• ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 1

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก

    กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย

    ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ
    J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย

    ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan

    เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ

    ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย

    มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey

    “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ”

    “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….”
    เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย

    กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์

    นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917

    การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ
    อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915

    การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks

    และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก

    รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล

    การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา

    การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 2

    ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด

    และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย

    อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย !

    J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม

    จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา

    ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน
    นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ

    แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ

    เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว

    มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 1 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรของธุรกิจการเงิน การอุตสาหกรรมและการค้าของอเม ริกา ถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่มคือ Standard Oil- Rockefeller Enterprise กลุ่มหนึ่ง และ Morgan อีกกลุ่มหนึ่ง ยักษ์ใหญ่ 2 กลุ่ม น่าจะตีกัน แต่แปลก นอกจากไม่ตีกันแล้ว ยังจับมือร่วมกัน เพื่อครอบงำอาณาจักรธุรกิจของอเมริกาอีกด้วย โดยใช้วิธีการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัท ไขว้กันไปมา มันเป็นการครอบงำ ที่แนบเนียน ยากที่คนภายนอกจะดูออก กลุ่ม Rockefeller เน้น การผูกขาดด้านอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันStandard Oil ที่ใหญ่คับอเมริกา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้ง ลงทุนในการสร้างทางรถไฟ พร้อมถือหุ้นส่วนใหญ่ใน กองทุนทองแดง กองทุนถลุงแร่ กองทุนยาสูบ แค่นั้นคงใหญ่ไม่พอ กลุ่มนี้จึงไปถือหุ้นส่วนใหญ่ใน National City Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุด และรวมไปถึง บริษัทเงินทุนใหญ่ของอเมริกาคือ United State Trust Company และ Hanover Nation Bank และบริษัทประกันชีวิตระดับใหญ่ต่างๆ อีกด้วย ส่วนกลุ่ม Morgan เน้นการผูกขาดด้านอุตสาหกรรมเหล็ก การขนส่งทางเรือ การสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมด้านเครื่องไฟฟ้า รวมถึง General Electric ยางพารา และสถาบันการเงิน เช่น National Bank of Commerce, the Chase National Bank, New York Life Insurance และ Guaranty Trust Company ที่มีบทบาทสำคัญ J.P. Morgan และ Guaranty Trust ถูกพาดพิง ว่าพัวพันเกือบตลอดระยะเวลา และเกือบทุกเรื่องราว เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียนี้ มารู้จักประวัติของกลุ่มนี้กันหน่อย ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กลุ่ม Guaranty Trust ยังเป็นของพวกตระกูล Harriman แต่เมื่อพี่ใหญ่ Edward Henry Harriman ตายในปี ค.ศ.1909 Morgan และพวก จึงเข้าไปกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดของ Harriman และกลายเป็นเจ้าของ Guaranty Trust รวมทั้งบริษัทประกันในเครือแทน ต่อมาในปีเดียวกัน Morgan ก็ไล่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่นๆ เพิ่มอีก และเอาเข้ามาอยู่ในชื่อของ Guaranty Trust หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 Guaranty Trust และ Bankers Trust จึงเป็นบริษัททรัสต์ ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง และอันดับสองของอเมริกา และทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เป็นของกลุ่มทุน Morgan เห็นใยแมงมุมคร่าวๆ ของธุรกิจ ของยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ในช่วงแรกแล้วนะครับ ยักษ์ ทั้ง 2 กลุ่ม ต่างเข้าไปมีส่วน เกี่ยวพัน กับการสนับสนุนเงินทุนให้กับพวกปฏิวัติ Bolsheviks ตั้งแต่ก่อน ค.ศ.1917 แล้ว ไม่มากก็น้อย มีบันทึกแสดงว่า ค.ศ.1913 สำนักงานกฏหมาย Sullivan & Cromwell มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของปานามา เรื่องนี้อยู่ในบันทึกการไต่สวนของรัฐสภาในปี 1913 ซึ่งชี้แจงโดยสมาชิกสภา Rainey “….การปฏิวัติที่เกี่ยวกับช่องแคบปานามา ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาล(อเมริกา) นี้เข้าไปมีส่วนแล้ว การปฏิวัติก็คงทำไม่สำเร็จแน่ มันเป็นการกระทำของรัฐบาลนี้ ที่ผิดตามสนธิสัญญา ค.ศ.1846 มันเป็นการปฏิวัติ ที่ทำโดยนักปฏิวัติชาวปานามา 10 ถึง 12 คน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท Panama Railroad & Steamship ซึ่งทำงานอยู่ในนิวยอร์ค และอยู่ในความดูแลของนาย William Nelson Cromwell และพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศในวอชิงตัน บุคคลเหล่านี้ รู้เรื่องการปฏิวัติที่กำลังจะ เกิดขึ้น อย่างดี วัตถุประสงค์ของการปฏิวัติ ก็เพื่อเข้าไปยึดโคลัมเบีย เพื่อจะครอบครอง คลองปานามา ด้วยการใช้เงิน 40 ล้านเหรียญ ” “ผมจะเสนอข้อพิสูจน์ เป็นเอกสาร ที่ประกาศอิสรภาพ ซึ่งประกาศในปานามา วันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 เป็นเอกสารซึ่งจัดเตรียมขึ้นในนครนิวยอร์ค โดย สำนักงานของ Nelson Cromwell….” เอกสารตัวอย่างอีกรายการ ที่แสดงให้เห็น ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ของพวก Wall Street ที่ ดำเนินการในนิวยอร์คคือ การปฏิวัติในจีน ปี ค.ศ.1912 ซึ่งนำโดยนายซุนยัดเซ็น (Sun Yat-sen) แม้ว่าสุดท้ายแล้ว การเข้าไปยุ่งกับการปฏิวัติของกลุ่มนักการเงินนี้ จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร จะยังไม่เห็นชัด แต่เจตนาและบทบาทของนักการเงินนิวยอร์คเหล่านั้น ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด ถึงจำนวนเงิน ข้อมูลของสมาคมลับทางฝั่งจีนที่ให้ร่วมมือ รวมทั้งมีรายการส่งอาวุธ ที่ต้องการให้ซื้อและส่งให้ทางเรือด้วย กลุ่มนักการเงินนิวยอร์ค ที่ร่วมกันปฏิวัติกับซุนยัดเซ็น มีชื่อนาย Charles B. Hill ทนายจากสำนักงาน Hunt, Hill & Betts ซึ่งในปี ค.ศ.1912 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 165 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค แต่ในปี 1917 ย้ายไปอยู่ที่ 120 บรอดเวย์ นาย Charles B. Hill นี้ เป็นกรรมการของหลายบริษัทในเครือ Westinghouse, Bryant Electric, Perkins Electric Switch และ Westinghouse Lamp ทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือของ Westinghouse Electric ที่มีสำนักงานในนิวยอร์คอยู่ที่ เลขที่ 120 Broadway และนาย Charles R. Crane ผู้ที่จัดตั้งบริษัทในเครือ Westinghouse ในรัสเซีย ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เขามีบทบาทสำคัญ เกี่ยวกับการทำปฏิวัติของพวก Bolsheviks และเขาก็เดินทางไปรัสเซีย พร้อมกับกลุ่มของ Trotsky ในช่วงเดือนมีนาคม 1917 การดำเนินงานของ Hill Syndicate ที่เมืองจีนในปี 1910 ถูกบันทึกไว้ในหลักฐาน เรียกว่า Laurence Boothe Papers ที่เก็บอยู่ใน Hoover Institute เอกสาร ชุดนี้มี 110 รายการ รวมทั้งจดหมาย ของซุนยัดเซ็น ที่ติดต่อกับชาวอเมริกันที่หนุนหลังเขา และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกอเมริกันสนับสนุนทางการเงิน ซุนยัดเซ็น สัญญากับ Hill Syndicate ที่จะจัดการให้สัมปทานรถไฟ ธนาคาร และสัมปทานการค้าอีกหลายรายการ หลังจากการปฏิวัติที่จีนทำสำเร็จ อีกกรณีที่แสดงว่า เป็นการปฏิวัติ ที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจการ เงินในนิวยอร์ค คือ การปฏิวัติที่ Mexico ใน ปี 1915-1916 สายลับชาวเยอรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกา ถูกกล่าวหาและถูกดำเนินคดีในนิวยอร์คเมื่อเดือนพฤษภาคม 1917 ว่าได้มีการพยายามโยงเอารัฐบาลอเมริกัน ไปเกี่ยวพันกับเม็กซิโก และญี่ปุ่น โดยพยายามขนย้ายอาวุธยุทธภันฑ์ ที่จัดส่งไปให้สัมพันธมิตรในยุโรป โดยมีการจ่ายเงิน ให้ส่งอาวุธนั้นไปให้นักปฏิวัติชาวเม็กซิกันคือ Pancho Villa แทน โดยการจ่ายเงินผ่าน Guaranty Trust เป็นจำนวนเงิน 380,000 เหรียญ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 1915 การเกี่ยวพันของกลุ่มวอลสตรีท กับการปฏิวัติของเม็กซิกันนี้ ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายของนาย Linclon Steffens คอมมิวนิสต์อเมริกัน ที่มีไปถึง Colonel House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ของประธานาธิบดี Wilson และได้มีการรายงานอยู่ใน นสพ. New York Times เรื่อง “Texas Revolution (การซ้อมใหญ่ก่อนการแสดงจริง ของการปฏิวัติพวก Bolsheviks)” ว่าเป็นการร่วมมือกัน ระหว่างพวกเยอรมันกับพวก Bolsheviks และจากการให้การของ John A Walls อัยการเขตประจำเมือง Brownsville Texas ต่อคณะกรรมาธิการ 1919 Fall Committee ซึ่งส่งมอบเอกสาร ที่มีหลักฐานแสดงว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ในอเมริกา, พวก Bolsheviks, กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวเยอรมัน และกองกำลังของ Carranza ในเม็กซิโก รัฐบาล Carranza นี้ ได้ชื่อว่า เป็นรัฐบาลแรกในโลก ที่มีการปกครองที่ใช้รัฐธรรมนูญแบบเดียวกับของโซเวียต (ซึ่งร่างตามแบบของ Trotsky) และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวอลสตรีทให้เป็นรัฐบาล การปฏิวัติ Carranza ไม่ มีทางสำเร็จได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ด้านอาวุธยุทธภัณฑ์จากอเมริกา และไม่สามารถจะอยู่ในอำนาจได้นาน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอเมริกา การปฏิวัติรัสเซียของกลุ่ม Bolsheviks ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี นายธนาคารชาวสวีเดน Olof Aschberg เป็นตัวกลางประสาน กลุ่มวอลสตรีท กับอีกหลายๆฝ่าย ก็คงไม่สำเร็จเหมือนกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 2 ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม 1914 ส่วนอเมริกายังไม่เข้าร่วมทำสงครามโลก และประกาศตัวเป็นกลาง ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศ ประเทศที่ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่สามารถให้เงินกู้ กับประเทศที่กำลังทำสงครามได้ มันเป็นเรื่องของการขัดต่อกฏหมาย และขัดศีลธรรม แต่ดูเหมือนกลุ่มวอลสตรีท และอเมริกา จะไม่เห็นว่า 2 เรื่องนี้ เป็นปัญหาแต่อย่างใด และน้อยคนที่จะรู้ว่า เมื่ออังกฤษจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อังกฤษเองก็กำลังถังแตก เงินคงคลังหมดเกลี้ยง รัฐบาลอังกฤษปิดปากแน่นสนิท ไม่ให้ประชาชนและสื่อรู้เรื่อง แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าตามแผนเข้าสู่สงครามโลก เนื่องจากมีเป้าหมายชัดเจนที่จะขจัดเยอรมัน ให้ออกไปจากเส้นทางตามแผนสู่การ เป็นมหาอำนาจใหญ่ หมายเลขหนึ่งของโลก ที่อังกฤษวางไว้ แค่เป็นจักรภพอังกฤษ มันใหญ๋ไม่พอ สำหรับชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย อังกฤษทำได้อย่างไร ทำสงครามทั้งๆที่ไม่มีเงิน อังกฤษทำได้เพราะมี กลุ่ม Morgan จัดการให้ Morgan ได้รับมอบหมายจากอังกฤษ ให้ทำหน้าที่ เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวของอังกฤษเพื่อระดมทุน โดยการออกพันธบัตรสงคราม ( War Bond) ในปี 1915 แถม และระดมทุนเผื่อฝรั่งเศสอีกด้วย อังกฤษ รวมทั้งฝรั่งเศส เข้าสู่สงครามโลกด้วยการกู้ยืมเงินจากอเมริกา ที่บอกว่าเป็นกลางและไม่ร่วมทำสงครามด้วย ! J.P. Morgan ตะแบงว่าไม่ใช่เป็นเงินให้กู้เพื่อทำสงคราม แต่เป็นเพียงวิธีการจัดการ เพื่อให้เอาเงินไปใช้ ในด้านการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น มีปัญหาไหม จะมีปัญหาได้อย่างไร เพราะผู้ที่ออกมาอธิบาย สนันสนุนการออกพันธบัตร War Bond ของ Morgan คือ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ประธานาธิบดี Wilson ทำหน้าที่ เหมือนเป็นผู้รับประกันการขายพันธบัตร ( underwriter) เขาบอกว่า มันเป็นพันธบัตรที่ออกขายในอเมริกา เพื่อนำเงินที่ได้จากการขาย ไปให้รัฐบาลต่างชาติ ใช้เป็นเงินคงคลัง หรือเงินเก็บน่ะ เขาไม่ได้เอาไปใช้ในการสงคราม ในทางปฏิบัติ อังกฤษและฝรั่งเศส นำเงินที่ได้รับ ลงบัญชีเป็นเงินฝากในประเทศของตัว และใช้เป็นหลักประกันในการสั่งซื้อสินค้า และยุทธภัณฑ์ต่างๆ จากอเมริกา เพื่อใช้ในการทำสงคราม มันผิดกฏหมายเกี่ยวกับความเป็นกลางตรงไหน นี่มันเรื่อง 100 ปีมาแล้ว นักการเงินของเขา ยังคิดตะแบงได้ขนาดนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจะพลิกแพลงขนาดไหน แต่สมันน้อยอย่าเพิ่งขวัญอ่อนตกใจ มันก็ใช้สูตรเดิมๆ นั่นแหละ แค่เปลี่ยนชื่อเรียก เติมลูกเล่น สลับขั้นตอนเข้าไปอีกหน่อย แค่นั้นเราก็มึน คิดตามมันกันไม่ทันไปค่อนโลก แต่ถ้าเราไม่ว่าง่ายเชื่อมันไปหมด ในสิ่งที่มันสร้างมาหลอกเรา เราก็รู้ทันมันได้ ฝรั่งมันไม่ได้ฉลาดเก่งกว่าเรานักหรอกครับ แค่ออกพันธบัตร War Bond ให้อังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามโลกคงไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น กลุ่มนักการเงินของอเมริกา จึงต้องสนับสนุนเงินกู้ให้รัสเซียด้วย ตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อให้มีเงินมาร่วมทำสงครามสู้กับฝ่ายเยอรมัน ตามที่ฝ่ายสัมพันธมิตร หรืออังกฤษต้องการ เจ้ามือให้เงินกู้ลูกค้ารอบวงแบบนี้ เจ้ามือคงปิดทางเจ๊งไว้เรียบร้อยแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารของกระทรวง ต่างประเทศ ที่แสดงว่า National City Bank ซึ่งมีกลุ่ม Stillman และ Rockefeller เป็นเจ้าของ และ Guaranty Trust ซึ่งเป็นของกลุ่ม Morgan ได้ร่วมกันให้เงินกู้ก้อนใหญ่แก่รัสเซีย ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และเป็นการให้กู้หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศ ได้แจ้งกับกลุ่มผู้ให้กู้ว่า เป็นการผิดกฏหมายระหว่างประเทศ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย

    YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก!

    Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี

    RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง:
    Counter Strike 2: 263 FPS
    Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS
    Red Dead Redemption 2: 82 FPS
    Battlefield 6: 86 FPS
    Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS
    GTA 5 Enhanced: 77 FPS
    Marvel Rivals: 79 FPS
    Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม)
    Borderlands 4: 55 FPS
    Outer Worlds 2: 65 FPS

    แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU

    Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI

    Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S
    มี 40 CUs และ 2,560 shader cores
    ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit
    ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี

    จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+
    รัน LLM ได้ดีเยี่ยม
    ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า
    เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    🎮🔥 Radeon 8060S โชว์พลัง! เกมเมอร์ตะลึงกับ iGPU บน Ryzen AI Max 395+ เล่นเกม 1080p ลื่นไหลทุกค่าย YouTuber ชื่อดัง RandomGaminginHD ได้ทดสอบ Minisforum MS-S1 Max ที่ใช้ APU รุ่นท็อป Ryzen AI Max 395+ พร้อม iGPU Radeon 8060S และผลลัพธ์ก็เกินคาด: เล่นเกม AAA ที่ 1080p ได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก! Ryzen AI Max 395+ ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลงาน AI แต่กลับกลายเป็น “สัตว์ร้าย” ด้านเกม ด้วย iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 CUs และ 2,560 shader cores มากกว่า PlayStation 5 เสียอีก! แถมยังจับคู่กับ LPDDR5X บัส 256-bit ทำให้ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ได้ในบางกรณี RandomGaminginHD ทดสอบเกมดังหลายเกมที่ 1080p และผลลัพธ์น่าทึ่ง: 🎗️ Counter Strike 2: 263 FPS 🎗️ Kingdom Come Deliverance 2: 90 FPS 🎗️ Red Dead Redemption 2: 82 FPS 🎗️ Battlefield 6: 86 FPS 🎗️ Cyberpunk 2077 (RT Ultra): 45 FPS 🎗️ GTA 5 Enhanced: 77 FPS 🎗️ Marvel Rivals: 79 FPS 🎗️ Elden Ring: 60 FPS (เต็มเพดานเกม) 🎗️ Borderlands 4: 55 FPS 🎗️ Outer Worlds 2: 65 FPS แม้บางเกมจะใช้การตั้งค่ากราฟิกต่ำหรือปิดฟีเจอร์บางอย่าง เช่น global illumination หรือ ray tracing แต่ก็ยังให้ประสบการณ์เล่นเกมที่ดีเกินคาดสำหรับ iGPU Ryzen AI Max 395+ ยังสามารถรัน LLM ขนาดใหญ่ได้ และมีประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่าในด้าน tokens per second ซึ่งทำให้มันกลายเป็น APU ที่ “เกินตัว” ทั้งด้านเกมและงาน AI ✅ Ryzen AI Max 395+ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S ➡️ มี 40 CUs และ 2,560 shader cores ➡️ ใช้ LPDDR5X บัส 256-bit ➡️ ประสิทธิภาพเทียบชั้น RTX 4060 ในบางกรณี ✅ จุดเด่นของ APU Ryzen AI Max 395+ ➡️ รัน LLM ได้ดีเยี่ยม ➡️ ประสิทธิภาพด้าน AI สูงกว่า RTX 4090 ถึง 2 เท่า ➡️ เหมาะกับงาน AI และเกมในเครื่องขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/strix-halo-radeon-8060s-benchmarked-in-games-delivers-butter-smooth-1080p-performance-ryzen-ai-max-395-apu-is-a-pretty-solid-gaming-offering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันเพิ่มโทษทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ: จำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับกว่า 325,000 ดอลลาร์!

    รัฐบาลไต้หวันเสนอร่างกฎหมายใหม่เพิ่มโทษผู้ที่ทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการสื่อสาร โดยมีบทลงโทษสูงสุดถึง 7 ปี และปรับกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 325,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

    สายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่แค่ท่อส่งข้อมูลระหว่างประเทศ แต่เป็นเส้นเลือดหลักของการสื่อสารระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สายเคเบิลเหล่านี้ถูกตัดหรือเสียหายหลายครั้ง โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากเรือสินค้าจีนที่จงใจทำลาย

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ รัฐบาลไต้หวันจึงเสนอ “กฎหมายสายเคเบิลใต้น้ำ 7 ฉบับ” ที่เพิ่มบทลงโทษอย่างชัดเจน:
    ผู้ที่จงใจทำลาย: จำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับ 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    ผู้ที่ทำลายโดยไม่ตั้งใจ: จำคุก 6 เดือน และปรับ 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    เรือที่เกี่ยวข้อง: รัฐบาลมีสิทธิ์ยึดเรือทันที ไม่ว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์จะเป็นใคร

    นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้เรือทุกลำต้องติดตั้งระบบระบุตัวอัตโนมัติ (AIS) และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งสายเคเบิลใต้น้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ

    แม้การเปิดเผยตำแหน่งสายเคเบิลอาจดูเสี่ยง แต่รัฐบาลมองว่า “ฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว” การเปิดเผยต่อสาธารณะจะช่วยลดความผิดพลาดจากเรือทั่วไปที่ไม่รู้ว่ากำลังแล่นผ่านโครงสร้างสำคัญ

    นี่คือการส่งสัญญาณว่า “ข้อมูลคืออธิปไตย” และไต้หวันจะไม่ยอมให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารถูกคุกคามอีกต่อไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-penalty-for-damaging-undersea-cables-offenders-face-up-to-7-years-in-prison-and-usd325-000-in-fines
    🌐⚖️ ไต้หวันเพิ่มโทษทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ: จำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับกว่า 325,000 ดอลลาร์! รัฐบาลไต้หวันเสนอร่างกฎหมายใหม่เพิ่มโทษผู้ที่ทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการสื่อสาร โดยมีบทลงโทษสูงสุดถึง 7 ปี และปรับกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 325,000 ดอลลาร์สหรัฐ) สายเคเบิลใต้น้ำไม่ใช่แค่ท่อส่งข้อมูลระหว่างประเทศ แต่เป็นเส้นเลือดหลักของการสื่อสารระหว่างไต้หวันกับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สายเคเบิลเหล่านี้ถูกตัดหรือเสียหายหลายครั้ง โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากเรือสินค้าจีนที่จงใจทำลาย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ รัฐบาลไต้หวันจึงเสนอ “กฎหมายสายเคเบิลใต้น้ำ 7 ฉบับ” ที่เพิ่มบทลงโทษอย่างชัดเจน: 📍 ผู้ที่จงใจทำลาย: จำคุกสูงสุด 7 ปี และปรับ 10 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน 📍 ผู้ที่ทำลายโดยไม่ตั้งใจ: จำคุก 6 เดือน และปรับ 2 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน 📍 เรือที่เกี่ยวข้อง: รัฐบาลมีสิทธิ์ยึดเรือทันที ไม่ว่าผู้ถือกรรมสิทธิ์จะเป็นใคร นอกจากนี้ กฎหมายยังบังคับให้เรือทุกลำต้องติดตั้งระบบระบุตัวอัตโนมัติ (AIS) และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งสายเคเบิลใต้น้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ แม้การเปิดเผยตำแหน่งสายเคเบิลอาจดูเสี่ยง แต่รัฐบาลมองว่า “ฝ่ายตรงข้ามน่าจะรู้ตำแหน่งอยู่แล้ว” การเปิดเผยต่อสาธารณะจะช่วยลดความผิดพลาดจากเรือทั่วไปที่ไม่รู้ว่ากำลังแล่นผ่านโครงสร้างสำคัญ นี่คือการส่งสัญญาณว่า “ข้อมูลคืออธิปไตย” และไต้หวันจะไม่ยอมให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารถูกคุกคามอีกต่อไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม https://www.tomshardware.com/networking/taiwan-increases-penalty-for-damaging-undersea-cables-offenders-face-up-to-7-years-in-prison-and-usd325-000-in-fines
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง!

    เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ!

    Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี!

    Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210
    นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP!

    ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น!

    ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ

    ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด!

    สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง!

    Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ!

    ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

    ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    🔪🧊 ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง! 👋 เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? 🤦‍♀️ มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ! 🚨 Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี! ✨ Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210 นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP! ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น! 🥶 ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ 📐 ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด! 🛡️ สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง! 🚨 Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ! 🔥 ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ! 🛒 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล?

    คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H

    X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20%
    255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว

    ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง

    คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H
    X7 ได้ประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000
    ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000

    สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น
    358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores
    255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores
    LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    จุดเด่นของ Panther Lake
    เน้น iGPU มากกว่า CPU
    ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060
    อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case
    ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น

    https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    ⚙️📉 หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล? คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H 💠 X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000 💠 5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20% 💠 255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง ✅ คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H ➡️ X7 ได้ประมาณ 20,000 ➡️ 5 338H ได้ประมาณ 16,000 ➡️ ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000 ✅ สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น ➡️ 358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores ➡️ 255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores ➡️ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ เน้น iGPU มากกว่า CPU ➡️ ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060 ➡️ อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case ➡️ ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Leaked Intel Core Ultra X7 358H and Ultra 5 338H Cinebench R23 Scores Reveal Concerning CPU Performance
    Intel's upcoming Panther Lake laptop CPU configurations previously leaked, revealing a line-up ranging from the modest Core Ultra 3 320U, with 2 P-Cores and 4 LPE-Cores to the notably higher-end Core Ultra X9 388H, featuring 4 P-Cores, 8 E-Cores, and 4 LPE-Cores. Now, performance figures for the mor...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900!

    AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort

    AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น

    แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้

    ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น

    AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง

    AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance
    จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก
    ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs

    RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C
    ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C

    ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2
    รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000
    แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25
    แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4

    ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive
    Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น
    Roblox crash บน RX 7000
    Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000

    ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก
    อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด
    การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต

    RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    🛑💻 AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900! AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง ✅ AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ➡️ จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก ➡️ ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ✅ RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C ➡️ ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก ➡️ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2 ➡️ รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000 ➡️ แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25 ➡️ แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4 ✅ ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive ➡️ Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น ➡️ Roblox crash บน RX 7000 ➡️ Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000 ‼️ ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก ⛔ อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด ⛔ การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต ‼️ RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ ⛔ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนจับแก๊งปลอมชิป! อาจกระทบฮาร์ดแวร์ PC ทั่วโลก

    ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เก่ามารีแบรนด์เป็นชิปนำเข้าระดับพรีเมียมจาก Infineon และ Texas Instruments ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU โดยไม่รู้ตัว

    ตำรวจในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ได้รื้อถอนขบวนการปลอมแปลงชิปที่ใช้วิธีนำชิปเก่าที่ถูกทิ้งมาขัดลบรหัสเดิมด้วยเลเซอร์ แล้วติดฉลากใหม่ให้ดูเหมือนชิปนำเข้าจากบริษัทชั้นนำอย่าง Infineon และ Texas Instruments ก่อนส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ

    ชิปปลอมเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่ถูกส่งต่อแบบ B2B ไปยังผู้ผลิตอุปกรณ์ downstream เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบควบคุมอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอาจเผลอใช้ชิปปลอมในผลิตภัณฑ์ของตนโดยไม่รู้ตัว

    ปัญหาคือชิปปลอมมักไม่แสดงอาการผิดปกติทันที แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความร้อนหรือแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น รีบูตแบบสุ่มเมื่อ GPU boost ทำงาน หรือเสียงพัดลมผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปหลายสัปดาห์

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านการส่งออกชิประหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อในจีนบางรายหันไปใช้ชิปปลอมเพราะหาอะไหล่แท้ได้ยากขึ้น และราคาชิปแท้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ

    ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปอิเล็กทรอนิกส์
    ใช้ชิปเก่าขัดลบรหัสแล้วติดฉลากใหม่เป็นแบรนด์ดัง
    ส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ

    แบรนด์ที่ถูกปลอมแปลง
    Infineon: power MOSFETs และ driver ICs
    Texas Instruments: power controllers และ op-amps

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม downstream
    อาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU
    ปัญหาอาจไม่แสดงทันที แต่เกิดเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความเครียด

    การตอบสนองของทางการ
    มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อยหนึ่งราย
    ประสานงานกับผู้ผลิตต่างประเทศเพื่อตรวจสอบล็อตที่ได้รับผลกระทบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/police-bust-chip-relabeling-ring-in-shenzen
    🔍💻 จีนจับแก๊งปลอมชิป! อาจกระทบฮาร์ดแวร์ PC ทั่วโลก ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปที่นำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เก่ามารีแบรนด์เป็นชิปนำเข้าระดับพรีเมียมจาก Infineon และ Texas Instruments ซึ่งอาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU โดยไม่รู้ตัว ตำรวจในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ได้รื้อถอนขบวนการปลอมแปลงชิปที่ใช้วิธีนำชิปเก่าที่ถูกทิ้งมาขัดลบรหัสเดิมด้วยเลเซอร์ แล้วติดฉลากใหม่ให้ดูเหมือนชิปนำเข้าจากบริษัทชั้นนำอย่าง Infineon และ Texas Instruments ก่อนส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ ชิปปลอมเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายให้ผู้บริโภคโดยตรง แต่ถูกส่งต่อแบบ B2B ไปยังผู้ผลิตอุปกรณ์ downstream เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และระบบควบคุมอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอาจเผลอใช้ชิปปลอมในผลิตภัณฑ์ของตนโดยไม่รู้ตัว ปัญหาคือชิปปลอมมักไม่แสดงอาการผิดปกติทันที แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความร้อนหรือแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น รีบูตแบบสุ่มเมื่อ GPU boost ทำงาน หรือเสียงพัดลมผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปหลายสัปดาห์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านการส่งออกชิประหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อในจีนบางรายหันไปใช้ชิปปลอมเพราะหาอะไหล่แท้ได้ยากขึ้น และราคาชิปแท้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ✅ ตำรวจเซินเจิ้นจับขบวนการปลอมแปลงชิปอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ ใช้ชิปเก่าขัดลบรหัสแล้วติดฉลากใหม่เป็นแบรนด์ดัง ➡️ ส่งต่อผ่านบริษัทหน้าฉากที่แอบอ้างเป็นตัวแทนต่างประเทศ ✅ แบรนด์ที่ถูกปลอมแปลง ➡️ Infineon: power MOSFETs และ driver ICs ➡️ Texas Instruments: power controllers และ op-amps ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม downstream ➡️ อาจถูกนำไปใช้ในกราฟิกการ์ด เมนบอร์ด และ PSU ➡️ ปัญหาอาจไม่แสดงทันที แต่เกิดเมื่ออุปกรณ์อยู่ภายใต้ความเครียด ✅ การตอบสนองของทางการ ➡️ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อยหนึ่งราย ➡️ ประสานงานกับผู้ผลิตต่างประเทศเพื่อตรวจสอบล็อตที่ได้รับผลกระทบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/police-bust-chip-relabeling-ring-in-shenzen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน

    Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า

    ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ”

    Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว

    นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า

    แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้

    Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI
    เรียกว่า “distributed inference fleet”
    ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์
    รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว

    การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า
    ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า
    Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026

    แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home
    ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล
    อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    🚗🧠 Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ” Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้ ✅ Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI ➡️ เรียกว่า “distributed inference fleet” ➡️ ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์ ➡️ รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว ✅ การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ➡️ AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ➡️ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า ➡️ Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026 ✅ แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home ➡️ ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล ➡️ อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน

    ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน

    การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์

    แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้

    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม

    นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา

    สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี
    ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20%
    จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

    ความสำคัญของแร่หายาก
    ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์
    การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก

    ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน
    สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน
    Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด
    ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา

    ปฏิกิริยาจากจีน
    รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์
    ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    🌏🤝 สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้ สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา ✅ สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี ➡️ ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20% ➡️ จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ✅ ความสำคัญของแร่หายาก ➡️ ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ✅ ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ➡️ Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด ➡️ ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา ✅ ปฏิกิริยาจากจีน ➡️ รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler”

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399

    QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล

    รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ

    แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron)

    ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz

    แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S
    ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5
    มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5
    รองรับ RAID 0 และ RAID 5

    สเปกของ NAS
    ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB
    มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD
    พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    Sequential read/write ~1,400 MB/s
    Random write ~70,000 IOPS
    ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W

    การรับประกัน
    ตัว NAS รับประกัน 3 ปี
    SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด

    ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2
    แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน

    ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD
    รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52%
    ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    🖥️🏠 QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler” QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399 QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron) ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม ✅ QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S ➡️ ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5 ➡️ มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5 ➡️ รองรับ RAID 0 และ RAID 5 ✅ สเปกของ NAS ➡️ ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB ➡️ มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ Sequential read/write ~1,400 MB/s ➡️ Random write ~70,000 IOPS ➡️ ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W ✅ การรับประกัน ➡️ ตัว NAS รับประกัน 3 ปี ➡️ SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด ‼️ ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2 ⛔ แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน ‼️ ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD ⛔ รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52% ⛔ ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต!

    YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต”

    Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า

    แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ

    Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC

    ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11
    วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account
    วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0

    YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย
    ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต”
    ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน

    เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
    ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11
    ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC

    ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา
    ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ
    ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    📹⚠️ YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต! YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต” Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC ✅ ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 ➡️ วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account ➡️ วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0 ✅ YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย ➡️ ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต” ➡️ ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน ✅ เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ➡️ ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11 ➡️ ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC ✅ ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ ➡️ ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ

    Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร

    การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย

    Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD
    ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน
    ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป
    ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982

    เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM
    จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ
    ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

    ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน
    ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน

    การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป
    อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ
    ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน
    อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    🎯 Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย ✅ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD ➡️ ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป ➡️ ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982 ✅ เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM ➡️ จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ✅ ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ➡️ ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ➡️ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน ‼️ การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน ⛔ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ”

    ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์

    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล

    การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย

    นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021

    ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น

    มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์
    ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ
    การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร
    มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน”

    การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ
    สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง

    มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา
    เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ
    ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย

    อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา
    เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ
    ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    🛡️ “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ” ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021 ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น ✅ มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์ ➡️ ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร ➡️ มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน” ✅ การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ ➡️ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ➡️ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง ✅ มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา ➡️ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ ➡️ ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ✅ อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา ➡️ เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ ➡️ ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Malaysia urges Asean to expand defense cooperation in cyberspace
    Malaysia called on Oct 31 for fellow members of the Association of South-East Asian Nations to extend their security partnerships from the high seas to cyberspace at an annual meeting of the bloc's defense ministers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache

    กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร

    Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้

    อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ

    Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น:
    ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย
    เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่

    ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย
    ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน
    ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร
    รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์

    พฤติกรรมของ Akira Ransomware
    ใช้กลยุทธ์ double extortion
    มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi
    ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย
    เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ

    สถานะปัจจุบัน
    Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ
    ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice
    ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม
    ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด
    หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย

    https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    🕵️ Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ 🔐 Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น: 💠 ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย 💠 เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่ ✅ ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย ➡️ ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน ➡️ ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร ➡️ รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ พฤติกรรมของ Akira Ransomware ➡️ ใช้กลยุทธ์ double extortion ➡️ มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi ➡️ ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย ➡️ เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ ✅ สถานะปัจจุบัน ➡️ Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม ⛔ ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด ⛔ หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    HACKREAD.COM
    Akira Ransomware Claims It Stole 23GB from Apache OpenOffice
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ

    รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise

    อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก

    กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น:
    การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต
    การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ

    กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS)
    ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices
    ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford

    ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม
    ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ
    บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน

    ข้อยกเว้นตามกฎหมาย
    ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA

    https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    🚗 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน 📜 อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น: 💠 การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต 💠 การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ ✅ กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS) ➡️ ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices ➡️ ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford ✅ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม ➡️ ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ ➡️ บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน ✅ ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ➡️ ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต ➡️ ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California Is Cracking Down On People Using Hacks To Create Their Own 'Self-Driving' Cars - SlashGear
    California passed Senate Bill 1313 in September 2025 to ban the use and sale of devices that disable or interfere with cars' driver monitoring systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Maps ผสาน Gemini AI — ผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่สำหรับคนขับรถคนเดียว

    Google เตรียมอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับแอป Maps โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในรถของคุณ โดยเฉพาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่มีผู้โดยสารช่วยเหลือระหว่างเดินทาง

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถอยู่คนเดียว แล้วต้องการเปลี่ยนเส้นทาง หยุดแวะ หรือหลีกเลี่ยงทางด่วน — คุณสามารถพูดกับ Gemini ได้ทันที เช่น “พาไปเส้นที่ไม่มีค่าทางด่วน” หรือ “แวะร้านกาแฟก่อนถึงจุดหมาย” โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน

    Gemini จะเข้ามาแทนที่ปุ่มไมโครโฟนเดิมใน Maps ซึ่งเคยเรียก Google Assistant โดยตรง ตอนนี้เมื่อกดปุ่มนั้นจะเรียก Gemini แทน พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เข้าใจคำสั่งซับซ้อนมากขึ้น และสามารถโต้ตอบได้หลากหลายกว่าเดิม

    ฟีเจอร์นี้เริ่มปรากฏในเวอร์ชันเบต้าของแอป Maps บน Android และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเร็ว ๆ นี้

    การเปลี่ยนแปลงในแอป Maps
    Gemini เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Maps
    ปุ่มไมโครโฟนในหน้าการนำทางเรียก Gemini โดยตรง
    รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น เปลี่ยนเส้นทางหรือเพิ่มจุดแวะ

    ประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่
    เหมาะสำหรับผู้ขับรถคนเดียวที่ต้องการผู้ช่วย
    ลดการละสายตาจากถนนขณะใช้งาน
    เพิ่มความสะดวกในการควบคุมการนำทางด้วยเสียง

    ความสามารถของ Gemini
    ตอบคำถามทั่วไประหว่างขับรถ
    แนะนำจุดแวะพักหรือร้านอาหารระหว่างทาง
    เข้าใจคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง เช่น หลีกเลี่ยงทางด่วน

    https://www.slashgear.com/2011733/google-maps-gemini-ai-assistant-helpful-for-solo-drivers/
    🗺️ Google Maps ผสาน Gemini AI — ผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่สำหรับคนขับรถคนเดียว Google เตรียมอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับแอป Maps โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในรถของคุณ โดยเฉพาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่มีผู้โดยสารช่วยเหลือระหว่างเดินทาง ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถอยู่คนเดียว แล้วต้องการเปลี่ยนเส้นทาง หยุดแวะ หรือหลีกเลี่ยงทางด่วน — คุณสามารถพูดกับ Gemini ได้ทันที เช่น “พาไปเส้นที่ไม่มีค่าทางด่วน” หรือ “แวะร้านกาแฟก่อนถึงจุดหมาย” โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน Gemini จะเข้ามาแทนที่ปุ่มไมโครโฟนเดิมใน Maps ซึ่งเคยเรียก Google Assistant โดยตรง ตอนนี้เมื่อกดปุ่มนั้นจะเรียก Gemini แทน พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เข้าใจคำสั่งซับซ้อนมากขึ้น และสามารถโต้ตอบได้หลากหลายกว่าเดิม 📱 ฟีเจอร์นี้เริ่มปรากฏในเวอร์ชันเบต้าของแอป Maps บน Android และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเร็ว ๆ นี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงในแอป Maps ➡️ Gemini เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Maps ➡️ ปุ่มไมโครโฟนในหน้าการนำทางเรียก Gemini โดยตรง ➡️ รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น เปลี่ยนเส้นทางหรือเพิ่มจุดแวะ ✅ ประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ขับรถคนเดียวที่ต้องการผู้ช่วย ➡️ ลดการละสายตาจากถนนขณะใช้งาน ➡️ เพิ่มความสะดวกในการควบคุมการนำทางด้วยเสียง ✅ ความสามารถของ Gemini ➡️ ตอบคำถามทั่วไประหว่างขับรถ ➡️ แนะนำจุดแวะพักหรือร้านอาหารระหว่างทาง ➡️ เข้าใจคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง เช่น หลีกเลี่ยงทางด่วน https://www.slashgear.com/2011733/google-maps-gemini-ai-assistant-helpful-for-solo-drivers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Maps' New AI Assistant May Change The Game For Solo Drivers (Once It's Out Of Beta) - SlashGear
    Google looks to be swapping Assistant for Gemini in an upcoming version of Maps, which will introduce new AI-powered voice commands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว

    นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น

    ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น:

    ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง
    ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง

    นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง

    ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า
    อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา
    มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ
    ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง

    พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว
    อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ”
    หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่
    ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน

    แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต
    ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี
    ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น
    เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา

    https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    👽 “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น: 💠 ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง 💠 ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง 📡 ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ ✅ ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า ➡️ อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา ➡️ มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ ➡️ ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง ✅ พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว ➡️ อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ” ➡️ หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่ ➡️ ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน ✅ แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต ➡️ ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น ➡️ เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Sorry, UFO Fans: New Theory Says Alien Tech Isn't That Advanced - SlashGear
    Unfortunately for those hoping to be abducted, a new theory posits that aliens probably aren't as smart or technologically advanced as we hope they are.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive

    SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป

    เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง

    ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น:
    Loop มี entry เดียว
    ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop
    โครงสร้าง reducible control flow

    ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที

    ปัญหาของ Graphviz
    layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด
    node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย
    PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก

    จุดเด่นของ iongraph
    interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้
    layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน
    ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow

    ขั้นตอนของ layout algorithm
    Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow
    Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น
    Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย
    Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน
    Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node
    Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve

    ประสิทธิภาพ
    เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า
    Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที

    https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.html
    🧠 สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น: 📍 Loop มี entry เดียว 📍 ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop 📍 โครงสร้าง reducible control flow ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที ✅ ปัญหาของ Graphviz ➡️ layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด ➡️ node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย ➡️ PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก ✅ จุดเด่นของ iongraph ➡️ interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้ ➡️ layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน ➡️ ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow ✅ ขั้นตอนของ layout algorithm ➡️ Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow ➡️ Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น ➡️ Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย ➡️ Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน ➡️ Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node ➡️ Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve ✅ ประสิทธิภาพ ➡️ เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า ➡️ Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.html
    SPIDERMONKEY.DEV
    Who needs Graphviz when you can build it yourself?
    Exploring a new layout algorithm for control flow graphs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่

    Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง

    เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม

    เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง

    ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll
    เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก
    พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly
    เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ
    แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง

    ผลกระทบต่อผู้ชม
    ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล
    ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
    เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต

    Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล
    ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ
    พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass

    การเปลี่ยนแปลงในปี 2025
    ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้
    ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก
    ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ

    ผลกระทบต่อผู้ชม
    ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม
    ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
    เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต

    คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ
    หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง
    การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ

    นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง

    https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/
    🎬 Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง 📉 เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม 👥 เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง 📜 ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll 📍 เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก 📍 พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly 📍 เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ 📍 แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง 📺 ผลกระทบต่อผู้ชม 📍 ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล 📍 ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก 📍 เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ✅ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล ➡️ ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ ➡️ พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass ✅ การเปลี่ยนแปลงในปี 2025 ➡️ ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้ ➡️ ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก ➡️ ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ ‼️ ผลกระทบต่อผู้ชม ⛔ ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม ⛔ ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก ⛔ เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ ⛔ หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง ⛔ การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/
    DAIZ.MOE
    Crunchyroll is destroying its subtitles for no good reason
    With the Fall 2025 anime season, Crunchyroll demonstrates zero respect for anime as a medium as the presentation quality of its subtitles reach an all-time low.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native

    นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น:
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับการใช้ editor แบบ tabbed
    ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System
    เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ

    และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น

    สาระเพิ่มเติม
    การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!”
    GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json
    เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
    รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น
    ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
    รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot

    การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์
    เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System
    รองรับ CMake Test Presets
    เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux
    ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/

    การอัปเดตด้านเทคโนโลยี
    อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1
    ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++

    https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    🛠️ Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น: 🎗️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome 🎗️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว 🎗️ รองรับการใช้ editor แบบ tabbed 🎗️ ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System 🎗️ เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น 💡 สาระเพิ่มเติม 💠 การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!” 💠 GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น ➡️ รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json ➡️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome ➡️ รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว ➡️ รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ✅ การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์ ➡️ เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System ➡️ รองรับ CMake Test Presets ➡️ เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux ➡️ ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/ ✅ การอัปเดตด้านเทคโนโลยี ➡️ อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 ➡️ ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++ https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support
    9TO5LINUX.COM
    Qt Creator 18 Open-Source IDE Released with Experimental Container Support - 9to5Linux
    Qt Creator 18 open-source IDE (Integrated Development Environment) is now available for download with various improvements. Here’s what’s new!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์

    Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง

    Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์

    แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย

    Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย

    ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย:
    อีเมล (100%)
    ชื่อ (90%)
    ข้อมูลติดต่อ (72%)
    รหัสผ่าน (49%)

    แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ
    Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web
    การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์

    Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์

    https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/
    🔍 Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย: 🎗️ อีเมล (100%) 🎗️ ชื่อ (90%) 🎗️ ข้อมูลติดต่อ (72%) 🎗️ รหัสผ่าน (49%) แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่ 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ 💠 Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web 💠 การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์ https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ XWiki และ VMware ถูกโจมตีจริงแล้ว — องค์กรต้องเร่งอุดช่องโหว่ทันที

    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนว่าช่องโหว่ใน XWiki และ VMware กำลังถูกใช้โจมตีอย่างต่อเนื่องในโลกจริง พร้อมแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบระบบโดยด่วน

    CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้เพิ่มช่องโหว่สองรายการลงใน Known Exploited Vulnerabilities (KEV) ซึ่งหมายความว่า “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2023-41327 ใน XWiki ซึ่งเป็นระบบจัดการเอกสารแบบโอเพ่นซอร์สที่หลายองค์กรใช้สำหรับวิกิภายใน ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน — แปลว่าแค่เปิดหน้าเว็บก็อาจโดนเจาะได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation ซึ่งเป็นระบบจัดการการทำงานอัตโนมัติในคลาวด์ ช่องโหว่นี้เปิดให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญหรือควบคุมระบบได้จากระยะไกลเช่นกัน

    CISA ระบุว่าองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ควรอัปเดตแพตช์ทันที และตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อดูว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต

    การที่ช่องโหว่เหล่านี้ถูกเพิ่มลงใน KEV หมายความว่าเป็นภัยระดับสูง และอาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือกลุ่ม ransomware ที่มุ่งเป้าโจมตีองค์กรขนาดใหญ่

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    Known Exploited Vulnerabilities (KEV) คือรายการช่องโหว่ที่ “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่เสี่ยง
    VMware Aria Automation เคยเป็นส่วนหนึ่งของ vRealize Automation ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์ระดับองค์กร
    XWiki เป็นระบบที่นิยมในองค์กรด้านวิจัย การศึกษา และเทคโนโลยี เพราะมีความยืดหยุ่นสูง

    ช่องโหว่ที่ถูกใช้งานจริง
    CVE-2023-41327 ใน XWiki (Remote Code Execution)
    CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation (Remote Access)
    ถูกเพิ่มลงในรายการ Known Exploited Vulnerabilities ของ CISA

    ผลกระทบต่อองค์กร
    เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกล
    อาจถูกขโมยข้อมูลหรือควบคุมระบบ
    มีความเสี่ยงสูงหากเปิดระบบให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต

    คำแนะนำจาก CISA
    อัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที
    ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาการเข้าถึงผิดปกติ
    ปิดการเข้าถึงจากภายนอกหากไม่จำเป็น

    https://securityonline.info/cisa-warns-of-active-exploitation-in-xwiki-and-vmware-vulnerabilities/
    🚨 CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ XWiki และ VMware ถูกโจมตีจริงแล้ว — องค์กรต้องเร่งอุดช่องโหว่ทันที หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนว่าช่องโหว่ใน XWiki และ VMware กำลังถูกใช้โจมตีอย่างต่อเนื่องในโลกจริง พร้อมแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบระบบโดยด่วน CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้เพิ่มช่องโหว่สองรายการลงใน Known Exploited Vulnerabilities (KEV) ซึ่งหมายความว่า “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ช่องโหว่แรกคือ CVE-2023-41327 ใน XWiki ซึ่งเป็นระบบจัดการเอกสารแบบโอเพ่นซอร์สที่หลายองค์กรใช้สำหรับวิกิภายใน ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน — แปลว่าแค่เปิดหน้าเว็บก็อาจโดนเจาะได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation ซึ่งเป็นระบบจัดการการทำงานอัตโนมัติในคลาวด์ ช่องโหว่นี้เปิดให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญหรือควบคุมระบบได้จากระยะไกลเช่นกัน CISA ระบุว่าองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ควรอัปเดตแพตช์ทันที และตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อดูว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต การที่ช่องโหว่เหล่านี้ถูกเพิ่มลงใน KEV หมายความว่าเป็นภัยระดับสูง และอาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือกลุ่ม ransomware ที่มุ่งเป้าโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 Known Exploited Vulnerabilities (KEV) คือรายการช่องโหว่ที่ “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่เสี่ยง 💠 VMware Aria Automation เคยเป็นส่วนหนึ่งของ vRealize Automation ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์ระดับองค์กร 💠 XWiki เป็นระบบที่นิยมในองค์กรด้านวิจัย การศึกษา และเทคโนโลยี เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้งานจริง ➡️ CVE-2023-41327 ใน XWiki (Remote Code Execution) ➡️ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation (Remote Access) ➡️ ถูกเพิ่มลงในรายการ Known Exploited Vulnerabilities ของ CISA ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกล ➡️ อาจถูกขโมยข้อมูลหรือควบคุมระบบ ➡️ มีความเสี่ยงสูงหากเปิดระบบให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต ✅ คำแนะนำจาก CISA ➡️ อัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที ➡️ ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาการเข้าถึงผิดปกติ ➡️ ปิดการเข้าถึงจากภายนอกหากไม่จำเป็น https://securityonline.info/cisa-warns-of-active-exploitation-in-xwiki-and-vmware-vulnerabilities/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns of Active Exploitation in XWiki and VMware Vulnerabilities
    CISA adds XWiki (CVE-2025-24893) and VMware (CVE-2025-41244) to its KEV Catalog after confirming active exploitation in the wild.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts