัทนี้ชื่อกุหลาบแก้วไงจ๊ะ ลืมกันแล้วหรือ แล้วใครเป็นประธานบริษัทกุหลาบแก้วนะ แหม! ไม่อยากบอกเล้ย ! เขาชื่อมิสเตอร์พงส์ ลูกมิสเตอร์ พี แห่งน้ำดำจ๊ะ มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องมันถึงไหน ผิดถูกอย่างไร ไปตามหากันต่อเองเน้อ เอ้า ! ยังมีบังเอิญอีก แล้วธนาคารไทยพาณิชย์นี่นะ อีตอนที่ให้กุหลาบแก้วกู้เงินน่ะ ข่าวว่า ประธานธนาคารชื่อ คุณน้านัน! โอ้ย! มันบังเอิญทั้งนั้น Amazing Thailand นี่น่ะ
    แล้วตกลงไอ้ดาวเทียมไทยคม นี่มันเป็นของไอ้เหลี่ยมตั้งแต่ต้น หรือไอ้เหลี่ยมก็มีนอกันแน่ …คิดมากแล้วปวดหัวนิ
    เรื่องบ้านเมืองนี้ มันมีแยะ ตั้งกะพี่เบิ้มมันเดินยิ้ม จมูกโด่งงุ้ม ย้ายพุงไปมาในบ้านเราน่ะ ถึงว่าจะดูอะไร ดูให้ชัดๆ จะฟังอะไร ก็หัดกรอง สมองมีให้คิด ไม่ใช่มีไว้กั้นหูอย่างเดียว


    คนเล่านิทาน
    ตอน 12 พี่เบิ้มหายไปไหน ถึงได้ตกข่าวขนาดนั้น ก็พี่เบิ้มกำลังไปขุดเผือกขุดน้ำมันไง ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) ระหว่างที่เห็นลางว่า รบกับพวกแกวนี่ท่าทางกูจะเหนื่อย เอาเครื่องบินไล่ถล่มอยู่ดีๆ มันทะลึ่งหนีลงรูไปหมด พี่เบิ้มไม่โง่นี่ จะได้มุดรูดตาม พี่เบิ้มก็เลยหาทางไปรับประทานทางอื่นต่อดีกว่า พี่เบิ้มก็เข้าไปยุให้อิรัก อิหร่าน มันรบกัน ป่วนเรื่องอียิปต์ อิสราเอล และซาอุหนุนคูเวต สารพัดละก็แถวนั้นมันบ่อน้ำมันทั้งนั้น จำง่ายๆ เวลาพี่เบิ้มเขาอยากได้อะไร …เขาก็ต้องสร้างเรื่องให้ประเทศเจ้าของบ้าน มันวุ่น มันงง แล้วในที่สุดก็เละ… เขาจะได้เข้าไปได้สะดวกโดยเจ้าของบ้านไม่รู้ตัว ก็สูตรธรรมดา จะไปขโมยของบ้านเขา รอบรั้วการป้อง กันเขาแข็งแรง จะขโมยได้ง่ายยังไง เสือใบ เสือดำ นักปล้นรุ่นโบราณของบ้านเรายังรู้เลย จะปล้นเขา ก็ต้องรอให้มันมืด มอมเหล้าเด็กแถวบ้านมันบ้าง ปล่อยหมาให้มันไปกัดกันหน้าบ้านบ้าง ปาก้อนอิฐใส่บ้าง พอเจ้า ของบ้านมันงง ก็ค่อยเขย่งเก็งกอย เข้าไปหยิบฉวยสมบัติเจ้าคุณปู่เขาออกมา ก็เท่านั้น ทุกเรื่องที่พี่เบิ้มเขาทำ มันก็สูตรทำนองนี้ ทั้งนั้น แต่มันสร้างเรื่อง ทำฉากให้ใหญ่โต ก็ติดนิสัยนักสร้างหนังฮอลลีวู้ดไง ถ้าเราดูอะไรแบบตรงไปตรงมา อย่าไปตื่นเต้นกับฉากมโหฬาร ถามตัวเองก่อน… ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยใครได้ ใครเสีย วิเคราะห์เองบ้าง ก็จะมองเห็นละนะคุณโยม ไม่ต้องไปหาหมอดู ถามมันวันละ 3 ครั้งให้เสียเงินเปล่าๆ ว่าบ้านเมืองมันเราจะเป็นยังไง มันจะแย่ไหมค้า เอ้ากลับมาที่คุณน้าขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์ ไอ้เรื่องดาวเทียม เรื่องโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ใหญ่ยังไง ก็แหม ดาวเทียมนี่ เอามาลอยตุ๊บป่องจัดวางให้ถูกองศา ส่องไปที่ไหนนี่นะ ไม่อยากพูดเลย เหมือนดูหนังโป๊ สิว ไฝ ฝ้า หูด แผล มีตรงไหนเห็นหมดแล้วไอ้การกำหนดองศา slot ของดาวเทียมนี้ มันมีองค์การที่ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งดาวเทียม ที่แต่ละประเทศก็มีสิทธิจองกัน นี่ถ้าเราให้สมันน้อย จององศาให้ถูกที่เราต้องการนะ อาเฮียกำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี้เกาหูด ไอก็เห็นทุกช็อต เฮ้อ! แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง ส่วนไอ้ 3 ล้านเลขหมายนะ มันเรื่องจ้อย มันอยากจะจ้อกันทั้งวันก็ช่างหัวมันเต๊อะ แต่การจะใช้ 3 ล้านเลขหมายนี้นะ มันต้องวางเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกทั้งประเทศ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้น้ำ ใครกระซิบ ใครส่งข่าวอะไร ไอ้สายบ้านี่มันจับได้หมด แหม! มีทั้งบนฟ้า มีทั้งบนดิน ใต้ดิน บวกกับค่ายรามสูรที่ไอแกล้งทำลืม ไม่เอากลับตอนเลิกรบกับ เวียต นามนะ ไทยแลนด์ ไอไม่ต้องจ่ายค่าวิ่งผลัด อย่างเมื่อก่อน ไอก็คุมได้ เข้าใจไหมสมันน้อย แล้วจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ต้องเล่าให้ชัดกว่านี้มั้ย อ่านนิทานมาจนบัดนี้แล้วน่ะ หัดตอบโจทย์เองบ้าง ไม่ต้องไปรอใครทำหน้าฉลาดตอบให้หรอก แล้วมันจะบังเอิญไปหน่อยไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องพฤษภาทมิฬ คุณทหารทั้งหลายก็ลุกขึ้นมาแย่งอำนาจกัน บี้กันไปบี้กันมา เหล่าม๊อบมือถือแห่งไทยแลนด์แดนสวรรค์ ก็หน้ามุ่ยออกไปประท้วง ทั้งลุงจำลอง ลุงฉลาด แย่งกันอดข้าว อดน้ำ แล้วไง พอถึงเวลา ต้ายตาย ดร.อาทิตย์หน้าแฉล้ม ปล่อยให้คุณน้าสมบุญเป็นพ่อสายบัว แต่งชุดขาว ภู่ระหงส์ เหี่ยวรออยู่กับบ้าน แต่ดันไปอุ้มคุณน้านัน technocrat แห่งซิบวีนัส ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คิดแล้ว ไม่แปลกใจบ้างหรือจ๊ะ เมืองไทยนี้สมกับเป็นแดนแห่ง Amazing Thailand จริ๊ง จริง คุณน้านัน ผู้ดีเก่า นี่น่าสนใจ สมัยสงครามเวียตนามช่วงท้าย ระหว่างที่คุณลุงถนัดออกมาอาละวาด ฟาดงวงงา เรื่องพี่เบิ้มไม่ยอมทำสัญญาจริงๆ จังๆกับไทย คุณน้านันเป็นทูตไทยประจำ UN คุณน้าเลยต้องเป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับพี่เบิ้มตลอดเวลา (สมัยนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นนายกฯ) เสร็จการเจรจา รายงานฝ่ายอเมริกาบอก Mr. A นี่ เป็นคนที่เราจะต้องจับตามอง เขาเป็นคนที่เราจะพูดคุยได้รู้เรื่อง (เหมือนกับ Mr. P รุ่นปู่เจ้าพ่อน้ำดำเลยนะ) เอ้า! ก็อย่างว่า แล้วคุณน้านัน ก็มาเป็นนายก เป็นแล้วเป็นอีก ช่วงปี พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2535 เขาว่า งานแรกที่คุณน้านัน มาจัดการก็คือเรื่องที่ค้างคา (คาใจพี่เบิ้ม!) เป็นที่เรียบร้อย ไอ้ 3 ล้านเลขหมาย เขาว่า (อีกแล้ว) คุณน้าเรียกมาแบ่งเค้ก เอ้ย! เจรจาเองเลยนะ บริษัทของพี่เบิ้มตกรอบ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการ 3 ล้านเลขหมาย ไม่เป็นไรยูรับเหมาวาง fiber optic ไปแล้วกันนะ แหะแหะ สมใจนึกบางลำพู ทำท่าหงอยๆ รับ ok ok กลับไปรายงานข้ามโลกว่า We win! แล้วดาวเทียมล่ะ เสร็จโก๋ท้องถิ่นหน้าใหม่เอี่ยมเหลี่ยมพราว นายหน้าเหลี่ยมแจ้งเกิด ได้สัมปทานดาวเทียมเอาไปกอดอยู่ 15 ปี ต่อมาขายให้สิงคโปร์ กำไรบานตะเกียงไม่เสียภาษีซักกะแดง ไอ้หนุ่ยลูกป้าเหน่ง ทำงานเป็นเสมียน เงินเดือนๆ ละ 20,000 ยังเสียภาษีเดือนละ 2,000 บาทเลย เป็นงงเอาฝ่าเท้าก่ายหน้าผากรำพึง มันทำได้ไงวะ พูดถึงดาวเทียม ข้อมูลมันน่าสนใจ ไม่รู้ลืมกันหมดหรือยัง ไม่เล่าสู่กันฟัง มารู้ภายหลัง เดี๋ยวจะมาต่อว่ามีของดีแล้วไม่บอก ไอ้ดาวเทียมไทยคมนี้ นายหน้าเหลี่ยมเขาได้ไปก็จริง แต่ขบวนการมันน่าคิดนะ ตอนไปขอสัมปทานกับรัฐน่ะ ยังต้องให้เจ๊กระบัง ตากหน้าไปแลกเช็คอยู่เลย เอาเงินจากไหนมาคิดสร้างดาวเทียมน่ะ มันดวงละ 100, 200 บาท ซะเมื่อไหร่ ไม่ใช่ลูกโป่งนะ อ๋อ! ก็กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ (Exim Bank, Export Import Bank) ของพี่เบิ้ม ที่สนง.ใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซิ คร้าบ อา! มาแล้ว เริ่มเห็นหัวโผล่ๆ มาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนอ่านนิทานฉลาดจะตาย อ่านนิทานไปไม่เท่าไหร่ พอจะปะติดปะต่อกันได้ อิ! อิ! มันไม่เท่านั้นนะนาย กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ แล้วยังมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้อีก เอ! แล้วธนาคารนี้มาเกี่ยวอะไร เขาถ้าจะรักฝังใจ เสียดายดาวเทียม ตอนแรกก็ทำคลอดให้ ตอนจบก็ช่วยแต่งศพให้ ..เอ๊ะ! เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยซีลุง ก็คืองี้ ตอนกู้เงินสร้างดาวเทียม ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กรุณาค้ำประกันให้ตอนจะขายให้ Temasek ของสิงคโปร์ บริษัทลูกของไทยพาณิชย์ ก็เป็นที่ปรึกษาการเงินให้เสร็จ แล้วเพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่สัมปทานกำหนด เกณฑ์คนต่างด้าวถือหุ้นเอาไว้ ก็ต้องสร้างนอมินี (nominee) ไทยมาถือแทนต่างด้าว (อีนอมาอีกแล้ว) อีนอก็ดันไม่มีเงินซื้อ ไปกู้เงินจากไทยพาณิชย์ เป็นทุนมาซื้อหุ้นดาวเทียม บริษัทนี้ชื่อกุหลาบแก้วไงจ๊ะ ลืมกันแล้วหรือ แล้วใครเป็นประธานบริษัทกุหลาบแก้วนะ แหม! ไม่อยากบอกเล้ย ! เขาชื่อมิสเตอร์พงส์ ลูกมิสเตอร์ พี แห่งน้ำดำจ๊ะ มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องมันถึงไหน ผิดถูกอย่างไร ไปตามหากันต่อเองเน้อ เอ้า ! ยังมีบังเอิญอีก แล้วธนาคารไทยพาณิชย์นี่นะ อีตอนที่ให้กุหลาบแก้วกู้เงินน่ะ ข่าวว่า ประธานธนาคารชื่อ คุณน้านัน! โอ้ย! มันบังเอิญทั้งนั้น Amazing Thailand นี่น่ะ แล้วตกลงไอ้ดาวเทียมไทยคม นี่มันเป็นของไอ้เหลี่ยมตั้งแต่ต้น หรือไอ้เหลี่ยมก็มีนอกันแน่ …คิดมากแล้วปวดหัวนิ เรื่องบ้านเมืองนี้ มันมีแยะ ตั้งกะพี่เบิ้มมันเดินยิ้ม จมูกโด่งงุ้ม ย้ายพุงไปมาในบ้านเราน่ะ ถึงว่าจะดูอะไร ดูให้ชัดๆ จะฟังอะไร ก็หัดกรอง สมองมีให้คิด ไม่ใช่มีไว้กั้นหูอย่างเดียว คนเล่านิทาน
    3 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกความสัมพันธ์: เมื่อไลก์และอีโมจิกลายเป็นดาบสองคมในความรักยุคดิจิทัล

    ในยุคที่การจีบกันเริ่มต้นจากการแมตช์ในแอป แล้วตามด้วยการแลก Instagram แทนการคุยกันตรง ๆ หลายคนกลับพบว่าความสัมพันธ์ไม่ได้เดินหน้าอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่ดูเหมือน “การมีปฏิสัมพันธ์” เช่น ไลก์ ดูสตอรี่ หรือส่งอีโมจิ กลับกลายเป็นการสื่อสารที่คลุมเครือและทำให้เกิดความเข้าใจผิด

    Alla Rakhmatullina นักจัดงาน Dating Day บอกว่า คนจำนวนมากคิดว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเลย ไลก์ไม่ใช่บทสนทนา และมักถูกตีความผิด เช่น ผู้ชายคิดว่าการไลก์ซ้ำ ๆ คือการจีบ ส่วนผู้หญิงกลับไม่แน่ใจว่านั่นคือความสนใจจริงหรือแค่ความสุภาพ

    การวนเวียนอยู่ใน “วงจรการมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉื่อย” ทำให้หลายคู่ไม่เคยเริ่มต้นคุยกันจริงจัง และเมื่อเกิดการ ghosting หรือการหายไปโดยไม่อธิบาย ความไม่แน่นอนทางอารมณ์ก็ยิ่งทวีคูณ

    Dr. Salman Kareem จิตแพทย์จาก Aster Clinic เสริมว่า คนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการอ่านแล้วไม่ตอบ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวล และกลัวการถูกปฏิเสธแบบ “สาธารณะ” เช่น การถูก unfollow

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจาก University of Texas พบว่า การใช้ emoji ในข้อความช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าอีกฝ่าย “ใส่ใจ” และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพราะ emoji ทำหน้าที่เหมือนภาษากายในโลกดิจิทัล

    ไลก์และอีโมจิกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักในความสัมพันธ์ยุคใหม่
    แต่หลายคนตีความผิดว่าเป็นความสนใจจริง

    คนรุ่นใหม่มักเลือกดูสตอรี่หรือไลก์โพสต์แทนการเริ่มบทสนทนา
    ทำให้ความสัมพันธ์ไม่พัฒนา

    ghosting กลายเป็นเรื่องธรรมดาในโลกดิจิทัล
    ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางอารมณ์

    Dr. Kareem ระบุว่าคนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล
    เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการถูก unfollow

    แนะนำให้เริ่มจากการสื่อสารแบบสบาย ๆ แล้วค่อยพัฒนาเป็นการคุยตรง
    เพื่อสร้างความมั่นใจในโลกจริงก่อนกลับไปสื่อสารออนไลน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/06/are-likes-and-emojis-ruining-modern-relationships
    💬❤️ เรื่องเล่าจากโลกความสัมพันธ์: เมื่อไลก์และอีโมจิกลายเป็นดาบสองคมในความรักยุคดิจิทัล ในยุคที่การจีบกันเริ่มต้นจากการแมตช์ในแอป แล้วตามด้วยการแลก Instagram แทนการคุยกันตรง ๆ หลายคนกลับพบว่าความสัมพันธ์ไม่ได้เดินหน้าอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่ดูเหมือน “การมีปฏิสัมพันธ์” เช่น ไลก์ ดูสตอรี่ หรือส่งอีโมจิ กลับกลายเป็นการสื่อสารที่คลุมเครือและทำให้เกิดความเข้าใจผิด Alla Rakhmatullina นักจัดงาน Dating Day บอกว่า คนจำนวนมากคิดว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเลย ไลก์ไม่ใช่บทสนทนา และมักถูกตีความผิด เช่น ผู้ชายคิดว่าการไลก์ซ้ำ ๆ คือการจีบ ส่วนผู้หญิงกลับไม่แน่ใจว่านั่นคือความสนใจจริงหรือแค่ความสุภาพ การวนเวียนอยู่ใน “วงจรการมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉื่อย” ทำให้หลายคู่ไม่เคยเริ่มต้นคุยกันจริงจัง และเมื่อเกิดการ ghosting หรือการหายไปโดยไม่อธิบาย ความไม่แน่นอนทางอารมณ์ก็ยิ่งทวีคูณ Dr. Salman Kareem จิตแพทย์จาก Aster Clinic เสริมว่า คนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการอ่านแล้วไม่ตอบ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวล และกลัวการถูกปฏิเสธแบบ “สาธารณะ” เช่น การถูก unfollow แต่ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจาก University of Texas พบว่า การใช้ emoji ในข้อความช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าอีกฝ่าย “ใส่ใจ” และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพราะ emoji ทำหน้าที่เหมือนภาษากายในโลกดิจิทัล ✅ ไลก์และอีโมจิกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักในความสัมพันธ์ยุคใหม่ ➡️ แต่หลายคนตีความผิดว่าเป็นความสนใจจริง ✅ คนรุ่นใหม่มักเลือกดูสตอรี่หรือไลก์โพสต์แทนการเริ่มบทสนทนา ➡️ ทำให้ความสัมพันธ์ไม่พัฒนา ✅ ghosting กลายเป็นเรื่องธรรมดาในโลกดิจิทัล ➡️ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางอารมณ์ ✅ Dr. Kareem ระบุว่าคนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล ➡️ เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการถูก unfollow ✅ แนะนำให้เริ่มจากการสื่อสารแบบสบาย ๆ แล้วค่อยพัฒนาเป็นการคุยตรง ➡️ เพื่อสร้างความมั่นใจในโลกจริงก่อนกลับไปสื่อสารออนไลน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/06/are-likes-and-emojis-ruining-modern-relationships
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Are likes and emojis ruining modern relationships?
    Many people misinterpret passive digital gestures and actions as signs of true interest.
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ..คลิปนี้อย่าคิดมากนะ.

    https://youtube.com/shorts/iEkvIW_sgI8?si=e_pMequX-IukCH49
    ..คลิปนี้อย่าคิดมากนะ. https://youtube.com/shorts/iEkvIW_sgI8?si=e_pMequX-IukCH49
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ---

    ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน**

    #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**:
    - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่

    #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**:
    - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด)

    ---

    ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?**

    #### **ความเหมือน**:
    1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**:
    - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด
    - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด

    2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**:
    - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ

    3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**:
    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น

    #### **ความต่าง**:
    1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**:
    - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า
    - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก

    2. **การรับรู้ของสาธารณชน**:
    - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน

    3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**:
    - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน

    #### **การคาดการณ์**:
    - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19
    - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้

    ---

    ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์**

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**:
    - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น
    - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**:
    - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19
    - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค
    - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข

    - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น

    ---

    ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์**

    - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม

    - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ

    หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ!
    https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม --- ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน** #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**: - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่ #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**: - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด) --- ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?** #### **ความเหมือน**: 1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**: - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด 2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**: - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ 3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น #### **ความต่าง**: 1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**: - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก 2. **การรับรู้ของสาธารณชน**: - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน 3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**: - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน #### **การคาดการณ์**: - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19 - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้ --- ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์** - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**: - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์ - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**: - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19 - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น --- ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์** - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ! https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    0 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • ถาม-ตอบเรื่องสมาธิ & สติในชีวิตประจำวัน
    (โพสต์นี้เหมาะกับคนภาวนาแต่รู้สึก ‘ยังไม่สงบ’, ‘ยังไม่เข้าใจ’, หรือ ‘ติดขัดแบบอธิบายไม่ถูก’)

    ถาม: สมาธิที่เคยดี ทำไมพอทำอีกครั้งเหมือนทำไม่ได้เลย?
    อาจเพราะจำ "ทางเข้า" ไม่ได้
    ไม่มีขั้นตอนแน่นอน
    หรือปล่อยใจฟุ้งซ่านจนหลุดออกจากเส้นทาง
    ให้ย้อนสำรวจวิธีเดิมที่ได้ผล แล้วค่อยๆ เรียกจังหวะนั้นกลับมา

    ถาม: เวลากำหนดรู้ขาอัตโนมัติตอนเดิน ถือว่าเพ่งเกินไปไหม?
    ถ้าเกิดขึ้นเองอย่าง “อัตโนมัติ”
    ไม่มีคำว่า “เพ่งเกินไป” แน่นอนครับ

    ถาม: หายใจไม่ถึงท้อง เพราะชอบแขม่ว มีวิธีแก้ไหม?
    ใช้มือวางที่หน้าท้องช่วงว่างๆ
    รู้สึกถึงการพอง-ยุบแบบสบายๆ
    ไม่กี่วันจะหายใจเข้าท้องเป็นธรรมชาติ

    ถาม: อะไรคือเครื่องบอกว่าสมาธิเราพัฒนาแล้ว?
    ถ้ามี วิตักกะ (การตรึกถึงสิ่งหนึ่ง)
    และ วิจาระ (แนบแน่นกับสิ่งที่ตรึก)
    = ถือว่าเข้าสู่ขั้นเริ่มพัฒนาแล้วครับ

    ถาม: ต้องพุทโธไปด้วยตอนขับรถ เดิน คิด ฯลฯ หรือแค่รู้เฉยๆ ก็พอ?
    ✔ ถ้าพุทโธแล้ว สติดีขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง ก็ใช้ได้
    แต่ถ้าแค่รู้ตัวอย่างเดียวแล้วสงบกว่า ก็เลือกแบบนั้น
    ไม่มีสูตรตายตัว อยู่ที่ "อะไรช่วยให้เราตื่นรู้ได้จริง"

    ถาม: เดินจงกรมแต่จิตไม่ตื่น ควรทำไง?
    แนะนำ “สปีดเร็วขึ้น”
    เดินเร็วมาก หรือวิ่งเหยาะ ก็ยังได้
    เพื่อให้จิตตื่นตัว ไม่จม

    ถาม: สมาธิแล้วจิตดิ่ง คิดลบ คิดมาก คิดย้อนอดีตตลอด?
    บ่งบอกว่า "ยังไม่มีที่ตั้งของจิตที่มั่นคง"
    ต้องกลับมาดูว่า เราใช้สิ่งใดเป็นที่เกาะ?
    เกาะแล้วเกิด “วิตักกะ” ไหม? ถ้าไม่ ให้ปรับวิธีภาวนา

    🪷 ภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเข้าใจให้ถูกจุด
    เมื่อเริ่มเห็นจิต เห็นความเคลื่อนไหวของใจ
    มากกว่าฝืนให้สงบ
    นั่นแหละคือ สมาธิที่แท้จริงจะเริ่มก่อตัวขึ้น

    #ธรรมะใช้ได้จริง
    #เจริญสติแบบเข้าใจ
    #อานาปานสติไม่ใช่แค่หายใจ
    #โพสต์นี้แชร์ให้คนภาวนาอ่าน
    🌿 ถาม-ตอบเรื่องสมาธิ & สติในชีวิตประจำวัน (โพสต์นี้เหมาะกับคนภาวนาแต่รู้สึก ‘ยังไม่สงบ’, ‘ยังไม่เข้าใจ’, หรือ ‘ติดขัดแบบอธิบายไม่ถูก’) ถาม: สมาธิที่เคยดี ทำไมพอทำอีกครั้งเหมือนทำไม่ได้เลย? 🔹 อาจเพราะจำ "ทางเข้า" ไม่ได้ 🔹 ไม่มีขั้นตอนแน่นอน 🔹 หรือปล่อยใจฟุ้งซ่านจนหลุดออกจากเส้นทาง ✅ ให้ย้อนสำรวจวิธีเดิมที่ได้ผล แล้วค่อยๆ เรียกจังหวะนั้นกลับมา ถาม: เวลากำหนดรู้ขาอัตโนมัติตอนเดิน ถือว่าเพ่งเกินไปไหม? 🔑 ถ้าเกิดขึ้นเองอย่าง “อัตโนมัติ” ไม่มีคำว่า “เพ่งเกินไป” แน่นอนครับ ถาม: หายใจไม่ถึงท้อง เพราะชอบแขม่ว มีวิธีแก้ไหม? 👉 ใช้มือวางที่หน้าท้องช่วงว่างๆ รู้สึกถึงการพอง-ยุบแบบสบายๆ 📌 ไม่กี่วันจะหายใจเข้าท้องเป็นธรรมชาติ ถาม: อะไรคือเครื่องบอกว่าสมาธิเราพัฒนาแล้ว? 💡 ถ้ามี วิตักกะ (การตรึกถึงสิ่งหนึ่ง) และ วิจาระ (แนบแน่นกับสิ่งที่ตรึก) = ถือว่าเข้าสู่ขั้นเริ่มพัฒนาแล้วครับ ถาม: ต้องพุทโธไปด้วยตอนขับรถ เดิน คิด ฯลฯ หรือแค่รู้เฉยๆ ก็พอ? ✔ ถ้าพุทโธแล้ว สติดีขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง ก็ใช้ได้ แต่ถ้าแค่รู้ตัวอย่างเดียวแล้วสงบกว่า ก็เลือกแบบนั้น 🧘‍♂️ ไม่มีสูตรตายตัว อยู่ที่ "อะไรช่วยให้เราตื่นรู้ได้จริง" ถาม: เดินจงกรมแต่จิตไม่ตื่น ควรทำไง? 🏃‍♀️ แนะนำ “สปีดเร็วขึ้น” เดินเร็วมาก หรือวิ่งเหยาะ ก็ยังได้ เพื่อให้จิตตื่นตัว ไม่จม ถาม: สมาธิแล้วจิตดิ่ง คิดลบ คิดมาก คิดย้อนอดีตตลอด? 🌀 บ่งบอกว่า "ยังไม่มีที่ตั้งของจิตที่มั่นคง" ต้องกลับมาดูว่า เราใช้สิ่งใดเป็นที่เกาะ? เกาะแล้วเกิด “วิตักกะ” ไหม? ถ้าไม่ ให้ปรับวิธีภาวนา 🪷 ภาวนาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเข้าใจให้ถูกจุด เมื่อเริ่มเห็นจิต เห็นความเคลื่อนไหวของใจ มากกว่าฝืนให้สงบ นั่นแหละคือ สมาธิที่แท้จริงจะเริ่มก่อตัวขึ้น #ธรรมะใช้ได้จริง #เจริญสติแบบเข้าใจ #อานาปานสติไม่ใช่แค่หายใจ #โพสต์นี้แชร์ให้คนภาวนาอ่าน
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • ..ใครคงสังเกตุเห็นชัดในข่าวว่าโทนี่ใส่ปลอกคอว่าเป็นการไม่สบายที่คอนะ,กูรูบางคนสายใต้ดินบอกว่าโทนี่ตัวจริงไม่มีแล้ว,ที่เห็นคือตัวปลอม,ตัวโคลนหรือหุ่นยนต์ก็ได้หมด ส่วนใครอยู่เบื้องหลังให้เข้ามาทำภารกิจอะไรก็ไม่รู้,คลิปนี้มันสามารถทำเป็นคนไหนก็ได้จริงๆล่ะยิ่งแค่ถ่ายทำออกสื่อผ่านโชเซียบคลิปวีดีโอต่างๆอีก,ในต่างประเทศเล่นกันแบบไม่แคร์ประชาชนเลยในผู้นำต่างๆคงเห็นว่าประชาชนเขาคือวัวคือควายมั้งจึงกะจะหลอกลวงประชาชนง่ายๆผ่านสื่อได้,พวกหุ่นยนต์มันวิวัฒนาการไปไกลมาก,ปะปนในชนชั้นปกครองและโดยเฉพาะพวกกิจการบริษัทใหญ่ๆแต่ละประเทศนั้นๆหมดแล้ว,เพราะระบบทาสตังคือกลไกสำคัญควบคุมวิถีโลก,ขาดตังขาดเงินไปวัดแน่นอน,เช่นอเมริการหนี้กว่า36-37ล้านล้านเหรียญ,ญี่ปุ่นก็จะล่มละลายแหล่ไม่ละลายแหล่ในตอนนี้ก็เพราะกลไกตังทั้งนั้น ตลาดหุ้นก็ปั่นหาตัง,ป่วนกระแสสงครามใครเก็งส่วนต่างซื้อนั้นนี้ไว้กำไรตรึมล่ะ,แบบโทนี่เล่นค่าเงินจนร่ำรวยนั้นล่ะบนหายนะคนทั้งชาติ,ระเบิดEMPอาจสามารถทำลายระบบกลไกอิเล็กทรอนิกส์หุ่นยนต์ได้จริงๆก็ได้,พวกมันใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนตนเอง,มนุษย์ไม่ได้รับผลกระทบอะไร,นี้ไม่รวมตัวเหี้ยต่างๆที่เต็มโลกนี้ด้วยเลย,กล่าวแค่พวกหุ่นยนต์แค่นั้น.,และพวกมันกำลังผลักดันให้ชาวโลกไปสู่การเล่นในเกมส์ของมันที่ชำนาญและควบคุมได้ในกระดานของมัน,เช่นตังดิจิดัลอิเล็กทรอนิกส์คริปโตฯโทเคนต่างๆตลอดสินทรัพย์ดิจิดัลด้วย,ฟอกตังก็ง่าย,ชงเข้าระบบตีค่าปั่นตัวเลขก็ง่ายอีก,ค้ำประกันทองคำคือข้ออ้าง ตาไทบ้านประชาชนจะมีปัญญาไปรู้เห็นอะไรจริงตรวจสอบตลอดเวลาไม่เคลื่อนย้ายได้,สมมุติอ้างว่าโลกสะพัดตังดิจิดัลทั่วโลกคือ1,000ล้านล้านเหรียญตังดิจิดัลต่อวัน,ทองคำค้ำๆอาจกำลังเดินทางออกนอกโลกผ่านประตูมิติหลายๆที่ทั่วโลกก็ได้แบบทองคำเดินทางไปแล้วไม่ยอมกลับมาที่โลกอีกเลย,หรือเผาต่างดาวหนึ่งใช้ทองคำเผาสร้างโลกมันนั้นล่ะหากบรรยากาศโลกมันที่เอาทองคำไปสร้างบรรยากาศไม่สมดุลโลกมันจะตาย มนุษย์โลกมันจะตายหมด,จึงเดินทางไปทั่วจักรวาลอื่นๆไล่ล่าทองคำไปทั่ว,มาเจอโลกก็ขุดง่ายย้ายสะดวก,มายุคนี้จึงหามุก,สร้างตังดิจิดัลเพื่อรวบรวมทองคำง่ายๆก็ว่า.ส่งไปดาวมันโดยมีหุ่นยนต์เอไอล้ำสมัยคือกลไกมาลวงโลกให้สู่การควบคุมของมันง่ายขึ้นเพราะมันคือเจ้าของระบบก็ว่า.,ต่างดาวล้ำก็เราแน่นอนตลอดทางปัญญจิตด้วย.,เราเกิดมาโง่ทันที รู้อะไรล่ะ ต้องมาเข้าโรงเรียนมาเรียนให้หายโง่อีก,พวกมันอาจเกิดทันทีฉลาดทันทีเลยไอคิวเกินพันอัพตั้งแต่เด็กหรือโหลดข้อมูลใส่สมองทันทีก็ว่าอาจชนิดบันทึกใส่dnaแล้วประมวลตามทันใจให้ผลใดๆที่ต้องการเห็นค่าเกิดขึ้นตามต้องการได้ถอดรหัสdnaควอนตัมฉลาดทันทีก็ว่าที่ต้องการจะรู้อะไรใดๆ,เทียบคนบนโลกเราโง่บรมเลยล่ะ..
    ..ประเทศไทยสมควรเปลี่ยนแปลงจริงๆ,ผู้นำการปกครองในเวลานี้ต้องถีบออกทันที,ยุคสมัยเดิมๆต้องเปลี่ยนไป,คือยุคที่มืดบอดก็ว่า,โลกใบนี้ต้องเปิดรับอารยะธรรมดีๆจากทั่วจักรวาลได้แล้วจริงๆ อารยะธรรมไม่ดีต้องถูกย้ายออกจากดาวโลกเราใบนี้ทันที,ยานแม่มาดูดคนพวกนี้ไปดาวอื่นที่ระดับจิตเหี้ยเท่ากันก็ต้องดูดไปจริงๆ.

    เทคโนโลยีหุ่นยนต์นั้นก้าวหน้ากว่าที่เราคิดมาก

    พวกมันแสร้งทำเป็นว่าทำการวิจัย แต่สิ่งที่พวกมันทำคือเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษยชาติจากความเป็นจริง นอกจากโคลนและลูกผสมแล้ว เรายังพบหุ่นยนต์ในระดับการตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกด้วย พวกมันอนุมัติการตัดสินใจ และเราสงสัยว่าทำไมโลกของเราถึงเป็นแบบนี้ คนที่เป็นวิญญาณจะไม่ทำตามเลย

    สิ่งที่คุณต้องการก็คือหัวที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์และผิวหนังเทียมที่ทำจากลาเท็กซ์ที่ปกคลุมหัวและลำตัวเท่านั้นเอง

    ปัจจุบันมีหุ่นยนต์ AI ที่ซับซ้อนซึ่งสามารถพูด วิ่ง เลือดออก และแทบจะเหมือนกับมนุษย์ทุกประการทั้งภายนอกและภายใน (อีลอน มัสก์)

    ยกเว้นว่าพวกมันไม่มีวิญญาณและไม่มีจิตสำนึก พวกมันทำทุกอย่างไม่ว่าจะได้รับคำสั่งอะไร และไม่มีใครต้องจ่ายเงินให้พวกมัน
    คุณเห็นพวกเขาทางทีวีหรือเดินผ่านไปอีกฝั่งถนนแต่คุณไม่ได้สังเกตเห็น‌‌

    - รอน วิลสัน
    ..ใครคงสังเกตุเห็นชัดในข่าวว่าโทนี่ใส่ปลอกคอว่าเป็นการไม่สบายที่คอนะ,กูรูบางคนสายใต้ดินบอกว่าโทนี่ตัวจริงไม่มีแล้ว,ที่เห็นคือตัวปลอม,ตัวโคลนหรือหุ่นยนต์ก็ได้หมด ส่วนใครอยู่เบื้องหลังให้เข้ามาทำภารกิจอะไรก็ไม่รู้,คลิปนี้มันสามารถทำเป็นคนไหนก็ได้จริงๆล่ะยิ่งแค่ถ่ายทำออกสื่อผ่านโชเซียบคลิปวีดีโอต่างๆอีก,ในต่างประเทศเล่นกันแบบไม่แคร์ประชาชนเลยในผู้นำต่างๆคงเห็นว่าประชาชนเขาคือวัวคือควายมั้งจึงกะจะหลอกลวงประชาชนง่ายๆผ่านสื่อได้,พวกหุ่นยนต์มันวิวัฒนาการไปไกลมาก,ปะปนในชนชั้นปกครองและโดยเฉพาะพวกกิจการบริษัทใหญ่ๆแต่ละประเทศนั้นๆหมดแล้ว,เพราะระบบทาสตังคือกลไกสำคัญควบคุมวิถีโลก,ขาดตังขาดเงินไปวัดแน่นอน,เช่นอเมริการหนี้กว่า36-37ล้านล้านเหรียญ,ญี่ปุ่นก็จะล่มละลายแหล่ไม่ละลายแหล่ในตอนนี้ก็เพราะกลไกตังทั้งนั้น ตลาดหุ้นก็ปั่นหาตัง,ป่วนกระแสสงครามใครเก็งส่วนต่างซื้อนั้นนี้ไว้กำไรตรึมล่ะ,แบบโทนี่เล่นค่าเงินจนร่ำรวยนั้นล่ะบนหายนะคนทั้งชาติ,ระเบิดEMPอาจสามารถทำลายระบบกลไกอิเล็กทรอนิกส์หุ่นยนต์ได้จริงๆก็ได้,พวกมันใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนตนเอง,มนุษย์ไม่ได้รับผลกระทบอะไร,นี้ไม่รวมตัวเหี้ยต่างๆที่เต็มโลกนี้ด้วยเลย,กล่าวแค่พวกหุ่นยนต์แค่นั้น.,และพวกมันกำลังผลักดันให้ชาวโลกไปสู่การเล่นในเกมส์ของมันที่ชำนาญและควบคุมได้ในกระดานของมัน,เช่นตังดิจิดัลอิเล็กทรอนิกส์คริปโตฯโทเคนต่างๆตลอดสินทรัพย์ดิจิดัลด้วย,ฟอกตังก็ง่าย,ชงเข้าระบบตีค่าปั่นตัวเลขก็ง่ายอีก,ค้ำประกันทองคำคือข้ออ้าง ตาไทบ้านประชาชนจะมีปัญญาไปรู้เห็นอะไรจริงตรวจสอบตลอดเวลาไม่เคลื่อนย้ายได้,สมมุติอ้างว่าโลกสะพัดตังดิจิดัลทั่วโลกคือ1,000ล้านล้านเหรียญตังดิจิดัลต่อวัน,ทองคำค้ำๆอาจกำลังเดินทางออกนอกโลกผ่านประตูมิติหลายๆที่ทั่วโลกก็ได้แบบทองคำเดินทางไปแล้วไม่ยอมกลับมาที่โลกอีกเลย,หรือเผาต่างดาวหนึ่งใช้ทองคำเผาสร้างโลกมันนั้นล่ะหากบรรยากาศโลกมันที่เอาทองคำไปสร้างบรรยากาศไม่สมดุลโลกมันจะตาย มนุษย์โลกมันจะตายหมด,จึงเดินทางไปทั่วจักรวาลอื่นๆไล่ล่าทองคำไปทั่ว,มาเจอโลกก็ขุดง่ายย้ายสะดวก,มายุคนี้จึงหามุก,สร้างตังดิจิดัลเพื่อรวบรวมทองคำง่ายๆก็ว่า.ส่งไปดาวมันโดยมีหุ่นยนต์เอไอล้ำสมัยคือกลไกมาลวงโลกให้สู่การควบคุมของมันง่ายขึ้นเพราะมันคือเจ้าของระบบก็ว่า.,ต่างดาวล้ำก็เราแน่นอนตลอดทางปัญญจิตด้วย.,เราเกิดมาโง่ทันที รู้อะไรล่ะ ต้องมาเข้าโรงเรียนมาเรียนให้หายโง่อีก,พวกมันอาจเกิดทันทีฉลาดทันทีเลยไอคิวเกินพันอัพตั้งแต่เด็กหรือโหลดข้อมูลใส่สมองทันทีก็ว่าอาจชนิดบันทึกใส่dnaแล้วประมวลตามทันใจให้ผลใดๆที่ต้องการเห็นค่าเกิดขึ้นตามต้องการได้ถอดรหัสdnaควอนตัมฉลาดทันทีก็ว่าที่ต้องการจะรู้อะไรใดๆ,เทียบคนบนโลกเราโง่บรมเลยล่ะ.. ..ประเทศไทยสมควรเปลี่ยนแปลงจริงๆ,ผู้นำการปกครองในเวลานี้ต้องถีบออกทันที,ยุคสมัยเดิมๆต้องเปลี่ยนไป,คือยุคที่มืดบอดก็ว่า,โลกใบนี้ต้องเปิดรับอารยะธรรมดีๆจากทั่วจักรวาลได้แล้วจริงๆ อารยะธรรมไม่ดีต้องถูกย้ายออกจากดาวโลกเราใบนี้ทันที,ยานแม่มาดูดคนพวกนี้ไปดาวอื่นที่ระดับจิตเหี้ยเท่ากันก็ต้องดูดไปจริงๆ. เทคโนโลยีหุ่นยนต์นั้นก้าวหน้ากว่าที่เราคิดมาก พวกมันแสร้งทำเป็นว่าทำการวิจัย แต่สิ่งที่พวกมันทำคือเบี่ยงเบนความสนใจของมนุษยชาติจากความเป็นจริง นอกจากโคลนและลูกผสมแล้ว เรายังพบหุ่นยนต์ในระดับการตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกด้วย พวกมันอนุมัติการตัดสินใจ และเราสงสัยว่าทำไมโลกของเราถึงเป็นแบบนี้ คนที่เป็นวิญญาณจะไม่ทำตามเลย สิ่งที่คุณต้องการก็คือหัวที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์และผิวหนังเทียมที่ทำจากลาเท็กซ์ที่ปกคลุมหัวและลำตัวเท่านั้นเอง ปัจจุบันมีหุ่นยนต์ AI ที่ซับซ้อนซึ่งสามารถพูด วิ่ง เลือดออก และแทบจะเหมือนกับมนุษย์ทุกประการทั้งภายนอกและภายใน (อีลอน มัสก์) ยกเว้นว่าพวกมันไม่มีวิญญาณและไม่มีจิตสำนึก พวกมันทำทุกอย่างไม่ว่าจะได้รับคำสั่งอะไร และไม่มีใครต้องจ่ายเงินให้พวกมัน คุณเห็นพวกเขาทางทีวีหรือเดินผ่านไปอีกฝั่งถนนแต่คุณไม่ได้สังเกตเห็น‌‌ - รอน วิลสัน
    0 Comments 0 Shares 505 Views 0 0 Reviews
  • คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับอิสราเอล พันธมิตรที่เหนียวแน่นกว่าใครในโลก ที่ได้รับอาวุธมากมาย รวมทั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่างเข้มข้น

    "อิหร่าน" แสดงให้เห็นแล้ว
    คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับอิสราเอล พันธมิตรที่เหนียวแน่นกว่าใครในโลก ที่ได้รับอาวุธมากมาย รวมทั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่างเข้มข้น "อิหร่าน" แสดงให้เห็นแล้ว
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • ..

    สัมภาษณ์ฉบับเต็ม -


    สัมภาษณ์ฉบับเต็ม -
    การชูธงและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
    การสื่อสาร—>ส่วนที่ 3 จาก 3

    ทรัมป์กล่าวว่า "ฉันบอกพวกเขาว่าคุณต้องทำอะไรบางอย่าง คุณต้องเจรจา" จากนั้นในนาทีสุดท้าย พวกเขาปฏิเสธ และพวกเขาก็เอาชนะพวกเขาได้ จำวันที่ 60 ได้ไหม? และแล้ววันที่ 60 ก็มาถึง... วันที่ 61 จะกลายเป็นเพลงที่โด่งดังมาก เป็นเพลงฮิตที่ยอดเยี่ยม เพลงแรก เพลงนั้นยอดเยี่ยมมาก เพลงจบลงในคืนแรก

    สายเกินไปแล้ว พาวเวลล์! สายเกินไปแล้ว!

    ฉันไม่รู้ ฉันบอกว่ามันสายเกินไปแล้ว มันสายเกินไปที่จะพูด

    พวกเขามาที่ทำเนียบขาว

    พวกเขาไม่มีทางป้องกันตัวเองได้เลย คุณรู้ว่าเราจับพวกเขาได้ เราจับพวกเขาได้หมด

    พวกเขาพูดเรื่องความตายกับอเมริกามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว ไม่มีอะไรจบลงจนกว่ามันจะจบลง ดูสิ สงครามมีความซับซ้อนมาก มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกิดขึ้นได้ มีเรื่องพลิกผันมากมาย
    ดูสิ สัปดาห์หน้าจะยิ่งใหญ่มาก อาจจะน้อยกว่าสัปดาห์ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะน้อยกว่า

    มีใครที่นี่บอกว่าการมีพวกหัวรุนแรงที่เป็นปฏิปักษ์จะเป็นเรื่องดีไหม แต่ถ้ามีประเทศที่เป็นปฏิปักษ์และอาจมีอาวุธนิวเคลียร์ล่ะ? สิ่งนั้นสามารถทำลายล้างพื้นที่ได้ 40 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้นมาก มันสามารถทำลายล้างประเทศอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายด้วยลมที่พัดฝุ่นขึ้นมา คุณรู้ไหมว่าฝุ่นจะพัดเข้าหาประเทศอื่นๆ แล้วทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่ภัยคุกคามที่คุณจะมีได้ ฉันพูดเรื่องนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว และตอนนี้ฉันก็พูดด้วยความจริงใจมากกว่าที่เคย

    เอาล่ะ มาดูกัน

    ใช่แล้ว เรามีสิ่งที่เรียกว่าไพ่เด็ด นี่คือสิ่งที่ไม่เคยทำหรือคิดมาก่อน

    61 จะกลายเป็นตัวเลขที่โด่งดังมาก

    มิถุนายน = 6
    1 = วันที่ 1

    ..👀😳💥😳👀 สัมภาษณ์ฉบับเต็ม - 👀😳💥😳👀 สัมภาษณ์ฉบับเต็ม - การชูธงและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน การสื่อสาร—>ส่วนที่ 3 จาก 3 ทรัมป์กล่าวว่า "ฉันบอกพวกเขาว่าคุณต้องทำอะไรบางอย่าง คุณต้องเจรจา" จากนั้นในนาทีสุดท้าย พวกเขาปฏิเสธ และพวกเขาก็เอาชนะพวกเขาได้ จำวันที่ 60 ได้ไหม? และแล้ววันที่ 60 ก็มาถึง... วันที่ 61 จะกลายเป็นเพลงที่โด่งดังมาก 👀👀 เป็นเพลงฮิตที่ยอดเยี่ยม เพลงแรก เพลงนั้นยอดเยี่ยมมาก เพลงจบลงในคืนแรก สายเกินไปแล้ว พาวเวลล์! สายเกินไปแล้ว! ฉันไม่รู้ ฉันบอกว่ามันสายเกินไปแล้ว มันสายเกินไปที่จะพูด พวกเขามาที่ทำเนียบขาว พวกเขาไม่มีทางป้องกันตัวเองได้เลย คุณรู้ว่าเราจับพวกเขาได้ เราจับพวกเขาได้หมด พวกเขาพูดเรื่องความตายกับอเมริกามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว ไม่มีอะไรจบลงจนกว่ามันจะจบลง ดูสิ สงครามมีความซับซ้อนมาก มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกิดขึ้นได้ 👀 มีเรื่องพลิกผันมากมาย ดูสิ สัปดาห์หน้าจะยิ่งใหญ่มาก อาจจะน้อยกว่าสัปดาห์ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะน้อยกว่า มีใครที่นี่บอกว่าการมีพวกหัวรุนแรงที่เป็นปฏิปักษ์จะเป็นเรื่องดีไหม แต่ถ้ามีประเทศที่เป็นปฏิปักษ์และอาจมีอาวุธนิวเคลียร์ล่ะ? สิ่งนั้นสามารถทำลายล้างพื้นที่ได้ 40 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้นมาก มันสามารถทำลายล้างประเทศอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายด้วยลมที่พัดฝุ่นขึ้นมา คุณรู้ไหมว่าฝุ่นจะพัดเข้าหาประเทศอื่นๆ แล้วทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่ภัยคุกคามที่คุณจะมีได้ ฉันพูดเรื่องนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว และตอนนี้ฉันก็พูดด้วยความจริงใจมากกว่าที่เคย เอาล่ะ มาดูกัน ใช่แล้ว เรามีสิ่งที่เรียกว่าไพ่เด็ด นี่คือสิ่งที่ไม่เคยทำหรือคิดมาก่อน 61 จะกลายเป็นตัวเลขที่โด่งดังมาก 👀 มิถุนายน = 6 1 = วันที่ 1 👀👀👀
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • จนก็ช่างมัน ไม่มีเงินจะซื้ออาหารใส่บาตรก็อย่าคิดมาก จนแล้วประกอบแต่ความดีไว้ มีหิ้งพระก็ถวายน้ำพระ ก็จะร่มเย็นไป
    จนก็ช่างมัน ไม่มีเงินจะซื้ออาหารใส่บาตรก็อย่าคิดมาก จนแล้วประกอบแต่ความดีไว้ มีหิ้งพระก็ถวายน้ำพระ ก็จะร่มเย็นไป
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า”
    แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?**

    คุณรู้ไหมว่า
    ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน
    สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ

    ใช่…
    แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา
    แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด”
    สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด

    เพราะแบบนี้
    แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง
    ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง
    แต่คือความจริงระดับชีววิทยา

    ---

    แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?”

    ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย
    แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร
    รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า

    แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง
    คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย
    แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป
    จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว”
    และความรู้สึกเศร้าใจว่า

    > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

    ---

    สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี”

    สัตว์หลายตัวเสียชีวิต
    เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน
    อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน
    พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง
    สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”…

    เมื่อคิดได้อย่างนี้
    บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย
    จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น
    ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ

    ---

    คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า

    > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?”

    หากคำตอบคือ

    > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น”
    คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า

    แต่ถ้าคำตอบคือ

    > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด”
    ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง

    ---

    **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก…

    ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว**

    ในทางโลก
    คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ
    ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง

    ในทางธรรม
    คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ
    เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง
    จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว”

    > จนกระทั่งวันหนึ่ง
    คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก”
    เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน
    แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    **“เหนื่อย…แต่ไม่ไร้ค่า” แรงที่เผาผลาญไปวันนี้ คุ้มค่าแค่ไหน?** คุณรู้ไหมว่า ทุกวันไม่ว่าคุณจะกินอาหารมากแค่ไหน สมองคุณจะขอส่วนแบ่งพลังงานจากอาหารไปถึง 20% เสมอ ใช่… แม้คุณจะไม่ได้ขยับแขนขา แม้คุณจะนั่งเฉยๆเพียงแค่ “คิด” สมองคุณก็กินพลังงานมากกว่าอวัยวะอื่นทั้งหมด เพราะแบบนี้ แค่คิดมาก…ก็เหนื่อยได้จริง ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง แต่คือความจริงระดับชีววิทยา --- แต่สิ่งที่สำคัญกว่า “คิดมากหรือคิดน้อย” ก็คือ… “คิดไปเพื่ออะไร?” ถ้าสมองคุณกำลังทำงานแบบมีเป้าหมาย แม้จะเหนื่อย ก็จะรู้ว่าเหนื่อยไปเพื่ออะไร รู้สึกคุ้ม แม้จะล้า แต่หากคุณใช้พลังสมองไปกับการคิดฟุ้ง คิดซ้ำ คิดวน คิดไร้เป้าหมาย แรงทั้งหมดที่เผาผลาญออกไป จะเหลือไว้เพียง “หมอกในหัว” และความรู้สึกเศร้าใจว่า > “วันนี้หมดแรงไป…แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย” --- สิ่งที่มนุษย์ลืมคิดกันคือ… “พลังงานของฉันไม่ได้มาฟรี” สัตว์หลายตัวเสียชีวิต เพื่อแปรรูปเป็นอาหารให้คุณกิน อาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน พลังงานเหล่านั้นถูกส่งเข้าสู่สมอง สมองถูกใช้เพื่อ “นั่งฟุ้งอยู่กับความสงสารตัวเอง”… เมื่อคิดได้อย่างนี้ บางคนที่เคยนั่งเศร้าโดยไม่มีเป้าหมาย จะเริ่มเกรงใจ…เกรงใจสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ต้องตายไปเพื่อป้อนพลังให้เรามาใช้เปล่าๆ --- คราวหน้า เมื่อรู้สึกเหนื่อย…ให้ลองถามตัวเองว่า > “แรงที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่นี้ แปรเป็นอะไรดีๆแล้วหรือยัง?” หากคำตอบคือ > “ได้คิดสิ่งดีๆ ได้เขียนสิ่งดีๆ ได้เข้าใจใครบางคนมากขึ้น” คุณจะเริ่มรู้สึกอิ่มใจ คุ้มค่า แต่ถ้าคำตอบคือ > “เอาไปคิดซ้ำ คิดวน คิดแย่กับตัวเองไม่หยุด” ก็แค่รู้ตัว แล้วเปลี่ยนทิศทางความคิดใหม่อีกครั้ง --- **อย่าให้สมองระดับสูงที่สุดของโลก… ถูกใช้ไปกับเรื่องไร้สาระในใจคนเพียงคนเดียว** ในทางโลก คุณอาจลุกขึ้นมาสร้างสิ่งดีๆ ให้เพื่อนมนุษย์ได้เห็นแสงบ้าง ในทางธรรม คุณอาจเริ่มเจริญสติทีละลมหายใจ เพื่อค่อยๆปลดเปลื้องตัวเอง จาก “ความเบียดเบียนโดยไม่รู้ตัว” > จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะกลายเป็นมนุษย์ที่ “ไม่มีใครต้องตายเพื่อเราอีก” เพราะเราไม่ฟุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณ…และรู้ค่า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • จิตว้าวุ่น..จิตมีเรื่องคิดมากมาย 108 ประการ จะให้มันสงบลงได้ก็เพียรภาวนาเอา..
    จิตว้าวุ่น..จิตมีเรื่องคิดมากมาย 108 ประการ จะให้มันสงบลงได้ก็เพียรภาวนาเอา..
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • ..อันตรายมากยุคนี้,แม้แต่รัฐบาลก็ต้องพิจารณา&คิดมากๆ.
    ..ช่วงเวลานี้ใครจะยืมตัง&กู้เงิน ระวังโคตรๆนั้นดี,ยิ่งเห็นภาคเกษตรเร่งรีบให้คนเกษตรเป็นหนี้ในหลายๆระดับชั้นยิ่งน่าสงสัยมาก,นัยยะแฝงตรึมแน่นอน,ผลเป้าหมายสุดท้ายคือคนไทยจะไม่ใช่เจ้าของที่ดินตนเองอีกต่อไป,ใช้หนี้ตังด้วยการถูกยึดที่ดินที่อยู่อาศัยนั้นล่ะ,ดิ้นรนหาตังมาใช้นี้แบบมุกทาสคนเกษตรแทนคนกินเงินเดือนอีกมุม,จากชีวิตปกติไม่ดิ้นรนมากนัก ใช้ชีวิตสมถะ เมื่อไปกู้หนี้เขานายทุนมาจะแบงค์ที่อ้างตนว่ารัฐสนับสนุนก็เถอะ มันก็หนี้นี้ล่ะ และเข้าเองยังอยากเข้าตลาดหุ้นด้วยล่ะเพื่อให้ต่างชาติมาเป็นเจ้าของผ่านการซื้อหุ้นแบบถูกต้องด้วยโน้น ไม่รวมมุกซื้อหนี้หรือตั้งบริษัทในนามเอกชนมาบริหารจัดการหนี้คนเกษตรอีก,สุดท้ายหมายยึดที่ดินคนไทยนั้นล่ะ,เร่งให้คนเกษตรเป็นหนี้เยอะโน้น ผ่านผู้นำชุมชน อสม.ระดับล่างเลยล่ะ,แต่ตลาดขายออกสร้างตังมันไม่สนใจหาให้นะ,กะกู้มากๆ พังล้มเหลวเร็วๆเนียนๆจะได้จ่ายหนี้คืนไม่ได้นั้นล่ะคือเป้าหมายมัน,ปล่อยกู้เรื่องของแบงค์,ใช้หนี้คืนเรื่องของคนกู้,เมื่อทำลายกลไกคนที่มีกำลังปานกลางได้ คือระดับคนมีเงินเดือนตำแหน่งพอจ่ายได้ยึดครองหรือสร้างสถานะเป็นหนี้ได้แล้วคนพวกนี้ก็จะถูกควบคุมทันที,ถูกทำให้อ่อนแอ ผู้นำชุมชนอ่อนแอเมื่อไร จัดการคนอื่นๆชาวบ้านคนเกษตรจะง่ายขึ้นๆ,ยึดที่ดิน ปล่อยกู้ตังให้คนอื่นมาซื้อมาทำเกษตรแทน ต่างชาติมีตังเยอะ ได้สิทธิถือครองที่ดินได้แล้วอีกจากกฎหมายไปเปิดช่องให้,พากันกู้กันซื้อที่ดินยึดเนียนๆใต้ดินลับๆสบายล่ะ,เดอะแก็งปล่อยกู้สุมหัวกับเดอะแก็งข้ามชาติทำทีมาทำเกษตรในไทยนอมินีคนไทยก็ว่า ง่าบสบายมาก อ.ปาย อิสราเอลเต็มพื้นที่ยังมาแบบเงียบๆได้ คิดสิ,นี้คือแผนการที่อันตรายมากๆ,ถ้าแบงค์ธกส.จะดีๆต่อคนไทย ไม่ต้องคิดดอกเบี้ยเขาแพงก็ได้,ยุบธกส.ยุบตึกทำงานเอกสาร,เก็บตังมหาศาลไม่หวังกำไร,ย้ายไปทำเอกสารที่ทำการอำเภอแต่ละอำเภอก็ได้ ใช้ชื่อว่าคลินิกเงินทุนสัมมาอาชีพชาวเกษตรไทยสิ,คนจะเดินทางไปลงทะเบียนเต็ม,ตังหมุนเวียนในอำเภอจริงด้วย,ชาวเกษตรก็เสียค่ายืมตังแค่ค่าธรรมเนียมไร้ดอกเบี้ย ส่งแค่เงินต้น,เราบริหารผิดทาง,สร้างแหล่งทุนตังช่วยคนไทยตนเองแต่มุ่งหวังประโยชน์จึงสร้างจุดเริ่มต้นที่ผิด,ยิ่งเข้าตลาดหุ้น ก็จะมุ่งหวังกำไรมากๆหนักข้อไปอีก,และไม่ควรตั้งเป็นกิจการเอกชนเพื่อบริหารจัดการหนีัเลย.เอกชนคือเอกชน ไม่ใช้รัฐฐะ รัฐฐะคือรัฐฐะเพื่อสุขประชาชนสาธารณะ,เอกชนมันหวังเพื่อตนเอง,จึงผิดเช่นกัน.

    https://youtube.com/watch?v=TB-7v46bJLo&si=74NoyntDAmjV69gO
    ..อันตรายมากยุคนี้,แม้แต่รัฐบาลก็ต้องพิจารณา&คิดมากๆ. ..ช่วงเวลานี้ใครจะยืมตัง&กู้เงิน ระวังโคตรๆนั้นดี,ยิ่งเห็นภาคเกษตรเร่งรีบให้คนเกษตรเป็นหนี้ในหลายๆระดับชั้นยิ่งน่าสงสัยมาก,นัยยะแฝงตรึมแน่นอน,ผลเป้าหมายสุดท้ายคือคนไทยจะไม่ใช่เจ้าของที่ดินตนเองอีกต่อไป,ใช้หนี้ตังด้วยการถูกยึดที่ดินที่อยู่อาศัยนั้นล่ะ,ดิ้นรนหาตังมาใช้นี้แบบมุกทาสคนเกษตรแทนคนกินเงินเดือนอีกมุม,จากชีวิตปกติไม่ดิ้นรนมากนัก ใช้ชีวิตสมถะ เมื่อไปกู้หนี้เขานายทุนมาจะแบงค์ที่อ้างตนว่ารัฐสนับสนุนก็เถอะ มันก็หนี้นี้ล่ะ และเข้าเองยังอยากเข้าตลาดหุ้นด้วยล่ะเพื่อให้ต่างชาติมาเป็นเจ้าของผ่านการซื้อหุ้นแบบถูกต้องด้วยโน้น ไม่รวมมุกซื้อหนี้หรือตั้งบริษัทในนามเอกชนมาบริหารจัดการหนี้คนเกษตรอีก,สุดท้ายหมายยึดที่ดินคนไทยนั้นล่ะ,เร่งให้คนเกษตรเป็นหนี้เยอะโน้น ผ่านผู้นำชุมชน อสม.ระดับล่างเลยล่ะ,แต่ตลาดขายออกสร้างตังมันไม่สนใจหาให้นะ,กะกู้มากๆ พังล้มเหลวเร็วๆเนียนๆจะได้จ่ายหนี้คืนไม่ได้นั้นล่ะคือเป้าหมายมัน,ปล่อยกู้เรื่องของแบงค์,ใช้หนี้คืนเรื่องของคนกู้,เมื่อทำลายกลไกคนที่มีกำลังปานกลางได้ คือระดับคนมีเงินเดือนตำแหน่งพอจ่ายได้ยึดครองหรือสร้างสถานะเป็นหนี้ได้แล้วคนพวกนี้ก็จะถูกควบคุมทันที,ถูกทำให้อ่อนแอ ผู้นำชุมชนอ่อนแอเมื่อไร จัดการคนอื่นๆชาวบ้านคนเกษตรจะง่ายขึ้นๆ,ยึดที่ดิน ปล่อยกู้ตังให้คนอื่นมาซื้อมาทำเกษตรแทน ต่างชาติมีตังเยอะ ได้สิทธิถือครองที่ดินได้แล้วอีกจากกฎหมายไปเปิดช่องให้,พากันกู้กันซื้อที่ดินยึดเนียนๆใต้ดินลับๆสบายล่ะ,เดอะแก็งปล่อยกู้สุมหัวกับเดอะแก็งข้ามชาติทำทีมาทำเกษตรในไทยนอมินีคนไทยก็ว่า ง่าบสบายมาก อ.ปาย อิสราเอลเต็มพื้นที่ยังมาแบบเงียบๆได้ คิดสิ,นี้คือแผนการที่อันตรายมากๆ,ถ้าแบงค์ธกส.จะดีๆต่อคนไทย ไม่ต้องคิดดอกเบี้ยเขาแพงก็ได้,ยุบธกส.ยุบตึกทำงานเอกสาร,เก็บตังมหาศาลไม่หวังกำไร,ย้ายไปทำเอกสารที่ทำการอำเภอแต่ละอำเภอก็ได้ ใช้ชื่อว่าคลินิกเงินทุนสัมมาอาชีพชาวเกษตรไทยสิ,คนจะเดินทางไปลงทะเบียนเต็ม,ตังหมุนเวียนในอำเภอจริงด้วย,ชาวเกษตรก็เสียค่ายืมตังแค่ค่าธรรมเนียมไร้ดอกเบี้ย ส่งแค่เงินต้น,เราบริหารผิดทาง,สร้างแหล่งทุนตังช่วยคนไทยตนเองแต่มุ่งหวังประโยชน์จึงสร้างจุดเริ่มต้นที่ผิด,ยิ่งเข้าตลาดหุ้น ก็จะมุ่งหวังกำไรมากๆหนักข้อไปอีก,และไม่ควรตั้งเป็นกิจการเอกชนเพื่อบริหารจัดการหนีัเลย.เอกชนคือเอกชน ไม่ใช้รัฐฐะ รัฐฐะคือรัฐฐะเพื่อสุขประชาชนสาธารณะ,เอกชนมันหวังเพื่อตนเอง,จึงผิดเช่นกัน. https://youtube.com/watch?v=TB-7v46bJLo&si=74NoyntDAmjV69gO
    0 Comments 0 Shares 478 Views 0 Reviews
  • ความคิดของมนุษย์ไม่มีวันจบสิ้น.ในแต่ละวันมีความคิดมากมาย..
    ความคิดของมนุษย์ไม่มีวันจบสิ้น.ในแต่ละวันมีความคิดมากมาย..
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 21-4-68
    .
    สวัสดีเช้าวันจันทร์ วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องที่น่าคิดมากสำหรับคนที่ "ลงทุนทองคำ" ทั้งหลาย ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และอีกเรื่องนึงก็คือ เบื้องหลังที่แท้จริงของสงครามภาษี-สงครามการค้า ที่กำลังกระทบกระเทือนต่อวิถีชีวิตของเราทุกคน รวมถึงผู้คนทั่วโลก
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=VNwQF-v4s0E
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ลงทุนทองคำ #สงครามภาษี #สงครามการค้า
    สนธิเล่าเรื่อง 21-4-68 . สวัสดีเช้าวันจันทร์ วันนี้คุณสนธิจะมาเล่าเรื่องที่น่าคิดมากสำหรับคนที่ "ลงทุนทองคำ" ทั้งหลาย ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังประสบอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และอีกเรื่องนึงก็คือ เบื้องหลังที่แท้จริงของสงครามภาษี-สงครามการค้า ที่กำลังกระทบกระเทือนต่อวิถีชีวิตของเราทุกคน รวมถึงผู้คนทั่วโลก . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=VNwQF-v4s0E . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ลงทุนทองคำ #สงครามภาษี #สงครามการค้า
    Like
    5
    3 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • Playlists รวมบทเพลง เติมพลังใจ [ Youtube Music ]
    https://music.youtube.com/playlist?list=PLkiI2AWp18nMiZsTr0CRHKe9FDZufBfYS&si=gsm7gQcdVp3uJV2T

    รายชื่อเพลง

    1. ชีวิตกับสายลม - โธมัส หงษ์ภักดี
    2. อ่อนไหว...ไม่อ่อนแอ - อุเทน พรหมมินทร์
    3. แผลชีวิต - สุรสีห์ อิทธิกุล
    4. ไม่กลัวอยู่แล้ว - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม
    5. ถ้ามีวันนั้น - 2 is better than 1
    6. นกที่กลัวความสูง - 2 is better than 1
    7. New Beginning - 32 October Band
    8. ฟลอร์ชีวิต - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม
    9. ทะยานสุดปีกฝัน - สาธิดา พรหมพิริยะ
    10. โลกต้องรู้ - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม
    11. อย่าไปคิดมากเลย - 32 October Band
    12. ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน - สรนภา ทองประดู่
    13. บนทางเดินแห่งฝัน - Tuniez83
    14. อยู่กับปัจจุบันได้หรือเปล่า - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม
    15. อย่ามองข้ามหัวใจตัวเอง - รวิวรรณ จินดา
    16. ถึงเวลา - ธีรวีร์ ปุณณะภุม

    #YoutubeMusic
    #ClassyRecords
    Playlists รวมบทเพลง เติมพลังใจ [ Youtube Music ] https://music.youtube.com/playlist?list=PLkiI2AWp18nMiZsTr0CRHKe9FDZufBfYS&si=gsm7gQcdVp3uJV2T รายชื่อเพลง 1. ชีวิตกับสายลม - โธมัส หงษ์ภักดี 2. อ่อนไหว...ไม่อ่อนแอ - อุเทน พรหมมินทร์ 3. แผลชีวิต - สุรสีห์ อิทธิกุล 4. ไม่กลัวอยู่แล้ว - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม 5. ถ้ามีวันนั้น - 2 is better than 1 6. นกที่กลัวความสูง - 2 is better than 1 7. New Beginning - 32 October Band 8. ฟลอร์ชีวิต - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม 9. ทะยานสุดปีกฝัน - สาธิดา พรหมพิริยะ 10. โลกต้องรู้ - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม 11. อย่าไปคิดมากเลย - 32 October Band 12. ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน - สรนภา ทองประดู่ 13. บนทางเดินแห่งฝัน - Tuniez83 14. อยู่กับปัจจุบันได้หรือเปล่า - ธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม 15. อย่ามองข้ามหัวใจตัวเอง - รวิวรรณ จินดา 16. ถึงเวลา - ธีรวีร์ ปุณณะภุม #YoutubeMusic #ClassyRecords
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 528 Views 0 Reviews
  • พีระพันธุ์→ พลังงานกับคาสิโน→ “การเล่นเกมซ้อนเกม”
    #อัษฎางค์ยมนาค

    “เรื่องการเมืองมันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินเพียงสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน” และกรณีของ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็สะท้อนความซับซ้อนเชิงกลยุทธ์ของการเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

    วิเคราะห์ในเชิงการเมือง-ยุทธศาสตร์

    1. ความซับซ้อนของ "พีระพันธุ์": นักการเมืองสายเทคนิค-กฎหมายในโลกของเกมอำนาจ

    คุณพีระพันธุ์ เป็นนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ "สายระบบราชการ" มากกว่านักพูด นักปลุกใจ หรือป๊อปปูลาร์ในโซเชียล เขาไม่ใช่นักการเมืองที่เน้นลงพื้นที่ แต่ถูกวางตัวให้ “แบกรับภารกิจเชิงนโยบาย” ที่ซับซ้อน เช่น พลังงาน กฎหมาย คาสิโน หรือแม้แต่โครงสร้างรัฐ

    จุดแข็ง: เข้าใจระบบ, ต่อรองกับเทคนิคของรัฐได้ดี
    จุดอ่อน: ขาดฐานมวลชนที่เหนียวแน่นทางอารมณ์ → ทำให้ถูกกดดันง่ายจาก "อินฟลูฯ" และโซเชียลมีเดีย

    2. ข้อกล่าวหา “สนับสนุนคาสิโน” และ “ถอด DNA ลุงตู่” คือสงครามทางสัญลักษณ์

    สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคาสิโนหรือการตอบคำถามนักข่าว แต่คือ “สงครามตีตราทางการเมือง” ที่มีเป้าหมายหลักคือทำลายความชอบธรรม

    กลุ่มที่ว่า “หยุดเรียกเขาว่าเป็น DNA ลุงตู่” พยายามบอกว่าเขาทรยศต่อฐานอนุรักษ์นิยม

    กลุ่มที่โยงเขากับ “คาสิโน” ก็พยายามสร้างภาพว่าเขาสนับสนุนสิ่งผิดศีลธรรม

    ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ มีน้ำหนักทางจิตวิทยามวลชนสูงมากในหมู่ฐานเสียงฝ่ายอนุรักษ์นิยม

    3. ประเด็นที่ซ่อนอยู่: ศึกใหญ่คือ "พลังงาน" ไม่ใช่คาสิโน

    คุณพีระพันธุ์ถูกตั้งเป้าโจมตีไม่ใช่เพราะคาสิโนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะ เขาเริ่มลงมือในนโยบายพลังงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ขนาดใหญ่มากของหลายกลุ่มทุน

    “พลังงานคืออาณาจักรของอำนาจที่ซ่อนอยู่”

    และการที่คุณพีระพันธุ์กำลังรื้อโครงสร้างบางอย่าง → ย่อมทำให้เขาถูกโจมตีแบบ "ตีวงล้อม"

    วิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาการเมือง

    1. การถอดความนัยของคำว่า “DNA ลุงตู่”

    การใช้คำว่า “DNA ลุงตู่” สื่อถึงการสืบทอดจิตวิญญาณหรือแนวทางทางการเมือง แต่เมื่อกลุ่มอินฟลูฯ ออกมาพูดว่าเขา “ไม่ใช่” → ก็เท่ากับตัดเขาออกจากเครือข่ายทางอำนาจเดิมทันที เป็นการ “ถอนรากอุดมการณ์” ซึ่งส่งผลแรงในระดับฐานเสียง

    2. อินฟลูเอนเซอร์กับการควบคุมทิศทางของฝูงชน

    กรณีของ"อินฟลูฯ" โจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นว่า “อิทธิพลของเสียงในโซเชียล” วันนี้มีอำนาจไม่แพ้การอภิปรายในสภา เพราะ เขาสามารถตีกรอบให้คนมองพีระพันธุ์ในทิศทางใดก็ได้ โดยไม่ต้องรอข้อเท็จจริง

    สรุป:
    เกมหลัก→ โยงคุณพีระพันธุ์เข้ากับคาสิโน เพื่อทำลายภาพลักษณ์อนุรักษ์นิยม
    เกมลับ→ เขากำลังแตะโครงสร้างพลังงาน ซึ่งคือผลประโยชน์มหาศาล
    เทคนิคที่ใช้→ ตีวงล้อมผ่านสื่อ → ดึงฐานเสียงอนุรักษ์นิยมออกห่าง
    ความเสี่ยง→ หากขาดการสื่อสารที่ชัดเจน อาจกลายเป็น “คนกลางที่โดนล้อมจากทุกด้าน”

    ข้อเสนอแนะของผม:
    → อย่าตัดสินนักการเมืองจากคลิปเดียวหรือข้อความเดียว → การเมืองเป็นกลยุทธ์ และคำบางคำมีหน้าที่เบี่ยงเบนเกม ไม่ใช่แสดงเจตนาจริง

    → กลุ่มผู้สนับสนุนคุณพีระพันธุ์ควรสื่อสารเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานและเป้าหมายทางนโยบายที่แท้จริง

    → ฐานเสียงฝ่ายขวา/อนุรักษ์นิยมควรใช้หลักคิดมากกว่าความรู้สึก ในการประเมินผู้นำ เพราะอารมณ์สามารถถูกสร้างได้ แต่ผลประโยชน์ของชาติคือของจริง

    ฝากคำถามไว้ให้ขบคิด:
    → คุณคิดว่า “การเล่นเกมซ้อนเกม” แบบนี้ สุดท้ายจะทำให้คุณพีระพันธุ์กลายเป็นเบี้ยที่ถูกเขี่ย หรือเป็นหมากลับที่น่ากลัวสำหรับทุกฝ่ายครับ?
    พีระพันธุ์→ พลังงานกับคาสิโน→ “การเล่นเกมซ้อนเกม” #อัษฎางค์ยมนาค “เรื่องการเมืองมันซับซ้อนเกินกว่าจะตัดสินเพียงสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน” และกรณีของ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็สะท้อนความซับซ้อนเชิงกลยุทธ์ของการเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน วิเคราะห์ในเชิงการเมือง-ยุทธศาสตร์ 1. ความซับซ้อนของ "พีระพันธุ์": นักการเมืองสายเทคนิค-กฎหมายในโลกของเกมอำนาจ คุณพีระพันธุ์ เป็นนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ "สายระบบราชการ" มากกว่านักพูด นักปลุกใจ หรือป๊อปปูลาร์ในโซเชียล เขาไม่ใช่นักการเมืองที่เน้นลงพื้นที่ แต่ถูกวางตัวให้ “แบกรับภารกิจเชิงนโยบาย” ที่ซับซ้อน เช่น พลังงาน กฎหมาย คาสิโน หรือแม้แต่โครงสร้างรัฐ จุดแข็ง: เข้าใจระบบ, ต่อรองกับเทคนิคของรัฐได้ดี จุดอ่อน: ขาดฐานมวลชนที่เหนียวแน่นทางอารมณ์ → ทำให้ถูกกดดันง่ายจาก "อินฟลูฯ" และโซเชียลมีเดีย 2. ข้อกล่าวหา “สนับสนุนคาสิโน” และ “ถอด DNA ลุงตู่” คือสงครามทางสัญลักษณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคาสิโนหรือการตอบคำถามนักข่าว แต่คือ “สงครามตีตราทางการเมือง” ที่มีเป้าหมายหลักคือทำลายความชอบธรรม กลุ่มที่ว่า “หยุดเรียกเขาว่าเป็น DNA ลุงตู่” พยายามบอกว่าเขาทรยศต่อฐานอนุรักษ์นิยม กลุ่มที่โยงเขากับ “คาสิโน” ก็พยายามสร้างภาพว่าเขาสนับสนุนสิ่งผิดศีลธรรม ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ มีน้ำหนักทางจิตวิทยามวลชนสูงมากในหมู่ฐานเสียงฝ่ายอนุรักษ์นิยม 3. ประเด็นที่ซ่อนอยู่: ศึกใหญ่คือ "พลังงาน" ไม่ใช่คาสิโน คุณพีระพันธุ์ถูกตั้งเป้าโจมตีไม่ใช่เพราะคาสิโนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะ เขาเริ่มลงมือในนโยบายพลังงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ขนาดใหญ่มากของหลายกลุ่มทุน “พลังงานคืออาณาจักรของอำนาจที่ซ่อนอยู่” และการที่คุณพีระพันธุ์กำลังรื้อโครงสร้างบางอย่าง → ย่อมทำให้เขาถูกโจมตีแบบ "ตีวงล้อม" วิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาการเมือง 1. การถอดความนัยของคำว่า “DNA ลุงตู่” การใช้คำว่า “DNA ลุงตู่” สื่อถึงการสืบทอดจิตวิญญาณหรือแนวทางทางการเมือง แต่เมื่อกลุ่มอินฟลูฯ ออกมาพูดว่าเขา “ไม่ใช่” → ก็เท่ากับตัดเขาออกจากเครือข่ายทางอำนาจเดิมทันที เป็นการ “ถอนรากอุดมการณ์” ซึ่งส่งผลแรงในระดับฐานเสียง 2. อินฟลูเอนเซอร์กับการควบคุมทิศทางของฝูงชน กรณีของ"อินฟลูฯ" โจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นว่า “อิทธิพลของเสียงในโซเชียล” วันนี้มีอำนาจไม่แพ้การอภิปรายในสภา เพราะ เขาสามารถตีกรอบให้คนมองพีระพันธุ์ในทิศทางใดก็ได้ โดยไม่ต้องรอข้อเท็จจริง สรุป: เกมหลัก→ โยงคุณพีระพันธุ์เข้ากับคาสิโน เพื่อทำลายภาพลักษณ์อนุรักษ์นิยม เกมลับ→ เขากำลังแตะโครงสร้างพลังงาน ซึ่งคือผลประโยชน์มหาศาล เทคนิคที่ใช้→ ตีวงล้อมผ่านสื่อ → ดึงฐานเสียงอนุรักษ์นิยมออกห่าง ความเสี่ยง→ หากขาดการสื่อสารที่ชัดเจน อาจกลายเป็น “คนกลางที่โดนล้อมจากทุกด้าน” ข้อเสนอแนะของผม: → อย่าตัดสินนักการเมืองจากคลิปเดียวหรือข้อความเดียว → การเมืองเป็นกลยุทธ์ และคำบางคำมีหน้าที่เบี่ยงเบนเกม ไม่ใช่แสดงเจตนาจริง → กลุ่มผู้สนับสนุนคุณพีระพันธุ์ควรสื่อสารเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานและเป้าหมายทางนโยบายที่แท้จริง → ฐานเสียงฝ่ายขวา/อนุรักษ์นิยมควรใช้หลักคิดมากกว่าความรู้สึก ในการประเมินผู้นำ เพราะอารมณ์สามารถถูกสร้างได้ แต่ผลประโยชน์ของชาติคือของจริง ฝากคำถามไว้ให้ขบคิด: → คุณคิดว่า “การเล่นเกมซ้อนเกม” แบบนี้ สุดท้ายจะทำให้คุณพีระพันธุ์กลายเป็นเบี้ยที่ถูกเขี่ย หรือเป็นหมากลับที่น่ากลัวสำหรับทุกฝ่ายครับ?
    0 Comments 0 Shares 838 Views 0 Reviews
  • ผู้เขียนเคยอ่านบทความต่างประเทศ ..โดย Professor อะไรจำชื่อไม่ได้...แต่น่าสนใจ...เขาเขียนว่า หลายทฤษฏี หลายหลักคิด...ที่สืบต่อกันมายาวนาน...ในจำนวนนั้น..ถูกบัญญัติโดย "ไอ้งั่ง" ที่คิดว่า..ตนฉลาด ..เมื่อได้กำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา...ลองคิดตามย้อนดู จากการเก็บสถิติ..หรือแม้แต่หาข้อพิสูจน์ว่ามันจริง หรือถูกต้องยังไม่ได้เลย...แต่ก็สืบต่อกันมาด้วยความ "เชื่อ" ...มีหลักคิดมากมายที่เป็นของจริง ที่พิสูจน์ได้ก็มาก ..ยุคเก่าก็พระพุทธเจ้า เพลโต โซเครตีส ..ขยับขึ้นมาหน่อย ซิกแมน ฟลอยด์.ไอน์สไตล์ ..และอีกมาก.....ฉะนั้น ทุกคนมีสมอง จงใช้มัน...อย่าใช้แค่ #ความเขื่อต่อๆกัน# ....ซึ่งมันจะทำให้คุณเป็น "เหยื่อ" ...ในหลายสิ่ง.
    ผู้เขียนเคยอ่านบทความต่างประเทศ ..โดย Professor อะไรจำชื่อไม่ได้...แต่น่าสนใจ...เขาเขียนว่า หลายทฤษฏี หลายหลักคิด...ที่สืบต่อกันมายาวนาน...ในจำนวนนั้น..ถูกบัญญัติโดย "ไอ้งั่ง" ที่คิดว่า..ตนฉลาด ..เมื่อได้กำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา...ลองคิดตามย้อนดู จากการเก็บสถิติ..หรือแม้แต่หาข้อพิสูจน์ว่ามันจริง หรือถูกต้องยังไม่ได้เลย...แต่ก็สืบต่อกันมาด้วยความ "เชื่อ" ...มีหลักคิดมากมายที่เป็นของจริง ที่พิสูจน์ได้ก็มาก ..ยุคเก่าก็พระพุทธเจ้า เพลโต โซเครตีส ..ขยับขึ้นมาหน่อย ซิกแมน ฟลอยด์.ไอน์สไตล์ ..และอีกมาก.....ฉะนั้น ทุกคนมีสมอง จงใช้มัน...อย่าใช้แค่ #ความเขื่อต่อๆกัน# ....ซึ่งมันจะทำให้คุณเป็น "เหยื่อ" ...ในหลายสิ่ง.
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • หนังสือ"หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" จะเปิดเผยเคล็ดลับหยุดคิดมาก!
    รู้สึกไหมว่า... ความคิดที่ไม่หยุดยั้งกำลังครอบงำจิตใจคุณ? ความวิตกกังวลที่แฝงตัวอยู่ในทุกการตัดสินใจและการกระทำ ทำให้ชีวิตประจำวันรู้สึกหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเครียด?
    ถ้าคำตอบคือ "ใช่!" หนังสือ "หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" คือคำตอบที่คุณกำลังมองหา!

    ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้พบกับเทคนิคและวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้คุณหยุดคิดมาก ลดความวิตกกังวล และสร้างชีวิตที่สงบและมีคุณภาพมากขึ้น!

    เทคนิคการฝึกสติ
    การหายใจเพื่อผ่อนคลาย
    การเขียนบันทึกเพื่อระบายความคิด
    การตั้งคำถามเพื่อหยุดความคิดที่ไม่จำเป็น
    เริ่มต้นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณวันนี้!

    ลดราคา จาก 289 บาท เหลือ 199 บาท
    ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้เท่านั้น!
    รับไฟล์ PDF อ่านได้ทันทีหลังโอนเงิน ไม่ต้องรอนานครับ!

    สั่งซื้อหนังสือวันนี้ที่ Line ID: nithit_hacot

    และค้นพบเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณรับมือกับความคิดและความเครียดในทุกสถานการณ์!
    #หยุดคิดมาก #ลดความวิตกกังวล #ชีวิตสงบ #หนังสือจิตวิทยา #พัฒนาตนเอง #ทักษะการคิด #ทักษะการตั้งคำถาม
    📚 หนังสือ"หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" จะเปิดเผยเคล็ดลับหยุดคิดมาก! 📚 รู้สึกไหมว่า... ความคิดที่ไม่หยุดยั้งกำลังครอบงำจิตใจคุณ? 🤯 ความวิตกกังวลที่แฝงตัวอยู่ในทุกการตัดสินใจและการกระทำ ทำให้ชีวิตประจำวันรู้สึกหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเครียด? ถ้าคำตอบคือ "ใช่!" หนังสือ "หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" คือคำตอบที่คุณกำลังมองหา! ✨ ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้พบกับเทคนิคและวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้คุณหยุดคิดมาก ลดความวิตกกังวล และสร้างชีวิตที่สงบและมีคุณภาพมากขึ้น! 💡 🧘‍♂️ เทคนิคการฝึกสติ 🧘‍♀️ การหายใจเพื่อผ่อนคลาย 📓 การเขียนบันทึกเพื่อระบายความคิด ❓ การตั้งคำถามเพื่อหยุดความคิดที่ไม่จำเป็น เริ่มต้นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณวันนี้! 🔥 ลดราคา จาก 289 บาท เหลือ 199 บาท ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้เท่านั้น! 📌 รับไฟล์ PDF อ่านได้ทันทีหลังโอนเงิน ไม่ต้องรอนานครับ! 🔗 สั่งซื้อหนังสือวันนี้ที่ Line ID: nithit_hacot และค้นพบเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณรับมือกับความคิดและความเครียดในทุกสถานการณ์! #หยุดคิดมาก #ลดความวิตกกังวล #ชีวิตสงบ #หนังสือจิตวิทยา #พัฒนาตนเอง #ทักษะการคิด #ทักษะการตั้งคำถาม
    0 Comments 0 Shares 710 Views 0 Reviews
  • “ภูมิธรรม” ลั่น อย่าไปคิดมาก กัมพูชาประท้วงปมเกาะกูด ทำได้แต่ต้องไม่ละเมิดอธิปไตยไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/17459/
    “ภูมิธรรม” ลั่น อย่าไปคิดมาก กัมพูชาประท้วงปมเกาะกูด ทำได้แต่ต้องไม่ละเมิดอธิปไตยไทย https://www.thai-tai.tv/news/17459/
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • เราเคยเจอติ่งการเมืองบางกลุ่มดาร์ก
    ทักมาด่าด้อยค่า และโทรมาขู่ด้วยนะ
    แต่เราก็มองขำๆ ด้วยเวทนาเมตตา
    ที่เขามองอย่างตื้นเขิน เพียงเพราะ
    ไม่ถูกใจตนไม่สนใจถูกต้องกติกา
    สังคมใดๆ เหตุแบบนี้มีมาแต่ตอน
    จัดรายการนานมาแล้ว บอกจะเอา
    ระเบิดมาวางสถานี ดักหน้าซอยบ้าง
    หรือ จะบุกมาหาที่บ้านบ้าง ปัจจุบัน
    ก็มีลักษณะนี้อยู่นะ ซึ่งไม่มีมาหานะ
    แต่ก็ไม่ท้าทายนะ เพียงแต่ งงตรรกะ
    ต้องบอกว่า คนดีๆมีสติปัญญาเขา
    ไม่ทำแบบนี้กันดอกครับ

    ประชาธิปไตยอะไรกัน เราเห็นต่าง
    มองอีกมุม กลับจะท้าตีท้ายต่อยข่มขู่
    หาว่าเราโง่อีกนะ มันดูสิ้นคิดมากๆฮะ
    และเราเองก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฮะครับ

    คนไทยเหมือนกันเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์
    อย่าหลงในภาพนักการเมืองจนเอาอารมณ์
    ตนเป็นใหญ่เหนือความถูกต้องจนไร้สติฮะ
    แล้วสังคมจะดีงามเอย

    คนเราเป็นคนเหมือนกันแต่ความเป็นคนมีไม่เท่ากัน
    สังคมดี บ้านเมืองดี ด้วยเรามีจิตสำนึกความเป็นคนดี
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    เราเคยเจอติ่งการเมืองบางกลุ่มดาร์ก ทักมาด่าด้อยค่า และโทรมาขู่ด้วยนะ แต่เราก็มองขำๆ ด้วยเวทนาเมตตา ที่เขามองอย่างตื้นเขิน เพียงเพราะ ไม่ถูกใจตนไม่สนใจถูกต้องกติกา สังคมใดๆ เหตุแบบนี้มีมาแต่ตอน จัดรายการนานมาแล้ว บอกจะเอา ระเบิดมาวางสถานี ดักหน้าซอยบ้าง หรือ จะบุกมาหาที่บ้านบ้าง ปัจจุบัน ก็มีลักษณะนี้อยู่นะ ซึ่งไม่มีมาหานะ แต่ก็ไม่ท้าทายนะ เพียงแต่ งงตรรกะ ต้องบอกว่า คนดีๆมีสติปัญญาเขา ไม่ทำแบบนี้กันดอกครับ ประชาธิปไตยอะไรกัน เราเห็นต่าง มองอีกมุม กลับจะท้าตีท้ายต่อยข่มขู่ หาว่าเราโง่อีกนะ มันดูสิ้นคิดมากๆฮะ และเราเองก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฮะครับ คนไทยเหมือนกันเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ อย่าหลงในภาพนักการเมืองจนเอาอารมณ์ ตนเป็นใหญ่เหนือความถูกต้องจนไร้สติฮะ แล้วสังคมจะดีงามเอย คนเราเป็นคนเหมือนกันแต่ความเป็นคนมีไม่เท่ากัน สังคมดี บ้านเมืองดี ด้วยเรามีจิตสำนึกความเป็นคนดี มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
More Results