• "อยากทำตัวราวกับไม่แก่" 100 ปีมหาเธร์ โมฮัมหมัด

    ใครจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีนักการเมืองอายุยืนถึงเลขสามหลัก เฉกเช่นอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด มีวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. แม้คำอวยพรจะล้นหลาม แต่เขายังคงทำงานตามปกติอยู่ในสำนักงานที่เมืองปุตราจายา แม้จะมีแขกผู้มาเยือนแต่ก็ไม่ได้จัดงานฉลองใหญ่โต มีเพียงคนในสำนักงานนำเค้กก้อนเล็กมอบให้พร้อมร้องเพลงวันเกิด ก่อนที่มหาเธร์จะให้แยกย้ายกลับไปทำงานตามปกติ เคล็ดลับที่ทำให้อายุยืนเขาเชื่อว่ามาจากการไม่สูบบุหรี่ ไม่กินมากเกินไป และออกกำลังกายทั้งกายและใจ รวมทั้งสมอง แม้จะมีประวัติโรคหัวใจ รวมถึงการผ่าตัดบายพาสสองครั้งก็ตาม

    นัยยะที่ทำให้คอการเมืองและผู้สนใจมาเลเซียจับตามอง คือการที่เขากล่าวผ่านพอร์ตแคสต์ว่า ตราบใดที่ยังทำหน้าที่ได้ ก็อยากจะทำหน้าที่ต่อไป อยากจะทำตัวให้ราวกับว่ายังไม่แก่ พยายามใช้ชีวิตแบบเดียวกับตอนที่ยังเด็ก ทำงาน มาที่ออฟฟิศ ไปงานต่างๆ และอะไรต่อมิอะไร คิดว่าการได้ออกกำลังกายคือสิ่งที่ทำให้มีชีวิตชีวา และว่า "ผมเป็นคนแอคทีฟมาตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงอยากพักผ่อน หมายความว่าไปเที่ยวพักผ่อน ทำอะไรสักอย่าง ไปเที่ยวพักผ่อนที่ได้ทำอะไรบางอย่าง แต่บางคนเกษียณแล้วอยากพักผ่อน การพักผ่อนหมายความว่ายังไง ไม่ทำอะไรเลยเหรอ"

    จากเด็กชายที่เกิดในเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ ทางภาคเหนือของมาเลเซีย เขาคือนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งถึง 2 สมัย ปี 2524-2546 และ 2561-2563 สร้างความเปลี่ยนแปลงในมาเลเซีย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนเหนือ-ใต้ สาย E1-E2 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ตึกแฝดปิโตรนาสที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนา การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งโทรคมนาคม ไฟฟ้า สายการบิน การสร้างแบรนด์รถยนต์แห่งชาติอย่างโปรตอน (Proton) กอบกู้ประเทศจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เลือกพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ ควบคุมเงินทุนและกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินริงกิต ไม่พึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

    ถึงกระนั้น การเมืองในมาเลเซียไม่ได้ขาวสะอาด เต็มไปด้วยเกมชิงอำนาจ เส้นทางการเมืองของมหาเธร์ไม่สวยงามนัก เคยถูกตั้งคำถามจากฝ่ายค้านและกลุ่มเอ็นจีโอถึงการรวมอำนาจทางการเมือง กำจัดฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพประชาชน รวมทั้งในสายตาคนรุ่นใหม่ เชื่อว่ามนต์ขลังของมหาเธร์หมดลงแล้ว เป็นเพียงอดีตผู้นำชราที่ไม่โดนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในปัจจุบันท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น การขึ้นภาษี SST สงครามการค้ากับสหรัฐฯ การปฎิรูปการเมืองที่ล้มเหลว หากมหาเธร์จะกลับมาลงสนามเลือกตั้งในวัย 100 ปี จะไหวหรือไม่ ถามใจชาวมาเลเซียดู

    #Newskit
    "อยากทำตัวราวกับไม่แก่" 100 ปีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ใครจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีนักการเมืองอายุยืนถึงเลขสามหลัก เฉกเช่นอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด มีวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. แม้คำอวยพรจะล้นหลาม แต่เขายังคงทำงานตามปกติอยู่ในสำนักงานที่เมืองปุตราจายา แม้จะมีแขกผู้มาเยือนแต่ก็ไม่ได้จัดงานฉลองใหญ่โต มีเพียงคนในสำนักงานนำเค้กก้อนเล็กมอบให้พร้อมร้องเพลงวันเกิด ก่อนที่มหาเธร์จะให้แยกย้ายกลับไปทำงานตามปกติ เคล็ดลับที่ทำให้อายุยืนเขาเชื่อว่ามาจากการไม่สูบบุหรี่ ไม่กินมากเกินไป และออกกำลังกายทั้งกายและใจ รวมทั้งสมอง แม้จะมีประวัติโรคหัวใจ รวมถึงการผ่าตัดบายพาสสองครั้งก็ตาม นัยยะที่ทำให้คอการเมืองและผู้สนใจมาเลเซียจับตามอง คือการที่เขากล่าวผ่านพอร์ตแคสต์ว่า ตราบใดที่ยังทำหน้าที่ได้ ก็อยากจะทำหน้าที่ต่อไป อยากจะทำตัวให้ราวกับว่ายังไม่แก่ พยายามใช้ชีวิตแบบเดียวกับตอนที่ยังเด็ก ทำงาน มาที่ออฟฟิศ ไปงานต่างๆ และอะไรต่อมิอะไร คิดว่าการได้ออกกำลังกายคือสิ่งที่ทำให้มีชีวิตชีวา และว่า "ผมเป็นคนแอคทีฟมาตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงอยากพักผ่อน หมายความว่าไปเที่ยวพักผ่อน ทำอะไรสักอย่าง ไปเที่ยวพักผ่อนที่ได้ทำอะไรบางอย่าง แต่บางคนเกษียณแล้วอยากพักผ่อน การพักผ่อนหมายความว่ายังไง ไม่ทำอะไรเลยเหรอ" จากเด็กชายที่เกิดในเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดะห์ ทางภาคเหนือของมาเลเซีย เขาคือนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งถึง 2 สมัย ปี 2524-2546 และ 2561-2563 สร้างความเปลี่ยนแปลงในมาเลเซีย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด่วนเหนือ-ใต้ สาย E1-E2 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ตึกแฝดปิโตรนาสที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนา การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งโทรคมนาคม ไฟฟ้า สายการบิน การสร้างแบรนด์รถยนต์แห่งชาติอย่างโปรตอน (Proton) กอบกู้ประเทศจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 เลือกพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ ควบคุมเงินทุนและกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินริงกิต ไม่พึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถึงกระนั้น การเมืองในมาเลเซียไม่ได้ขาวสะอาด เต็มไปด้วยเกมชิงอำนาจ เส้นทางการเมืองของมหาเธร์ไม่สวยงามนัก เคยถูกตั้งคำถามจากฝ่ายค้านและกลุ่มเอ็นจีโอถึงการรวมอำนาจทางการเมือง กำจัดฝ่ายตรงข้าม จำกัดเสรีภาพประชาชน รวมทั้งในสายตาคนรุ่นใหม่ เชื่อว่ามนต์ขลังของมหาเธร์หมดลงแล้ว เป็นเพียงอดีตผู้นำชราที่ไม่โดนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในปัจจุบันท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น การขึ้นภาษี SST สงครามการค้ากับสหรัฐฯ การปฎิรูปการเมืองที่ล้มเหลว หากมหาเธร์จะกลับมาลงสนามเลือกตั้งในวัย 100 ปี จะไหวหรือไม่ ถามใจชาวมาเลเซียดู #Newskit
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • ทักษิณลั่นรอคนรุ่นใหม่หมดเสี้ยนหนาม พร้อมเดินหน้าทำงานเต็มที่ โชว์วิสัยทัศน์สองงานใหญ่ แนะรัฐบาลเร่งแก้เศรษฐกิจ มั่นใจ Thai WORKS ปั้น OTOP สู่ตลาดโลก เผย อายุ 76 แล้ว ใจร้อนอยากเห็นผลงานเร็วๆ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064982

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทักษิณลั่นรอคนรุ่นใหม่หมดเสี้ยนหนาม พร้อมเดินหน้าทำงานเต็มที่ โชว์วิสัยทัศน์สองงานใหญ่ แนะรัฐบาลเร่งแก้เศรษฐกิจ มั่นใจ Thai WORKS ปั้น OTOP สู่ตลาดโลก เผย อายุ 76 แล้ว ใจร้อนอยากเห็นผลงานเร็วๆ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064982 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Like
    4
    0 Comments 1 Shares 485 Views 0 Reviews
  • ในวันที่คนรุ่นใหม่ใช้คริปโตมากกว่าเงินสด และการบินไม่ใช่แค่เรื่องของ “จองผ่านบัตรเครดิต” อีกต่อไป → Emirates เตรียมเปิดรับ “ผู้โดยสารยุค Web3” ผ่านความร่วมมือกับ Crypto.com → โดยให้ใช้บริการ Crypto.com Pay เพื่อจ่ายค่าโดยสารและบริการอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของ Emirates

    Adnan Kazim (รองประธานฝ่ายการพาณิชย์ของ Emirates) บอกว่า → กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าหน้าใหม่ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยี และชอบใช้เงินดิจิทัล” → ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชีย

    บริการนี้จะเริ่มใช้จริง “ในปีหน้า” → โดยรวมเข้ากับแพลตฟอร์มการจอง–การชำระเงินของ Emirates → ช่วยเปิดประตูสู่เศรษฐกิจแบบไร้พรมแดน และเร่งการยอมรับคริปโตในภาคธุรกิจสายการบินเป็นครั้งแรก

    Emirates Airline ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นกับ Crypto.com เพื่อรองรับการจ่ายเงินด้วยคริปโต  
    • ใช้แพลตฟอร์ม “Crypto.com Pay”  
    • ชำระค่าโดยสาร, บริการเสริม, หรือสินค้าในเครือ Emirates ได้

    บริการจะเริ่มใช้จริงในปี 2026  • เป็นครั้งแรกที่สายการบินระดับโลกเปิดให้ใช้ crypto payment แบบเป็นทางการ

    กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าที่ถนัดเทคโนโลยี–ชอบคริปโต–ต้องการการเดินทางที่ไร้พรมแดน”  
    • เน้นตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, กลุ่มคน Gen Z, นักลงทุนสาย Web3

    Emirates เคยมีบทบาทในนวัตกรรมด้าน loyalty program มาก่อน → จึงไม่แปลกที่เลือกนำคริปโตมาเป็นช่องทางใหม่

    ยังไม่มีรายละเอียดว่าการชำระจะรองรับสกุลใดบ้าง เช่น BTC, ETH, CRO หรือ stablecoin แบบ USDC/USDT  
    • ผู้ใช้ควรติดตามข้อมูลจาก Crypto.com ก่อนใช้งานจริง

    การชำระเงินด้วยคริปโตยังมีความผันผวนสูง → อาจต้องใช้ระบบ lock rate, หรือมี conversion fee ในแต่ละประเทศ

    หากกฎหมายของบางประเทศไม่รองรับ crypto → อาจยังใช้งานไม่ได้ทั่วโลก

    ยังไม่แน่ชัดว่าการคืนเงิน (refund) จะดำเนินการผ่านระบบคริปโตหรือ fiat → ส่งผลต่อ UX ของผู้โดยสาร

    ความร่วมมือยังอยู่ในขั้นต้น → ต้องรอติดตามว่าระบบจะ integrate เข้ากับ Emirates ได้ seamless แค่ไหน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/dubai039s-emirates-signs-preliminary-deal-to-add-crypto-to-payments
    ในวันที่คนรุ่นใหม่ใช้คริปโตมากกว่าเงินสด และการบินไม่ใช่แค่เรื่องของ “จองผ่านบัตรเครดิต” อีกต่อไป → Emirates เตรียมเปิดรับ “ผู้โดยสารยุค Web3” ผ่านความร่วมมือกับ Crypto.com → โดยให้ใช้บริการ Crypto.com Pay เพื่อจ่ายค่าโดยสารและบริการอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของ Emirates Adnan Kazim (รองประธานฝ่ายการพาณิชย์ของ Emirates) บอกว่า → กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าหน้าใหม่ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยี และชอบใช้เงินดิจิทัล” → ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชีย บริการนี้จะเริ่มใช้จริง “ในปีหน้า” → โดยรวมเข้ากับแพลตฟอร์มการจอง–การชำระเงินของ Emirates → ช่วยเปิดประตูสู่เศรษฐกิจแบบไร้พรมแดน และเร่งการยอมรับคริปโตในภาคธุรกิจสายการบินเป็นครั้งแรก ✅ Emirates Airline ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นกับ Crypto.com เพื่อรองรับการจ่ายเงินด้วยคริปโต   • ใช้แพลตฟอร์ม “Crypto.com Pay”   • ชำระค่าโดยสาร, บริการเสริม, หรือสินค้าในเครือ Emirates ได้ ✅ บริการจะเริ่มใช้จริงในปี 2026  • เป็นครั้งแรกที่สายการบินระดับโลกเปิดให้ใช้ crypto payment แบบเป็นทางการ ✅ กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าที่ถนัดเทคโนโลยี–ชอบคริปโต–ต้องการการเดินทางที่ไร้พรมแดน”   • เน้นตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, กลุ่มคน Gen Z, นักลงทุนสาย Web3 ✅ Emirates เคยมีบทบาทในนวัตกรรมด้าน loyalty program มาก่อน → จึงไม่แปลกที่เลือกนำคริปโตมาเป็นช่องทางใหม่ ‼️ ยังไม่มีรายละเอียดว่าการชำระจะรองรับสกุลใดบ้าง เช่น BTC, ETH, CRO หรือ stablecoin แบบ USDC/USDT   • ผู้ใช้ควรติดตามข้อมูลจาก Crypto.com ก่อนใช้งานจริง ‼️ การชำระเงินด้วยคริปโตยังมีความผันผวนสูง → อาจต้องใช้ระบบ lock rate, หรือมี conversion fee ในแต่ละประเทศ ‼️ หากกฎหมายของบางประเทศไม่รองรับ crypto → อาจยังใช้งานไม่ได้ทั่วโลก ‼️ ยังไม่แน่ชัดว่าการคืนเงิน (refund) จะดำเนินการผ่านระบบคริปโตหรือ fiat → ส่งผลต่อ UX ของผู้โดยสาร ‼️ ความร่วมมือยังอยู่ในขั้นต้น → ต้องรอติดตามว่าระบบจะ integrate เข้ากับ Emirates ได้ seamless แค่ไหน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/dubai039s-emirates-signs-preliminary-deal-to-add-crypto-to-payments
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Dubai's Emirates signs preliminary deal to add crypto to payments
    DUBAI (Reuters) -Emirates has signed a preliminary deal with Crypto.com that will allow its customers to make payments through the crypto trading platform's payment service, the Gulf carrier's parent company said in a statement on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้

    Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ

    ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี

    CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน

    CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค  
    • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน

    Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง
    • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต

    PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร)

    Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี  
    • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร

    CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร

    Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง

    Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน

    https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    สมัยก่อน CISO ส่วนใหญ่เติบโตด้วยตัวเอง — ลองผิดลองถูก, เจอบั๊กแล้วเรียนรู้, สื่อสารไม่เก่งก็ฝึกเอาเอง → แต่ตอนนี้เกมเปลี่ยน! Cybersecurity กลายเป็น “ประเด็นในระดับบอร์ด” และจำเป็นต้องมี “ทายาท” ที่ไม่ใช่แค่เทคนิคเทพ แต่ต้อง สื่อสาร–เชื่อมโยงธุรกิจ–วางกลยุทธ์ได้ Yassir Abousselham (อดีต CISO จาก Okta และ Splunk) บอกว่า → การสร้างผู้นำไซเบอร์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ → เช่น เขาช่วยทีมคนหนึ่งที่ “พูดต่อหน้าคนเยอะไม่ได้” ด้วยการวางแผนฝึกพูดทีละขั้น → สร้างกรอบความคิด → จัดโอกาสให้พูดจริงทีละระดับ ขณะที่ CISO บางองค์กรก็สร้าง “โปรแกรมผู้นำแบบจริงจัง” เช่น → PayPal สร้างเส้นทางสำหรับ “ผู้นำหญิงและคนอายุงานกลาง” โดยใช้ทั้งโปรแกรมฝึกภายในและโค้ชเฉพาะด้าน → Brown & Brown คัดคนรุ่นใหม่ที่แสดงแววภาวะผู้นำเข้าร่วมกลุ่มพิเศษ พบซีอีโอรายเดือน + รับโจทย์แก้ปัญหาจริง + เข้าร่วมอีเวนต์ตลอดปี CISO สมัยใหม่ยังต้อง "เข้าใจบิท-ไบต์แบบนักวิศวะ" และ "คุยกับบอร์ดผู้บริหารได้" → ต้องปั้นทีมที่มีความสามารถทั้งสองด้าน → และเพื่อไม่ให้เสียคนเก่งเพราะองค์กรไม่เติบโต → ต้องให้เวลา–ความจริงใจ–และระบบสนับสนุนที่ชัดเจน ✅ CISO สมัยใหม่ต้องสร้างผู้นำรุ่นถัดไป ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค   • ใช้ทั้งการโค้ชแบบตัวต่อตัว และสร้างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำเฉพาะด้าน ✅ Yassir Abousselham เน้นฝึกทักษะที่คนขาด เช่น public speaking → โดยวางเป้าหมายและฝึกอย่างต่อเนื่อง • ไม่ยอมรับคำว่า “ฉันทำไม่ได้” หากทักษะนั้นจำเป็นต่อการเติบโต ✅ PayPal สร้างเส้นทางผู้นำสำหรับกลุ่มผู้หญิงและ mid-career โดยใช้โปรแกรมฝึกผสมผสาน (ภายในและภายนอกองค์กร) ✅ Brown & Brown สร้าง cohort พิเศษให้คนที่มีแววภาวะผู้นำได้พบ CEO, แก้ปัญหาธุรกิจจริง และรับคำปรึกษาตลอดปี   • ใช้เป็นจุดเริ่มการสร้างวัฒนธรรมของผู้นำในองค์กร ✅ CISO ต้องเข้าใจทั้ง cyber engineering และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคุยกับฝ่ายบริหาร ✅ Ouellette & Associates สร้างโปรแกรม CyberLX (9 เดือน) ฝึกผู้นำไซเบอร์พร้อมโค้ชจาก CISO จริง ✅ Kath Marston เตือนว่า หากองค์กรไม่ฝึกคนเก่ง → จะเสียคนเหล่านั้นให้กับองค์กรอื่นแน่นอน https://www.csoonline.com/article/4015173/how-cisos-are-training-the-next-generation-of-cyber-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs are training the next generation of cyber leaders
    With cyber risk now a boardroom issue, CISOs are training their teams through personalized coaching for company-wide programs not just to defend, but to become leaders.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • อดีตตำรวจอินฟลูฯ คนดัง "จอนนี่ มือปราบ" โพสต์เดือดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถูกนักการเมืองบางรายสกัดกั้น เผยยังไม่คิดลงสนามเลือกตั้ง แต่เตือนแรง หากถูกรังแกเกินไป จะลุกขึ้นสู้แทนชาวบ้าน พร้อมเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ในสภา

    วันนี้ (9 ก.ค.) ด.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์ หรือ "จอนนี่มือปราบ" อดีตตำรวจ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ตนไม่เคยคิดจะเล่นการเมือง หรือลง ส.ส. แต่อย่างใด ลาออกจากตำรวจมา ก็จะมาหากินทำธุรกิจโดยสุจริต เพื่อเลี้ยงครอบครัว และมาเป็นสื่อกระบอกเสียงช่วยชาวบ้าน ในรูปแบบของตน

    “และจะมาลุยปราบยานรก เอาแบบให้ชัดเจน เด็ดขาด!!!”

    ทราบข้อมูลมา ว่ามีนักการเมืองกลั่นแกล้งเวลานี้ สกัด เกรงกลัวผมจะลง ส.ส.แข่ง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000064703

    #Thaitimes #MGROnline #จอนนี่มือปราบ
    อดีตตำรวจอินฟลูฯ คนดัง "จอนนี่ มือปราบ" โพสต์เดือดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถูกนักการเมืองบางรายสกัดกั้น เผยยังไม่คิดลงสนามเลือกตั้ง แต่เตือนแรง หากถูกรังแกเกินไป จะลุกขึ้นสู้แทนชาวบ้าน พร้อมเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ในสภา • วันนี้ (9 ก.ค.) ด.ต.ยุทธพล ศรีสมพงษ์ หรือ "จอนนี่มือปราบ" อดีตตำรวจ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ตนไม่เคยคิดจะเล่นการเมือง หรือลง ส.ส. แต่อย่างใด ลาออกจากตำรวจมา ก็จะมาหากินทำธุรกิจโดยสุจริต เพื่อเลี้ยงครอบครัว และมาเป็นสื่อกระบอกเสียงช่วยชาวบ้าน ในรูปแบบของตน • “และจะมาลุยปราบยานรก เอาแบบให้ชัดเจน เด็ดขาด!!!” • ทราบข้อมูลมา ว่ามีนักการเมืองกลั่นแกล้งเวลานี้ สกัด เกรงกลัวผมจะลง ส.ส.แข่ง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000064703 • #Thaitimes #MGROnline #จอนนี่มือปราบ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • ทำดีต้องชม'สะพานบีบแตร'พลังคนรุ่นใหม่เพื่อชุมชน : ถอนหมุดข่าว 08/07/68
    ทำดีต้องชม'สะพานบีบแตร'พลังคนรุ่นใหม่เพื่อชุมชน : ถอนหมุดข่าว 08/07/68
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ”

    ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน

    ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ

    ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน

    34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ  
    • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี  
    • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้

    21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต  
    • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ

    77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง

    บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม  
    • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting  
    • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite

    Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย

    https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    ลองนึกภาพว่าคุณต้องเข้าออฟฟิศที่ทาสีเทาๆ มีไฟเพดานที่ทำให้ปวดตา โต๊ะจัดเป็นแถวแบบโรงเรียนประถม และไม่มีอะไรน่าสนใจเลยทุกวัน... → นั่นแหละคือสิ่งที่พนักงานในอังกฤษจำนวนมากรู้สึกกับสถานที่ทำงานของพวกเขา → และผลสำรวจจาก Kinly พบว่า 34% ถึงขั้นคิดจะลาออกเพราะดีไซน์ออฟฟิศน่าเบื่อ! → โดยเฉพาะคนช่วงอายุ 25–34 ปี บางคน “ลาออกไปแล้วจริง ๆ” ต้นเหตุไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามนะครับ → 21% บอกว่าที่ทำงานแบบนี้กระทบ “สุขภาพจิต” โดยตรง → สร้างความรู้สึกแย่ หมดไฟ และไม่อยากมาทำงาน ข่าวดีก็คือ บริษัทจำนวนมากในอังกฤษเริ่ม หันมาใช้เทคโนโลยี AV เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศออฟฟิศ → มีทั้งจอภาพ เสียง ระบบเซ็นเซอร์ และสื่อมัลติมีเดีย → เพื่อช่วยให้พื้นที่ทำงานมีชีวิตชีวา สดชื่นขึ้น และเสริมจินตนาการ ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้เชี่ยวชาญ AV บอกว่าออฟฟิศควรมีความสวยงาม “พอ ๆ กับฟังก์ชัน” → และตอนนี้ มากกว่า 2 ใน 3 ของทีม AV เริ่มทำงานร่วมกับฝ่าย HR โดยตรงเพื่อดูแลสุขภาวะพนักงาน ✅ 34% ของพนักงานชาวอังกฤษคิดจะลาออกเพราะออฟฟิศน่าเบื่อ   • โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25–34 ปี   • เกือบครึ่งเคย “ลาออกจริง” เพราะเหตุผลนี้ ✅ 21% บอกว่าสภาพแวดล้อมออฟฟิศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต   • ความน่าเบื่อ ความอึดอัด แสงไม่เหมาะสม สีทึม ทำให้หมดไฟ ✅ 77% ของผู้เชี่ยวชาญ AV เชื่อว่าออฟฟิศที่น่ามองส่งผลต่อผลิตภาพโดยตรง ✅ บริษัทมากกว่าครึ่งในอังกฤษ เริ่มใช้เทคโนโลยีภาพและเสียงมาปรับสภาพแวดล้อม   • เช่น ป้ายดิจิทัล จอแสดงผล เสียงประกอบ ambient lighting   • ใช้เพื่อรองรับพนักงาน neurodiverse และเชื่อมโยงพนักงาน remote–onsite ✅ Kinly CEO ย้ำว่า “ออฟฟิศไม่ใช่แค่สวย แต่เป็นกลยุทธ์” ที่ต้องวางแผนแบบมีเป้าหมาย https://www.techspot.com/news/108577-workers-quitting-over-their-depressing-offices-but-av.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Some workers are quitting over their depressing office designs, but AV tech is helping
    Most offices are bland, dull, miserable boxes, with migraine-inducing lighting and drab colors. They certainly don't make occupants happy to come into work, and can even affect...
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • เมื่อพรรคประชาชน ที่พยายามสร้างภาพมาตลอดว่าเป็นนักการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ทำอะไรเปิดเผย โปร่งใส และเป็นการเมืองแนวใหม่!!

    หลังจาก "โรม" ถูกแฉว่าแอบนัดทานข้าวกับ "อนุทิน" ท่ามกลางกระแสเปิดดีล นายกฯ ชั่วคราว เพื่อผ่าทางตันการเมือง

    ทางด้าน "ทอม เครือโสภณ" ได้กล่าวว่า รังสิมันต์ โรม เป็นฝ่ายบอกให้โทรนัด อนุทิน มาพูดคุยกัน ทำให้ "โรม" ถึงทางตันจนต้องยอมรับว่ามีการนัดจริง แต่เป็นการไปพูดคุยเรื่องการการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เท่านั้นไม่ใช่ดีลลับอย่างที่ใครคิดกัน

    ส่วนตัว "ช่อ" พยายามแก้ตัวแทน "โรม" ว่า เป็นเพียงกระแสข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่โดน "ทอม เครือโสภณ" ตอกกลับว่ายืนยันแน่นอน เพราะเป็นคนจัดการนัดให้ "โรม" และ "อนุทิน" เอง
    เมื่อพรรคประชาชน ที่พยายามสร้างภาพมาตลอดว่าเป็นนักการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ทำอะไรเปิดเผย โปร่งใส และเป็นการเมืองแนวใหม่!! 👉หลังจาก "โรม" ถูกแฉว่าแอบนัดทานข้าวกับ "อนุทิน" ท่ามกลางกระแสเปิดดีล นายกฯ ชั่วคราว เพื่อผ่าทางตันการเมือง 👉ทางด้าน "ทอม เครือโสภณ" ได้กล่าวว่า รังสิมันต์ โรม เป็นฝ่ายบอกให้โทรนัด อนุทิน มาพูดคุยกัน ทำให้ "โรม" ถึงทางตันจนต้องยอมรับว่ามีการนัดจริง แต่เป็นการไปพูดคุยเรื่องการการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เท่านั้นไม่ใช่ดีลลับอย่างที่ใครคิดกัน 👉ส่วนตัว "ช่อ" พยายามแก้ตัวแทน "โรม" ว่า เป็นเพียงกระแสข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่โดน "ทอม เครือโสภณ" ตอกกลับว่ายืนยันแน่นอน เพราะเป็นคนจัดการนัดให้ "โรม" และ "อนุทิน" เอง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • โมร็อกโกจัดงาน Morocco Gaming Expo ปีที่ 2 ที่เมืองราบัต โดยเชิญทั้งนักพัฒนา นักศึกษา และบริษัทจากทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งในงานก็มีทั้งบูธเกมใหม่ ๆ, VR โลกเสมือนจริง, การแข่ง e-sport, และเวทีหารือระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม

    เบื้องหลังงานนี้คือยุทธศาสตร์ระดับประเทศ: → รัฐบาลมองว่าอุตสาหกรรมเกมที่มีมูลค่ากว่า $200,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ควรเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเยาวชนที่กำลังเผชิญอัตราว่างงานสูงเกือบ 30% → จึงลงทุนสร้าง Rabat Gaming City มูลค่ากว่า $26 ล้านดอลลาร์ → มีทั้งพื้นที่ฝึกงาน, co-working space, สตูดิโอผลิตเกม และการฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR และการเขียนโปรแกรม

    รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนของโมร็อกโกยังบอกเลยว่า:

    “เป้าหมายไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่คือการเปิดโอกาสชีวิตให้กับเยาวชน” “เราต้องเปลี่ยนความหลงใหลของพวกเขาให้กลายเป็นอาชีพ”

    ปัจจุบัน โมร็อกโกสร้างรายได้จากเกมราว $500 ล้านดอลลาร์/ปี และตั้งเป้าเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030 โดยหวังจะเป็นประเทศแอฟริกาต้นแบบด้านเกม เหมือนที่เกาหลีใต้เป็นผู้นำด้าน e-sport

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว:
    รัฐบาลโมร็อกโกลงทุน $26 ล้านสร้าง “Rabat Gaming City” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกม  
    • มี training center, co-working space, production studio  
    • สร้างพื้นที่ฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR, coding สำหรับเยาวชน

    จัดงาน Morocco Gaming Expo เพื่อดึงบริษัทเกมระดับโลกเข้ามาในประเทศ  
    • มีการแข่ง e-sport, โชว์เกม, เจรจาธุรกิจ, ทดลอง VR

    รัฐบาลหวังให้อุตสาหกรรมเกมเป็นทางออกสำหรับปัญหาว่างงานเยาวชน (เกือบ 30%)  
    • เน้นเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพดิจิทัล  
    • สนับสนุนให้คนท้องถิ่นพัฒนาเกมของตัวเอง (ไม่ใช่แค่เล่น)

    อุตสาหกรรมเกมของโมร็อกโกสร้างรายได้ $500 ล้าน/ปี และมีแผนเพิ่มเป็น $1,000 ล้านภายในปี 2030

    แนวทางนี้ถือเป็นแบบอย่างการ “กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ” ของแอฟริกาโดยไม่พึ่งแค่การเกษตรหรือพลังงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/morocco-bets-on-video-game-industry-to-provide-jobs-and-diversify-economy
    โมร็อกโกจัดงาน Morocco Gaming Expo ปีที่ 2 ที่เมืองราบัต โดยเชิญทั้งนักพัฒนา นักศึกษา และบริษัทจากทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งในงานก็มีทั้งบูธเกมใหม่ ๆ, VR โลกเสมือนจริง, การแข่ง e-sport, และเวทีหารือระหว่างภาครัฐและอุตสาหกรรม เบื้องหลังงานนี้คือยุทธศาสตร์ระดับประเทศ: → รัฐบาลมองว่าอุตสาหกรรมเกมที่มีมูลค่ากว่า $200,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ควรเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเยาวชนที่กำลังเผชิญอัตราว่างงานสูงเกือบ 30% → จึงลงทุนสร้าง Rabat Gaming City มูลค่ากว่า $26 ล้านดอลลาร์ → มีทั้งพื้นที่ฝึกงาน, co-working space, สตูดิโอผลิตเกม และการฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR และการเขียนโปรแกรม รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนของโมร็อกโกยังบอกเลยว่า: “เป้าหมายไม่ใช่แค่สร้างรายได้ แต่คือการเปิดโอกาสชีวิตให้กับเยาวชน” “เราต้องเปลี่ยนความหลงใหลของพวกเขาให้กลายเป็นอาชีพ” ปัจจุบัน โมร็อกโกสร้างรายได้จากเกมราว $500 ล้านดอลลาร์/ปี และตั้งเป้าเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2030 โดยหวังจะเป็นประเทศแอฟริกาต้นแบบด้านเกม เหมือนที่เกาหลีใต้เป็นผู้นำด้าน e-sport ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว: ✅ รัฐบาลโมร็อกโกลงทุน $26 ล้านสร้าง “Rabat Gaming City” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกม   • มี training center, co-working space, production studio   • สร้างพื้นที่ฝึกอบรมด้านเกมดีไซน์, VR, coding สำหรับเยาวชน ✅ จัดงาน Morocco Gaming Expo เพื่อดึงบริษัทเกมระดับโลกเข้ามาในประเทศ   • มีการแข่ง e-sport, โชว์เกม, เจรจาธุรกิจ, ทดลอง VR ✅ รัฐบาลหวังให้อุตสาหกรรมเกมเป็นทางออกสำหรับปัญหาว่างงานเยาวชน (เกือบ 30%)   • เน้นเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพดิจิทัล   • สนับสนุนให้คนท้องถิ่นพัฒนาเกมของตัวเอง (ไม่ใช่แค่เล่น) ✅ อุตสาหกรรมเกมของโมร็อกโกสร้างรายได้ $500 ล้าน/ปี และมีแผนเพิ่มเป็น $1,000 ล้านภายในปี 2030 ✅ แนวทางนี้ถือเป็นแบบอย่างการ “กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ” ของแอฟริกาโดยไม่พึ่งแค่การเกษตรหรือพลังงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/morocco-bets-on-video-game-industry-to-provide-jobs-and-diversify-economy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Morocco bets on video game industry to provide jobs and diversify economy
    Morocco is laying down foundations to build a homegrown gaming industry by establishing a developer hub in the capital, training coders and launching programmes to draw tech-savvy youth into the sector.
    0 Comments 0 Shares 175 Views 0 Reviews
  • 'ดร.เอ้' รับตั้ง 'พรรคไทยก้าวใหม่' ดีล 'คุณหญิงกัลยา' ผนึกคนรุ่นใหม่โฟกัสการศึกษาเปลี่ยนแปลงปท.
    https://www.thai-tai.tv/news/20013/
    .
    #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #ลาออกปชป #พรรคไทยก้าวใหม่ #คุณหญิงกัลยา #ปฏิรูปการศึกษา #พัฒนาประเทศ #คนรุ่นใหม่ #การเมืองไทย #ประเทศไทยต้องเปลี่ยน
    'ดร.เอ้' รับตั้ง 'พรรคไทยก้าวใหม่' ดีล 'คุณหญิงกัลยา' ผนึกคนรุ่นใหม่โฟกัสการศึกษาเปลี่ยนแปลงปท. https://www.thai-tai.tv/news/20013/ . #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #ลาออกปชป #พรรคไทยก้าวใหม่ #คุณหญิงกัลยา #ปฏิรูปการศึกษา #พัฒนาประเทศ #คนรุ่นใหม่ #การเมืองไทย #ประเทศไทยต้องเปลี่ยน
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • บิ๊กเนม'ปชป.'ร่วมวงเพียบ!! 'คุณหญิงกัลยา'ตั้ง'พรรคไทยก้าวใหม่' พร้อมตั้ง'สุชัชวีร์'นั่งหัวหน้าฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/20009/
    .
    #ดรเอ้ลาออก #พรรคประชาธิปัตย์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #คุณหญิงกัลยา #การศึกษา #นวัตกรรม #สวัสดิการคนรุ่นใหม่ #การเมืองไทย #ข่าวการเมือง
    บิ๊กเนม'ปชป.'ร่วมวงเพียบ!! 'คุณหญิงกัลยา'ตั้ง'พรรคไทยก้าวใหม่' พร้อมตั้ง'สุชัชวีร์'นั่งหัวหน้าฯ https://www.thai-tai.tv/news/20009/ . #ดรเอ้ลาออก #พรรคประชาธิปัตย์ #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #คุณหญิงกัลยา #การศึกษา #นวัตกรรม #สวัสดิการคนรุ่นใหม่ #การเมืองไทย #ข่าวการเมือง
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • น่าขยะแขยง! ทัวร์ลง 'จิรัฏฐ์' สส.ฉะเชิงเทรา ที่คนรุ่นใหม่เลือกมา ดูถูกความเป็นมนุษย์ เหยียดแม่บ้านทหารอากาศ
    https://www.thai-tai.tv/news/19980/
    .
    #จิรัฏฐ์ทองสุวรรณ์ #พรรคประชาชน #สสฉะเชิงเทรา #แม่บ้านทหาร #ทัศนคติ #ทัวร์ลง #ดราม่าโซเชียล #การเมืองไทย #เหยียดหยาม
    น่าขยะแขยง! ทัวร์ลง 'จิรัฏฐ์' สส.ฉะเชิงเทรา ที่คนรุ่นใหม่เลือกมา ดูถูกความเป็นมนุษย์ เหยียดแม่บ้านทหารอากาศ https://www.thai-tai.tv/news/19980/ . #จิรัฏฐ์ทองสุวรรณ์ #พรรคประชาชน #สสฉะเชิงเทรา #แม่บ้านทหาร #ทัศนคติ #ทัวร์ลง #ดราม่าโซเชียล #การเมืองไทย #เหยียดหยาม
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • น่าขยะแขยง! ทัวร์ลง 'จิรัฏฐ์' สส.ฉะเชิงเทรา ที่คนรุ่นใหม่เลือกมา ดูถูกความเป็นมนุษย์ เหยียดแม่บ้านทหารอากาศ
    https://www.thai-tai.tv/news/19980/
    .
    #จิรัฏฐ์ทองสุวรรณ์ #พรรคประชาชน #สสฉะเชิงเทรา #แม่บ้านทหาร #ทัศนคติ #ทัวร์ลง #ดราม่าโซเชียล #การเมืองไทย #เหยียดหยาม
    น่าขยะแขยง! ทัวร์ลง 'จิรัฏฐ์' สส.ฉะเชิงเทรา ที่คนรุ่นใหม่เลือกมา ดูถูกความเป็นมนุษย์ เหยียดแม่บ้านทหารอากาศ https://www.thai-tai.tv/news/19980/ . #จิรัฏฐ์ทองสุวรรณ์ #พรรคประชาชน #สสฉะเชิงเทรา #แม่บ้านทหาร #ทัศนคติ #ทัวร์ลง #ดราม่าโซเชียล #การเมืองไทย #เหยียดหยาม
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน

    โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล

    เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน

    “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9

    พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง

    การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน

    นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

    พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน

    นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง

    นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช”

    ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก

    สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน

    นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025

    ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช” ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • ปิดฉากการแข่งขันการประกวดวงดนตรีสากล “THE MALL KORAT YOUNG MUSIC CONTEST 2025” ระเบิดความมันส์กระหึ่มฮอลล์ชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 86,000 บาท พร้อม "KIDS MARKET คิดส์อยากขาย" 28-29 มิ.ย.68 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช

    บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด จับมือพันธมิตร ธนาคารออมสิน และ AIS จัดเวทีประกวดดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน “The Mall Korat Young Music Contest 2025” 28-29 มิ.ย.2568 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช กับการประกวดวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 86,000 บาท พร้อมกรรมการทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ดร.สุรพล นามเสนา ครูเชี่ยวชาญด้านดนตรี ประธานศูนย์ประสานงานสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาจังหวัดนครราชสีมา, ต่อ-Bassist and Producer วงปลานิลเต็มบ้าน (คุณสัญญ์ชัย หิรัญย์บูรณะ) และ ศิลปิน นักแต่งเพลง นักร้องนำ “เป้-วงเคลิ้ม” (คุณพัศวุฒิ ศิริอำพันธกุล) ภายในงานมีคอดนตรีร่วมชม เชียร์ และให้กำลังใจน้อง ๆ ตลอดการแข่งขันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

    เดอะมอลล์โคราช ขอแสดงความยินดีกับวง NewRoof สังกัด Newwall Academy จากนนทบุรี คว้าแชมป์ระดับประถมศึกษา วง Pindola จาก รร.ร่มเกล้าบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ คว้าแชมป์ระดับระดับมัธยมศึกษา
    “The Mall Korat Young Music Contest 2025”
    เป็นมากกว่าเวทีประกวดดนตรีแต่คือโอกาสที่ขยายสู่คนมีฝันทั่วประเทศ เพราะได้เปิดพื้นที่ต่อยอดความฝันสู่การประกวด เป็นสะพานสู่โอกาสทางด้านดนตรีในอนาคตให้กับน้อง ๆ ที่มีใจรักดนตรี เป็นการขยายโอกาสให้กับผู้มีใจรักในเสียงเพลงจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งเวทีแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันประกวดดนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ ที่พาโอกาสมาหาคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันในการเป็นศิลปินมืออาชีพ กับการได้เปิดมุมมมองและรับประสบการณ์ที่บนโลกออนไลน์ทดแทนไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะทางดนตรีให้กับเยาวชนไทย
    โดยเปิดรับสมัครวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา จากทั่วประเทศมาประกวดแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ โดยวันที่ 28 มิ.ย.2568 เป็นรอบการประกวดฯ ระดับประถมศึกษา จำนวน 40 วงดนตรี และ วันที่ 29 มิ.ย.2568 เป็นรอบการประกวดฯ ระดับมัธยมมศึกษา จำนวน 40 วงดนตรี ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ จนถึงวันปิดรับสมัคร มีวงดนตรีทั้ง 2 ระดับการศึกษาเข้าร่วมประกวดกว่า 80 วงจากทั่วประเทศ
    นอกจากเวทีการแข่งขันแล้ว ภายในงานตลอด 2 วัน ยังมีกิจกรรม "KIDS MARKET คิดส์อยากขาย" ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับเด็กระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ ผ่านการขายสินค้าด้วยตนเอง เสริมสร้างความกล้าแสดงออก และพัฒนาทักษะทางสังคมในบรรยากาศที่เป็นมิตรและสนุกสนานกิจกรรม KIDS MARKET คิดส์อยากขาย กับบูธฝึกประสบการณ์อาชีพต่างๆ อาทิ DR.PIE : ชุดจำลองหมอฟัน , MONDAY BAKERY : ร้านทำคัพเค้กสุดคิ้วท์, ชพน. : ชุดช่างเด็ก อุปกรณ์ครบครัน, SENDAI : ร้านซูชิ แสนอร่อย, YJ CREATING : DJ ON STAGE, MAJOR CENIPLEX : ร้านป๊อปคอร์น ของน้องๆหนูๆ จัดกิจกรรมตลอดทั้งวัน พร้อมรับของรางวัลมากมาย แจกรวมกว่า 1,000 รางวัล ที่ MCARD JUNIOR CLUB “FUN SPACE” โซน KIDS MARKET ที่ VARIETY HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช งานนนี้มีน้องๆหนูๆ ให้ความสนใจมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าตัวจิ๋วกันอย่างสนุกสนาน
    ***********************

    สำหรับผลการประกวดวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา "The Mall Korat Young Music Contest 2025"
    1.รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ วง NewRoof สังกัด Newwall Academy จ.นนทบุรี เงินรางวัลจำนวน 15,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    2.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ วง Thunder band โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    3.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ วง Little Rock โรงเรียนจินดาพร จ.กรุงเทพมหานคร เงินรางวัลจำนวน 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    4.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ได้แก่ วง กฤษณาเเบนด์ โรงเรียนอนุบาลหันคา (วัดท่ากฤษณา-สุชัยประชาสรรค์) จ.ชัยนาท เงินรางวัลจำนวน 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    5.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 4 ได้แก่ วง The Sky Band โรงเรียนเมธาพัฒน์ จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 4,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

    สำหรับผลการประกวดวงดนตรีสากล ระดับมัธยมศึกษา "The Mall Korat Young Music Contest 2025"
    1.รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ วง Pindola จากรร.ร่มเกล้าบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เงินรางวัลจำนวน 15,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    2.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ วง Baby Monkey จาก รร.เทศบาลวัดสระทอง จ.ร้อยเอ็ด เงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    3.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ วง Broadband ขัติยะวงษา จาก รร.ขัติยะวงษา จ.ร้อยเอ็ด เงินรางวัลจำนวน 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    4.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ได้แก่ วงอนัตตา จาก รร.ราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    5.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 4 ได้แก่ วงอุดรพิทยานุกูล จาก รร.อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี เงินรางวัลจำนวน 4,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    ปิดฉากการแข่งขันการประกวดวงดนตรีสากล “THE MALL KORAT YOUNG MUSIC CONTEST 2025” ระเบิดความมันส์กระหึ่มฮอลล์ชิงเงินรางวัลมูลค่ากว่า 86,000 บาท พร้อม "KIDS MARKET คิดส์อยากขาย" 28-29 มิ.ย.68 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด จับมือพันธมิตร ธนาคารออมสิน และ AIS จัดเวทีประกวดดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน “The Mall Korat Young Music Contest 2025” 28-29 มิ.ย.2568 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช กับการประกวดวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 86,000 บาท พร้อมกรรมการทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ดร.สุรพล นามเสนา ครูเชี่ยวชาญด้านดนตรี ประธานศูนย์ประสานงานสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาจังหวัดนครราชสีมา, ต่อ-Bassist and Producer วงปลานิลเต็มบ้าน (คุณสัญญ์ชัย หิรัญย์บูรณะ) และ ศิลปิน นักแต่งเพลง นักร้องนำ “เป้-วงเคลิ้ม” (คุณพัศวุฒิ ศิริอำพันธกุล) ภายในงานมีคอดนตรีร่วมชม เชียร์ และให้กำลังใจน้อง ๆ ตลอดการแข่งขันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เดอะมอลล์โคราช ขอแสดงความยินดีกับวง NewRoof สังกัด Newwall Academy จากนนทบุรี คว้าแชมป์ระดับประถมศึกษา วง Pindola จาก รร.ร่มเกล้าบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ คว้าแชมป์ระดับระดับมัธยมศึกษา “The Mall Korat Young Music Contest 2025” เป็นมากกว่าเวทีประกวดดนตรีแต่คือโอกาสที่ขยายสู่คนมีฝันทั่วประเทศ เพราะได้เปิดพื้นที่ต่อยอดความฝันสู่การประกวด เป็นสะพานสู่โอกาสทางด้านดนตรีในอนาคตให้กับน้อง ๆ ที่มีใจรักดนตรี เป็นการขยายโอกาสให้กับผู้มีใจรักในเสียงเพลงจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งเวทีแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันประกวดดนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ ที่พาโอกาสมาหาคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันในการเป็นศิลปินมืออาชีพ กับการได้เปิดมุมมมองและรับประสบการณ์ที่บนโลกออนไลน์ทดแทนไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะทางดนตรีให้กับเยาวชนไทย โดยเปิดรับสมัครวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา จากทั่วประเทศมาประกวดแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ โดยวันที่ 28 มิ.ย.2568 เป็นรอบการประกวดฯ ระดับประถมศึกษา จำนวน 40 วงดนตรี และ วันที่ 29 มิ.ย.2568 เป็นรอบการประกวดฯ ระดับมัธยมมศึกษา จำนวน 40 วงดนตรี ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ จนถึงวันปิดรับสมัคร มีวงดนตรีทั้ง 2 ระดับการศึกษาเข้าร่วมประกวดกว่า 80 วงจากทั่วประเทศ นอกจากเวทีการแข่งขันแล้ว ภายในงานตลอด 2 วัน ยังมีกิจกรรม "KIDS MARKET คิดส์อยากขาย" ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับเด็กระดับชั้นอนุบาลและประถมศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ ผ่านการขายสินค้าด้วยตนเอง เสริมสร้างความกล้าแสดงออก และพัฒนาทักษะทางสังคมในบรรยากาศที่เป็นมิตรและสนุกสนานกิจกรรม KIDS MARKET คิดส์อยากขาย กับบูธฝึกประสบการณ์อาชีพต่างๆ อาทิ DR.PIE : ชุดจำลองหมอฟัน , MONDAY BAKERY : ร้านทำคัพเค้กสุดคิ้วท์, ชพน. : ชุดช่างเด็ก อุปกรณ์ครบครัน, SENDAI : ร้านซูชิ แสนอร่อย, YJ CREATING : DJ ON STAGE, MAJOR CENIPLEX : ร้านป๊อปคอร์น ของน้องๆหนูๆ จัดกิจกรรมตลอดทั้งวัน พร้อมรับของรางวัลมากมาย แจกรวมกว่า 1,000 รางวัล ที่ MCARD JUNIOR CLUB “FUN SPACE” โซน KIDS MARKET ที่ VARIETY HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช งานนนี้มีน้องๆหนูๆ ให้ความสนใจมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าตัวจิ๋วกันอย่างสนุกสนาน *********************** สำหรับผลการประกวดวงดนตรีสากล ระดับประถมศึกษา "The Mall Korat Young Music Contest 2025" 1.รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ วง NewRoof สังกัด Newwall Academy จ.นนทบุรี เงินรางวัลจำนวน 15,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 2.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ วง Thunder band โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 3.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ วง Little Rock โรงเรียนจินดาพร จ.กรุงเทพมหานคร เงินรางวัลจำนวน 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 4.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ได้แก่ วง กฤษณาเเบนด์ โรงเรียนอนุบาลหันคา (วัดท่ากฤษณา-สุชัยประชาสรรค์) จ.ชัยนาท เงินรางวัลจำนวน 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 5.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 4 ได้แก่ วง The Sky Band โรงเรียนเมธาพัฒน์ จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 4,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ สำหรับผลการประกวดวงดนตรีสากล ระดับมัธยมศึกษา "The Mall Korat Young Music Contest 2025" 1.รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ วง Pindola จากรร.ร่มเกล้าบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เงินรางวัลจำนวน 15,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 2.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ วง Baby Monkey จาก รร.เทศบาลวัดสระทอง จ.ร้อยเอ็ด เงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 3.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ วง Broadband ขัติยะวงษา จาก รร.ขัติยะวงษา จ.ร้อยเอ็ด เงินรางวัลจำนวน 8,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 4.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ได้แก่ วงอนัตตา จาก รร.ราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา เงินรางวัลจำนวน 6,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ 5.รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 4 ได้แก่ วงอุดรพิทยานุกูล จาก รร.อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี เงินรางวัลจำนวน 4,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด

    หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ
    พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้  

    มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข
    AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม

    การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม
    AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา  

    สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ
    การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้  

    AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน
    แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)  

    การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก
    AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ  

    หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI
    ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI  

    นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  

    พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม

    มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม
    แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม

    ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา
    คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง  

    เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม
    ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต  

    ความยึดมั่นถือมั่นและมายา
    แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้  

    ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม
    มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา  

    นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"  

    สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน

    จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:  

    1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว  

    2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง  

    3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น  

    4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา  

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด ☸️☸️ หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้   🤖 มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา   👓 สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้   🙆‍♂️ AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   🧪 การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ   ☸️ หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI   นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม ‼️ มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม 👿 ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง   🛣️ เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต   🍷 ความยึดมั่นถือมั่นและมายา แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้   🤥 ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา   นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"   สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:   1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว   2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง   3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น   4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา   #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 448 Views 0 Reviews
  • “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ

    เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น

    ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต

    อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ

    ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน  
    • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”  
    • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ

    บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”  
    • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์  
    • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน

    เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง  
    • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด  
    • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน

    บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น  
    • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน

    การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก  
    • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย

    หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”  
    • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ

    การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม  
    • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา

    การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ  
    • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences)

    https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    “ตอนนี้นักเรียนแทบทั้งหมดใช้ AI ช่วยทำงาน” หนึ่งในคุณครูที่ออกมาแชร์คือ Gary Ward จากโรงเรียน Brookes Westshore High School ในแคนาดา เขาบอกว่ามีเด็กบางคน “ที่ถ้าไม่มี AI ก็คงนั่งเหม่อลอยไม่รู้จะเริ่มทำยังไง” และตอนนี้เขาเชื่อว่า “เกือบทุกคนในห้องใช้ AI” แล้วจริง ๆ เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ครูหลายคนเริ่ม “หัน AI มาสู้ AI” โดยใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ช่วยออกแบบคำถามหรือการบ้านให้มีความ “เฉพาะตัว” และ “ต่อต้านการลอกแบบอัตโนมัติ” เช่น ทำให้โจทย์ซับซ้อนขึ้น ต้องอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือให้วิเคราะห์เชิงวิจารณ์มากขึ้น ที่อังกฤษ Richard Griffin จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก็ใช้ระบบ AI ของทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบว่า “การบ้านแบบนี้ถูก AI ทำแทนได้ง่ายไหม” พร้อมคำแนะนำว่าควรทำให้ยากขึ้นตรงไหน เช่น เพิ่มโจทย์แบบอัตนัย หรือให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ไม่ได้อยู่ในเน็ต อีกเทคนิคคือ “หวนคืนสู่กระดาษ” — การให้ส่งการบ้านแบบเขียนมือ หรือจัดสอบแบบ discussion ตัวต่อตัวมากขึ้น แม้จะใช้เวลาให้ครูตรวจมากขึ้น แต่ช่วยมั่นใจว่าเป็นงานนักเรียนจริง ๆ ✅ ครูพบว่านักเรียนใช้ AI อย่างแพร่หลายในงานเขียน–การบ้าน   • มีนักเรียนบางกลุ่ม “พึ่งพา AI ตลอดเวลา”   • ครูเริ่มสังเกตได้จากเนื้อหาที่ดูสมบูรณ์ผิดปกติ ✅ บางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใช้ AI มาช่วยตรวจสอบระดับ “ความง่ายต่อการโกงด้วย AI”   • เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์   • ให้คำแนะนำว่าโจทย์ควร “ส่วนตัวขึ้น/ลึกขึ้น” ตรงไหน ✅ เทคนิคการประเมินใหม่ เช่น การเขียนด้วยมือและการสอบปากเปล่าถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง   • บางที่ให้น้ำหนักการสอบแบบเขียนมือมากขึ้นในระบบเกรด   • ใช้การพูดคุยแทนรายงาน เพื่อลดโอกาสใช้ AI แทน ✅ บางหลักสูตร เช่น ธุรกิจ เริ่มเน้น “การประเมินแบบมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า” มากขึ้น   • เพื่อลดโอกาสใช้ AI ทำงานแทนในการประเมิน ‼️ การพึ่งพา AI ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำลายความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของเด็ก   • เสี่ยงทำให้จินตนาการ–ตรรกะ–การเขียนถดถอย ‼️ หากไม่มีระบบวัดผลที่ดี อาจเกิด “คนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถทำงานได้จริงโดยไม่ใช้ AI”   • เป็นผลสะสมจากการฝึกคิดที่ถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ ‼️ การปิดกั้น AI โดยไม่สอนการใช้ “อย่างมีวิจารณญาณ” อาจสร้างผลตรงข้าม   • เด็กบางคนจะใช้ AI ซ่อน ๆ โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องจริยธรรมหรือคุณภาพเนื้อหา ‼️ การประเมินเฉพาะด้วย “การเขียนด้วยมือ” หรือ “การพูด” อาจทำให้นักเรียนบางกลุ่มเสียเปรียบ   • โดยเฉพาะผู้ที่มีความแตกต่างด้านการเรียนรู้ (learning differences) https://www.techspot.com/news/108379-how-teachers-fighting-ai-cheating-handwritten-work-oral.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    How teachers are fighting AI cheating with handwritten work, oral tests, and AI
    Speaking about AI-cheat students, Gary Ward, a teacher at Brookes Westshore High School in Victoria, British Columbia, told Business Insider, "Some of the ones that I see...
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • ฟังคลิปเต็ม 17นาที คำพูดบอกความคิดคน คนรุ่นใหม่ที่เรียนสูง แต่ควาเข้าใจ ไม่รู้ว่าแผนที่ หนึ่งต่อห้าหมื่น กับ หนึ่งต่อสองแสน มันละเอียดต่างกันอย่างไร เพราะคงไม่รู้ว่า กลูเกิ้ล เค้าละเอียดขนาดไหน
    https://youtu.be/U3-tphI66Z4?si=BP2T51LG1rFUdDkx
    ฟังคลิปเต็ม 17นาที คำพูดบอกความคิดคน คนรุ่นใหม่ที่เรียนสูง แต่ควาเข้าใจ ไม่รู้ว่าแผนที่ หนึ่งต่อห้าหมื่น กับ หนึ่งต่อสองแสน มันละเอียดต่างกันอย่างไร เพราะคงไม่รู้ว่า กลูเกิ้ล เค้าละเอียดขนาดไหน https://youtu.be/U3-tphI66Z4?si=BP2T51LG1rFUdDkx
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • EP.1 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร

    ในตอนแรกเราต้องมาที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
    ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของคนไทยมาแต่แรก

    เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบัน
    ถูกนักการเมืองขายชาติ ที่แฝงตัวอยู่ในไทย
    รวมหัวกับนักวิชาการชังชาติ คลั่งตะวันตก
    รวมไปถึงกลุ่ม NGO ที่มีเงินทุนมหาศาล
    แฝงตัวคอยปล่อยชุดความเชื่อผิดๆอยู่ทั่วประเทศไทย

    เป็นเหตุว่าปัจจุบันเราจะมีคอนเทนมากมายในอินเตอร์เน็ต
    ที่พยายามหาหลักฐานและข้อสรุปว่าปราสาทพระวิหารไม่ใช่ของไทยแต่เป็นของเขมร

    และถูกเชื่อ โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ลงลึกในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองของไทย

    ต่อมาด้วยชุดข้อมูลเหล่านั้นที่มีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ต
    ก็ถูกส่งต่อด้วยอินฟูที่นำมาทำคอนเท้นให้ความรู้
    และถูกเชื่อด้วยคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ่ง

    ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ถูกด้อยค่ามาเป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงวันที่ถูกตัดออกจากวิชาภาคบังคับ ด้วยน้ำมือนักการเมือง

    สุดท้าย ก็กลายเป็นคนไทยเราเองที่เป็นผู้เชื่อในข้อมูลผิดๆ และส่งต่อข้อมูลบิดเบือนเหล่านั้น

    หากไม่มีคนนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง
    สุดท้ายจะไม่เหลือความจริงให้ลูกหลานได้ยึดถือ

    นานไป กลุ่มปราสาทที่เขมรกำลังเครมอยู่ตอนนี้
    คนไทยรุ่นหลังก็จะเชื่อว่าเป็นของเขมร
    สุดท้ายลูกหลานเราอาจจะเป็นคนที่ยกแผ่นดินและสมบัติชาติ
    ยกของของตนเองให้เขมรไปเพราะเชื่อในประวัติศาสตร์ปลอมๆ

    ชุดซีรีย์ ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 (ปราสาทเขาพระวิหาร)

    ตั้งใจรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ไทยเราค้นพบตัวปราสาท ไปจนถึงการเสียทั้งตัวปราสาทและดินแดนให้กับโจรเขมร

    กระบวนการและวิธีการที่เขมรนำปราสาทประวิหารไปสู่ศาลโลกได้อย่างไร การรุกล้ำอธิปไตยไทย จนนำมาสู่ความชอบธรรมของรัฐบาลไทยที่จะทำ MOU หรือการทำข้อตกลงต่างๆ ล้วนเป็นการวางแผนมาอย่างรอบครอบไม่เร่งรีบ

    ทุกครั้งที่เขมรถอย ไทยมักคิดว่าตนชนะ
    แต่หารู้ทันเขมร การถอยของเขมรแต่ละครั้ง
    ไม่ใช่เพราะเขากลัว หรือเขาแพ้ แต่เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วต่างหาก

    เขาไม่ได้ต้องการรบกับไทยเพราะรู้สู้ไม่ได้
    แต่เขาแค่ต้องการหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ต้องการเอกสารราชการว่ารัฐบาลเขาได้ออกประนามไทยให้โลกว่าไทยรุกล้ำแผ่นดินเขา และไทยก็คิดว่าเขมรบ้าและตลกจะเป็นของเขมรได้อย่างไร โดยไม่มีเอกสารที่เป็นของรัฐบาลแย้ง

    และหลายครั้งที่เขมรทำใให้เกิดเรื่องวุ่นวายบริเวณชายแดน
    ก็เพื่อจะนำไปสู่การเจรจาและทำข้อตกลงเป็น mou

    ยกตัวอย่าง ตอนจะนำตัวพระวิหารขึ้นมรดกโลก
    ไว้จะค่อย ๆ เล่าเป็นตอนๆ เพื่อที่เราจะไม่เสียรู้ เสียดินแดน ให้พวกเนรคุณแผ่นดินไทยอีก
    EP.1 ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 ปราสาทเขาพระวิหาร ในตอนแรกเราต้องมาที่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของคนไทยมาแต่แรก เนื่องจากประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบัน ถูกนักการเมืองขายชาติ ที่แฝงตัวอยู่ในไทย รวมหัวกับนักวิชาการชังชาติ คลั่งตะวันตก รวมไปถึงกลุ่ม NGO ที่มีเงินทุนมหาศาล แฝงตัวคอยปล่อยชุดความเชื่อผิดๆอยู่ทั่วประเทศไทย เป็นเหตุว่าปัจจุบันเราจะมีคอนเทนมากมายในอินเตอร์เน็ต ที่พยายามหาหลักฐานและข้อสรุปว่าปราสาทพระวิหารไม่ใช่ของไทยแต่เป็นของเขมร และถูกเชื่อ โดยคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ลงลึกในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองของไทย ต่อมาด้วยชุดข้อมูลเหล่านั้นที่มีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ต ก็ถูกส่งต่อด้วยอินฟูที่นำมาทำคอนเท้นให้ความรู้ และถูกเชื่อด้วยคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ถูกด้อยค่ามาเป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงวันที่ถูกตัดออกจากวิชาภาคบังคับ ด้วยน้ำมือนักการเมือง สุดท้าย ก็กลายเป็นคนไทยเราเองที่เป็นผู้เชื่อในข้อมูลผิดๆ และส่งต่อข้อมูลบิดเบือนเหล่านั้น หากไม่มีคนนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง สุดท้ายจะไม่เหลือความจริงให้ลูกหลานได้ยึดถือ นานไป กลุ่มปราสาทที่เขมรกำลังเครมอยู่ตอนนี้ คนไทยรุ่นหลังก็จะเชื่อว่าเป็นของเขมร สุดท้ายลูกหลานเราอาจจะเป็นคนที่ยกแผ่นดินและสมบัติชาติ ยกของของตนเองให้เขมรไปเพราะเชื่อในประวัติศาสตร์ปลอมๆ ชุดซีรีย์ ถอดรหัสไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16 (ปราสาทเขาพระวิหาร) ตั้งใจรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ไทยเราค้นพบตัวปราสาท ไปจนถึงการเสียทั้งตัวปราสาทและดินแดนให้กับโจรเขมร กระบวนการและวิธีการที่เขมรนำปราสาทประวิหารไปสู่ศาลโลกได้อย่างไร การรุกล้ำอธิปไตยไทย จนนำมาสู่ความชอบธรรมของรัฐบาลไทยที่จะทำ MOU หรือการทำข้อตกลงต่างๆ ล้วนเป็นการวางแผนมาอย่างรอบครอบไม่เร่งรีบ ทุกครั้งที่เขมรถอย ไทยมักคิดว่าตนชนะ แต่หารู้ทันเขมร การถอยของเขมรแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพราะเขากลัว หรือเขาแพ้ แต่เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วต่างหาก เขาไม่ได้ต้องการรบกับไทยเพราะรู้สู้ไม่ได้ แต่เขาแค่ต้องการหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น ต้องการเอกสารราชการว่ารัฐบาลเขาได้ออกประนามไทยให้โลกว่าไทยรุกล้ำแผ่นดินเขา และไทยก็คิดว่าเขมรบ้าและตลกจะเป็นของเขมรได้อย่างไร โดยไม่มีเอกสารที่เป็นของรัฐบาลแย้ง และหลายครั้งที่เขมรทำใให้เกิดเรื่องวุ่นวายบริเวณชายแดน ก็เพื่อจะนำไปสู่การเจรจาและทำข้อตกลงเป็น mou ยกตัวอย่าง ตอนจะนำตัวพระวิหารขึ้นมรดกโลก ไว้จะค่อย ๆ เล่าเป็นตอนๆ เพื่อที่เราจะไม่เสียรู้ เสียดินแดน ให้พวกเนรคุณแผ่นดินไทยอีก
    0 Comments 0 Shares 265 Views 33 0 Reviews
  • สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์

    เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus)

    ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ

    สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “*******” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย

    อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ

    ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต

    นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์

    #Newskit
    สหรัฐฯ ใช้คำหยาบคาย มากที่สุดบนโลกออนไลน์ เมื่อวันก่อน สองนักวิจัย ดร.มาร์ติน ชไวน์เบอร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ และ ศ.เคท เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ "Vulgarity in online discourse around the English-speaking world" (ความหยาบคายในบทสนทนาออนไลน์ทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการลินกัว (Lingua) วิเคราะห์คำหยาบจากเนื้อหาออนไลน์กว่า 1.7 พันล้านคำในคลังข้อมูล GloWbE (Global Web-Based English Corpus) ผลการศึกษาพบว่า จาก 20 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมีการใช้คำหยาบมากกว่าออสเตรเลีย โดย สหรัฐอเมริกามีคำหยาบคิดเป็น 0.036% ของเนื้อหาออนไลน์ รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 0.025% และออสเตรเลีย 0.022% ถึงกระนั้น แม้ออสเตรเลียจะมีสัดส่วนการใช้คำหยาบน้อยกว่า แต่การศึกษาพบว่าออสเตรเลียมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้คำหยาบสูง เช่น คำว่า “cockknuckle” ที่ไม่พบในประเทศอื่นๆ สำหรับศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดในแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกานิยมใช้คำว่า “asshole” ส่วนสหราชอาณาจักรนิยมใช้คำว่า “cunt” ขณะที่ออสเตรเลียใช้คำว่า “crap” บ่อยที่สุด ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าสิงคโปร์ใช้คำหยาบคายอันดับที่ 4 มาเลเซียอยู่อันดับที่ 6 แต่ประเทศที่ใช้คำหยาบคายต่ำที่สุดคือบังคลาเทศ กานา และแทนซาเนีย อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้อาจมีข้อจำกัด เนื่องจากข้อมูลจากบล็อกของออสเตรเลียไม่ได้รวมอยู่ในชุดข้อมูล ซึ่งอาจทำให้สัดส่วนการใช้คำหยาบของออสเตรเลียต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ การใช้คำหยาบยังมีบริบทและความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น คำว่า “cunt” ที่ถือว่าเป็นคำหยาบรุนแรงในหลายประเทศ แต่ในหมู่คนรุ่นใหม่ของออสเตรเลียกลับมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของออสเตรเลียที่มองว่าเป็นเรื่องปกติ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ภาษาหยาบคายเป็นสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ สำหรับการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ภาษาหยาบคายใช้ประโยชน์จากข้อห้ามและความกลัวทางสังคม เพื่อสร้างผลกระทบผ่านปริมาณความสั่นสะเทือน พลังทางอารมณ์ และผลกระทบทางสังคมเมื่อละเมิดขอบเขต นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับลัทธิที่เคร่งครัดของนิกายโปรเตสแตนต์ ความศรัทธาในศาสนาคริสต์ และความถือตัว ผู้คนมักไม่ค่อยใช้คำหยาบคายในที่สาธารณะ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ทางออนไลน์มากขึ้น ส่วนชาวออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ามากขึ้น และที่ทำได้ดีกว่าคือความคิดสร้างสรรค์ #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 374 Views 0 Reviews
  • AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท

    จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น

    นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน
    - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น
    - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน
    - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ
    - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI
    - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา
    - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง
    - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต
    - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    🎓 AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Artificial intelligence is prompting young people to rethink their career plans
    Gone are the days when young graduates waited patiently for the doors to employment to open for them. Today, they are breaking with established norms by embracing artificial intelligence to transform their career choices.
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • ประชาชนจีนเริ่มตื่นรู้มากขึ้นกันเองเรื่อยๆแล้ว,อนาคตจะเห็นประเทศจีนแบ่งแยกประเทศเร็วๆนี้แน่ๆ,ประชาชนจีนเขาไม่ทนในเผด็จการในยุคใหม่แน่ๆยิ่งคนรุ่นใหม่ๆอีก,คำทำนายที่ว่าจีนจะแยกเป็นประเทศต่างๆจากมลฑลต่างๆเป็นแต่ละประเทศคงเร็วๆนี้แน่นอน,สังคมโซเชียลรับรู้ทั่วโลกอีก,ปิดระบบเน็ตไม่ได้หรอก,ยิ่งถ้าแบบฝรั่งอเมริกาสอดไส้แทรกแซงปลุกปั่นอีกแบบตามน้ำ เอาคุณค่าเสรีด้านความเป็นมนุษย์มากล่าวอ้างอีกมิใช่บังคับข่มขืนการกระทำต่างๆต่อประชาชนคนในประเทศจีนแบบนี้อีก,ยิ่งจะมีการประท้วงของประชาชนทั่วทุกๆมลฑลของจีน,สงครามพันทางภายในประเทศจีนตนนั้นล่ะ,สุดท้ายแต่ละมลฑลร่วมกันแยกเป็นประเทศปกครองแบบโลกเสรีที่เขาเห็นคุณค่าความเป็นคนกันเองในหมู่ประชาชนเขา,มิใชเพื่อเป็นเครื่องมือทรัพย์สินเพื่อค้าประโยชน์กำไรจากสถานะคนๆจีนก็ว่า,เราคงได้เห็นในยุคผู้นำจีนคนใหม่ก็ได้,ประชากรจีนยิ่งมากมาย การเปลี่ยนแปลงด้วยมือคนจีนที่มากมายหลายมือก็ง่ายดายมากเช่นกัน.
    ..อนาคตยุคสมัยหน้า ระบบเผด็จการจะอยู่บนโลกนี้ลำบาก และทั่วทั้งโลกเขาจะมองตัวอย่างแบบไทยเราคือต้นแบบการดำรงสัมมาชีวิตของชาวโลกยุคใหม่แน่ๆ,เราแค่กำจัดผู้นำผู้ปกครองกากๆเหี้ยๆทิ้งก็จบแล้ว,พวกนี้แค่ถ่วงความเจริญของวิถีปกครองไทยอันดีงามไม่กี่ปีหรอก นับจากคณะกบฎ2475มาถึงปัจจุบันคงใกล้จบแล้ว,ยุคร.10เราคือยุคเปลี่ยนสมัยดินแดนไทยสู่ผาสุกจริงๆตลอดสิ้น5,000ปีพุทธกาลก็ว่า,หรือบวกลบไม่เกินปีพ.ศ.2600ไทยเราจึงเริ่มเสื่อมลงก็ว่า,ส่วนชาติอื่นๆทั่วโลกหากวิถีปกครองไม่ลอกเลียนแบบไทยเราไป,อนาถและสิ้นประเทศทั้งหมดก่อนไทยเราแต่ต้นๆยุคเปลี่ยนถ่ายนี้ล่ะ.
    ..จีนและอเมริกา หากเริ่มแบ่งแยกตัวเป็นประเทศใครมันจริงในแต่ละรัฐในแต่ละมลฑล นั้นแสดงว่าสิ่งดีๆกำลังมาเยือนโลกเราแล้ว,ระดับจิตวิญญาณดีของผู้คนชาวโลกจะตื่นรู้ค่าจริงนั้นเอง,เช่นรับรู้ว่าตนชาวจีนถูกกดขี่ข่มเหงไร้ความยุติธรรมในคุณค่าชีวิตตนคนจีนเป็นต้น แล้วออกมาทวงคืนสัมมาชีวิตวิถีตนคืนก็ว่า,ทำลายระบบคอมมิวนิสต์หรือระบบปกครองที่เหี้ยๆตนลงในแต่ละประเทศทั่วโลกลงก็ว่าหรือโลกปรับสมดุลวิถีปกครองนั้นเอง,โลกคัดระบบปกครองที่ดีไว้,ลบทำลายระบบปกครองที่กากๆถ่วงความเจริญของการยกระดับจิตของโลกหรือจิตวิญญาณของโลก,แม่ของโลกที่เป็นเชิงลบทิ้งไปนั้นเอง,แม่ของโลกคัดกรองระบบปกครองที่ส่งเสริมสนับสนุนจิตวิญญาณชาวโลกที่ดีไว้,อัพเรเวลจิตวิญญาณคนชาวโลกได้นั้นเองของวิถีปกครองที่ดีๆนั้นก็ว่า.

    .https://youtu.be/EZLyFGZubWc?si=TRWePNdDVMITBpwN

    ..https://youtu.be/EZLyFGZubWc?si=TRWePNdDVMITBpwN
    ประชาชนจีนเริ่มตื่นรู้มากขึ้นกันเองเรื่อยๆแล้ว,อนาคตจะเห็นประเทศจีนแบ่งแยกประเทศเร็วๆนี้แน่ๆ,ประชาชนจีนเขาไม่ทนในเผด็จการในยุคใหม่แน่ๆยิ่งคนรุ่นใหม่ๆอีก,คำทำนายที่ว่าจีนจะแยกเป็นประเทศต่างๆจากมลฑลต่างๆเป็นแต่ละประเทศคงเร็วๆนี้แน่นอน,สังคมโซเชียลรับรู้ทั่วโลกอีก,ปิดระบบเน็ตไม่ได้หรอก,ยิ่งถ้าแบบฝรั่งอเมริกาสอดไส้แทรกแซงปลุกปั่นอีกแบบตามน้ำ เอาคุณค่าเสรีด้านความเป็นมนุษย์มากล่าวอ้างอีกมิใช่บังคับข่มขืนการกระทำต่างๆต่อประชาชนคนในประเทศจีนแบบนี้อีก,ยิ่งจะมีการประท้วงของประชาชนทั่วทุกๆมลฑลของจีน,สงครามพันทางภายในประเทศจีนตนนั้นล่ะ,สุดท้ายแต่ละมลฑลร่วมกันแยกเป็นประเทศปกครองแบบโลกเสรีที่เขาเห็นคุณค่าความเป็นคนกันเองในหมู่ประชาชนเขา,มิใชเพื่อเป็นเครื่องมือทรัพย์สินเพื่อค้าประโยชน์กำไรจากสถานะคนๆจีนก็ว่า,เราคงได้เห็นในยุคผู้นำจีนคนใหม่ก็ได้,ประชากรจีนยิ่งมากมาย การเปลี่ยนแปลงด้วยมือคนจีนที่มากมายหลายมือก็ง่ายดายมากเช่นกัน. ..อนาคตยุคสมัยหน้า ระบบเผด็จการจะอยู่บนโลกนี้ลำบาก และทั่วทั้งโลกเขาจะมองตัวอย่างแบบไทยเราคือต้นแบบการดำรงสัมมาชีวิตของชาวโลกยุคใหม่แน่ๆ,เราแค่กำจัดผู้นำผู้ปกครองกากๆเหี้ยๆทิ้งก็จบแล้ว,พวกนี้แค่ถ่วงความเจริญของวิถีปกครองไทยอันดีงามไม่กี่ปีหรอก นับจากคณะกบฎ2475มาถึงปัจจุบันคงใกล้จบแล้ว,ยุคร.10เราคือยุคเปลี่ยนสมัยดินแดนไทยสู่ผาสุกจริงๆตลอดสิ้น5,000ปีพุทธกาลก็ว่า,หรือบวกลบไม่เกินปีพ.ศ.2600ไทยเราจึงเริ่มเสื่อมลงก็ว่า,ส่วนชาติอื่นๆทั่วโลกหากวิถีปกครองไม่ลอกเลียนแบบไทยเราไป,อนาถและสิ้นประเทศทั้งหมดก่อนไทยเราแต่ต้นๆยุคเปลี่ยนถ่ายนี้ล่ะ. ..จีนและอเมริกา หากเริ่มแบ่งแยกตัวเป็นประเทศใครมันจริงในแต่ละรัฐในแต่ละมลฑล นั้นแสดงว่าสิ่งดีๆกำลังมาเยือนโลกเราแล้ว,ระดับจิตวิญญาณดีของผู้คนชาวโลกจะตื่นรู้ค่าจริงนั้นเอง,เช่นรับรู้ว่าตนชาวจีนถูกกดขี่ข่มเหงไร้ความยุติธรรมในคุณค่าชีวิตตนคนจีนเป็นต้น แล้วออกมาทวงคืนสัมมาชีวิตวิถีตนคืนก็ว่า,ทำลายระบบคอมมิวนิสต์หรือระบบปกครองที่เหี้ยๆตนลงในแต่ละประเทศทั่วโลกลงก็ว่าหรือโลกปรับสมดุลวิถีปกครองนั้นเอง,โลกคัดระบบปกครองที่ดีไว้,ลบทำลายระบบปกครองที่กากๆถ่วงความเจริญของการยกระดับจิตของโลกหรือจิตวิญญาณของโลก,แม่ของโลกที่เป็นเชิงลบทิ้งไปนั้นเอง,แม่ของโลกคัดกรองระบบปกครองที่ส่งเสริมสนับสนุนจิตวิญญาณชาวโลกที่ดีไว้,อัพเรเวลจิตวิญญาณคนชาวโลกได้นั้นเองของวิถีปกครองที่ดีๆนั้นก็ว่า. .https://youtu.be/EZLyFGZubWc?si=TRWePNdDVMITBpwN ..https://youtu.be/EZLyFGZubWc?si=TRWePNdDVMITBpwN
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • 2568 ปีแห่งวิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น
    .
    ตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2567 เป็นต้นมา ทำไมราคาข้าวในญี่ปุ่นถึงได้แพงขึ้นอย่างมาก?
    .
    จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา ก็สาเหตุมีหลายประการ ทั้งเรื่องอากาศที่ร้อนผิดปกติ ทำให้ผลผลิตข้าวน้อยลง, ต้นทุนการผลิต ค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ แพงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการที่ชาวนาญี่ปุ่นจำนวนมากเลิกปลูกข้าว เพราะไม่มีคนมาสานต่อกิจการ มีแต่ผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ก็ไม่อยากจะ “หลังขดหลังแข็ง” ทำนาอีกต่อไปครับ
    .
    นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้อาหารญี่ปุ่นขายดิบขายดีไปด้วย ความต้องการข้าวจึงมีมากกว่าปริมาณข้าวที่ผลิตได้ เรียกได้ว่า อุปสงค์มากกว่าอุปทาน
    .
    คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZShvcggEM/
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #วิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น #ข้าวญี่ปุ่น #วิกฤตข้าวแห่งสมัยเรวะ
    2568 ปีแห่งวิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น . ตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2567 เป็นต้นมา ทำไมราคาข้าวในญี่ปุ่นถึงได้แพงขึ้นอย่างมาก? . จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา ก็สาเหตุมีหลายประการ ทั้งเรื่องอากาศที่ร้อนผิดปกติ ทำให้ผลผลิตข้าวน้อยลง, ต้นทุนการผลิต ค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ แพงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการที่ชาวนาญี่ปุ่นจำนวนมากเลิกปลูกข้าว เพราะไม่มีคนมาสานต่อกิจการ มีแต่ผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ก็ไม่อยากจะ “หลังขดหลังแข็ง” ทำนาอีกต่อไปครับ . นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้อาหารญี่ปุ่นขายดิบขายดีไปด้วย ความต้องการข้าวจึงมีมากกว่าปริมาณข้าวที่ผลิตได้ เรียกได้ว่า อุปสงค์มากกว่าอุปทาน . คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZShvcggEM/ . #บูรพาไม่แพ้ #วิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น #ข้าวญี่ปุ่น #วิกฤตข้าวแห่งสมัยเรวะ
    @thedongfangbubai

    2568 ปีแห่งวิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น . ตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2567 เป็นต้นมา ทำไมราคาข้าวในญี่ปุ่นถึงได้แพงขึ้นอย่างมาก? . จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา ก็สาเหตุมีหลายประการ ทั้งเรื่องอากาศที่ร้อนผิดปกติ ทำให้ผลผลิตข้าวน้อยลง, ต้นทุนการผลิต ค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ แพงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการที่ชาวนาญี่ปุ่นจำนวนมากเลิกปลูกข้าว เพราะไม่มีคนมาสานต่อกิจการ มีแต่ผู้สูงอายุ และคนรุ่นใหม่ก็ไม่อยากจะ “หลังขดหลังแข็ง” ทำนาอีกต่อไปครับ . นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นประวัติการณ์ ทำให้อาหารญี่ปุ่นขายดิบขายดีไปด้วย ความต้องการข้าวจึงมีมากกว่าปริมาณข้าวที่ผลิตได้ เรียกได้ว่า อุปสงค์มากกว่าอุปทาน . . #บูรพาไม่แพ้ #วิกฤตข้าวแพงในญี่ปุ่น #ข้าวญี่ปุ่น #วิกฤตข้าวแห่งสมัยเรวะ

    ♬ original sound - บูรพาไม่แพ้ - บูรพาไม่แพ้
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 538 Views 0 Reviews
  • อ่านดีๆ ดูดีๆ

    ทำความรู้จัก G-Token เครื่องมือกู้เงินใหม่ของรัฐบาลไทย คล้าย ‘พันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคน’ หวังเข้าถึง ‘คนรุ่นใหม่’ เพิ่มการออมของประชาชน และเพิ่มการเข้าถึงการเงินให้ทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion) มากขึ้น โดยเล็งออก G-Token ในราคาเริ่มต้น หน่วยละ 1 บาทเท่านั้น ยืนยันผลตอบแทนดี สามารถซื้อได้ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เร็วสุดในกรกฎาคมปีนี้



    เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. นับเป็นการเปิดทางให้ กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขาย ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (Government Token: G-Token) เป็นประเทศแรกของโลก



    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับว่ามีขึ้นหลัง เมื่อปลายปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอแนวคิดการออกสเตเบิลคอยน์ที่ค้ำประกันด้วยพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า มีแผนการ Bond Tokenization หรือการออกโทเคนโดยมีพันธบัตรรัฐบาลหนุน (Backed)



    ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (G-Token) คืออะไร?


    ไม่ใช่เงินตรา เนื่องจาก ไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือชำระเงินได้
    ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี
    เป็น ‘เครื่องมือการระดมทุน’ โดยเทียบเคียงได้กับ ‘พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง’
    เป็นการกู้เงินโดยตรงจากประชาชนของรัฐบาล


    G-Token ไม่กระทบหนี้สาธารณะ ไม่เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต


    พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อธิบายเพิ่มเติมว่า การออก G-Token นี้เป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ คล้ายคลึงกับการออกพันธบัตรออมทรัพย์สำหรับประชาชนตามปกติของ สบน.



    โดยการออก G-Token รอบแรก คาดว่า จะออกในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงิน ภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามปกติ และเป็นไปตามกรอบวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ สบน. วางแผนไว้ว่าในวงเงินไม่เกิน 1 แสนล้านบาท



    ดังนั้นการออก G-Token ในรอบแรกนี้จึงจะไม่เพิ่ม หรือไม่กระทบต่อ ‘หนี้สาธารณะ’ และไม่ใช่การระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด



    ยืนยันการออกเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ


    พชรยังยืนยันว่า การออก G-Token นี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2567 ของ ก.ล.ต.



    “มติ ครม. วันนี้ เป็นการเปิดทางให้กระทรวงการคลัง ออก G-Token ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 ที่ระบุว่า การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ” พชร กล่าว



    นอกจากนี้พชรยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้ดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ G-Token นี้
    อ่านดีๆ ดูดีๆ ทำความรู้จัก G-Token เครื่องมือกู้เงินใหม่ของรัฐบาลไทย คล้าย ‘พันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบโทเคน’ หวังเข้าถึง ‘คนรุ่นใหม่’ เพิ่มการออมของประชาชน และเพิ่มการเข้าถึงการเงินให้ทั่วถึงและเท่าเทียม (Financial Inclusion) มากขึ้น โดยเล็งออก G-Token ในราคาเริ่มต้น หน่วยละ 1 บาทเท่านั้น ยืนยันผลตอบแทนดี สามารถซื้อได้ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เร็วสุดในกรกฎาคมปีนี้ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. นับเป็นการเปิดทางให้ กระทรวงการคลังสามารถออกและเสนอขาย ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (Government Token: G-Token) เป็นประเทศแรกของโลก ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับว่ามีขึ้นหลัง เมื่อปลายปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอแนวคิดการออกสเตเบิลคอยน์ที่ค้ำประกันด้วยพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า มีแผนการ Bond Tokenization หรือการออกโทเคนโดยมีพันธบัตรรัฐบาลหนุน (Backed) ‘โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล’ (G-Token) คืออะไร? ไม่ใช่เงินตรา เนื่องจาก ไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือชำระเงินได้ ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี เป็น ‘เครื่องมือการระดมทุน’ โดยเทียบเคียงได้กับ ‘พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง’ เป็นการกู้เงินโดยตรงจากประชาชนของรัฐบาล G-Token ไม่กระทบหนี้สาธารณะ ไม่เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อธิบายเพิ่มเติมว่า การออก G-Token นี้เป็นการระดมทุนรูปแบบใหม่ คล้ายคลึงกับการออกพันธบัตรออมทรัพย์สำหรับประชาชนตามปกติของ สบน. โดยการออก G-Token รอบแรก คาดว่า จะออกในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการระดมเงิน ภายใต้กรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ตามปกติ และเป็นไปตามกรอบวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ สบน. วางแผนไว้ว่าในวงเงินไม่เกิน 1 แสนล้านบาท ดังนั้นการออก G-Token ในรอบแรกนี้จึงจะไม่เพิ่ม หรือไม่กระทบต่อ ‘หนี้สาธารณะ’ และไม่ใช่การระดมทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด ยืนยันการออกเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ พชรยังยืนยันว่า การออก G-Token นี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2567 ของ ก.ล.ต. “มติ ครม. วันนี้ เป็นการเปิดทางให้กระทรวงการคลัง ออก G-Token ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 ที่ระบุว่า การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ” พชร กล่าว นอกจากนี้พชรยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้ดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ G-Token นี้
    0 Comments 0 Shares 512 Views 0 Reviews
  • Evolution
    พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    9 พ.ค. 2567
    =====================
    .
    ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้
    .
    โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก
    .
    บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้
    .
    เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ..
    .
    แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก
    .
    ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ
    .
    ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก
    .
    กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา
    .
    นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี
    .
    กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ..
    .
    ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ
    .
    ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ
    .
    จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้
    แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน
    เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย
    คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด
    โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น
    .
    บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น
    ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้
    ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่
    ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า
    ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่
    และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง
    ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร
    เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง
    คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้
    .
    .
    Evolution พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 9 พ.ค. 2567 ===================== . ประเด็นหนึ่งที่ผมมักพูดให้นักเรียนผมฟัง หลายชั้นเรียน หลายคาบวิชา หลายกิจกรรม ต่างกรรมต่างวาระ ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา คือประเด็นที่ว่าด้วยกระบวนการส่งผ่านความรู้ . โลกที่เจริญก้าวหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะกระบวนการส่งต่อความรู้นี่แหละ ผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี ตั้งแต่ยังไม่มีตัวหนังสือให้ใช้ขีดเขียนบันทึก . บรรพบุรุษของมนุษย์เซเปี้ยนส์รุ่นแรกๆ ที่อพยพจากแอฟริกาเมื่อราวแสนกว่าปีก่อน นักวิชาการเชื่อกันว่าพวกเขามีภาษาพูดของตนเองแล้ว ก่อนจะอพยพไปยังดินแดนส่วนอื่นๆ ในโลก ที่จุดนั้น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบก็เริ่มต้นขึ้น ลองถอยไปคิดถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญก่อนหน้านั้นที่ทำให้มนุษย์โบราณรอดจากการสูญพันธุ์มาได้ นั่นคือเมื่อพวกเขาค้นพบการจุดไฟเป็นครั้งแรก จะด้วยวิธีการปั่นให้เสียดสีกันของไม้ หรือการใช้หินกระเทาะกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องสอนกันเพื่อให้ทำได้ถูกต้อง ปฐมบทของเทคโนโลยีได้บังเกิดขึ้น เพื่อให้อยู่รอด ลูกหลานพวกเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการพวกนี้ . เครื่องมือมากมายเริ่มถูกคิดค้นเรื่อยมา นับแต่ขวานหิน หลาวไม้ ฯลฯ เมื่อถึงยุคที่เซเปี้ยนส์พ่อคนฉลาดปรากฏขึ้นบนโลก พวกเขามีเครื่องนุ่งห่มป้องกันความหนาว รู้จักว่าอะไรเป็นยา อะไรเป็นพิษ สังเกตุธรรมชาติและฤดูกาล สังเกตุพฤติกรรมสัตว์และวงจรของมัน จนแม้กระทั่งก้าวหน้าจนสามารถหลอมโลหะ.. . แน่นอนว่าในบรรดาความรู้ทั้งหลายที่ค้นพบ ภาษาคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มันคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์ทำงานเป็นทีมได้ หากไม่มีภาษามนุษย์จะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีการประสานงานสั่งการในการเข้าโจมตีเป็นทีม ผลพวงก็อย่างที่เราได้รู้ พวกมันถูกล่าจนสูญพันธ์ไปหมด เห็นได้ว่าการทำงานเป็นทีมของมนุษย์โบราณพวกนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เมื่อมีภาษา การเรียนการสอนในโลกครั้งแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อมีความรู้ จากนี้พวกเขาจะพร้อมไปพิชิตโลก . ทั้งสิ้นทั้งปวง นับแต่เทคโนโลยีแรกเกิดขึ้น การจุดไฟ การทำเครื่องมือ แทกติคในการล่า ข้อมูลเกี่ยวกับพืช สัตว์ อาหาร ฤดูกาล อันตรายต่างๆ ฯลฯ จะถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนไปสู่คนรุ่นใหม่ ทักษะต่างๆ ในชีวิต การแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดในสถานะการณ์ต่างๆ จะถูกถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจากคนรุ่นก่อนที่มีประสบการณ์โชกโชนมาแล้ว เช่น จากพ่อ จากปู่ ไปสู่ลูก สู่หลาน ไม่ใช่แค่การบอกเล่าสั่งสอน พวกเขาจะคอยเฝ้าดูให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้ฝึกฝนปฏิบัติสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำ เฝ้าประกบตั้งแต่การล่าสัตว์ตัวแรก ไปถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จนกระทั่งมีความพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยลำพังและสอนต่อแก่ผู้อื่น พัฒนาจนมีทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า หรือความเข้าใจในเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ อันจะนำพาให้ชีวิตรอดและเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากปฐมบทนี้ มนุษย์สั่งสมความรู้แล้วส่งต่อมาเรื่อย แตกแขนงเป็นสรรพวิชาความรู้ต่างๆ มากมายเหลือคณานับ . ถ้าเราลองมาพิจารณาดูสักมุมมองหนึ่ง เช่นด้านศิลปะ ที่จุดแรกของการสร้างสรรค์ นึกภาพว่าเมื่อครูคนแรกได้ค้นพบว่า ดินบางชนิดมีคุณสมบัติที่จะนำมาใช้เป็นสีในการวาดภาพได้ ครูคนหนึ่งค้นพบเทคนิคแรกของ stencil ด้วยการเอาดินพวกนั้นผสมน้ำอมเข้าไว้ในปากแล้วพ่นใส่ผ่านมือทำให้เกิดเป็นภาพรอยมือปรากฏบนผนังถ้ำ บางคนใช้นิ้วมือจิ้มดินสีเขียนเป็นภาพคนและสัตว์ แน่นอนว่ามีการสอนต่อกัน เราได้เห็นภาพเขียนโบราณที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในหลายแห่งทั่วโลก จุดเริ่มต้นนี้ หากไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการประดิษฐ์พู่กัน หมึก และสีมากมายหลายชนิดขึ้นในโลก ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การสร้างสรรค์เครื่องมือ วิธีการอันน่าทึ่งต่างๆ และแนวคิดในการสร้างสรรค์อันน่าอัศจรรย์ของศิลปะในโลก . กระบวนการเรียนรู้และส่งต่อนั้น มันมีลำดับขั้นที่เป็นผลต่อเนื่อง เราไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาเหล่านั้นได้ เมื่อครูศิลปะคนแรกของโลกเรียนรู้ สมมุติเล่นๆ ให้เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างการค้นพบดินสอว่าเป็นเครื่องมือศิลปะอันแรกอย่างหนึ่ง ครูคนแรกผู้นี้อาจใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาในการค้นหาวัสดุหลายอย่างที่จะนำมาขีดเขียนให้เป็นเส้นสายสีดำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องทดลองถ่านหลายชนิด รวมทั้งจะต้องแก้ปัญหาว่าถ่านชนิดที่เอามาใช้ จะทำอย่างไรไม่ให้เลอะมือ ไม่เปราะและหักง่ายเกินไป ลองคิดจินตนาการว่า เมื่อแรกเริ่มมีดินสอนั้น ผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาน่าจะต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะได้ดินสอหนึ่งแท่ง คนยุคหลังที่เกิดขึ้นมาก็มีดินสอรออยู่ในมือแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าคนที่คิดค้นมันต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา . นี่แค่พูดถึงเครื่องมือ แต่เมื่อพูดถึงว่าครูศิลปะคนแรกที่นำดินสอมาเขียนรูป เขายังจะต้องฝึกฝนทักษะในการที่จะควบคุมดินสอนั้นให้เกิดเส้นสายลวดลายต่างๆ ต้องเข้าใจผลที่เกิดจากดินสอที่ถูกเหลาจนคม ผลจากการที่ดินสอทู่ลง ผลจากการตะแคงดินสอใช้ด้านข้างถูให้เกิดแถบที่อ่อนนุ่มกว่า.. กระบวนการทั้งหลายในการพัฒนาทักษะของการใช้ดินสอเช่นนี้ เมื่อผ่านห้วงเวลาทั้งชีวิตของครูศิลปะผู้นี้ อาจหลอมรวมเวลาหลายปี เมื่อครูผู้นี้เริ่มสอน เขาอาจใช้ชีวิตในการวาดรูปด้วยดินสอมาเป็นเวลายี่สิบปี เนื่องจากเขาคือครูคนแรกอย่างที่เราสมมุติ ทั้งโลกและตัวเขาไม่มีต้นทุนมาก่อน ยี่สิบปีของเขาคือเวลาที่เริ่มต้นสั่งสมของมนุษยชาติ แต่เมื่อเขาเริ่มสอนให้แก่ศิษย์คนแรก ประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาของเขาตลอดยี่สิบปี สามารถถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ ก็จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ว่าจะมีวัยวุฒิคุณวุฒิเท่าใด มีหน้าที่ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขารู้ให้แก่ศิษย์ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สี่ห้าปี . กระบวนการส่งต่อจึงสำคัญเช่นนี้ อย่างที่สมมุติตัวอย่าง ศิษย์ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ทักษะความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อน เขาไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูคั้นเอาแก่นที่บ่มเพาะมาแล้วมาสอนให้ จากนั้น.. ถ้าไม่ใช่ศิษย์ที่ล้มเหลว เขาก็คงจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตของเขาต่อไปในการหาความรู้เพิ่มเติมต่อยอดจากความรู้ยี่สิบปีของครูคนก่อนที่ส่งผ่านมาให้เขา เมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มเป็นครูให้กับคนรุ่นต่อจากเขาบ้าง เขาอาจมีประสบการณ์ความรู้และทักษะของเขาเพิ่มเติมมาอีกยี่สิบปี รวมกับความรู้ที่รับมาจากครูคนแรกยี่สิบปี เท่ากับสี่สิบปี ดังนั้นศิษย์ที่มาเรียนกับเขา จะใช้เวลาแค่สี่ปีในการเรียนความรู้ที่สั่งสมมาสี่สิบปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่นก็จะทบทวีเช่นนี้เป็นอัตราทวีคูณ เร็วขึ้นจนแต่ละครั้งเป็นก้าวกระโดด จนกระทั่งมนุษย์ไปอวกาศ.. . ลองคิดดูว่า หากปราศจากการส่งต่อความรู้เช่นนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่แต่ละรุ่น ต้องไปค้นหาเรียนรู้นับจากศูนย์ด้วยตัวเอง มนุษย์คงไม่พัฒนามาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนฐานความรู้ที่สั่งสมและส่งผ่านมานับพันปี ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเกิดขึ้นมาแล้วรู้ทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องเรียน หรือความรู้จะผุดโผล่ออกมาเองได้จากอากาศธาตุ . ด้วยกระบวนการส่งต่อความรู้เช่นนี้นี่เอง จากวันที่มนุษย์มีภาษาและประสานงานกันล่าแมมมอธ มาถึงวันนี้มนุษย์สามารถประดิษฐ์ควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ ด้วยสรรพความรู้ที่สั่งสมสั่งสอนกันมาเรื่อยๆ นับพันปี โลกจึงก่อเกิดเป็นศาสตร์วิทยาการมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นผมจึงพูดบ่อยๆ กับนักเรียนของผมว่า การสอน การถ่ายทอดความรู้ ที่จริงไม่ใช่คุณธรรมอันยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์อย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำด้วยความใส่ใจยิ่ง แม้ท่านมิได้มีอาชีพเป็นครูโดยตรง ท่านก็ควรจะมีคุณสมบัติอันมีประโยชน์บางอย่างที่สั่งสมมาพอจะสอนได้ อย่างน้อยก็คือการอบรมบุตรหลานให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพแก่โลก ภาระนี้จะทำให้มนุษย์ยังคงก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา และระดับของจิตใจ . จริงอยู่ที่ความแก่ ความเก่า เป็นสภาวะทางสังขารอันไม่เที่ยงแท้ แต่คนฉลาดอย่างเช่นไอน์สไตน์ แม้เมื่อชราลงจนอาจไม่มีแรงก้าวเดิน เขาก็จะเสียชีวิตลงในขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเขายังคงอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย คนแก่ ไม่ได้แปลว่า คนโง่ เช่นเดียวกับ คนหนุ่ม ไม่ได้แปลว่า ฉลาด โบราณว่า ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน ฉันใดฉันนั้น . บรรดาวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกท่านได้เสพได้ใช้ได้ปรนเปรอในวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างมาจากการถากถางค้นพบของคนรุ่นก่อนท่านทั้งนั้น ลองนึกดูว่า หากท่านไปเกิดอยู่บนเกาะร้างสักแห่งที่ไม่มีใครให้ความรู้ ท่านจะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินหรือผู้มีชื่อเสียงได้หรือไม่ ตัวท่านเองนอกจากต้องสำนึกแล้ว ก็จะต้องถามตัวเองด้วยว่า ท่านจะพึงกระทำหน้าที่ของมนุษย์ในการจะส่งความรู้ให้รุ่นต่อไปหรือไม่ และได้ทำคุณประโยชน์ใดให้แก่มนุษย์รุ่นต่อจากท่านบ้าง ท่านได้ต่อยอดความรู้นับพันปีที่ได้งอกเงยอยู่ในตัวท่านอย่างไร เพื่อที่ว่าวันนึงเมื่อท่านกลายเป็น คนแก่อีกคนหนึ่ง คนรุ่นใหม่จะได้รำลึกถึงท่านในคุณูปการที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลกนี้ . .
    0 Comments 0 Shares 638 Views 0 Reviews
More Results