• นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ

    ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ

    ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้

    นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม

    Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

    Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้

    https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้ นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้ https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists spent 10 years on a superbug mystery - Google's AI solved it in 48 hours
    Professor José R Penadés told the BBC that Google's tool reached the same hypothesis that his team had – that superbugs can create a tail that allows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต

    ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่:
    1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

    2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

    4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย

    ### ความท้าทาย:
    - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
    - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### สรุป:
    การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่: 1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม 4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย ### ความท้าทาย: - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### สรุป: การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้างพิษจากวัคซีน mRNA ที่ฉีดไปแล้ว
    เพื่อ บรรเทาภาวะอักเสบในร่างกาย ทำได้โดย

    1. กินอาหารมังสวิรัติ ลดแป้งไม่ทานขนมหวาน
    2. ออกกำลังกาย ด้วย การเดินตั้งแต่ 4500 - 10,000 ก้าว
    3. ตากแดดอ่อนๆ ได้วิตามินดี และ เมลาโทนิน(นอนหลับ..สบาย)
    4. สมุนไพรไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ขมิ้น โหระพา พริกไทยดำ และอื่นๆ


    สรุป การล้างพิษทำได้ด้วยตนเอง ไม่เสียเงิน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    ล้างพิษจากวัคซีน mRNA ที่ฉีดไปแล้ว เพื่อ บรรเทาภาวะอักเสบในร่างกาย ทำได้โดย 1. กินอาหารมังสวิรัติ ลดแป้งไม่ทานขนมหวาน 2. ออกกำลังกาย ด้วย การเดินตั้งแต่ 4500 - 10,000 ก้าว 3. ตากแดดอ่อนๆ ได้วิตามินดี และ เมลาโทนิน(นอนหลับ..สบาย) 4. สมุนไพรไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ขมิ้น โหระพา พริกไทยดำ และอื่นๆ สรุป การล้างพิษทำได้ด้วยตนเอง ไม่เสียเงิน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น

    📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️

    การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️

    🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568
    การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่

    ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร
    - มีสัญชาติไทย 🇹🇭
    - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ
    - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥
    - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน
    - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓

    🚨 ข้อกำหนดพิเศษ
    - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨
    - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน

    📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป

    🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร
    ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน
    ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
    ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง
    ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว
    ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี
    ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี
    ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล

    📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท

    🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ

    🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ

    📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568
    การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
    📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน
    - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน
    - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ!

    📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน
    -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร

    🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน
    เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร

    📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568
    🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์:
    ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com
    📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง

    🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร
    ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸
    ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔
    ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠
    ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓
    ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง
    ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖

    📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB

    💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ
    - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท
    - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท
    📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้

    📍 ช่องทางชำระเงิน:
    - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦
    - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲
    - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย
    🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น!

    📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
    📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่
    📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com

    🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน!
    🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน
    📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า
    🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย

    🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง
    ✅ ท่องศัพท์
    ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า
    ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ

    🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ
    🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง

    🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ
    😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ

    🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀

    📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่
    🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568

    📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น 📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️ การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️ 🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568 การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร - มีสัญชาติไทย 🇹🇭 - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥 - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓 🚨 ข้อกำหนดพิเศษ - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨ - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน 📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป 🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล 📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร 🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท 🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ 🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ 📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568 การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่ 📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ! 📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร 🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร 📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568 🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์: ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com 📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง 🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸 ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔 ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠 ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓 ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖 📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB 💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท 📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้ 📍 ช่องทางชำระเงิน: - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦 - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲 - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย 🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น! 📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ 📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่ 📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com 🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน! 🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน 📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า 🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย 🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง ✅ ท่องศัพท์ ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ 🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ 🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง 🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ 😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ 🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀 📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่ 🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568 📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเรียนเชิญสมาชิกสรีรวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ นิสิต นักศึกษา ผู้สนใจร่วมประชุมอบรมสรีรวิทยา-พยาธิสรีรวิทยา ครั้งที่ 42 ประจำปี 2568
    "ภาวะเปราะบาง: จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติ | Frailty: From Bench to Bedside"
    วันพฤหัสบดีที่ 1 และ วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องบรรยายอวย เกตุสิงห์ อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
    เปิดรับลงทะทะเบียน วันที่ 1 มีนาคม - 8 เมษายน 2568
    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ps.si.mahidol.ac.th/pst42_frailty_from_bench_to_bedside
    ขอเรียนเชิญสมาชิกสรีรวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์การแพทย์ นิสิต นักศึกษา ผู้สนใจร่วมประชุมอบรมสรีรวิทยา-พยาธิสรีรวิทยา ครั้งที่ 42 ประจำปี 2568 "ภาวะเปราะบาง: จากงานวิจัยสู่การปฏิบัติ | Frailty: From Bench to Bedside" วันพฤหัสบดีที่ 1 และ วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องบรรยายอวย เกตุสิงห์ อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรับลงทะทะเบียน วันที่ 1 มีนาคม - 8 เมษายน 2568 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ps.si.mahidol.ac.th/pst42_frailty_from_bench_to_bedside
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก

    🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก

    ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ

    👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่
    👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง

    ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด

    นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨

    👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ
    การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ

    ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา
    ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ
    ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง
    ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์

    💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
    👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่
    👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด
    👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด

    📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม

    🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา
    💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ
    ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น

    ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ
    👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต

    🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ
    👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด

    🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง
    👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ

    ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด
    การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉

    👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร?
    หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ

    คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า
    🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้"

    🔍 แฝดสยาม คืออะไร?
    🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ

    🔹 ประเภทของแฝดสยาม
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้
    ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย

    แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥

    🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย
    โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ
    การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏

    ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่
    ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ

    💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย
    🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก
    🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
    🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก

    👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568

    📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    18 ปี คณะแพทย์ศิริราช 61 คน ผ่าแยกร่าง “วัน-วาด” แฝดสยาม หัวใจ-ตับ ติดกันสำเร็จ รอดทั้งคู่ ครั้งแรกของโลก 🔬 การแพทย์ไทยสร้างประวัติศาสตร์ ผ่าแยกแฝดสยามสำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช จำนวน 61 คน ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญ ในวงการแพทย์ระดับโลก ด้วยการผ่าตัดแยกร่างฝาแฝดสยาม ที่มีหัวใจและตับติดกัน ซึ่งเป็นเคสที่ยาก และมีความเสี่ยงสูงสุด ทารกทั้งสองคนคือ 👶 ด.ญ.ปานตะวัน ธิเย็นใจ หรือน้องวัน แฝดผู้พี่ 👶 ด.ญ.ปานวาด ธิเย็นใจ หรือน้องวาด แฝดผู้น้อง ทั้งคู่เป็นบุตรสาวของ น.ส.อุษา ธิเย็นใจ และนายถาวร วิบุลกุล เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2549 ด้วยวิธีผ่าคลอด ขณะอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยมีน้ำหนักแรกคลอดรวมกัน 3,570 กรัม หลังคลอดพบว่า ทั้งคู่ มีร่างกายติดกัน บริเวณช่วงหน้าท้อง ซึ่งเมื่อตรวจอย่างละเอียดพบว่า มีตับติดกันเป็นบริเวณกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือ หัวใจของทั้งสองดวงเชื่อมต่อกัน ทำให้มีความเสี่ยงสูงมาก ในการผ่าตัด นี่คือเรื่องราวของ "วัน-วาด" และปาฏิหาริย์ของวงการแพทย์ไทย ที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นเคสแรกของโลก ที่ผ่าแยกฝาแฝด ที่มีหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✨ 👩‍⚕️ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องอาศัยทีมแพทย์จากหลากหลายสาขา โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ✅ ศ.พญ.อังกาบ ปราการรัตน์ หัวหน้าภาควิชาวิสัญญีวิทยา ✅ รศ.นพ.สมชาย ศรียศชาติ ศัลยแพทย์หัวใจ ✅ ผศ.นพ.มนตรี กิจมณี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ✅ ผศ.นพ.มงคล เลาหเพ็ญแสง กุมารศัลยแพทย์ 💡 ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 👉 ทารกมีหัวใจเชื่อมต่อกัน ทำให้ต้องตรวจสอบว่า หัวใจของทั้งคู่ สามารถทำงานแยกจากกัน ได้หรือไม่ 👉 ต้องปิดรอยเชื่อมต่อ ของหัวใจชั่วคราว เพื่อดูผลกระทบก่อนการผ่าตัด 👉 ต้องแยกตับ ที่ติดกันเป็นบริเวณกว้าง และหลีกเลี่ยงการเสียเลือด ให้มากที่สุด 📅 หลังจากวางแผนกันอย่างละเอียด การผ่าตัดถูกกำหนดขึ้น ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ขณะที่ทารกมีอายุ 8 เดือน และมีน้ำหนักรวมกัน 10.9 กิโลกรัม 🔪 ขั้นตอนการผ่าตัด 12 ชั่วโมง ที่ต้องแข่งกับเวลา 💉 เริ่มต้นด้วยการวางยาสลบ ทีมวิสัญญีแพทย์แบ่งเป็น 2 ทีม เพื่อดูแลเด็กแต่ละคนอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้น ❤️ ขั้นตอนที่ 1 แยกหัวใจ 👉 ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เพราะต้องค่อยๆ ตัดแยกหัวใจออกจากกัน โดยไม่ให้เกิดอันตราย ต่อการไหลเวียนโลหิต 🩺 ขั้นตอนที่ 2 แยกตับ 👉 ใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ทีมแพทย์ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ในการผ่าตัด เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด 🛏 ขั้นตอนที่ 3 เย็บซ่อมแซมอวัยวะ และผนังหน้าท้อง 👉 แฝดพี่ "ปานตะวัน" มีโอกาสรอดสูงกว่า แต่แฝดน้อง "ปานวาด" ต้องได้รับการดูแลเรื่องหัวใจ เป็นพิเศษ ⚠️ ความเสี่ยงที่สูงที่สุด การผ่าตัดครั้งนี้ มีความเสี่ยงว่า อาจมีเด็กเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ทีมแพทย์สามารถทำได้สำเร็จ และน้องวัน-วาด มีชีวิตรอดทั้งคู่ 🎉 👶 ปัจจุบัน "วัน-วาด" ใช้ชีวิตอย่างไร? หลังจากผ่านไป 18 ปี นับจากการผ่าตัดแยกร่าง ปัจจุบันทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง 💖 แม้ว่าต้องมีการติดตามอาการของน้องวาด เนื่องจากมีปัญหาหัวใจอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่สามารถใช้ชีวิต ได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ คุณแม่ น.ส.อุษา กล่าวว่า 🗣 "ตอนแรกเสียใจ ที่ลูกเกิดมาไม่ปกติ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่สุด ที่ทั้งคู่มีชีวิตรอด อยากขอบคุณทีมแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยชีวิตลูกของฉันไว้" 🔍 แฝดสยาม คืออะไร? 🔸 แฝดสยาม หรือ Siamese Twins คือแฝดที่เกิดจาก ไข่ใบเดียวกัน แต่มีความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ ทำให้ร่างกายของทั้งคู่ ติดกันในระดับต่างๆ 🔹 ประเภทของแฝดสยาม ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายในติดกัน เช่น หัวใจ ตับ ลำไส้ ✅ แฝดที่มีอวัยวะภายนอกติดกัน เช่น แขน ขา หรือส่วนอื่นของร่างกาย แฝดสยามที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็คือ อิน-จัน ฝาแฝดชาวไทย ที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า "Siamese Twins" 👥 🏥 "ศิริราช" ศูนย์กลางความก้าวหน้า ทางการแพทย์ของไทย โรงพยาบาลศิริราช เป็นสถานที่ ที่ให้กำเนิดนวัตกรรม ทางการแพทย์ระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ การผ่าตัดฝาแฝดสยาม ทีมแพทย์ของศิริราช ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเด็กไทย แต่ยังสามารถนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก 🌏 ✅ เป็นเคสแรกของโลก ที่สามารถแยกแฝดหัวใจติดกัน และรอดชีวิตทั้งคู่ ✅ เป็นก้าวสำคัญของการแพทย์ไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติ 💬 ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ของไทย 🎯 คณะแพทย์ศิริราช สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการผ่าตัดแยกแฝดสยาม ที่หัวใจและตับติดกัน ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก 🎯 "วัน-วาด" มีชีวิตรอดทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก 🎯 เป็นหลักฐานว่าแพทย์ไทย มีความสามารถเทียบเท่าระดับโลก 👩‍⚕️✨ นี่คือความภาคภูมิใจ ของวงการแพทย์ไทย และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับแพทย์รุ่นใหม่ทั่วโลก 💖 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2009271 ก.พ. 2568 📌 #แฝดสยาม #ผ่าตัดแฝด #ศิริราช #วันวาด #ข่าวดังในอดีต #การแพทย์ไทย #นวัตกรรมการแพทย์ #SiameseTwins #แพทย์ไทย #ประวัติศาสตร์การแพทย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์ถูกควบคุมโดย AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีประเด็นสำคัญหลายด้านที่ต้องพิจารณา ทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยง:

    ### โอกาส:
    1. **การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ**: AI สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการจัดการข้อมูลด้วยมนุษย์
    2. **การให้บริการส่วนบุคคล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้บริการที่ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การแนะนำสินค้า บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล
    3. **ความปลอดภัยของข้อมูล**: AI สามารถช่วยในการตรวจสอบและป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### ความเสี่ยง:
    1. **ความเป็นส่วนตัว**: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม
    2. **การเลือกปฏิบัติ**: AI อาจใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตัดสินใจที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น การให้สินเชื่อ การจ้างงาน
    3. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะในการจัดการข้อมูลด้วยตนเอง

    ### มาตรการป้องกัน:
    1. **กฎหมายและนโยบาย**: ต้องมีกฎหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดย AI
    2. **ความโปร่งใส**: กระบวนการทำงานของ AI ต้องมีความโปร่งใส เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและตรวจสอบได้
    3. **การมีส่วนร่วมของสาธารณะ**: ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะในการกำหนดนโยบายและการใช้ AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล

    ### บทสรุป:
    การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบและมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและสิทธิของบุคคล
    เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์ถูกควบคุมโดย AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีประเด็นสำคัญหลายด้านที่ต้องพิจารณา ทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยง: ### โอกาส: 1. **การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ**: AI สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการจัดการข้อมูลด้วยมนุษย์ 2. **การให้บริการส่วนบุคคล**: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้บริการที่ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น การแนะนำสินค้า บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล 3. **ความปลอดภัยของข้อมูล**: AI สามารถช่วยในการตรวจสอบและป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### ความเสี่ยง: 1. **ความเป็นส่วนตัว**: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำไปสู่การละเมิดความเป็นส่วนตัว หากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม 2. **การเลือกปฏิบัติ**: AI อาจใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตัดสินใจที่อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น การให้สินเชื่อ การจ้างงาน 3. **การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป**: การพึ่งพา AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะในการจัดการข้อมูลด้วยตนเอง ### มาตรการป้องกัน: 1. **กฎหมายและนโยบาย**: ต้องมีกฎหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดย AI 2. **ความโปร่งใส**: กระบวนการทำงานของ AI ต้องมีความโปร่งใส เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและตรวจสอบได้ 3. **การมีส่วนร่วมของสาธารณะ**: ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะในการกำหนดนโยบายและการใช้ AI ในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ### บทสรุป: การที่ AI ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของมนุษย์มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการอย่างรอบคอบและมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและสิทธิของบุคคล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Shanghai ของจีน ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (neural network) เพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านสายใยแก้วนำแสง (fiber optics) ได้ถึง 10,000 เท่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 125 เทราไบต์ต่อวินาที ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งในวงการเน็ตเวิร์ค

    วิธีการนี้ใช้เส้นใยแก้วนำแสงแบบ multi-mode ซึ่งก่อนหน้านี้มักประสบปัญหาการรบกวนและความแออัดในการส่งข้อมูล แต่ด้วยการเพิ่มโครงข่ายประสาทเทียมขนาดเล็กเข้าไปในเส้นใยแก้วนำแสง ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วได้โดยไม่ทำให้ข้อมูลผิดพลาด เทคนิคนี้ได้รับการทดสอบระหว่างมหาวิทยาลัย Shanghai และโรงพยาบาลบนเกาะไหหนาน ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 1,270 ไมล์ โดยการทดสอบสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูล แต่ยังสามารถนำไปใช้ในวงการแพทย์ เช่น การสแกนและวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำสูง หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ใยแก้วนำแสงที่สามารถนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อตรวจหาความผิดปกติ

    หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง เราอาจจะเห็นความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และทำให้การดาวน์โหลดหรือการสตรีมสื่อเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น แต่ความไวของแสงจะยังไม่สามารถข้ามเวลาและระยะทางไปได้ ดังนั้นการส่งข้อมูลระยะไกลอาจจะยังคงมีความล่าช้าอยู่บ้าง

    https://www.tomshardware.com/networking/chinese-scientists-claim-neural-network-tech-unlocks-10-000x-speedup-in-optical-fiber-bandwidth
    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Shanghai ของจีน ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (neural network) เพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านสายใยแก้วนำแสง (fiber optics) ได้ถึง 10,000 เท่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 125 เทราไบต์ต่อวินาที ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งในวงการเน็ตเวิร์ค วิธีการนี้ใช้เส้นใยแก้วนำแสงแบบ multi-mode ซึ่งก่อนหน้านี้มักประสบปัญหาการรบกวนและความแออัดในการส่งข้อมูล แต่ด้วยการเพิ่มโครงข่ายประสาทเทียมขนาดเล็กเข้าไปในเส้นใยแก้วนำแสง ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วได้โดยไม่ทำให้ข้อมูลผิดพลาด เทคนิคนี้ได้รับการทดสอบระหว่างมหาวิทยาลัย Shanghai และโรงพยาบาลบนเกาะไหหนาน ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 1,270 ไมล์ โดยการทดสอบสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูล แต่ยังสามารถนำไปใช้ในวงการแพทย์ เช่น การสแกนและวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำสูง หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ใยแก้วนำแสงที่สามารถนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อตรวจหาความผิดปกติ หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง เราอาจจะเห็นความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และทำให้การดาวน์โหลดหรือการสตรีมสื่อเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น แต่ความไวของแสงจะยังไม่สามารถข้ามเวลาและระยะทางไปได้ ดังนั้นการส่งข้อมูลระยะไกลอาจจะยังคงมีความล่าช้าอยู่บ้าง https://www.tomshardware.com/networking/chinese-scientists-claim-neural-network-tech-unlocks-10-000x-speedup-in-optical-fiber-bandwidth
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • 25 ปี "โคบอลต์-60" รั่วไหล สมุทรปราการผวา รังสีที่คร่าชีวิต 3 ศพ เจ็บ 7 ราย หายนะร้านรับซื้อของเก่า

    📅 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เป็นวันที่สร้างความตื่นตระหนก ให้กับประเทศไทย เมื่อเกิดอุบัติเหตุรังสีรั่วไหล จากสารโคบอลต์-60 ที่สมุทรปราการ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 7 ราย หลายคนได้รับผลกระทบ จากรังสีแกมมาที่ร้ายแรงที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ

    แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 25 ปี แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความปลอดภัยในการจัดเก็บ และกำจัดสารกัมมันตรังสี 🛑

    🔥 จุดเริ่มต้นของหายนะ สารรังสีหลุดจากการควบคุม
    เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ได้รับซื้อเครื่องฉายรังสี "โคบอลต์-60" ที่หมดอายุ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี 2537 โดยเก็บไว้ที่โกดังของบริษัท

    ต่อมาในปี 2542 บริษัทได้เคลื่อนย้ายเครื่องฉายรังสี ไปยังลานจอดรถร้าง ย่านซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีมาตรการ รักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ 😱

    นี่กลายเป็นช่องโหว่สำคัญ ที่ทำให้มีคนลักลอบ นำเครื่องฉายรังสีไปขายเป็นเศษเหล็ก โดยไม่รู้ว่าภายในนั้นมี "โคบอลต์-60" ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี ที่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ในระดับอันตราย 🚨

    🚨 เส้นทางของสารกัมมันตรังสี จากซาเล้งสู่ร้านรับซื้อของเก่า
    🛒 24 มกราคม 2543 นายจิตรเสน จันทร์สาขา ซึ่งมีอาชีพเก็บของเก่า ได้รับซื้อเศษเหล็กปริศนา มาจากกลุ่มที่ลักลอบนำไปขาย

    📍 1 กุมภาพันธ์ 2543 นายจิตรเสนนำชิ้นส่วนโลหะ ไปขายให้ ร้านรับซื้อของเก่า "สมจิตร" ในซอยวัดมหาวงษ์ ตำบลสำโรง อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ

    🔧 ขณะที่พยายามตัดแยกชิ้นส่วน ลูกจ้าง 2 คนของร้านรับซื้อของเก่า ใช้เครื่องตัดเหล็กแบบแก๊ส ผ่าออก พบแท่งโลหะ 2 ชิ้น และมีควันสีเหลือง ที่มีกลิ่นเหม็นออกมา โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือ สารกัมมันตรังสี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต! ☢️

    ☢️ ผลกระทบจากรังสี โรครังสีเฉียบพลัน
    🔬 15-17 กุมภาพันธ์ 2543 ผู้ที่สัมผัสรังสีเริ่มมีอาการรุนแรง เช่น
    ✅ อ่อนเพลีย
    ✅ มือบวมพอง
    ✅ แผลไหม้พุพอง
    ✅ เม็ดเลือดขาวต่ำ
    ✅ ผมร่วง

    18 กุมภาพันธ์ 2543 เมื่อแพทย์พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการคล้ายกัน จึงสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการได้รับรังสีรุนแรง และแจ้งไปยัง สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.)

    🏥 การเสียชีวิตจากรังสีแกมมา
    📅 9 มีนาคม 2543 นายนิพนธ์ พันธุ์ขันธ์ ลูกจ้างร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายแรก จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจากรังสี

    📅 18 มีนาคม 2543 นายสุดใจ ใจเร็ว ลูกจ้างอีกคน เสียชีวิตจากภาวะเดียวกัน

    📅 24 มีนาคม 2543 สามีของนางสมจิตร เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายที่ 3

    📌 แม้นายจิตรเสน จะรอดชีวิตมาได้ แต่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในไอซียู และถูกตัดนิ้วมือ ที่ได้รับรังสีสูง

    นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งที่ได้รับรังสี ต้องทำแท้ง เนื่องจากความเสี่ยงที่รังสี จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

    ⚖️ คดีความ
    ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากรัฐและเอกชน

    📌 คดีศาลปกครอง ศาลสูงสุดพิพากษา ให้สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) จ่ายค่าสินไหมทดแทน 5.2 ล้านบาท

    📌 คดีศาลแพ่ง ศาลฎีกาพิพากษาให้ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด จ่ายค่าเสียหาย 529,276 บาท

    แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่ได้รับผิดชอบต่อประชาชน ตามที่กล่าวอ้าง

    ❗ บทเรียนจากโศกนาฏกรรม
    🔹 การขาดมาตรการจัดเก็บที่ปลอดภัย ทำให้สารกัมมันตรังสี รั่วไหลออกจากการควบคุม

    🔹 การขาดความรู้ของประชาชน ทำให้มีคนสัมผัสสารรังสีโดยไม่รู้ตัว

    🔹 ความล่าช้าในการจัดการของรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง

    แม้ว่าประเทศไทยจะมี สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นหน่วยงานกำกับดูแล แต่การขาดการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

    📌 เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก
    25 ปีผ่านไป เหตุการณ์ โคบอลต์-60 รั่วไหล ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่า ความประมาท และการละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ด้านกัมมันตรังสี อาจนำไปสู่หายนะร้ายแรง

    📢 มาตรการป้องกันที่ควรมี
    ✅ การจัดเก็บสารกัมมันตรังสี ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
    ✅ การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ที่เคร่งครัด
    ✅ การให้ความรู้เกี่ยวกับ อันตรายของสารรังสีแก่ประชาชน
    ✅ การจัดการกากกัมมันตรังสีที่ถูกต้อง

    หากไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ อุบัติเหตุจากรังสี อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ทุกเมื่อ ☢️

    📢 คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    1. โคบอลต์-60 คืออะไร?
    โคบอลต์-60 เป็นสารกัมมันตรังสี ที่ใช้ในทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม แต่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

    2. รังสีแกมมา ทำอันตรายต่อร่างกายอย่างไร?
    รังสีแกมมา สามารถทำลายเซลล์ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผิวหนังไหม้ และอวัยวะล้มเหลว

    3. เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบ ต่อกฎหมายไทยอย่างไร?
    เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การปรับปรุง มาตรการควบคุมสารกัมมันตรังสี ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังมีข้อบกพร่อง ในการบังคับใช้

    4. ประเทศไทยมีมาตรการป้องกัน อุบัติเหตุรังสีหรือไม่?
    มีสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) กำกับดูแล แต่การบังคับใช้กฎหมาย ยังขาดความเข้มงวด

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181220 ก.พ. 2568

    #️⃣ #โคบอลต์60 #สมุทรปราการ #รังสีรั่วไหล #ภัยรังสี #ความปลอดภัย #พลังงานปรมาณู #อันตรายจากรังสี #รังสีแกมมา #ข่าวดัง #บทเรียนจากอดีต 🚨
    25 ปี "โคบอลต์-60" รั่วไหล สมุทรปราการผวา รังสีที่คร่าชีวิต 3 ศพ เจ็บ 7 ราย หายนะร้านรับซื้อของเก่า 📅 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เป็นวันที่สร้างความตื่นตระหนก ให้กับประเทศไทย เมื่อเกิดอุบัติเหตุรังสีรั่วไหล จากสารโคบอลต์-60 ที่สมุทรปราการ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 7 ราย หลายคนได้รับผลกระทบ จากรังสีแกมมาที่ร้ายแรงที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมา 25 ปี แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับความปลอดภัยในการจัดเก็บ และกำจัดสารกัมมันตรังสี 🛑 🔥 จุดเริ่มต้นของหายนะ สารรังสีหลุดจากการควบคุม เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ได้รับซื้อเครื่องฉายรังสี "โคบอลต์-60" ที่หมดอายุ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อปี 2537 โดยเก็บไว้ที่โกดังของบริษัท ต่อมาในปี 2542 บริษัทได้เคลื่อนย้ายเครื่องฉายรังสี ไปยังลานจอดรถร้าง ย่านซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีมาตรการ รักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ 😱 นี่กลายเป็นช่องโหว่สำคัญ ที่ทำให้มีคนลักลอบ นำเครื่องฉายรังสีไปขายเป็นเศษเหล็ก โดยไม่รู้ว่าภายในนั้นมี "โคบอลต์-60" ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี ที่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ในระดับอันตราย 🚨 🚨 เส้นทางของสารกัมมันตรังสี จากซาเล้งสู่ร้านรับซื้อของเก่า 🛒 24 มกราคม 2543 นายจิตรเสน จันทร์สาขา ซึ่งมีอาชีพเก็บของเก่า ได้รับซื้อเศษเหล็กปริศนา มาจากกลุ่มที่ลักลอบนำไปขาย 📍 1 กุมภาพันธ์ 2543 นายจิตรเสนนำชิ้นส่วนโลหะ ไปขายให้ ร้านรับซื้อของเก่า "สมจิตร" ในซอยวัดมหาวงษ์ ตำบลสำโรง อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ 🔧 ขณะที่พยายามตัดแยกชิ้นส่วน ลูกจ้าง 2 คนของร้านรับซื้อของเก่า ใช้เครื่องตัดเหล็กแบบแก๊ส ผ่าออก พบแท่งโลหะ 2 ชิ้น และมีควันสีเหลือง ที่มีกลิ่นเหม็นออกมา โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือ สารกัมมันตรังสี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต! ☢️ ☢️ ผลกระทบจากรังสี โรครังสีเฉียบพลัน 🔬 15-17 กุมภาพันธ์ 2543 ผู้ที่สัมผัสรังสีเริ่มมีอาการรุนแรง เช่น ✅ อ่อนเพลีย ✅ มือบวมพอง ✅ แผลไหม้พุพอง ✅ เม็ดเลือดขาวต่ำ ✅ ผมร่วง 18 กุมภาพันธ์ 2543 เมื่อแพทย์พบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการคล้ายกัน จึงสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการได้รับรังสีรุนแรง และแจ้งไปยัง สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) 🏥 การเสียชีวิตจากรังสีแกมมา 📅 9 มีนาคม 2543 นายนิพนธ์ พันธุ์ขันธ์ ลูกจ้างร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายแรก จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากเม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจากรังสี 📅 18 มีนาคม 2543 นายสุดใจ ใจเร็ว ลูกจ้างอีกคน เสียชีวิตจากภาวะเดียวกัน 📅 24 มีนาคม 2543 สามีของนางสมจิตร เจ้าของร้านรับซื้อของเก่า เสียชีวิตเป็นรายที่ 3 📌 แม้นายจิตรเสน จะรอดชีวิตมาได้ แต่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในไอซียู และถูกตัดนิ้วมือ ที่ได้รับรังสีสูง นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งที่ได้รับรังสี ต้องทำแท้ง เนื่องจากความเสี่ยงที่รังสี จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ⚖️ คดีความ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รวมตัวกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากรัฐและเอกชน 📌 คดีศาลปกครอง ศาลสูงสุดพิพากษา ให้สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) จ่ายค่าสินไหมทดแทน 5.2 ล้านบาท 📌 คดีศาลแพ่ง ศาลฎีกาพิพากษาให้ บริษัทกมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด จ่ายค่าเสียหาย 529,276 บาท แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่ได้รับผิดชอบต่อประชาชน ตามที่กล่าวอ้าง ❗ บทเรียนจากโศกนาฏกรรม 🔹 การขาดมาตรการจัดเก็บที่ปลอดภัย ทำให้สารกัมมันตรังสี รั่วไหลออกจากการควบคุม 🔹 การขาดความรู้ของประชาชน ทำให้มีคนสัมผัสสารรังสีโดยไม่รู้ตัว 🔹 ความล่าช้าในการจัดการของรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรง แม้ว่าประเทศไทยจะมี สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นหน่วยงานกำกับดูแล แต่การขาดการบังคับใช้กฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น 📌 เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก 25 ปีผ่านไป เหตุการณ์ โคบอลต์-60 รั่วไหล ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่า ความประมาท และการละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ด้านกัมมันตรังสี อาจนำไปสู่หายนะร้ายแรง 📢 มาตรการป้องกันที่ควรมี ✅ การจัดเก็บสารกัมมันตรังสี ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ✅ การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ที่เคร่งครัด ✅ การให้ความรู้เกี่ยวกับ อันตรายของสารรังสีแก่ประชาชน ✅ การจัดการกากกัมมันตรังสีที่ถูกต้อง หากไม่มีการปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ อุบัติเหตุจากรังสี อาจเกิดขึ้นซ้ำได้ทุกเมื่อ ☢️ 📢 คำถามที่พบบ่อย (FAQs) 1. โคบอลต์-60 คืออะไร? โคบอลต์-60 เป็นสารกัมมันตรังสี ที่ใช้ในทางการแพทย์ และอุตสาหกรรม แต่สามารถปล่อยรังสีแกมมา ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ 2. รังสีแกมมา ทำอันตรายต่อร่างกายอย่างไร? รังสีแกมมา สามารถทำลายเซลล์ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดมะเร็ง ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ผิวหนังไหม้ และอวัยวะล้มเหลว 3. เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบ ต่อกฎหมายไทยอย่างไร? เหตุการณ์นี้ นำไปสู่การปรับปรุง มาตรการควบคุมสารกัมมันตรังสี ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ยังมีข้อบกพร่อง ในการบังคับใช้ 4. ประเทศไทยมีมาตรการป้องกัน อุบัติเหตุรังสีหรือไม่? มีสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส.) กำกับดูแล แต่การบังคับใช้กฎหมาย ยังขาดความเข้มงวด ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 181220 ก.พ. 2568 #️⃣ #โคบอลต์60 #สมุทรปราการ #รังสีรั่วไหล #ภัยรังสี #ความปลอดภัย #พลังงานปรมาณู #อันตรายจากรังสี #รังสีแกมมา #ข่าวดัง #บทเรียนจากอดีต 🚨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมเปิดภาพสำคัญ"แตงโม"ถูกแทง!? : [NEWS UPDATE]

    นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ลงเรือสแกน 8 จุด ต้องสงสัยคดีแตงโม มีจุดสำคัญ คือ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 และท่าทราย ซึ่งอาจเป็นที่ทำลายหลักฐาน โดยพิสูจน์ว่าได้มีตำรวจเกี่ยวข้องกับแผนนี้ อาจโยงเครือข่ายยาเสพติด เว็บพนัน รถหรู ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ เชื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนที่ช่วยกันปกปิด รวมไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งในวันที่ 18 ก.พ. นี้ จะให้นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดภาพบาดแผลที่เชื่อว่าแตงโมถูกแทง เป็นภาพที่หลายคนยังไม่เคยเห็น โดยทางดีเอสไอได้ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้ว

    -8 จุดสงสัยชี้ชะตาคนบนเรือ

    -เรือจอด-ชะลอ ทำอะไร

    -เปลี่ยนยุทธศาสตร์ภาคใต้

    -เร่งงานถนน 7 ชั่วโคตร
    พร้อมเปิดภาพสำคัญ"แตงโม"ถูกแทง!? : [NEWS UPDATE] นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ลงเรือสแกน 8 จุด ต้องสงสัยคดีแตงโม มีจุดสำคัญ คือ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 และท่าทราย ซึ่งอาจเป็นที่ทำลายหลักฐาน โดยพิสูจน์ว่าได้มีตำรวจเกี่ยวข้องกับแผนนี้ อาจโยงเครือข่ายยาเสพติด เว็บพนัน รถหรู ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ เชื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐและผู้สนับสนุนที่ช่วยกันปกปิด รวมไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งในวันที่ 18 ก.พ. นี้ จะให้นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดภาพบาดแผลที่เชื่อว่าแตงโมถูกแทง เป็นภาพที่หลายคนยังไม่เคยเห็น โดยทางดีเอสไอได้ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้ว -8 จุดสงสัยชี้ชะตาคนบนเรือ -เรือจอด-ชะลอ ทำอะไร -เปลี่ยนยุทธศาสตร์ภาคใต้ -เร่งงานถนน 7 ชั่วโคตร
    Like
    Love
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 741 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ส พลิกหงายท้องหลังลงจอดกระแทกที่สนามบินโทรอนโต เพียร์สัน ในแคนาดา ท่ามกลางลมแรง สืบเนื่องจากพายุหิมะ ในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย จากทั้งหมด 80 คนบนเครื่องบิน ตามการเปิดเผยของพวกเจ้าหน้าที่
    .
    ในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น มีอยู่ 3 รายที่อาการสาหัส ในนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย 1 คน
    .
    สายการบินเดลตา เปิดเผยว่าเครื่องบิน CRJ900 ที่ปฏิบัติการโดยสายการบินลูก "เอ็นเดเวอร์แอร์" เป็นเครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุ โดยมันบรรทุกผู้โดยสาร 76 คนและลูกเรือ 4 คน ทั้งนี้ CRJ900 ผลิตโดยบริษัทบอมบาร์เดียร์ของแคนาดา บรรทุกได้สูงสุด 90 คน
    .
    สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ผู้ใช้บนสื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งโพสต์วิดีโอหลังเกิดเหตุ เป็นภาพรถดับเพลิงกำลังฉีดน้ำเข้าใส่เครื่องบิน ที่พลิกหงายท้องอยู่บนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
    .
    "เราอยู่ในโทรอนโต เราเพิ่งลงจอด เครื่องบินของเรากระแทกและมันพลิกหงายท้อง หน่วยดับเพลิงอยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว แม้พลิกหงายท้อง แต่ทุกๆ คน ผู้คนเกือบทั้งหมดปลอดภัยดี เรากำลังออกไป มีควันคลุ้งออกมาบ้าง" จอห์น เบลสัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งบรรยายภาพในวิดีโอ
    .
    ท่าอากาศยานเพียร์สัน บอกก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่ากำลังรับมือกับลมแรงและอุณหภูมิเย็นยะเยือก ส่วนสายการบินต่างๆ ก็พยายามบริหารจัดการกับเที่ยวบินต่างๆ ที่ต้องยกเลิก หลังจากพายุหิมะในช่วงสุดสัปดาห์ ที่เทหิมะลงมาหนาถึง 22 เซนติเมตร บริเวณสนามบิน
    .
    ในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย มีอยู่ 2 คนที่ถูกลำเลียงทางอากาศไปยังศูนย์อุบัติเหตุ ส่วนเด็กถูกพาไปยังโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ขณะที่อีก 12 ที่เหลือ ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล "เราไม่มีผู้เสียชีวิต และเราพบตัวลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดแล้ว" หัวหน้าหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินระบุ
    .
    สนามบินโทรอนโต ต้องปิดทำการเป็นเวลา 90 นาที ก่อนกลับมาเปิดปฏิบัติการทั้งเที่ยวบินขาเข้าและขาออกหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม มันทำให้หลายเที่ยวบินต้องเบี่ยงไปลงจอดที่ท่าอากาศยานอื่นๆ และก่อปัญหาดีเลย์ตามสนามบินนั้นๆ ในนั้นรวมถึงสนามบินทรูโด ในมอนทรีออล ที่เผยว่ากำลังเตรียมพร้อมรองรับอีกหลายเที่ยวบินที่ต้องเบี่ยงมาลงจอด ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจก่อปัญหาล่าช้าเพิ่มเติม
    .
    คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งของแคนาดา (TSB) เผยว่ากำลังส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อทำการสืบสวน ส่วนคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ เผยว่าทีมสืบสวนของพวกเขาจะเข้าข่วยเหลือทีมงานของ TSB ด้วยเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015977
    ..............
    Sondhi X
    เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งของสายการบินเดลตา แอร์ไลน์ส พลิกหงายท้องหลังลงจอดกระแทกที่สนามบินโทรอนโต เพียร์สัน ในแคนาดา ท่ามกลางลมแรง สืบเนื่องจากพายุหิมะ ในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย จากทั้งหมด 80 คนบนเครื่องบิน ตามการเปิดเผยของพวกเจ้าหน้าที่ . ในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น มีอยู่ 3 รายที่อาการสาหัส ในนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย 1 คน . สายการบินเดลตา เปิดเผยว่าเครื่องบิน CRJ900 ที่ปฏิบัติการโดยสายการบินลูก "เอ็นเดเวอร์แอร์" เป็นเครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุ โดยมันบรรทุกผู้โดยสาร 76 คนและลูกเรือ 4 คน ทั้งนี้ CRJ900 ผลิตโดยบริษัทบอมบาร์เดียร์ของแคนาดา บรรทุกได้สูงสุด 90 คน . สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ผู้ใช้บนสื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งโพสต์วิดีโอหลังเกิดเหตุ เป็นภาพรถดับเพลิงกำลังฉีดน้ำเข้าใส่เครื่องบิน ที่พลิกหงายท้องอยู่บนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ . "เราอยู่ในโทรอนโต เราเพิ่งลงจอด เครื่องบินของเรากระแทกและมันพลิกหงายท้อง หน่วยดับเพลิงอยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว แม้พลิกหงายท้อง แต่ทุกๆ คน ผู้คนเกือบทั้งหมดปลอดภัยดี เรากำลังออกไป มีควันคลุ้งออกมาบ้าง" จอห์น เบลสัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งบรรยายภาพในวิดีโอ . ท่าอากาศยานเพียร์สัน บอกก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่ากำลังรับมือกับลมแรงและอุณหภูมิเย็นยะเยือก ส่วนสายการบินต่างๆ ก็พยายามบริหารจัดการกับเที่ยวบินต่างๆ ที่ต้องยกเลิก หลังจากพายุหิมะในช่วงสุดสัปดาห์ ที่เทหิมะลงมาหนาถึง 22 เซนติเมตร บริเวณสนามบิน . ในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 ราย มีอยู่ 2 คนที่ถูกลำเลียงทางอากาศไปยังศูนย์อุบัติเหตุ ส่วนเด็กถูกพาไปยังโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ขณะที่อีก 12 ที่เหลือ ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล "เราไม่มีผู้เสียชีวิต และเราพบตัวลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดแล้ว" หัวหน้าหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินระบุ . สนามบินโทรอนโต ต้องปิดทำการเป็นเวลา 90 นาที ก่อนกลับมาเปิดปฏิบัติการทั้งเที่ยวบินขาเข้าและขาออกหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม มันทำให้หลายเที่ยวบินต้องเบี่ยงไปลงจอดที่ท่าอากาศยานอื่นๆ และก่อปัญหาดีเลย์ตามสนามบินนั้นๆ ในนั้นรวมถึงสนามบินทรูโด ในมอนทรีออล ที่เผยว่ากำลังเตรียมพร้อมรองรับอีกหลายเที่ยวบินที่ต้องเบี่ยงมาลงจอด ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจก่อปัญหาล่าช้าเพิ่มเติม . คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งของแคนาดา (TSB) เผยว่ากำลังส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อทำการสืบสวน ส่วนคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ เผยว่าทีมสืบสวนของพวกเขาจะเข้าข่วยเหลือทีมงานของ TSB ด้วยเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015977 .............. Sondhi X
    Like
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1722 มุมมอง 1 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" ลงเรือเก็บหลักฐานคดี "แตงโม" สำรวจ 8 จุดสงสัย “อ.ปานเทพ-อัจฉริยะ” แฉเครือข่ายยาเสพติด เตรียมเปิดข้อมูลเด็ดเป็นฆาตกรรม

    วันนี้ (17 ก.พ.) เวลา 8.30 น. บ้านเรือเล็ก ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม พร้อมด้วย นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมปฏิบัติการลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำเจ้าพระยาตามเส้นทางจุดเกิดเหตุที่ยังมีข้อสงสัย 8 จุด หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568 เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ โดยมี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต , นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน

    นายอัจฉริยะ เผยว่า ส่วนข้อมูลจากโทรศัพท์ที่กู้คืนได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และยังต้องตรวจสอบว่าเป็นเครื่องเดียวกับที่ส่งให้ตำรวจหรือไม่ โดยหลักฐานที่นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดาของน้องแตงโม ซึ่งส่งไปยังบังแจ็คที่สหรัฐฯ อาจมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง และพบว่าผู้เขียนที่อยู่บนกล่องไม่ใช่นางภนิดา นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบโทรศัพท์ที่ตำรวจคืนให้มารดาว่าเป็นเครื่องเดิมหรือไม่ โดยผลตรวจ DNA จะออกภายในสัปดาห์นี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015651

    #MGROnline #ดีเอสไอ #คดีแตงโม

    "ดีเอสไอ" ลงเรือเก็บหลักฐานคดี "แตงโม" สำรวจ 8 จุดสงสัย “อ.ปานเทพ-อัจฉริยะ” แฉเครือข่ายยาเสพติด เตรียมเปิดข้อมูลเด็ดเป็นฆาตกรรม • วันนี้ (17 ก.พ.) เวลา 8.30 น. บ้านเรือเล็ก ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม พร้อมด้วย นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมปฏิบัติการลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำเจ้าพระยาตามเส้นทางจุดเกิดเหตุที่ยังมีข้อสงสัย 8 จุด หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568 เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ โดยมี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต , นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน • นายอัจฉริยะ เผยว่า ส่วนข้อมูลจากโทรศัพท์ที่กู้คืนได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และยังต้องตรวจสอบว่าเป็นเครื่องเดียวกับที่ส่งให้ตำรวจหรือไม่ โดยหลักฐานที่นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดาของน้องแตงโม ซึ่งส่งไปยังบังแจ็คที่สหรัฐฯ อาจมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง และพบว่าผู้เขียนที่อยู่บนกล่องไม่ใช่นางภนิดา นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบโทรศัพท์ที่ตำรวจคืนให้มารดาว่าเป็นเครื่องเดิมหรือไม่ โดยผลตรวจ DNA จะออกภายในสัปดาห์นี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015651 • #MGROnline #ดีเอสไอ #คดีแตงโม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ-อัจฉริยะ" เผยปมมือถือแตงโมถูกโคลนนิ่ง ชี้เครื่องที่ถูกส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกาไม่ใช่เครื่องต้นฉบับ รับบางจุดมีการเปลี่ยน แต่สามารถกู้ภาพคืนมาได้ 18 ก.พ.เปิดหลักฐานเด็ด

    วันนี้( 17 ก.พ.)ที่บ้านเรือเล็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ปฏิบัติการตรวจจุดเกิดเหตุในคดี “แตงโม นิดา” โดยจะทำการล่องเรือไปยัง 8 จุดที่สำคัญและน่าสนใจในคดี เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ รวมทั้งสิ้น 40 คนที่จะลงเรือในครั้งนี้ โดยวันนี้มี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน

    นายอัจฉริยะกล่าวว่า ข้อมูลในโทรศัพท์เป็นของจริง แต่อีกหนึ่งเครื่องไม่ใช่ของจริง คือเครื่องที่ส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกา ไม่ใช่ต้นฉบับ โดยคนที่ส่งไปเป็นอดีตนักการเมืองที่ร่วมกับคุณแม่ของแตงโม และยังได้ข้อมูลอีกว่า อดีตนักการเมืองคนดังกล่าว ได้ส่งผ้าขาวของแตงโมไปให้บังเเจ็คด้วย โดยยังบอกให้บังแจ็คส่งผ้าขาวกลับมาให้กับแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รวมถึงมีการกระตุ้นให้บังแจ็คไลฟ์สดเกี่ยวกับผ้าขาวที่ได้รับไปด้วย

    นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า โทรศัพท์ที่ส่งให้บังแจ็คมีการโคลนนิ่งเหมือนโทรศัพท์ต้นฉบับ และไม่มีใครรู้ว่าถูกสลับเครื่องตอนไหน แต่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนหลายจุดตั้งแต่ตอนเกิดเหตุ ซึ่งในที่สุดก็ต้องทำการสืบหาความจริงจนได้ เพราะเขาลืมไป 1 ข้อว่า แม้จะลบข้อมูลในโทรศัพท์ไปแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการกู้ Gmail และเข้าไปใน iCloud เพื่อกู้ข้อมูลได้สำเร็จ ทำให้ภาพที่หายไปกลับคืนมาได้ ซึ่งเมื่อคืนนี้ (16 ก.พ.) ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลถูกต้องกับความเป็นจริง แต่โทรศัพท์ถูกสลับเครื่อง

    นายอัจฉริยะ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) นายปานเทพจะมีการเปิดหลักฐานสำคัญที่เชื่อได้ว่า เป็นการฆาตกรรม รวมถึงได้รู้ถึงวิธีการว่าโหดเหี้ยมขนาดไหน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015688

    #MGROnline #ปานเทพ #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #โคลนนิ่ง
    "ปานเทพ-อัจฉริยะ" เผยปมมือถือแตงโมถูกโคลนนิ่ง ชี้เครื่องที่ถูกส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกาไม่ใช่เครื่องต้นฉบับ รับบางจุดมีการเปลี่ยน แต่สามารถกู้ภาพคืนมาได้ 18 ก.พ.เปิดหลักฐานเด็ด • วันนี้( 17 ก.พ.)ที่บ้านเรือเล็ก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ปฏิบัติการตรวจจุดเกิดเหตุในคดี “แตงโม นิดา” โดยจะทำการล่องเรือไปยัง 8 จุดที่สำคัญและน่าสนใจในคดี เพื่อสำรวจเส้นทาง GPS รวมถึงนำ ข้อมูลของภูมิประเทศ และ สภาพใต้น้ำมาประกอบ โดยใช้เรือทั้งสิ้น 8 ลำ เป็นเรือของกรมชลประทาน 2 ลำ และเรือของดีเอสไอ 6 ลำ รวมทั้งสิ้น 40 คนที่จะลงเรือในครั้งนี้ โดยวันนี้มี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ มาในฐานะผู้ร่วมสังเกตการณ์และเป็นสักขีพยาน • นายอัจฉริยะกล่าวว่า ข้อมูลในโทรศัพท์เป็นของจริง แต่อีกหนึ่งเครื่องไม่ใช่ของจริง คือเครื่องที่ส่งไปให้บังแจ็คที่อเมริกา ไม่ใช่ต้นฉบับ โดยคนที่ส่งไปเป็นอดีตนักการเมืองที่ร่วมกับคุณแม่ของแตงโม และยังได้ข้อมูลอีกว่า อดีตนักการเมืองคนดังกล่าว ได้ส่งผ้าขาวของแตงโมไปให้บังเเจ็คด้วย โดยยังบอกให้บังแจ็คส่งผ้าขาวกลับมาให้กับแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รวมถึงมีการกระตุ้นให้บังแจ็คไลฟ์สดเกี่ยวกับผ้าขาวที่ได้รับไปด้วย • นายปานเทพ กล่าวเสริมว่า โทรศัพท์ที่ส่งให้บังแจ็คมีการโคลนนิ่งเหมือนโทรศัพท์ต้นฉบับ และไม่มีใครรู้ว่าถูกสลับเครื่องตอนไหน แต่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนหลายจุดตั้งแต่ตอนเกิดเหตุ ซึ่งในที่สุดก็ต้องทำการสืบหาความจริงจนได้ เพราะเขาลืมไป 1 ข้อว่า แม้จะลบข้อมูลในโทรศัพท์ไปแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการกู้ Gmail และเข้าไปใน iCloud เพื่อกู้ข้อมูลได้สำเร็จ ทำให้ภาพที่หายไปกลับคืนมาได้ ซึ่งเมื่อคืนนี้ (16 ก.พ.) ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ข้อมูลถูกต้องกับความเป็นจริง แต่โทรศัพท์ถูกสลับเครื่อง • นายอัจฉริยะ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) นายปานเทพจะมีการเปิดหลักฐานสำคัญที่เชื่อได้ว่า เป็นการฆาตกรรม รวมถึงได้รู้ถึงวิธีการว่าโหดเหี้ยมขนาดไหน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000015688 • #MGROnline #ปานเทพ #อัจฉริยะ #มือถือแตงโม #โคลนนิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

    ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา
    1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย
    3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
    4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ
    5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค

    ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา
    - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่
    - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป
    - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี
    - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป

    ### ข้อควรระวัง
    แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ

    การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    "อาหารเป็นยา" เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ โดยเน้นว่าอาหารไม่เพียงแต่ให้พลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ### ตัวอย่างอาหารที่เป็นยา 1. **กระเทียม**: ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 2. **ขิง**: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ลดการอักเสบในร่างกาย 3. **ขมิ้น**: มีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 4. **ผักใบเขียว**: เช่น คะน้า ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ 5. **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี**: เช่น บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัยและป้องกันโรค ### หลักการบริโภคอาหารเป็นยา - **สมดุล**: บริโภคอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ - **ปริมาณที่เหมาะสม**: ไม่บริโภคมากหรือน้อยเกินไป - **คุณภาพ**: เลือกอาหารสด สะอาด และปราศจากสารเคมี - **การปรุงอย่างเหมาะสม**: หลีกเลี่ยงการทอดหรือใช้น้ำมันมากเกินไป ### ข้อควรระวัง แม้อาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรใช้แทนการรักษาทางการแพทย์เมื่อมีอาการป่วยรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารเพื่อการรักษาโรคใดๆ การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจของแนวคิด "อาหารเป็นยา"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสร้างอวัยวะเทียม (Artificial Organ) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและผลิตอุปกรณ์หรือระบบที่สามารถทำหน้าที่แทนอวัยวะธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ซึ่งอาจใช้เพื่อทดแทนอวัยวะที่เสียหายหรือไม่ทำงานได้ตามปกติ เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญอย่างมากในทางการแพทย์ เพราะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุของผู้ป่วยได้

    ### ตัวอย่างอวัยวะเทียมที่พบบ่อย
    1. **หัวใจเทียม (Artificial Heart)**
    - ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นรุนแรง
    - เช่น อุปกรณ์ช่วยการเต้นของหัวใจ (Ventricular Assist Device: VAD)

    2. **ไตเทียม (Artificial Kidney)**
    - ใช้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง
    - เช่น เครื่องไตเทียมสำหรับการล้างไต (Hemodialysis Machine)

    3. **ตับอ่อนเทียม (Artificial Pancreas)**
    - ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
    - เช่น ระบบปิดที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยอัตโนมัติ

    4. **หูเทียม (Cochlear Implant)**
    - ใช้ในผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน
    - ช่วยแปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทการได้ยิน

    5. **แขนขาเทียม (Prosthetic Limbs)**
    - ใช้ในผู้ที่สูญเสียแขนหรือขา
    - เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น แขนขาเทียมที่ควบคุมด้วยสมอง (Brain-Controlled Prosthetics)

    ### ขั้นตอนการสร้างอวัยวะเทียม
    1. **การออกแบบ (Design)**
    - ออกแบบให้มีรูปร่างและหน้าที่ใกล้เคียงกับอวัยวะธรรมชาติ
    - ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบ (CAD)

    2. **การเลือกวัสดุ (Material Selection)**
    - เลือกวัสดุที่เข้ากับร่างกายได้ดี (Biocompatible Materials)
    - เช่น ไทเทเนียม, ซิลิโคน, พอลิเมอร์

    3. **การผลิต (Manufacturing)**
    - ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) หรือการผลิตแบบดั้งเดิม
    - ต้องมีความแม่นยำสูง

    4. **การทดสอบ (Testing)**
    - ทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง
    - ตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย

    5. **การทดลองทางคลินิก (Clinical Trials)**
    - ทดลองในมนุษย์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและผลข้างเคียง

    6. **การใช้งานจริง (Implementation)**
    - นำไปใช้ในผู้ป่วยจริง
    - มีการติดตามผลระยะยาว

    ### ความท้าทายในการสร้างอวัยวะเทียม
    - **การเข้ากันได้กับร่างกาย (Biocompatibility)**
    - **การควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Response)**
    - **การออกแบบให้มีอายุการใช้งานยาวนาน (Durability)**
    - **ต้นทุนการผลิตที่สูง (High Cost)**

    ### อนาคตของอวัยวะเทียม
    - **การใช้วัสดุอัจฉริยะ (Smart Materials)**
    - **การผสานเทคโนโลยี AI และ IoT**
    - **การพัฒนาอวัยวะเทียมที่ควบคุมด้วยสมอง (Brain-Computer Interface)**

    การสร้างอวัยวะเทียมเป็นสาขาที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้มากขึ้นในอนาคต
    การสร้างอวัยวะเทียม (Artificial Organ) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและผลิตอุปกรณ์หรือระบบที่สามารถทำหน้าที่แทนอวัยวะธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ซึ่งอาจใช้เพื่อทดแทนอวัยวะที่เสียหายหรือไม่ทำงานได้ตามปกติ เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญอย่างมากในทางการแพทย์ เพราะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุของผู้ป่วยได้ ### ตัวอย่างอวัยวะเทียมที่พบบ่อย 1. **หัวใจเทียม (Artificial Heart)** - ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวขั้นรุนแรง - เช่น อุปกรณ์ช่วยการเต้นของหัวใจ (Ventricular Assist Device: VAD) 2. **ไตเทียม (Artificial Kidney)** - ใช้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง - เช่น เครื่องไตเทียมสำหรับการล้างไต (Hemodialysis Machine) 3. **ตับอ่อนเทียม (Artificial Pancreas)** - ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน - เช่น ระบบปิดที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยอัตโนมัติ 4. **หูเทียม (Cochlear Implant)** - ใช้ในผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน - ช่วยแปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทการได้ยิน 5. **แขนขาเทียม (Prosthetic Limbs)** - ใช้ในผู้ที่สูญเสียแขนหรือขา - เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น แขนขาเทียมที่ควบคุมด้วยสมอง (Brain-Controlled Prosthetics) ### ขั้นตอนการสร้างอวัยวะเทียม 1. **การออกแบบ (Design)** - ออกแบบให้มีรูปร่างและหน้าที่ใกล้เคียงกับอวัยวะธรรมชาติ - ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบ (CAD) 2. **การเลือกวัสดุ (Material Selection)** - เลือกวัสดุที่เข้ากับร่างกายได้ดี (Biocompatible Materials) - เช่น ไทเทเนียม, ซิลิโคน, พอลิเมอร์ 3. **การผลิต (Manufacturing)** - ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) หรือการผลิตแบบดั้งเดิม - ต้องมีความแม่นยำสูง 4. **การทดสอบ (Testing)** - ทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง - ตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย 5. **การทดลองทางคลินิก (Clinical Trials)** - ทดลองในมนุษย์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและผลข้างเคียง 6. **การใช้งานจริง (Implementation)** - นำไปใช้ในผู้ป่วยจริง - มีการติดตามผลระยะยาว ### ความท้าทายในการสร้างอวัยวะเทียม - **การเข้ากันได้กับร่างกาย (Biocompatibility)** - **การควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Response)** - **การออกแบบให้มีอายุการใช้งานยาวนาน (Durability)** - **ต้นทุนการผลิตที่สูง (High Cost)** ### อนาคตของอวัยวะเทียม - **การใช้วัสดุอัจฉริยะ (Smart Materials)** - **การผสานเทคโนโลยี AI และ IoT** - **การพัฒนาอวัยวะเทียมที่ควบคุมด้วยสมอง (Brain-Computer Interface)** การสร้างอวัยวะเทียมเป็นสาขาที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาด้านสุขภาพได้มากขึ้นในอนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล:

    ### 1. **การวินิจฉัยโรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี
    - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา

    ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน**
    - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก
    - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ### 3. **การดูแลผู้ป่วย**
    - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ
    - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ

    ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์**
    - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย
    - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง

    ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์**
    - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
    - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์

    ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล**
    - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น
    - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น

    ### 7. **การพยากรณ์โรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19
    - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน

    ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล**
    - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล
    - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์**
    - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ
    - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล**
    - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine)
    - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน

    ### ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด
    - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด
    - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล: ### 1. **การวินิจฉัยโรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน** - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ### 3. **การดูแลผู้ป่วย** - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์** - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์** - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล** - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น ### 7. **การพยากรณ์โรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล** - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์** - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล** - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine) - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ### ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนา AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องการความฉลาดของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการเข้าใจภาษา โดยการพัฒนา AI มีขั้นตอนและแนวทางหลักดังนี้:

    ### 1. **การกำหนดปัญหา**
    - **การระบุปัญหา**: กำหนดปัญหาที่ต้องการให้ AI แก้ไข เช่น การจดจำภาพ การแปลภาษา หรือการแนะนำสินค้า
    - **การรวบรวมข้อมูล**: ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและมีคุณภาพ

    ### 2. **การเลือกเทคนิคและอัลกอริทึม**
    - **การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)**: ใช้เทคนิคเช่น การเรียนรู้ภายใต้การดูแล (Supervised Learning), การเรียนรู้แบบไม่มีผู้ดูแล (Unsupervised Learning), และการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning)
    - **การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)**: ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) เพื่อจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ภาพและเสียง
    - **การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP)**: ใช้สำหรับการเข้าใจและสร้างภาษา

    ### 3. **การฝึกโมเดล**
    - **การเตรียมข้อมูล**: ทำความสะอาดข้อมูลและแบ่งข้อมูลเป็นชุดฝึกและชุดทดสอบ
    - **การฝึกโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดฝึกเพื่อสอนโมเดลให้เรียนรู้รูปแบบและทำนายผลลัพธ์
    - **การปรับแต่งโมเดล**: ปรับพารามิเตอร์และโครงสร้างโมเดลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ### 4. **การประเมินผล**
    - **การทดสอบโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดทดสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดล
    - **การวัดประสิทธิภาพ**: ใช้เมตริกเช่น ความแม่นยำ (Accuracy), ความจำเพาะ (Precision), ความไว (Recall), และ F1 Score

    ### 5. **การปรับปรุงและพัฒนา**
    - **การปรับปรุงโมเดล**: ปรับปรุงโมเดลโดยการเพิ่มข้อมูลหรือปรับอัลกอริทึม
    - **การทดสอบในสภาพจริง**: นำโมเดลไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อดูประสิทธิภาพ

    ### 6. **การนำไปใช้**
    - **การปรับใช้โมเดล**: นำโมเดลไปใช้ในระบบจริง เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์
    - **การติดตามและบำรุงรักษา**: ติดตามประสิทธิภาพของโมเดลและทำการบำรุงรักษาเป็นระยะ

    ### 7. **การพัฒนาต่อยอด**
    - **การวิจัยและพัฒนา**: ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาอัลกอริทึมและเทคนิคใหม่ๆ
    - **การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ**: นำ AI ไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเงิน การขนส่ง

    ### 8. **การพิจารณาด้านจริยธรรมและกฎหมาย**
    - **จริยธรรมของ AI**: พิจารณาผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของการใช้ AI
    - **กฎหมายและข้อบังคับ**: ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI

    การพัฒนา AI เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้และทักษะในหลายด้าน รวมถึงการทำงานร่วมกันของทีมที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน เพื่อให้ได้ระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
    การพัฒนา AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องการความฉลาดของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา และการเข้าใจภาษา โดยการพัฒนา AI มีขั้นตอนและแนวทางหลักดังนี้: ### 1. **การกำหนดปัญหา** - **การระบุปัญหา**: กำหนดปัญหาที่ต้องการให้ AI แก้ไข เช่น การจดจำภาพ การแปลภาษา หรือการแนะนำสินค้า - **การรวบรวมข้อมูล**: ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI ต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและมีคุณภาพ ### 2. **การเลือกเทคนิคและอัลกอริทึม** - **การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)**: ใช้เทคนิคเช่น การเรียนรู้ภายใต้การดูแล (Supervised Learning), การเรียนรู้แบบไม่มีผู้ดูแล (Unsupervised Learning), และการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning) - **การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)**: ใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) เพื่อจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ภาพและเสียง - **การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP)**: ใช้สำหรับการเข้าใจและสร้างภาษา ### 3. **การฝึกโมเดล** - **การเตรียมข้อมูล**: ทำความสะอาดข้อมูลและแบ่งข้อมูลเป็นชุดฝึกและชุดทดสอบ - **การฝึกโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดฝึกเพื่อสอนโมเดลให้เรียนรู้รูปแบบและทำนายผลลัพธ์ - **การปรับแต่งโมเดล**: ปรับพารามิเตอร์และโครงสร้างโมเดลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ### 4. **การประเมินผล** - **การทดสอบโมเดล**: ใช้ข้อมูลชุดทดสอบเพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดล - **การวัดประสิทธิภาพ**: ใช้เมตริกเช่น ความแม่นยำ (Accuracy), ความจำเพาะ (Precision), ความไว (Recall), และ F1 Score ### 5. **การปรับปรุงและพัฒนา** - **การปรับปรุงโมเดล**: ปรับปรุงโมเดลโดยการเพิ่มข้อมูลหรือปรับอัลกอริทึม - **การทดสอบในสภาพจริง**: นำโมเดลไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อดูประสิทธิภาพ ### 6. **การนำไปใช้** - **การปรับใช้โมเดล**: นำโมเดลไปใช้ในระบบจริง เช่น แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ - **การติดตามและบำรุงรักษา**: ติดตามประสิทธิภาพของโมเดลและทำการบำรุงรักษาเป็นระยะ ### 7. **การพัฒนาต่อยอด** - **การวิจัยและพัฒนา**: ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาอัลกอริทึมและเทคนิคใหม่ๆ - **การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ**: นำ AI ไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเงิน การขนส่ง ### 8. **การพิจารณาด้านจริยธรรมและกฎหมาย** - **จริยธรรมของ AI**: พิจารณาผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมของการใช้ AI - **กฎหมายและข้อบังคับ**: ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI การพัฒนา AI เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้และทักษะในหลายด้าน รวมถึงการทำงานร่วมกันของทีมที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน เพื่อให้ได้ระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลอดเลือดหัวใจตีบ

    ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน

    การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease)

    การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

    ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว

    การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP)

    การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

    ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

    จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว

    ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    Cr. Santi Manadee
    #หลอดเลือดหัวใจตีบ ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease) การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP) การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ Cr. Santi Manadee
    DOI.ORG
    Gastroesophageal reflux disease influences blood pressure components, lipid profile and cardiovascular diseases: Evidence from a Mendelian randomization study
    Background Gastroesophageal reflux disease (GERD) is a prevalent gastrointestinal disorder associated with a range of cardiovascular and metabolic complications. However, the relationship between GERD and blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases remains unclear. Methods Leveraging genetic variants associated with GERD as instrumental variables, we performed this Mendelian randomization (MR) analyses. Blood pressure components, lipid profile parameters, as well as cardiovascular diseases were considered as outcomes. Furthermore, we conducted reverse MR analysis to explore the association of these factors with the risk of GERD. Results Our MR analysis discovered a potential causal influence of GERD on blood pressure components, with genetically predicted GERD positively associated with systolic blood pressure (β = 0.053, P = 0.036), diastolic blood pressure (β = 0.100, P < 0.001), and mean arterial pressure (β = 0.106, P < 0.001). Additionally, genetically predicted GERD showed a significant impact on lipid profile, leading to increased genetically predicted levels of low-density lipoprotein (LDL) cholesterol (β = 0.093, P < 0.001), and triglycerides (β = 0.153, P < 0.001), while having a negative effect on high-density lipoprotein (HDL) cholesterol (β = -0.115, P = 0.002). Furthermore, our study indicated a noteworthy causal association between genetically predicted GERD and increased risk of myocardial infarction [odds ratio (OR) = 1.272, P = 0.019)] and hypertension (OR = 1.357, P < 0.001). No significant association was found between GERD and pulse pressure, total cholesterol, heart failure, and atrial fibrillation ( P > 0.05). Reverse MR analysis indicates that blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases do not lead to an increased risk of GERD (all P > 0.05). Furthermore, mediation MR analysis reveals that LDL cholesterol (proportion mediated: 19.99%, 95% CI: 4.49% to 35.50%), HDL cholesterol (proportion mediated: 11.71%, 95% CI: 5.23% to 18.19%), and hypertension (proportion mediated: 35.09%, 95% CI: 24.66% to 45.53%) mediated the effect of GERD on myocardial infarction, while other factors did not participate in this pathway. Conclusions This MR study provides evidence supporting a causal relationship between GERD and alterations in blood pressure components, lipid profile, and increased risk of cardiovascular diseases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • แจ้งข่าวปฏิบัติการตรวจที่เกิดเหตุของ DSI จัดเต็มชุดใหญ่ที่เริ่มต้นจากบ้านเรือนเล็ก วันพรุ่งนี้ คือวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เริ่มเวลา
    8.30 น.จบรอบแรกแล้วพักเที่ยง หลังจากนั้นไปต่อช่วงบ่ายแล้วเสร็จประมาณ 16.00 น. จึงแจ้งสื่อมวลชนทุกท่านให้ทราบ และขอเตือนไปยังผู้ที่เจตนาจะสร้างสถานการณ์หรือปั่นป่วนในการจำลองจะถูกจับตามองและจัดการอย่างเหมาะสมต่อไป

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    16 กุมภาพันธ์ 2568
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1157443402416025&id=100044511276276
    แจ้งข่าวปฏิบัติการตรวจที่เกิดเหตุของ DSI จัดเต็มชุดใหญ่ที่เริ่มต้นจากบ้านเรือนเล็ก วันพรุ่งนี้ คือวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เริ่มเวลา 8.30 น.จบรอบแรกแล้วพักเที่ยง หลังจากนั้นไปต่อช่วงบ่ายแล้วเสร็จประมาณ 16.00 น. จึงแจ้งสื่อมวลชนทุกท่านให้ทราบ และขอเตือนไปยังผู้ที่เจตนาจะสร้างสถานการณ์หรือปั่นป่วนในการจำลองจะถูกจับตามองและจัดการอย่างเหมาะสมต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 16 กุมภาพันธ์ 2568 https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1157443402416025&id=100044511276276
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การอักเสบ

    ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร

    การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง

    น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ

    มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค

    การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด

    ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด.....

    ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน

    ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ

    จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS)

    เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย

    ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่

    มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ

    การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ

    การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก

    รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ

    โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ

    อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง

    โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin

    Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ

    หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ

    ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา

    โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial

    Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท

    Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้

    โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้

    หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ

    กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3

    Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง

    โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ

    โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้

    โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน

    โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน

    Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน

    หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ

    ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต

    โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin

    โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท

    ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน

    โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ

    ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ

    โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

    โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน

    ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา

    ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป

    วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน

    ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ

    การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ

    คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

    จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้

    แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น

    ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป

    วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ

    เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ

    มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ :

    อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน

    ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ )

    การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต

    ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines
    ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน

    ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม

    เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน

    ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น

    Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน

    มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป

    ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ

    อาหารต้านการอักเสบที่ดี

    อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่:

    • เบอร์รี่

    • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    • บรอกโคลี

    • อะโวคาโด

    • ชาเขียว

    • พริก

    • ขมิ้น

    • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    • ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    • มะเขือเทศ

    • เชอร์รี่

    เบอร์รี่

    เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ

    มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่:

    • สตรอว์เบอร์รี่

    • บลูเบอร์รี่

    • ราสเบอร์รี

    • แบล็กเบอร์รี่

    เบอร์รี่

    มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้

    บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด

    ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง

    ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน
    สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน

    ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3

    ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA)
    แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด:

    • ปลาแซลมอน

    • ปลาซาร์ดีน

    • ปลาแมกเคอเรล

    • ปลาสวาย

    EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น :

    • กลุ่มอาการเมตาบอลิก

    • โรคหัวใจ

    • โรคเบาหวาน

    • โรคไต

    ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

    จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง

    อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก

    บร็อคโคลี

    บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง
    ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น

    บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ

    อะโวคาโด

    มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง
    นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้

    ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง

    ชาเขียว

    งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ

    ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG)

    EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ

    พริก

    พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง

    พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน

    พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น

    ขมิ้น

    ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ

    ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ

    การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ

    จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก

    อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000%

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้

    น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

    การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้

    การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก

    ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน

    โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์

    ช็อกโกแลตดำและโกโก้

    ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ

    นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น

    ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง

    มะเขือเทศ

    มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

    มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ

    ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

    การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น

    นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร

    เชอร์รี่

    เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ

    แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน

    การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal
    ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc
    ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h
    ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c
    ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น
    ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap
    ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การอักเสบ ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมด้านสุขภาพของคุณได้อย่างไร การอักเสบควบคุมชีวิตของเรา ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักกำลังต่อสู้กับอาการปวด โรคอ้วน โรคสมาธิสั้น ปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไมเกรน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาทางทันตกรรมหรือโรคมะเร็ง น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่กำลังทุกข์ทรมานจากหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งของความผิดปกติเหล่านี้ แต่ไม่มีแนวความคิดหรือวิธีการที่จะกำจัดการอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ใช้ยาแทนการมุ่งเป้าไปที่ต้นตอของสาเหตุ มันมักจะดูเหมือนว่า..มันเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างยิ่งเมื่อตระหนักว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเริ่มต้นในลำไส้จากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันซึ่งจะดำเนินการอักเสบไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจัดการอย่างแท้จริงและหวังว่าจะเอาชนะโรค การมองให้ลึกถึงขั้นตอนแห่งการเริ่มต้นเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ....การอักเสบเริ่มต้นที่ใด..... ลำไส้ของคุณประกอบขึ้นด้วยเยื่อบุกึ่งซึมผ่านที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ พื้นที่ผิวของลำไส้ของคุณสามารถครอบคลุมพื้นที่เท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามเมื่อแผ่ออกให้แบน ระดับของการซึมผ่านผันผวนตามการตอบสนองต่อความหลากหลายของสภาพสารเคมี... ตัวอย่างเช่นเมื่อฮอร์โมน cortisol สูงขึ้นเนื่องจากความเครียดจากการโต้แย้งหรือระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเผาผลาญน้ำมันในตอนเที่ยงคืน เยื่อบุลำไส้ของคุณจะซึมผ่านได้มากขึ้น ณ เวลานั้น ๆ จากนั้นเมื่อกินอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้บางส่วน อาหารที่มีสารพิษ... ไวรัส ยีสต์และแบคทีเรียก็มีโอกาสที่จะผ่านลำไส้และการเข้าไปยังกระแสเลือด..สิ่งนี้รู้จักกันว่าเป็นกลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่วหรือ leaky gut syndrome (LGS) เมื่อเยื่อบุลำไส้ได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซลล์ที่เสียหายเรียกกันว่า microvilli จะไม่สามารถทำงานของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถดำเนินการและใช้ประโยชน์จากสารอาหารและเอนไซม์ที่มีความสำคัญในการย่อยอาหารที่เหมาะสม ในท้ายที่สุดการย่อยอาหารและการดูดซึมของสารอาหารจะลดลง นี่คือผลกระทบในเชิงลบ เมื่อเยื่อบุลำไส้ของคุณสัมผัสกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น..ร่างกายของคุณก็เริ่มต้นการถูกโจมตีจากผู้รุกรานเหล่านี้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบที่ก่อให้เกิด ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอีกมากมาย ดังนั้นคุณอาจจะถามว่า : การอักเสบเป็นอันตรายได้อย่างไรและเกิดอาการแพ้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ มันอาจฟังดูเหมือนว่าค่อนข้างจะไม่อันตรายสักเท่าไหร่..แต่สถานการณ์นี้สามารถนำไปสู่โรคร้ายแรงและบั่นทอนได้อีกมากมาย เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะมีภาระมากเกินไป การอักเสบเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องผ่านทางเลือดของคุณที่พวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ข้อต่อและกล้ามเนื้อ การอักเสบก่ออาการของโรคอื่นๆ การปรากฏตัวของการอักเสบเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคส่วนใหญ่ มันมักจะเกิดขึ้นมานานหลายปีก่อนที่มันจะอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญทางคลินิก รายการต่อไปนี้มีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบเสมอ โรคภูมิแพ้----ภูมิคุ้มกัน 4 ประเภท + ความไว..ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการอักเสบ อัลไซม์เมอร์----การอักเสบเรื้อรังทำลายเซลล์สมอง โรคโลหิตจาง---- cytokinesที่กระตุ้นการอักเสบโจมตีการผลิต erythropoietin Ankylosing Spondylitis (โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด)----cytokines ที่กระตุ้นการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองในข้อต่างๆ หอบหืด---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานให้ตอบสนองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ ออทิสติก---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาของภูมิต้านทานที่ผิดปกติเข้าไปควบคุมการพัฒนาสมองซีกขวา โรคข้ออักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำลายกระดูกอ่อนและของเหลว synovial Carpal Tunnel Syndrome (โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ) เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในความเครียดของกล้ามเนื้อที่มากเกินไปทำให้เส้นเอ็นแขนหดตัวและข้อมือบีบอัดเส้นประสาท Celiac Chronic (โรคแพ้กลูเตน)----ภูมิคุ้มกันจัดการกับความเสียหายและก่อให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุลำไส้ โรค Crohn ----โรคเรื้อรังจากระบบภูมิคุ้มกันเกิดความเสียหายและเกิดการอักเสบเยื่อบุลำไส้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดการเสียหายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ กลาก สิวเอ็กซิม่า----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับกำจัดสารพิษได้ไม่ดีและมักจะเกิดจากแอนติบอดีต่อสู้กับ Transglutaminase-3 Fibromyalgia (ปวดทั่วสรรพางค์กาย)---- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอักเสบ เกิดจากความเป็นกรดของร่างกายที่ยินยอมให้จุลชีพฝั่งเลวเข้าเล่นงานเนื้อเยื่ออ่อนและมาจากความไม่สมดุลทางโภชนาการและระบบประสาทรอง โรคปอดอักเสบ---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเข้าโจมตีเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ โรคถุงน้ำดี----การอักเสบของท่อน้ำดีหรือคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อการอักเสบในลำไส้ โรคกรดไหลย้อน----การอักเสบของหลอดอาหารและระบบทางเดินอาหารเกือบตลอดเวลา ความไวต่ออาหารและค่า pH เป็นตัวขับเคลื่อน โรคจีบีเอส โรคกิลแลงบาร์เร GBS Guillain-Barre syndrome ภูมิคุ้มกันอัตโนมัติเข้าโจมตีระบบประสาทมักจะเกิดโดยการตอบสนองของ autoimmune ต่อความเครียดภายนอกเช่นการฉีดวัคซีน Hashimoto's Thyroiditis (ต่อมไทรอยด์อักเสบ)----ภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาในลำไส้โดยเรียกแอนติบอดีมาต่อต้านเอนไซม์และของต่อมไทรอยด์และโปรตีน หัวใจวาย----การอักเสบเรื้อรังก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย----cytokines ที่ก่อการอักเสบจำกัด การไหลเวียนและก่อความเสียหายต่อ nephrons และท่อไต โรคลูปัส พุ่มพวง SLE---- cytokines ที่ก่ออักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง Multiple Sclerosis ----cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลิน myelin โรคระบบประสาท---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับไมอีลินและหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งทำให้ระคายเคืองเส้นประสาท ตับอ่อนอักเสบ---- cytokinesที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ตับอ่อน โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis ----การอักเสบเรื้อรังของลำไส้และตับล้างพิษได้ไม่เต็มความสามารถ ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนเหตุอักเสบเรื้อรัง Polymyalgia rheumatic PMR ----cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์---- cytokines ที่ก่อการอักเสบทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองกับข้อต่อ โรคหนังแข็ง scleroderma---- cytokines ที่ก่อการอักเสบเหนี่ยวนำให้ autoimmune เกิดการโจมตีกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคหลอดเลือดสมอง----การอักเสบเรื้อรังส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำไมการอักเสบจะต้องอยู่ที่รากเหง้าของปัญหา ความจริงที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขับเคลื่อนกระบวนการอักเสบในโรคต่างๆเป็นที่ยอมรับกันมานาน แต่น่าเสียดายที่การแพทย์ตะวันตกมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการจัดการหรือการเอาชนะกระบวนการของภูมิต้านทานน้อยเกินไป วิธีการโดยทั่วไปในการรักษาคือการปราบปรามการตอบสนองของภูมิคุ้มกันด้วยยาปราบภูมิคุ้มกันหรือบางครั้งก็สเตียรอยด์ วิธีการทั้งสองได้รับการออกแบบเพื่อลดการอักเสบ แต่ไม่ได้หยุดกระบวนการของโรคประจำตัวหรือช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการกู้คืน ถ้าคุณปิดกั้นสาเหตุที่แท้จริงของการก่อโรค (การอักเสบ) ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือการหยุดการทำลายเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายและปล่อยให้ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ใหม่ที่ไม่ก่อการอักเสบ การเชื่อมโยงระหว่างการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้และโรคทั้งหลายที่มาจากการอักเสบ คำว่าการอักเสบมักจะไม่ค่อยทำให้ใครหลายคนนึกเห็นภาพที่ถูกต้องอย่างแท้จริงในใจของพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะประสบกับมันจริงๆ จากนั้นก็จะเริ่มทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ จะเห็นได้ว่าหลายโรคที่เกิดจากการอักเสบและสร้างความทุกข์ทรมาน มันมาจากลำไส้ แต่การรักษาทั่วไปไม่นำเสนอประเด็นนี้.. Dr. Maios Hadjivassiliou แห่งอังกฤษ- ผู้ค้นพบกลูแตน-ได้รายงานใน The Lancet ว่า"ความไวต่อกลูแตนสามารถเป็นหลักในการวินิจฉัยเบื้องต้นและในบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาท" ซึ่งหมายความว่าคนที่ไวต่อกลูแตนจะมีปัญหากับการทำงานของสมองแม้จะไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารแต่อย่างใด ดร. Hadjivassiliou แสดงให้เห็นว่าแอนติบอดี้จะเกิดขึ้นในร่างกายเมื่อพวกเขามีความไวต่อกลูแตนและสามารถส่งความเป็นพิษเข้าสู่สมองได้โดยตรง สำหรับสิ่งนี้การทดสอบพิเศษจึงถูกพัฒนาขึ้น ผู้เขียนอีกคนที่ตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Pediatrics กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าความแปรปรวนของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นในโรคแพ้กลูแตนขยายวงกว้างกว่ารายงานที่มีก่อนหน้านี้และรวมถึงความผิดปกติของระบบประสาทรวมทั้งอาการปวดหัวเรื้อรัง พัฒนาการล่าช้า hypotonia(ความตึงตัวของกล้ามเนื้อต่ำ) และความผิดปกติของการเรียนรู้หรือ ADHD " เห็นได้ชัดว่าเราควรจะขยายเกณฑ์การประเมินของเราและบางทีความหมายของโรคเมื่อผู้ป่วยมีอาการไม่เหมาะสมกับการวินิจฉัยตามกรอบทางคลินิกทั่วไป วิธีการประเมินโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบโดยทั่วไปผ่านมาจากลำไส้ซึ่งมันควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของตรรกะในขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยใด ๆ มี 7 พื้นที่ที่ควรพิจารณาเพื่อมองไปที่ปัจจัยอันก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมสำหรับการอักเสบเรื้อรัง รายการด้านล่างนี้เป็นส่วนสำคัญในหมวดหมู่ของของอาหารและการประเมินอื่น ๆ : อาหาร: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลูแตน เคซีน อาหารแปรรูป น้ำตาล นม เห็ด ผลไม้หวานไขมันโอเมก้า 6 ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วน ยา: Corticosteroids ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด สารแปลกปลอม(ผงปรุสรส สารให้ความหวานเทียม และอื่น ๆ ) การติดเชื้อ: เช่น H-Pylori ยีสต์ หรือแบคทีเรียมากเกินขนาด ไวรัสหรือการติดเชื้อปรสิต ความเครียด :เพิ่มฮอร์โมน Cortisol และ catecholamines ฮอร์โมน : ไทรอยด์ โพรเจสเตอโรน เอสโตรเจน เทสโทสเทอโรน ระบบประสาท : สมองบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดสมอง ประสาทเสื่อม เมตาบอลิก: Glycosylated End Products (ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ก่อการอักเสบจากการเผาผลาญน้ำตาล) ลำไส้อักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจากการอักเสบและโรคภูมิต้านทาน ความจริงของสถานการณ์นี้ล้วนมาจากอาหาร-การซึมผ่านในลำไส้ที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงว่าคุณจะสามารถจะรู้สึกได้หรือไม่มักจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเติบโตของเงื่อนไขที่ก่อโรคต่าง ๆ รายการที่กล่าวมาด้านบน (อาหาร ยา การติดเชื้อ ความเครียดฮอร์โมน ระบบประสาทหรือการเผาผลาญ) สามารถทำลายการซึมผ่านของลำไส้ ก่อการอักเสบและสุดท้ายช่วยให้กลไกของลำไส้รั่วเริ่มต้น Autoimmunity (การไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของตนเอง) สามารถปรับเปลี่ยนได้และจะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งรวมทั้งให้ชีวิตที่ดีขึ้นถ้าวิถีชีวิตเปลี่ยน มันเคยเชื่อกันว่า "รักษาไม่หาย" แต่มันไม่จริงด้วยความรู้ที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ถ้าใครกำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคที่กล่าวมาแล้ว แนะนำให้ระงับเหตุ ก่อนที่สารเคมีหรือยาใด ๆ ซึ่งไม่ใช่ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่เริ่มต้นจะเล่นงานคุณ อาหารต้านการอักเสบที่ดี อาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และเครื่องเทศ มีสารต้านการอักเสบและอาจช่วยลดการอักเสบได้ อาหารต้านการอักเสบที่ดีที่สุด ได้แก่: • เบอร์รี่ • ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 • บรอกโคลี • อะโวคาโด • ชาเขียว • พริก • ขมิ้น • น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ • ช็อกโกแลตดำและโกโก้ • มะเขือเทศ • เชอร์รี่ เบอร์รี่ เบอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ มีมากมายหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่พบมากที่สุด ได้แก่: • สตรอว์เบอร์รี่ • บลูเบอร์รี่ • ราสเบอร์รี • แบล็กเบอร์รี่ เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน สารเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ บทวิจารณ์การวิจัยในปี 2018 แสดงให้เห็นว่าไฟโตเคมีคัลที่พบในผลเบอร์รี่อาจช่วยชะลอการพัฒนาและการลุกลามของมะเร็ง แม้ว่าจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม แต่ไฟโตเคมีคัลอาจเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันบำบัด ร่างกายของคุณสร้างเซลล์ NK ตามธรรมชาติ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง ในการศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง พบว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินซึ่งกิน สตรอเบอร์รี่มีระดับของเครื่องหมายการอักเสบเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน ปลาที่มีไขมันโอเมก้า3 ปลาที่มีไขมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 สายยาว เช่น กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) แม้ว่าปลาทุกชนิดจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่บ้าง แต่ปลาที่มีไขมันเหล่านี้ก็เป็นแหล่งที่ดีที่สุด: • ปลาแซลมอน • ปลาซาร์ดีน • ปลาแมกเคอเรล • ปลาสวาย EPA และ DHA ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เช่น : • กลุ่มอาการเมตาบอลิก • โรคหัวใจ • โรคเบาหวาน • โรคไต ร่างกายของคุณเผาผลาญกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารประกอบที่เรียกว่าเรโซลวินและโปรเทกติน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานปลาแซลมอนหรืออาหารเสริม EPA และ DHA มีปริมาณโปรตีนซีรีแอคทีฟ (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งรับประทาน EPA และ DHA ทุกวันไม่พบความแตกต่างในตัวบ่งชี้การอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก บร็อคโคลี บร็อคโคลีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นผักตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำบรัสเซลส์ และคะน้า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งที่ลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลต้านการอักเสบของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักเหล่านั้น บร็อคโคลีอุดมไปด้วยซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดการอักเสบโดยลดระดับไซโตไคน์และแฟกเตอร์นิวเคลียร์แคปปาบี (NF-κB) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกายของคุณ อะโวคาโด มีโพแทสเซียม แมกนีเซียม ไฟเบอร์ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ ยังมีแคโรทีนอยด์และโทโคฟีรอล ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและโรคหัวใจที่ลดลง นอกจากนี้ สารประกอบชนิดหนึ่งในอะโวคาโดอาจช่วยลดการอักเสบในเซลล์ผิวหนังที่เพิ่งก่อตัวได้ ในการศึกษาคุณภาพสูงครั้งหนึ่งซึ่งทำการศึกษากับผู้ใหญ่ 51 คนที่มีน้ำหนักเกิน พบว่าผู้ที่รับประทานอะโวคาโดเป็นเวลา 12 สัปดาห์มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบอย่างอินเตอร์ลิวคิน 1 เบตา (IL-1β) และซีอาร์พี ลดลง ชาเขียว งานวิจัยพบว่าการดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ประโยชน์หลายประการของชาเขียวมาจากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate (EGCG) EGCG ยับยั้งการอักเสบโดยลดการผลิตไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่อกรดไขมันในเซลล์ของคุณ พริก พริกหยวกและพริกชี้ฟ้าอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างทรงพลัง พริกหยวกยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิตินซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน พริกมีกรดซินาปิกและกรดเฟอรูลิกซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ขมิ้น ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่มีรสชาติอบอุ่นและมีกลิ่นดิน มักใช้ในแกงและอาหารอื่นๆ ขมิ้นได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีสารเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีอาการเมตาบอลิกซินโดรมรับประทานเคอร์คูมิน 1 กรัมต่อวันร่วมกับไพเพอรีนจากพริกไทยดำ พบว่าระดับซีอาร์พี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้อาการอักเสบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การได้รับเคอร์คูมินจากขมิ้นเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผลชัดเจน การรับประทานอาหารเสริมที่มีเคอร์คูมินแยกเดี่ยวอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก อาหารเสริมเคอร์คูมินมักประกอบด้วยไพเพอรีน ซึ่งสามารถกระตุ้นการดูดซึมเคอร์คูมินได้ถึง 2,000% น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งที่คุณสามารถรับประทานได้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเป็นอาหารหลักในอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การศึกษาวิจัยแนะนำว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็งสมอง โรคอ้วน และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ได้ การวิจัยแนะนำว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนและการเสริมด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษสามารถลดตัวบ่งชี้การอักเสบได้อย่างมาก ผลของโอเลโอแคนธัล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในน้ำมันมะกอก ได้รับการเปรียบเทียบกับยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน โปรดจำไว้ว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบมากกว่าน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ช็อกโกแลตดำและโกโก้ ช็อกโกแลตดำมีรสชาติอร่อย เข้มข้น และน่าพอใจ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคและนำไปสู่การมีอายุยืนยาวขึ้น ฟลาโวนอลเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของช็อกโกแลต และช่วยให้เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดแดงแข็งแรง มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่น่าประทับใจ ไลโคปีนอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดสารประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด การปรุงมะเขือเทศในน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้คุณดูดซึมไลโคปีนได้มากขึ้น นั่นเป็นเพราะไลโคปีนเป็นแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ดีกว่าในแหล่งของไขมันและโปรดควักไส้มะเขือเทศทิ้งเมื่อประกอบอาหาร เชอร์รี่ เชอร์รี่มีรสชาติดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโธไซยานินและคาเทชิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบ แม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของเชอร์รี่เปรี้ยวมากกว่าพันธุ์อื่น แต่เชอร์รี่หวานก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน การศึกษาวิจัยในปี 2019 ที่ทำการศึกษาผู้สูงอายุ 37 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ต 16 ออนซ์ (480 มล.) ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่งพบว่าน้ำเชอร์รี่ทาร์ตไม่มีผลต่อการอักเสบในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาดื่มน้ำเชอร์รี่ทาร์ตทุกวันเป็นเวลา 30 วัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ ถ้าอักเสบจากน้ำตาลและผลไม้หรือแอลกอฮอล์: K cal ถ้าอักเสบในลำไส้จากการกินเห็ดและยีสต์: Paa vill,Synbc ถ้าอักเสบจากการกินของปิ้งย่างหรือน้ำมันโอเมก้า 6:Paa super h ถ้าเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ:Glube,Whole c ถ้าอักเสบจากการใช้งานร่างกายหรืออวัยวะมากเกินไป:ชาขิงขมิ้น ถ้าอักเสบในดวงตาและระบบสืบพันธุ์:Glap ถ้าอักเสบในหลอดเลือด: โกโก้ป๋า ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซันเวย์ปั้นมิกซ์ยูสยะโฮร์ สถานี RTS Link เชื่อมสิงคโปร์

    โครงการก่อสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างยะโฮร์-สิงคโปร์ หรือ อาร์ทีเอส ลิงก์ (RTS Link) ระยะทาง 4 กิโลเมตร ลงทุนร่วมกันระหว่าง เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ประเทศมาเลเซีย กับเอสเอ็มอาร์ที คอร์ปอเรชัน ผู้ให้บริการรถไฟประเทศสิงคโปร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2564 เชื่อมระหว่างสถานีบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) ฝั่งมาเลเซีย และสถานีวูดแลนด์นอร์ธ (Woodlands North) ฝั่งสิงคโปร์ เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายทอมสัน-อีสต์โคสต์ มีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2570

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. เอ็มอาร์ที คอร์ป ได้ลงนามสัญญากับซันเวย์ กรุ๊ป (Sunway Group) พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสย่านสถานีบูกิตชาการ์ มูลค่า 2,600 ล้านริงกิต ประกอบด้วยที่พักอาศัย ศูนย์การค้า โรงแรม ศูนย์การศึกษา และศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่ 4.23 เอเคอร์ พร้อมอาคารจอดรถยนต์ 1,550 คัน และจักรยานยนต์ 1,015 คัน รองรับการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี คาดว่าจะเปิดอาคารจอดรถในเดือน พ.ย. 2569 ส่วนโครงการเฟสแรกเปิดให้บริการในปี 2576

    สำหรับซันเวย์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ประกอบธุรกิจหลากหลายกว่า 13 ประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง การศึกษา โรงแรม การแพทย์ ศูนย์การค้า ธีมพาร์ค ดิจิทัล ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนและการเงิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย และเหมืองหิน อีกทั้งยังลงทุนในหลายประเทศ โดยประเทศไทยได้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์การขนส่งทางอุตสาหกรรม เช่น สายยางไฮโดรลิก สายยางอุตสาหกรรม และเครื่องบีบสาย

    สำหรับรัฐยะโฮร์ กลุ่มซันเวย์ กรุ๊ปลงทุนทั้งธุรกิจก่อสร้าง เหมืองหิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย การศึกษา รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการซันเวย์ ซิตี้ อิสกันดาร์ ปูเตรี (Sunway City Iskandar Puteri) บนพื้นที่ 2,000 เอเคอร์ ที่ประกอบด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์กีฬา โรงเรียนนานาชาติ และโรงแรม

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. รัฐบาลมาเลเซียและสิงคโปร์ลงนามเปิดตัวเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก ครอบคลุมพื้นที่ 3,571 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 9 โซนเศรษฐกิจ รองรับ 11 ภาคอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โลจิสติกส์ ความมั่นคงด้านอาหาร การท่องเที่ยว พลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว บริการทางการเงิน บริการทางธุรกิจ การศึกษา และสุขภาพ โดยตั้งเป้าหมาย 50 โครงการใน 5 ปีแรกและ 100 โครงการในอีก 10 ปีข้างหน้า

    #Newskit
    ซันเวย์ปั้นมิกซ์ยูสยะโฮร์ สถานี RTS Link เชื่อมสิงคโปร์ โครงการก่อสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างยะโฮร์-สิงคโปร์ หรือ อาร์ทีเอส ลิงก์ (RTS Link) ระยะทาง 4 กิโลเมตร ลงทุนร่วมกันระหว่าง เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ประเทศมาเลเซีย กับเอสเอ็มอาร์ที คอร์ปอเรชัน ผู้ให้บริการรถไฟประเทศสิงคโปร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2564 เชื่อมระหว่างสถานีบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) ฝั่งมาเลเซีย และสถานีวูดแลนด์นอร์ธ (Woodlands North) ฝั่งสิงคโปร์ เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายทอมสัน-อีสต์โคสต์ มีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2570 ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. เอ็มอาร์ที คอร์ป ได้ลงนามสัญญากับซันเวย์ กรุ๊ป (Sunway Group) พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสย่านสถานีบูกิตชาการ์ มูลค่า 2,600 ล้านริงกิต ประกอบด้วยที่พักอาศัย ศูนย์การค้า โรงแรม ศูนย์การศึกษา และศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่ 4.23 เอเคอร์ พร้อมอาคารจอดรถยนต์ 1,550 คัน และจักรยานยนต์ 1,015 คัน รองรับการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี คาดว่าจะเปิดอาคารจอดรถในเดือน พ.ย. 2569 ส่วนโครงการเฟสแรกเปิดให้บริการในปี 2576 สำหรับซันเวย์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ประกอบธุรกิจหลากหลายกว่า 13 ประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง การศึกษา โรงแรม การแพทย์ ศูนย์การค้า ธีมพาร์ค ดิจิทัล ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนและการเงิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย และเหมืองหิน อีกทั้งยังลงทุนในหลายประเทศ โดยประเทศไทยได้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์การขนส่งทางอุตสาหกรรม เช่น สายยางไฮโดรลิก สายยางอุตสาหกรรม และเครื่องบีบสาย สำหรับรัฐยะโฮร์ กลุ่มซันเวย์ กรุ๊ปลงทุนทั้งธุรกิจก่อสร้าง เหมืองหิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย การศึกษา รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการซันเวย์ ซิตี้ อิสกันดาร์ ปูเตรี (Sunway City Iskandar Puteri) บนพื้นที่ 2,000 เอเคอร์ ที่ประกอบด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์กีฬา โรงเรียนนานาชาติ และโรงแรม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. รัฐบาลมาเลเซียและสิงคโปร์ลงนามเปิดตัวเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก ครอบคลุมพื้นที่ 3,571 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 9 โซนเศรษฐกิจ รองรับ 11 ภาคอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โลจิสติกส์ ความมั่นคงด้านอาหาร การท่องเที่ยว พลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว บริการทางการเงิน บริการทางธุรกิจ การศึกษา และสุขภาพ โดยตั้งเป้าหมาย 50 โครงการใน 5 ปีแรกและ 100 โครงการในอีก 10 ปีข้างหน้า #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เผยถึงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา มีพยานบางคนกลับคำ ให้ข้อมูลอ้างวันที่ 24 ก.พ. 2565 วันที่แตงโมเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 25 ก.พ. คุณปอได้โทรศัพท์ไปหาคนหนึ่ง อ้างว่าคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน คงไม่โทรไปสวัสดีหรือถามว่าสบายดีไหม ที่สำคัญมีการอ้างว่า นายพีระพันธุ์โทรกลับหาคุณปอ โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พูดว่ามีกลุ่มคนเครือข่ายต่างๆ เป็น ร้อยคน เกี่ยวข้องกับเรื่องของแตงโม และมีอยู่เยอะในจำนวน 100-200 คน ที่พยายามยืนบนพื้นฐานว่าแตงโมตกน้ำตาย และมีผู้ใหญ่ดีเอสไอคนหนึ่ง ข่มขู่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เป็นลูกน้องของนพ.วรวีร์ วัยวุฒิ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำนองว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนคนที่ไปรับโทรศัพท์ของแตงโม เหมือนกับไม่อยากให้เปิดเผยข้อมูลในโทรศัพท์แตงโม ซึ่งตอนที่นายปานเทพไปยื่นหนังสือร้องเรียนดีเอสไอ มีที่ปรึกษาของ รมว.ยุติธรรม คนหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตอัยการและเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของภาคเอกชนรายใหญ่ พูดในเชิงว่า “ไม่ต้องร้องเรียน มาร้องเรียนทำไม มันจบไปแล้ว” เหมือนกับไม่อยากให้ดีเอสไอรับเรื่อง 

    -มั่นใจ"บิ๊กโจ๊ก"ปล่อยคลิป
    -จับตาแก้ รธน.ได้ไปต่อ?
    -ขอโควตาพิเศษแก้เกม
    -จ่อตัดไฟชายแดนกัมพูชา
    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เผยถึงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา มีพยานบางคนกลับคำ ให้ข้อมูลอ้างวันที่ 24 ก.พ. 2565 วันที่แตงโมเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 25 ก.พ. คุณปอได้โทรศัพท์ไปหาคนหนึ่ง อ้างว่าคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน คงไม่โทรไปสวัสดีหรือถามว่าสบายดีไหม ที่สำคัญมีการอ้างว่า นายพีระพันธุ์โทรกลับหาคุณปอ โดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พูดว่ามีกลุ่มคนเครือข่ายต่างๆ เป็น ร้อยคน เกี่ยวข้องกับเรื่องของแตงโม และมีอยู่เยอะในจำนวน 100-200 คน ที่พยายามยืนบนพื้นฐานว่าแตงโมตกน้ำตาย และมีผู้ใหญ่ดีเอสไอคนหนึ่ง ข่มขู่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เป็นลูกน้องของนพ.วรวีร์ วัยวุฒิ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำนองว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนคนที่ไปรับโทรศัพท์ของแตงโม เหมือนกับไม่อยากให้เปิดเผยข้อมูลในโทรศัพท์แตงโม ซึ่งตอนที่นายปานเทพไปยื่นหนังสือร้องเรียนดีเอสไอ มีที่ปรึกษาของ รมว.ยุติธรรม คนหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตอัยการและเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของภาคเอกชนรายใหญ่ พูดในเชิงว่า “ไม่ต้องร้องเรียน มาร้องเรียนทำไม มันจบไปแล้ว” เหมือนกับไม่อยากให้ดีเอสไอรับเรื่อง  -มั่นใจ"บิ๊กโจ๊ก"ปล่อยคลิป -จับตาแก้ รธน.ได้ไปต่อ? -ขอโควตาพิเศษแก้เกม -จ่อตัดไฟชายแดนกัมพูชา
    Like
    Love
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 44 0 รีวิว
  • #ถุงใต้ตา

    เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ

    ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ

    มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่:

    • ริ้วรอยก่อนวัย

    • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม

    • นอนไม่หลับ

    • ภูมิแพ้

    • สูบบุหรี่

    • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว

    • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์

    คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ

    1.ใช้ถุงชา

    คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา

    คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020

    วิธีลองทำ:

    • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที

    • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที

    2. ใช้ผ้าเย็นประคบ

    คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา

    แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน

    วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่

    • ช้อนชาแช่เย็น

    • แตงกวาแช่เย็น

    • ผ้าเช็ดตัวเปียก

    • ถุงผักแช่แข็ง

    ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว

    3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน

    ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง:

    • อายุ

    • ระดับการออกกำลังกาย

    • สภาพอากาศ

    • เพศ

    • การตั้งครรภ์

    4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ

    คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง:

    • สิว

    • โรคสะเก็ดเงิน

    • การแก่ก่อนวัย

    ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว

    เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง

    โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า

    หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม

    5.ล้างหน้าก่อนนอน

    การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า

    หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ:

    • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง

    • เกิดอาการแพ้

    • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ

    เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้

    6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น

    เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย

    การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ

    อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น

    แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่:

    • มะนาว

    • พริกแดง

    • ผักคะน้า

    • กะหล่ำ

    • บรอกโคลี

    • สตรอว์เบอร์รี่

    7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น

    โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่:

    • อ่อนเพลียอย่างมาก

    • มือและเท้าเย็น

    • เล็บเปราะ

    แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง

    อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่:

    • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก

    • อาหารทะเล

    • ถั่ว

    • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม

    • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ

    • ถั่ว

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Glap
    Paa super h
    Whole c
    K cal
    Prink

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #ถุงใต้ตา เกิดขึ้นได้เมื่อคุณอายุมากขึ้น แต่ถ้าคุณอายุยังน้อยหมายถึงคุณใช้ดวงตาแต่ไม่ได้ให้สารอาหารที่ดวงตาต้องการ ร่างกายเลยต้องสร้างน้ำมาหล่อเย็นดวงตา จากนั้นเนื้อเยื่อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง รวมถึงกล้ามเนื้อบางส่วนที่รองรับเปลือกตาของคุณด้วย ไขมันที่ช่วยพยุงดวงตาสามารถเคลื่อนเข้าสู่เปลือกตาล่างทำให้เกิดอาการบวม ของเหลวอาจสะสมอยู่ใต้ดวงตาของคุณ ถุงน้ำใต้ตามักเป็นปัญหาด้านความงามและไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง การเยียวยาที่บ้าน เช่น การประคบเย็นและการให้สารอาหารที่ถูกต้องแก่ดวงตา สามารถช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ของพวกเขาได้สำหรับอาการบวมใต้ตาที่เรื้อรังหรือน่ารำคาญ มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดหรือทำให้ผลกระทบนี้แย่ลง ได้แก่: • ริ้วรอยก่อนวัย • การกักเก็บของเหลว โดยเฉพาะเมื่อตื่นหรือหลังอาหารรสเค็ม • นอนไม่หลับ • ภูมิแพ้ • สูบบุหรี่ • พันธุศาสตร์ — ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้ในครอบครัว • สภาวะทางการแพทย์ เช่น กรดไหลย้อน โรคผิวหนังอักเสบ โรคไต และโรคตาของต่อมไทรอยด์ คุณอาจลดการเกิดถุงใต้ตาได้ในระยะยาวด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น นอนหลับให้เพียงพอและดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.ใช้ถุงชา คุณสามารถใช้ถุงชาที่มีคาเฟอีนใต้ตาเพื่อช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา คาเฟอีนในชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ผิวหนังของคุณ นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าปกป้องจากรังสียูวีและอาจชะลอการแก่ก่อนวัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ตามการทบทวนงานวิจัยในปี 2020 วิธีลองทำ: • แช่ถุงชาที่ที่คุณดื่มแล้วไว้ในตู้เย็นเป็นเวลา 20 นาที • จากนั้นบีบของเหลวส่วนเกินออกแล้วนำไปประคบบริเวณใต้ตาเป็นเวลา15 ถึง 30 นาที 2. ใช้ผ้าเย็นประคบ คุณอาจพบการบรรเทาถุงใต้ตาได้ด้วยการประคบเย็น การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการอาจช่วยให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทา แม้ว่าคุณจะซื้อผ้าเย็นประคบได้จากร้านค้า แต่คุณสามารถทำเองได้โดยใช้เทคนิคนี้ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน วิธีทำด้วยตัวเอง ได้แก่ • ช้อนชาแช่เย็น • แตงกวาแช่เย็น • ผ้าเช็ดตัวเปียก • ถุงผักแช่แข็ง ก่อนประคบ ให้ห่อผ้าด้วยผ้าเนื้อนุ่มเพื่อปกป้องผิวของคุณไม่ให้เย็นเกินไป คุณเพียงแค่ประคบผ้าเป็นเวลาไม่กี่นาทีก็เห็นผลแล้ว 3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ การขาดน้ำสามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ ผู้คนทั่วโลกเกือบครึ่งหนึ่งดื่มน้ำไม่ตรงตามคำแนะนำในแต่ละวัน ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ คำแนะนำมีตั้งแต่ 6 ถึง 12 แก้ว และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึง: • อายุ • ระดับการออกกำลังกาย • สภาพอากาศ • เพศ • การตั้งครรภ์ 4.เพิ่มครีมเรตินอลในกิจวัตรประจำวันของคุณ คุณอาจเคยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตามาก่อน แต่การเน้นที่ส่วนผสมเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญ ครีมเรตินอลถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังต่างๆ รวมถึง: • สิว • โรคสะเก็ดเงิน • การแก่ก่อนวัย ส่วนผสมนี้เกี่ยวข้องกับวิตามินเอ และมีอยู่ในรูปแบบครีม เจล หรือของเหลว เมื่อทาลงบนผิวหนัง เรตินอลสามารถช่วยลดอาการขาดคอลลาเจนได้ ความเข้มข้นของเรตินอลอาจแตกต่างกันไปในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แต่ครีมที่เข้มข้นกว่านี้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนัง โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาเรตินอลบนผิวหนังวันละครั้ง ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากล้างหน้า หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมเรตินอลและวิตามินเอเสริม 5.ล้างหน้าก่อนนอน การปรับปรุงกิจวัตรประจำวันในตอนกลางคืนอาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงถุงใต้ตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล้างหน้าก่อนนอนทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณแต่งหน้า หากคุณนอนหลับโดยที่มาสคาร่าหรือเครื่องสำอางอื่นๆ อยู่บนดวงตา คุณอาจ: • ทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง • เกิดอาการแพ้ • เกิดการติดเชื้อที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ อาการบวม หรืออาการอื่นๆ เมื่อคุณนอนหลับโดยที่ยังคงแต่งหน้าอยู่ ผิวของคุณสัมผัสกับอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเครียดออกซิเดชัน ซึ่งอาจทำให้ผิวของคุณแสดงสัญญาณของการแก่ก่อนวัยได้ 6.รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงมากขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่รองรับเปลือกตาจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่าผิวหนังของคุณอาจเริ่มหย่อนคล้อย ซึ่งรวมถึงไขมันที่โดยปกติจะอยู่รอบดวงตาด้วย การรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมกรดไฮยาลูโรนิกได้มากขึ้น กรดที่จำเป็นนี้พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ปริมาณที่สะสมจะลดลงตามอายุ อาหารที่มีวิตามินซีและกรดอะมิโนในปริมาณสูงยังช่วยในการผลิตคอลลาเจนได้ด้วยการเพิ่มระดับกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น แหล่งที่ดีของวิตามินซี ได้แก่: • มะนาว • พริกแดง • ผักคะน้า • กะหล่ำ • บรอกโคลี • สตรอว์เบอร์รี่ 7.กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงให้มากขึ้น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เลือดขาดเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เหล่านี้จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและผิวซีดได้ อาการอื่นๆ ได้แก่: • อ่อนเพลียอย่างมาก • มือและเท้าเย็น • เล็บเปราะ แพทย์สามารถตรวจหาโรคโลหิตจางได้ด้วยการตรวจเลือด แพทย์อาจแนะนำให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากขึ้นหรือทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเพื่อเพิ่มระดับธาตุเหล็กในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่: • เนื้อแดง เนื้อหมู ตับ เครื่องในสัตว์และสัตว์ปีก • อาหารทะเล • ถั่ว • ผักใบเขียว เช่น คะน้าและผักโขม • ลูกเกด แอปริคอต และผลไม้แห้งอื่นๆ • ถั่ว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Glap Paa super h Whole c K cal Prink ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis)

    ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก

    ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์

    ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1

    จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล

    ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้)

    biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้

    “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย

    ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา

    โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย

    เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป

    การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน

    ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี

    เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้

    อาการ

    • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย

    • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้

    • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง

    การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน

    รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด

    รับประทาน synbc 5 ซองทันที

    วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ

    รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ

    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

    น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์

    ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Synbc

    Cr. Santi Manadee
    #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis) ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1 จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้) biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้ “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ อาการ • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด รับประทาน synbc 5 ซองทันที วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์ ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Synbc Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts