• “ไหหลำ vs ฮ่องกง” เมื่อจีนกำลังสร้างพื้นที่การค้าเสรีใหญ่ที่สุด
    .
    บูรพาไม่แพ้เพิ่งมีโอกาสเดินทางไปมณฑลไห่หนาน เมื่อปลายเดือนมีนาคม ซึ่งปี 2568 นี้เป็นปีสำคัญที่ มณฑลไห่หนานได้เปิดพื้นที่การค้าเสรีแบบทั้งมณฑล เราได้ไปเห็นเศรษฐกิจในไห่หนาน ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว, การเป็นเมืองท่าการค้า รวมถึงเป็นศูนย์ชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี หรือ ดิวตี้ฟรี ซึ่งก็มีต้นแบบมาจาก ฮ่องกง
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ จะเล่าเรื่องของ มณฑลไห่หนาน หรือเกาะไหหลำ ว่าจะเทียบชั้นกับ ฮ่องกง ได้หรือไม่ และการสร้างพื้นที่ทางการค้าเสรีของไห่หนาน มีความสำเร็จและสิ่งที่ต้องปรับปรุงอะไรอีกบ้าง?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=J3TuiUKxq2g
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #ไห่หนาน #ไหหลำ #ฮ่องกง
    “ไหหลำ vs ฮ่องกง” เมื่อจีนกำลังสร้างพื้นที่การค้าเสรีใหญ่ที่สุด . บูรพาไม่แพ้เพิ่งมีโอกาสเดินทางไปมณฑลไห่หนาน เมื่อปลายเดือนมีนาคม ซึ่งปี 2568 นี้เป็นปีสำคัญที่ มณฑลไห่หนานได้เปิดพื้นที่การค้าเสรีแบบทั้งมณฑล เราได้ไปเห็นเศรษฐกิจในไห่หนาน ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว, การเป็นเมืองท่าการค้า รวมถึงเป็นศูนย์ชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษี หรือ ดิวตี้ฟรี ซึ่งก็มีต้นแบบมาจาก ฮ่องกง . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ จะเล่าเรื่องของ มณฑลไห่หนาน หรือเกาะไหหลำ ว่าจะเทียบชั้นกับ ฮ่องกง ได้หรือไม่ และการสร้างพื้นที่ทางการค้าเสรีของไห่หนาน มีความสำเร็จและสิ่งที่ต้องปรับปรุงอะไรอีกบ้าง? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=J3TuiUKxq2g . #บูรพาไม่แพ้ #ไห่หนาน #ไหหลำ #ฮ่องกง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.117 : “ไหหลำ vs ฮ่องกง” เมื่อจีนสร้างพื้นที่การค้าเสรีใหญ่ที่สุด

    https://www.youtube.com/watch?v=J3TuiUKxq2g
    บูรพาไม่แพ้ Ep.117 : “ไหหลำ vs ฮ่องกง” เมื่อจีนสร้างพื้นที่การค้าเสรีใหญ่ที่สุด https://www.youtube.com/watch?v=J3TuiUKxq2g
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.114 : Make Thailand Great Again มุมมองจาก ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม
    .
    รายการวันนี้มีความพิเศษ คือ คุณศุภชัยรายงานตรง มาจากเวทีการประชุมใหญ่ประจำปีของ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ที่เกาะไห่หนาน หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า ไหหลำ ในประเทศจีน
    .
    สำหรับ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม เป็นการประชุมระหว่างประเทศ ที่จัดขึ้นโดยมี ประเทศจีน เป็นแกนนำ พร้อมด้วยความร่วมมือของ 26 ประเทศในเอเชีย และออสเตรเลีย โดยชื่อของ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ก็มาจากชื่อตำบลป๋ออ๋าว ในมณฑลไห่หนาน ซึ่งเป็นที่จัดการประชุมหลักเป็นประจำทุกปี
    .
    โดยเวทีการประชุมป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ที่คุณศุภชัยไปร่วมงานในขณะนี้นั้น ถูกเรียกกันว่าเป็น “การประชุมดาวอสแห่งเอเชีย” เพราะว่ามีบทบาทคล้ายกับเวที World Economic Forum ที่จัดขึ้นเป็นประจำที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย “เวทีดาวอส” ส่วนใหญ่จะหารือกันเรื่องของเศรษฐกิจโลกในทัศนะ หรือ มุมมองของชาติตะวันตก แต่ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม จะให้ความสำคัญกับชาติเอเชียเป็นหลัก ......
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=5YsjpZNbVkI
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #BoaoForum #ป๋ออ่าวฟอรั่ม
    บูรพาไม่แพ้ Ep.114 : Make Thailand Great Again มุมมองจาก ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม . รายการวันนี้มีความพิเศษ คือ คุณศุภชัยรายงานตรง มาจากเวทีการประชุมใหญ่ประจำปีของ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ที่เกาะไห่หนาน หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า ไหหลำ ในประเทศจีน . สำหรับ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม เป็นการประชุมระหว่างประเทศ ที่จัดขึ้นโดยมี ประเทศจีน เป็นแกนนำ พร้อมด้วยความร่วมมือของ 26 ประเทศในเอเชีย และออสเตรเลีย โดยชื่อของ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ก็มาจากชื่อตำบลป๋ออ๋าว ในมณฑลไห่หนาน ซึ่งเป็นที่จัดการประชุมหลักเป็นประจำทุกปี . โดยเวทีการประชุมป๋ออ๋าว ฟอรั่ม ที่คุณศุภชัยไปร่วมงานในขณะนี้นั้น ถูกเรียกกันว่าเป็น “การประชุมดาวอสแห่งเอเชีย” เพราะว่ามีบทบาทคล้ายกับเวที World Economic Forum ที่จัดขึ้นเป็นประจำที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย “เวทีดาวอส” ส่วนใหญ่จะหารือกันเรื่องของเศรษฐกิจโลกในทัศนะ หรือ มุมมองของชาติตะวันตก แต่ ป๋ออ๋าว ฟอรั่ม จะให้ความสำคัญกับชาติเอเชียเป็นหลัก ...... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=5YsjpZNbVkI . #บูรพาไม่แพ้ #BoaoForum #ป๋ออ่าวฟอรั่ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27/2/68

    ประวัติอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    https://youtu.be/ptET6EOeFwo?si=F24iH5N_QJ1sO4-O

    ประวัติ

    เกิด 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 (54ปี) กรุงเทพมหานคร ถิ่นพำนัก กรุงเทพมหานคร สัญชาติไทย

    ประวัติการศึกษา

    โรงเรียนอัสสัมชัญ รุ่น 103
    พ.ศ. 2536 : ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
    พ.ศ. 2539 : ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
    อาชีพ
    นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ผู้จัดรายการ

    ปีปฏิบัติงาน

    พ.ศ. 2519 - 2550 : เป็นที่รู้จักจากแกนนำกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2
    โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

    พ.ศ. 2549 : การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551
    ศาสนา : ศาสนาพุทธ

    บิดามารดา
    นายเจริญ และ นางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์

    ญาติ
    พรรคความหวังใหม่
    โฆษกและแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2
    สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และ เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิตChoawalit Chotwattanaphong [2]อดีตผู้จัดรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายเจริญ และนางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ บิดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ และมารดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว นามสกุล "พัวพงษ์พันธ์" ตั้งให้สอดคล้องกับแซ่ "พัว" ของตระกูลนั่นเอง

    ประวัติชีวิต

    นายปานเทพเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา การเงินการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นสมาชิกเครือข่ายสันติอโศกโดยมีถูกวางบทบาทในด้านสุขภาพ การเมือง และอื่นๆ

    เมื่อกลับมาเมืองไทยได้เข้าทำงานกับองค์กรภาคเอกชน โดยเข้าไปเป็นผู้บริหารดูด้านการเงิน และการก่อสร้างอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540

    ประวัติทางการเมือง

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เข้าสู่วงการเมือง โดยมีผู้แนะนำให้รู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ. 2541 โดยเข้าไปช่วยงานในพรรคความหวังใหม่ ขณะที่มีอายุ 28 ปี กระทั่งได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่[3] และมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองโฆษกพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2544 ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนัง ด้วยวัย 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย

    เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ยุบพรรคความหวังใหม่ รวมกับพรรคไทยรักไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เป็นทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจในช่วง รัฐบาลทักษิณ 1 โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจภาคใต้ ก่อนที่จะถอนตัวในเวลาต่อมาด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน และหลังจากนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลทักษิณมาโดยตลอด โดยชื่อของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โด่งดังอีกครั้ง เมื่อออกหนังสือชื่อ "บันทึกลับ ๒๕๔o" โดยมีเนื้อหาชี้แจงถึงปัญหาเศรษฐกิจในช่วงที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกโจมตีว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤต

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลมาโดยตลอด เช่น การเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐชื่อ "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" รวมไปถึงเคยจัดรายการโทรทัศน์ทาง UBC ช่อง 7 ร่วมกับดุสิต ศิริวรรณ ด้วยอยู่ช่วงหนึ่ง ในชื่อรายการ "โต๊ะข่าวเช้านี้"

    ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปานเทพ ได้เข้าไปทำงานในเครือผู้จัดการ ของสนธิ ลิ้มทองกุล และได้ทำรายการในเอเอสทีวี (ASTV) คือรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ในช่วงเวลา 20:30น.- 21:30น. ทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ และเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอีกด้วย ซึ่งยังทำมาจนถึงปัจจุบัน

    ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2549 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวที และในการขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ.ศ. 2551 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังคงทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีอย่างต่อเนื่อง

    นอกเหนือจากรายการที่ เอเอสทีวี แล้ว ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังมีรายการ "เวทีเสรี" ที่อออกอากาศ ช่วง 21.00 - 22.00 น. ทาง ทีทีวี ช่อง เอ็มวี1 ด้วย โดยเป็นวิทยากรประจำวันอังคาร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ออกอากาศแล้ว

    ได้รับแต่งตั้งให้เป็นโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นนักวิชาการบนเวทีที่พูดในประเด็นกรณีเขาพระวิหาร เมื่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ชื่อการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พ.ศ. 2554 คู่กับเทพมนตรี ลิมปพยอม

    ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปานเทพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 พร้อมกับ ประพันธ์ คูณมี

    และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ปานเทพได้ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ว่าอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้ เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่

    ผลงานหนังสือ

    บันทึกลับ 2540
    ประเทศไทยได้รับบทเรียนอะไรจากการปิด 56 สถาบันการเงินเป็นการถาวร
    ผ่าทางตันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ.
    บทเรียนขายหุ้นชินคอร์ป ระเบียบ ก.ล.ต. -ภาษี-จริยธรรม
    สงครามจิตวิทยาราคาน้ำมัน
    มหกรรมผลประโยชน์ทับซ้อน
    33 ประเด็นถาม-ตอบ ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน
    คำเตือนสุดท้าย ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน
    cr: http://www.cannhealth.in.th
    : บ้านคนดัง Celebrity Homes 4
    27/2/68 ประวัติอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ https://youtu.be/ptET6EOeFwo?si=F24iH5N_QJ1sO4-O ประวัติ เกิด 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 (54ปี) กรุงเทพมหานคร ถิ่นพำนัก กรุงเทพมหานคร สัญชาติไทย ประวัติการศึกษา โรงเรียนอัสสัมชัญ รุ่น 103 พ.ศ. 2536 : ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พ.ศ. 2539 : ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อาชีพ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ผู้จัดรายการ ปีปฏิบัติงาน พ.ศ. 2519 - 2550 : เป็นที่รู้จักจากแกนนำกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ. 2549 : การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 ศาสนา : ศาสนาพุทธ บิดามารดา นายเจริญ และ นางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ ญาติ พรรคความหวังใหม่ โฆษกและแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และ เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต[1][2]อดีตผู้จัดรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" และคอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2513 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายเจริญ และนางสุจิตรา พัวพงษ์พันธ์ บิดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ และมารดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว นามสกุล "พัวพงษ์พันธ์" ตั้งให้สอดคล้องกับแซ่ "พัว" ของตระกูลนั่นเอง ประวัติชีวิต นายปานเทพเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และระดับปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา การเงินการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นสมาชิกเครือข่ายสันติอโศกโดยมีถูกวางบทบาทในด้านสุขภาพ การเมือง และอื่นๆ เมื่อกลับมาเมืองไทยได้เข้าทำงานกับองค์กรภาคเอกชน โดยเข้าไปเป็นผู้บริหารดูด้านการเงิน และการก่อสร้างอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540 ประวัติทางการเมือง ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เข้าสู่วงการเมือง โดยมีผู้แนะนำให้รู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ. 2541 โดยเข้าไปช่วยงานในพรรคความหวังใหม่ ขณะที่มีอายุ 28 ปี กระทั่งได้เป็นกรรมการบริหารพรรค เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่[3] และมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองโฆษกพรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ. 2544 ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนัง ด้วยวัย 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ยุบพรรคความหวังใหม่ รวมกับพรรคไทยรักไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้เป็นทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจในช่วง รัฐบาลทักษิณ 1 โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจภาคใต้ ก่อนที่จะถอนตัวในเวลาต่อมาด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน และหลังจากนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลทักษิณมาโดยตลอด โดยชื่อของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โด่งดังอีกครั้ง เมื่อออกหนังสือชื่อ "บันทึกลับ ๒๕๔o" โดยมีเนื้อหาชี้แจงถึงปัญหาเศรษฐกิจในช่วงที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกโจมตีว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤต ปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลมาโดยตลอด เช่น การเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐชื่อ "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" รวมไปถึงเคยจัดรายการโทรทัศน์ทาง UBC ช่อง 7 ร่วมกับดุสิต ศิริวรรณ ด้วยอยู่ช่วงหนึ่ง ในชื่อรายการ "โต๊ะข่าวเช้านี้" ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ปานเทพ ได้เข้าไปทำงานในเครือผู้จัดการ ของสนธิ ลิ้มทองกุล และได้ทำรายการในเอเอสทีวี (ASTV) คือรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ในช่วงเวลา 20:30น.- 21:30น. ทุกวันจันทร์ ถึง ศุกร์ และเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอีกด้วย ซึ่งยังทำมาจนถึงปัจจุบัน ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2549 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวที และในการขับไล่ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ.ศ. 2551 ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังคงทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากรายการที่ เอเอสทีวี แล้ว ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังมีรายการ "เวทีเสรี" ที่อออกอากาศ ช่วง 21.00 - 22.00 น. ทาง ทีทีวี ช่อง เอ็มวี1 ด้วย โดยเป็นวิทยากรประจำวันอังคาร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ออกอากาศแล้ว ได้รับแต่งตั้งให้เป็นโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นนักวิชาการบนเวทีที่พูดในประเด็นกรณีเขาพระวิหาร เมื่อการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ชื่อการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน พ.ศ. 2554 คู่กับเทพมนตรี ลิมปพยอม ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปานเทพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 พร้อมกับ ประพันธ์ คูณมี และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ปานเทพได้ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ว่าอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้ เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่ ผลงานหนังสือ บันทึกลับ 2540 ประเทศไทยได้รับบทเรียนอะไรจากการปิด 56 สถาบันการเงินเป็นการถาวร ผ่าทางตันแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กฟผ. บทเรียนขายหุ้นชินคอร์ป ระเบียบ ก.ล.ต. -ภาษี-จริยธรรม สงครามจิตวิทยาราคาน้ำมัน มหกรรมผลประโยชน์ทับซ้อน 33 ประเด็นถาม-ตอบ ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน คำเตือนสุดท้าย ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน cr: http://www.cannhealth.in.th : บ้านคนดัง Celebrity Homes 4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1092 มุมมอง 0 รีวิว
  • พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน!
    "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย
    นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ
    .
    วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก
    .
    สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก
    .
    นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า !
    .
    ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก”
    .
    ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า
    .
    จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว
    .
    ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน

    “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ
    .
    ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้
    .
    จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี
    .
    คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย
    >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0
    .
    .
    อ้างอิง :
    • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian
    https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian
    • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    พันธุ์เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน! "ทุเรียนจีน" แพ้ "ทุเรียนไทย" กระจุย นักวิทย์จีนอึ้ง สารอาหารต่างกันลิบลับ . วันนี้ (22 ธ.ค.) สื่อเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ของฮ่องกงรายงานว่าจากผลการตรวจสอบสารอาหารของทุเรียนที่เพาะปลูกบนเกาะไหหลำ (มณฑลไห่หนาน) ของจีนนั้น พบว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำกว่าทุเรียนพันธุ์เดียวกันที่นำเข้าจากประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก . สำหรับการศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรก ๆ ในเรื่องนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำยกตัวอย่างว่า "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" ที่ปลูกในประเทศจีนนั้นไม่มีสารเคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเลย ในขณะที่ทุเรียนหมอนทองที่ปลูกในไทยอุดมด้วยสารเคอร์ซิตินจำนวนมาก . นอกจากนี้ ทุเรียนที่ปลูกบนเกาะไหหลำพันธุ์เดียวที่มีสารเคอร์ซิตินอยู่บ้างคือ "ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว" แต่สารเคอร์ซิตินที่มีนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าทุเรียนก้านยานที่ปลูกประะเทศไทยถึง 520 เท่า และต่ำกว่าพันธุ์หมอนทองของไทยถึง 540,000 เท่า ! . ในส่วนของกรดแกลลิก (Gallic Acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และต้านมะเร็ง นักวิจัยของจีนพบว่า ไม่พบสารดังกล่าวในพันธุ์ก้านยาวที่ปลูกในจีน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ แต่ระดับของกรดแกลลิกในพันธุ์หมอนทองนั้น “ต่ำกว่าระดับที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้มาก” . ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาคุณค่าทางอาหารของ "ทุเรียนไทย" ในปี 2551 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว "ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง" มีกรดแกลลิกราว 2,072 ไมโครกรัมต่อทุเรียน 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าทุเรียนที่ปลูกในจีนซึ่งมีกรดแกลลิกเพียงแค่ 22.85 นาโนกรัม ถึง 906 เท่า . จาง จิง หัวหน้าคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซานย่าหนานฝานแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรไหหลำ (海南大学南繁学院) ให้เหตุผลว่า “ความแตกต่างของสภาพอากาศและปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารในดินอาจส่งผลต่อการสะสมสารอาหารในระหว่างกระบวนการเจริญเติบโตของทุเรียน โดยอาจส่งผลให้มีสารบางชนิดในปริมาณที่สูงขึ้น ในขณะที่บางชนิดอาจไม่มีเลย” เธอกล่าว . ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสารภาษาจีน Food and Fermentation Industries (食品与发酵工业) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา นักวิจัยระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในทุเรียน 3 ชนิดที่ศึกษา ได้แก่ พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว และมูซังคิง ได้แก่ โพรไซยานิดิน บี 1, คาเทชิน และเคอร์ซิติน “ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าก้านยาวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลองที่แข็งแกร่งที่สุด (จากทั้งสามชนิด)” นักวิจัยจีนระบุ . ปัจจุบันจีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทุเรียนมากที่สุดในโลก โดยจีนนำเข้าทุเรียนมากถึง 95% ของทั่วโลก โดยต่อมาในปี 2561 จีนได้ดำเนินการเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ที่เกาะไหหลำ ซึ่งเป็พื้นที่เพียงแห่งเดียวที่มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการปลูกผลไม้เขตร้อนชนิดนี้ . จริง ๆ แล้ว จีนเริ่มมีการเพาะพันธุ์ทุเรียนอย่างจริงจังที่มณฑลไห่หนาน หรือ เกาะไหหลำเมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2501 โดยมีการนำต้นกล้าทุเรียนจากประเทศมาเลเซียเข้ามาปลูกบนเกาะ แต่เนื่องจากเทคโนโลยีการปลูก และการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด จึงมีต้นทุเรียนเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้ จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 60 ปี นักวิทยาศาสตร์และเกษตรกรของจีนได้ทำการผสมเกสรเทียม ปรับปรุงพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีการเกษตรในการปลูกทุเรียนจนประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ เกาะไหหลำมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากกว่า 10,000 ไร่ ให้ผลผลิตทุเรียนมากถึง 40,000 ตันต่อปี แต่ว่าก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าทุเรียนของจีนที่คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้าน 4 แสนตันต่อปี . คลิกฟัง Podcast บูรพาไม่แพ้ Ep.96 : ไหวไหม? ทุเรียน Made in China ท้าแข่งทุเรียนไทย >> https://www.youtube.com/watch?v=6khyvzCT5H0 . . อ้างอิง : • Scientists find key nutrient missing in China-grown durian https://www.scmp.com/news/china/science/article/3291480/scientists-find-key-nutrient-missing-china-grown-durian • ภาพประกอบจากwww.xinhuathai.com
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 955 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ปรากฏแสงปริศนา มีลักษณะเป็นแสงสีขาวพร่ามัว รูปร่างเป็นโคนคล้ายดาวหาง เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ พบเห็นได้หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบนจากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่มีการแชร์เป็นจำนวนมากในโซเชียลมีเดีย รูปพรรณสัณฐานที่ปรากฏ และเวลาที่พบเห็นสอดคล้องกับลักษณะของชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ของจรวด Long March 5B ที่ถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจรวด Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1ลักษณะของแสงปริศนาดังกล่าว มีสีออกขาว มีจุดสว่างหนึ่งจุดพร้อมกับโคนที่ฟุ้งออกไปเป็นวงกว้าง ดูคล้ายกับภาพถ่ายดาวหาง แต่มีความสว่างกว่าเป็นอย่างมาก อีกทั้งวัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ได้ โดยเคลื่อนที่ช้า ๆ เยื้องไปทางทิศเหนือ จากรูปพรรณสัณฐานเช่นนี้ สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับวัตถุจำพวกชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ที่ดับแล้ว โดยจะมีชิ้นส่วนของตัวถังเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์จรวด พร้อมกับแก๊สขับดันที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว เคลื่อนที่ไปพร้อม ๆ กันโดยในบางครั้งตัวจรวดอาจจะยังคงมีพลาสมาที่หลงเหลืออยู่ปล่อยออกมาบ้างเล็กน้อย และส่องสว่างเรือง ๆ เป็นสีฟ้าจาง ๆ แต่หากพบเห็นในช่วงหัวค่ำ อย่างในกรณีของเมื่อค่ำวันที่ 16 ธ.ค. 67 อาจจะสะท้อนแสงอาทิตย์ปรากฏเป็นสีขาวหากจำกันได้ ประเทศไทยเราเคยพบเห็นเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2564 ที่มีผู้พบเห็นแสงจากชิ้นส่วนจรวดตอนบนของจรวด Ariane 5 ที่บรรทุกกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (JWST) (ตามภาพ - ใน comment)สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีจรวดเพียงลำเดียวที่ถูกปล่อยจากฐานปล่อยจรวดทั่วโลกในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 นั่นคือจรวด Long March 5B ปล่อยออกจากฐาน Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1 เมื่อเวลา 17:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนที่คนไทยจะพบเห็นแสงปริศนาดังกล่าวปกติแล้วจรวดที่ปล่อยออกจากพื้นโลก จะเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก เพื่อใช้ประโยชน์จากทิศทางการหมุนของโลกในการลดเชื้อเพลิง ดังนั้นจรวด Long March 5B ของจีนจึงไม่ได้ผ่านเหนือน่านฟ้าประเทศไทยโดยตรงระหว่างการขึ้น อย่างไรก็ตาม ภารกิจของจรวดนี้เป็นการส่งดาวเทียมเครือข่าย (constellation satellite) เพื่อภารกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลภายใต้เครือข่าย GuoWang ของจีน ซึ่งจะต้องอาศัยแรงขับดันหลักจากจรวดตอนบนในการเดินทางไปยังวงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit) ก่อนที่ดาวเทียมจะถูกปล่อยออกไปด้วยเหตุนี้ ทำให้ภายหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจแล้ว ชิ้นส่วนจรวดตอนบน เชื้อเพลิงบางส่วนที่ถูกขับออกมา และพลาสมาที่ถูกปล่อยทิ้งออกมาในภายหลัง ล้วนแล้วแต่จะเคลื่อนที่ต่อไปในวงโคจรต่ำของโลก ซึ่งใช้เวลาในการโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ เพียงเวลาประมาณ 90-120 นาที ซึ่งเวลาดังกล่าวสอดคล้องกับเวลาที่พบเห็นทั้งจรวดและเชื้อเพลิงเหนือน่านฟ้าประเทศไทย หลังจากเวลาปล่อยจรวดออกจากฐานประมาณสองชั่วโมงพอดี จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจากชิ้นส่วนตอนบนของจรวด Long March 5B ของจีนซึ่งหลังจากที่จรวดและเชื้อเพลิงโคจรรอบโลกไปสักพักหนึ่ง แรงต้านจากชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก จะทำให้ชิ้นส่วนดังกล่าวค่อย ๆ เคลื่อนที่ช้าลง จนไม่สามารถคงวงโคจรต่ำอีกต่อไปได้ ก่อนที่จะเผาไหม้หมดไปในชั้นบรรยากาศระหว่างที่ตกกลับลงมาภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกไปในที่สุดเรียบเรียง: ดร.มติพล ตั้งมติธรรม - นักวิชาการ สดร.
    ล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ปรากฏแสงปริศนา มีลักษณะเป็นแสงสีขาวพร่ามัว รูปร่างเป็นโคนคล้ายดาวหาง เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ พบเห็นได้หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบนจากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่มีการแชร์เป็นจำนวนมากในโซเชียลมีเดีย รูปพรรณสัณฐานที่ปรากฏ และเวลาที่พบเห็นสอดคล้องกับลักษณะของชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ของจรวด Long March 5B ที่ถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจรวด Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1ลักษณะของแสงปริศนาดังกล่าว มีสีออกขาว มีจุดสว่างหนึ่งจุดพร้อมกับโคนที่ฟุ้งออกไปเป็นวงกว้าง ดูคล้ายกับภาพถ่ายดาวหาง แต่มีความสว่างกว่าเป็นอย่างมาก อีกทั้งวัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ได้ โดยเคลื่อนที่ช้า ๆ เยื้องไปทางทิศเหนือ จากรูปพรรณสัณฐานเช่นนี้ สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับวัตถุจำพวกชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ที่ดับแล้ว โดยจะมีชิ้นส่วนของตัวถังเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์จรวด พร้อมกับแก๊สขับดันที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว เคลื่อนที่ไปพร้อม ๆ กันโดยในบางครั้งตัวจรวดอาจจะยังคงมีพลาสมาที่หลงเหลืออยู่ปล่อยออกมาบ้างเล็กน้อย และส่องสว่างเรือง ๆ เป็นสีฟ้าจาง ๆ แต่หากพบเห็นในช่วงหัวค่ำ อย่างในกรณีของเมื่อค่ำวันที่ 16 ธ.ค. 67 อาจจะสะท้อนแสงอาทิตย์ปรากฏเป็นสีขาวหากจำกันได้ ประเทศไทยเราเคยพบเห็นเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2564 ที่มีผู้พบเห็นแสงจากชิ้นส่วนจรวดตอนบนของจรวด Ariane 5 ที่บรรทุกกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (JWST) (ตามภาพ - ใน comment)สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีจรวดเพียงลำเดียวที่ถูกปล่อยจากฐานปล่อยจรวดทั่วโลกในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 นั่นคือจรวด Long March 5B ปล่อยออกจากฐาน Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1 เมื่อเวลา 17:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนที่คนไทยจะพบเห็นแสงปริศนาดังกล่าวปกติแล้วจรวดที่ปล่อยออกจากพื้นโลก จะเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก เพื่อใช้ประโยชน์จากทิศทางการหมุนของโลกในการลดเชื้อเพลิง ดังนั้นจรวด Long March 5B ของจีนจึงไม่ได้ผ่านเหนือน่านฟ้าประเทศไทยโดยตรงระหว่างการขึ้น อย่างไรก็ตาม ภารกิจของจรวดนี้เป็นการส่งดาวเทียมเครือข่าย (constellation satellite) เพื่อภารกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลภายใต้เครือข่าย GuoWang ของจีน ซึ่งจะต้องอาศัยแรงขับดันหลักจากจรวดตอนบนในการเดินทางไปยังวงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit) ก่อนที่ดาวเทียมจะถูกปล่อยออกไปด้วยเหตุนี้ ทำให้ภายหลังจากที่สิ้นสุดภารกิจแล้ว ชิ้นส่วนจรวดตอนบน เชื้อเพลิงบางส่วนที่ถูกขับออกมา และพลาสมาที่ถูกปล่อยทิ้งออกมาในภายหลัง ล้วนแล้วแต่จะเคลื่อนที่ต่อไปในวงโคจรต่ำของโลก ซึ่งใช้เวลาในการโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ เพียงเวลาประมาณ 90-120 นาที ซึ่งเวลาดังกล่าวสอดคล้องกับเวลาที่พบเห็นทั้งจรวดและเชื้อเพลิงเหนือน่านฟ้าประเทศไทย หลังจากเวลาปล่อยจรวดออกจากฐานประมาณสองชั่วโมงพอดี จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจากชิ้นส่วนตอนบนของจรวด Long March 5B ของจีนซึ่งหลังจากที่จรวดและเชื้อเพลิงโคจรรอบโลกไปสักพักหนึ่ง แรงต้านจากชั้นบรรยากาศตอนบนของโลก จะทำให้ชิ้นส่วนดังกล่าวค่อย ๆ เคลื่อนที่ช้าลง จนไม่สามารถคงวงโคจรต่ำอีกต่อไปได้ ก่อนที่จะเผาไหม้หมดไปในชั้นบรรยากาศระหว่างที่ตกกลับลงมาภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกไปในที่สุดเรียบเรียง: ดร.มติพล ตั้งมติธรรม - นักวิชาการ สดร.
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มติพล ตั้งมติธรรม" ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ โพสต์ข้อความไขข้อข้องใจ “แสงปริศนา” ปรากฏเหนือฟ้าเมืองไทย ยืนยัน ไม่ใช่ UFO แต่คาดว่ามาจากจรวดที่ปล่อยมาจากเกาะไหหลำประเทศจีน

    จากกรณี เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. โลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพปรากฏการณ์แสงประหลาดที่ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าของประเทศไทย ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบน สร้างความตื่นตาตื่นใจและความสงสัยให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

    ล่าสุด วันนี้ (17 ธ.ค.) มติพล ตั้งมติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้โพสต์ข้อความ ไขข้อสงสัย ถึงกรณีของ แสงประหลาดดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

    "แสงปริศนาช่วงหัวค่ำ 16 ธ.ค. เหนือน่านฟ้าประเทศไทย สอดคล้องกับจรวด Long March 5B จากจีน

    เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ปรากฏแสงปริศนา มีลักษณะเป็นแสงสีขาวพร่ามัว รูปร่างเป็นโคนคล้ายดาวหาง เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ พบเห็นได้หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบน จากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่มีการแชร์เป็นจำนวนมากในโซเชียลมีเดีย รูปพรรณสัญฐานที่ปรากฏ และเวลาที่พบเห็นสอดคล้องกับลักษณะของชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ของจรวด Long March 5B ที่ถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจรวด Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000121125

    #MGROnline #น่านฟ้าไทย #แสงปริศนา #น่านฟ้า #จรวด
    "มติพล ตั้งมติธรรม" ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ โพสต์ข้อความไขข้อข้องใจ “แสงปริศนา” ปรากฏเหนือฟ้าเมืองไทย ยืนยัน ไม่ใช่ UFO แต่คาดว่ามาจากจรวดที่ปล่อยมาจากเกาะไหหลำประเทศจีน • จากกรณี เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. โลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพปรากฏการณ์แสงประหลาดที่ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าของประเทศไทย ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบน สร้างความตื่นตาตื่นใจและความสงสัยให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก • ล่าสุด วันนี้ (17 ธ.ค.) มติพล ตั้งมติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้โพสต์ข้อความ ไขข้อสงสัย ถึงกรณีของ แสงประหลาดดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า • "แสงปริศนาช่วงหัวค่ำ 16 ธ.ค. เหนือน่านฟ้าประเทศไทย สอดคล้องกับจรวด Long March 5B จากจีน • เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ปรากฏแสงปริศนา มีลักษณะเป็นแสงสีขาวพร่ามัว รูปร่างเป็นโคนคล้ายดาวหาง เคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ พบเห็นได้หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคกลางตอนบน จากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่มีการแชร์เป็นจำนวนมากในโซเชียลมีเดีย รูปพรรณสัญฐานที่ปรากฏ และเวลาที่พบเห็นสอดคล้องกับลักษณะของชิ้นส่วนจรวดตอนบน (upper stage rocket) ของจรวด Long March 5B ที่ถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจรวด Wenchang Satellite Launch Center บนเกาะไหหลำ ประเทศจีน ภายใต้ภารกิจ SatNet LEO Group 1 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000121125 • #MGROnline #น่านฟ้าไทย #แสงปริศนา #น่านฟ้า #จรวด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่เคยเล่าให้ฟังว่า"พ่อของตาเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำมาชึ้นฝั่งที่เวียดนามและเข้ามาสยามแม่บอกว่า"ครอบครัวเราเป็นหมอยา ตอนเด็กๆฉันเคยเห็นตำรายานะแต่ตอนนี้มันหายไปแล้วเพราะย้ายบ้านหลายครั้งชีวิตต้องสู้ดิ้นรนยากลำบาก แต่ฉันเองเกิดมาไม่เคยเห็นตาเพราะท่านเสียตั้งแต่แม่ฉันอายุเพียง7ขวบเรียนอยู่ ป.1 ยายให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยยายทำงานหาเงินส่งน้องๆได้เรียนหนังสือ ทุกคนได้เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีแม่ฉันคนเดียวที่ไม่ได้เรียนอ่านหนังสือไม่ออกทำงานหนักเกินเด็กต้องไปหาไม้มาเผาถ่านและหาบไปขาย ชีวิตแม่ของฉันน่าสงสารมากๆแม่แข็งแกร่งอดทน และไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแต่ฉันเห็นฉันรักแม่ของฉันมากที่สุดในโลกแม่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต❤🧡🌹"miss you mom🤗 หนูจะเป็นเสมือนดวงตาให้แม่เองนะจ๊ะแม่จ๋าอยู่บนสวรรค์✨สักวันจะไปหา ^_^"รัก
    แม่เคยเล่าให้ฟังว่า"พ่อของตาเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำมาชึ้นฝั่งที่เวียดนามและเข้ามาสยามแม่บอกว่า"ครอบครัวเราเป็นหมอยา ตอนเด็กๆฉันเคยเห็นตำรายานะแต่ตอนนี้มันหายไปแล้วเพราะย้ายบ้านหลายครั้งชีวิตต้องสู้ดิ้นรนยากลำบาก แต่ฉันเองเกิดมาไม่เคยเห็นตาเพราะท่านเสียตั้งแต่แม่ฉันอายุเพียง7ขวบเรียนอยู่ ป.1 ยายให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยยายทำงานหาเงินส่งน้องๆได้เรียนหนังสือ ทุกคนได้เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีแม่ฉันคนเดียวที่ไม่ได้เรียนอ่านหนังสือไม่ออกทำงานหนักเกินเด็กต้องไปหาไม้มาเผาถ่านและหาบไปขาย ชีวิตแม่ของฉันน่าสงสารมากๆแม่แข็งแกร่งอดทน และไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแต่ฉันเห็นฉันรักแม่ของฉันมากที่สุดในโลกแม่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต❤🧡🌹"miss you mom🤗 หนูจะเป็นเสมือนดวงตาให้แม่เองนะจ๊ะแม่จ๋าอยู่บนสวรรค์✨สักวันจะไปหา ^_^"รัก
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนประกาศเตรียมเปิดทางให้ "รพ.ทุนต่างชาติ" เข้าประกอบธุรกิจใน 9 เมืองใหญ่/มณฑล
    .
    วันนี้ (8 ก.ย.) มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลที่มีเจ้าของเป็นต่างชาติถือหุ้นทั้งหมด (wholly foreign-owned hospitals) ในเขตเมือง และบางภูมิภาคของจีนได้ โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากหนังสือเวียนที่ออกร่วมกันโดย กระทรวงพาณิชย์จีน (商务部), คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (国家卫生健康委) และสำนักงาน อย.ของจีน (国家药监局) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการขยายโครงการนำร่องสำหรับการเปิดกว้างในภาคการสาธารณสุข
    .
    ประกาศดังกล่าวระบุว่า เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเร่งการพัฒนาคุณภาพสูงในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ในประเทศจีน รวมทั้งเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้น จึงมีแผนที่จะดำเนินโครงการนำร่องดังกล่าว
    .
    ทั้งนี้ จากเอกสารทางการที่เพิ่งมีการเปิดเผยในวันนี้ โรงพยาบาลเหล่านี้จะได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการในเมืองปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ หนานจิง (นานกิง) ซูโจว ฝูโจว กว่างโจว (กวางเจา) เซินเจิ้น และทั่วทั้งเกาะไหหลำ
    .
    .
    อ้างอิง >> https://finance.eastmoney.com/a/202409083178282323.html
    จีนประกาศเตรียมเปิดทางให้ "รพ.ทุนต่างชาติ" เข้าประกอบธุรกิจใน 9 เมืองใหญ่/มณฑล . วันนี้ (8 ก.ย.) มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลที่มีเจ้าของเป็นต่างชาติถือหุ้นทั้งหมด (wholly foreign-owned hospitals) ในเขตเมือง และบางภูมิภาคของจีนได้ โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากหนังสือเวียนที่ออกร่วมกันโดย กระทรวงพาณิชย์จีน (商务部), คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (国家卫生健康委) และสำนักงาน อย.ของจีน (国家药监局) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการขยายโครงการนำร่องสำหรับการเปิดกว้างในภาคการสาธารณสุข . ประกาศดังกล่าวระบุว่า เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเร่งการพัฒนาคุณภาพสูงในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ในประเทศจีน รวมทั้งเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้น จึงมีแผนที่จะดำเนินโครงการนำร่องดังกล่าว . ทั้งนี้ จากเอกสารทางการที่เพิ่งมีการเปิดเผยในวันนี้ โรงพยาบาลเหล่านี้จะได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการในเมืองปักกิ่ง เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ หนานจิง (นานกิง) ซูโจว ฝูโจว กว่างโจว (กวางเจา) เซินเจิ้น และทั่วทั้งเกาะไหหลำ . . อ้างอิง >> https://finance.eastmoney.com/a/202409083178282323.html
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 991 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4 ร้านดังมื้อเช้า ย่านเสาชิงช้า
    1. โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ Kope Hya Tai Kee since 1952
    ร้านกาแฟที่เปิดบริการย่านเสาชิงช้ามากว่า 70 ปี บรรยากาศสไตล์สภากาแฟของแท้ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมนูอาหารหลากหลาย ทั้งเมนูอาหารเช้าสไตล์จีน ไข่ลวก+กาแฟโบราณ หรือชุดเบรกฟาสต์แบบฝรั่ง กับกาแฟสูตรเฉพาะสไตล์ฟิวชั่น

    2. ร้านอาหารมิตรโกหย่วน
    ร้านอาหารสไตล์ไทยจีนไหหลำ ที่เปิดมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นับว่าเป็นร้านอาหารไทยร้านแรกๆ ในประเทศไทยที่ทำเมนูสไตล์ฟิวชั่นรวมกับอาหารฝรั่ง ซึ่งเป็นสูตรที่เจ้าของร้านได้มาจากอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ในช่วงที่กลับมาจากฝรั่งเศสใหม่ๆ เพราะผู้ก่อตั้งร้านเป็นเพื่อนบ้านของอาจารย์ปรีดีตั้งแต่อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    3. ข้าวหมูแดงนายชุน
    ข้าวหมูแดงที่ผ่านกรรมวิธีย่างด้วยเตาถ่านแบบโบราณ และน้ำราดที่เคี่ยวด้วยกลิ่นสมุนไพรจีน คาดเป็นร้านข้าวหมูแดงเจ้าแรกๆ ในเขตพระนคร และยังครองใจขายมาจนถึงทุกวันนี้ ใครที่อยากลิ้มรสข้าวหมูแดงแบบออริจินัลห้ามพลาด

    4. ข้าวหน้าไก่ร้านแซ่พุ้น Poon Cuisine
    ต้นตำรับข้าวหน้าไก่เปิดร้านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 รวมเป็นเวลากว่า 90 ปี มีเมนูบะหมี่หน้าไก่ เกี๊ยวกุ้งตัวโตๆ และซี่โครงหมูตุ๋น ที่ผ่านกรรมวิธีตุ๋นมาจนเปื่อย พร้อมเสิร์ฟกับน้ำสมุนไพรจีน อิ่มอร่อยจบมื้อในราคาเบาๆ

    #ร้านอาหารดัง #เสาชิงช้า #อาหารเช้า #Thaitimes


    4 ร้านดังมื้อเช้า ย่านเสาชิงช้า 1. โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ Kope Hya Tai Kee since 1952 ร้านกาแฟที่เปิดบริการย่านเสาชิงช้ามากว่า 70 ปี บรรยากาศสไตล์สภากาแฟของแท้ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมนูอาหารหลากหลาย ทั้งเมนูอาหารเช้าสไตล์จีน ไข่ลวก+กาแฟโบราณ หรือชุดเบรกฟาสต์แบบฝรั่ง กับกาแฟสูตรเฉพาะสไตล์ฟิวชั่น 2. ร้านอาหารมิตรโกหย่วน ร้านอาหารสไตล์ไทยจีนไหหลำ ที่เปิดมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นับว่าเป็นร้านอาหารไทยร้านแรกๆ ในประเทศไทยที่ทำเมนูสไตล์ฟิวชั่นรวมกับอาหารฝรั่ง ซึ่งเป็นสูตรที่เจ้าของร้านได้มาจากอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ในช่วงที่กลับมาจากฝรั่งเศสใหม่ๆ เพราะผู้ก่อตั้งร้านเป็นเพื่อนบ้านของอาจารย์ปรีดีตั้งแต่อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3. ข้าวหมูแดงนายชุน ข้าวหมูแดงที่ผ่านกรรมวิธีย่างด้วยเตาถ่านแบบโบราณ และน้ำราดที่เคี่ยวด้วยกลิ่นสมุนไพรจีน คาดเป็นร้านข้าวหมูแดงเจ้าแรกๆ ในเขตพระนคร และยังครองใจขายมาจนถึงทุกวันนี้ ใครที่อยากลิ้มรสข้าวหมูแดงแบบออริจินัลห้ามพลาด 4. ข้าวหน้าไก่ร้านแซ่พุ้น Poon Cuisine ต้นตำรับข้าวหน้าไก่เปิดร้านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 รวมเป็นเวลากว่า 90 ปี มีเมนูบะหมี่หน้าไก่ เกี๊ยวกุ้งตัวโตๆ และซี่โครงหมูตุ๋น ที่ผ่านกรรมวิธีตุ๋นมาจนเปื่อย พร้อมเสิร์ฟกับน้ำสมุนไพรจีน อิ่มอร่อยจบมื้อในราคาเบาๆ #ร้านอาหารดัง #เสาชิงช้า #อาหารเช้า #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1145 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนสำรวจค้นพบปริมาณก๊าซธรรมชาติมากกว่า 100,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในทะเลจีนใต้ และลงทะเบียนแหล่งก๊าซนี้แล้วถือเป็น “แหล่งก๊าซธรรมชาติตื้นพิเศษในน่านน้ำลึกพิเศษ” แห่งแรกของโลก

    8 สิงหาคม 2567-สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า บริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งแห่งชาติจีน (CNOOC) ค้นพบแหล่งก๊าซหลิงสุ่ย 36-1 ซึ่งถือเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ตื้นเป็นพิเศษแห่งแรกของโลกในน้ำลึกนั้น มีปริมาณมากกว่า 100,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

    แหล่งก๊าซ Lingshui 36-1 ตั้งอยู่ในน่านน้ำทางตะวันออกเฉียงใต้ของไหหลำ ซึ่งเป็นมณฑลเกาะที่อยู่ใต้สุดของจีนบริษัทได้ประมาณการว่า OGIP ของแอ่ง Yinggehai, Qiongdongnan และ Zhujiangkou ในทะเลจีนใต้มีมากกว่า 1 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร

    CNOOC บริษัทน้ำมันรายใหญ่ 1 ใน 3 แห่งของจีน เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคมว่าหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องได้อนุมัติการลงทะเบียนข้อมูลดังกล่าวแล้ว

    ที่มา สำนักข่าวซินหัว

    #Thaitimes
    จีนสำรวจค้นพบปริมาณก๊าซธรรมชาติมากกว่า 100,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในทะเลจีนใต้ และลงทะเบียนแหล่งก๊าซนี้แล้วถือเป็น “แหล่งก๊าซธรรมชาติตื้นพิเศษในน่านน้ำลึกพิเศษ” แห่งแรกของโลก 8 สิงหาคม 2567-สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า บริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งแห่งชาติจีน (CNOOC) ค้นพบแหล่งก๊าซหลิงสุ่ย 36-1 ซึ่งถือเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ตื้นเป็นพิเศษแห่งแรกของโลกในน้ำลึกนั้น มีปริมาณมากกว่า 100,000 ล้านลูกบาศก์เมตร แหล่งก๊าซ Lingshui 36-1 ตั้งอยู่ในน่านน้ำทางตะวันออกเฉียงใต้ของไหหลำ ซึ่งเป็นมณฑลเกาะที่อยู่ใต้สุดของจีนบริษัทได้ประมาณการว่า OGIP ของแอ่ง Yinggehai, Qiongdongnan และ Zhujiangkou ในทะเลจีนใต้มีมากกว่า 1 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร CNOOC บริษัทน้ำมันรายใหญ่ 1 ใน 3 แห่งของจีน เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคมว่าหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องได้อนุมัติการลงทะเบียนข้อมูลดังกล่าวแล้ว ที่มา สำนักข่าวซินหัว #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องจริงไม่ใช่นิยายทุเรียนจีน
    จีนซุ่มวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนไทย
    นำไปปลูกที่ไหหลำ พื้นที่มหาศาล
    บนภูเขาเป็นลูกๆ ชนิดสุดลูกหูลูกตา
    จากวันนั้นถึงวันนี้ ได้เวลาเก็บเกี่ยว
    เนื้อนวล หอม จากข้อมูลที่ได้รับ
    ยืนยันว่า กระทบกับตลาดทุเรียนแน่นอน
    อย่ามั่นใจว่าใครก็สู้เราไม่ได้ เพราะทุเรียนไทยอร่อยสุด
    ต้องไม่ลืมว่า จีนไม่ได้แค่นำเมล็ดไปปลูก
    แต่คือผลผลิตที่ได้จากการวิจัยและนักพัฒนา
    รวมถึงงบลงทุนจำนวนมหาศาล
    ข่าวดีคือ เราจะได้กินทุเรียนจีนราคาถูกมาๆ
    ตัดราคาจนชาวสวนอยู่ไม่ได้
    และเมื่อผูกขาดได้ ก็ดันราคาสูงลิ่วตามสเต็ป
    และจะมีการนำเข้าทุเรียนจากจีน
    มาพักเพื่อแปลงร่างเป็นทุเรียนสัญชาติไทย
    และส่งขายในยุโรป ที่กีดกันการค้าจีน
    และชอบผลไม้ไทย ย้อมสีเรียบร้อย
    ส่วนจุดรับซื้อทุเรียนทั่วประเทศก็ไม่ต้องห่วง
    รับซื้อทำไมของคนไทย ในเมื่อจีนก็ซื้อรอไว้หมดแล้ว
    แค่เอาไว้ย้อมสีทุเรียนจีนที่จะส่งมาก็พอ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ทุเรียน
    #ทุเรียนจีน
    #เรื่องจริงไม่ใช่นิยายทุเรียนจีน จีนซุ่มวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนไทย นำไปปลูกที่ไหหลำ พื้นที่มหาศาล บนภูเขาเป็นลูกๆ ชนิดสุดลูกหูลูกตา จากวันนั้นถึงวันนี้ ได้เวลาเก็บเกี่ยว เนื้อนวล หอม จากข้อมูลที่ได้รับ ยืนยันว่า กระทบกับตลาดทุเรียนแน่นอน อย่ามั่นใจว่าใครก็สู้เราไม่ได้ เพราะทุเรียนไทยอร่อยสุด ต้องไม่ลืมว่า จีนไม่ได้แค่นำเมล็ดไปปลูก แต่คือผลผลิตที่ได้จากการวิจัยและนักพัฒนา รวมถึงงบลงทุนจำนวนมหาศาล ข่าวดีคือ เราจะได้กินทุเรียนจีนราคาถูกมาๆ ตัดราคาจนชาวสวนอยู่ไม่ได้ และเมื่อผูกขาดได้ ก็ดันราคาสูงลิ่วตามสเต็ป และจะมีการนำเข้าทุเรียนจากจีน มาพักเพื่อแปลงร่างเป็นทุเรียนสัญชาติไทย และส่งขายในยุโรป ที่กีดกันการค้าจีน และชอบผลไม้ไทย ย้อมสีเรียบร้อย ส่วนจุดรับซื้อทุเรียนทั่วประเทศก็ไม่ต้องห่วง รับซื้อทำไมของคนไทย ในเมื่อจีนก็ซื้อรอไว้หมดแล้ว แค่เอาไว้ย้อมสีทุเรียนจีนที่จะส่งมาก็พอ #คิงส์โพธิ์แดง #ทุเรียน #ทุเรียนจีน
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว