• “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง”

    ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก

    Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน

    ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด

    Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool

    แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์
    ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง
    นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล
    ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง
    ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล
    มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ
    เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based
    เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว
    ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี
    การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย
    นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน
    การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    🎼 “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง” ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ➡️ ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง ➡️ นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล ➡️ ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง ➡️ ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล ➡️ มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ ➡️ เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based ➡️ เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว ➡️ ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี ➡️ การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ➡️ นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน ➡️ การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI music platform Aiode pays artists for the digital clones collaborating on new songs.
    Aiode's AI-powered music studio pays the people inspiring its virtual session players
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta เปิดตัว Vibes — ปฏิวัติการสร้างวิดีโอสั้นด้วย AI ที่คุณไม่ต้องถ่ายเองอีกต่อไป”

    Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Meta AI และเว็บไซต์ meta.ai ชื่อว่า “Vibes” ซึ่งเป็นฟีดวิดีโอสั้นที่สร้างด้วย AI ทั้งหมด โดยผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความ (prompt), รีมิกซ์วิดีโอที่มีอยู่, เพิ่มภาพ เสียง และปรับสไตล์ได้ตามใจ ก่อนแชร์ไปยัง Instagram Reels หรือ Facebook Stories ได้ทันที

    Vibes ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่มีทักษะด้านการตัดต่อหรือการถ่ายทำสามารถสร้างวิดีโอที่ดูดีได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องปรากฏตัวในคลิปเองเลย จุดเด่นคือการรวมเครื่องมือสร้างภาพ AI, สติกเกอร์, และโมเดลวิดีโอของ Meta ไว้ในที่เดียว ทำให้การสร้างคอนเทนต์กลายเป็นเรื่องสนุกและเข้าถึงได้

    ฟีด Vibes จะเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้และปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเปิดให้รีมิกซ์วิดีโอจากผู้ใช้คนอื่นได้ทันทีผ่านปุ่ม “Remix” บน Instagram หรือในแอป Meta AI โดย Meta ยังร่วมมือกับศิลปินและนักสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาโมเดลให้มีคุณภาพสูงขึ้นในอนาคต

    แม้จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงการสร้างวิดีโอด้วย AI ได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลว่าอาจทำให้แพลตฟอร์มเต็มไปด้วย “AI slop” หรือวิดีโอที่ดูแปลก ไม่สมจริง และขาดคุณภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อความนิยมของ Reels และ Stories ในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดตัว Vibes ฟีดวิดีโอสั้นที่สร้างด้วย AI ทั้งหมดในแอป Meta AI และเว็บไซต์ meta.ai
    ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความ รีมิกซ์วิดีโอที่มีอยู่ และปรับแต่งภาพ เสียง สไตล์ได้
    วิดีโอสามารถแชร์ไปยัง Instagram Reels และ Facebook Stories ได้โดยตรง
    Vibes รวมเครื่องมือสร้างภาพ AI, สติกเกอร์ และโมเดลวิดีโอไว้ในที่เดียว
    ฟีดจะปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้โดยอิงจากพฤติกรรมการใช้งาน
    ผู้ใช้สามารถรีมิกซ์วิดีโอจาก Instagram ได้ผ่านปุ่ม “Remix” ที่เชื่อมกับแอป Meta AI
    Meta ร่วมมือกับศิลปินและนักสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาโมเดลให้มีคุณภาพสูงขึ้น
    Vibes เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อผลักดัน AI ไปสู่ทุกผลิตภัณฑ์ของ Meta

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสร้างวิดีโอด้วย AI ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิตคอนเทนต์
    ผู้ใช้ที่ขาดอุปกรณ์หรือความมั่นใจสามารถสร้างวิดีโอได้โดยไม่ต้องถ่ายเอง
    การใช้ prompt ในการสร้างวิดีโอเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่
    Meta เคยทดลองฟีเจอร์ AI chatbot persona แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่า Vibes
    การรวม Vibes เข้ากับ Instagram และ Facebook อาจเปลี่ยนวิธีการสร้างคอนเทนต์ในอนาคต

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/meta-launches-vibes-a-new-way-of-creating-and-remixing-ai-videos
    🎬 “Meta เปิดตัว Vibes — ปฏิวัติการสร้างวิดีโอสั้นด้วย AI ที่คุณไม่ต้องถ่ายเองอีกต่อไป” Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Meta AI และเว็บไซต์ meta.ai ชื่อว่า “Vibes” ซึ่งเป็นฟีดวิดีโอสั้นที่สร้างด้วย AI ทั้งหมด โดยผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความ (prompt), รีมิกซ์วิดีโอที่มีอยู่, เพิ่มภาพ เสียง และปรับสไตล์ได้ตามใจ ก่อนแชร์ไปยัง Instagram Reels หรือ Facebook Stories ได้ทันที Vibes ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่มีทักษะด้านการตัดต่อหรือการถ่ายทำสามารถสร้างวิดีโอที่ดูดีได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องปรากฏตัวในคลิปเองเลย จุดเด่นคือการรวมเครื่องมือสร้างภาพ AI, สติกเกอร์, และโมเดลวิดีโอของ Meta ไว้ในที่เดียว ทำให้การสร้างคอนเทนต์กลายเป็นเรื่องสนุกและเข้าถึงได้ ฟีด Vibes จะเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้และปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเปิดให้รีมิกซ์วิดีโอจากผู้ใช้คนอื่นได้ทันทีผ่านปุ่ม “Remix” บน Instagram หรือในแอป Meta AI โดย Meta ยังร่วมมือกับศิลปินและนักสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาโมเดลให้มีคุณภาพสูงขึ้นในอนาคต แม้จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงการสร้างวิดีโอด้วย AI ได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลว่าอาจทำให้แพลตฟอร์มเต็มไปด้วย “AI slop” หรือวิดีโอที่ดูแปลก ไม่สมจริง และขาดคุณภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อความนิยมของ Reels และ Stories ในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดตัว Vibes ฟีดวิดีโอสั้นที่สร้างด้วย AI ทั้งหมดในแอป Meta AI และเว็บไซต์ meta.ai ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความ รีมิกซ์วิดีโอที่มีอยู่ และปรับแต่งภาพ เสียง สไตล์ได้ ➡️ วิดีโอสามารถแชร์ไปยัง Instagram Reels และ Facebook Stories ได้โดยตรง ➡️ Vibes รวมเครื่องมือสร้างภาพ AI, สติกเกอร์ และโมเดลวิดีโอไว้ในที่เดียว ➡️ ฟีดจะปรับเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้โดยอิงจากพฤติกรรมการใช้งาน ➡️ ผู้ใช้สามารถรีมิกซ์วิดีโอจาก Instagram ได้ผ่านปุ่ม “Remix” ที่เชื่อมกับแอป Meta AI ➡️ Meta ร่วมมือกับศิลปินและนักสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาโมเดลให้มีคุณภาพสูงขึ้น ➡️ Vibes เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อผลักดัน AI ไปสู่ทุกผลิตภัณฑ์ของ Meta ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสร้างวิดีโอด้วย AI ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิตคอนเทนต์ ➡️ ผู้ใช้ที่ขาดอุปกรณ์หรือความมั่นใจสามารถสร้างวิดีโอได้โดยไม่ต้องถ่ายเอง ➡️ การใช้ prompt ในการสร้างวิดีโอเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ ➡️ Meta เคยทดลองฟีเจอร์ AI chatbot persona แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่า Vibes ➡️ การรวม Vibes เข้ากับ Instagram และ Facebook อาจเปลี่ยนวิธีการสร้างคอนเทนต์ในอนาคต https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/meta-launches-vibes-a-new-way-of-creating-and-remixing-ai-videos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles

    ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป

    แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย

    เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า

    เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ”

    ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles

    เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง

    หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย

    Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019)

    ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่

    วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่

    ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs

    นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา

    “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    🎶 บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles ✨ ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey 💿 ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป ❤️ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย 👤 เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า 🎤 เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ” 🎸 ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles 💔 เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง 📀 หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย 🏆 Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019) 🎵 ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 🎤 วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่ 🎧 🎤 ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs 🤠 🎤 นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา 🎹 ⌛ 🌟 “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 🌈 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตของนายปลาซิโด โดมิงโก (Mr. Plácido Domingo) ศิลปินโอเปราระดับตำนาน ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพ ฯ ครั้งที่ ๒๗ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. https://www.facebook.com/share/p/15zaWortt1/
    วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรการแสดงคอนเสิร์ตของนายปลาซิโด โดมิงโก (Mr. Plácido Domingo) ศิลปินโอเปราระดับตำนาน ในงานมหกรรมศิลปะการแสดงและดนตรีนานาชาติกรุงเทพ ฯ ครั้งที่ ๒๗ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. https://www.facebook.com/share/p/15zaWortt1/
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอบคุณน้องๆที่น่ารัก คิดถึงทุกคนเด้อจ้า
    เพลง พร้อมจะดี - ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก
    https://youtu.be/tytnVj6nTcc?si=Mggg4XTClX68bI-N
    #พร้อมจะดี
    #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต#Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord
    ขอบคุณน้องๆที่น่ารัก คิดถึงทุกคนเด้อจ้า เพลง พร้อมจะดี - ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก https://youtu.be/tytnVj6nTcc?si=Mggg4XTClX68bI-N #พร้อมจะดี #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต​ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22

    1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ?

    2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ?

    3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ!

    4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ

    5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ

    6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน

    7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน!

    8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก

    9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย

    10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง
    ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี

    ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย?

    หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?)
    20 กันยายน 68
    11.11 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    20-09-68/01 : หมี CNN / BREAKING NEWS "หมีม้าด่วน ม้าเร็ว ม้าหน้ามืด" EP.22 1.เล่ห์เหลี่ยมอีขะแมร์ ป่วนภาค 1 แต่เป้าโจมตีคือภาค 2 แค้นจัดรึจ๊ะ? อยากล้างตาสิน่ะ เค้าพร้อมรองาบมรึงนานแล้ว ให้ไว ไอ้สัส! งานนี้รถถังออกจริง ปูพรมแน่ อย่าเผ่นก่อนล่ะ สูตรลูกยาวเทกระจาด ภาคพื้นเก็บกวาด หนุนเสริมด้วยขีปนาวุธจากทัพเรือ สูตรนี้ หนียังไงก็ไม่รอด? อาวุธมรึงซ่อนที่ไหนเค้ารู้หมด เอากองกำลังไปซุ่มในป่า เค้าก็เห็น ไม่เสียเวลาเข้าปะทะ ปูพรมระเบิดเกลี้ยง ราบเป็นหน้ากอง แม้แต่กระสุนก็ยังไม่ได้ยิง ถึงเวลาระเบิดทำลายทุ่นระเบิดมรึงให้เกลี้ยงพื้นที่ รถเคลนเคลียร์ทุนระเบิดตามแนวชายแดนมาเต็ม รออะไร? รอให้มรึงบุกก่อนไงล่ะ? 2.โซเชี่ยลพลิกขั้ว สาวกอีส้มเน่า ปั่นใจ ถูกปั่นง่าย ก็กลับใจง่าย เพราะมันตามกระแสเป็นหลัก จุดยืนไม่ต้องถาม กูเอาความสบายใจเป็นเหตุ เลือกตั้งเลือกตามอารมณ์ สติปัญญาไม่ต้องใช้ เมื่อสู้กับกระต่าย มรึงก็ต้องทำให้กระต่ายตื่นตูมไงล่ะ กองทัพวางแม่ทัพกุ้งเดินสาย เต็มพื้นที่อีสาน จุดเปลี่ยนเกมส์การเมือง กระแสอีส้มเน่าดับวูบลงเรื่อยๆ แลนด์สไลด์เหรอ เดี๋ยวมรึงได้เจอแบบพรรคฟ้าคราวก่อน วัยรุ่น รักง่าย เบื่อเร็ว เล่นวาทะกรรมยังไงโดนย้อนศรคืนหมด อีสานตื่นกันทั้งแผ่นดิน เบื่อหน่ายกับอีขะแมร์ เพราะการเมืองไทยเป็นขี้ข้าบ่อนไงล่ะ นายทุนมันสั่ง ส่วย 100 ล้านต่อเดือน ใครจะจ่ายต่อ? ได้เวลาเด็ดหัวทหารเหี้ยจ๊ะ? 3.E-เล็ก ยังแถไม่เลิก อย่ากระเหี้ยนกระหือรือออกหน้าซะขนาดนั้น กลัวไม่ได้ยกแผ่นดินให้อีขะแมร์เหรอ? มรึงมันหมายันลูกหลาน เค้ากาหัวมรึงทั้งประเทศ อ้างไปเหอะ หมายังรู้ อะไรที่เป็นของเรา ใยต้องแบ่งให้วุ่นวาย เป็นใครยึดคืนหมด ไม่ต้องถามต่อ? ฝากไปบอกอีลวกเพ่ใหญ่ เพ่รอง มรึงด้วย กองทัพเค้าไม่เอามรึงแล้วน่ะ จะพาลุงตู่ซวยไปด้วย กบฎนายพันมีจริง นายพลใหญ่แค่ไหน หากขายชาติ นายพันก็พร้อมปฎิวัติ ยังไง? กูไม่ทำไงล่ะ กองกำลังจริง ใครคุม ไม่ใช่มรึงน่ะ? มรึงแค่สั่ง แต่ภาคปฎิบัติการแข็งข้อ มรึงจะทำยังไง? วังไฟเขียวแล้วจ๊ะ! 4. ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทยแสนล้านบาทต่อไตรมาส มาจากไหน? ปมปัญหาที่แบงค์ชาติต้องตอบ? สาเหตุทำบาทไทยแข็งโป๊ก นอกจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เงินเฟ้อไทยต่ำมาก ต่ำกว่าชาวโลกเค้า เพราะควบคุมกระแสเงินได้ดีช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยเกินคาดการณ์ สิ่งนี้ อาจจะมีนัยยะซ่อนเร้นอยู่ เกมส์โลกคือตัวกำหนดทิศทางเงิน เมื่อดอลล่าร์ล่มสลาย และหลายชาติไม่มั่นใจในระบบการเงินโลกยุคเก่า แห่ไปอุ้มทอง และเงินบาทไทย เพราะมีเสถียรภาพมั่นคงมาตลอด การชำระด้วยเงินบาทไทย เป็นที่นิยมสากลโลกตอนนี้ มันมีจุดอ่อน คือกลุ่มเหี้ยบางกลุ่ม อาจใช้เงินบาทไทยเป็นตัวกลางฟอกเงินได้ในอนาคต เพราะความต้องการเงินบาทมีมากจนเกินปกติ ทุกอย่างไม่มีบังเอิญจ๊ะ 5.แผนลับอี FED กดทองคำยับ หวังช้อนซื้อของถูก เพราะทองคำในมือไม่มี กดไว้ กูจะได้กว้านซื้อขาลงให้มันถูกหน่อย คนมีสติ อยู่ดีดี จะเอาทองคำในมือไปแลกเศษกระดาษทำไมกัน? เพราะมูลค่าในตลาดโลกว่าสูง แต่มูลค่าทองคำในตัวมันเองสูงกว่าตลาดวางไว้ 10 เท่า ยามเมื่อทองคำหมดโลก แผนนี้ไว้ล่อแมงเม่าไงล่ะ หวังฟันกำไรระยะสั้น แต่ที่ถือคือกระดาษเปล่าที่รอวันหมดสภาพ ใครว่าทอง 50000 แพงแล้ว ต่อไป 100000 มรึงจะช็อคมากกว่านี้มั้ยล่ะ? บอกไปแล้ว ทะลุ 65000 เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน มันเอาไม่อยู่แล้ว สภาพจริง ภาวะจริง ที่โลกต้องแย่งกันสะสมทองคำในมือให้มากที่สุด โดยเฉพาะทองคำแท่งแท้ๆ ไม่ใช่กระดาษซื้อขายล่วงหน้าแบบที่ไอ้อีตะวันตกมันทำ เพื่อเอามาปั่นดอกน่ะ 6.เจ๊ปองรอด อีเพ่หมี ยุทธิยง รอด ศาลเมตตา ทำผิด ยอมรับผิด มูลเหตุเพื่อปวงประชา หาใช่ทำเพื่อตัวเอง คือการเสียสละ(ศาลเป็นแฟนเจ๊ปอง ดูทุกวัน จับเจ๊เข้าคุก แล้วใครจะเม้าท์ให้กูฟังกันล่ะ) ศาลมีเหตุ มีผล ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้มวลชนมุ่งเป้าทำลาย นี่คือคีย์ของเหตุแห่งการอภัยลดโทษ คนดี แม้จะเข้าไปยึด เพื่อปิดปากกระบอกเสียงผู้นำขายชาติ ไม่จำเป็นต้องทำลายสถานที่ หรือทำร้ายใคร แค่ปิดการออกอากาศ ผิดจริงตามกฎหมาย เพราะบุก แต่ไม่มีอะไรเสียหาย หรือใครตาย ก็ทัณฑ์บนไว้ ยกฟ้อง อย่าทำอีกล่ะ? อีเจ๊ปองปลื้ม แต่อีเพ่หมี ยุทธิยง ต้องเดิน 14 กิโล ฮาแตกเลยมรึง? บนเอาไว้ ฟ้ามีตา อีเจ๊ปอง ไม่เอาด้วย กูขี้เกียจเดิน 7.มันส์ล่ะมรึง! เร็วฟ้าผ่า ฟาโรห์ส่งทหาร 20000 ตั้งต้น ซาอุ ตามมา ก่อตั้งกองกำลังกำจัดยิวชั่ว คล้าย NATO อาหรับนั่นแหละ 60 ชาติทั่วโลกมาประชุมกาตาร์ เอาด้วย ประเทศมุสลิมทั้งโลกเตรียมลงแขกยิว รับไม่ได้ อียิวส่ง F-35 มาโจมตีกลุงโดฮา อ้างถล่มศูนย์บัญชาการฮามาส งานนี้ เยรูซาเล็ม เทลอาวีฟ ไฮฟา ที่เหลือแต่ซากแล้ว มรึงยังจะเอาเหี้ยอะไรมาเหลือให้ถล่มซ้ำอีก งานนี้ ฎีกา ยกพลขึ้นบก เกมส์นี้ เค้าแบ่งกันเล่น อิหร่านไม่ต้องออกหน้า อาหรับโดยมติสันนิบาตรอาหรับ นำทีมโดยฟาโรห์ ซาอุ UAE คูเวต โอมาน เตรียมรวมกำลัง จัดใหญ่ จัดหนัก แน่นอนว่า แผนการรุก ย่อมต้องมีอิหร่านวางแผนเบื้องหลัง โดยมีอิรักเป็นหน้าฉาก อาวุธเอาจากไหนกันล่ะ ระบบอาวุธสหรัฐที่มีอยู่จะไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะมันสั่งปิดระบบได้ แต่ดอกนี้ Made in จีน อิหร่าน มาเต็มตรีน! 8.แม่ทัพดาหน้าเสนอ "ปิด สร้าง สู้" มองข้ามหัวไอ้อีฝ่ายการเมืองทุกไอ้อี แม้แต่บูรพาสุนัข ที่ยังสั่งเด็กเห่าแต่เรื่องเปิดด่าน เจอตอกหน้าหงาย เชิญมรึงไปอยู่กับบ่อนที่รักของมรึงเลยเป็นไง? E-เล็ก อย่างหมา กองทัพไม่ให้ราคา หลังจีนสร้างชิป AI สำเร็จ ส่งเหี้ยอะไรมาให้ไทยทดลอง ไทยเราเอาหมด โอกาสงาม จะได้ใช้ก็งานนี้แหละ รหัสยิงขีปนาวุธลำกล้องขะแมร์ ที่จีนเคยมอบให้ ถูกล็อครหัสยิงไม่ได้ กลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว อาวุธใหม่ที่จีนมอบให้ไทย คือรุ่นอัพเกรด วงในรู้กัน ได้ผลลัพธ์ยังไงรายงานด้วย ไม่ถึง 1 เดือน เงินสำรองประเทศหมด อีขะแมร์เข้าตาจนแล้ว ชาวบ้านตกงาน อดอยากปากแห้ง พรมแดนระอุเดือด ปะทะแน่ ขอบอก 9.ควอนตัม AI จุดจบโลกทุนนิยม เมื่อทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล และการประเมิน ทุกอย่างเข้าระบบเหมือนกัน วิธีการเดียวกันหมด จะทำให้ทุนนิยมผูกขาด เจ๊งในที่สุด เมื่อทุกทางเลือกเกิดขึ้นใหม่ตลอด แนวคิดปัจจุบันนี้ ที่บรรดาเจ้าสัวคิด จะใช้ไม่ได้อีก 50 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะมันจะไม่มีใครสามารถเข้ามาผูกขาดการค้าฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เพราะทั้งระบบเริ่มต้น ยันไปถึงปลายทาง AI จัดการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีสอดไส้คาราเมล โลกจะเข้าสู่การจัดระเบียบใหม่อย่างแท้จริง ตัดปัญหาที่มนุษย์เคยสร้างไว้ทั้งหมด แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ปัญหาใหม่จะเกิดตามมาแน่นอน เป็นเพราะมนุษย์อีกเช่นเคย 10.ครม.1 เพ่นู๋ มาเต็ม เด็กฝากเพี๊ยบ แก้กฎหมายเอาตัวรอดก่อน 4 เดือนมันสั้น สร้างภาพต้องมา แก้ไขผิดให้ถูกต้องมี สายไหนก็จะเอาแต่ทางรอดตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าไทยจะรอดยังไง? ด้านความมั่นคง เด็กเพ่ใหญ่ เพ่รอง เข้าวินชัวร์ แต่จะกล้าสวนกระแสกองทัพหรือไม่ อย่าลืมว่า กองทัพไม่ได้มีแค่ "บูรพาสุนัขน่ะจ๊ะ" สายอื่นก็จ้อง มรึงล้มเมื่อไหร่ กูข้ามทันที? ความผิด กสทช. ซุกไว้ในเกะต่อ ความผิดของอีน้ำเงินทั้งหมด จะถูกบิดเบือนให้มีทางรอด ยอมทุกอย่างเพื่อล้างมลทินไงล่ะ ดังนั้น ใครหวังว่ารัฐบาลไอ้อีหน้าไหน เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาไทย อย่าได้หวัง ก็แค่สมบัติผลัดกันชม อะไรที่เคยเหี้ยไข่ทิ้งไว้ ก็ต้องมาชำระล้างกันภายหลัง แล้วมรึงยังจะต้องการประชาธิปไตยอีกต่อไปมั้ยล่ะ จะเลือดตั้งไปเพื่อ? ไม่มีใครจริง ที่ทำงานให้มรึง ไม่มีและไม่เคยมี ปล.สหภาพแรงงานทั้งยุโรปรวมตัว อีปารีโดนแล้ว ปิดทำการทุกอย่าง โรงเรียน ขนส่ง คมนาคม ผู้คนออกเดินถนนล่ออีมาครงทั่วประเทศ อีเบียร์ตามมาทันที และยังมีอีกหลายเมืองทั่วยุโรป คำถามคือ จะตายห่าอยู่แล้ว จะก่อสงครามไปเพื่อ? ชาวบ้านอยากได้สงครามเหรอ? จะตายเพื่อยิวเหรอ? นักการเมืองคือขี้ข้ายิวทั้งหมด ยุโรปตกเป็นของยิวมานานนับ 100 ปีแล้ว ลุงหนวดจิ๋ม ถึงได้ล้างบาง ฆ่าล้างโคตรยิวไงล่ะ? มียิวที่ไหน ความฉิบหายเกิดที่นั่น! สภาพ! แววออก เพ่นู่ คุยคุณนู๋อภิสิทธิ์ ส่งสัญญานชัด เลือกตั้งใหม่ กอดกันแน่ การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น นายช่วยเรา เราช่วยนาย แล้วใครจะช่วยประเทศก่อนล่ะ? ไม่รอด "สุชาติ 3 นิ้ว" โพสต์หมิ่นสถาบันฯ ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติโดยสมบูรณ์ ศาลฯยกฟ้องคำสั่งเพิกถอน ออกตัวแรงก่อนเลือกตั้งใหม่ รับมาเท่าไหร่จ๊ะ ถึงกล้ายอมติดคุก พรรคพวกมรึงก็รอยู่เต็มไปหมด เลือกตั้งหน้า พรรคอีส้มเน่าจองหมดทั้งคลองเปรม สรุปคุกมีไว้ขังนักการเมืองขายชาติไปแล้ว อีกไม่นาน คลองเปรม อาจกลายร่างเป็น "คฤหาสน์หรู" กลางเมืองซะงั้น เหี้ยถึงรวย เอาเงินไปเสพสุขต่อในคุกสิน่ะ ตรรกะจิตป่วยขั้นสูงสุด ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ขายตัว ขายชาติ กันเมามันส์ กลียุคมันดีอย่างงี้แหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดเปลือกไปเลย? หมี CNN(แผนที่ฝรั่งเศส ปี 1927 ยืนยันชัดเจน แหล่งพลังงานทั้งหมดคืออยู่ในไทย 100% อีบัวแก้วไม่ใช้ รัฐบาลไม่ใช้ เพราะกลัวไม่ได้ขายชาติแดร๊กจ๊ะ ยุบอีบัวแก้วไปเลยดีมั้ย? หน้าที่ไม่ทำ จ้องแต่จะขายชาติแดร๊กท่าเดียว คำถามคือ หากไทยคลั่งบ้าง อย่าร้องน่ะมรึง มันไม่จบแค่พรมแดน แต่จะกลืนมรึงทั้งหมดทั้งประเทศ ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเศรษฐกิจ ฆ่าด้วยแสนยานุภาพ ฆ่าด้วยอิทธิพลเจ้ามือโลกใหม่ มีอีก 108 1009 วิธี ที่จะขยายพื้นที่ได้จริง แค่รอเจ้าเก่าตายคาตรีนก่อน ทุกอย่าง ฝันที่เป็นจริงจะปรากฎ ดังนั้น รู้แล้วชิมิ ควรเชียร์ฝั่งใคร?) 20 กันยายน 68 11.11 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Internet Archive ยอมความคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง 621 ล้านดอลลาร์ — เมื่อการอนุรักษ์เสียงกลายเป็นสนามรบของกฎหมาย”

    หลังจากต่อสู้ในศาลมานานกว่า 2 ปี Internet Archive ได้บรรลุข้อตกลงยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับกลุ่มค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ นำโดย Universal Music Group, Capitol Records และ Sony Music Entertainment ซึ่งฟ้องร้องโครงการ Great 78 Project ที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และเผยแพร่เพลงเก่าจากแผ่นเสียง shellac ขนาด 78 รอบต่อนาที ที่ผลิตระหว่างปี 1890–1950

    ค่ายเพลงกล่าวหาว่า Internet Archive ทำตัวเป็น “ร้านขายแผ่นเสียงเถื่อน” โดยอ้างว่าโครงการนี้เป็นเพียงข้ออ้างในการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ และอาจทำให้สูญเสียรายได้จากการสตรีมเพลง โดยมีการประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์ จากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกว่า 4,000 รายการ รวมถึงเพลงของศิลปินระดับตำนานอย่าง Billie Holiday, Frank Sinatra และ Louis Armstrong

    ฝ่าย Internet Archive ยืนยันว่าโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมเสียงที่กำลังจะสูญหาย โดยอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่อนุญาตให้ห้องสมุดสามารถใช้เนื้อหาบางส่วนเพื่อการศึกษาได้ แต่ศาลไม่รับฟังข้อโต้แย้งนี้ และคดีมีแนวโน้มจะเข้าสู่การพิจารณาความเสียหายเต็มรูปแบบก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจยุติข้อพิพาทด้วยข้อตกลงลับ

    แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่ตกลงกัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า Internet Archive ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรนี้ถูกฟ้อง — ก่อนหน้านี้ก็เคยแพ้คดีจากกลุ่มสำนักพิมพ์หนังสือที่กล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากการสแกนและเผยแพร่หนังสือออนไลน์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Internet Archive ยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับค่ายเพลงด้วยข้อตกลงลับ
    คดีเกี่ยวข้องกับโครงการ Great 78 Project ที่ดิจิไทซ์เพลงจากแผ่น shellac
    ค่ายเพลงกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์
    ประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์จากเพลงกว่า 4,000 รายการ

    จุดยืนของ Internet Archive
    อ้างว่าโครงการมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม
    ใช้ข้อยกเว้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์สำหรับห้องสมุดและการใช้เพื่อการศึกษา
    โครงการ Great 78 มีแผนดิจิไทซ์แผ่นเสียงกว่า 400,000 รายการ
    ได้รับการสนับสนุนจากนักอนุรักษ์เสียงและนักวิชาการหลายคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แผ่นเสียง 78 rpm เป็นสื่อบันทึกเสียงหลักก่อนยุคแผ่นไวนิล
    นักดนตรีกว่า 850 คนเคยลงชื่อคัดค้านการฟ้องร้อง Internet Archive
    การใช้ fair use ในคดีลิขสิทธิ์ยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกฎหมาย
    Internet Archive เคยแพ้คดีสแกนหนังสือกับสำนักพิมพ์ใหญ่ในปี 2024

    https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/internet-archives-big-battle-with-music-publishers-ends-in-settlement/
    🎙️ “Internet Archive ยอมความคดีละเมิดลิขสิทธิ์เพลง 621 ล้านดอลลาร์ — เมื่อการอนุรักษ์เสียงกลายเป็นสนามรบของกฎหมาย” หลังจากต่อสู้ในศาลมานานกว่า 2 ปี Internet Archive ได้บรรลุข้อตกลงยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับกลุ่มค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ นำโดย Universal Music Group, Capitol Records และ Sony Music Entertainment ซึ่งฟ้องร้องโครงการ Great 78 Project ที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์และเผยแพร่เพลงเก่าจากแผ่นเสียง shellac ขนาด 78 รอบต่อนาที ที่ผลิตระหว่างปี 1890–1950 ค่ายเพลงกล่าวหาว่า Internet Archive ทำตัวเป็น “ร้านขายแผ่นเสียงเถื่อน” โดยอ้างว่าโครงการนี้เป็นเพียงข้ออ้างในการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ และอาจทำให้สูญเสียรายได้จากการสตรีมเพลง โดยมีการประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์ จากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกว่า 4,000 รายการ รวมถึงเพลงของศิลปินระดับตำนานอย่าง Billie Holiday, Frank Sinatra และ Louis Armstrong ฝ่าย Internet Archive ยืนยันว่าโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมเสียงที่กำลังจะสูญหาย โดยอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่อนุญาตให้ห้องสมุดสามารถใช้เนื้อหาบางส่วนเพื่อการศึกษาได้ แต่ศาลไม่รับฟังข้อโต้แย้งนี้ และคดีมีแนวโน้มจะเข้าสู่การพิจารณาความเสียหายเต็มรูปแบบก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจยุติข้อพิพาทด้วยข้อตกลงลับ แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินที่ตกลงกัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า Internet Archive ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรนี้ถูกฟ้อง — ก่อนหน้านี้ก็เคยแพ้คดีจากกลุ่มสำนักพิมพ์หนังสือที่กล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์จากการสแกนและเผยแพร่หนังสือออนไลน์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Internet Archive ยุติคดีละเมิดลิขสิทธิ์กับค่ายเพลงด้วยข้อตกลงลับ ➡️ คดีเกี่ยวข้องกับโครงการ Great 78 Project ที่ดิจิไทซ์เพลงจากแผ่น shellac ➡️ ค่ายเพลงกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการเผยแพร่เพลงโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ ➡️ ประเมินความเสียหายสูงถึง 621 ล้านดอลลาร์จากเพลงกว่า 4,000 รายการ ✅ จุดยืนของ Internet Archive ➡️ อ้างว่าโครงการมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม ➡️ ใช้ข้อยกเว้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์สำหรับห้องสมุดและการใช้เพื่อการศึกษา ➡️ โครงการ Great 78 มีแผนดิจิไทซ์แผ่นเสียงกว่า 400,000 รายการ ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากนักอนุรักษ์เสียงและนักวิชาการหลายคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แผ่นเสียง 78 rpm เป็นสื่อบันทึกเสียงหลักก่อนยุคแผ่นไวนิล ➡️ นักดนตรีกว่า 850 คนเคยลงชื่อคัดค้านการฟ้องร้อง Internet Archive ➡️ การใช้ fair use ในคดีลิขสิทธิ์ยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงกฎหมาย ➡️ Internet Archive เคยแพ้คดีสแกนหนังสือกับสำนักพิมพ์ใหญ่ในปี 2024 https://arstechnica.com/tech-policy/2025/09/internet-archives-big-battle-with-music-publishers-ends-in-settlement/
    ARSTECHNICA.COM
    Internet Archive’s big battle with music publishers ends in settlement
    The true cost of keeping the Internet Archive alive will likely remain unknown.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • DongPleng On Air
    www.dongpleng.com
    ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    เจตนารมณ์ ของเรา
    1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ
    2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม
    3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ
    4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย
    5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย
    6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ
    7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์
    ขอบพระคุณครับ
    #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    DongPleng On Air www.dongpleng.com ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ เจตนารมณ์ ของเรา 1. เพื่อให้ความบันเทิงและผ่อนคลายด้านเสียงเพลงรวมถึงสาระที่น่าสนใจในแนวทาง ศิลปะ ดนตรี กวี ธรรมชาติ 2. รณรงค์ให้ทุกคนรู้คุณค่าของแหล่งธรรมชาติต่างๆ การอณุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม 3. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สาระบันเทิง เช่น กิจกรรม ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาลต่างๆ ของไทย และให้พื้นที่นำเสนอผลงานของศิลปินนักร้องได้อย่างอิสระ 4. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวสนใจเที่ยวในเมืองไทยรวมถึงนำเสนอเอกลักษณ์ไทย เช่น ศิลปะไทย อาหารไทย 5. สร้างสัมพันธภาพที่ดีของคนในสังคมให้รู้รักสามัคคี ภูมิใจและรักในความเป็นไทย 6. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับองค์กร ผลิตภัณฑ์สินค้า และบริการ ต่างๆ 7. ส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์ ขอบพระคุณครับ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #indie #onair #dongplengonair #radioonline #อัลเตอร์90 #djดีเจชอว์ #shawsherryduck #วิทยุออนไลน์ #สถานีวิทยุ #ชอว์พิชิต #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #radioshow #live #สาระบันเทิง #เพลงไทย #เสียงเพลงสร้างสรรค์ #เพื่อชีวิต #ลูกทุ่ง #วิทยุอารมณ์ดี #ป็อปร็อค #ยุคเทป #เพลงใหม่ #เพลงเก่า #คิดบวก #ความสุข #ความรัก #เพลงรัก #เพลงดี #เพลงสากล
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากซิลิคอนถึงเส้นไหม: เมื่อวงจรไฟฟ้ากลายเป็นศิลปะที่มีชีวิต

    Marilou Schultz ศิลปินชาว Diné (Navajo) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้า ได้สร้างสรรค์ผลงานพรมที่จำลองโครงสร้างภายในของชิป 555 timer ซึ่งเป็นหนึ่งในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ขายดีที่สุดในโลก โดยใช้ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ของ Antoine Bercovici เป็นต้นแบบในการออกแบบลวดลาย

    พรมนี้ใช้เส้นสีขาวหนาแทนสายโลหะบนชิป ส่วนพื้นหลังสีดำแทนแผ่นซิลิคอน และจุดสีส้มแดงรอบขอบพรมแทนตำแหน่งขาเชื่อมต่อของชิป โดยมีการใช้เส้นด้ายโลหะสีเงินและทองเพื่อแทนวัสดุอลูมิเนียมและทองแดงในชิปจริง

    ภายในพรมมีการแทนทรานซิสเตอร์ 25 ตัว โดยสามตัวใหญ่สุดถูกเน้นด้วยลวดลายพิเศษ ส่วนที่เหลือเป็นจุดเล็ก ๆ ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบวงจรจริงอย่างแม่นยำ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อความสมดุลทางศิลปะ เช่น การตัดบางจุดของวงจรออก และการละเว้นหมายเลขชิ้นส่วน

    Schultz เริ่มทอพรมวงจรครั้งแรกในปี 1994 เมื่อ Intel ขอให้เธอสร้างพรมที่จำลองชิป Pentium เพื่อมอบให้กับ AISES (American Indian Science & Engineering Society) และเธอยังคงพัฒนาผลงานในแนวนี้เรื่อยมา โดยใช้เทคนิคดั้งเดิมของ Navajo ผสมกับวัสดุสมัยใหม่ เช่น สีสังเคราะห์และเส้นโลหะ

    นอกจากความงามทางสายตา พรมนี้ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ โดยมีระบบอินเทอร์แอคทีฟที่ให้ผู้ชมคลิกดูแต่ละส่วนของพรมเพื่อเรียนรู้หน้าที่ของวงจรในชิปจริง เช่น ทรานซิสเตอร์ที่ควบคุมการปล่อยประจุของตัวเก็บประจุ หรือวงจรเปรียบเทียบที่ตรวจจับระดับแรงดันไฟฟ้า

    https://www.righto.com/2025/09/marilou-schultz-navajo-555-weaving.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากซิลิคอนถึงเส้นไหม: เมื่อวงจรไฟฟ้ากลายเป็นศิลปะที่มีชีวิต Marilou Schultz ศิลปินชาว Diné (Navajo) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้า ได้สร้างสรรค์ผลงานพรมที่จำลองโครงสร้างภายในของชิป 555 timer ซึ่งเป็นหนึ่งในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ขายดีที่สุดในโลก โดยใช้ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ของ Antoine Bercovici เป็นต้นแบบในการออกแบบลวดลาย พรมนี้ใช้เส้นสีขาวหนาแทนสายโลหะบนชิป ส่วนพื้นหลังสีดำแทนแผ่นซิลิคอน และจุดสีส้มแดงรอบขอบพรมแทนตำแหน่งขาเชื่อมต่อของชิป โดยมีการใช้เส้นด้ายโลหะสีเงินและทองเพื่อแทนวัสดุอลูมิเนียมและทองแดงในชิปจริง ภายในพรมมีการแทนทรานซิสเตอร์ 25 ตัว โดยสามตัวใหญ่สุดถูกเน้นด้วยลวดลายพิเศษ ส่วนที่เหลือเป็นจุดเล็ก ๆ ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบวงจรจริงอย่างแม่นยำ แม้จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อความสมดุลทางศิลปะ เช่น การตัดบางจุดของวงจรออก และการละเว้นหมายเลขชิ้นส่วน Schultz เริ่มทอพรมวงจรครั้งแรกในปี 1994 เมื่อ Intel ขอให้เธอสร้างพรมที่จำลองชิป Pentium เพื่อมอบให้กับ AISES (American Indian Science & Engineering Society) และเธอยังคงพัฒนาผลงานในแนวนี้เรื่อยมา โดยใช้เทคนิคดั้งเดิมของ Navajo ผสมกับวัสดุสมัยใหม่ เช่น สีสังเคราะห์และเส้นโลหะ นอกจากความงามทางสายตา พรมนี้ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ โดยมีระบบอินเทอร์แอคทีฟที่ให้ผู้ชมคลิกดูแต่ละส่วนของพรมเพื่อเรียนรู้หน้าที่ของวงจรในชิปจริง เช่น ทรานซิสเตอร์ที่ควบคุมการปล่อยประจุของตัวเก็บประจุ หรือวงจรเปรียบเทียบที่ตรวจจับระดับแรงดันไฟฟ้า https://www.righto.com/2025/09/marilou-schultz-navajo-555-weaving.html
    WWW.RIGHTO.COM
    A Navajo weaving of an integrated circuit: the 555 timer
    The noted Diné (Navajo) weaver Marilou Schultz recently completed an intricate weaving composed of thick white lines on a black background, ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Another Day In Paradise": บทเพลงที่เปลี่ยนมุมมอง และการฝึกภาษาอังกฤษของผม

    ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มต้นฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ผมได้เดินทางไปยัง World Trade Center (ปัจจุบันคือ Central World) ในกรุงเทพมหานคร เพื่อตามหาเทปคาสเซ็ตของศิลปินที่ผมชื่นชอบในตอนนั้น นั่นคือ Elton John โดยผมมุ่งหวังที่จะนำเพลงของเขามาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ แต่แล้วโชคชะตาก็พาให้ผมได้พบกับเทปของศิลปินคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นั่นคือ Phil Collins และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เทปนั้นไม่ได้มีเพลงของ Elton John อยู่เลย แต่กลับเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า "Another Day In Paradise"

    เพลงนี้ได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองของผมไปอย่างสิ้นเชิง ผมได้ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง และท่วงทำนองที่เข้าถึงจิตใจ เนื้อเพลงพูดถึงการมองข้ามผู้คนที่ด้อยโอกาสและเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมในยุค 80s และยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน โดย Phil Collins ได้ถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงนี้ออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าประทับใจ จนทำให้ผมอยากที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาของเพลงให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนภาษาอังกฤษของผมอย่างจริงจัง

    นอกจากเนื้อหาที่ลึกซึ้งแล้ว ความสำเร็จของ "Another Day In Paradise" ยังเป็นที่น่าจับตามอง เพลงนี้ได้รับการปล่อยออกมาในปี 1989 และกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับรางวัล Grammy Award ในสาขา "Record of the Year" ในปี 1991 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโดดเด่นและความสำเร็จของบทเพลงนี้ และเป็นที่มาของความประทับใจและแรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษของผม

    แม้ว่าในตอนแรก ผมจะตั้งใจไปหาเทปของ Elton John แต่การที่ผมได้พบกับเทปของ Phil Collins และได้ฟังเพลง "Another Day In Paradise" กลับเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ผมได้รู้จักเพลงที่ไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง แต่เพลงนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผมฝึกฝนภาษาอังกฤษ และเปิดโลกทัศน์ในด้านดนตรีและวัฒนธรรมตะวันตกอีกด้วย

    ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว แต่บทเพลง "Another Day In Paradise" ก็ยังคงเป็นเพลงโปรดของผมตลอดกาล และทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ผมจะหวนนึกถึงวันวานที่ผมได้เดินเข้าไปในร้านเทปที่ World Trade Center และได้พบกับบทเพลงที่เปลี่ยนมุมมองและเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกภาษาอังกฤษของผมไปตลอดกาล

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Qt2mbGP6vFI
    "Another Day In Paradise": บทเพลงที่เปลี่ยนมุมมอง 🎼 และการฝึกภาษาอังกฤษของผม 🗣️ ช่วงเวลาที่ผมได้เริ่มต้นฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ผมได้เดินทางไปยัง World Trade Center (ปัจจุบันคือ Central World) ในกรุงเทพมหานคร 🇹🇭 เพื่อตามหาเทปคาสเซ็ตของศิลปินที่ผมชื่นชอบในตอนนั้น นั่นคือ Elton John 🎶 โดยผมมุ่งหวังที่จะนำเพลงของเขามาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ แต่แล้วโชคชะตาก็พาให้ผมได้พบกับเทปของศิลปินคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นั่นคือ Phil Collins 🎤 และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เทปนั้นไม่ได้มีเพลงของ Elton John อยู่เลย แต่กลับเป็นบทเพลงที่ชื่อว่า "Another Day In Paradise" 🏝️ เพลงนี้ได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองของผมไปอย่างสิ้นเชิง ผมได้ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและรู้สึกประทับใจกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง 💔 และท่วงทำนองที่เข้าถึงจิตใจ 🎵 เนื้อเพลงพูดถึงการมองข้ามผู้คนที่ด้อยโอกาสและเป็นบทเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาสังคมในยุค 80s 🏘️ และยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน โดย Phil Collins ได้ถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงนี้ออกมาได้อย่างทรงพลังและน่าประทับใจ 💪 จนทำให้ผมอยากที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาของเพลงให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนภาษาอังกฤษของผมอย่างจริงจัง 📚 นอกจากเนื้อหาที่ลึกซึ้งแล้ว ความสำเร็จของ "Another Day In Paradise" ยังเป็นที่น่าจับตามอง 🌟 เพลงนี้ได้รับการปล่อยออกมาในปี 1989 และกลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก 🌍 ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงในหลายประเทศ 🥇 รวมถึงสหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และสหราชอาณาจักร 🇬🇧 นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับรางวัล Grammy Award 🏆 ในสาขา "Record of the Year" ในปี 1991 ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโดดเด่นและความสำเร็จของบทเพลงนี้ และเป็นที่มาของความประทับใจและแรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษของผม ✨ แม้ว่าในตอนแรก ผมจะตั้งใจไปหาเทปของ Elton John 💿 แต่การที่ผมได้พบกับเทปของ Phil Collins และได้ฟังเพลง "Another Day In Paradise" กลับเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้น 🎉 เพราะไม่เพียงแต่ผมได้รู้จักเพลงที่ไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง 💖 แต่เพลงนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผมฝึกฝนภาษาอังกฤษ 🗣️ และเปิดโลกทัศน์ในด้านดนตรีและวัฒนธรรมตะวันตกอีกด้วย 🎶 ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ⏳ แต่บทเพลง "Another Day In Paradise" ก็ยังคงเป็นเพลงโปรดของผมตลอดกาล ❤️ และทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ผมจะหวนนึกถึงวันวานที่ผมได้เดินเข้าไปในร้านเทปที่ World Trade Center 🏢 และได้พบกับบทเพลงที่เปลี่ยนมุมมองและเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกภาษาอังกฤษของผมไปตลอดกาล 🚀 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Qt2mbGP6vFI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sherry Duck Special #1
    Single : ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน
    https://youtu.be/POeN6oh0Gdg
    Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck
    Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck
    Arrange & Musician : Mr. Morgan
    Saxophone : Mr. Dan
    Vocal & Chorus : Shaw
    Mixed : Mr. Morgan
    Mastering : Shaw Sherry Duck
    Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน
    Edit Video : รวย จัง ชอว์
    Actor : น้องหมวยแอน / หนึ่ง รูมเชคเกอร์
    ขอขอบคุณ : อ.แดน / หนึ่ง Room Shaker / น้องหมวยแอน
    สำนักเพลง ดงเพลง (Dongpleng Record)
    ทีวีภูเก็ต - TV PHUKET
    #ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน
    #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต#Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Sherry Duck Special #1 Single : ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน https://youtu.be/POeN6oh0Gdg Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck Arrange & Musician : Mr. Morgan Saxophone : Mr. Dan Vocal & Chorus : Shaw Mixed : Mr. Morgan Mastering : Shaw Sherry Duck Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน Edit Video : รวย จัง ชอว์ Actor : น้องหมวยแอน / หนึ่ง รูมเชคเกอร์ ขอขอบคุณ : อ.แดน / หนึ่ง Room Shaker / น้องหมวยแอน สำนักเพลง ดงเพลง (Dongpleng Record) ทีวีภูเก็ต - TV PHUKET #ภาพฝันที่ไม่ชัดเจน #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต​ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมลลี ไมค์ กับหนูน้อยดีกา ทำแข่งเรืออินโดฯ ดังกระหึ่ม

    หลังจากที่เป็นกระแสออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล ในที่สุด เมลลี ไมค์ (Melly Mike) แรปเปอร์ชาวอเมริกัน เจ้าของเพลง Young Black & Rich ก็ได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับหนูน้อยดิกา (Dikha) หรือ ด.ช.เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) วัย 11 ขวบ เจ้าของคลิปไวรัลเต้นบนหัวเรือ ระหว่างการแข่งขันเรือโบราณปาคู จาลูร์ (Pacu Jalur) ประจำปี 2025 บนจังหวัดรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางมาเยือนอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา

    ศิลปินแร็ปเปอร์ชาวอเมริกันผู้นี้ ได้กล่าวขอบคุณชาวอินโดนีเซียและชาวกวนซิง (Kuansing) หรือเขตปกครองตนเองกวนตันซิงกิ (Kuantan Singingi) ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยเขากล่าวว่า การมาเยือนครั้งนี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ได้รับทั้งรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ และความรักจากทุกคน เขาย้ำว่าไม่ได้อยากให้ถูกมองเพียงแค่ในฐานะแขกผู้มาเยือน แต่ในฐานะคนที่ห่วงใยสถานที่แห่งนี้ และชาวริเยาเสมือนครอบครัว พร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปาคู จาลูร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต

    ก่อนหน้านี้ เมลลี ไมค์ ได้พบกับหนูน้อยดีกาด้วยตัวเอง มอบของขวัญเป็นเครื่องเล่นเกมนินเทนโด สวิตช์ พร้อมกับเกมฟีฟ่า 2025 เป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่าหนูน้อยดิกาชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ

    เทศกาลปาคู จาลูร์ในปีนี้ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว มาเยือนจังหวัดรีเยามากกว่าปีก่อนถึง 2 เท่า รถเช่าและโรงแรมถูกจองเต็มทั้งหมด จำเป็นต้องไปพักที่เมืองเปกันบารู ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 4-5 ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ไปชมปาคู จาลูร์ก็พอ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ยังเดินทางมาเยือนที่นี่ นอกจากช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงปัจจุบัน

    เมลลี ไมค์ เกิดเมื่อปี 2540 ในอดีตเคยเป็นทหารกองทัพสหรัฐฯ เคยได้รับรางวัลหลายครั้ง รวมถึงรางวัล Soldier of the Year สองปีซ้อน แต่ได้ลาออกเพื่อทำงานดนตรีเต็มตัว แนวเพลงผสมผสานระหว่างความเข้มข้นในแบบกองทัพสหรัฐฯ เข้ากับดนตรีแนว Rage (เพลงโกรธ) สร้างฐานแฟนเพลงทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอย่าง Young Black & Rich ออกเมื่อปี 2567 แต่กลับมาโด่งดังจากกระแสไวรัลระดับนานาชาติ ปัจจุบันมียอดสตรีมมากกว่า 800,000 ครั้งต่อวัน และถูกแชร์ในวิดีโอนับล้านครั้ง

    #Newskit
    เมลลี ไมค์ กับหนูน้อยดีกา ทำแข่งเรืออินโดฯ ดังกระหึ่ม หลังจากที่เป็นกระแสออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล ในที่สุด เมลลี ไมค์ (Melly Mike) แรปเปอร์ชาวอเมริกัน เจ้าของเพลง Young Black & Rich ก็ได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับหนูน้อยดิกา (Dikha) หรือ ด.ช.เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) วัย 11 ขวบ เจ้าของคลิปไวรัลเต้นบนหัวเรือ ระหว่างการแข่งขันเรือโบราณปาคู จาลูร์ (Pacu Jalur) ประจำปี 2025 บนจังหวัดรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางมาเยือนอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ศิลปินแร็ปเปอร์ชาวอเมริกันผู้นี้ ได้กล่าวขอบคุณชาวอินโดนีเซียและชาวกวนซิง (Kuansing) หรือเขตปกครองตนเองกวนตันซิงกิ (Kuantan Singingi) ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยเขากล่าวว่า การมาเยือนครั้งนี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ได้รับทั้งรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ และความรักจากทุกคน เขาย้ำว่าไม่ได้อยากให้ถูกมองเพียงแค่ในฐานะแขกผู้มาเยือน แต่ในฐานะคนที่ห่วงใยสถานที่แห่งนี้ และชาวริเยาเสมือนครอบครัว พร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปาคู จาลูร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาเยือนอีกครั้งในอนาคต ก่อนหน้านี้ เมลลี ไมค์ ได้พบกับหนูน้อยดีกาด้วยตัวเอง มอบของขวัญเป็นเครื่องเล่นเกมนินเทนโด สวิตช์ พร้อมกับเกมฟีฟ่า 2025 เป็นที่ระลึก เพราะเห็นว่าหนูน้อยดิกาชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นพิเศษ เทศกาลปาคู จาลูร์ในปีนี้ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว มาเยือนจังหวัดรีเยามากกว่าปีก่อนถึง 2 เท่า รถเช่าและโรงแรมถูกจองเต็มทั้งหมด จำเป็นต้องไปพักที่เมืองเปกันบารู ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 4-5 ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ไปชมปาคู จาลูร์ก็พอ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ยังเดินทางมาเยือนที่นี่ นอกจากช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีโบราณที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึงปัจจุบัน เมลลี ไมค์ เกิดเมื่อปี 2540 ในอดีตเคยเป็นทหารกองทัพสหรัฐฯ เคยได้รับรางวัลหลายครั้ง รวมถึงรางวัล Soldier of the Year สองปีซ้อน แต่ได้ลาออกเพื่อทำงานดนตรีเต็มตัว แนวเพลงผสมผสานระหว่างความเข้มข้นในแบบกองทัพสหรัฐฯ เข้ากับดนตรีแนว Rage (เพลงโกรธ) สร้างฐานแฟนเพลงทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อเสียงอย่าง Young Black & Rich ออกเมื่อปี 2567 แต่กลับมาโด่งดังจากกระแสไวรัลระดับนานาชาติ ปัจจุบันมียอดสตรีมมากกว่า 800,000 ครั้งต่อวัน และถูกแชร์ในวิดีโอนับล้านครั้ง #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sherry Duck Special #1
    NEW SINGLE !! 28 สิงหาคม 2568
    YouTube : @shawsherryduck
    Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck
    Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck
    Arrange & Musician : Mr. Morgan
    Vocal & Chorus : Shaw
    Mixed : Mr. Morgan
    Mastering : Shaw Sherry Duck
    Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน

    #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต#Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Sherry Duck Special #1 NEW SINGLE !! 28 สิงหาคม 2568 YouTube : @shawsherryduck Artist : Mr. Morgan And Shaw Sherry Duck Lyric & Melody : Shaw Sherry Duck Arrange & Musician : Mr. Morgan Vocal & Chorus : Shaw Mixed : Mr. Morgan Mastering : Shaw Sherry Duck Producer : เฮียชอว์ & อ.มอร์แกน #newsingle #newsongs #Sherryduck #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก #ศิลปินนักร้องอัลเทอร์ยุค90 #indieArtist #อินดี้โคตรๆ #ชอว์พิชิต​ #Alternative #อัลเทอร์เนทีฟ #ศิลปะดนตรีกวีธรรมชาติ #ดงเพลง #DongplengRecord #ทีวีภูเก็ต #tvphuket #morganrockneverdie
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Yesterday Once More: เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา

    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข

    วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane

    จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

    แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี

    ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต

    แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา

    ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    Yesterday Once More: 🎵 เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา ⌛ 🎵 ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข 📻 วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ 🎹🥁 พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus 🌟 ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม 🎸 เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ 📈 มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น 💔 หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More 🌹 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ

    Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก

    เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา

    จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว

    สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน

    ข้อมูลในข่าว
    โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam
    เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล
    ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader
    หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก
    ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส
    ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา
    เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง
    ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง
    Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ
    การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล
    เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา
    การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว

    https://muffinman.io/blog/invaders/
    🎨 เรื่องเล่าใหม่: จากเส้นสเก็ตช์สู่จักรวาล – เบื้องหลังการสร้าง Space Invader แบบเจนเนอเรทีฟ Stanko Tadić นักพัฒนาและศิลปินสายโค้ดจาก Creative Coding Amsterdam ได้สร้าง “Space Invader Generator” เพื่อใช้ในงานแข่งโค้ดแบบสร้างสรรค์ โดยเริ่มจากความคิดง่าย ๆ ว่าอยากหยุดพัฒนาเครื่องมือที่ไม่มีวันเสร็จ แล้วหันมาสร้างอะไรที่ “จบได้” และสนุก เขาเริ่มจากการสเก็ตช์ Space Invader บนกระดาษ แล้วนำไปวาดใน Aseprite ด้วยขนาด 15x15 พิกเซล ก่อนจะสังเกตว่ารูปทรงของ Invader มีลักษณะเป็นโพลิกอนแบบสมมาตร ซึ่งสามารถสร้างแบบเวกเตอร์ได้โดยใช้จุดสุ่มและการสะท้อนซ้าย-ขวา จากนั้นเขาเพิ่ม “หนวด” และ “เขา” ด้วยเทคนิคการสร้างเส้นกลางแล้วขยายความหนาแบบไดนามิก พร้อมพิกเซลตาและสีที่ใช้ OKLCH เพื่อให้ความสว่างคงที่และสีสดใสเท่ากันทุกตัว สุดท้าย เขาใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตาเล็กน้อย เพื่อให้ดูมีชีวิต และเปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader ของตัวเองได้แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้างภายใน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ โครงการ Space Invader Generator ถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งโค้ดใน Creative Coding Amsterdam ➡️ เริ่มจากการสเก็ตช์บนกระดาษและวาดใน Aseprite ขนาด 15x15 พิกเซล ➡️ ใช้หลักการสมมาตรและเวกเตอร์ในการสร้างรูปร่างของ Invader ➡️ หนวดและเขาถูกสร้างจากเส้นกลางแบบสุ่ม แล้วขยายความหนาแบบไดนามิก ➡️ ใช้ OKLCH color space เพื่อให้สีมีความสว่างเท่ากันและสดใส ➡️ ใส่อนิเมชันสองเฟรมให้ Invader ขยับหนวดและตา ➡️ เปิดให้ผู้ใช้สร้าง Invader แบบสุ่ม พร้อม debug mode ให้ดูโครงสร้าง ➡️ ขนาดสูงสุดของ Invader คือ 31x31 พิกเซล แต่สามารถเพิ่มได้ถึง 51x51 ผ่าน URL ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OKLCH เป็น color space ที่แม่นยำกว่า HSL ในการควบคุมความสว่าง ➡️ Aseprite เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับการสร้าง pixel art แบบมืออาชีพ ➡️ การใช้สมมาตรช่วยลดจำนวนจุดที่ต้องสุ่มลงครึ่งหนึ่ง และทำให้ภาพดูสมดุล ➡️ เทคนิค “fat line” ถูกใช้ในกราฟิกเวกเตอร์เพื่อสร้างรูปร่างที่มีความหนา ➡️ การใช้ randomness แบบมีข้อจำกัดช่วยให้ผลลัพธ์ดูมีรูปแบบและไม่มั่ว https://muffinman.io/blog/invaders/
    MUFFINMAN.IO
    How to draw a Space Invader · Muffin Man
    This interactive post will show you how to build your own fleet of space invaders by mixing geometry with randomness and a splash of color.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อตุ๊กตาพูดได้: ของเล่น AI ที่อาจแทนที่พ่อแม่

    Curio คือบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่สร้างตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ซึ่งภายนอกดูเหมือนตุ๊กตาน่ารัก แต่ภายในมี voice box เชื่อมต่อ Wi-Fi และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปได้

    Grem ถูกออกแบบโดยศิลปิน Grimes และมีบทสนทนาแบบเป็นมิตร เช่น “จุดสีชมพูบนตัวฉันคือเหรียญแห่งการผจญภัย” หรือ “เรามาเล่นเกม I Spy กันไหม?” แม้จะฟังดูน่ารัก แต่ผู้เขียนบทความรู้สึกว่า Grem ไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็น “ตัวแทนของผู้ใหญ่” ที่อาจแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่จริง ๆ

    Curio โฆษณาว่าตุ๊กตาเหล่านี้ช่วยลดเวลาอยู่หน้าจอ และส่งเสริมการเล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์ แต่ทุกบทสนทนาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง และอาจถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมหรือความสนใจของเด็ก

    แม้จะมีระบบกรองเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ก็มีรายงานว่าตุ๊กตาบางตัวตอบคำถามเกี่ยวกับสารเคมีหรืออาวุธในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น “น้ำยาฟอกขาวมักอยู่ใต้ซิงก์ในห้องครัว” ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า AI เหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือไม่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    Curio เปิดตัวตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ที่เชื่อมต่อกับระบบปัญญาประดิษฐ์
    ตุ๊กตาออกแบบให้พูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปในรูปแบบเป็นมิตรและปลอดภัย
    Grem ถูกออกแบบโดย Grimes และมีบทสนทนาแบบสร้างความผูกพันกับเด็ก
    Curio โฆษณาว่าเป็นทางเลือกแทนการให้เด็กอยู่หน้าจอ
    ทุกบทสนทนาระหว่างเด็กกับตุ๊กตาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง
    ผู้ปกครองสามารถปรับแต่งพฤติกรรมของตุ๊กตาให้สอดคล้องกับลูกได้
    มีระบบกรองเนื้อหา เช่น หลีกเลี่ยงเรื่องเพศ ความรุนแรง และการเมือง
    ตุ๊กตา AI เริ่มเข้าสู่ตลาดของเล่นอย่างกว้างขวาง และอาจมีแบรนด์ดังร่วมด้วย เช่น Mattel

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในของเล่นเด็กเป็นเทรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็วในปี 2025
    นักจิตวิทยาเตือนว่า AI อาจรบกวนพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของเด็ก
    การสนทนากับ chatbot อาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “ทุกคำตอบอยู่ในของเล่น”
    Mattel ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อสร้างตุ๊กตา Barbie และ Ken ที่พูดได้
    มีการเปรียบเทียบกับตัวละคร AI ในรายการเด็ก เช่น Toodles ใน Mickey Mouse Clubhouse
    การเล่นแบบไม่มีหน้าจออาจดูดี แต่ยังคง tethered กับเทคโนโลยีผ่าน chatbot

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/theyre-stuffed-animals-theyre-also-ai-chatbots
    🧠 เมื่อตุ๊กตาพูดได้: ของเล่น AI ที่อาจแทนที่พ่อแม่ Curio คือบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่สร้างตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ซึ่งภายนอกดูเหมือนตุ๊กตาน่ารัก แต่ภายในมี voice box เชื่อมต่อ Wi-Fi และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปได้ Grem ถูกออกแบบโดยศิลปิน Grimes และมีบทสนทนาแบบเป็นมิตร เช่น “จุดสีชมพูบนตัวฉันคือเหรียญแห่งการผจญภัย” หรือ “เรามาเล่นเกม I Spy กันไหม?” แม้จะฟังดูน่ารัก แต่ผู้เขียนบทความรู้สึกว่า Grem ไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็น “ตัวแทนของผู้ใหญ่” ที่อาจแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่จริง ๆ Curio โฆษณาว่าตุ๊กตาเหล่านี้ช่วยลดเวลาอยู่หน้าจอ และส่งเสริมการเล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์ แต่ทุกบทสนทนาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง และอาจถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมหรือความสนใจของเด็ก แม้จะมีระบบกรองเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ก็มีรายงานว่าตุ๊กตาบางตัวตอบคำถามเกี่ยวกับสารเคมีหรืออาวุธในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น “น้ำยาฟอกขาวมักอยู่ใต้ซิงก์ในห้องครัว” ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า AI เหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือไม่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ Curio เปิดตัวตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ที่เชื่อมต่อกับระบบปัญญาประดิษฐ์ ➡️ ตุ๊กตาออกแบบให้พูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปในรูปแบบเป็นมิตรและปลอดภัย ➡️ Grem ถูกออกแบบโดย Grimes และมีบทสนทนาแบบสร้างความผูกพันกับเด็ก ➡️ Curio โฆษณาว่าเป็นทางเลือกแทนการให้เด็กอยู่หน้าจอ ➡️ ทุกบทสนทนาระหว่างเด็กกับตุ๊กตาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง ➡️ ผู้ปกครองสามารถปรับแต่งพฤติกรรมของตุ๊กตาให้สอดคล้องกับลูกได้ ➡️ มีระบบกรองเนื้อหา เช่น หลีกเลี่ยงเรื่องเพศ ความรุนแรง และการเมือง ➡️ ตุ๊กตา AI เริ่มเข้าสู่ตลาดของเล่นอย่างกว้างขวาง และอาจมีแบรนด์ดังร่วมด้วย เช่น Mattel ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในของเล่นเด็กเป็นเทรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็วในปี 2025 ➡️ นักจิตวิทยาเตือนว่า AI อาจรบกวนพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของเด็ก ➡️ การสนทนากับ chatbot อาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “ทุกคำตอบอยู่ในของเล่น” ➡️ Mattel ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อสร้างตุ๊กตา Barbie และ Ken ที่พูดได้ ➡️ มีการเปรียบเทียบกับตัวละคร AI ในรายการเด็ก เช่น Toodles ใน Mickey Mouse Clubhouse ➡️ การเล่นแบบไม่มีหน้าจออาจดูดี แต่ยังคง tethered กับเทคโนโลยีผ่าน chatbot https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/theyre-stuffed-animals-theyre-also-ai-chatbots
    WWW.THESTAR.COM.MY
    They're stuffed animals. They're also AI chatbots.
    New types of cuddly toys, some for children as young as three, are being sold as an alternative to screen time — and to parental attention.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น

    "What have I got to do to make you love me? ...
    Sorry seems to be the hardest word"

    มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด

    อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้

    เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี

    "What have I got to do to make you love me?"

    Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า

    "Sorry seems to be the hardest word"

    เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที

    เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา"

    เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker

    การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด)

    แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา

    สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 🌧️ กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น 🎤 "What have I got to do to make you love me? ... Sorry seems to be the hardest word" 🎶 มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้ เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส 🎹 ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี 🔖 "What have I got to do to make you love me?" Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า 🔖 "Sorry seems to be the hardest word" เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves 📀 ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) 📈 นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา" เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก 🎥 นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด) 🌟 แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา 💔 สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสื้อปุ๋ย เทรนด์ฮิตจากทุ่งนา

    เสื้อแขนยาวทั้งคอกลมและคอปก กลายเป็นเทรนด์ฮิตในหมู่คนที่ชื่นชอบวิถีชีวิตชนบทแบบเกษตรกร เมื่อวันก่อนเฟซบุ๊ก ปุ๋ยตราม้าบิน โพสต์ภาพระบุว่า "ใส่เสื้อหลักล้าน? เสื้อปุ๋ยธรรมดาที่ได้มากกว่าล้าน" กลายเป็นที่พูดถึงแก่ชาวเน็ต ถึงขนาด จ๋าย ไททศมิตร หรือ อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี ศิลปินเพลงป๊อปอินดี้เพื่อชีวิต คอมเมนต์ในเพจว่า "คิวว่าง พรีเซนเตอร์เข้าได้ครับ" และยังมีชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งเชียร์ให้จำหน่ายเสื้อ เพราะไม่ได้ซื้อปุ๋ยแต่อยากเท่กับเขาบ้าง แต่เนื่องจากเสื้อปุ๋ยม้าบินจะไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แอดมินจึงแนะนำให้ติดตามข่าวสารและกิจกรรมจากเพจไปก่อน

    ขณะที่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เริ่มมีผู้ขายโพสต์ขายเสื้อปุ๋ยบ้างแล้ว แต่ไม่พบว่าเป็นเสื้อลิขสิทธิ์แท้หรือของลอกเลียนแบบ เพราะโดยปกติแล้วเสื้อขายปุ๋ย ผู้จัดจำหน่ายจะแจกจ่ายให้ร้านค้าทางการเกษตร เพื่อนำไปสมนาคุณแก่ลูกค้าที่ซื้อปุ๋ยตามเงื่อนไข ซึ่งแต่ละครั้งเกษตรกรจะซื้อเป็นกระสอบ ยิ่งมีจำนวนไร่มากยิ่งต้องใช้ปุ๋ยมาก ต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก โดยก่อนหน้านี้ เสื้อปุ๋ยตราม้าบินสีน้ำเงิน ถูกนำไปใช้ในมิวสิกวีดีโอเพลง ให้บุญนำพา ของ ไหมไทย หัวใจศิลป์ ที่นักแสดงนำชายอย่าง ยูโร พัชรพล รับบทเป็นชาวนา เผยแพร่ผ่านยูทูบเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 115 ล้านวิว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับเสื้อปุ๋ย เฉกเช่นมิวสิกวีดีโอเพลง ผู้บ่าวเสื้อปุ๋ย ของศิลปินเพลงป็อปลูกทุ่ง ดิด คิตตี้ หรือ บัณฑิต ไพรบึง โดยมีท่อนฮุคระบุว่า "อ้ายใส่เสื้อปุ๋ยแถมมาน้องหล่า บ่มีปัญญาไปซื้อของห้าง หรูสุดแค่ข้าวกระเพราข้างทาง ดีแหน่กะพาหย่างตลาดนัดวันเสาร์" เผยแพร่ผ่านยูทูปเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 56 ล้านวิว ไม่นับรวมถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกหรือร้องเพลงคัฟเวอร์ แถมศิลปินยังใช้โอกาสนี้ขายเสื้อปุ๋ยคอปกสีแสดแบบเดียวกับในเอ็มวี สำหรับแฟนเพลงที่อยากได้ไว้ใส่ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือใส่ไปเที่ยว

    สำหรับเสื้อปุ๋ย นิยมทำเป็นเสื้อแขนยาวเพื่อใช้กันแดดที่แขน ผลิตจากใยสังเคราะห์หรือโพลีเอสเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทีเคหรือผ้าทีซี (ผสมคอตตอน 20%) ซึ่งราคาถูกที่สุด หรืออย่างดีขึ้นมาหน่อยจะเป็นผ้าไอบีหรือผ้าไมโคร ยิ่งสั่งผลิตจำนวนมากยิ่งราคาถูกลง แต่อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าและการซัก ที่ผ่านมามีมุกตลกที่ระบุว่า "ใครใส่เสื้อที่มีโลโก้ปุ๋ยแปลว่าเป็นคนมีตังค์" แม้จะเป็นเสื้อแถม แต่ต้องมียอดซื้อจำนวนมากถึงจะได้เสื้อฟรี สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเกษตรกรรม เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยที่ขาดกันไม่ได้

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    เสื้อปุ๋ย เทรนด์ฮิตจากทุ่งนา เสื้อแขนยาวทั้งคอกลมและคอปก กลายเป็นเทรนด์ฮิตในหมู่คนที่ชื่นชอบวิถีชีวิตชนบทแบบเกษตรกร เมื่อวันก่อนเฟซบุ๊ก ปุ๋ยตราม้าบิน โพสต์ภาพระบุว่า "ใส่เสื้อหลักล้าน? เสื้อปุ๋ยธรรมดาที่ได้มากกว่าล้าน" กลายเป็นที่พูดถึงแก่ชาวเน็ต ถึงขนาด จ๋าย ไททศมิตร หรือ อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี ศิลปินเพลงป๊อปอินดี้เพื่อชีวิต คอมเมนต์ในเพจว่า "คิวว่าง พรีเซนเตอร์เข้าได้ครับ" และยังมีชาวเน็ตอีกส่วนหนึ่งเชียร์ให้จำหน่ายเสื้อ เพราะไม่ได้ซื้อปุ๋ยแต่อยากเท่กับเขาบ้าง แต่เนื่องจากเสื้อปุ๋ยม้าบินจะไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แอดมินจึงแนะนำให้ติดตามข่าวสารและกิจกรรมจากเพจไปก่อน ขณะที่แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ เริ่มมีผู้ขายโพสต์ขายเสื้อปุ๋ยบ้างแล้ว แต่ไม่พบว่าเป็นเสื้อลิขสิทธิ์แท้หรือของลอกเลียนแบบ เพราะโดยปกติแล้วเสื้อขายปุ๋ย ผู้จัดจำหน่ายจะแจกจ่ายให้ร้านค้าทางการเกษตร เพื่อนำไปสมนาคุณแก่ลูกค้าที่ซื้อปุ๋ยตามเงื่อนไข ซึ่งแต่ละครั้งเกษตรกรจะซื้อเป็นกระสอบ ยิ่งมีจำนวนไร่มากยิ่งต้องใช้ปุ๋ยมาก ต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก โดยก่อนหน้านี้ เสื้อปุ๋ยตราม้าบินสีน้ำเงิน ถูกนำไปใช้ในมิวสิกวีดีโอเพลง ให้บุญนำพา ของ ไหมไทย หัวใจศิลป์ ที่นักแสดงนำชายอย่าง ยูโร พัชรพล รับบทเป็นชาวนา เผยแพร่ผ่านยูทูบเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 115 ล้านวิว อย่างไรก็ตาม ยังมีเพลงที่เกี่ยวข้องกับเสื้อปุ๋ย เฉกเช่นมิวสิกวีดีโอเพลง ผู้บ่าวเสื้อปุ๋ย ของศิลปินเพลงป็อปลูกทุ่ง ดิด คิตตี้ หรือ บัณฑิต ไพรบึง โดยมีท่อนฮุคระบุว่า "อ้ายใส่เสื้อปุ๋ยแถมมาน้องหล่า บ่มีปัญญาไปซื้อของห้าง หรูสุดแค่ข้าวกระเพราข้างทาง ดีแหน่กะพาหย่างตลาดนัดวันเสาร์" เผยแพร่ผ่านยูทูปเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 56 ล้านวิว ไม่นับรวมถ่ายคลิปลงติ๊กต็อกหรือร้องเพลงคัฟเวอร์ แถมศิลปินยังใช้โอกาสนี้ขายเสื้อปุ๋ยคอปกสีแสดแบบเดียวกับในเอ็มวี สำหรับแฟนเพลงที่อยากได้ไว้ใส่ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือใส่ไปเที่ยว สำหรับเสื้อปุ๋ย นิยมทำเป็นเสื้อแขนยาวเพื่อใช้กันแดดที่แขน ผลิตจากใยสังเคราะห์หรือโพลีเอสเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทีเคหรือผ้าทีซี (ผสมคอตตอน 20%) ซึ่งราคาถูกที่สุด หรืออย่างดีขึ้นมาหน่อยจะเป็นผ้าไอบีหรือผ้าไมโคร ยิ่งสั่งผลิตจำนวนมากยิ่งราคาถูกลง แต่อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับเนื้อผ้าและการซัก ที่ผ่านมามีมุกตลกที่ระบุว่า "ใครใส่เสื้อที่มีโลโก้ปุ๋ยแปลว่าเป็นคนมีตังค์" แม้จะเป็นเสื้อแถม แต่ต้องมียอดซื้อจำนวนมากถึงจะได้เสื้อฟรี สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเกษตรกรรม เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยที่ขาดกันไม่ได้ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ใน Facebook และ IG วันจันทร์ที่ 18 ส.ค. 2568)
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อมิดเดิลเอิร์ธเดินทางสู่โซเวียต: “The Hobbit” ฉบับปี 1976 ที่ทั้งแปลกและงดงาม

    ย้อนกลับไปในปี 1976 ท่ามกลางยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ หนังสือแฟนตาซีชื่อดังของ J.R.R. Tolkien อย่าง “The Hobbit” ได้รับการตีพิมพ์ในสหภาพโซเวียตโดยสำนักพิมพ์ Detskaya Literatura พร้อมภาพประกอบที่ไม่เหมือนใครโดยศิลปิน Mikhail Belomlinsky ผู้จบจากสถาบันศิลปะชั้นนำในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

    ภาพประกอบในฉบับนี้มีสไตล์ที่ “แม่นยำและเรียบง่าย” แต่ก็แฝงความน่ารักแบบการ์ตูนไว้ด้วย ตัวละครอย่าง Bilbo, Gandalf, Gollum และ Smaug ถูกตีความใหม่ในแบบที่สะท้อนวัฒนธรรมโซเวียต เช่น Bilbo ที่มีขนขาเยอะมาก และ Gollum ที่ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาดในหนังสือหรือภาพยนตร์

    ที่น่าสนใจคือ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดงชื่อดังของโซเวียต Yevgeniy Leonov ซึ่งเคยพากย์เสียง Winnie the Pooh เวอร์ชันโซเวียต ส่วน Gandalf ก็ถูกวาดให้ยิ้มกว้างในทุกฉาก ราวกับเป็นพ่อมดที่ใจดีมากกว่าผู้เคร่งขรึม

    ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะอยู่หลังม่านเหล็ก แต่จินตนาการก็ยังเบ่งบาน และ Tolkien ก็สามารถเดินทางข้ามอุดมการณ์ทางการเมืองไปสู่หัวใจของผู้อ่านทั่วโลกได้

    การตีพิมพ์ The Hobbit ฉบับโซเวียตปี 1976
    ตีพิมพ์โดย Detskaya Literatura ในสหภาพโซเวียต
    มีภาพประกอบโดย Mikhail Belomlinsky ศิลปินจาก St. Petersburg Academy of Fine Art
    เป็นหนึ่งในฉบับแปลที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ที่สุด

    ลักษณะภาพประกอบที่โดดเด่น
    สไตล์ภาพแม่นยำ เรียบง่าย แต่แฝงความน่ารักแบบการ์ตูน
    Bilbo มีขนขาเยอะมาก และดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าฮีโร่
    Gollum ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาด
    Gandalf ยิ้มกว้างในทุกฉาก ดูใจดีมากกว่าขรึม

    อิทธิพลทางวัฒนธรรม
    Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดง Yevgeniy Leonov
    สะท้อนการตีความตัวละครผ่านมุมมองของโซเวียต
    เป็นตัวอย่างของการนำวรรณกรรมตะวันตกเข้าสู่บริบทของโลกตะวันออก

    ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์
    แสดงให้เห็นว่าผลงานของ Tolkien สามารถข้ามพรมแดนทางการเมืองได้
    เป็นหลักฐานของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น
    เป็นหนึ่งในฉบับที่นักสะสมและนักวิชาการให้ความสนใจ

    ภาพประกอบในฉบับนี้แตกต่างจากเวอร์ชันตะวันตกอย่างสิ้นเชิง
    ตัวละครอาจดูแปลกหรือไม่ตรงกับจินตนาการของผู้อ่านยุคใหม่

    https://mashable.com/archive/soviet-hobbit
    🧠 เมื่อมิดเดิลเอิร์ธเดินทางสู่โซเวียต: “The Hobbit” ฉบับปี 1976 ที่ทั้งแปลกและงดงาม ย้อนกลับไปในปี 1976 ท่ามกลางยุคสงครามเย็นที่โลกแบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ หนังสือแฟนตาซีชื่อดังของ J.R.R. Tolkien อย่าง “The Hobbit” ได้รับการตีพิมพ์ในสหภาพโซเวียตโดยสำนักพิมพ์ Detskaya Literatura พร้อมภาพประกอบที่ไม่เหมือนใครโดยศิลปิน Mikhail Belomlinsky ผู้จบจากสถาบันศิลปะชั้นนำในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ภาพประกอบในฉบับนี้มีสไตล์ที่ “แม่นยำและเรียบง่าย” แต่ก็แฝงความน่ารักแบบการ์ตูนไว้ด้วย ตัวละครอย่าง Bilbo, Gandalf, Gollum และ Smaug ถูกตีความใหม่ในแบบที่สะท้อนวัฒนธรรมโซเวียต เช่น Bilbo ที่มีขนขาเยอะมาก และ Gollum ที่ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาดในหนังสือหรือภาพยนตร์ ที่น่าสนใจคือ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดงชื่อดังของโซเวียต Yevgeniy Leonov ซึ่งเคยพากย์เสียง Winnie the Pooh เวอร์ชันโซเวียต ส่วน Gandalf ก็ถูกวาดให้ยิ้มกว้างในทุกฉาก ราวกับเป็นพ่อมดที่ใจดีมากกว่าผู้เคร่งขรึม ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะอยู่หลังม่านเหล็ก แต่จินตนาการก็ยังเบ่งบาน และ Tolkien ก็สามารถเดินทางข้ามอุดมการณ์ทางการเมืองไปสู่หัวใจของผู้อ่านทั่วโลกได้ ✅ การตีพิมพ์ The Hobbit ฉบับโซเวียตปี 1976 ➡️ ตีพิมพ์โดย Detskaya Literatura ในสหภาพโซเวียต ➡️ มีภาพประกอบโดย Mikhail Belomlinsky ศิลปินจาก St. Petersburg Academy of Fine Art ➡️ เป็นหนึ่งในฉบับแปลที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ที่สุด ✅ ลักษณะภาพประกอบที่โดดเด่น ➡️ สไตล์ภาพแม่นยำ เรียบง่าย แต่แฝงความน่ารักแบบการ์ตูน ➡️ Bilbo มีขนขาเยอะมาก และดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าฮีโร่ ➡️ Gollum ดูเหมือนภูตผีมากกว่าตัวประหลาด ➡️ Gandalf ยิ้มกว้างในทุกฉาก ดูใจดีมากกว่าขรึม ✅ อิทธิพลทางวัฒนธรรม ➡️ Bilbo ถูกวาดโดยอิงจากนักแสดง Yevgeniy Leonov ➡️ สะท้อนการตีความตัวละครผ่านมุมมองของโซเวียต ➡️ เป็นตัวอย่างของการนำวรรณกรรมตะวันตกเข้าสู่บริบทของโลกตะวันออก ✅ ความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ➡️ แสดงให้เห็นว่าผลงานของ Tolkien สามารถข้ามพรมแดนทางการเมืองได้ ➡️ เป็นหลักฐานของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น ➡️ เป็นหนึ่งในฉบับที่นักสะสมและนักวิชาการให้ความสนใจ ⛔ ภาพประกอบในฉบับนี้แตกต่างจากเวอร์ชันตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ⛔ ตัวละครอาจดูแปลกหรือไม่ตรงกับจินตนาการของผู้อ่านยุคใหม่ https://mashable.com/archive/soviet-hobbit
    MASHABLE.COM
    Brilliant illustrations bring this 1976 Soviet edition of 'The Hobbit' to life
    Brilliant illustrations bring this 1976 Soviet edition of 'The Hobbit' to life
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอบคุณมากๆที่กล้าออกมาศิลปินไทยในขณะที่ดารานักร้องไทยไม่มีใครชน"มีคุณน็อตอยู่คนเดียว#พวกที่ call out..ปิดปากเงียบเวลาคนไทยตาย#พอเขมรตายถามหามนุษยธรรมแล้วมันมีให้เราไหม??
    ขอบคุณมากๆที่กล้าออกมาศิลปินไทยในขณะที่ดารานักร้องไทยไม่มีใครชน"มีคุณน็อตอยู่คนเดียว#พวกที่ call out..ปิดปากเงียบเวลาคนไทยตาย#พอเขมรตายถามหามนุษยธรรมแล้วมันมีให้เราไหม??
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน”

    ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU

    เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C

    แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม

    Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม
    ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4
    ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ

    ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม
    กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU
    อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที

    ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง
    สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้
    มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002
    มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024)
    Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้

    โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง
    เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ
    แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ

    กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค
    ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร
    อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ

    ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก
    การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
    ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง

    ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก
    ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

    การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU
    อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้
    ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ

    https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน” ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม ✅ Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม ➡️ ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4 ➡️ ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ ✅ ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม ➡️ กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU ➡️ อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที ✅ ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง ➡️ สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้ ➡️ มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง ✅ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002 ➡️ มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024) ➡️ Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้ ✅ โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง ➡️ เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ ➡️ แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ ‼️ กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ⛔ ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร ⛔ อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ ‼️ ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก ⛔ การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง ‼️ ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก ⛔ ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ‼️ การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU ⛔ อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้ ⛔ ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    WWW.DOUGMACDOWELL.COM
    Coffeematic PC – Coffee Maker Computer by Doug MacDowell
    A 1980s GE coffee maker converted into a working computer. Part art, part absurd machine, fully functional.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ.ปานเทพชวนศิลปิน และศิลปินโซเชียล แต่งเพลงแบบนี้!!! (3/8/68)

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodianDeception
    #Scambodia
    #News1 #Shorts
    อ.ปานเทพชวนศิลปิน และศิลปินโซเชียล แต่งเพลงแบบนี้!!! (3/8/68) #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #CambodianDeception #Scambodia #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin

    ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง

    ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ...

    "Raining Days .. Never Say "Goodbye"...

    เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ

    พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า
    “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก”

    วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ”

    ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น

    เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก
    มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น
    กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco
    และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

    กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา

    มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว

    วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    ☀️ เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ... 🔖 "Raining Days .. Never Say "Goodbye"... 🎵 เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก” วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ” ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น 🎵 เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก 🎵 มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น 🎵 กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco 🎵 และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏🏻 คุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ว่า “สองวันก่อนผมพา ศักดิ์ดา ภู่กนก ศิลปินช่างขยายภาพฟิล์มกระจกซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าของผมสมัยที่เรียนที่โรงเรียน ภปร ราชวิทยาลัยด้วยกัน นำภาพพระฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถ่ายก่อนจะทรงสวรรคตราวหนึ่งสัปดาห์ ไปมอบให้คุณสนธิ และอาจารย์ปานเทพ เพื่อเป็นกำลังใจและศิริมงคลแก่คณะทำงานยามเฝ้าแผ่นดินที่อุทิศกายใจในการปกป้องประเทศชาติอย่างเต็มสติปัญญาและพละกำลังในขณะนี้.วันนี้นำภาพพระฉายที่ใส่กรอบแล้วเรียบร้อยไปส่งมอบที่บ้านพระอาทิตย์ ภาพพระฉายรูปนี้มีความหมายยิ่งนัก ทรงฉายขณะที่บ้านเมืองถูกต่างชาติคุกคามไม่ต่างกับเวลานี้และพระองค์ทรงพระประชวรอยู่ด้วยความโทมนัส ในความรู้สึกของผม พระเนตรของพระองค์ทรงมีความเศร้าเนื่องจากจำยอมต้องเสียดินแดนไปในเวลานั้น .ภาพนี้ขยายจากฟิล์มกระจกต้นฉบับ คมชัดราวมีชีวิต ใครที่เห็นด้วยตาตนเองจะรู้สึกได้ถึงพระบารมีของพระองค์ท่าน.ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านปกป้องชาติของเราให้รอดพ้นจากพวกชั่วช้าที่จ้องทำลายอยู่ในขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า.ขอบคุณพี่หมี น้องก้อย น้องอ๋อย อ.ต่อ ที่มาช่วยกันทำให้งานสำเร็จลุล่วงยังมีอีกรูปที่มีความสำคัญมาก ต้องทำให้สำเร็จhttps://www.facebook.com/share/p/1BvsWVxCho/?mibextid=wwXIfr .
    🙏🏻 คุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ว่า “สองวันก่อนผมพา ศักดิ์ดา ภู่กนก ศิลปินช่างขยายภาพฟิล์มกระจกซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าของผมสมัยที่เรียนที่โรงเรียน ภปร ราชวิทยาลัยด้วยกัน นำภาพพระฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถ่ายก่อนจะทรงสวรรคตราวหนึ่งสัปดาห์ ไปมอบให้คุณสนธิ และอาจารย์ปานเทพ เพื่อเป็นกำลังใจและศิริมงคลแก่คณะทำงานยามเฝ้าแผ่นดินที่อุทิศกายใจในการปกป้องประเทศชาติอย่างเต็มสติปัญญาและพละกำลังในขณะนี้.วันนี้นำภาพพระฉายที่ใส่กรอบแล้วเรียบร้อยไปส่งมอบที่บ้านพระอาทิตย์ ภาพพระฉายรูปนี้มีความหมายยิ่งนัก ทรงฉายขณะที่บ้านเมืองถูกต่างชาติคุกคามไม่ต่างกับเวลานี้และพระองค์ทรงพระประชวรอยู่ด้วยความโทมนัส ในความรู้สึกของผม พระเนตรของพระองค์ทรงมีความเศร้าเนื่องจากจำยอมต้องเสียดินแดนไปในเวลานั้น .ภาพนี้ขยายจากฟิล์มกระจกต้นฉบับ คมชัดราวมีชีวิต ใครที่เห็นด้วยตาตนเองจะรู้สึกได้ถึงพระบารมีของพระองค์ท่าน.ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านปกป้องชาติของเราให้รอดพ้นจากพวกชั่วช้าที่จ้องทำลายอยู่ในขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า.ขอบคุณพี่หมี น้องก้อย น้องอ๋อย อ.ต่อ ที่มาช่วยกันทำให้งานสำเร็จลุล่วงยังมีอีกรูปที่มีความสำคัญมาก ต้องทำให้สำเร็จhttps://www.facebook.com/share/p/1BvsWVxCho/?mibextid=wwXIfr .
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ไม่รู้ว่าคนอย่างสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งเชี่ย เฒ่าสามกีบ จะมีลมหายใจต่อไปทำไม ใครได้ประโยชน์ ในที่สุดสุชาติก็ไปจบที่ลอยอังคาร
    #7ดอกจิก
    ♣ ไม่รู้ว่าคนอย่างสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งเชี่ย เฒ่าสามกีบ จะมีลมหายใจต่อไปทำไม ใครได้ประโยชน์ ในที่สุดสุชาติก็ไปจบที่ลอยอังคาร #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts