• ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ

    หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง

    โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย

    ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

    หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน

    การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว

    จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง

    เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน

    การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น
    ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน

    การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ

    ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี

    https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้พบปะกับบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ รวมถึงแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ปักกิ่งกำลังพยายามฟื้นฟูธุรกิจเอกชนและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สีจิ้นผิงได้กล่าว "สุนทรพจน์สำคัญ" ในงานประชุมที่จัดขึ้นในเมืองหลวงของจีน หลังจากรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนธุรกิจ ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ CCTV ของรัฐ หม่าได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงร่วมกับโรบิน เจิ้ง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ และหวาง ซิง หัวหน้าบริษัท Meituan ซึ่งสื่อของรัฐรายงานนั้นว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei และเล่ย จุน หัวหน้าบริษัท Xiaomi ได้กล่าวปราศรัยต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง โพนี่ หม่า หัวหน้าบริษัท Tencent และหวาง ชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และหวาง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหุ่นยนต์ Unitree เข้าร่วมงานด้วย ปักกิ่งได้พยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนและเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากดำเนินแคมเปญมาหลายปีเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ หม่าเป็นเหยื่อรายสำคัญที่สุดในการปราบปรามเทคโนโลยีของปักกิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาแทรกแซงอย่างดุเดือดในช่วงปลายปี 2020 เพื่อยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกของ Ant Financial Group ตามแผน การที่หม่าเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันจันทร์ถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์จากปักกิ่งเพื่อยืนยันทัศนคติเชิงบวกมากขึ้นต่อภาคเอกชน นักวิเคราะห์กล่าว จาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวในการประชุมที่สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินแห่งเอเชียในฮ่องกง เธอเสริมว่ารัฐบาลต้องการ "สร้างความเชื่อมั่น" ให้กับบริษัทจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอกชน ขณะที่ผู้บริหารต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกกล่าวหาและการกักขังหลายครั้งโดยหน่วยงานท้องถิ่น ในอดีต สี จิ้นผิงเคยใช้การประชุมกับผู้นำธุรกิจเพื่อสัญญาว่าจะลดหย่อนภาษีและให้โอกาสกับรัฐวิสาหกิจอย่างเท่าเทียมกัน การเกิดขึ้นของโมเดลปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัยจากสตาร์ทอัพ DeepSeek ช่วยกระตุ้นความสนใจในเทคโนโลยีของจีนอีกครั้ง และจุดประกายให้ตลาดกระทิงเป็นดัชนีอ้างอิงหลักของหุ้นเทคโนโลยีของประเทศ ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 30 แห่งที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนตอบรับต่อความก้าวหน้าของ DeepSeek และข้อความเชิงบวกของปักกิ่งต่อภาคเทคโนโลยี https://www.ft.com/content/ac8da614-6bd4-4328-a522-a1712986d73f
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ:

    ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง**
    - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่
    - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ")
    - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
    - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง)
    - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition)

    ### 2. **แนวโน้มสำคัญ**
    - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly)
    - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม
    - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore"
    - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม

    ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม**
    - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS)
    - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย

    ### 4. **ความท้าทายทางสังคม**
    - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง
    - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม
    - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน

    ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข**
    - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ
    - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology
    - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育)

    ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น**
    - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030
    - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ
    - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์

    ### สรุป
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    การเปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหารของประชากรโลกส่งผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ต่อไปนี้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ: ### 1. **ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง** - **ความเป็นเมืองและไลฟ์สไตล์เร่งด่วน**: นำไปสู่การบริโภคอาหารแปรรูปสูง อาหารสำเร็จรูป และบริการเดลิเวอรี่ - **การเติบโตทางเศรษฐกิจ**: ในประเทศกำลังพัฒนา ความต้องการเนื้อสัตว์และนมเพิ่มขึ้นตามรายได้ (เรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการ") - **ความตระหนักด้านสุขภาพ**: โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น เบาหวาน กระตุ้นให้คนหันมาบริโภคพืชมากขึ้น ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว - **ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม**: การผลิตเนื้อสัตว์สร้างก๊าซเรือนกระจก 14.5% ของ全球排放 ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกโปรตีนทางเลือก (เช่น Plant-based meat, แมลง) - **นวัตกรรมเทคโนโลยี**: อาหารแล็บ (Cultured meat), แอปพลิเคชันติดตามโภชนาการส่วนบุคคล (Personalized nutrition) ### 2. **แนวโน้มสำคัญ** - **Plant-Based Movement**: ยอดขายอาหารจากพืชโตปีละ 15-20% (ข้อมูลจาก Beyond Meat และ Oatly) - **Functional Foods**: อาหารเสริมโปรไบโอติกหรือสารต้านอนุมูลอิสระได้รับความนิยม - **Local & Seasonal Eating**: เพื่อลด Carbon Footprint เช่น กระแส "Locavore" - **การฟื้นฟูอาหารดั้งเดิม**: อย่างอาหารเมดิเตอร์เรเนียนหรือญี่ปุ่นที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรม ### 3. **ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม** - **เชิงบวก**: หากลดการบริโภคเนื้อวัว全球ลง 50% อาจลดพื้นที่เกษตรกรรมได้ 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (อ้างอิงจาก PNAS) - **เชิงลบ**: การผลิตอัลมอนด์สำหรับนมพืชต้องการน้ำมาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่แห้งแล้งเช่นแคลิฟอร์เนีย ### 4. **ความท้าทายทางสังคม** - **ความเหลื่อมล้ำ**: อาหารสุขภาพมักมีราคาสูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่มรายได้สูง - **การสูญเสียวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น**: เยาวชนยุคใหม่หันไปบริโภค Fast Food แทนอาหารดั้งเดิม - **Greenwashing**: บริษัทบางแห่งใช้ฉลาก "ออร์แกนิก" หรือ "ยั่งยืน" โดยไม่มีการรับรองที่ชัดเจน ### 5. **นโยบายและแนวทางแก้ไข** - **ภาษีอาหารไม่สุขภาพ**: เช่น ภาษีน้ำตาลในเม็กซิโกและอังกฤษ - **ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน**: ตามแนวทาง FAO's Agroecology - **การศึกษาโภชนาการ**: หลักสูตรอาหารสุขภาพในโรงเรียน เช่น ญี่ปุ่นสอน "Shokuiku" (食育) ### 6. **อนาคตที่อาจเกิดขึ้น** - **อาหารจากเทคโนโลยีชีวภาพ**: เนื้อที่เพาะในแล็บ (Cultured Meat) อาจมีราคาถูกกว่าเนื้อธรรมดาภายในปี 2030 - **ระบบอาหารอัจฉริยะ**: AI วิเคราะห์ความต้องการสารอาหารส่วนบุคคลผ่านข้อมูลสุขภาพ - **กฎหมายอาหารใหม่**: เช่น สหภาพยุโรปอาจกำหนด Carbon Labeling บนบรรจุภัณฑ์ ### สรุป การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่ต้องจัดการกับความท้าทายอย่างรอบด้าน ทั้งการปรับตัวของผู้ผลิต การสนับสนุนนโยบายสาธารณะ และการสร้างความตระหนักของผู้บริโภคโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก:

    ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต**
    - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง
    - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก

    ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง**
    - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
    - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 3. **ตลาดการเงิน**
    - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน
    - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง
    - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ**
    - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์**
    - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
    - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน

    ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม**
    - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
    - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน**
    - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
    - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### สรุป
    การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก: ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต** - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง** - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน ### 3. **ตลาดการเงิน** - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ** - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์** - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน** - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### สรุป การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2. **นโยบายการเงินและการคลัง**
    - **อัตราดอกเบี้ย**: การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนและค่าเงิน
    - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและนโยบายภาษีสามารถกระตุ้นหรือชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    2. **นโยบายการเงินและการคลัง** - **อัตราดอกเบี้ย**: การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนและค่าเงิน - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและนโยบายภาษีสามารถกระตุ้นหรือชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก:

    ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต**
    - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง
    - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก

    ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง**
    - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
    - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 3. **ตลาดการเงิน**
    - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน
    - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง
    - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ**
    - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

    ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์**
    - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
    - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน

    ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม**
    - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
    - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน**
    - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
    - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

    ### สรุป
    การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การวิเคราะห์การเงินโลกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสถานะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ ตลาดการเงิน และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์การเงินโลก: ### 1. **เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการเติบโต** - **GDP โลก**: การเติบโตของ GDP โลกเป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวหรือการเติบโตที่ลดลงอาจส่งสัญญาณถึงปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การว่างงานที่เพิ่มขึ้นหรือการบริโภคที่ลดลง - **เศรษฐกิจหลัก**: เศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ### 2. **นโยบายการเงินและการคลัง** - **อัตราดอกเบี้ย**: ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น Federal Reserve (สหรัฐอเมริกา), European Central Bank (สหภาพยุโรป), และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก - **นโยบายการคลัง**: การใช้จ่ายของรัฐบาลและการเก็บภาษีมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุน ### 3. **ตลาดการเงิน** - **ตลาดหุ้น**: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ เช่น S&P 500, Dow Jones, และ Nikkei 225 เป็นตัวชี้วัดสำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจและการลงทุน - **ตลาดพันธบัตร**: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและความเสี่ยง - **ตลาดสกุลเงิน**: อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 4. **การค้าระหว่างประเทศ** - **ดุลการค้า**: การเกินดุลหรือขาดดุลการค้าของประเทศต่าง ๆ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - **ข้อตกลงการค้า**: ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น NAFTA, CPTPP, และ RCEP มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ### 5. **ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์** - **ความขัดแย้งระหว่างประเทศ**: ความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน - **ความมั่นคงทางพลังงาน**: ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกพลังงาน ### 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** - **เทคโนโลยีการเงิน (FinTech)**: การพัฒนาของเทคโนโลยีการเงิน เช่น บล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี มีผลกระทบต่อระบบการเงินโลก - **นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม**: การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, IoT, และรถยนต์ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### 7. **ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน** - **การระบาดของโรค**: การระบาดของโรค เช่น COVID-19 มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก - **การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ**: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ### สรุป การวิเคราะห์การเงินโลกต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน การเข้าใจแนวโน้มและความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา
    .
    ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10%
    .
    อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น
    .
    ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ
    .
    หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา
    .
    ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา
    .
    ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก
    .
    ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน
    .
    ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้
    .
    วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น
    .
    เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น
    .
    อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777
    ..................
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา . ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10% . อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย . นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น . ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ . หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา . ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา . ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก . ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน . ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้ . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา . มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้ . วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น . เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น . อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1313 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐ
    ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่
    ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา

    Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้)

    เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก)
    *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่

    ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า

    ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก
    ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว

    น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ

    อัตราผลตอบแทน
    ...................................
    วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน
    .........................................................
    จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ.
    ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก

    1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo)
    2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย
    3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม
    4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน
    5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ
    การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม

    PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2%
    ................................
    ไทย
    คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้
    สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566)
    - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่,
    เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป
    #เศรษฐกิจ

    สหรัฐ ทรัมป์ขู่ปูตินให้รีบยุติสงครามกับยูเครน ถ้าไม่ยุติจะคว่ำบาตรครั้งใหม่ ทรัมป์ 1.0 ไม่มีสงครามสู้รบ มีแต่ trade war ครั้งนี้มองว่าอาจจะเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเดินเกมเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐเพิ่ม เช่น ความต้องการพื้นที่ greenland คลองปานามา Elon แฉ stargate Masayoshi Son (ที่จะเป็นประธานโครงการ) ไม่มีเงินลงทุนสูงตามที่โครงการต้องการ (หุ้นเทสล่า -2% เมื่อคืน สวนกับหุ้นอื่นในกลุ่ม MEG 7 อาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ที่ยกเลิกคำสั่งใช้รถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน และอาจจะประเด็นการออกมาแฉครั้งนี้) เจมี่ ไดมอน ผู้บริหาร JP Morgan: มองราคาหุ้นสหรัฐสูงเกิน แม้พื้นฐานหุ้นจะยังดี ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังอยู่ เตือนว่าท้ายสุดราคาหุ้นอาจจะกลับไปสะท้อนมูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง (หุ้นตก) *ก่อนหน้านี้ เซียน Howard Mask, วอร์เรน ผ่าน เบิร์คไชน์ เตือนภาวะฟองสบู่ ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่า ทอง ราคาเพิ่มต่อ จากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ความเสี่ยงการเมืองของโลก ทองทะลุ $2720 มีโอกาสทดสอบ $2780, $2800 ถ้าผ่านเป้าทดสอบถัดไปคือ $3022/oz. แต่ต้องระวังปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อาจจะลดลงจากนโยบายทรัมป์ที่ต้องการลดความร้อนแรงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ดังนั้นปัจจัยสำคัญกับราคาทองคำจะโฟกัสที่การแข็งค่า-อ่อนค่าของดอลลาร์เป็นหลัก ทองไทย เพิ่มได้ไม่แรงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า รับ: 44,150, 44,000 บาท << 2 แนว, ต้าน: 44,450, 44,650 บาท << 2 แนว น้ำมัน ราคาลดลง รับแรงกดดันจากนโยบายทรัมป์ที่จะขยายการผลิตเพิ่มในสหรัฐ อัตราผลตอบแทน ................................... วันนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุม ลุ้นนโยบายดอกเบี้ย (ปีที่แล้วจขึ้นดอกเบี้ย เกิด black monday) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ จากค่าแรงงานขึ้นในทุกภาคส่วน ......................................................... จีน ตลาดเงิน ตลาดทุน หยุดตรุษจีน 28 มค. - 4 กพ. ช่วงก่อนเข้าวันหยุดยาว PBoC (ธนาคารกลางจีน) จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อดูแลสภาพคล่อง เนื่องจาก 1. ความต้องการเงินสดเพิ่ม คนจีนจะถอนเงินสดเพื่อใช้ในการเดินทาง ท่องเที่ยว ของขวัญ (อั่งเปา) (红包, hóngbāo) 2. ความต้องการเงินทุนจากบริษัทต่าง ๆ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานก่อนวันหยุดยาว และอาจจะต้องจ่ายคืนเงินกู้ (ล่วงหน้า) ก่อนจะหยุดยาวด้วย 3. สภาพคล่องธนาคารที่ตึง จากการถอนเงินสดที่เร่งตัวและการใช้จ่ายจากบริษัทเอกชน ทำให้สภาพคล่องของธนาคารมีภาวะตึง ทำให้ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของการดำเนินการและการให้กู้ยืม 4. ป้องกันความผันผวนในตลาดเงิน เนื่องจากถ้าเกิดภาวะสภาพคล่องหายไปจากระบบ อัตรากู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน (เช่น SHIBOR) อาจจะพุ่งแรงกระทบเสถียรภาพของตลาดเงิน 5. สนับสุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตรุษจีนเป็นเทศกาลหลักที่มียอดใช้จ่ายสูงและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ การดูแลภาพรวมสภาพคล่องของตลาดเงินจะช่วยสนับสนุนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโดยรวม PBoC เตรียมวงเงินให้บริษัทกู้ยืมเพื่อซื้อหุ้นคืน ตอนนี้มีบริษัทตอบรับร่วมโครงการมากกว่า 300 แห่ง มาร์เก็ตแคปรวมกว่า 10 พันล้านหยวน อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมโครงการนี้ ~2% ................................ ไทย คาดส่งออกเดือนธ.ค. $24,000 ล้าน +7.4% y/y (พย. ~$25,000 ล้าน) ส่วนส่งออกปี 2568 ถ้านโยบายทรัมป์ไม่กระทบแรงมาก มองส่งออกยังไปได้ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าไทย (~18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) ปี 67 ไทยส่งออกไปสหรัฐ $54,956.2 ล้าน // นำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็นอันดับ 4 (6% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด) $19,528.6 ล้าน ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้ากับสหรัฐ $35,427.6 ล้าน ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง ~5 ปี (2561-2566) - สินค้าไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงจนทำให้สหรัฐตกเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทย และมีความเสี่ยงถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้า ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, ไดโอด-ทรานซิสเตอร์/อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลส์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่, เครื่องพิมพ์ป้อนกระดาษเป็นม้วน, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, เครื่องปรับอากาศ, แผงวงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เพชร พลอย และรูปพรรณพร้อมส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้า, ตู้เย็น/ตู้แช่แข็ง, เฟอร์นิเจอร์, ผลิตภัณฑ์จากไม้, ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมของโกโก้ และสินค้าเกษตร/แปรรูป #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม
    .
    "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน
    .
    ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด"
    .
    โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย
    .
    ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม"
    .
    แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี
    .
    ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ
    .
    ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว
    .
    ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา . โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม . "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน . ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด" . โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย . ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ . ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม" . แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี . ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ . ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว . ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    16
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1446 มุมมอง 1 รีวิว
  • Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems

    โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา"

    โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง

    การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์

    https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    Intel Foundry ได้ประกาศการเข้าร่วมของลูกค้าใหม่ในโครงการ RAMP-C (Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Trusted & Assured Microelectronics (T&AM) ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยและวิศวกรรม (OUSD (R&E)) ลูกค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้แก่ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems โครงการ RAMP-C ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิต Intel 18A และการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับการผลิตต้นแบบและการผลิตในปริมาณมากของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และผลิตภัณฑ์สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ Kapil Wadhera รองประธานของ Intel Foundry และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มธุรกิจการบินและอวกาศ กลาโหม และรัฐบาล กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ Trusted Semiconductor Solutions และ Reliable MicroSystems เข้าร่วมโครงการ RAMP-C ความร่วมมือนี้จะช่วยขับเคลื่อนโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของประเทศ เราภูมิใจในบทบาทสำคัญของ Intel Foundry ในการสนับสนุนการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับลูกค้าใหม่ของเราเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Intel 18A ของเรา" โครงการ RAMP-C ได้รับความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2021 โดย Intel Foundry มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของโครงการ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา และการเตรียมลูกค้าสำหรับการทดสอบชิปต้นแบบ จนถึงการขยายฐานลูกค้าและการผลิตต้นแบบขั้นสูง การขยายการผลิต Intel 18A ช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วยแหล่งที่เชื่อถือได้และยั่งยืนของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดสำหรับอุปกรณ์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ https://www.techpowerup.com/331263/intel-foundry-adds-new-customers-to-ramp-c-project-for-us-defense
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Foundry Adds New Customers to RAMP-C Project for US Defense
    Intel Foundry has announced the onboarding of new defense industrial base (DIB) customers, Trusted Semiconductor Solutions and Reliable MicroSystems, as part of the third phase of the Rapid Assured Microelectronics Prototypes - Commercial (RAMP-C) efforts under the Trusted & Assured Microelectronics...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครไม่รู้จักเขา ค้นหาคำว่า "แอ็คมี่ วรวัฒน์ pantip"

    นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือที่รู้จักในชื่อ "แอ็คมี่" ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการคริปโตเคอร์เรนซีของไทย ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงการนำบิทคอยน์มาใช้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ พร้อมเปิดเผยแนวคิดสนับสนุนรัฐบาลผ่านการปล่อยกู้บิทคอยน์โดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อตอบรับกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลและเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับประเทศ

    ขณะเดียวกันทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คาดการณ์ราคาบิทคอยน์ อาจพุ่งถึง 850,000 ดอลลาร์ พร้อมตั้งภูเก็ตเป็น Sandbox ทดลองนำบิทคอยน์มาใช้ชำระเงิน เชื่อนโยบายคริปโตใหม่ของสหรัฐจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก

    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000120388
    https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000120326
    ใครไม่รู้จักเขา ค้นหาคำว่า "แอ็คมี่ วรวัฒน์ pantip" นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือที่รู้จักในชื่อ "แอ็คมี่" ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการคริปโตเคอร์เรนซีของไทย ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงการนำบิทคอยน์มาใช้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ พร้อมเปิดเผยแนวคิดสนับสนุนรัฐบาลผ่านการปล่อยกู้บิทคอยน์โดยไม่คิดดอกเบี้ย เพื่อตอบรับกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลและเสริมความมั่นคงทางการเงินให้กับประเทศ ขณะเดียวกันทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คาดการณ์ราคาบิทคอยน์ อาจพุ่งถึง 850,000 ดอลลาร์ พร้อมตั้งภูเก็ตเป็น Sandbox ทดลองนำบิทคอยน์มาใช้ชำระเงิน เชื่อนโยบายคริปโตใหม่ของสหรัฐจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000120388 https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000120326
    MGRONLINE.COM
    กระแสมาต้องรีบโหน "แอ็คมี่ วรวัฒน์" ซบอกทักษิณ ยื่นเสนอ ครม.ชงกู้บิทคอยน์ เป็นทุนสำรองเชิงกลยุทธ์เทียบสหรัฐ
    นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือที่รู้จักในชื่อ แอ็คมี่ ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการคริปโตเคอร์เรนซีของไทย ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงการนำบิทคอยน์มาใช้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ พร้อมเปิดเผยแนวคิดสนับสนุนรัฐบาลผ่านการปล่อยกู้บิทคอยน์โดยไม่คิดดอกเบี
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
    .
    ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    .
    การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม
    .
    "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี
    .
    สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว
    .
    เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย
    .
    จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740
    ..............
    Sondhi X
    สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ . ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด . การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม . "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี . สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว . เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง . ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ . ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย . จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 981 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม
    .
    ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที
    .
    เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย
    .
    สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง
    .
    เนรเทศครั้งใหญ่
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา
    .
    ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว
    .
    ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง
    .
    ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก”
    .
    เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง
    .
    ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า
    .
    อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427
    ..............
    Sondhi X
    “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย . ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม . ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที . เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา . เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย . สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง . เนรเทศครั้งใหญ่ . ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา . ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว . ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง . ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก” . เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง . ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า . อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟื้นทางรถไฟ สุไหงโก-ลกไปมาเลเซีย

    เมื่อวันก่อน นายฮัสบิ ฮาบิโบลเลาะห์ รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะศึกษาความต้องการในการฟื้นฟูทางรถไฟ ช่วงระหว่างด่านรันเตาปันจัง กับสถานีปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร และศึกษาความเป็นไปได้ในการกลับมาให้บริการรถไฟ จากสถานีรันเตาปันจัง ไปยังสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประเทศไทย โดยต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย

    สำหรับทางรถไฟที่เชื่อมต่อมาเลเซียกับไทย หยุดให้บริการผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2525 และหยุดให้บริการขนส่งสินค้าเมื่อปี 2549 เนื่องจากปัญหาความปลอดภัยและผลกระทบจากอุทกภัย นับแต่นั้นเป็นต้นมาเส้นทางรถไฟถูกปิดตาย โครงสร้างพื้นฐานรวมถึงสถานีรถไฟรันเตาปันจังอยู่ในสภาพทรุดโทรม จำเป็นต้องได้รับการบูรณะ บำรุงรักษา และยกระดับก่อนจะสามารถเปิดให้บริการอีกครั้ง

    ส่วนข้อเสนอของนางซาอิลาห์ โมห์ด ยูซอฟฟ์ ส.ส.เมืองรันเตาปันจัง เกี่ยวกับความจำเป็นในการฟื้นฟูทางรถไฟและการกลับมาให้บริการรถไฟจากรันเตาปันจังไปยังสุไหงโก-ลก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างมาเลเซียและไทย เติมเต็มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนนั้น รัฐบาลรับทราบข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นหนทางที่จะปรับปรุงการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและไทย หากโครงการนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเพิ่มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย

    นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งทะเลตะวันออก (ECRL) ไปยังสถานีปาซีร์มัส ของการรถไฟมาลายา (KTMB) ซึ่งจะทำให้ทางรถไฟ ECRL มีประสิทธิภาพที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจกับชายฝั่งทะเลตะวันตก นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกสำหรับขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างมาเลเซียกับไทยอีกด้วย

    เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 แหล่งข่าวจากตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทยรายหนึ่งเปิดเผยว่า การรถไฟฯ มีความพร้อมที่จะพัฒนาทางรถไฟเชื่อมไปยังฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยได้มีการพูดคุยกับการรถไฟมาลายา (KTMB) เป็นระยะ แต่โครงการจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมานับตั้งแต่หยุดการเดินรถ และฝั่งประเทศมาเลเซียเคยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ถึงบัดนี้ ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบสภาพทางรถไฟฝั่งประเทศมาเลเซียในปัจจุบันได้

    #Newskit
    ฟื้นทางรถไฟ สุไหงโก-ลกไปมาเลเซีย เมื่อวันก่อน นายฮัสบิ ฮาบิโบลเลาะห์ รมว.คมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมที่จะศึกษาความต้องการในการฟื้นฟูทางรถไฟ ช่วงระหว่างด่านรันเตาปันจัง กับสถานีปาซีร์มัส รัฐกลันตัน ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร และศึกษาความเป็นไปได้ในการกลับมาให้บริการรถไฟ จากสถานีรันเตาปันจัง ไปยังสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประเทศไทย โดยต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย สำหรับทางรถไฟที่เชื่อมต่อมาเลเซียกับไทย หยุดให้บริการผู้โดยสารตั้งแต่ปี 2525 และหยุดให้บริการขนส่งสินค้าเมื่อปี 2549 เนื่องจากปัญหาความปลอดภัยและผลกระทบจากอุทกภัย นับแต่นั้นเป็นต้นมาเส้นทางรถไฟถูกปิดตาย โครงสร้างพื้นฐานรวมถึงสถานีรถไฟรันเตาปันจังอยู่ในสภาพทรุดโทรม จำเป็นต้องได้รับการบูรณะ บำรุงรักษา และยกระดับก่อนจะสามารถเปิดให้บริการอีกครั้ง ส่วนข้อเสนอของนางซาอิลาห์ โมห์ด ยูซอฟฟ์ ส.ส.เมืองรันเตาปันจัง เกี่ยวกับความจำเป็นในการฟื้นฟูทางรถไฟและการกลับมาให้บริการรถไฟจากรันเตาปันจังไปยังสุไหงโก-ลก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างมาเลเซียและไทย เติมเต็มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนนั้น รัฐบาลรับทราบข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นหนทางที่จะปรับปรุงการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและไทย หากโครงการนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเพิ่มกิจกรรมการค้าในพื้นที่ชายแดนอีกด้วย นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายโครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งทะเลตะวันออก (ECRL) ไปยังสถานีปาซีร์มัส ของการรถไฟมาลายา (KTMB) ซึ่งจะทำให้ทางรถไฟ ECRL มีประสิทธิภาพที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย และช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจกับชายฝั่งทะเลตะวันตก นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกสำหรับขนส่งสินค้าและโดยสารระหว่างมาเลเซียกับไทยอีกด้วย เมื่อเดือน มิ.ย. 2567 แหล่งข่าวจากตัวแทนการรถไฟแห่งประเทศไทยรายหนึ่งเปิดเผยว่า การรถไฟฯ มีความพร้อมที่จะพัฒนาทางรถไฟเชื่อมไปยังฝั่งประเทศมาเลเซีย โดยได้มีการพูดคุยกับการรถไฟมาลายา (KTMB) เป็นระยะ แต่โครงการจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมานับตั้งแต่หยุดการเดินรถ และฝั่งประเทศมาเลเซียเคยเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ถึงบัดนี้ ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบสภาพทางรถไฟฝั่งประเทศมาเลเซียในปัจจุบันได้ #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## นักเศรษฐศาสตร์ฮาร์วาร์ด เปิดเผยความลับที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับ ประเทศจีน ในปี 2025 ##
    ..
    ..
    1. เศรษฐกิจของจีนในอนาคต

    การเติบโตทางเศรษฐกิจ : จีนคาดว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายภาคส่วน

    เทคโนโลยีและนวัตกรรม : การลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนา AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
    .
    2. บทบาทในเวทีโลก

    การขยายอิทธิพล : จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในเวทีโลก ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

    ความท้าทายทางการทูต : การเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง
    .
    3. ความท้าทายภายในประเทศ

    ความไม่เท่าเทียม : ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศยังคงเป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนต้องจัดการ

    สิ่งแวดล้อม : ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเร่งแก้ไข

    4. นโยบายและการปฏิรูป

    การปฏิรูปเศรษฐกิจ : จีนจะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาการเติบโตและความยั่งยืน

    นโยบายภายในประเทศ : รัฐบาลจีนต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=9O6a62Qqzwg
    ## นักเศรษฐศาสตร์ฮาร์วาร์ด เปิดเผยความลับที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับ ประเทศจีน ในปี 2025 ## .. .. 1. เศรษฐกิจของจีนในอนาคต การเติบโตทางเศรษฐกิจ : จีนคาดว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2025 โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายภาคส่วน เทคโนโลยีและนวัตกรรม : การลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนา AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ . 2. บทบาทในเวทีโลก การขยายอิทธิพล : จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในเวทีโลก ผ่านการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายทางการทูต : การเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง . 3. ความท้าทายภายในประเทศ ความไม่เท่าเทียม : ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศยังคงเป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนต้องจัดการ สิ่งแวดล้อม : ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเร่งแก้ไข 4. นโยบายและการปฏิรูป การปฏิรูปเศรษฐกิจ : จีนจะต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาการเติบโตและความยั่งยืน นโยบายภายในประเทศ : รัฐบาลจีนต้องมีนโยบายที่ชัดเจนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ . https://www.youtube.com/watch?v=9O6a62Qqzwg
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ บนพื้นฐานของความเคารพกันและกัน จากคำยืนยันของกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา แต่พวกนักยุทธศสตร์เตือนว่าปักกิ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเจ็บปวดจากการถูกมหาอำนาจคู่อริแห่งนี้เล่นงานในประเด็นการค้า เทคโนโลยีและความมั่นคง
    .
    "นโยบายของเราที่มีต่อสหรัฐฯ มีความคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนแปลง" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวันในกรุงปักกิ่ง เมื่อถูกถามว่าการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ จะส่งผลประทบอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
    .
    "เราจะยังคงมองและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สอดคล้องกับหลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และร่วมมือกันแบบที่เป็นฝ่ายชนะทั้งคู่(วิน-วิน)" เธอกล่าว
    .
    อย่างไรก็ตามพวกนักยุทธศาสตร์จีน คาดหมายว่าปักกิ่งอาจต้องเจอกับวาทกรรมที่เผ็ดร้อนมากกว่าเดิมและเป็นไปได้ว่าจะโดนมาตรการรีดภาษีที่หนักหน่วงจากทรัมป์ แม้บางส่วนเชื่อว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ที่ค่อนข้างจะโน้มเอียงไปทางลัทธิโดดเดี่ยว (Isolationism) อาจเปิดช่องว่างให้ปักกิ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเช่นกัน
    .
    "ปักกิ่งคาดหมายว่าการชิงชัยจะเป็นไปอย่างคู่คี่สูสีในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ และแม้ชัยชนะของทรัมป์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จีนชื่นชอบและก่อความกังวลต่างๆนานา แต่มันก็ไม่ได้ผิดคาดไปโดยสิ้นเชิง" ถง จ้าว เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ( CEIP ) ให้ความเห็น
    .
    "มีความเป็นไปได้ว่าผู้นำจีนจะมุ่งมั่นคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่อบอุ่นและจริงใจกับทรัมป์ แต่ขณะเดียวกันก็จะพยายามอย่างเข้มข้นในความพยายามฉายภาพพลานุภาพและความเข้มแข็งของจีน" เขากล่าว
    .
    ต้า เหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคงและยุทธศาตร์ระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง บอกว่า "ชัยชนะของทรัมป์ อาจก่อความท้าทายค่อนข้างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อ้างอิงจากนโยบายต่างๆที่เขาเสนอระหว่างการหาเสียง และการกระทำต่างๆนานาของเขาครั้งที่ดำรงตำแหน่งสมัยก่อน"
    .
    "สืบเนื่องจากทรัมป์ เป็นคนคาดเดาได้ยากมากๆ ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีน ที่จะบอกได้ว่ามีแผนอย่างเต็มขึ้นสำหรับรับมือเมื่อ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ นอกจากนี้แล้วมันยังขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของทรัมป์จะนำนโยบายใดบ้างมาใช้" เขากล่าว
    .
    ทรัมป์ เคยเสนอรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเกินกว่า 60% และยุติสถานะของจีน ในด้านชาติที่ได้รับอนุเคราะห์สูงสุดทางการค้า(most-favoured-nation trading status) ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มของสงครามการค้าที่อาจโหมกระพืออีกรอบ อาจก่อแรงสั่นสะเทือนความเป็นผู้นำของจีน
    .
    จีน ขายสินค้าให้แก่สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และขายส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่อเมริกาซื้อจากประเทศอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าอีกหลานแสนล้านดอลลาร์เช่นกัน
    .
    "ปักกิ่งมีความกังวลโดยเฉพาะเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการคืนชีพสงครามการค้าภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้จีนกำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ" จ้าวกล่าว
    .
    "จีนคาดหมายเช่นกันว่า ทรัมป์ จะเร่งรัดแยกตัวห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯและจีน ความเคลื่อนไหวที่อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศ" เขาระบุ
    .
    "ในการตอบโต้ มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะยกระดับผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจและเทคโนโนโลยีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจรู้สึกเหมือนถึงกดดันให้ต้องยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆอย่างเช่นรัสเซีย ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107153
    ..............
    Sondhi X
    จีนจะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ บนพื้นฐานของความเคารพกันและกัน จากคำยืนยันของกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกร หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา แต่พวกนักยุทธศสตร์เตือนว่าปักกิ่งต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเจ็บปวดจากการถูกมหาอำนาจคู่อริแห่งนี้เล่นงานในประเด็นการค้า เทคโนโลยีและความมั่นคง . "นโยบายของเราที่มีต่อสหรัฐฯ มีความคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนแปลง" เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวันในกรุงปักกิ่ง เมื่อถูกถามว่าการหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ จะส่งผลประทบอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ . "เราจะยังคงมองและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สอดคล้องกับหลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และร่วมมือกันแบบที่เป็นฝ่ายชนะทั้งคู่(วิน-วิน)" เธอกล่าว . อย่างไรก็ตามพวกนักยุทธศาสตร์จีน คาดหมายว่าปักกิ่งอาจต้องเจอกับวาทกรรมที่เผ็ดร้อนมากกว่าเดิมและเป็นไปได้ว่าจะโดนมาตรการรีดภาษีที่หนักหน่วงจากทรัมป์ แม้บางส่วนเชื่อว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ที่ค่อนข้างจะโน้มเอียงไปทางลัทธิโดดเดี่ยว (Isolationism) อาจเปิดช่องว่างให้ปักกิ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกเช่นกัน . "ปักกิ่งคาดหมายว่าการชิงชัยจะเป็นไปอย่างคู่คี่สูสีในศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ และแม้ชัยชนะของทรัมป์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จีนชื่นชอบและก่อความกังวลต่างๆนานา แต่มันก็ไม่ได้ผิดคาดไปโดยสิ้นเชิง" ถง จ้าว เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ( CEIP ) ให้ความเห็น . "มีความเป็นไปได้ว่าผู้นำจีนจะมุ่งมั่นคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรที่อบอุ่นและจริงใจกับทรัมป์ แต่ขณะเดียวกันก็จะพยายามอย่างเข้มข้นในความพยายามฉายภาพพลานุภาพและความเข้มแข็งของจีน" เขากล่าว . ต้า เหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคงและยุทธศาตร์ระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัยชิงหวาในกรุงปักกิ่ง บอกว่า "ชัยชนะของทรัมป์ อาจก่อความท้าทายค่อนข้างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อ้างอิงจากนโยบายต่างๆที่เขาเสนอระหว่างการหาเสียง และการกระทำต่างๆนานาของเขาครั้งที่ดำรงตำแหน่งสมัยก่อน" . "สืบเนื่องจากทรัมป์ เป็นคนคาดเดาได้ยากมากๆ ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับจีน ที่จะบอกได้ว่ามีแผนอย่างเต็มขึ้นสำหรับรับมือเมื่อ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ นอกจากนี้แล้วมันยังขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของทรัมป์จะนำนโยบายใดบ้างมาใช้" เขากล่าว . ทรัมป์ เคยเสนอรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเกินกว่า 60% และยุติสถานะของจีน ในด้านชาติที่ได้รับอนุเคราะห์สูงสุดทางการค้า(most-favoured-nation trading status) ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มของสงครามการค้าที่อาจโหมกระพืออีกรอบ อาจก่อแรงสั่นสะเทือนความเป็นผู้นำของจีน . จีน ขายสินค้าให้แก่สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และขายส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่อเมริกาซื้อจากประเทศอื่นๆ คิดเป็นมูลค่าอีกหลานแสนล้านดอลลาร์เช่นกัน . "ปักกิ่งมีความกังวลโดยเฉพาะเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการคืนชีพสงครามการค้าภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้จีนกำลังเผชิญความท้าทายหนักหน่วงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ" จ้าวกล่าว . "จีนคาดหมายเช่นกันว่า ทรัมป์ จะเร่งรัดแยกตัวห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯและจีน ความเคลื่อนไหวที่อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของประเทศ" เขาระบุ . "ในการตอบโต้ มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะยกระดับผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจและเทคโนโนโลยีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจรู้สึกเหมือนถึงกดดันให้ต้องยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆอย่างเช่นรัสเซีย ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107153 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1826 มุมมอง 1 รีวิว
  • แอปเปิ้ลสู้กลับ ลงทุนโรงงานในอินโดฯ

    หลังกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ หลังไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% ตามใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ หรือ TKDN ซึ่งพบว่าแอปเปิ้ลเลือกก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม แต่เม็ดเงินลงทุนเพียงแค่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้ากับแอปเปิ้ล คิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท

    ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิ้ลเตรียมเสนอการลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยการลงทุนเกือบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าลงทุนโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา ร่วมกับซัพพลายเออร์รายหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้สามารถจำหน่ายไอโฟน 16 ในประเทศได้ โดยจะผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์เสริมและชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์แอปเปิ้ล โดยแอปเปิ้ลได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ แต่ทั้งแอปเปิ้ลและกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว

    ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย สั่งห้ามจำหน่ายสมาร์ทโฟน กูเกิล พิกเซล (Google Pixel) ที่ผลิตโดย กูเกิล บริษัทลูกของอัลฟาเบต (Alphabet) ด้วยเหตุผลเดียวกับแอปเปิ้ล คือ ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการลงทุนในประเทศ โฆษกกระทรวงฯ ยืนยันว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้ แต่ผู้บริโภคสามารถซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจากต่างประเทศได้ หากชำระภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งในปี 2567 มีสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวนำเข้ามาแล้ว 22,000 เครื่อง

    อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ที่ผ่านมารัฐบาลปราโบโว สุเบียนโต กดดันให้บริษัทต่างชาติเร่งรัดการผลิตในประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจมีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องดูว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้

    #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    แอปเปิ้ลสู้กลับ ลงทุนโรงงานในอินโดฯ หลังกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ หลังไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% ตามใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ หรือ TKDN ซึ่งพบว่าแอปเปิ้ลเลือกก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม แต่เม็ดเงินลงทุนเพียงแค่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้ากับแอปเปิ้ล คิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิ้ลเตรียมเสนอการลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยการลงทุนเกือบ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าลงทุนโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองบันดุง จังหวัดชวาตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงจาการ์ตา ร่วมกับซัพพลายเออร์รายหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้สามารถจำหน่ายไอโฟน 16 ในประเทศได้ โดยจะผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์เสริมและชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์แอปเปิ้ล โดยแอปเปิ้ลได้ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมของอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ แต่ทั้งแอปเปิ้ลและกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย สั่งห้ามจำหน่ายสมาร์ทโฟน กูเกิล พิกเซล (Google Pixel) ที่ผลิตโดย กูเกิล บริษัทลูกของอัลฟาเบต (Alphabet) ด้วยเหตุผลเดียวกับแอปเปิ้ล คือ ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการลงทุนในประเทศ โฆษกกระทรวงฯ ยืนยันว่า รัฐบาลผลักดันระเบียบนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนทุกคนในอินโดนีเซีย ผลิตภัณฑ์ของกูเกิลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจำหน่ายในอินโดนีเซียได้ แต่ผู้บริโภคสามารถซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวจากต่างประเทศได้ หากชำระภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งในปี 2567 มีสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวนำเข้ามาแล้ว 22,000 เครื่อง อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ที่ผ่านมารัฐบาลปราโบโว สุเบียนโต กดดันให้บริษัทต่างชาติเร่งรัดการผลิตในประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจมีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ต้องดูว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้ #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 814 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราจะทรัมป์ตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน

    แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2024 ยังไม่เสร็จสิ้น แต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะ หลังคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมีมากกว่า 270 เสียง เกินกึ่งหนึ่้งจากทั้งหมด 538 คน ทิ้งห่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นับเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนายทรัมป์ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แพ้ให้กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 306 ต่อ 232 เสียง

    นายทรัมป์ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ระบุว่า การได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองจะนำไปสู่ยุคทองของอเมริกา (Golden Age of America) โดยย้ำนโยบายหาเสียงเน้นไปที่การกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะล้มเหลว ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งนายทรัมป์สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาพรมแดน และแก้ไขทุกอย่างที่เกี่ยวกับสหรัฐฯ

    “หากร่วมมือกัน เราจะสามารถทำให้สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง สำหรับชาวอเมริกันทุกคน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง อนาคตของอเมริกาจะยิ่งใหญ่ขึ้น ดีขึ้น กล้าหาญขึ้น ร่ำรวยขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา” นายทรัมป์กล่าวกับผู้สนับสนุน

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีต่อนายทรัมป์ พร้อมทำงานร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า พร้อมดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ได้วางเป้าหมายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการทำธุรกิจแล้ว

    ประเทศในอาเซียน นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ มั่นใจว่าสหรัฐฯ จะเติบโตเป็นผู้นำในระดับโลกต่อไป และยกระดับความร่วมมือกับสิงคโปร์ให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานาธิบดีมาเลเซีย แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ของมาเลเซีย พร้อมก้าวไปข้างหน้าและทำงานร่วมกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นชาติที่มีนักลงทุนใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ช่วยยุติความรุนแรงในปาเลสไตน์และยูเครน

    ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) พร้อมรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ หลังเกิดความกังวลว่าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้มีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว

    #Newskit #USElection2024 #DonaldTrump
    เราจะทรัมป์ตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แม้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2024 ยังไม่เสร็จสิ้น แต่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะ หลังคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมีมากกว่า 270 เสียง เกินกึ่งหนึ่้งจากทั้งหมด 538 คน ทิ้งห่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นับเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนายทรัมป์ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แพ้ให้กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต 306 ต่อ 232 เสียง นายทรัมป์ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ระบุว่า การได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองจะนำไปสู่ยุคทองของอเมริกา (Golden Age of America) โดยย้ำนโยบายหาเสียงเน้นไปที่การกวาดล้างผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะล้มเหลว ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งนายทรัมป์สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาพรมแดน และแก้ไขทุกอย่างที่เกี่ยวกับสหรัฐฯ “หากร่วมมือกัน เราจะสามารถทำให้สหรัฐอเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง สำหรับชาวอเมริกันทุกคน ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง อนาคตของอเมริกาจะยิ่งใหญ่ขึ้น ดีขึ้น กล้าหาญขึ้น ร่ำรวยขึ้น ปลอดภัยขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา” นายทรัมป์กล่าวกับผู้สนับสนุน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีต่อนายทรัมป์ พร้อมทำงานร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธมิตรระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า พร้อมดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์นั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ได้วางเป้าหมายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการทำธุรกิจแล้ว ประเทศในอาเซียน นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ มั่นใจว่าสหรัฐฯ จะเติบโตเป็นผู้นำในระดับโลกต่อไป และยกระดับความร่วมมือกับสิงคโปร์ให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานาธิบดีมาเลเซีย แสดงความยินดีกับนายทรัมป์ จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ของมาเลเซีย พร้อมก้าวไปข้างหน้าและทำงานร่วมกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นชาติที่มีนักลงทุนใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ช่วยยุติความรุนแรงในปาเลสไตน์และยูเครน ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) พร้อมรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ หลังเกิดความกังวลว่าหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้มีการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว #Newskit #USElection2024 #DonaldTrump
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 878 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇷🇺 รัสเซียกำลังประสบกับ “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา”
    .
    JUST IN: 🇷🇺 Russia is experiencing its "fastest economic growth in the last decade."
    .
    1:13 AM · Oct 30, 2024 · 146K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1851326537032745096
    🇷🇺 รัสเซียกำลังประสบกับ “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา” . JUST IN: 🇷🇺 Russia is experiencing its "fastest economic growth in the last decade." . 1:13 AM · Oct 30, 2024 · 146K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1851326537032745096
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว, กลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย - นักการเมืองฝรั่งเศส

    ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว, และกลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย, Florian Philippot หัวหน้าพรรค French Patriots กล่าวกับ RIA Novosti

    "กลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับการขยายตัวของกลุ่ม BRICS ได้ ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว เป็นเวลาสองปีแล้ว, ที่ GDP ของกลุ่ม BRICS เกิน GDP ของกลุ่ม G7 การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS สูงกว่าอัตราการเติบโตของกลุ่ม G7 ถึงสองเท่า," นักการเมืองรายนี้กล่าว

    ตามคำกล่าวของ Philippot, บทบาทที่เข้มแข็งขึ้นของกลุ่มประเทศ BRICS ได้รับการสังเกตทั้งในแง่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

    “เราเห็นว่าการคว่ำบาตรรัสเซียไม่ได้ผล ค่าเงินดอลลาร์, แม้ว่าจะยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดก็ตาม, ยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ในวิกฤตการณ์ระดับโลกครั้งใหญ่, ประเทศ BRICS ออกมาได้เปรียบ, ในการพยายามหาทางออก, เช่นเดียวกับกรณีวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง, ขณะที่ประเทศตะวันตกยอมจำนนต่อ NATO โดยอัตโนมัติ,” เขากล่าวเสริม

    #BRICS2024
    .
    BRICS ECONOMIC DOMINANCE TAKING SHAPE, WEST CAN DO NOTHING ABOUT IT - FRENCH POLITICIAN

    The economic dominance of the BRICS countries is already taking shape, and Western countries will not be able to do anything about it, Florian Philippot, the leader of the French Patriots party, told RIA Novosti.

    "The West will not be able to do anything about the expansion of BRICS. BRICS economic dominance is already taking shape. For two years now, the BRICS GDP has exceeded the G7 GDP. The economic growth of the BRICS countries is twice as high as the G7 growth rate," the politician noted.

    According to Philippot, the strengthening role of the BRICS countries is noted both in economic and geopolitical terms.

    "We see that the sanctions against Russia have not worked. The dollar, despite the fact that it still dominates, continues to fall. In major global crises, the BRICS countries come out ahead, trying to find a solution, as in the case of the crisis in the Middle East, while Western countries reflexively submit to NATO," he added.

    #BRICS2024
    .
    9:48 AM · Oct 22, 2024 · 4,844 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1848557069361988076
    ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว, กลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย - นักการเมืองฝรั่งเศส ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว, และกลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย, Florian Philippot หัวหน้าพรรค French Patriots กล่าวกับ RIA Novosti "กลุ่มประเทศตะวันตกจะไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับการขยายตัวของกลุ่ม BRICS ได้ ความมีอำนาจเหนือทางเศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว เป็นเวลาสองปีแล้ว, ที่ GDP ของกลุ่ม BRICS เกิน GDP ของกลุ่ม G7 การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ BRICS สูงกว่าอัตราการเติบโตของกลุ่ม G7 ถึงสองเท่า," นักการเมืองรายนี้กล่าว ตามคำกล่าวของ Philippot, บทบาทที่เข้มแข็งขึ้นของกลุ่มประเทศ BRICS ได้รับการสังเกตทั้งในแง่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ “เราเห็นว่าการคว่ำบาตรรัสเซียไม่ได้ผล ค่าเงินดอลลาร์, แม้ว่าจะยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดก็ตาม, ยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ในวิกฤตการณ์ระดับโลกครั้งใหญ่, ประเทศ BRICS ออกมาได้เปรียบ, ในการพยายามหาทางออก, เช่นเดียวกับกรณีวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง, ขณะที่ประเทศตะวันตกยอมจำนนต่อ NATO โดยอัตโนมัติ,” เขากล่าวเสริม #BRICS2024 . BRICS ECONOMIC DOMINANCE TAKING SHAPE, WEST CAN DO NOTHING ABOUT IT - FRENCH POLITICIAN The economic dominance of the BRICS countries is already taking shape, and Western countries will not be able to do anything about it, Florian Philippot, the leader of the French Patriots party, told RIA Novosti. "The West will not be able to do anything about the expansion of BRICS. BRICS economic dominance is already taking shape. For two years now, the BRICS GDP has exceeded the G7 GDP. The economic growth of the BRICS countries is twice as high as the G7 growth rate," the politician noted. According to Philippot, the strengthening role of the BRICS countries is noted both in economic and geopolitical terms. "We see that the sanctions against Russia have not worked. The dollar, despite the fact that it still dominates, continues to fall. In major global crises, the BRICS countries come out ahead, trying to find a solution, as in the case of the crisis in the Middle East, while Western countries reflexively submit to NATO," he added. #BRICS2024 . 9:48 AM · Oct 22, 2024 · 4,844 Views https://x.com/SputnikInt/status/1848557069361988076
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
    ได้กล่าววิสัยทัศน์ในการประชุม BRICS Business Forum
    ที่มอสโค รัสเซียว่า สิ่งที่เราจะต้องยอมรับความจริง
    ในปัจจุบัน กับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
    รวมทั้งความมั่นคง นั่นคือ ในปัจจุบันนี้
    กลุ่ม BRICS ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ของเศรษฐกิจโลก
    ในปัจจุบัน รวมทั้งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแท้จริง

    🚩จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี
    ของกลุ่ม BRICSที่คิดเป็น 37.4% ของจีดีพีรวมทั้งโลก
    โดยเฉพาะเมื่อกับกลุ่ม จี7 (G7) ซึ่งมีสัดส่วนจีดีพี อยู่ที่ 29.3%
    และ แนวโน้มของความห่างของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

    ที่มา : tass

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes
    💥💥ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้กล่าววิสัยทัศน์ในการประชุม BRICS Business Forum ที่มอสโค รัสเซียว่า สิ่งที่เราจะต้องยอมรับความจริง ในปัจจุบัน กับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งความมั่นคง นั่นคือ ในปัจจุบันนี้ กลุ่ม BRICS ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบัน รวมทั้งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแท้จริง 🚩จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของกลุ่ม BRICSที่คิดเป็น 37.4% ของจีดีพีรวมทั้งโลก โดยเฉพาะเมื่อกับกลุ่ม จี7 (G7) ซึ่งมีสัดส่วนจีดีพี อยู่ที่ 29.3% และ แนวโน้มของความห่างของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มา : tass #หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
    ได้แสดงวิสัยทัศน์ และ แนวทางของกลุ่ม BRICS
    เมื่อวันศุกร์ 18/10/2567 ที่ผ่านมาว่า

    🚩ปูตินมองว่ากลุ่ม BRICS จะถ่วงดุลอำนาจกับชาติตะวันตก
    และมีความ 'เปิดกว้าง' ที่จะรับสมาชิกใหม่ เพิ่มเติม
    กลุ่ม BRICS มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้สกุลเงินประจำชาติ
    ในการแลกเปลี่ยน เพื่อทดแทนการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
    การพูดคุยถึงสกุลเงินร่วมของ BRICS ถือเป็นเรื่อง 'ยังไม่ถึงเวลา'
    ณ ตอนนี้ แต่ได้มีการพัฒนาระบบธนาคารกลางของกลุ่ม BRICS
    อยู่ตลอดเวลา ปูตินกล่าวว่าสมาชิกในกลุ่มกำลังทำงาน
    เกี่ยวกับระบบการส่งข้อความทางการเงินแบบ SWIFT
    ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก

    🚩กลุ่ม BRICS จะเป็นผู้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก
    ส่วนใหญ่ในปีต่อๆ ไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่และการเติบโต
    ที่ค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับกลุ่มชาติตะวันตกที่พัฒนาแล้ว
    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    🚩ปูตินหวังที่จะสร้างกลุ่ม BRICS ซึ่งได้ขยายตัวไปรวมถึงอียิปต์
    เอธิโอเปีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งบราซิล
    รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ให้เป็นประเทศที่มี
    ความแข็งแกร่งในการถ่วงดุลอำนาจกับชาติตะวันตก
    ในด้านการเมืองและการค้าโลก

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes
    🔥🔥ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้แสดงวิสัยทัศน์ และ แนวทางของกลุ่ม BRICS เมื่อวันศุกร์ 18/10/2567 ที่ผ่านมาว่า 🚩ปูตินมองว่ากลุ่ม BRICS จะถ่วงดุลอำนาจกับชาติตะวันตก และมีความ 'เปิดกว้าง' ที่จะรับสมาชิกใหม่ เพิ่มเติม กลุ่ม BRICS มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้สกุลเงินประจำชาติ ในการแลกเปลี่ยน เพื่อทดแทนการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การพูดคุยถึงสกุลเงินร่วมของ BRICS ถือเป็นเรื่อง 'ยังไม่ถึงเวลา' ณ ตอนนี้ แต่ได้มีการพัฒนาระบบธนาคารกลางของกลุ่ม BRICS อยู่ตลอดเวลา ปูตินกล่าวว่าสมาชิกในกลุ่มกำลังทำงาน เกี่ยวกับระบบการส่งข้อความทางการเงินแบบ SWIFT ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก 🚩กลุ่ม BRICS จะเป็นผู้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ส่วนใหญ่ในปีต่อๆ ไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่และการเติบโต ที่ค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับกลุ่มชาติตะวันตกที่พัฒนาแล้ว ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 🚩ปูตินหวังที่จะสร้างกลุ่ม BRICS ซึ่งได้ขยายตัวไปรวมถึงอียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ให้เป็นประเทศที่มี ความแข็งแกร่งในการถ่วงดุลอำนาจกับชาติตะวันตก ในด้านการเมืองและการค้าโลก ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #BRICS #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ข้อมูลเบื้องต้นเผยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    หรือ จีดีพี (GDP) ของสิงคโปร์ ในไตรมาส 3/2567 เติบโต 4.1%
    เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพี #GDP
    #อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ #สิงคโปร์ #thaitimes
    💥💥ข้อมูลเบื้องต้นเผยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี (GDP) ของสิงคโปร์ ในไตรมาส 3/2567 เติบโต 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพี #GDP #อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ #สิงคโปร์ #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠

    😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎

    นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

    ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย

    แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ

    ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่

    เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม

    หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า:

    “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล”

    มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ

    สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา

    หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า:

    “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้”

    ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน

    ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน

    เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้

    ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี!

    นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ

    😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎

    นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว

    ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา

    ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน

    ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก

    เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย

    ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา

    ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก

    ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น

    นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม

    ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน

    ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้

    นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม

    ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี

    นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ

    ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ

    ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น

    หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด

    ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม

    ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด

    เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก?

    แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น

    ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ

    แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง

    เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง

    สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น

    ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป

    ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น

    ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.🤠 😎เมื่อสงครามจบลงแล้ว😎 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หนทางเดินของอเมริกาดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาเข้าควบคุมยุโรปด้วยวิธีการต่างๆ และกลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ก่อนที่สงครามเกาหลีจะปะทุขึ้น พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าตนเองจะชนะ แต่เมื่อหลังจากจีนส่งทหารไป สหรัฐฯ ยังคงเพิกเฉย แต่สุดท้ายจีนก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้นจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลง ตัวแทนชาวอเมริกันจึงดูเหมือนยังคงฝันอยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ มีจิตใจที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำในระหว่างกระบวนการลงนามข้อตกลงสงบศึกทั้งหมด และสถานที่จัดงานก็เงียบสนิท หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง จากนั้นก็นำข้อตกลงไปให้กับ เผิงเต๋อะไหว(彭德怀) และนายพลมาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) ชาวอเมริกันเพื่อลงนาม หลังจากที่จอมพลเผิงเต๋อะไหวลงนาม เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจในรายงานฉบับต่อมาว่า: “เป็นเวลาหลายร้อยปีที่ผู้รุกรานชาวตะวันตกสามารถยึดครองประเทศได้โดยการวางปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกบนชายฝั่งทางตะวันออกนั้นได้หายไปตลอดกาล” มาร์ค ดับเบิลยู. คลาร์ก(Mark W. Clark马克·克拉克) คร่ำครวญว่า: เขาเป็นผู้บัญชาการคนแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลงนามข้อตกลงสงบศึกโดยไม่ได้รับชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบยังขยายวงกว้าง สงครามเกาหลีประทับเงาทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งทิ้งไว้ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งถึงกับเรียกสงครามเกาหลีว่าเป็นหลุมดำในประวัติศาสตร์อเมริกา หนังสือพิมพ์อเมริกันระบุว่า: “(จีน) ใช้อาวุธจำนวนน้อยจนน่าสมเพชและระบบการจัดหาแบบดั้งเดิมที่น่าหัวเราะ แค่สามารถยับยั้งสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุตสาหกรรมขั้นสูง และอาวุธล้ำสมัยจำนวนมากลงได้” ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้นี้ก่อให้เกิดผลโดยตรงสองประการ ประการแรก ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานำเอาสาเหตุของความพ่ายแพ้ของสงครามเกาหลี ทั้งหมดนี้โยนให้กับจีน ในความเป็นจริงแล้วในสถานการณ์สู้รบจริงพวกเขามีความเกรงกลัวต่อจีน เป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนไม่เคยมีความขัดแย้งในสนามรบโดยตรง นี่เป็นเพราะสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐฯตระหนักว่า แม้จีนจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ประเทศที่สามารถรังแกได้ ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่า: ในสงครามเกาหลีครั้งหนึ่งสร้างสันติภาพมาห้าสิบปี! นี่ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าไร้สาระ แต่เป็นชัยชนะที่คนรุ่นก่อนได้แลกมาด้วยเลือดเนื้อ 😎อิทธิพลผลกระทบที่กว้างขวาง😎 นอกจากตัวเอกที่เป็นอเมริกาแล้ว ปฏิกิริยาจากประเทศอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ในจำนวนประเทศทั้งหมดนี้ที่มีคุณค่ากล่าวขวัญถึง คือ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อจีนมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปฏิกิริยาของญี่ปุ่นคือการได้ดูรายการการแสดงดีๆ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้รับประโยชน์มากมายจากสงครามเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่ซบเซา สังคมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเงาแห่งความพ่ายแพ้สงคราม และประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะที่บิดเบี้ยว ในเวลาขณะนี้ชาวอเมริกันก็มาถึง แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถควบคุมญี่ปุ่นไว้ได้ และใช้เป็นหุ่นเชิดทิ้งไว้ในเอเชีย แต่ญี่ปุ่นกลับต้องมีความคิดพึ่งพาต้นไม้ใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นมีจิตวิทยาที่แปลกประหลาด พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักจากระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกาแทน ในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกกับสหรัฐอเมริกา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ชาวอเมริกันพอใจ หากสหรัฐฯ ต้องการโจมตีเกาหลีเหนือและจีน ญี่ปุ่นก็จะกระตือรือร้นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาที่คั่งค้างมาทางประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือและจีนต่อสาธารณะได้ แต่เบื้องหลังได้ช่วยเหลือสหรัฐฯมากมาย ในปี ค.ศ. 1950 ญี่ปุ่นรับหน้าที่บำรุงรักษารถบรรทุกทหารมากกว่า 6,000 คันจากสหรัฐอเมริกา และผลิตอาวุธจำนวนมากให้กับสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ดักลาส แมกอาเธอร์(Douglas MacArthur道格拉斯·麦克阿瑟) พบว่า ตัวเองขาดกำลังคน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีกำลังทหารเพียงพอ แต่ระยะทางจากอเมริกาไปยังเอเชียนั้นห่างไหลมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ญี่ปุ่นจะเดินทางไปเกาหลีเหนือได้สะดวกกว่ามาก ดังนั้นในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน(Incheon仁川) ในบรรดาเรือบรรทุกรถถังจำนวน 47 ลำที่กองทัพสหรัฐฯ ส่งมา จริงๆแล้วมีเรือ 30 ลำที่ขับเคลื่อนโดยคนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐอเมริกายังใช้ฐานทัพอากาศในญี่ปุ่นเพื่อขนส่งวัสดุและบุคลากรตลอดช่วงสงคราม ตามสถิติที่ไม่สมบูรณ์นัก ตลอดช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นช่วยสหรัฐฯ ในการขนส่งทหารมากกว่า 3 ล้านคนและเสบียงมากกว่า 700,000 ตัน ในช่วงสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นกลายเป็นฐานทัพทหารและคลังแสงของสหรัฐอเมริกา เมื่อประเทศหนึ่งเป็นผู้ทำสงครามโดยล้างผลาญใช้ทรัพยากรของประเทศอื่น แต่ญี่ปุ่นไม่รู้สึกละอายกับสิ่งนี้ แต่กลับมีความภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของพวกเขายังได้รับการฟื้นฟูโดยการทำกำไรจากสงคราม ระหว่างปี ค.ศ. 1950 ถึงค.ศ. 1953 ญี่ปุ่นมีรายได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1953 การส่งออกของญี่ปุ่นประมาณ 60% ถูกกำหนดไว้สำหรับสนามรบของเกาหลี นอกจากการส่งออกทางเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังส่งคนงานจำนวนมากไปยังสนามรบเกาหลีอย่างเงียบๆ เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นบางคนในช่วงสงครามรุกรานจีนก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แนะสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเชื้อโรค ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ส่งคณะร้องเพลงและเต้นรำจำนวนมากไปยังแนวหน้าเพื่อมอบความบันเทิง และแสดงการปลอบขวัญให้กำลังใจต่อกองทัพสหรัฐฯ ญี่ปุ่นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีได้ขจัดความเศร้าโศกภายหลังความพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น หลังจากการลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ระงับความร่วมมือทางเศรษฐกิจพหุภาคีกับญี่ปุ่น ในเวลานี้ญี่ปุ่นมีความมั่งคั่งเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับมัน แม้จะเผชิญกับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นก็ยังอินต่อเหตุการณ์มากกว่าชาวอเมริกันอีกด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเพลิดเพลินไปกับร่มเงาโดยมีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหลัง พวกเขามีชีวิตที่ดีได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์สงครามที่เริ่มต้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ขณะนี้สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกไปแล้ว ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความอยู่รอดของตนเองมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะลงนามข้อตกลงสงบศึก ญี่ปุ่นจึงเตรียมการหลายประการและกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มข้นเพื่อปูทางไปสู่ความมั่งคั่งหลังสงคราม ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้กระตุ้นให้ญี่ปุ่นเกิดความกลัวต่อจีนในระดับลึกลงไปถึงที่สุด เมื่อสงครามต่อต้านญี่ปุ่นสิ้นสุดลง ภายในประเทศญี่ปุ่นได้เกิดมีกระแสความสงสัยในตนเองเกิดขึ้นมามากมาย พวกเขาเชื่อว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ยงคงกระพัน แต่ทำไมจีนถึงกลายเป็นผู้ชนะในเมื่อเทคโนโลยีล้าหลังมากและประเทศก็ยากจนมาก? แต่ตอนนี้ จีนไม่เพียงแต่เอาชนะญี่ปุ่นได้เท่านั้น แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ยังพ่ายแพ้อีกด้วย ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มความสงสัยในตัวเองมากขึ้น ต้องรู้ว่าในเวลานี้ญี่ปุ่นยังไม่สลัดรอดพ้นเงาของประเทศลัทธิรัฐเผด็จการทหาร แม้กระทั้งว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่ลัทธิรัฐเผด็จการทหารก็ยังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นในด้านสุดขั้วของจิตวิทยาของพวกเขาจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาได้เลย ในหนังสือพิมพ์ ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการพูดถึงชัยชนะของจีน แต่กลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่การลงนามข้อตกลงสงบศึกในปี ค.ศ. 1953 ในภาษาเขียนของญี่ปุ่น คำว่า“จวือน่า(支那)”ชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลนนี้ค่อยๆหายไป ในความเป็นจริง ในช่วงต้นปึ ค.ศ. 1946 สหรัฐฯ สั่งให้ญี่ปุ่นไม่ให้ใช้ คำว่า“จวือน่า(支那)”และอื่นๆชื่อเรียกที่แฝงด้วยการดูถูกดูแคลน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นก็ยังคงไปตามทางของตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความดูถูกภายในใจที่มีต่อจีนได้ และถึงกับเชื่ออย่างหยิ่งผยองว่ารัฐบาลจีนใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน จนถึงสงครามเกาหลีทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นจริง สงครามครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อจีน โดยประกาศให้โลกรู้ว่าจีนกำลังผงาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป พวกเขาค่อยๆ ตระหนักว่าจีนไม่ใช่คนป่วยของเอเชียตะวันออกอีกต่อไป ในช่วงหลายปีหลังสงครามเกาหลี แม้ว่าโลกยังคงประสบกับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ที่จีนเผชิญยังคงยากลำบาก ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดเช่นนี้ สถานะระหว่างประเทศของจีนยังคงดีขึ้นทีละขั้น ทั้งหมดนี้แยกออกจากรากฐานที่วางไว้โดยการการช่วยเหลือเกาหลีรบต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ดังนั้น ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของสงครามเกาหลีจึงสมควรได้รับการจดจำตลอดไปโดยคนรุ่นต่อๆ ไป 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 639 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ปรับลด
    การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอาเซียนในปีนี้ลงเล็กน้อย
    จาก 4.5% เป็น 4.6% อันเนื่องมาจากการคาดกาณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ
    ของ เมียนมา ติมอร์เลสเต และ ไทย ที่มีแนวโน้มลดลง

    สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศเดียวใน 6 ประเทศขนาดใหญ่ในอาเซียน
    ที่ถูกคาดการณ์ว่า จีดีพีมีแนวโน้มจะลดลง อันเนื่องมาจากการใช้จ่าย
    ภาครัฐที่ลดลง และการส่งออกที่ฟื้นตัวต่ำกว่าการคาดการณ์

    โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย ปี 2567
    ปรับลดจาก 2.6% เป็น 2.3%
    และ ปี 2568 ปรับลดจาก 3.0% เป็น 2.7%

    ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีไทย #thaitimes
    💥💥ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ปรับลด การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของอาเซียนในปีนี้ลงเล็กน้อย จาก 4.5% เป็น 4.6% อันเนื่องมาจากการคาดกาณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ของ เมียนมา ติมอร์เลสเต และ ไทย ที่มีแนวโน้มลดลง สำหรับประเทศไทย เป็นประเทศเดียวใน 6 ประเทศขนาดใหญ่ในอาเซียน ที่ถูกคาดการณ์ว่า จีดีพีมีแนวโน้มจะลดลง อันเนื่องมาจากการใช้จ่าย ภาครัฐที่ลดลง และการส่งออกที่ฟื้นตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ โดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไทย ปี 2567 ปรับลดจาก 2.6% เป็น 2.3% และ ปี 2568 ปรับลดจาก 3.0% เป็น 2.7% ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #จีดีพีไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1059 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน
    ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ
    และอิทธิพลในระดับโลก

    จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง
    และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร
    สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป
    เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร
    ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น
    พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ

    ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว
    คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง
    ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้
    หันไปหาสหรัฐอเมริกา

    จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
    ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ
    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
    ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ
    ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ
    เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง
    ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง
    ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง

    แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน

    การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด
    จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน
    การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร
    และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก

    การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส
    ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก
    ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม
    และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก

    ที่มา : cna

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥โลกทั้งใบเสี่ยงสูญเสีย จากการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นมหาอำนาจ และอิทธิพลในระดับโลก จุดแข็งเฉพาะตัวของสหรัฐอเมริกาคือกำลังทหารที่แข็งแกร่ง และความเต็มใจที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยแก่พันธมิตร สหรัฐฯ มีข้อตกลงการป้องกันร่วมกันกับ 56 ประเทศทั่วโลก ในยุโรป เอเชีย และอเมริกา นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือทางทหาร ที่สำคัญแก่ประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอลและยูเครนซึ่งไม่ได้เป็น พันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ ในทางตรงกันข้าม จีนมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันกับประเทศเดียว คือเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา จีนยังมีข้อพิพาทเรื่อง ดินแดนกับเพื่อนบ้านหลายประเทศ ซึ่งมักจะผลักดันให้ประเทศเหล่านี้ หันไปหาสหรัฐอเมริกา จุดแข็งของจีนคือความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ปัจจุบันมี 128 ประเทศที่ทำการค้ากับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนใช้เงินไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในกว่า 140 ประเทศ ส่งผลให้จีนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และ เป็นมหาอำนาจทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลลัพธ์ดังกล่าวจัดแสดงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ในอินโดนีเซีย ท่าเรือและสะพานในแอฟริกา หรือทางหลวง ระหว่างทวีปที่ข้ามเอเชียกลาง แต่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังมีข้อเสียมากมายเช่นกัน การค้าคุ้มครองและการแยกตัวของเศรษฐกิจโลกในที่สุด จะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกคน การแข่งขันอาวุธครั้งใหม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามหายนะขึ้นครั้งใหญ่ในโลก การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังทำให้โอกาส ที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโลก ที่คุกคามทุกคน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีการควบคุม และภาวะโลกร้อนที่ไร้การควบคุม น้อยลงไปมาก ที่มา : cna #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1719 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts