• บีทูขยายโรงแรมหัวหิน เข้ารับบริหาร "เดอะลาภา"

    ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของเครือโรงแรมบีทู (B2) แบรนด์โรงแรมบูติคแอนด์บัดเจทชั้นนำในไทย ที่มีสาขากว่า 73 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดนายนิรันดร์ จาวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นสัญญาแฟรนไชส์กับนายพงษ์ทอง สุวรรณประทีป เข้าบริหารโรงแรมแห่งใหม่ใจกลางเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นับเป็นการร่วมมือครั้งที่สอง หลังจากประสบความสำเร็จในการบริหารโรงแรมบีทู สุเทพ ไนท์มาร์เก็ต พรีเมียร์ ที่นายพงษ์ทองเป็นเจ้าของ โดยมีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน มิ.ย. 2568

    นายนิรันดร์ กล่าวว่า ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขยายเครือข่ายโรงแรมบีทูมายังหัวหิน ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างนายพงษ์ทอง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์บีทู และมั่นใจว่าโรงแรมแห่งนี้ จะมอบประสบการณ์การเข้าพักที่เหนือระดับ พร้อมบริการคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงได้

    แม้ในข่าวประชาสัมพันธ์ของบีทู จะไม่ระบุว่าเป็นโรงแรมใด แต่เมื่อสืบค้น พบว่าเป็นโรงแรมเดอะลาภาหัวหิน ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว อยู่ในซอยหัวหิน 100/1 ถนนเพชรเกษม ติดกับศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ต มอลล์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2552 เป็นอาคาร 3 ชั้น มีห้องพักจำนวน 67 ห้อง ขนาดห้องพักตั้งแต่ 36-120 ตารางเมตร 7 รูปแบบ พร้อมสระว่ายน้ำซึ่งเป็นสระเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร ห้องประชุมรองรับได้สูงสุด 130 คน ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโรงแรมบีทู หัวหิน พรีเมียร์ รีสอร์ท

    โดยสิ่งอำนวยความสะดวกหลังเครือโรงแรมบีทูเข้าบริหาร ยังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องฟิตเนส ห้องประชุม Co-Working Space บาร์และเลาจน์ รวมทั้งห้องพักแบบพูลแอคเซส ที่ผู้เข้าพักสามารถเดินลงสระว่ายน้ำได้โดยตรง รวมทั้งยังมี Wake Up Coffee ให้บริการอาหารเช้าและเครื่องดื่มอีกด้วย

    ก่อนหน้านี้บีทูเปิดให้บริการโรงแรมบีทู หัวหิน พรีเมียร์ ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3.5 ดาว ตั้งอยู่ถนนเลียบทางรถไฟ ระหว่างซอยหัวหิน 94 และ 96 เปิดให้บริการเมื่อปี 2560 เป็นอาคาร 8 ชั้น มีห้องพักจำนวน 78 ห้อง ขนาดห้องพักตั้งแต่ 25-50 ตารางเมตร สำหรับการแข่งขันโรงแรมในกลุ่มบัดเจ็ทโฮเทล พบว่ามีคู่แข่งอย่างโรงแรมฮ็ฮปอินน์ ของกลุ่มดิเอราวัณกรุ๊ป ตั้งอยู่บนถนนดำรงราช (หัวหิน 51) ก่อสร้างขึ้นในปี 2560 มีห้องพักจำนวน 79 ห้อง รวมทั้งยังมีโรงแรมของผู้ประกอบการท้องถิ่น

    ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า อ.หัวหิน รวมทุกตำบลมีโรงแรมรวม 208 แห่ง จำนวนห้องพักน้อยที่สุด 4 ห้อง มากที่สุดได้แก่ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พลัส คาราเพซ หัวหิน 406 ห้อง

    #Newskit
    บีทูขยายโรงแรมหัวหิน เข้ารับบริหาร "เดอะลาภา" ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของเครือโรงแรมบีทู (B2) แบรนด์โรงแรมบูติคแอนด์บัดเจทชั้นนำในไทย ที่มีสาขากว่า 73 แห่งทั่วประเทศ ล่าสุดนายนิรันดร์ จาวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นสัญญาแฟรนไชส์กับนายพงษ์ทอง สุวรรณประทีป เข้าบริหารโรงแรมแห่งใหม่ใจกลางเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นับเป็นการร่วมมือครั้งที่สอง หลังจากประสบความสำเร็จในการบริหารโรงแรมบีทู สุเทพ ไนท์มาร์เก็ต พรีเมียร์ ที่นายพงษ์ทองเป็นเจ้าของ โดยมีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน มิ.ย. 2568 นายนิรันดร์ กล่าวว่า ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขยายเครือข่ายโรงแรมบีทูมายังหัวหิน ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างนายพงษ์ทอง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์บีทู และมั่นใจว่าโรงแรมแห่งนี้ จะมอบประสบการณ์การเข้าพักที่เหนือระดับ พร้อมบริการคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงได้ แม้ในข่าวประชาสัมพันธ์ของบีทู จะไม่ระบุว่าเป็นโรงแรมใด แต่เมื่อสืบค้น พบว่าเป็นโรงแรมเดอะลาภาหัวหิน ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว อยู่ในซอยหัวหิน 100/1 ถนนเพชรเกษม ติดกับศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ต มอลล์ ก่อสร้างขึ้นในปี 2552 เป็นอาคาร 3 ชั้น มีห้องพักจำนวน 67 ห้อง ขนาดห้องพักตั้งแต่ 36-120 ตารางเมตร 7 รูปแบบ พร้อมสระว่ายน้ำซึ่งเป็นสระเกลือ ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร ห้องประชุมรองรับได้สูงสุด 130 คน ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโรงแรมบีทู หัวหิน พรีเมียร์ รีสอร์ท โดยสิ่งอำนวยความสะดวกหลังเครือโรงแรมบีทูเข้าบริหาร ยังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องฟิตเนส ห้องประชุม Co-Working Space บาร์และเลาจน์ รวมทั้งห้องพักแบบพูลแอคเซส ที่ผู้เข้าพักสามารถเดินลงสระว่ายน้ำได้โดยตรง รวมทั้งยังมี Wake Up Coffee ให้บริการอาหารเช้าและเครื่องดื่มอีกด้วย ก่อนหน้านี้บีทูเปิดให้บริการโรงแรมบีทู หัวหิน พรีเมียร์ ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3.5 ดาว ตั้งอยู่ถนนเลียบทางรถไฟ ระหว่างซอยหัวหิน 94 และ 96 เปิดให้บริการเมื่อปี 2560 เป็นอาคาร 8 ชั้น มีห้องพักจำนวน 78 ห้อง ขนาดห้องพักตั้งแต่ 25-50 ตารางเมตร สำหรับการแข่งขันโรงแรมในกลุ่มบัดเจ็ทโฮเทล พบว่ามีคู่แข่งอย่างโรงแรมฮ็ฮปอินน์ ของกลุ่มดิเอราวัณกรุ๊ป ตั้งอยู่บนถนนดำรงราช (หัวหิน 51) ก่อสร้างขึ้นในปี 2560 มีห้องพักจำนวน 79 ห้อง รวมทั้งยังมีโรงแรมของผู้ประกอบการท้องถิ่น ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า อ.หัวหิน รวมทุกตำบลมีโรงแรมรวม 208 แห่ง จำนวนห้องพักน้อยที่สุด 4 ห้อง มากที่สุดได้แก่ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พลัส คาราเพซ หัวหิน 406 ห้อง #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้คงถึงวันที่โดน Toxic อย่างหนักจนต้องคิดสั้น แต่เกือบจะคิดสั้นว่าอดอาหารจนตายอย่างทรมานเพราะในเมื่อครอบครัวคาดหวังกับผมแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียเช่นกัน พูดจาแทงใจดำผมทุกวันจนผมไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกันแล้ว ดีไม่ดี อาจกลายเป็น อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วจริงๆ เงินช็อตไส้แห้งมีหน้ามาพูดจาแทงใจดำ ด่าอย่างเดียว หาว่าผมเล่นเกมส์อย่างเดียว เอาละวะ เล่นเกมส์ก็ดีกว่าเล่นการพนันละวะ เล่นเกมส์ไว้คลายเครียด แต่เล่นพนันมีไว้เคร่งเครียด สังคมทุกวันนี้แม่งเป็นเหี้ยไรกันวะ ไม่ให้โอกาสและที่ยืนของกูเลยรึไง บางทียาจิตเวชไม่ได้ช่วยเหี้ยห่าอะไรเลย ถ้าสิ่งแวดล้อม ครอบครัว สังคม มันทำร้ายผมขนาดนี้แล้ว
    วันนี้คงถึงวันที่โดน Toxic อย่างหนักจนต้องคิดสั้น แต่เกือบจะคิดสั้นว่าอดอาหารจนตายอย่างทรมานเพราะในเมื่อครอบครัวคาดหวังกับผมแบบนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียเช่นกัน พูดจาแทงใจดำผมทุกวันจนผมไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกันแล้ว ดีไม่ดี อาจกลายเป็น อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้วจริงๆ เงินช็อตไส้แห้งมีหน้ามาพูดจาแทงใจดำ ด่าอย่างเดียว หาว่าผมเล่นเกมส์อย่างเดียว เอาละวะ เล่นเกมส์ก็ดีกว่าเล่นการพนันละวะ เล่นเกมส์ไว้คลายเครียด แต่เล่นพนันมีไว้เคร่งเครียด สังคมทุกวันนี้แม่งเป็นเหี้ยไรกันวะ ไม่ให้โอกาสและที่ยืนของกูเลยรึไง บางทียาจิตเวชไม่ได้ช่วยเหี้ยห่าอะไรเลย ถ้าสิ่งแวดล้อม ครอบครัว สังคม มันทำร้ายผมขนาดนี้แล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โซเชียลได้แห่แชร์คลิปของ “น้องพลูโต” นกเงือกหนุ่มจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ที่มีพฤติกรรมสุดน่ารักที่ชอบแบ่งปันอาหารให้นักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชม จนเกิดเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันเป็นอย่างมาก

    ครั้งนี้จะขอพามาส่องอีกด้านของความน่ารักแฝงด้วยความคิดถึงของน้องพลูโต ที่พี่เลี้ยงบอกว่าการแบ่งอาหารให้คนเช่นนั้น อาจเพราะคิดว่านักท่องเที่ยวคือ “เนปจูน” คู่รักที่จากไปก็เป็นได้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/travel/detail/9680000021466

    #MGROnline #น้องพลูโต #นกเงือก #สวนสัตว์เชียงใหม่
    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โซเชียลได้แห่แชร์คลิปของ “น้องพลูโต” นกเงือกหนุ่มจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ที่มีพฤติกรรมสุดน่ารักที่ชอบแบ่งปันอาหารให้นักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมชม จนเกิดเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงกันเป็นอย่างมาก • ครั้งนี้จะขอพามาส่องอีกด้านของความน่ารักแฝงด้วยความคิดถึงของน้องพลูโต ที่พี่เลี้ยงบอกว่าการแบ่งอาหารให้คนเช่นนั้น อาจเพราะคิดว่านักท่องเที่ยวคือ “เนปจูน” คู่รักที่จากไปก็เป็นได้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/travel/detail/9680000021466 • #MGROnline #น้องพลูโต #นกเงือก #สวนสัตว์เชียงใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสู้รบดุเดือดนาน 2 สัปดาห์ระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารใกล้กับพื้นที่พัฒนาของจีนในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ทำให้พลเรือนมากกว่า 20,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนตนเอง และทำให้เกิดความต้องการด้านอาหารและยาอย่างเร่งด่วน ตามการระบุของคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์

    กองทัพอาระกัน (AA) เป็นหนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพม่า และกำลังต่อสู้เพื่อเข้าควบคุมเมืองจอก์พยู เมืองท่าชายฝั่งตะวันตก โดยกลุ่มติดอาวุธใกล้จะบรรลุเป้าหมายในการเอาชนะกองกำลังทหารของรัฐบาลที่เข้ายึดอำนาจในปี 2564 ได้หมดทั้งรัฐ

    เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ในเมืองจอก์พยูกล่าวว่าการปะทะกันระหว่างกองทัพอาระกันและกองทัพได้ทวีความรุนแรงขึ้นใกล้กับฐานทัพเรือธัญญาวดี ของรัฐบาลทหารใกล้เมืองจอก์พยู ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างน้อย 10 แห่ง ต้องอพยพออกไป

    “จำนวนผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นจาก 10,000 คน เป็นประมาณ 20,000 คน นับตั้งแต่การสู้รบทวีความรุนแรงขึ้น” เจ้าหน้าที่ ระบุ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000021489

    #MGROnline #กองทัพพม่า #กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหาร
    การสู้รบดุเดือดนาน 2 สัปดาห์ระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารใกล้กับพื้นที่พัฒนาของจีนในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ทำให้พลเรือนมากกว่า 20,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนตนเอง และทำให้เกิดความต้องการด้านอาหารและยาอย่างเร่งด่วน ตามการระบุของคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ • กองทัพอาระกัน (AA) เป็นหนึ่งในกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพม่า และกำลังต่อสู้เพื่อเข้าควบคุมเมืองจอก์พยู เมืองท่าชายฝั่งตะวันตก โดยกลุ่มติดอาวุธใกล้จะบรรลุเป้าหมายในการเอาชนะกองกำลังทหารของรัฐบาลที่เข้ายึดอำนาจในปี 2564 ได้หมดทั้งรัฐ • เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ในเมืองจอก์พยูกล่าวว่าการปะทะกันระหว่างกองทัพอาระกันและกองทัพได้ทวีความรุนแรงขึ้นใกล้กับฐานทัพเรือธัญญาวดี ของรัฐบาลทหารใกล้เมืองจอก์พยู ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างน้อย 10 แห่ง ต้องอพยพออกไป • “จำนวนผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นจาก 10,000 คน เป็นประมาณ 20,000 คน นับตั้งแต่การสู้รบทวีความรุนแรงขึ้น” เจ้าหน้าที่ ระบุ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000021489 • #MGROnline #กองทัพพม่า #กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขนุน เด็กอยากเรียนตอนรับโทษ ตอนได้เรียนเลือกไปม็อบ วันนี้หันมาอดอาหาร ออกมาแล้ว 12 วัน ไปให้สุดแล้วหยุดหายใจวันที่ 112 ให้ได้นะเมิง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    ขนุน เด็กอยากเรียนตอนรับโทษ ตอนได้เรียนเลือกไปม็อบ วันนี้หันมาอดอาหาร ออกมาแล้ว 12 วัน ไปให้สุดแล้วหยุดหายใจวันที่ 112 ให้ได้นะเมิง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังไม่ได้ถ่ายผลงานจัดสวนผักหน้าบ้าน ยังไม่ถ่ายรูปให้ดู แต่ได้ทำตามโรดแมปที่เขียนไว้แล้วอยู่นะ และจะปฏิบัติตามโรดแมปที่ตัวเองเขียนไว้ ไม่ต้องพึ่งพาเข็มทิศชีวิตคอร์สลวงโลกอะไรนั่นหรอก แต่ก็ไม่หยุดที่จะทำมันทุกๆ 2 ชม ต่อวัน ในช่วงเที่ยง-บ่าย และได้กินอาหารตามแผนการกินอาหารที่วางเอาไว้แล้วครับ แต่ไม่อยากเสพข่าวซึ่งไม่ใช่เรื่องของเราเป็นส่วนมาก สู้ต่อไปเพื่ออนาคตข้างหน้าที่ดีกว่านี้ เพราะยังไงผมอาจจะถูกตัดขาดออกจากครอบครัวโดยผมไม่ตัดเอง ให้คนในครอบครัวตัดสินว่าจะตัดออกหรือไม่ตัดออก ส่วนตัวผมเอาตัวเองให้รอดก่อน ครอบครัวยังไม่รอดเลยยังคาดคั้นกับผมทั้งๆที่ผมยังเอาตัวไม่รอดเลย ผมพยายามทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดีกว่านี้ คนรู้จักมากกว่านี้ครับ
    วันนี้ยังไม่ได้ถ่ายผลงานจัดสวนผักหน้าบ้าน ยังไม่ถ่ายรูปให้ดู แต่ได้ทำตามโรดแมปที่เขียนไว้แล้วอยู่นะ และจะปฏิบัติตามโรดแมปที่ตัวเองเขียนไว้ ไม่ต้องพึ่งพาเข็มทิศชีวิตคอร์สลวงโลกอะไรนั่นหรอก แต่ก็ไม่หยุดที่จะทำมันทุกๆ 2 ชม ต่อวัน ในช่วงเที่ยง-บ่าย และได้กินอาหารตามแผนการกินอาหารที่วางเอาไว้แล้วครับ แต่ไม่อยากเสพข่าวซึ่งไม่ใช่เรื่องของเราเป็นส่วนมาก สู้ต่อไปเพื่ออนาคตข้างหน้าที่ดีกว่านี้ เพราะยังไงผมอาจจะถูกตัดขาดออกจากครอบครัวโดยผมไม่ตัดเอง ให้คนในครอบครัวตัดสินว่าจะตัดออกหรือไม่ตัดออก ส่วนตัวผมเอาตัวเองให้รอดก่อน ครอบครัวยังไม่รอดเลยยังคาดคั้นกับผมทั้งๆที่ผมยังเอาตัวไม่รอดเลย ผมพยายามทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดีกว่านี้ คนรู้จักมากกว่านี้ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อตกลง Food Safety 'นฤมล' ผลักดันอาหารไทย สามารถขยายตลาดในประเทศแถบอาเซียนได้มากขึ้น จนพัฒนาต่อยอดให้ไทยเป็นครัวโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย สามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021405

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ข้อตกลง Food Safety 'นฤมล' ผลักดันอาหารไทย สามารถขยายตลาดในประเทศแถบอาเซียนได้มากขึ้น จนพัฒนาต่อยอดให้ไทยเป็นครัวโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย สามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000021405 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทลายโกดังเครื่องสำอาง-อาหารจีน 6 จุดไร้คุณภาพยึดของกลาง 4 แสนชิ้นมูลค่ากว่า 46 ล้าน
    https://www.thai-tai.tv/news/17492/
    ทลายโกดังเครื่องสำอาง-อาหารจีน 6 จุดไร้คุณภาพยึดของกลาง 4 แสนชิ้นมูลค่ากว่า 46 ล้าน https://www.thai-tai.tv/news/17492/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมชาติสวยงามหลังบ้านฉัน เพลิดเพลินกันมอง #นกยาง ตามรถไถ ฝูงนางว่อนวนเวียนไม่ห่างไกล จิกจ่อใกล้ได้อาหารสำราญพลัน ต้นมีนาชาวนาเริ่มไถหว่าน ก่อนสงกรานต์นาคงเขียวสวยดังฝัน เอาใจช่วยชาวนาให้ร่ำรวยกัน คนสำคัญเป็นสันหลังชาติไทยเรา 5/3/68 #egret #ricefield #Ratchaburi #Thailand
    ธรรมชาติสวยงามหลังบ้านฉัน เพลิดเพลินกันมอง #นกยาง ตามรถไถ ฝูงนางว่อนวนเวียนไม่ห่างไกล จิกจ่อใกล้ได้อาหารสำราญพลัน ต้นมีนาชาวนาเริ่มไถหว่าน ก่อนสงกรานต์นาคงเขียวสวยดังฝัน เอาใจช่วยชาวนาให้ร่ำรวยกัน คนสำคัญเป็นสันหลังชาติไทยเรา 5/3/68 #egret #ricefield #Ratchaburi #Thailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด
    .
    หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง
    .
    ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย
    .
    แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ
    .
    ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง
    .
    มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น
    .
    ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย
    .
    ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด
    .
    อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้
    .
    เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป
    .
    การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา
    .
    มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ
    .
    ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระหว่างอเมริกากับหุ้นส่วนเศรษฐกิจและคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 ชาติยิ่งบานปลายขยายตัว หลังจากทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่เงื้อง่าอยู่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแน่นอนส่งผลให้ปักกิ่งและออตตาวาประกาศตอบโต้แบบทันควัน ขณะที่เม็กซิโกก็ระบุเอาคืนแน่นอน แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียด . หลังเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ (3 มี.ค.) ตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ (ซึ่งช้ากว่าเวลาเมืองไทย 12 ชั่วโมง) สินค้าแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าไปยังอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงกว่า 918,000 ล้านดอลลาร์จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น 25% รวด เวลาเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้นอีก 10% จากที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว 10% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ . ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แถลงว่า แคนาดาจะตอบโต้โดยเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 21 วัน ขณะที่ประธานาธิบดี เกลาเดีย เชย์นเบาม์ ระบุว่าความเคลื่อนไหวช่นนี้ของสหรัฐฯไม่มีความชอบธรรม และประกาศจะตอบโต้กลับด้วยมาตรการภาษีของตัวเอง . ผู้นำหญิงของเม็กซิโกบอกว่า เธอจะประกาศรายการสินค้านำเข้าจากอเมริกาที่จะตกเป็นเป้าถูกขึ้นภาษีตอบโต้ในวันอาทิตย์ (9) นี้ ณ งานพิธีซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองหลวงเม็กซิโกซิตี ท่าทีเช่นนี้ทำให้มองกันว่าการเลื่อนช้าออกไปเช่นนี้บ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงมีความหวังที่จะเจรจาต่อรองกันก่อนเพื่อไม่ให้สงครามการค้าบานปลาย . แรกทีเดียวนั้น มาตรการภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ทว่า ทรัมป์ตกลงขยายเวลาออกไป 30 วันเพื่อเจรจาเพิ่มเติมกับสองประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดของอเมริกา สำหรับเหตุผลในการขึ้นภาษีคือ เพื่อให้สองประเทศเพื่อนบ้านนี้จัดการปัญหาการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะ เฟนทานิล และปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผ่านดินแดนของประเทศทั้งสองเข้ามายังสหรัฐฯ . ขณะที่ทั้งสองชาติต่างยืนยันว่า มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหา ทว่า ทรัมป์กลับบอกเพิ่มเติมว่า จะลดภาษีศุลกากรต่อเมื่อการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อเม็กซิโกและแคนาดาสิ้นสุดลง ถึงแม้เรื่องหลังนี้ย่อมเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตามกรอบเวลาทางการเมือง . มีผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า มาตรการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก น่าจะส่งผลสะท้อนกลับกระทบถึงเศรษฐกิจอเมริกันอย่างแรงๆ และดังนั้นจึงอาจบังคับใช้ได้เพียงช่วงสั้นๆ และสิ่งที่ทรัมป์อาจเลือกกระทำต่อไป อาจเป็นการหันไปรีดภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และอินเดีย รวมทั้งพวก ชิปคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ และยาเวชภัณฑ์นำเข้าเพิ่มมากขึ้น . ในส่วนของจีนนั้น ปักกิ่งประณามการบังคับใช้มาตรการ “ตามอำเภอใจฝ่ายเดียว” เช่นนี้ของอเมริกา และประกาศตอบโต้ทันทีด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 15% จากสินค้าเกษตรและอาหารของอเมริกามูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ มีผลตั้งแต่สัปดาห์หน้า รวมทั้งเพิ่มบริษัทอเมริกันอีก 25 แห่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกจำกัดการส่งออกและการลงทุนภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ . ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับสินค้าเกษตรของอเมริกา โดยปีที่แล้ว แม้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ลดลงเป็นปีที่สอง แต่ก็ยังคงมีมูลค่าถึง 29,250 ล้านดอลลาร์ เท่าที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจนี้มักถูกใช้เป็นกระสอบทรายในยามที่สถานการณ์การค้าระหว่าง 2 ประเทศตึงเครียด โดยเฉพาะในเมื่อพวกรัฐที่เศรษฐกิจพึ่งพาการเกษตรอย่างมาก ยังเป็นพวกรัฐฐานเสียงของทรัมป์และรีพับลิกันอีกด้วย . ในวันอังคาร (3) กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการรังแกหรือข่มขู่ และสำทับว่า การพยายามกดดันจีนเป็นการคำนวณผิดพลาด . อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์เชื่อว่า ปักกิ่งยังหวังว่าจะสามารถเปิดการเจรจาสงบศึกกับคณะบริหารของทรัมป์ จึงกำหนดภาษีตอบโต้ในอัตราต่ำกว่า 20% เพื่อให้คณะผู้เจรจาของตนสามารถต่อรองและบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ ทว่าเมื่อการตอบโต้กันไปมาชักบานปลายออกไป มันก็อาจลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะประนีประนอมกันได้ . เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีเสนอรายงานข่าวที่ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำให้เศรษฐกิจของทั่วโลกผันผวนและไร้ความแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไป . การเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกแบบเหวี่ยงแหยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง และเสี่ยงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น . นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการภาษีของทรัมป์อาจทำให้ราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯพุ่งขึ้น และเพิ่มความกดดันต่อการเติบโตและการจ้างงานในอเมริกา . มูลนิธิแท็กซ์ ฟาวน์เดชัน ของสหรัฐฯประเมินว่า มาตรการภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนจะทำให้อัตราเติบโตของอเมริกาหายไป 0.1% ทั้งนี้ ยังไม่คำนวณผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของทั้งสามชาติ . ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเคพีเอ็มจี เตือนว่า ถ้าทรัมป์ยังเดินตามแผนรีดภาษีต่อไป อัตราภาษีศุลกากรของอเมริกาอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดนับจากปี 1936 ภายในต้นปีหน้า โดยที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตของสหรัฐฯจะต้องเป็นผู้รับภาระหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลตามมาทำให้ดีมานด์ลดลง และภาคธุรกิจต้องปลดพนักงานเพื่อควบคุมต้นทุน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021232 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 617 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 ใจส่งผลต่อกายอย่างไร?


    ---

    🔍 1️⃣ ใจร้อน - ทำให้กายร้อน

    🔥 เมื่อใจมีโทสะ ขุ่นเคือง หรือหงุดหงิด → ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยา
    ⚠️ ความดันเลือดสูงขึ้น
    ⚠️ หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง
    ⚠️ รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว

    ✅ วิธีแก้: "หายใจลึกๆ ผ่อนคลาย" เพื่อให้ใจเย็น กายจะคลายตัว


    ---

    🔍 2️⃣ ใจเคร่ง - ทำให้กายเกร็ง

    😣 เมื่อใจเครียด กดดัน ตึงเครียด → ร่างกายตอบสนอง
    ⚠️ ไหล่แข็ง ตึงคอ บ่า ไหล่
    ⚠️ ปวดหัวจากความเครียด
    ⚠️ ระบบย่อยอาหารแปรปรวน

    ✅ วิธีแก้: "ปรับใจให้สบาย" ฝึกยิ้ม หายใจลึกๆ ปล่อยวาง


    ---

    🔍 3️⃣ ใจโอดครวญ - ทำให้กายป่วน

    😢 เมื่อใจจมอยู่กับความทุกข์ → กายตอบสนองเป็นความกระสับกระส่าย
    ⚠️ อาการเหนื่อยง่าย หมดแรง
    ⚠️ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย
    ⚠️ ปวดเมื่อยเรื้อรังจากความวิตกกังวล

    ✅ วิธีแก้: "ฝึกยอมรับตามจริง" ปล่อยความคิดลบ ฝึกคิดบวก


    ---

    🔍 4️⃣ ใจโง่ทึบ - ทำให้กายแน่นทึบ

    😶 เมื่อใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส → กายพลอยหนักอึ้ง
    ⚠️ อ่อนเพลียเรื้อรัง
    ⚠️ ไม่มีเรี่ยวแรง ขาดพลังงาน
    ⚠️ ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง

    ✅ วิธีแก้: "เจริญสติ" สังเกตความคิด เรียนรู้ความเป็นไปของจิต


    ---

    🎯 วิธีใช้ "ใจ" ฟื้นฟู "กาย"

    ✅ 1️⃣ ใจเย็น - บรรเทาความร้อนทางกาย

    🌿 ใจสงบ กายจะเย็น
    🌿 ลดความดันโลหิต
    🌿 ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

    ➡️ วิธีฝึก: นั่งสมาธิ ฟังเสียงลมหายใจ


    ---

    ✅ 2️⃣ ใจสบาย - ลดความเกร็งทางกาย

    💆‍♂️ ใจไม่ตึง กายจะผ่อนคลาย
    💆‍♂️ ลดอาการปวดไหล่ ปวดหลัง
    💆‍♂️ ช่วยให้หลับสบายขึ้น

    ➡️ วิธีฝึก: ทำโยคะเบาๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ


    ---

    ✅ 3️⃣ ใจยอมรับ - ลดอาการกระสับกระส่าย

    🌊 ใจไม่ดิ้นรน กายจะสงบ
    🌊 ลดอาการนอนไม่หลับ
    🌊 ปรับสมดุลของร่างกาย

    ➡️ วิธีฝึก: ฝึกสติ รับรู้ความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน


    ---

    ✅ 4️⃣ ใจตื่นรู้ - ช่วยให้กายโปร่งเบา

    ☀️ ใจสว่าง กายจะเบาสบาย
    ☀️ เพิ่มพลังงานชีวิต
    ☀️ ลดความเครียดสะสม

    ➡️ วิธีฝึก: มองโลกตามจริง ฝึกเจริญเมตตา


    ---

    📌 สรุป:

    ✅ ใจที่สงบ เย็น และตื่นรู้ = กายก็จะเป็นสุข
    ❌ ใจที่ฟุ้งซ่าน เคร่งเครียด และโอดครวญ = กายก็ทุกข์ตาม

    🔥 "การฝึกสติ คือ วิธีรักษากายผ่านจิตที่ดีที่สุด!" 🔥

    📌 ใจส่งผลต่อกายอย่างไร? --- 🔍 1️⃣ ใจร้อน - ทำให้กายร้อน 🔥 เมื่อใจมีโทสะ ขุ่นเคือง หรือหงุดหงิด → ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยา ⚠️ ความดันเลือดสูงขึ้น ⚠️ หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อเกร็ง ⚠️ รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ✅ วิธีแก้: "หายใจลึกๆ ผ่อนคลาย" เพื่อให้ใจเย็น กายจะคลายตัว --- 🔍 2️⃣ ใจเคร่ง - ทำให้กายเกร็ง 😣 เมื่อใจเครียด กดดัน ตึงเครียด → ร่างกายตอบสนอง ⚠️ ไหล่แข็ง ตึงคอ บ่า ไหล่ ⚠️ ปวดหัวจากความเครียด ⚠️ ระบบย่อยอาหารแปรปรวน ✅ วิธีแก้: "ปรับใจให้สบาย" ฝึกยิ้ม หายใจลึกๆ ปล่อยวาง --- 🔍 3️⃣ ใจโอดครวญ - ทำให้กายป่วน 😢 เมื่อใจจมอยู่กับความทุกข์ → กายตอบสนองเป็นความกระสับกระส่าย ⚠️ อาการเหนื่อยง่าย หมดแรง ⚠️ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ⚠️ ปวดเมื่อยเรื้อรังจากความวิตกกังวล ✅ วิธีแก้: "ฝึกยอมรับตามจริง" ปล่อยความคิดลบ ฝึกคิดบวก --- 🔍 4️⃣ ใจโง่ทึบ - ทำให้กายแน่นทึบ 😶 เมื่อใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส → กายพลอยหนักอึ้ง ⚠️ อ่อนเพลียเรื้อรัง ⚠️ ไม่มีเรี่ยวแรง ขาดพลังงาน ⚠️ ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ✅ วิธีแก้: "เจริญสติ" สังเกตความคิด เรียนรู้ความเป็นไปของจิต --- 🎯 วิธีใช้ "ใจ" ฟื้นฟู "กาย" ✅ 1️⃣ ใจเย็น - บรรเทาความร้อนทางกาย 🌿 ใจสงบ กายจะเย็น 🌿 ลดความดันโลหิต 🌿 ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ➡️ วิธีฝึก: นั่งสมาธิ ฟังเสียงลมหายใจ --- ✅ 2️⃣ ใจสบาย - ลดความเกร็งทางกาย 💆‍♂️ ใจไม่ตึง กายจะผ่อนคลาย 💆‍♂️ ลดอาการปวดไหล่ ปวดหลัง 💆‍♂️ ช่วยให้หลับสบายขึ้น ➡️ วิธีฝึก: ทำโยคะเบาๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ --- ✅ 3️⃣ ใจยอมรับ - ลดอาการกระสับกระส่าย 🌊 ใจไม่ดิ้นรน กายจะสงบ 🌊 ลดอาการนอนไม่หลับ 🌊 ปรับสมดุลของร่างกาย ➡️ วิธีฝึก: ฝึกสติ รับรู้ความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน --- ✅ 4️⃣ ใจตื่นรู้ - ช่วยให้กายโปร่งเบา ☀️ ใจสว่าง กายจะเบาสบาย ☀️ เพิ่มพลังงานชีวิต ☀️ ลดความเครียดสะสม ➡️ วิธีฝึก: มองโลกตามจริง ฝึกเจริญเมตตา --- 📌 สรุป: ✅ ใจที่สงบ เย็น และตื่นรู้ = กายก็จะเป็นสุข ❌ ใจที่ฟุ้งซ่าน เคร่งเครียด และโอดครวญ = กายก็ทุกข์ตาม 🔥 "การฝึกสติ คือ วิธีรักษากายผ่านจิตที่ดีที่สุด!" 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี

    แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน

    นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79%

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย

    สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี

    อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย

    #Newskit
    ลุ้นเปิดสถานีขนส่งใหม่ TBG ก่อนเทศกาลอีดิลฟิตรี แม้สถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการกอมบัค (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Gombak หรือ TBG) เมืองกอมบัค รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย จะเลื่อนให้บริการจากเดิมวันที่ 16 ก.พ. ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็มีความคืบหน้าจากการตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ของนายแอนโทเนีย โลค รมว.คมนาคมมาเลเซียและคณะ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองให้บริการในวันที่ 15 มี.ค. ในเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ปลายทางรัฐปะหัง รัฐตรังกานู และรัฐกลันตัน นายแอนโทเนีย กล่าวว่า หากสถานีขนส่งกอมบัคสามารถเปิดเต็มรูปแบบภายในสิ้นเดือน มี.ค. จะช่วยลดปัญหาการจราจรที่สถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS (ภาษามาเลย์ Terminal Bersepadu Selatan) ในช่วงเทศกาลอีดิลฟิตรีได้ ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกรมโยธาธิการมาเลเซีย จะตรวจสอบครั้งสุดท้ายภายในปลายสัปดาห์หน้า นอกจากรถบัสด่วนแล้ว ยังเชื่อมต่อกับรถบัสระหว่างเมือง และรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) กอมบัค รวมทั้งโครงการรถไฟ ECRL ที่คืบหน้าแล้ว 79% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่สถานีขนส่งกอมบัคยังไม่เปิดให้บริการ ผู้โดยสารยังคงซื้อตั๋วได้สถานีขนส่ง TBS เช่นเดิม โดยการเปิดให้บริการนอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และฮอลล์เอนกประสงค์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการอีกด้วย สำหรับสถานีขนส่งกอมบัค (TBG) ตั้งอยู่ที่ถนนวงแหวนรอบกลางสายที่ 2 (MRR2) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางกอมบัค และสถานีรถไฟฟ้ากอมบัค ปลายทางของรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) ซึ่งสามารถเดินทางได้จากสถานีกลาง KL Sentral และสถานี KLCC เป็นอาคารสูง 7 ชั้น พร้อมด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์รวม 1.1 ล้านตารางฟุต 350 ร้านค้า โดยรัฐบาลให้สัมปทานกับเอกชนในการก่อสร้าง ภายใต้โครงการริเริ่มทางการเงินของภาคเอกชน (PFI) ซึ่งบริษัทซีลัน (Zelan) เจ้าของธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลมาเลเซีย ระยะเวลา 25 ปี อนึ่ง กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีสถานีขนส่งแบบบูรณาการ TBS เป็นสถานีขนส่งหลัก เปิดให้บริการเมื่อปี 2554 และมีสถานีขนส่งย่อย เช่น สถานีขนส่งปูดูเซ็นทรัล (Pudu Sentral) ซึ่งเป็นอดีตสถานีขนส่งหลักก่อนย้ายไป TBS ใกล้กันจะมีสถานีขนส่งโกตารายา (Kota Raya) อีกด้านหนึ่งยังมีสถานีขนส่งเปอเกลิลิง (Pekeliling) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าตี้ตี้วังซา (Titiwangsa) หรือจะเป็นสถานีขนส่งเฮนเทียนดูตาร์ (Hentian Duta) ไปยังปลายทางรัฐตอนเหนือ เช่น ปีนัง เคดะห์ เปรัค ปะลิส และที่สถานี KL Sentral ยังมีรถทัวร์ให้บริการอีกด้วย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป๋าเดฟ แรงได้คงเส้นคงวา
    รัฐบาลทรัมป์ไม่ต้องการให้อาหารสุนัขนาซีในเคียฟอีกต่อไป สุนัขขี้เรื้อนตัวนี้ที่มีแต่เห็บหมัดไปทั้งตัว แต่ชาวยุโรปที่ง่อยเปลี้ยดันเก็บมันไปเลี้ยงต่อพวกเขายังส่งเสียงร้องด้วยความยินดีว่านี่มัน "เจ้าหมาน้อยของฉัน"
    ไม่มีประโยชน์ที่จะเลี้ยงมันอีกต่อไปหรอก สุนัขปรสิตบ้าคลั่งตั้วนั้น มันอันตราย ควรปล่อยทิ้งมันไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์กับมัน
    ป๋าเดฟ แรงได้คงเส้นคงวา รัฐบาลทรัมป์ไม่ต้องการให้อาหารสุนัขนาซีในเคียฟอีกต่อไป สุนัขขี้เรื้อนตัวนี้ที่มีแต่เห็บหมัดไปทั้งตัว แต่ชาวยุโรปที่ง่อยเปลี้ยดันเก็บมันไปเลี้ยงต่อพวกเขายังส่งเสียงร้องด้วยความยินดีว่านี่มัน "เจ้าหมาน้อยของฉัน" ไม่มีประโยชน์ที่จะเลี้ยงมันอีกต่อไปหรอก สุนัขปรสิตบ้าคลั่งตั้วนั้น มันอันตราย ควรปล่อยทิ้งมันไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์กับมัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้หลานตาขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อความอบอุ่น นำข้าวสารพรีเมียมไปมอบให้ผู้สูงอายุ เพื่อเติมเต็มมื้ออาหารที่ดี และส่งพลังใจให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นเสมอ☺️

    หลานตาหาทำ_ไร่นาสวนผสม 🌳🌲🌿🌾

    ตาทำ-หลานขาย
    วันนี้หลานตาขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อความอบอุ่น นำข้าวสารพรีเมียมไปมอบให้ผู้สูงอายุ เพื่อเติมเต็มมื้ออาหารที่ดี และส่งพลังใจให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นเสมอ☺️ หลานตาหาทำ_ไร่นาสวนผสม 🌳🌲🌿🌾 ตาทำ-หลานขาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ

    👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่

    คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า

    หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น

    ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้

    “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

    คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”

    ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี

    เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

    ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

    ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

    ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้

    (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

    (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

    นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง

    หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

    (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......”

    นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

    คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

    คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น

    การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ

    ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

    ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ 👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่ คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้ “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…” ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......” นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58 Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เบิร์ด" เดือดผมไม่กลัวใคร ไม่เชื่อ "แตงโม" ตกเรือ : [THE MESSAGE]

    เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม เปิดไทม์ไลน์ไปภูเก็ตวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร
    "เบิร์ด" เดือดผมไม่กลัวใคร ไม่เชื่อ "แตงโม" ตกเรือ : [THE MESSAGE] เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม เปิดไทม์ไลน์ไปภูเก็ตวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 41 0 รีวิว
  • 🛳 แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำไรน์ Cruise Only, Tulip Time ขึ้น-ลง Amsterdam 8 วัน 7 คืน

    📍 เส้นทาง อัมสเตอร์ดัม - คัมเพิน - หมู่บ้านกีโธร์น - ทุ่งดอกทิวลิป - เดลต้า - เมืองซีริกเซ - เกนต์ - แอนต์เวิร์ป - รอตเตอร์ดาม - อัมสเตอร์ดัม - ล่องเรือในคลองอัมสเตอร์ดัม หรือชมทิวลิป สวนเคอเคนฮอฟ

    📆 วันเดินทาง เม.ษ. - พ.ค. 68

    🔥 ราคาเริ่มต้น USD 3,639

    ✅ รวมอาหารทุกมื้อ
    ✅ ห้องพักสุดหรูบนเรือสำราญ
    ✅ กิจกรรมบนเรือครบครัน

    ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : AMAP-8D7N-AMS-AMS-2505051
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e8252b

    ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youytube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696

    #เรือAmaWaterways #AmaWaterwaycruise #RhineRiver #Ghent #Netherlands #Antwerp #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🛳 แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำไรน์ Cruise Only, Tulip Time ขึ้น-ลง Amsterdam 8 วัน 7 คืน 📍 เส้นทาง อัมสเตอร์ดัม - คัมเพิน - หมู่บ้านกีโธร์น - ทุ่งดอกทิวลิป - เดลต้า - เมืองซีริกเซ - เกนต์ - แอนต์เวิร์ป - รอตเตอร์ดาม - อัมสเตอร์ดัม - ล่องเรือในคลองอัมสเตอร์ดัม หรือชมทิวลิป สวนเคอเคนฮอฟ 📆 วันเดินทาง เม.ษ. - พ.ค. 68 🔥 ราคาเริ่มต้น USD 3,639 ✅ รวมอาหารทุกมื้อ ✅ ห้องพักสุดหรูบนเรือสำราญ ✅ กิจกรรมบนเรือครบครัน ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : AMAP-8D7N-AMS-AMS-2505051 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e8252b ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youytube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือAmaWaterways #AmaWaterwaycruise #RhineRiver #Ghent #Netherlands #Antwerp #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อความสุดท้าย 19.19 น. ไม่เชื่อเป็นอุบัติเหตุ : [NEWS UPDATE]

    เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง โดยไทม์ไลน์ไปภูเก็ตคือวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักเพียงกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับไปว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้

    -เตรียมเก็บวัสดุวิเคราะห์

    -"แสวง"ให้นำโพยเข้าคูหา?

    -โมโตจีพีดันศก. 5 พันล้าน

    -แก้เกณฑ์ 50 ล้านเล่นกาสิโน
    ข้อความสุดท้าย 19.19 น. ไม่เชื่อเป็นอุบัติเหตุ : [NEWS UPDATE] เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง โดยไทม์ไลน์ไปภูเก็ตคือวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักเพียงกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับไปว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ -เตรียมเก็บวัสดุวิเคราะห์ -"แสวง"ให้นำโพยเข้าคูหา? -โมโตจีพีดันศก. 5 พันล้าน -แก้เกณฑ์ 50 ล้านเล่นกาสิโน
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 595 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ
    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    นี่ละยิวจอมทรยศและเนรคุณ..#เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เบิร์ด-เทคนิค” เดินทางเข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลคดี "แตงโม" เชื่อไม่เป็นอุบัติเหตุและไม่เคยโดนข่มขู่ ส่วนคนบนเรือรู้จักแค่กระติกคนเดียวแต่ไม่สนิท

    วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 18.45 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "เบิร์ด-เทคนิค" อดีตแฟนสาว น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังการเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูลคดี โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง

    เบิร์ด เทคนิค กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ได้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์และทำตามหน้าที่ทำในสิ่งที่นัดหมายไว้กับดีเอสไอ ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องสำคัญอะไรเพิ่มเติมก็ให้ดีเอสไอติดต่อตนได้โดยตรง ซึ่งวันนี้ให้ข้อมูลทางคดีกับดีเอสไอเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่ตนไปภูเก็ตคือตนไป จ.ภูเก็ต วันที่ 17 ก.พ. และกลับกรุงเทพฯในวันที่ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละครวันที่ 22 หรือ 23 ก.พ. ตนไม่แน่ใจ แต่วันเกิดเหตุวันที่ 24 ก.พ. โดยแตงโมบอกกับตนก่อนลงเรือ 1 คืนว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน

    เบิร์ด เทคนิค กล่าวอีกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ แตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกกับตนว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ระหว่างตนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นตนไม่เอะใจว่าเป็นการบอกลา เพราะทำเป็นปกติก่อนออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนยืนยันว่าไม่รู้จักกับคนบนเรือสักคน รู้จักเพียงกระติกคนเดียว แต่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนคนชื่อเอ็กซ์ที่ให้ข้อมูลคนบนเรือ ตนไม่ได้สนิทด้วยรู้จักกันเพียงแค่วันไปขับรถเล่นที่บางแสน จ.ชลบุรี เพียงวันเดียว และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย ส่วนรายละเอียดอื่นอยู่ในสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว

    นอกจากนี้ วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19.19 น. ตนคุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมบอกว่าถึงร้านอาหารแล้ว กินข้าวแล้ว เธอกินข้าวหรือยัง ตนตอบกลับไปว่ากินแล้ว กำลังทำงานอยู่ หลังจากที่เบิร์ดพูดประเด็นดังกล่าวปรากฏว่าเพื่อนของเบิร์ดที่มาด้วยพยายามดึงตัวเบิร์ดออกไปแล้วบอกว่า “พอแล้ว”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020781

    #MGROnline #เบิร์ดเทคนิค #ดีเอสไอ
    “เบิร์ด-เทคนิค” เดินทางเข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลคดี "แตงโม" เชื่อไม่เป็นอุบัติเหตุและไม่เคยโดนข่มขู่ ส่วนคนบนเรือรู้จักแค่กระติกคนเดียวแต่ไม่สนิท • วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 18.45 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "เบิร์ด-เทคนิค" อดีตแฟนสาว น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังการเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูลคดี โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง • เบิร์ด เทคนิค กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ได้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์และทำตามหน้าที่ทำในสิ่งที่นัดหมายไว้กับดีเอสไอ ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องสำคัญอะไรเพิ่มเติมก็ให้ดีเอสไอติดต่อตนได้โดยตรง ซึ่งวันนี้ให้ข้อมูลทางคดีกับดีเอสไอเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่ตนไปภูเก็ตคือตนไป จ.ภูเก็ต วันที่ 17 ก.พ. และกลับกรุงเทพฯในวันที่ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละครวันที่ 22 หรือ 23 ก.พ. ตนไม่แน่ใจ แต่วันเกิดเหตุวันที่ 24 ก.พ. โดยแตงโมบอกกับตนก่อนลงเรือ 1 คืนว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน • เบิร์ด เทคนิค กล่าวอีกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ แตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกกับตนว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ระหว่างตนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นตนไม่เอะใจว่าเป็นการบอกลา เพราะทำเป็นปกติก่อนออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนยืนยันว่าไม่รู้จักกับคนบนเรือสักคน รู้จักเพียงกระติกคนเดียว แต่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนคนชื่อเอ็กซ์ที่ให้ข้อมูลคนบนเรือ ตนไม่ได้สนิทด้วยรู้จักกันเพียงแค่วันไปขับรถเล่นที่บางแสน จ.ชลบุรี เพียงวันเดียว และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย ส่วนรายละเอียดอื่นอยู่ในสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว • นอกจากนี้ วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19.19 น. ตนคุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมบอกว่าถึงร้านอาหารแล้ว กินข้าวแล้ว เธอกินข้าวหรือยัง ตนตอบกลับไปว่ากินแล้ว กำลังทำงานอยู่ หลังจากที่เบิร์ดพูดประเด็นดังกล่าวปรากฏว่าเพื่อนของเบิร์ดที่มาด้วยพยายามดึงตัวเบิร์ดออกไปแล้วบอกว่า “พอแล้ว” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020781 • #MGROnline #เบิร์ดเทคนิค #ดีเอสไอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล”

    “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม

    “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ

    ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572

    #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    รัฐบาลจีนเตรียมใช้มาตรการตอบโต้คำสั่งรีดภาษีสินค้าจีนระลอก 2 ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 มี.ค.) โดยคาดว่าสินค้าเกษตรของอเมริกาอาจตกเป็นเป้าหมาย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% โดยกล่าวหาปักกิ่งว่าไม่พยายามมากพอในการสกัดกั้นสารเสพติด “เฟนทานิล” ในขณะที่จีนชี้ว่าการกระทำของสหรัฐฯ เข้าข้าย “แบล็กเมล” • “จีนกำลังศึกษาและเตรียมกำหนดมาตรการตอบโต้คำขู่ของสหรัฐฯ ที่บอกว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 10% โดยใช้เรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้าง” โกลบอลไทม์สรายงานวันนี้ (3) โดยอ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม • “มาตรการทั้งหมดอาจจะรวมถึงการเพิ่มภาษีศุลกากรและอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ น่าจะอยู่ในบัญชีสินค้าที่ถูกตอบโต้” รายงานระบุ • ที่ผ่านมาสินค้าเกษตรถือเป็นจุดอ่อนที่จีนมักจะใช้เล่นงานตอบโต้สหรัฐฯ เวลาที่เกิดข้อพิพาททางการค้า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020572 • #MGROnline #รัฐบาลจีน #รีดภาษีสินค้าจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่ผู้นำยุโรปและเซเลนสกีกำลังดื่มด่ำกับการรับประทานอาหารค่ำสุดหรู ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ใครผู้ชายมากมายต้องจบชีวิตลงในสนามรบ

    มีพ่อแม่จำนวนเท่าไหร่ที่ไม่มีวันได้พบหน้าลูกๆของพวกเขาอีกเลย?
    มีลูกๆเท่าไหร่ที่ไม่มีวันได้พบกับพ่อของพวกเขาอีก?

    -อีลอน มัสก์
    ในขณะที่ผู้นำยุโรปและเซเลนสกีกำลังดื่มด่ำกับการรับประทานอาหารค่ำสุดหรู ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ใครผู้ชายมากมายต้องจบชีวิตลงในสนามรบ มีพ่อแม่จำนวนเท่าไหร่ที่ไม่มีวันได้พบหน้าลูกๆของพวกเขาอีกเลย? มีลูกๆเท่าไหร่ที่ไม่มีวันได้พบกับพ่อของพวกเขาอีก? -อีลอน มัสก์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นข่าวช็อกต้อนรับเดือนมีนาคม สำหรับกรณีที่ “ลำไย ไหทองคำ” หรือ “อ้าย สุพรรณษา เวชกามา” ประกาศเลิกรากับ “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวง L.กฮ. ยืนยันว่าจบดี ไร้มือที่สาม และไม่ขอตอบคำถามใดๆ ด้าน ปุ้ย L.กฮ. ได้ออกมาเผยว่าความรักยังอยู่ที่เดิม แค่มุมมองไม่เหมือนเดิม พร้อมข้อความคล้ายกำลังง้อลำไยอยู่

    สำหรับเส้นทางรักของทั้งคู่ ปุ้ย รู้จักลำไยตอนฝ่ายหญิงอายุ 17 ปี ปุ้ย 26 ปี อายุห่างกัน 9 ปี เคยเห็นลำไยโคฟเวอร์เพลงคนอื่นในยูทิวบ์ ก่อนมีเพลงของตัวเอง จนวันที่ได้เห็นตัวจริงที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นงานวันเกิดเจ้าภาพ ลำไยก็ไปด้วย ฝ่ายลำไยเป็นคนเข้ามาขอถ่ายรูป

    โดยลำไยชื่นชอบปุ้ยในความเป็นศิลปิน จากภาพคิดว่าน่าจะเป็นสายปาร์ตี้ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่พอได้รู้จักตัวจริง กลับตรงกันข้าม ปุ้ยบอกให้ลำไยไหว้พระสวดมนต์ก่อนขึ้นคอนเสิร์ต ให้กินอาหารมีประโยชน์ ขณะที่ปุ้ยเห็นว่าลำไยน่ารัก จึงทักเฟซบุ๊กไปหา บอกว่าตัวจริงลำไยสวย ตอนจีบใหม่ๆ บอกลำไยทุกวันว่าลำไยจะดัง แต่ลำไยไม่เชื่อ ซึ่งปุ้ยเผยว่าตนเองมองคนเก่ง ลำไยจะดังและมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ ใช้เวลาเกือบปีจึงได้เป็นแฟนกัน

    ทั้งคู่คบหากันตอนที่ยังไม่ดัง ชีวิตค่อนข้างลำบาก ลำไยเช่าห้องอยู่กับคุณแม่ส่วนปุ้ยเช่าห้องอยู่กับเพื่อน เป็นห้องเช่ารายวัน วันละ 300 บาท ตอนนั้นปุ้ยเริ่มเล่นคอนเสิร์ต รายได้ไม่เยอะ คบกันได้สักปี ลำไยก็ดังมาก ซึ่งปุ้ยไม่อยากให้ลำไยบอกใคร เพราะเห็นว่าชีวิตลำไยกำลังขาขึ้น อีกทั้งเผื่อว่าลำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020559

    #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยศรีสกล
    เป็นข่าวช็อกต้อนรับเดือนมีนาคม สำหรับกรณีที่ “ลำไย ไหทองคำ” หรือ “อ้าย สุพรรณษา เวชกามา” ประกาศเลิกรากับ “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวง L.กฮ. ยืนยันว่าจบดี ไร้มือที่สาม และไม่ขอตอบคำถามใดๆ ด้าน ปุ้ย L.กฮ. ได้ออกมาเผยว่าความรักยังอยู่ที่เดิม แค่มุมมองไม่เหมือนเดิม พร้อมข้อความคล้ายกำลังง้อลำไยอยู่ • สำหรับเส้นทางรักของทั้งคู่ ปุ้ย รู้จักลำไยตอนฝ่ายหญิงอายุ 17 ปี ปุ้ย 26 ปี อายุห่างกัน 9 ปี เคยเห็นลำไยโคฟเวอร์เพลงคนอื่นในยูทิวบ์ ก่อนมีเพลงของตัวเอง จนวันที่ได้เห็นตัวจริงที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นงานวันเกิดเจ้าภาพ ลำไยก็ไปด้วย ฝ่ายลำไยเป็นคนเข้ามาขอถ่ายรูป • โดยลำไยชื่นชอบปุ้ยในความเป็นศิลปิน จากภาพคิดว่าน่าจะเป็นสายปาร์ตี้ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่พอได้รู้จักตัวจริง กลับตรงกันข้าม ปุ้ยบอกให้ลำไยไหว้พระสวดมนต์ก่อนขึ้นคอนเสิร์ต ให้กินอาหารมีประโยชน์ ขณะที่ปุ้ยเห็นว่าลำไยน่ารัก จึงทักเฟซบุ๊กไปหา บอกว่าตัวจริงลำไยสวย ตอนจีบใหม่ๆ บอกลำไยทุกวันว่าลำไยจะดัง แต่ลำไยไม่เชื่อ ซึ่งปุ้ยเผยว่าตนเองมองคนเก่ง ลำไยจะดังและมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ ใช้เวลาเกือบปีจึงได้เป็นแฟนกัน • ทั้งคู่คบหากันตอนที่ยังไม่ดัง ชีวิตค่อนข้างลำบาก ลำไยเช่าห้องอยู่กับคุณแม่ส่วนปุ้ยเช่าห้องอยู่กับเพื่อน เป็นห้องเช่ารายวัน วันละ 300 บาท ตอนนั้นปุ้ยเริ่มเล่นคอนเสิร์ต รายได้ไม่เยอะ คบกันได้สักปี ลำไยก็ดังมาก ซึ่งปุ้ยไม่อยากให้ลำไยบอกใคร เพราะเห็นว่าชีวิตลำไยกำลังขาขึ้น อีกทั้งเผื่อว่าลำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020559 • #MGROnline #ลำไยไหทองคำ #ปุ้ยศรีสกล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน...
    ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้”
    หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน...
    ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที...
    ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...
    และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น...
    คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
    ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS”
    อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล...
    ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!!
    และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน... ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน... ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที... ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา... และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น... คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล... ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!! และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดียามเช้าๆสายๆครับ แต่ผมตื่นได้ถูกจังหวะแล้ว แต่ก็ได้คิดอะไรใหม่ๆได้สบายๆไม่ต้องเครียดเยอะ เช้านี้ก็กินนมตามโปรแกรมที่ผมตั้งไว้แล้ว แต่กินน้ำมะเขือเทศดอยคำเหมือนเดิม ส่วนวิตามินซีขวดผมคงต้องลาขาดแล้วเพราะอาหารจานหลักกินมื้อเดียวก็สบายท้องตลอดทั้งวันแล้ว ส่วนกาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Booster) ก็ต้องลาขาดไปก่อนนะเพราะอาหารการกินจานหลักโภชนาการหลักนั้นสำคัญยิ่ง แต่งานผมคงต้องทำต่อ แต่ทำแบบว่า สบายๆ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดเยอะ ค่อยๆทำ เพื่ออนาคตอย่างกับช้าๆได้พร้าเล่มงาม ไม่มีอะไรได้มาเร็วๆและฟรีๆและโชคดีขนาดนั้น ถ้าอยากโชคดีกว่านี้ ต้องคิด วางแผผนและขยันให้มากและล้ำลึกกว่านี้ ไม่ใช่เอาเงินไปลงให้การหวนการพนัน ผมไม่เล่นการพนัน แต่ขอพูดบ้าง ติดเกมส์ดีกว่าติดพนัน ติดเกมส์อย่างน้อยได้หัวความคิดสร้างสรรค์อยากสร้างเกมส์สร้างคอนเทนต์สร้างรายได้กำไรอย่างงาม
    สวัสดียามเช้าๆสายๆครับ แต่ผมตื่นได้ถูกจังหวะแล้ว แต่ก็ได้คิดอะไรใหม่ๆได้สบายๆไม่ต้องเครียดเยอะ เช้านี้ก็กินนมตามโปรแกรมที่ผมตั้งไว้แล้ว แต่กินน้ำมะเขือเทศดอยคำเหมือนเดิม ส่วนวิตามินซีขวดผมคงต้องลาขาดแล้วเพราะอาหารจานหลักกินมื้อเดียวก็สบายท้องตลอดทั้งวันแล้ว ส่วนกาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Booster) ก็ต้องลาขาดไปก่อนนะเพราะอาหารการกินจานหลักโภชนาการหลักนั้นสำคัญยิ่ง แต่งานผมคงต้องทำต่อ แต่ทำแบบว่า สบายๆ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดเยอะ ค่อยๆทำ เพื่ออนาคตอย่างกับช้าๆได้พร้าเล่มงาม ไม่มีอะไรได้มาเร็วๆและฟรีๆและโชคดีขนาดนั้น ถ้าอยากโชคดีกว่านี้ ต้องคิด วางแผผนและขยันให้มากและล้ำลึกกว่านี้ ไม่ใช่เอาเงินไปลงให้การหวนการพนัน ผมไม่เล่นการพนัน แต่ขอพูดบ้าง ติดเกมส์ดีกว่าติดพนัน ติดเกมส์อย่างน้อยได้หัวความคิดสร้างสรรค์อยากสร้างเกมส์สร้างคอนเทนต์สร้างรายได้กำไรอย่างงาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts