• #ชีวิตคนเรา ยามมีเงิน ก็อย่าได้ดูถูกใคร ยามไร้เงิน ก็อย่าได้ดูแคลนตัวเองไป ยามมีอำนาจ ก็อย่าได้ลำพองใจ ยามไร้อำนาจ ก็ไม่ต้องท้อแท้แต่อย่างใด เพียงจำไว้ ฝนย่อมไม่ตกทั้งเดือน ชีวิตใช่ว่าจะมีแต่อับจนเสมอ ขุนเขาไม่ได้เขียวทุกฤดู ทุกข์แค่ไหน สักวันย่อมสิ้นสุด

    คนฉลาดไม่ประกาศศัตรู มีแต่คนโง่ที่ทำ คนเก่งไม่ใช่คนที่คิดคำด่าได้แสบที่สุด คนเก่งไม่ใช่คนที่เดินไปตบใครก็ได้ แต่คนเก่งจริงๆ คือ คนที่ควบคุมตัวเองได้ และทำงานกับใครก็ได้ วุฒิภาวะต่ำทำงานใหญ่ไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีวันสำเร็จ

    เมื่อมุ่งมั่นศรัทธาใจกล้าหาญ คิดทำการสิ่งใดก็ได้ผล
    อุปสรรคขวางหน้าต้องกล้าชน เกิดเป็นคนจงรักศักดิ์ศรีตัว
    ความเจ็บปวดเกินจะกล่าว ล้วนต้องแบกเอง

    อยู่มาวันหนึ่ง คุณพบในทันใดว่า ความดีของคุณ ก็เหมือนลูกกวาดสำหรับคนอื่น กินแล้วก็หมดไป ส่วนความไม่ดีของคุณ จะเหมือนแผลเป็นที่ไม่หาย จะอยู่ตลอดไป นี่คือวิสัยคน

    หากมีใครสักคน ด้วยความดีเล็กน้อยของคุณ ก็ให้อภัยความไม่ดีทั้งหมดของคุณแล้ว ก็จงถนอมรักษาไว้ให้ดี เพราะคนส่วนใหญ่นั้น จะเพียงด้วยความไม่ดีเล็กน้อยของคุณ หลงลืมความดีทั้งหมดของคุณ!

    ใครบ้างเล่าที่ไม่ใช่ บาดเจ็บไปพลาง เติบใหญ่ไปพลาง ใครบ้างเล่าที่ไม่ได้ หลั่งน้ำตาไปพลาง เข้มแข็งไปพลาง ชีวิตคนเรา เมื่อพูดกันถึงที่สุด ร้อยรสชาติล้วนต้องลิ้มเอง ความเจ็บปวดเกินจะกล่าวล้วนต้องแบกเอง ลมฝนที่กระหน่ำใส่ล้วนต้องฝ่าเอง!

    จึงทำงานด้วยใจรัก เป็นคนด้วยใจรู้คุณ หากมีเงิน ทำงานให้ดี หากไม่มีเงิน เป็นคนที่ดี นี่เองคือชีวิต

    หากไม่สะดุดล้ม ไม่รู้หรอกว่าใครจะพยุงคุณให้ลุก ไม่เจอความลำบาก ไม่รู้หรอกว่าใครจะช่วยคุณ ขอคนเหมือนกลืนดาบสามฟุต พึ่งคนเหมือนไต่ฟ้าเก้าชั้น.

    คนกับคน ใช่ว่าเชื่อใจได้ทั้งหมด ใจกับใจ ใช่ว่าล้วนยอมมอบความจริงใจ ส่งถ่านกลางหิมะ ล้ำเลิศกว่า ค่าควรทะนุถนอมกว่าปักดอกไม้บนแพรไหมมาก จึงรู้คุณผู้เคยเดินร่วมทางและเคยช่วยเหลือฉัน.

    ขอบคุณที่มาเจ้าของบทความ/ภาพ
    ปรัชญาคำคม/ปรัชญาชีวิต
    #ชีวิตคนเรา ยามมีเงิน ก็อย่าได้ดูถูกใคร ยามไร้เงิน ก็อย่าได้ดูแคลนตัวเองไป ยามมีอำนาจ ก็อย่าได้ลำพองใจ ยามไร้อำนาจ ก็ไม่ต้องท้อแท้แต่อย่างใด เพียงจำไว้ ฝนย่อมไม่ตกทั้งเดือน ชีวิตใช่ว่าจะมีแต่อับจนเสมอ ขุนเขาไม่ได้เขียวทุกฤดู ทุกข์แค่ไหน สักวันย่อมสิ้นสุด คนฉลาดไม่ประกาศศัตรู มีแต่คนโง่ที่ทำ คนเก่งไม่ใช่คนที่คิดคำด่าได้แสบที่สุด คนเก่งไม่ใช่คนที่เดินไปตบใครก็ได้ แต่คนเก่งจริงๆ คือ คนที่ควบคุมตัวเองได้ และทำงานกับใครก็ได้ วุฒิภาวะต่ำทำงานใหญ่ไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีวันสำเร็จ เมื่อมุ่งมั่นศรัทธาใจกล้าหาญ คิดทำการสิ่งใดก็ได้ผล อุปสรรคขวางหน้าต้องกล้าชน เกิดเป็นคนจงรักศักดิ์ศรีตัว ความเจ็บปวดเกินจะกล่าว ล้วนต้องแบกเอง อยู่มาวันหนึ่ง คุณพบในทันใดว่า ความดีของคุณ ก็เหมือนลูกกวาดสำหรับคนอื่น กินแล้วก็หมดไป ส่วนความไม่ดีของคุณ จะเหมือนแผลเป็นที่ไม่หาย จะอยู่ตลอดไป นี่คือวิสัยคน หากมีใครสักคน ด้วยความดีเล็กน้อยของคุณ ก็ให้อภัยความไม่ดีทั้งหมดของคุณแล้ว ก็จงถนอมรักษาไว้ให้ดี เพราะคนส่วนใหญ่นั้น จะเพียงด้วยความไม่ดีเล็กน้อยของคุณ หลงลืมความดีทั้งหมดของคุณ! ใครบ้างเล่าที่ไม่ใช่ บาดเจ็บไปพลาง เติบใหญ่ไปพลาง ใครบ้างเล่าที่ไม่ได้ หลั่งน้ำตาไปพลาง เข้มแข็งไปพลาง ชีวิตคนเรา เมื่อพูดกันถึงที่สุด ร้อยรสชาติล้วนต้องลิ้มเอง ความเจ็บปวดเกินจะกล่าวล้วนต้องแบกเอง ลมฝนที่กระหน่ำใส่ล้วนต้องฝ่าเอง! จึงทำงานด้วยใจรัก เป็นคนด้วยใจรู้คุณ หากมีเงิน ทำงานให้ดี หากไม่มีเงิน เป็นคนที่ดี นี่เองคือชีวิต หากไม่สะดุดล้ม ไม่รู้หรอกว่าใครจะพยุงคุณให้ลุก ไม่เจอความลำบาก ไม่รู้หรอกว่าใครจะช่วยคุณ ขอคนเหมือนกลืนดาบสามฟุต พึ่งคนเหมือนไต่ฟ้าเก้าชั้น. คนกับคน ใช่ว่าเชื่อใจได้ทั้งหมด ใจกับใจ ใช่ว่าล้วนยอมมอบความจริงใจ ส่งถ่านกลางหิมะ ล้ำเลิศกว่า ค่าควรทะนุถนอมกว่าปักดอกไม้บนแพรไหมมาก จึงรู้คุณผู้เคยเดินร่วมทางและเคยช่วยเหลือฉัน. ขอบคุณที่มาเจ้าของบทความ/ภาพ ปรัชญาคำคม/ปรัชญาชีวิต
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • 23/ 10/67

    # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ

    #ภาพวาด ปีกัสโซ่
    #ชื่อภาพ "โจร"

    #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต

    #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ

    #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?”

    #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"!

    “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า
    “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?”

    #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า”

    “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?”
    “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย

    #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ

    #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น

    #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย

    #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร”

    #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง

    #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว

    #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่"

    #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง!


    #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์
    #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    23/ 10/67 # วันนี้มีบทความข้อคิดดีๆ มาฝากทุกท่านครับ #ภาพวาด ปีกัสโซ่ #ชื่อภาพ "โจร" #จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต #อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของจิตกร เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ #เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า “เธอไม่ได้+เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!” เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?” “ฉันให้ราคาภาพนี้แค่ ๓,๐๐๐ เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?” #จิตกรหนุ่มตกตะลึง เหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่า "คนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง"! “อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่ ๓,๐๐๐ พันเหรียญเท่านั้น!” เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า “ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย ๓,๐๐๐ เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?” #จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่"! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และผมจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก ๒๐๐ เท่า” “ตลกล่ะ ๒๐๐ เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?” “งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย #เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่ม ได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเหยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ #เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป ๑๐ กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น #ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ ๒ วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย #อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย “เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทรรศการการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ #ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร” #เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง #สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว #เพราะอุดมการณ์ ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้ จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่" #ไม่มีใคร สามารถทำร้ายคุณหรือยัดเหยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง! #เครดิต : นุสนธิ์บุคส์ #ขอบคุณเจ้าของบทความและภาพประกอบ
    0 Comments 0 Shares 299 Views 0 Reviews
  • (Ch024.057) : เดี๋ยวถามพ่อก่อน

    อยู่มาวันหนึ่งสัตว์ก็ขับไล่คนออกไปจากฟาร์มได้สำเร็จ
    และตั้งกฎขึ้นมาใหม่

    1.อะไรที่เดินด้วยสองขาคือศัตรู
    และมีกฎอีกหลายข้อ

    ผมจำได้ว่าเจอชื่อหนังสือเล่มนี้ในหิ้งหนังสือของพ่อ แต่หน้าปกเป็นรูปวาดด้วยมือของกราฟฟิกยุคเก่าสมัยก่อน

    จะกี่ปีผ่านไปเนื้อหาและการสื่อความยังร่วมสมัย

    ไม่ต้องรอถามพ่อ
    (Ch024.057) : เดี๋ยวถามพ่อก่อน อยู่มาวันหนึ่งสัตว์ก็ขับไล่คนออกไปจากฟาร์มได้สำเร็จ และตั้งกฎขึ้นมาใหม่ 1.อะไรที่เดินด้วยสองขาคือศัตรู และมีกฎอีกหลายข้อ ผมจำได้ว่าเจอชื่อหนังสือเล่มนี้ในหิ้งหนังสือของพ่อ แต่หน้าปกเป็นรูปวาดด้วยมือของกราฟฟิกยุคเก่าสมัยก่อน จะกี่ปีผ่านไปเนื้อหาและการสื่อความยังร่วมสมัย ไม่ต้องรอถามพ่อ
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews