• 🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส!
    สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส

    Eiffel Tower หอไอเฟล
    สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim

    Louvre Museum พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
    พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ

    Notre-Dame de Paris มหาวิหารนอเทรอดาม
    จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้

    Sacré-Cœur & Montmartre โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต
    ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส! 🌉 สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส 🇫🇷✨🗼 🅿️ Eiffel Tower 🚗 หอไอเฟล สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim 🅿️ Louvre Museum 🚗 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ 🅿️ Notre-Dame de Paris 🚗 มหาวิหารนอเทรอดาม จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้ 🅿️ Sacré-Cœur & Montmartre 🚗 โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • Slop Evader: เครื่องมือเลี่ยง “AI Slop”

    Slop Evader คือส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ถูกสร้างโดย AI บนอินเทอร์เน็ต หลังจากการเปิดตัว ChatGPT และโมเดลภาษาอื่น ๆ โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อความ ภาพ และวิดีโอที่ผลิตโดย AI เครื่องมือนี้ใช้ Google Search API เพื่อจำกัดผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาที่เผยแพร่ก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นงานที่สร้างโดยมนุษย์จริง ๆ

    ปัญหามลพิษข้อมูลดิจิทัล
    การแพร่หลายของ AI ทำให้เกิดสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “AI Slop” หรือการปนเปื้อนของข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เนื้อหาที่ผลิตโดย AI อาจซ้ำซ้อน ขาดความถูกต้อง หรือถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอมและการตลาดที่ไม่โปร่งใส Slop Evader จึงเป็นการตอบสนองต่อความกังวลนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า

    ศิลปินเบื้องหลังโครงการ
    Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียที่ทำงานในนิวยอร์ก เป็นผู้สร้าง Slop Evader เธอมีชื่อเสียงจากการสำรวจ “การเมืองของการคำนวณ” ในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลงานของเธอมักตั้งคำถามต่อบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม และ Slop Evader ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนความพยายามในการรักษาความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัล

    ความหมายต่ออนาคตการค้นหา
    แม้ Slop Evader จะเป็นเพียงเครื่องมือเล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพข้อมูลในยุค AI หากแนวโน้มการสร้างเนื้อหาโดย AI ยังคงเติบโต ผู้ใช้และนักพัฒนาอาจต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการกรองและตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าความรู้ที่เผยแพร่ยังคงมีคุณค่าและความน่าเชื่อถือ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Slop Evader คืออะไร
    ส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox
    กรองผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาก่อน 30 พฤศจิกายน 2022

    ปัญหาที่เครื่องมือนี้แก้ไข
    การแพร่กระจายของ “AI Slop” หรือข้อมูลที่ผลิตโดย AI
    ลดความเสี่ยงจากข่าวปลอมและเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง

    ผู้สร้างและแรงบันดาลใจ
    Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียในนิวยอร์ก
    สำรวจการเมืองของการคำนวณและผลกระทบต่อสังคม

    ความหมายต่ออนาคต
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพข้อมูลในยุค AI
    อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือกรองข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้น

    คำเตือนที่ควรระวัง
    การใช้ Slop Evader อาจทำให้พลาดข้อมูลใหม่ที่มีคุณค่าแต่ถูกสร้างหลังปี 2022
    การพึ่งพาเครื่องมือเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้วิจารณญาณร่วมด้วย


    https://tegabrain.com/Slop-Evader
    🛡️ Slop Evader: เครื่องมือเลี่ยง “AI Slop” Slop Evader คือส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ถูกสร้างโดย AI บนอินเทอร์เน็ต หลังจากการเปิดตัว ChatGPT และโมเดลภาษาอื่น ๆ โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อความ ภาพ และวิดีโอที่ผลิตโดย AI เครื่องมือนี้ใช้ Google Search API เพื่อจำกัดผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาที่เผยแพร่ก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นงานที่สร้างโดยมนุษย์จริง ๆ 🌐 ปัญหามลพิษข้อมูลดิจิทัล การแพร่หลายของ AI ทำให้เกิดสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “AI Slop” หรือการปนเปื้อนของข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เนื้อหาที่ผลิตโดย AI อาจซ้ำซ้อน ขาดความถูกต้อง หรือถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอมและการตลาดที่ไม่โปร่งใส Slop Evader จึงเป็นการตอบสนองต่อความกังวลนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า 🎨 ศิลปินเบื้องหลังโครงการ Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียที่ทำงานในนิวยอร์ก เป็นผู้สร้าง Slop Evader เธอมีชื่อเสียงจากการสำรวจ “การเมืองของการคำนวณ” ในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลงานของเธอมักตั้งคำถามต่อบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม และ Slop Evader ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนความพยายามในการรักษาความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัล 🔮 ความหมายต่ออนาคตการค้นหา แม้ Slop Evader จะเป็นเพียงเครื่องมือเล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพข้อมูลในยุค AI หากแนวโน้มการสร้างเนื้อหาโดย AI ยังคงเติบโต ผู้ใช้และนักพัฒนาอาจต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการกรองและตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าความรู้ที่เผยแพร่ยังคงมีคุณค่าและความน่าเชื่อถือ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Slop Evader คืออะไร ➡️ ส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ➡️ กรองผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาก่อน 30 พฤศจิกายน 2022 ✅ ปัญหาที่เครื่องมือนี้แก้ไข ➡️ การแพร่กระจายของ “AI Slop” หรือข้อมูลที่ผลิตโดย AI ➡️ ลดความเสี่ยงจากข่าวปลอมและเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง ✅ ผู้สร้างและแรงบันดาลใจ ➡️ Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียในนิวยอร์ก ➡️ สำรวจการเมืองของการคำนวณและผลกระทบต่อสังคม ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพข้อมูลในยุค AI ➡️ อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือกรองข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ การใช้ Slop Evader อาจทำให้พลาดข้อมูลใหม่ที่มีคุณค่าแต่ถูกสร้างหลังปี 2022 ⛔ การพึ่งพาเครื่องมือเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้วิจารณญาณร่วมด้วย https://tegabrain.com/Slop-Evader
    TEGABRAIN.COM
    Slop Evader — Tega Brain
    A browser extension for avoiding AI slop. Download it for Chrome or Firefox. This is a search tool that will only return content created before ChatGPT's...
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “สังคม Tap-to-Pay กำลังทิ้งชาวนิวยอร์กบางกลุ่มไว้ข้างหลัง”

    บทความจาก The Star เล่าถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดในนิวยอร์ก โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด เช่น คนไร้บ้าน ผู้ขายอาหารริมทาง และนักแสดงข้างถนน แม้การจ่ายเงินแบบ tap-to-pay และ mobile wallet จะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต แต่กลับสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนขึ้น

    ตัวอย่างเช่น Rob Brender ผู้พิการที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนพิการ เขายังคงใช้แก้วพลาสติกขอเงินตามท้องถนน แต่รายได้ลดลงมากเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พกเงินสดแล้ว แม้เพื่อนจะช่วยทำป้ายพร้อม Venmo username แต่เขาไม่รู้วิธีใช้งานและไม่มีบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อได้จริง ขณะที่นักออกแบบและคนทำงานรุ่นใหม่บางคนยอมพกเงินสดเล็กน้อยเพื่อยังสามารถให้ทิปแก่ศิลปินข้างถนน เพราะพวกเขารู้สึกว่า “การให้เงินสดคือการเชื่อมต่อมนุษย์”

    อีกด้านหนึ่ง ผู้ขายอาหารริมทาง อย่าง Mohamed Attia เล่าว่าเงินสดยังจำเป็นเพราะการทำธุรกิจต้องใช้ทุนหมุนเวียนทันที แต่การรับเงินผ่านแอปต้องรอหลายวันกว่าจะเข้าบัญชี ทำให้ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา เขาและเพื่อน ๆ จึงค่อย ๆ ติดตั้งระบบจ่ายเงินดิจิทัล แต่ก็ยังเจอปัญหาด้านภาษาและการเข้าถึงธนาคาร โดยเฉพาะผู้ขายที่เป็นผู้อพยพ

    แม้เมืองนิวยอร์กจะออกกฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธการรับเงินสดตั้งแต่ปี 2020 แต่ในทางปฏิบัติหลายร้านยังคงไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่ไม่มีบัตรหรือบัญชีธนาคารก็ยังถูกกีดกันจากการซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังมีผลกระทบต่อความเท่าเทียมและการเข้าถึงอย่างมาก

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด
    Tap-to-pay และ mobile wallet ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต
    แต่สร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด

    ผลกระทบต่อผู้คน
    คนไร้บ้านและนักแสดงข้างถนนรายได้ลดลงเพราะคนไม่พกเงินสด
    ผู้ขายอาหารริมทางต้องใช้เงินสดเพื่อทุนหมุนเวียนทันที

    ความพยายามแก้ปัญหา
    บางคนพยายามใช้ Venmo, Zelle หรือ Cash App แต่มีอุปสรรคด้านเทคนิคและภาษา
    นักออกแบบบางคนยังพกเงินสดเพื่อรักษาการเชื่อมต่อทางสังคม

    คำเตือนและข้อสังเกต
    กฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธเงินสดยังถูกละเมิดในหลายพื้นที่
    ผู้ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตถูกกีดกันจากการเข้าถึงสินค้าและบริการ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/a-tap-to-pay-society-is-leaving-these-new-yorkers-behind
    💳 “สังคม Tap-to-Pay กำลังทิ้งชาวนิวยอร์กบางกลุ่มไว้ข้างหลัง” บทความจาก The Star เล่าถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดในนิวยอร์ก โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด เช่น คนไร้บ้าน ผู้ขายอาหารริมทาง และนักแสดงข้างถนน แม้การจ่ายเงินแบบ tap-to-pay และ mobile wallet จะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต แต่กลับสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น Rob Brender ผู้พิการที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนพิการ เขายังคงใช้แก้วพลาสติกขอเงินตามท้องถนน แต่รายได้ลดลงมากเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พกเงินสดแล้ว แม้เพื่อนจะช่วยทำป้ายพร้อม Venmo username แต่เขาไม่รู้วิธีใช้งานและไม่มีบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อได้จริง ขณะที่นักออกแบบและคนทำงานรุ่นใหม่บางคนยอมพกเงินสดเล็กน้อยเพื่อยังสามารถให้ทิปแก่ศิลปินข้างถนน เพราะพวกเขารู้สึกว่า “การให้เงินสดคือการเชื่อมต่อมนุษย์” อีกด้านหนึ่ง ผู้ขายอาหารริมทาง อย่าง Mohamed Attia เล่าว่าเงินสดยังจำเป็นเพราะการทำธุรกิจต้องใช้ทุนหมุนเวียนทันที แต่การรับเงินผ่านแอปต้องรอหลายวันกว่าจะเข้าบัญชี ทำให้ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา เขาและเพื่อน ๆ จึงค่อย ๆ ติดตั้งระบบจ่ายเงินดิจิทัล แต่ก็ยังเจอปัญหาด้านภาษาและการเข้าถึงธนาคาร โดยเฉพาะผู้ขายที่เป็นผู้อพยพ แม้เมืองนิวยอร์กจะออกกฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธการรับเงินสดตั้งแต่ปี 2020 แต่ในทางปฏิบัติหลายร้านยังคงไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่ไม่มีบัตรหรือบัญชีธนาคารก็ยังถูกกีดกันจากการซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังมีผลกระทบต่อความเท่าเทียมและการเข้าถึงอย่างมาก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด ➡️ Tap-to-pay และ mobile wallet ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต ➡️ แต่สร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด ✅ ผลกระทบต่อผู้คน ➡️ คนไร้บ้านและนักแสดงข้างถนนรายได้ลดลงเพราะคนไม่พกเงินสด ➡️ ผู้ขายอาหารริมทางต้องใช้เงินสดเพื่อทุนหมุนเวียนทันที ✅ ความพยายามแก้ปัญหา ➡️ บางคนพยายามใช้ Venmo, Zelle หรือ Cash App แต่มีอุปสรรคด้านเทคนิคและภาษา ➡️ นักออกแบบบางคนยังพกเงินสดเพื่อรักษาการเชื่อมต่อทางสังคม ‼️ คำเตือนและข้อสังเกต ⛔ กฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธเงินสดยังถูกละเมิดในหลายพื้นที่ ⛔ ผู้ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตถูกกีดกันจากการเข้าถึงสินค้าและบริการ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/a-tap-to-pay-society-is-leaving-these-new-yorkers-behind
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A tap-to-pay society is leaving these New Yorkers behind
    As fewer people carry cash, vendors, street performers and people experiencing homelessness and unemployment are at a disadvantage.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • “เสียงต้านการผลักดัน AI อย่างเกินพอดี”

    ผู้เขียน Nutanc เปิดประเด็นว่า AI กำลังถูก “ยัดเยียด” เข้ามาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นใน search bar, ระบบปฏิบัติการ หรือเครื่องมือสร้างสรรค์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ การผลักดันเช่นนี้ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับมากกว่าการได้รับการอัปเกรดที่มีประโยชน์

    เขาเสนอว่า การนำ AI มาใช้ควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ เลือกเฉพาะสิ่งที่ใช้งานได้จริงและมีคุณค่า ไม่ใช่เร่งรีบเพื่อให้บริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทยักษ์ใหญ่มีผลประกอบการดีในไตรมาสถัดไป ผู้เขียนย้ำว่า “เราไม่จำเป็นต้องมี AGI หรือพระเจ้าดิจิทัล เราแค่ต้องการซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริง”

    บทความยังวิจารณ์ว่า แรงผลักดันที่แท้จริงคือการเงิน ไม่ใช่ประโยชน์ต่อผู้ใช้ บริษัทลงทุนไปมหาศาลใน GPU และโครงสร้างพื้นฐาน จึงต้องหาทางทำให้ตลาดยอมรับ AI เพื่อไม่ให้การลงทุนสูญเปล่า แต่ผู้เขียนยืนยันว่า “ไม่ใช่ปัญหาของเรา” เพราะผู้ใช้จะเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่สร้างคุณค่าให้จริง ๆ

    นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ นักวิจัยกลับไปทำงานในห้องแล็บ เพื่อแก้ไขข้อจำกัด เช่น การ “hallucination” และความผิดพลาดของโมเดล พร้อมทั้งเน้นว่าการพัฒนา AI ต้องเคารพสิทธิของนักสร้างสรรค์ ไม่ใช่การนำผลงานของศิลปินและนักเขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    สรุปสาระสำคัญ
    การผลักดัน AI ในชีวิตประจำวัน
    ปรากฏใน search bar, OS และเครื่องมือสร้างสรรค์โดยไม่ถามผู้ใช้
    ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับมากกว่าการได้รับประโยชน์

    แนวทางที่ควรเป็น
    ควรนำมาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เลือกเฉพาะสิ่งที่มีคุณค่า
    ไม่จำเป็นต้องมี AGI แต่ต้องการซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริง

    แรงผลักดันเบื้องหลัง
    บริษัทลงทุนมหาศาลใน GPU และโครงสร้างพื้นฐาน
    เร่งผลักดันเพื่อสร้างผลกำไร ไม่ใช่เพื่อผู้ใช้

    คำเตือนและข้อวิจารณ์
    หากเร่งผลักดันโดยไม่แก้ไขข้อจำกัด อาจสร้างความไม่ไว้วางใจ
    การใช้ผลงานศิลปินและนักเขียนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดสิทธิ

    https://gpt3experiments.substack.com/p/dont-push-ai-down-our-throats
    🤖 “เสียงต้านการผลักดัน AI อย่างเกินพอดี” ผู้เขียน Nutanc เปิดประเด็นว่า AI กำลังถูก “ยัดเยียด” เข้ามาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นใน search bar, ระบบปฏิบัติการ หรือเครื่องมือสร้างสรรค์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ การผลักดันเช่นนี้ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับมากกว่าการได้รับการอัปเกรดที่มีประโยชน์ เขาเสนอว่า การนำ AI มาใช้ควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ เลือกเฉพาะสิ่งที่ใช้งานได้จริงและมีคุณค่า ไม่ใช่เร่งรีบเพื่อให้บริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทยักษ์ใหญ่มีผลประกอบการดีในไตรมาสถัดไป ผู้เขียนย้ำว่า “เราไม่จำเป็นต้องมี AGI หรือพระเจ้าดิจิทัล เราแค่ต้องการซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริง” บทความยังวิจารณ์ว่า แรงผลักดันที่แท้จริงคือการเงิน ไม่ใช่ประโยชน์ต่อผู้ใช้ บริษัทลงทุนไปมหาศาลใน GPU และโครงสร้างพื้นฐาน จึงต้องหาทางทำให้ตลาดยอมรับ AI เพื่อไม่ให้การลงทุนสูญเปล่า แต่ผู้เขียนยืนยันว่า “ไม่ใช่ปัญหาของเรา” เพราะผู้ใช้จะเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่สร้างคุณค่าให้จริง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ นักวิจัยกลับไปทำงานในห้องแล็บ เพื่อแก้ไขข้อจำกัด เช่น การ “hallucination” และความผิดพลาดของโมเดล พร้อมทั้งเน้นว่าการพัฒนา AI ต้องเคารพสิทธิของนักสร้างสรรค์ ไม่ใช่การนำผลงานของศิลปินและนักเขียนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การผลักดัน AI ในชีวิตประจำวัน ➡️ ปรากฏใน search bar, OS และเครื่องมือสร้างสรรค์โดยไม่ถามผู้ใช้ ➡️ ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับมากกว่าการได้รับประโยชน์ ✅ แนวทางที่ควรเป็น ➡️ ควรนำมาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เลือกเฉพาะสิ่งที่มีคุณค่า ➡️ ไม่จำเป็นต้องมี AGI แต่ต้องการซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริง ✅ แรงผลักดันเบื้องหลัง ➡️ บริษัทลงทุนมหาศาลใน GPU และโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เร่งผลักดันเพื่อสร้างผลกำไร ไม่ใช่เพื่อผู้ใช้ ‼️ คำเตือนและข้อวิจารณ์ ⛔ หากเร่งผลักดันโดยไม่แก้ไขข้อจำกัด อาจสร้างความไม่ไว้วางใจ ⛔ การใช้ผลงานศิลปินและนักเขียนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดสิทธิ https://gpt3experiments.substack.com/p/dont-push-ai-down-our-throats
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • เกม Flick Solitaire ถูกลบออกจาก Steam ในรัสเซีย

    Valve ถูกกล่าวหาว่าลบเกม Flick Solitaire ออกจาก Steam ในรัสเซียตามคำร้องของรัฐบาล เนื่องจากเกมมีเด็คไพ่ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ขณะที่ Apple และ Google ปฏิเสธคำร้องเดียวกัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มเกมระดับโลก

    รายงานระบุว่า Roskomnadzor หน่วยงานกำกับดูแลของรัสเซียได้ส่งคำร้องไปยัง Valve, Apple และ Google ให้ลบเกม Flick Solitaire ออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากมีเด็คไพ่ที่ “ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ” Valve ตอบสนองโดยลบเกมออกจาก Steam ในรัสเซีย แต่ Apple และ Google ปฏิเสธที่จะทำตาม ทำให้เกมยังคงมีให้ดาวน์โหลดใน App Store และ Google Play

    จุดยืนของผู้พัฒนา Flick Games
    Ian Masters ผู้ก่อตั้ง Flick Games ยืนยันว่าเกมของเขามีเด็คไพ่ที่สร้างโดยศิลปิน LGBTQ+ และไม่เคยเซ็นเซอร์เนื้อหาแม้ในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้าน LGBTQ+ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่ความตื่นตัวทางสังคม แต่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” พร้อมเน้นว่าการมีตัวตนของ LGBTQ+ ในเกมเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้เล่นในประเทศที่ยังมีการกีดกัน

    ผลกระทบต่อวงการเกมและเสรีภาพดิจิทัล
    กรณีนี้สะท้อนถึงความแตกต่างของแพลตฟอร์มระดับโลกในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาล การที่ Valveยอมทำตามคำร้องถูกมองว่าเป็นการ “บั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น” ขณะที่ Apple และ Google เลือกปกป้องเนื้อหาของผู้พัฒนา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกม ตามคำร้องของรัฐบาลรัสเซียในอดีต ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบของบริษัทต่อผู้เล่นทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์การลบเกม
    Roskomnadzor ร้องขอให้ Valve, Apple, Google ลบเกม Flick Solitaire
    Valve ทำตาม แต่ Apple และ Google ปฏิเสธ

    จุดยืนของผู้พัฒนา
    Ian Masters ยืนยันไม่เซ็นเซอร์เนื้อหา LGBTQ+
    มองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ “wokeness”

    ผลกระทบต่อวงการเกม
    Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกมตามคำร้องรัฐบาลรัสเซีย
    กรณีนี้สร้างคำถามเรื่องเสรีภาพและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การยอมตามแรงกดดันรัฐบาลอาจบั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น
    ความไม่โปร่งใสในการจัดการเนื้อหาอาจกระทบความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    https://wccftech.com/valve-accused-of-removing-games-from-steam-at-russia-request-flick-solitaire/
    🎮 เกม Flick Solitaire ถูกลบออกจาก Steam ในรัสเซีย Valve ถูกกล่าวหาว่าลบเกม Flick Solitaire ออกจาก Steam ในรัสเซียตามคำร้องของรัฐบาล เนื่องจากเกมมีเด็คไพ่ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ขณะที่ Apple และ Google ปฏิเสธคำร้องเดียวกัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มเกมระดับโลก รายงานระบุว่า Roskomnadzor หน่วยงานกำกับดูแลของรัสเซียได้ส่งคำร้องไปยัง Valve, Apple และ Google ให้ลบเกม Flick Solitaire ออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากมีเด็คไพ่ที่ “ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ” Valve ตอบสนองโดยลบเกมออกจาก Steam ในรัสเซีย แต่ Apple และ Google ปฏิเสธที่จะทำตาม ทำให้เกมยังคงมีให้ดาวน์โหลดใน App Store และ Google Play 🏳️‍🌈 จุดยืนของผู้พัฒนา Flick Games Ian Masters ผู้ก่อตั้ง Flick Games ยืนยันว่าเกมของเขามีเด็คไพ่ที่สร้างโดยศิลปิน LGBTQ+ และไม่เคยเซ็นเซอร์เนื้อหาแม้ในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้าน LGBTQ+ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่ความตื่นตัวทางสังคม แต่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” พร้อมเน้นว่าการมีตัวตนของ LGBTQ+ ในเกมเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้เล่นในประเทศที่ยังมีการกีดกัน 🌍 ผลกระทบต่อวงการเกมและเสรีภาพดิจิทัล กรณีนี้สะท้อนถึงความแตกต่างของแพลตฟอร์มระดับโลกในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาล การที่ Valveยอมทำตามคำร้องถูกมองว่าเป็นการ “บั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น” ขณะที่ Apple และ Google เลือกปกป้องเนื้อหาของผู้พัฒนา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกม ตามคำร้องของรัฐบาลรัสเซียในอดีต ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบของบริษัทต่อผู้เล่นทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์การลบเกม ➡️ Roskomnadzor ร้องขอให้ Valve, Apple, Google ลบเกม Flick Solitaire ➡️ Valve ทำตาม แต่ Apple และ Google ปฏิเสธ ✅ จุดยืนของผู้พัฒนา ➡️ Ian Masters ยืนยันไม่เซ็นเซอร์เนื้อหา LGBTQ+ ➡️ มองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ “wokeness” ✅ ผลกระทบต่อวงการเกม ➡️ Valve เคยลบเกมกว่า 260 เกมตามคำร้องรัฐบาลรัสเซีย ➡️ กรณีนี้สร้างคำถามเรื่องเสรีภาพและความโปร่งใสของแพลตฟอร์ม ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การยอมตามแรงกดดันรัฐบาลอาจบั่นทอนเสรีภาพของผู้เล่น ⛔ ความไม่โปร่งใสในการจัดการเนื้อหาอาจกระทบความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม https://wccftech.com/valve-accused-of-removing-games-from-steam-at-russia-request-flick-solitaire/
    WCCFTECH.COM
    Valve Has Been Accused of Removing a Solitaire Game with LGBTQ+ Card Decks From Steam In Russia At Government's Request
    Valve has been accused of removing a solitaire game from Steam in Russia at the request of the Russian government over its LGBTQ+ card decks.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)"

    วงเรนโบว์ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม

    สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย:
    ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด
    อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย
    อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม

    นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90

    จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม.

    ยุคทองของเพลง Original และ Cover
    ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง

    กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่:

    ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)"
    ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่
    ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง
    RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล

    ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม.

    เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ"
    เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี

    ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น
    คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส

    🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน
    ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น.

    มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย
    แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้

    หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่

    นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง.

    วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้.

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    🌈 เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" วงเรนโบว์ 🌈 ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม 👥 สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย: 💠 ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด 💠 อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย 💠 อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90 จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม. 🎵 ยุคทองของเพลง Original และ Cover ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่: 🎤 ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)" 🎤 ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่ 🎤 ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง 🎤 RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม. 💖 เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ" เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี 🔎 ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส 🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น. 🌟 มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้ หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่ นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง. วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้. #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    0 Comments 0 Shares 484 Views 0 Reviews
  • “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง

    เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน
    เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด

    🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว
    วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ
    โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello”

    ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด
    เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก
    แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป
    วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง

    มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ
    มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง
    แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น
    ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ

    Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก
    Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย
    เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
    นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา
    ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
    แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่

    “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า
    สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก
    มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
    และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้

    จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่
    แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด
    หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา

    “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น—
    “Hello… is it me you’re looking for?”
    และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    💿🕺 “Hello” ของ Lionel Richie: เพลงรักในตำนานที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แล้วกลายเป็นความรู้สึกจริงจัง 💘 เคยไหม…แอบชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก? แค่สบตาก็ใจสั่น แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่า “เธอจะรู้ไหมนะ?” ถ้าเคย—งั้นคุณเข้าใจเพลง “Hello” ของ Lionel Richie ได้แน่นอน เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงรักธรรมดา แต่มันคือเสียงของความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกไป เป็นบทเพลงที่อยู่ในใจคนฟังมาหลายสิบปี และยังคงโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ไม่แพ้กัน เพราะมันพูดแทนใจของคนที่กำลังตกหลุมรักแบบเงียบๆ ได้อย่างตรงจุด 🏃‍➡️ จุดเริ่มต้นของเพลงที่มาจากความเขิน ย้อนกลับไปในยุค 80s Lionel Richie ศิลปินหนุ่มจากเมือง Tuskegee รัฐ Alabama กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต เขาเพิ่งแยกตัวจากวง Commodores และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว วันหนึ่งในสตูดิโอ เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “Hello… is it me you’re looking for?” ซึ่งเป็นประโยคที่เขามักคิดในใจเวลาสบตากับผู้หญิงที่เขาแอบชอบในวัยเรียน แต่ไม่เคยกล้าพูดออกไปจริงๆ โปรดิวเซอร์ของเขา James Anthony Carmichael ได้ยินเข้าและรีบกระตุ้นให้เขาแต่งเพลงจากประโยคนั้น แม้ Richie จะลังเล เพราะคิดว่ามันดูเชยและธรรมดาเกินไป แต่ภรรยาในตอนนั้นกลับเห็นว่า มันคือประโยคที่จริงใจและกินใจที่สุด สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงนี้ขึ้นมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Hello” 🎖️ ความสำเร็จที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ “Hello” ถูกปล่อยออกมาในปี 1984 มันกลายเป็นเพลงที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 และครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ถึง 6 สัปดาห์ติดต่อกัน เพลงนี้ยังได้รับการรับรองยอดขายระดับ Gold และ Platinum ในหลายประเทศทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้ “Hello” กลายเป็นมากกว่าแค่เพลงฮิต คือความสามารถในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่กำลังแอบรัก หรือคนที่เคยมีความรักที่ไม่สมหวัง ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่อยากพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้าพอจะพูดออกไป วลี “Hello, is it me you’re looking for?” กลายเป็นประโยคอมตะที่ถูกนำไปใช้ในโฆษณา มีม คลิปวิดีโอ และบทสนทนาในชีวิตประจำวัน มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่อ่อนโยนและเปราะบาง 📺 มิวสิกวิดีโอที่ทั้งเชยและน่าจดจำ 📝 มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้กำกับโดย Bob Giraldi ผู้กำกับชื่อดังที่เคยร่วมงานกับ Michael Jackson ใน “Beat It” วิดีโอเล่าเรื่องครูสอนการแสดงที่แอบหลงรักนักเรียนสาวตาบอด ซึ่งแอบปั้นรูปปั้นศีรษะของเขาออกมาได้อย่างเหมือนจริง แม้วิดีโอจะถูกล้อเลียนว่าเชยและติดอันดับ “มิวสิกวิดีโอที่แย่ที่สุด” ในบางโพล แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วโลกรู้จัก และช่วยให้เพลงนี้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น ในยุคที่มิวสิกวิดีโอเพิ่งเริ่มได้รับความนิยม “Hello” คือหนึ่งในตัวอย่างของการใช้ภาพเล่าเรื่องเพื่อเสริมพลังให้กับเพลง และแม้จะดูเชยในสายตาบางคน แต่มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนดูยิ้มได้เสมอ 🧑‍🎤 Lionel Richie: จากเด็กขี้อายสู่ศิลปินระดับโลก Lionel Richie ไม่ใช่แค่เจ้าของเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้คนฟังใจละลาย แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลงมือทองที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย เขาเริ่มต้นเส้นทางดนตรีกับวง Commodores วงโซล–ฟังก์ชื่อดังในยุค 70s ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Easy” และ “Three Times a Lady” ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1982 และกลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจาก “Hello” แล้ว เขายังมีเพลงดังอีกมากมาย เช่น “All Night Long”, “Say You, Say Me”, “Endless Love” (ร้องคู่กับ Diana Ross) และ “We Are the World” ที่เขาร่วมเขียนกับ Michael Jackson เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแอฟริกา ด้วยยอดขายกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก และรางวัลมากมายทั้ง Grammy, Oscar, Golden Globe รวมถึงการได้เข้าหอเกียรติยศ Rock & Roll Hall of Fame Richie จึงถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี แม้วันนี้เขาจะอายุเกิน 70 ปีแล้ว แต่ยังคงแสดงสดทั่วโลก และเป็นกรรมการในรายการ American Idol ซึ่งทำให้เขายังคงเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่ 🎵 “Hello” กับความหมายที่ไม่เคยเก่า สิ่งที่ทำให้ “Hello” ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเสียงร้องของ Richie หรือทำนองที่ไพเราะเท่านั้น แต่เป็นเพราะเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงความรู้สึกที่เป็นสากล—ความรักที่ไม่กล้าบอก มันคือเพลงของคนที่กำลังแอบรัก เพลงของคนที่อยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เพลงของคนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย และนั่นคือเหตุผลที่ “Hello” ยังคงถูกเปิดฟังอยู่ทุกวันใน Spotify, YouTube และแพลตฟอร์มอื่นๆ มันยังถูกใช้ในหนัง ซีรีส์ รายการทีวี และคอนเสิร์ตมากมาย เพราะมันคือเพลงที่ไม่ว่าใครก็สามารถอินได้ 🛣️ จากอดีตถึงปัจจุบัน: เพลงที่เชื่อมใจคนรุ่นใหม่ แม้จะเป็นเพลงจากยุค 80s แต่ “Hello” ก็ยังมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วผ่านแชตและโซเชียลมีเดีย บางครั้งเราก็ยังรู้สึก “พูดไม่ออก” เวลาจะสารภาพความในใจ เพลงนี้จึงยังคงสะท้อนความรู้สึกของคนยุคนี้ได้อย่างตรงจุด หลายคนอาจเคยใช้วลี “Hello, is it me you’re looking for?” เป็นแคปชันในไอจี หรือแซวเพื่อนในแชต แต่ลึกๆ แล้ว มันคือเสียงของความรู้สึกที่เราทุกคนเคยมี—ความหวังเล็กๆ ว่าใครสักคนจะมองเห็นเรา “Hello” ของ Lionel Richie คือเพลงที่เริ่มจากคำพูดเล่นๆ แต่กลายเป็นความรู้สึกจริงจัง เป็นเพลงที่ไม่ต้องมีบีตแรง ไม่ต้องมีแร็ปเท่ๆ แค่ประโยคเดียวก็พอจะทำให้ใจสั่น— “Hello… is it me you’re looking for?” และนั่นแหละ คือความโรแมนติกที่ไม่มีวันตกยุค #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=mHONNcZbwDY
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 625 Views 0 Reviews
  • มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI

    เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง

    สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป

    ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่

    ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์
    เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ

    AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว
    ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI

    ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์
    ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    📰 มนุษย์แยกไม่ออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI เรื่องราวนี้เล่าถึงการสำรวจของ Deezer ที่ทำให้โลกดนตรีสะเทือนใจ—เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเพลงที่ฟังนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ผลสำรวจพบว่า 97% ของผู้เข้าร่วมไม่สามารถบอกความแตกต่างได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงที่สร้างโดย AI ยังสามารถขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ได้จริง เช่นกรณีเพลง Walk My Walk ของศิลปิน Breaking Rust ที่ถูกกล่าวขานว่าใช้เทคโนโลยี Generative AI ในการสร้างเสียงร้อง สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชิงเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่เริ่มกังวลว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อาจถูกแทนที่ด้วยอัลกอริทึม หลายคนมองว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำจำนวนมากในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และอาจทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินหายไป ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ AI ในดนตรีก็เปิดโอกาสใหม่ ๆ เช่นการสร้างเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือการช่วยศิลปินทดลองแนวทางใหม่ ๆ โดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่คำถามใหญ่คือ—เราจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความเป็นมนุษย์" ในงานศิลป์หรือไม่ ✅ ผลสำรวจ Deezer พบว่า 97% ของคนแยกไม่ออกว่าเพลงมาจาก AI หรือมนุษย์ ➡️ เพลง Walk My Walk ที่สร้างโดย AI ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ ✅ AI กำลังเพิ่มจำนวนเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว ➡️ ปัจจุบันกว่า 1 ใน 3 ของเพลงที่สตรีมต่อวันเป็นเพลงที่สร้างโดย AI ‼️ ความกังวลเรื่องคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ ⛔ ผู้ฟังบางส่วนเชื่อว่า AI จะทำให้เกิดเพลงคุณภาพต่ำและลดความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/humans-can-no-longer-tell-ai-music-from-the-real-thing-survey
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Humans can no longer tell AI music from the real thing: survey
    Eighty percent of survey respondents wanted fully AI-generated music clearly labelled for listeners.
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก

    การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย

    เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ

    ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ]
    B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ]
    C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ]
    D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ]
    ```

    ลักษณะของนาคาริน

    · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว
    · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม
    · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล

    การสืบสวนเบื้องต้น

    ผลกระทบต่อหมู่บ้าน

    ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ:

    · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล
    · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว
    · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ

    การวิเคราะห์ของหนูดี

    หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที:
    "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย
    แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน
    เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม"

    เบื้องหลังนาคาริน

    ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม

    นาคารินคือลูกผสมระหว่าง:

    · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง
    · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ

    ```python
    class NakarinBackground:
    def __init__(self):
    self.heritage = {
    "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ",
    "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส",
    "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก"
    }

    self.abilities = {
    "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส",
    "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้",
    "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ",
    "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน",
    "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง"
    }
    ```

    เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล

    นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์:

    · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์
    · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ
    · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว

    ปัญหาที่เกิดขึ้น

    ผลกระทบของพลังรั่วไหล

    พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง:

    ```mermaid
    graph LR
    A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ]
    C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง]
    E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ]
    ```

    ความทุกข์ทรมานของนาคาริน

    นาคารินบันทึกความในใจ:
    "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว...
    ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ...
    ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ

    ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง
    แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?"

    กระบวนการช่วยเหลือ

    การเข้าถึงของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน:
    "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด...
    แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ
    การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก"

    เทคนิคการควบคุมพลัง

    ```python
    class SensoryControlTechniques:
    def __init__(self):
    self.meditation = [
    "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ",
    "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก",
    "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ",
    "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น"
    ]

    self.practical = [
    "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง",
    "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน",
    "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง",
    "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ"
    ]
    ```

    การบำบัดด้วยศิลปะ

    หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด:

    · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ
    · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food
    · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง
    ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ
    การฟื้นฟูสมดุล

    การพัฒนาความสามารถใหม่

    นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์:

    · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย
    · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส
    · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ

    การกลับสู่สังคม

    ```mermaid
    graph TB
    A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล]
    B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ]
    C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่]
    D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด]
    ```

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด

    นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น:

    · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ
    · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ

    โครงการเพื่อสังคม

    ```python
    class SensoryProjects:
    def __init__(self):
    self.initiatives = {
    "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ",
    "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้",
    "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ",
    "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม"
    }

    self.collaborations = [
    "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ",
    "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ",
    "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ",
    "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้"
    ]
    ```

    บทเรียนจากคดี

    🪷 สำหรับนาคาริน

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง
    แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ

    และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน...
    คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป"

    สำหรับหนูดี

    "หนูเข้าใจแล้วว่า...
    ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย
    ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร

    และการช่วยเหลือที่แท้จริง
    คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง"

    สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์

    "คดีนี้สอนฉันว่า...
    บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น
    แต่คือสิ่งที่สัมผัส

    และความเข้าใจในความรู้สึก...
    สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล"

    ผลกระทบเชิงบวก

    ความสำเร็จของนาคาริน

    หลังจากเหตุการณ์:

    · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด
    · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด
    · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ

    การค้นพบตัวเอง

    นาคารินกล่าวในที่สุด:
    "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์...
    แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง

    และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน...
    ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน

    บทสรุปแห่งการเข้าใจ

    คำคมจากนาคาริน

    "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ...
    ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด
    เรารู้สึกก่อนเสมอ

    และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ...
    คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง"

    ความสัมพันธ์ใหม่

    นาคารินพบว่าสามารถ:

    · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ
    · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด
    · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม...
    ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ
    ระหว่างผัสสะและความหมาย

    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ...
    เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"

    การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า...
    "The most profound truths are not seen or heard,
    but felt with the heart's own senses
    And in learning to master our senses,
    we learn to master ourselves"
    O.P.K. 🐍 คดีแห่งผัสสะ: เทพลูกผสมนาคาผู้สิ้นสุดความรู้สึก 🌊 การปรากฏตัวของเทพนาคาผู้สูญเสีย 🏮 เหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านริมน้ำ ที่หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อ นาคาริน เทพลูกผสมนาคาปรากฏตัวด้วยสภาพพิการทางผัสสะ ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เทพลูกผสมนาคา] --> B[สูญเสีย<br>การรับรู้ทางผัสสะ] B --> C[พลังผัสสะ<br>รั่วไหลไม่เป็นระเบียบ] C --> D[ส่งผลกระทบ<br>ต่อหมู่บ้านโดยรอบ] D --> E[ร.ต.อ.สิงห์<br>และหนูดีออกสืบ] ``` 🎭 ลักษณะของนาคาริน · รูปร่าง: ชายหนุ่มร่างสูง มีเกล็ดนาคาแทรกตามผิว · ดวงตา: สีเขียวเรืองรองเหมือนหินงาม · พลัง: มีพลังควบคุมผัสสะทั้งห้าแต่กำลังรั่วไหล 🔍 การสืบสวนเบื้องต้น 🕵️ ผลกระทบต่อหมู่บ้าน ร.ต.อ. สิงห์ พบว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบแปลกๆ: · สัมผัส: รู้สึกเย็นยะเยือกหรือร้อนระอุโดยไม่มีเหตุผล · รสชาติ: อาหารรสเปลี่ยนไปชั่วคราว · กลิ่น: ได้กลิ่นประหลาดโดยไม่อาจหาต้นตอ 💫 การวิเคราะห์ของหนูดี หนูดีรู้สึกถึงพลังงานพิเศษทันที: "พ่อคะ...นี้ไม่ใช่พลังงานร้าย แต่คือพลังผัสสะที่กำลังทุกข์ทรมาน เหมือนดนตรีที่ขาดการควบคุม" 🐉 เบื้องหลังนาคาริน 🌌 ต้นกำเนิดแห่งเทพลูกผสม นาคารินคือลูกผสมระหว่าง: · พ่อ: เทพนาคาแห่งแม่น้ำโขง · แม่: มนุษย์หญิงผู้มีความสามารถทางศิลปะ ```python class NakarinBackground: def __init__(self): self.heritage = { "naga_father": "เทพนาคาผู้รักษาพลังผัสสะ", "human_mother": "ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทสัมผัส", "hybrid_nature": "ได้รับพลังผัสสะเหนือมนุษย์แต่ควบคุมยาก" } self.abilities = { "touch_control": "ควบคุมการรับรู้ทางสัมผัส", "taste_manipulation": "เปลี่ยนแปลงรสชาติได้", "sight_enhancement": "การมองเห็นเหนือสามัญ", "hearing_sensitivity": "การได้ยินที่ละเอียดอ่อน", "smell_mastery": "การดมกลิ่นที่ทรงพลัง" } ``` 💔 เหตุการณ์ที่ทำให้พลังรั่วไหล นาคารินประสบอุบัติเหตุทางอารมณ์: · ถูกปฏิเสธ จากทั้งเผ่านาคาและมนุษย์ · รู้สึกโดดเดี่ยว กับพลังที่ไม่มีใครเข้าใจ · พยายามปิดกั้น ผัสสะของตัวเองจนพลังรั่ว 🌪️ ปัญหาที่เกิดขึ้น 🎯 ผลกระทบของพลังรั่วไหล พลังผัสสะของนาคารินส่งผลต่อสิ่งรอบข้าง: ```mermaid graph LR A[พลังสัมผัสรั่วไหล] --> B[วัตถุรู้สึก<br>เย็นหรือร้อนผิดปกติ] C[พลังรสชาตirรั่วไหล] --> D[อาหารมีรส<br>เปลี่ยนแปลง] E[พลังการได้ยินรั่วไหล] --> F[ได้ยินเสียง<br>ความถี่แปลกๆ] ``` 😵 ความทุกข์ทรมานของนาคาริน นาคารินบันทึกความในใจ: "ทุกสัมผัสเหมือนมีดกรีดผิว... ทุกรสชาติเหมือนยาพิษ... ทุกกลิ่นเหมือนอากาศเป็นพิษ ฉันอยากหนีจากร่างกายของตัวเอง แต่จะหนีไปได้ที่ไหน?" 💞 กระบวนการช่วยเหลือ 🕊️ การเข้าถึงของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถพิเศษสื่อสารกับนาคาริน: "เราเข้าใจว่าคุณเจ็บปวด... แต่การปิดกั้นผัสสะไม่ใช่คำตอบ การเรียนรู้ที่จะควบคุมต่างหากคือทางออก" 🌈 เทคนิคการควบคุมพลัง ```python class SensoryControlTechniques: def __init__(self): self.meditation = [ "การหายใจรับรู้ผัสสะอย่างมีสติ", "การแยกแยะผัสสะภายในและภายนอก", "การสร้างขอบเขตพลังงานผัสสะ", "การปล่อยผัสสะที่ไม่จำเป็น" ] self.practical = [ "การใช้ศิลปะเป็นช่องทางปล่อยพลัง", "การสร้างวัตถุดูดซับพลังผัสสะส่วนเกิน", "การฝึกFocusผัสสะทีละอย่าง", "การเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ผัสสะ" ] ``` 🎨 การบำบัดด้วยศิลปะ หนูดีแนะนำให้นาคารินใช้ศิลปะช่วยบำบัด: · ประติมากรรม: ใช้พลังสัมผัสสร้างงานศิลปะ · การทำอาหาร: ใช้พลังรสชาติสร้างอาหารบำบัด Oganic food · ดนตรี: ใช้พลังการได้ยินสร้างบทเพลง ดีด สีตีเป่าเขย่า เคาะ 🏥 การฟื้นฟูสมดุล 🌟 การพัฒนาความสามารถใหม่ นาคารินเรียนรู้ที่จะใช้พลังอย่างสร้างสรรค์: · การวินิจฉัยโรค: ใช้พลังสัมผัสตรวจหาร่างกาย · การบำบัดรสชาติ: ช่วยผู้ที่มีปัญหาการรับรส · ศิลปะเพื่อการบำบัด: สร้างงานศิลปะที่เยียวยาผัสสะ 💫 การกลับสู่สังคม ```mermaid graph TB A[นาคาริน<br>เริ่มควบคุมพลังได้] --> B[พลังหยุด<br>รั่วไหล] B --> C[ชาวบ้าน<br>กลับมาใช้ชีวิตปกติ] C --> D[นาคาริน<br>ได้รับบทบาทใหม่] D --> E[เป็นผู้เชี่ยวชาญ<br>ด้านผัสสะบำบัด] ``` 🏛️ บทบาทใหม่ในสังคม 🎓 ผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด นาคารินได้รับตำแหน่งเป็น: · ที่ปรึกษาด้านประสาทสัมผัส ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะบำบัด สำหรับผู้มีพลังพิเศษ · ผู้พัฒนาวิธีการ ควบคุมพลังผัสสะ 🌍 โครงการเพื่อสังคม ```python class SensoryProjects: def __init__(self): self.initiatives = { "sensory_therapy_center": "ศูนย์บำบัดด้วยผัสสะสำหรับผู้ไฮเปอร์เซนซิทีฟ", "art_for_sensory_balance": "ศิลปะเพื่อสร้างสมดุลทางการรับรู้", "sensory_education": "การศึกษาเกี่ยวกับผัสสะสำหรับเด็กพิเศษ", "cultural_preservation": "อนุรักษณ์ศิลปะการรับรู้แบบดั้งเดิม" } self.collaborations = [ "หนูดี: พัฒนาการรับรู้พลังงานผ่านผัสสะ", "เณรพุทธ: ศิลปะการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ", "นิทรา: ศิลปะแห่งอารมณ์และผัสสะ", "อสูรเฒ่า: ภาษาบูรพากับการรับรู้" ] ``` 📚 บทเรียนจากคดี 🪷 สำหรับนาคาริน "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นลูกผสมหาใช่ข้อบกพร่อง แต่คือความสามารถพิเศษอีกแบบ และการมีผัสสะที่ละเอียดอ่อน... คือของขวัญที่ไม่ใช่คำสาป" 💫 สำหรับหนูดี "หนูเข้าใจแล้วว่า... ทุกพลังมีทั้งด้านสร้างสรรค์และทำลาย ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกใช้อย่างไร และการช่วยเหลือที่แท้จริง คือการช่วยให้เขาค้นพบวิธีใช้พลังของตัวเอง" 👮 สำหรับ ร.ต.อ. สิงห์ "คดีนี้สอนฉันว่า... บางครั้งปัญหาไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่สัมผัส และความเข้าใจในความรู้สึก... สำคัญไม่น้อยกว่าความเข้าใจในเหตุผล" 🌈 ผลกระทบเชิงบวก 🏆 ความสำเร็จของนาคาริน หลังจากเหตุการณ์: · นาคาริน กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผัสสะบำบัด · หมู่บ้าน ได้รับการพัฒนาด้านศิลปะและการบำบัด · สถาบัน มีหลักสูตรเกี่ยวกับการควบคุมพลังผัสสะ 💝 การค้นพบตัวเอง นาคารินกล่าวในที่สุด: "ฉันเคยคิดว่าต้องเลือกระหว่างเป็นนาคาหรือมนุษย์... แต่ความจริงคือฉันสามารถเป็นทั้งสองอย่าง และพลังผัสสะที่เคยทำร้ายฉัน... ตอนนี้กลายเป็นเครื่องมือช่วยเหลือผู้คน 🎯 บทสรุปแห่งการเข้าใจ 🌟 คำคมจากนาคาริน "ผัสสะคือภาษาแรกของจิตวิญญาณ... ก่อนจะมีคำพูด ก่อนจะมีความคิด เรารู้สึกก่อนเสมอ และการเรียนรู้ภาษาของผัสสะ... คือการเรียนรู้ภาษาของตัวเอง" 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ นาคารินพบว่าสามารถ: · เชื่อมต่อ กับผู้อื่นผ่านผัสสะ · เข้าใจ ความรู้สึกที่ไม่มีคำพูด · ช่วยเหลือ ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผัสสะเช่นเขา --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "เราทุกคนล้วนเป็นเทพลูกผสม... ผสมระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ ระหว่างผัสสะและความหมาย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของผัสสะ... เราก็เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของหัวใจ"🐍✨ การเดินทางของนาคารินสอนเราว่า... "The most profound truths are not seen or heard, but felt with the heart's own senses And in learning to master our senses, we learn to master ourselves"🌈
    0 Comments 0 Shares 631 Views 0 Reviews
  • S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP

    ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน

    👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP
    S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น

    ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone.

    พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้

    รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013).

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้
    S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014.

    S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา

    “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP
    เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998

    มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น

    เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ.

    Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก
    กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    🚩💿 S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP ⌛ ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน 👩‍👧‍👦👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone. 🌏 พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้ 🥇🏆 รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013). ⏯️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ 🏁 S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014. S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา 🎶🎶 “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998 🎥 มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น 📼 เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ. 🍾 🏆 Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    1 Comments 0 Shares 760 Views 0 Reviews
  • “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้”

    ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

    Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software)

    บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ

    ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

    ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา
    ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง
    เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย”
    มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน
    การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง

    การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง
    เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4
    ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว

    โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ
    Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง
    Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง
    Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery
    Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ
    แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส
    การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ

    https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    🧠 “ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลเป็นภาพลวงตา — ถ้าไม่โฮสต์เอง คุณแค่เช่าใช้” ลองนึกภาพว่าคุณซื้อหนัง เพลง หรือเกมดิจิทัลมาเก็บไว้ แต่วันหนึ่งมันหายไปจากคลังโดยไม่มีคำอธิบาย…นั่นคือความจริงของโลกดิจิทัลในปัจจุบันที่บทความนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน Theena Kumaragurunathan เล่าประสบการณ์ส่วนตัวจากยุค Napster สู่ยุคสตรีมมิ่ง และตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของอะไรอยู่จริง ๆ หรือ?” เขาเคยสะสมเพลงกว่า 500GB จากการดาวน์โหลดและซื้อโดยตรงจากศิลปินแบบไม่มี DRM ก่อนจะตั้งเซิร์ฟเวอร์ Plex และ Jellyfin เพื่อโฮสต์เองในช่วงโควิด ซึ่งนำเขาเข้าสู่โลกของ Linux และ FOSS (Free and Open Source Software) บทความชี้ให้เห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในปัจจุบันไม่ได้ขาย “เนื้อหา” แต่ขาย “สิทธิ์ในการเข้าถึง” ที่สามารถถูกเพิกถอน เปลี่ยนแปลง หรือหายไปได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ ทางออกคือ “การโฮสต์เอง” ซึ่งหมายถึงการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบเปิด ควบคุมกุญแจเข้ารหัส และจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณยังสามารถเข้าถึงเนื้อหานั้นได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ✅ ความเป็นเจ้าของเนื้อหาดิจิทัลในปัจจุบันเป็นภาพลวงตา ➡️ ผู้ใช้ไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ แต่เป็นผู้เช่าสิทธิ์ในการเข้าถึง ➡️ เนื้อหาสามารถหายไปจากคลังได้โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ✅ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้โมเดล “การให้สิทธิ์” ไม่ใช่ “การขาย” ➡️ มีข้อจำกัดจาก DRM, region lock, และนโยบายการเพิกถอน ➡️ การเปลี่ยนแปลงลิขสิทธิ์ทำให้เนื้อหาถูกลบหรือเปลี่ยนแปลง ✅ การโฮสต์เองคือทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นเจ้าของจริง ➡️ เก็บไฟล์ในรูปแบบเปิด เช่น FLAC, EPUB, MP4 ➡️ ควบคุมกุญแจเข้ารหัสและเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น Plex, Jellyfin, Git, Emacs เพื่อจัดการคลังส่วนตัว ✅ โมเดลการจัดการเนื้อหาที่แนะนำ ➡️ Local-first: ไฟล์สำคัญที่เก็บไว้แบบออฟไลน์พร้อมสำรอง ➡️ Sync-first: เอกสารที่ใช้งานร่วมกันแต่มีสำเนาในเครื่อง ➡️ Self-hosted: บริการที่ควบคุมเอง เช่น note system หรือ photo gallery ➡️ Cloud rentals: เนื้อหาที่ดูแล้วปล่อยผ่าน เช่น หนังใหม่หรือแอปเฉพาะกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโฮสต์เองช่วยลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่และเพิ่มความเป็นอิสระ ➡️ แนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญา FOSS ที่เน้นการควบคุมและความโปร่งใส ➡️ การใช้ open format และ backup routine เป็นหัวใจของการรักษาความเป็นเจ้าของ https://news.itsfoss.com/digital-content-ownership-illusion/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Ownership of Digital Content Is an Illusion—Unless You Self‑Host
    Prices are rising across Netflix, Spotify, and their peers, and more people are quietly returning to the oldest playbook of the internet: piracy. Is the golden age of streaming over?
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • โขนพระราชทาน สนองพระราชเสาวนีย์ พระพันปีหลวง : คนเคาะข่าว 5-11-68

    ร่วมสนทนา
    -รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้กำกับการแสดงโขนมูลนิธิศิลปาชีพฯ
    -คุณประเมษฐ์ บุณยะชัย (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
    -คุณรัจนา พวงประยงค์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (ละครนาง)
    -คุณวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (โขนลิง)
    และ นักแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี”

    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=eBcQHlxzmuE
    โขนพระราชทาน สนองพระราชเสาวนีย์ พระพันปีหลวง : คนเคาะข่าว 5-11-68 ร่วมสนทนา -รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้กำกับการแสดงโขนมูลนิธิศิลปาชีพฯ -คุณประเมษฐ์ บุณยะชัย (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ -คุณรัจนา พวงประยงค์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (ละครนาง) -คุณวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (โขนลิง) และ นักแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ https://www.youtube.com/watch?v=eBcQHlxzmuE
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • ศิลปินแห่งเชี้ย เฒ่า3กีบ ตัดพ้อเครื่องสูบน้ำปากคลองรังสิตเสียพร้อมกันสองตัว ไม่มีโต๊ะนั่งกินเหล้า เชี้ยอย่างมรึงก็ลองคาบเหล้าไปแดกในน้ำบ้างก็ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ศิลปินแห่งเชี้ย เฒ่า3กีบ ตัดพ้อเครื่องสูบน้ำปากคลองรังสิตเสียพร้อมกันสองตัว ไม่มีโต๊ะนั่งกินเหล้า เชี้ยอย่างมรึงก็ลองคาบเหล้าไปแดกในน้ำบ้างก็ได้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • "When Stick Figures Fought” – เมื่อเส้นสายเรียบง่ายกลายเป็นสนามรบสุดมันส์

    ในช่วงต้นยุค 2000s โลกออนไลน์เต็มไปด้วยแอนิเมชันที่ใช้ตัวละครแบบ “Stick Figure” หรือคนไม้ขีด—เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ที่ดุเดือด บทความนี้เล่าย้อนถึงยุคทองของแอนิเมชันประเภทนี้ โดยเฉพาะผลงานจากนักสร้างชื่อดังอย่าง Alan Becker ผู้สร้างซีรีส์ “Animator vs. Animation” ที่กลายเป็นไวรัลระดับโลก

    แอนิเมชันเหล่านี้มักใช้โปรแกรม Flash และถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์อย่าง Newgrounds หรือ YouTube โดยมีจุดเด่นคือการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล การต่อสู้ที่สร้างสรรค์ และการใช้มุมกล้องแบบภาพยนตร์ แม้ตัวละครจะไม่มีรายละเอียด แต่กลับสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความมันส์ได้อย่างน่าทึ่ง

    บทความยังกล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี จาก Flash สู่ HTML5 และการที่ศิลปินรุ่นใหม่ยังคงสืบทอดสไตล์นี้ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เช่น YouTube Shorts และ TikTok

    ยุคทองของ Stick Figure Animation
    เริ่มต้นในช่วงต้นยุค 2000s บนแพลตฟอร์ม Flash
    เว็บไซต์อย่าง Newgrounds เป็นแหล่งรวมผลงานยอดนิยม

    ผลงานเด่นที่สร้างปรากฏการณ์
    “Animator vs. Animation” โดย Alan Becker
    การต่อสู้ระหว่างตัวละครกับผู้สร้างในคอมพิวเตอร์

    จุดเด่นของแอนิเมชันแบบ Stick Figure
    เคลื่อนไหวลื่นไหลแม้จะใช้ตัวละครเรียบง่าย
    ใช้มุมกล้องและจังหวะการต่อสู้แบบภาพยนตร์
    สื่อสารอารมณ์ได้แม้ไม่มีใบหน้า

    การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี
    จาก Flash สู่ HTML5 และแพลตฟอร์มใหม่
    YouTube Shorts และ TikTok เป็นพื้นที่ใหม่ของศิลปิน

    วัฒนธรรมย่อยของโลกแอนิเมชัน
    มีชุมชนผู้สร้างและผู้ชมที่เหนียวแน่น
    กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่

    https://animationobsessive.substack.com/p/when-stick-figures-fought
    📰 "When Stick Figures Fought” – เมื่อเส้นสายเรียบง่ายกลายเป็นสนามรบสุดมันส์ ในช่วงต้นยุค 2000s โลกออนไลน์เต็มไปด้วยแอนิเมชันที่ใช้ตัวละครแบบ “Stick Figure” หรือคนไม้ขีด—เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ที่ดุเดือด บทความนี้เล่าย้อนถึงยุคทองของแอนิเมชันประเภทนี้ โดยเฉพาะผลงานจากนักสร้างชื่อดังอย่าง Alan Becker ผู้สร้างซีรีส์ “Animator vs. Animation” ที่กลายเป็นไวรัลระดับโลก แอนิเมชันเหล่านี้มักใช้โปรแกรม Flash และถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์อย่าง Newgrounds หรือ YouTube โดยมีจุดเด่นคือการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล การต่อสู้ที่สร้างสรรค์ และการใช้มุมกล้องแบบภาพยนตร์ แม้ตัวละครจะไม่มีรายละเอียด แต่กลับสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความมันส์ได้อย่างน่าทึ่ง บทความยังกล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี จาก Flash สู่ HTML5 และการที่ศิลปินรุ่นใหม่ยังคงสืบทอดสไตล์นี้ผ่านแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เช่น YouTube Shorts และ TikTok ✅ ยุคทองของ Stick Figure Animation ➡️ เริ่มต้นในช่วงต้นยุค 2000s บนแพลตฟอร์ม Flash ➡️ เว็บไซต์อย่าง Newgrounds เป็นแหล่งรวมผลงานยอดนิยม ✅ ผลงานเด่นที่สร้างปรากฏการณ์ ➡️ “Animator vs. Animation” โดย Alan Becker ➡️ การต่อสู้ระหว่างตัวละครกับผู้สร้างในคอมพิวเตอร์ ✅ จุดเด่นของแอนิเมชันแบบ Stick Figure ➡️ เคลื่อนไหวลื่นไหลแม้จะใช้ตัวละครเรียบง่าย ➡️ ใช้มุมกล้องและจังหวะการต่อสู้แบบภาพยนตร์ ➡️ สื่อสารอารมณ์ได้แม้ไม่มีใบหน้า ✅ การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ➡️ จาก Flash สู่ HTML5 และแพลตฟอร์มใหม่ ➡️ YouTube Shorts และ TikTok เป็นพื้นที่ใหม่ของศิลปิน ✅ วัฒนธรรมย่อยของโลกแอนิเมชัน ➡️ มีชุมชนผู้สร้างและผู้ชมที่เหนียวแน่น ➡️ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่ https://animationobsessive.substack.com/p/when-stick-figures-fought
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม

    AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย.

    ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก

    จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด

    Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม

    แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม

    แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น

    นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน

    AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย
    เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา
    ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด
    ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI
    EA ร่วมมือกับ Stability AI
    Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse
    Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง

    ความกังวลจากนักพัฒนาเกม
    กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI
    ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก
    ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI

    ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น
    ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง
    นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
    การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน

    AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    🎮 นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย. ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม 😨 แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน ✅ AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย ➡️ เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา ➡️ ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล ✅ บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI ➡️ EA ร่วมมือกับ Stability AI ➡️ Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse ➡️ Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง ‼️ ความกังวลจากนักพัฒนาเกม ⛔ กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI ⛔ ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก ⛔ ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI ‼️ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ⛔ ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง ⛔ นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ⛔ การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?” 🎮✨ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Video game creators fear AI could grab the controller
    Generative artificial intelligence models capable of dreaming up ultra-realistic characters and virtual universes could make for cheaper, better video games in future, but the emerging technology has artists and developers on edge.
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี

    ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่

    Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง

    มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง

    มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง

    นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง

    และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI
    ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง
    แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
    ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์
    ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์

    ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง
    ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก
    ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด
    ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้

    Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories”
    เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้
    ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน
    เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน
    สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้
    ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล
    ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง
    ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป
    อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ

    ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI
    มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI
    มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas

    https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    🧠 Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่ Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ➡️ ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง ➡️ แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ➡️ ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์ ➡️ ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ✅ ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง ➡️ ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก ➡️ ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ➡️ ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้ ✅ Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories” ➡️ เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้ ➡️ ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน ➡️ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้ ⛔ ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง ‼️ ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล ⛔ ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง ⛔ ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ ‼️ ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI ⛔ มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI ⛔ มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • “คลิปเดียวเปลี่ยนชีวิต: โลกใหม่ของการตลาดไวรัลยุค MrBeast”

    ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ MrBeast ยูทูบเบอร์อันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ติดตามกว่า 448 ล้านคน จะมีกองทัพ “คลิปเปอร์” หรือผู้ตัดต่อวิดีโอสั้นกว่า 23,000 คน คอยสร้างคลิปไวรัลจากวิดีโอยาวของเขา แล้วปล่อยลง TikTok, Instagram และ YouTube Shorts เพื่อดึงผู้ชมกลับไปยังช่องหลัก

    บริษัท Clipping ที่ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี คือผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้ โดยจ่ายเงินให้คลิปเปอร์ตั้งแต่ 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ไปจนถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านวิว พร้อมเก็บค่าสมาชิกจากลูกค้ารายเดือนสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์

    คลิปเปอร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัดต่อวิดีโอธรรมดา แต่ต้อง “จับจังหวะไวรัล” ภายใน 1-2 วินาทีแรกของคลิป เช่น การใส่คำโปรยตลก หรือจับช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวิดีโอมาใช้

    สาระเพิ่มเติม: กลยุทธ์นี้คล้ายกับการซื้อโฆษณาในยุคก่อน แต่เปลี่ยนจากทีวีหรือวิทยุ มาเป็น “พื้นที่บนหน้าจอมือถือ” ของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีพลังในการเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่มเป้าหมาย

    MrBeast ใช้คลิปเปอร์กว่า 23,000 คนช่วยโปรโมตวิดีโอ
    คลิปเปอร์ตัดวิดีโอสั้นจากคลิปหลักแล้วโพสต์ลงโซเชียล
    ได้ค่าตอบแทนตามยอดวิว เช่น 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว

    บริษัท Clipping คือผู้ให้บริการเบื้องหลัง
    ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี
    มีลูกค้าระดับศิลปินดัง เช่น Offset, Ice Spice, Jake Paul

    กลยุทธ์ “Clipping” คือการตลาดยุคใหม่
    เปลี่ยนจากโฆษณาแบบเดิมเป็นการซื้อพื้นที่ในฟีดโซเชียล
    ใช้คลิปไวรัลเพื่อดึงผู้ชมไปยังแพลตฟอร์มหลัก เช่น YouTube, Spotify

    รายได้ของ Clipping ปีนี้สูงถึง 7.7 ล้านดอลลาร์
    ส่วนใหญ่รับเป็นคริปโต
    มีแผนขยายบริการไปยังเพลงเก่าและศิลปินหน้าใหม่ในปี 2026

    ความท้าทายของการตลาดแบบ Clipping
    ความเสี่ยงด้านคุณภาพของเนื้อหาเมื่อใช้แรงงานจำนวนมาก
    การควบคุมเนื้อหาที่อาจผิดจริยธรรมหรือสร้างความเข้าใจผิด
    ความอิ่มตัวของผู้ชมต่อคลิปไวรัลที่ซ้ำซาก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/paid-armies-of-clippers-boost-internet-stars-like-mrbeast
    🎬📱 “คลิปเดียวเปลี่ยนชีวิต: โลกใหม่ของการตลาดไวรัลยุค MrBeast” ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จของ MrBeast ยูทูบเบอร์อันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ติดตามกว่า 448 ล้านคน จะมีกองทัพ “คลิปเปอร์” หรือผู้ตัดต่อวิดีโอสั้นกว่า 23,000 คน คอยสร้างคลิปไวรัลจากวิดีโอยาวของเขา แล้วปล่อยลง TikTok, Instagram และ YouTube Shorts เพื่อดึงผู้ชมกลับไปยังช่องหลัก บริษัท Clipping ที่ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี คือผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้ โดยจ่ายเงินให้คลิปเปอร์ตั้งแต่ 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ไปจนถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านวิว พร้อมเก็บค่าสมาชิกจากลูกค้ารายเดือนสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์ คลิปเปอร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัดต่อวิดีโอธรรมดา แต่ต้อง “จับจังหวะไวรัล” ภายใน 1-2 วินาทีแรกของคลิป เช่น การใส่คำโปรยตลก หรือจับช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวิดีโอมาใช้ 💡 สาระเพิ่มเติม: กลยุทธ์นี้คล้ายกับการซื้อโฆษณาในยุคก่อน แต่เปลี่ยนจากทีวีหรือวิทยุ มาเป็น “พื้นที่บนหน้าจอมือถือ” ของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีพลังในการเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่มเป้าหมาย ✅ MrBeast ใช้คลิปเปอร์กว่า 23,000 คนช่วยโปรโมตวิดีโอ ➡️ คลิปเปอร์ตัดวิดีโอสั้นจากคลิปหลักแล้วโพสต์ลงโซเชียล ➡️ ได้ค่าตอบแทนตามยอดวิว เช่น 50 ดอลลาร์ต่อ 100,000 วิว ✅ บริษัท Clipping คือผู้ให้บริการเบื้องหลัง ➡️ ก่อตั้งโดย Anthony Fujiwara วัย 23 ปี ➡️ มีลูกค้าระดับศิลปินดัง เช่น Offset, Ice Spice, Jake Paul ✅ กลยุทธ์ “Clipping” คือการตลาดยุคใหม่ ➡️ เปลี่ยนจากโฆษณาแบบเดิมเป็นการซื้อพื้นที่ในฟีดโซเชียล ➡️ ใช้คลิปไวรัลเพื่อดึงผู้ชมไปยังแพลตฟอร์มหลัก เช่น YouTube, Spotify ✅ รายได้ของ Clipping ปีนี้สูงถึง 7.7 ล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนใหญ่รับเป็นคริปโต ➡️ มีแผนขยายบริการไปยังเพลงเก่าและศิลปินหน้าใหม่ในปี 2026 ‼️ ความท้าทายของการตลาดแบบ Clipping ⛔ ความเสี่ยงด้านคุณภาพของเนื้อหาเมื่อใช้แรงงานจำนวนมาก ⛔ การควบคุมเนื้อหาที่อาจผิดจริยธรรมหรือสร้างความเข้าใจผิด ⛔ ความอิ่มตัวของผู้ชมต่อคลิปไวรัลที่ซ้ำซาก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/29/paid-armies-of-clippers-boost-internet-stars-like-mrbeast
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Paid armies of 'clippers' boost Internet stars like MrBeast
    It's hard to imagine that MrBeast, the most popular YouTuber, needs help getting and keeping fans.
    0 Comments 0 Shares 409 Views 0 Reviews
  • OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี

    OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้”

    OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ

    เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน

    เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น:
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว
    สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ

    แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI

    จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง
    สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง
    รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์
    ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ

    ความร่วมมือกับ Juilliard
    นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI
    เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง
    ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย

    การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม
    เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่
    สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ

    คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี
    อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่
    ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์
    มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง

    https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    🎼 OpenAI จับมือ Juilliard สร้างเครื่องมือ AI แต่งเพลงจากข้อความ — เตรียมพลิกโฉมวงการดนตรี OpenAI กำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างเพลงด้วย AI ที่สามารถแต่งเพลงจากข้อความหรือเสียง โดยร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard School เพื่อฝึกโมเดลด้วยข้อมูลระดับมืออาชีพ เป้าหมายคือการสร้างเพลงคุณภาพสูงจากคำอธิบายง่าย ๆ เช่น “อยากได้เพลงเศร้าแบบเปียโน” หรือ “จังหวะสนุกสไตล์เร็กเก้” OpenAI เคยทดลองสร้างเพลงด้วย AI มาแล้วในโปรเจกต์ MuseNet และ Jukebox แต่ครั้งนี้กลับมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าเดิม โดยใช้โมเดลมัลติโหมดที่สามารถรับคำสั่งเป็นข้อความหรือเสียง แล้วสร้างเพลงที่ตรงกับอารมณ์และสไตล์ที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ OpenAI ได้ร่วมมือกับนักเรียนจาก Juilliard ซึ่งเป็นโรงเรียนดนตรีระดับโลก โดยให้นักเรียนช่วย “annotate” หรือใส่คำอธิบายให้กับโน้ตเพลง เพื่อให้ AI เข้าใจโครงสร้างดนตรี เครื่องดนตรี และอารมณ์ของแต่ละท่อน เครื่องมือนี้อาจถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น: 🎵 สร้างเพลงประกอบวิดีโอ YouTube หรือโฆษณา 🎵 เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่แล้ว 🎵 สร้างเพลงประกอบเกมหรือพอดแคสต์แบบอัตโนมัติ แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเครื่องมือนี้อาจถูกผนวกเข้ากับ ChatGPT หรือ Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสร้างวิดีโอของ OpenAI ✅ จุดเด่นของเครื่องมือ AI สร้างเพลง ➡️ สร้างเพลงจากข้อความหรือเสียงได้โดยตรง ➡️ รองรับการกำหนดอารมณ์ จังหวะ และสไตล์ ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Juilliard เพื่อฝึกโมเดลให้เข้าใจดนตรีระดับมืออาชีพ ✅ ความร่วมมือกับ Juilliard ➡️ นักเรียนช่วยใส่คำอธิบายให้โน้ตเพลงเพื่อฝึก AI ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการเข้าใจโครงสร้างและอารมณ์ของเพลง ➡️ ผสานความรู้ดนตรีคลาสสิกกับเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ การใช้งานที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ➡️ สร้างเพลงประกอบวิดีโอ โฆษณา หรือเกม ➡️ เติมเสียงดนตรีให้กับเสียงร้องที่มีอยู่ ➡️ สร้างเพลงแบบอัตโนมัติสำหรับครีเอเตอร์อิสระ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับ AI ดนตรี ⛔ อาจเกิดปัญหาลิขสิทธิ์หาก AI เลียนแบบเพลงที่มีอยู่ ⛔ ศิลปินบางคนกังวลว่า AI อาจลดคุณค่าของงานสร้างสรรค์ ⛔ มีกรณีที่ผู้ไม่หวังดีใช้ AI สร้างเพลงปลอมเพื่อหารายได้จากสตรีมมิ่ง https://securityonline.info/openai-is-developing-an-ai-music-generator-with-help-from-juilliard/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI is Developing an AI Music Generator with Help from Juilliard
    OpenAI is reportedly developing a text/audio-to-music AI generator and is collaborating with students from The Juilliard School to train its models.
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
    เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี
    ========================================
    .
    โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า...
    .
    "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"...
    .
    "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"...
    .
    "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้"
    .
    โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม
    .
    แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้)
    รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่
    .
    .
    ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่..
    - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
    - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
    - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
    - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด
    - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน)
    - บริษัท พีที พลัส จำกัด
    - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ)
    - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด
    .
    ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง
    ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้
    .
    ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก
    .
    ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่
    .
    ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น
    .
    ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน
    .
    ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง
    .
    ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน
    .
    ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย
    .
    ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา
    .
    ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา
    .
    ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย
    .
    ============================================
    สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    ============================================
    ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่
    https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack...
    (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค)
    -------------------------------------------------------------
    เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/
    -------------------------------------------------------------
    ข้อมูลทั้งหมดของโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี สำหรับสื่อมวลชน (Press Kit)
    https://drive.google.com/.../1o0bROjNZGeM20GDkzGgiNBtVh4g...
    .
    สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่...
    .
    Spotify
    https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE
    .
    ============================================
    รักพระพันปี ร่วมกันเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
    ข่าวประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับโครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ======================================== . โครงการบทเพลงเทิดพระเกียรติ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี เกิดขึ้นจากการริเริ่มของสมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมป์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินกลุ่มนักประพันธ์เพลงจิตอาสา และคณะบุคคลผู้มีความจงรักภักดี นำโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรีปี พ.ศ.2560 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์และจัดทำอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรติถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้น โดยมีจุดประสงค์นอกจากเพื่อเทิดพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการนำเสนอบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันซาบซึ้งประทับใจและเป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทยเกี่ยวกับพระองค์ท่านจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ บทเพลง ในการนี้ พงศ์พรหม หัวหน้าโครงการที่ดูแลในส่วนของการสร้างสรรค์บทเพลงได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานว่า... . "ผมจะมีความคุ้นเคยกับศิลปินนักร้องกลุ่มหนึ่งที่ถวายงานการแสดงให้สมเด็จพระพันปีฯ มานานนับสิบปี อาทิเช่น คุณอิสริยา คูประเสริฐ คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ พันเอกนายแพทย์วิภู กำเหนิดดี คุณอภิภู โสรพิมาย.. เรามักสนทนากันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระพันปีท่านไม่มีเพลงของพระองค์ท่านให้นึกถึงได้เลย เราก็ช่วยกันคิดว่ามีเพลงอะไรบ้างนะที่เราพอจะคุ้นเคย ก็นึกไม่ออก เราก็เลยเอ่ยปากตั้งใจกันไว้ว่าสักวันเมื่อมีโอกาสอำนวยเรามาช่วยกันทำเพลงถวายพระองค์ท่านสักชุดหนึ่งดีไหม ทุกคนก็เห็นว่าดี ก็ลั่นวาจากันไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว พ.ศ. 2565 เป็นปีที่สมเด็จพระพันปีหลวงฯ ท่านจะมีพระชนมายุครบ 90 พรรษา ผมก็คิดว่านี่แหละที่เป็นโอกาสที่ดี ก็เลยนัดมาเจอกันแล้วเริ่มงานกันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 โดยตั้งใจว่าต้องทำให้เสร็จสองเพลงก่อน ให้ทันวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ก็มีเพลงแรกชื่อ "เพลงไหมแพรวา" คุณดลชัย บุณยะรัตเวช ขับร้อง อีกเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" คุณกันยารัตน์ กุยสุวรรณ ขับร้อง ก็ทำกันเสร็จทันออกมาให้ได้ฟังกันในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีที่แล้ว จากนั้นเราก็แต่งเพลงเพิ่ม มีนักร้องมาร่วมอีกหลายคน อาทิ คุณสุนทรี เวชานนท์ คุณปาน ธนพร แวกประยูร ม.ล.วันรัชดา วรวุฒิ กลุ่มนักร้องเยาวชนจากว๊อยซ์อคาเดมีหกคน.. ได้ทำการบันทึกเสียงมาเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นครบทั้ง 10 เพลงเมื่อเดือนมกราคม 2566 ต้นปีนี้เอง โดยที่ศิลปินทุกคนไม่ว่าจะขับร้องหรือเล่นดนตรี รวมทั้งนักแต่งเพลงที่มาช่วยกันทำงานทุกคน ต่างมาร่วมกันทำงานนี้ถวายด้วยจิตอาสา ไม่มีใครคิดค่าทำงานใดๆ ทั้งสิ้น"... . "แต่แน่นอนว่าการทำงานโครงการขนาดนี้ย่อมมีค่าใช้จ่าย ในขั้นแรกก็มีเพื่อนๆ ที่มีความจงรักภักดีสองสามท่านช่วยกันสนับสนุนให้งานเริ่มดำเนินไปได้ ต่อมาเนื่องจากผมเป็นนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ผมนำโครงการไปปรึกษากับเพื่อนนักเรียนเก่าราชวิทย์ด้วยกัน คือ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ก็เลยได้สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาสนับสนุนงบประมาณในขั้นตอนการบันทึกเสียง ประสานงานหาผู้สนับสนุนในส่วนของห้องบันทึกเสียง การผลิตมิวสิควิดิโอ การผลิตแพคเกจ จนกระทั่งกระบวนการสร้างสรรค์ทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้น"... . "เมื่อผลงานทั้งหมดบันทึกเสียงเสร็จ ผมได้นำโครงการไปเรียนปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่อีกสองท่านว่าจะทำการเผยแพร่โครงการออกไปอย่างไรบ้าง ท่านแรกคือคุณสมยศ เกียรติอร่ามกุล ผู้บริหารท่านหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และอีกท่านคือ คุณประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจะทำการผลิตสารคดีเพลงจำนวนหกเรื่อง และละครเทิดพระเกียรติอีกสามเรื่อง โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมจะรับผิดชอบในการดูแลและเผยแพร่คอนเท้นท์ ประชาสัมพันธ์ทางภาครัฐและสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองและถวายพระพรในช่วงวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 12 สิงหาคม 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้" . โครงการอัลบั้มบทเพลงเทิดพระเกียรตินี้ จะทำการผลิตออกมาในรูปของแพคเกจที่ประณีตสวยงามสมพระเกียรติ กล่องบรรจุใช้กระดาษรีไซเคิลของไทยและหมึกถั่วเหลืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในแพคเกจประกอบไปด้วยภาพวาดปกพระฉายาสาทิสลักษณ์โดยศิลปินทัศนศิลป์ นิติกร กรัยวิเชียร โปสการ์ดภาพวาดพระฉายาสาทิสลักษณ์ โดยศิลปินทัศนศิลป์ สุวิทย์ ใจป้อม จำนวน 10 ภาพ ภาพประกอบด้านในโดยศิลปิน ปันนรัตน์ บวรภัคพาณิช และเครดิตการ์ดยูเอสบีขนาดความจุ 16 กิกาไบ๊ต์ ท่ีบรรจุไฟล์เพลงรายละเอียดสูงทั้งสิบเพลง ทั้งแบบเพลงเต็มและแบ๊คกิ้งแทร็ค ไฟล์มิวสิควิดิโอขนาดฟูลเอชดีทั้งสิบเพลง และข้อมูลของบทเพลงในอัลบั้ม . แพคเกจอัลบั้มนี้จะไม่มีวางจำหน่าย แต่จะเผยแพร่ผ่านทางกิจกรรมที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้าเท่านั้น ผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์บทเพลงได้ฟรีผ่านทางเฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ (หรือตามลิ๊งค์ที่อยู่ล่างสุดในโพสนี้) รักพระพันปี กรุณาช่วยกันกดไล๊ค์ กดแชร์ ร่วมกันเผยแพร่ . . ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของโครงการที่ให้ความอนุเคราะห์จนโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปีนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ได้แก่.. - สมาคมนักเรียนเก่า ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ - สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส - กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม - บริษัท ธนัทเฮิร์บ พาณิชย์ จำกัด - บริษัท IFCG จำกัด (มหาชน) - บริษัท พีที พลัส จำกัด - บริษัท ลอรีส จำกัด (ออด๊าซ) - บริษัท ไทย ทีเอเอ็น อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด . ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทเพลงทั้งสิบเพลง ในอัลบั้มชุดนี้บทเพลงที่ประพันธขึ้นประกอบด้วยบทเพลงทั้งสิ้น ๑๐ เพลง ดังนี้ . ๑. บทเพลงชื่อ "เพลงไหมแพรวา" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ภาณุ เทศะศิริ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไหมแพรวาที่สมเด็จพระพันปีทรงอุปถัมภ์จนกลายเป็นราชินีผ้าไหมไทยที่เลื่องลือทั่วโลก . ๒. บทเพลงชื่อ "สุดหัวใจ" ขับร้องโดย กันยารัตน์ กุยสุวรรณ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นการถ่ายทอดความรักความผูกพันที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อสมเด็จพระพันปีผ่านมุมมองข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ . ๓. บทเพลงชื่อ "ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ" ขับร้องโดย ดลชัย บุณยะรัตเวช ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องของชาวนาและเกษตรแผนใหม่ตามแนวพระราชดำริและการรักษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาประเพณีท้องถิ่น . ๔. บทเพลงชื่อ "โพธิ์ทองของปวงไทย" ขับร้องโดย ด.ญ. มนภทริตา ทองเกิด, ด.ญ. จิรัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ธนัชญา ศรีนุช, ด.ญ. ศิตภัทร ตันติเวสส, ด.ญ. นภัสร์นันท์ วงศ์วิวัฒน์, ด.ญ. ปวริศา เติมจิตรอารีย์ ประพันธ์คำร้องโดย ชโลธร ควรหาเวช ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นการบรรยายพระมหากรุณาธิคุณและพระกรณีกิจมากมายที่พระพันปีทรงทุ่มเท ผ่านมุมมองเยาวชน . ๕. บทเพลงชื่อ "พ่อเป็นน้ำ แม่เป็นป่า" ขับร้องโดย หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ และตัวแทนชาวไทยภูเขาหกเผ่า ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย โอฬาร เนตรหาญ เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามแนวพระราชดำริและความผูกพันของชาวไทยภูเขากับพระพันปีหลวง . ๖. บทเพลงชื่อ "ภาพพันปี" ขับร้องโดย อิสริยา คูประเสริฐ ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ธนชัย ยงพิพัฒน์วงศ์ และ ชาตรี ทับละม่อม เรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เป็นเพลงพรรณาให้เห็นความรักและความทุ่มเทของพระพันปีที่มีต่อพสกนิกร ผ่านภาพถ่ายมากมายที่ประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยมานานแสนนาน . ๗. บทเพลงชื่อ "คนโขน" ขับร้องโดย อภิภู โสรพิมาย ประพันธ์ทำนองและคำร้องโดย ศรีจิตรา นานานุกูล และ พงศ์พรหม สนิทวงศ์ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีที่มีต่อนาฏศิลป์โขนไทย . ๘. บทเพลงชื่อ "กายเราคือเสาหลัก" ขับร้องโดย พันเอกนายแพทย์วิภู กำเนิดดี ประพันธ์ทำนอง-คำร้องและเรียบเรียงดนตรีโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา - เป็นเพลงเกี่ยวกับตำรวจตระเวนชายแดน ความรักที่พวกเขามีต่อชาติ ต่อสถาบัน และความห่วงใยเมตตาของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีที่มีต่อพวกเขา . ๙. บทเพลงชื่อ "ศิลปาชีพ" ขับร้องโดย สุนทรี เวชานนท์ ประพันธ์ทำนองโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล ประพันธ์คำร้องโดย พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เรียบเรียงดนตรีโดย วีระ วัฒนะจันทรกุล และ ปวรินทร์ พิเกณฑ์ - ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพ โดยถ่ายทอดด้วยภาษาพื้นถิ่นล้านนา . ๑๐. บทเพลงชื่อ "กางเขนแดง หัวใจขาว" ขับร้องโดย ธนพร แวกประยูร (ปาน ธนพร) ประพันธ์คำร้องโดย ชาตรี ทับละม่อม ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงดนตรีโดย รัฐกรณ์ โกมล - เรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์พยาบาลที่เสียสละตนเองเพื่อสืบสานปณิธานพระพันปีที่ทรงเป็นสภานายิกาสภากาชาดไทย . ============================================ สามารถดาวน์โหลดเพลงทั้งหมดมาฟังฟรีได้ที่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/rvjqypbout7k... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ============================================ ต้องการนำบทเพลงไปขับร้องหรือทำกิจกรรม ดาวน์โหลด Backingtrack ที่นี่ https://soundcloud.com/pongprom.../sets/backingtrack... (ดาวน์โหลดอยู่ที่เครื่องหมาย ••• บนแทร็ค) ------------------------------------------------------------- เฟซบุ๊คเพจของโครงการ https://www.facebook.com/songsforqueensirikit/ ------------------------------------------------------------- ข้อมูลทั้งหมดของโครงการ คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี สำหรับสื่อมวลชน (Press Kit) https://drive.google.com/.../1o0bROjNZGeM20GDkzGgiNBtVh4g... . สามารถ Streaming เพลงจากอัลบั้ม #คีตามาลัยเทิดไท้พระพันปี ที่... . Spotify https://open.spotify.com/album/3ctqdqlVfGywJ4vLIaE3GE . ============================================ รักพระพันปี ร่วมกันเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
    0 Comments 0 Shares 979 Views 0 Reviews
  • วธ.พร้อมจัดงานพระราชพิธี สมพระเกียรติสูงสุด : [NEWS UPDATE]
    นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยถึงภารกิจหน่วยงานในสังกัด ทั้งการจัดพิธีทางศาสนาถวายเป็นพระราชกุศล และเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้แก่ 1.กรมการศาสนา ประสานองค์การทางศาสนาจัดพิธีตามหลักศาสนบัญญัติของเเต่ละศาสนา 2.กรมศิลปากร ดำเนินการรูปแบบพิธีการและจัดสร้างพระเมรุมาศ พร้อมทั้งอาคารประกอบ 3.กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประสานศิลปินแห่งชาติ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ 4.หอภาพยนตร์ เผยแพร่ภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ 5.กิจกรรมจิตอาสา 6.สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ข้อปฏิบัติแนวทางเข้าร่วมงานพระราชพิธี ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังตั้งคณะกรรมการอำนวยการ เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสำนักนายกรัฐมนตรี และปรับแผนงาน-งบประมาณ ให้เหมาะสมกับกิจกรรม



    เตรียมร่างแบบพระเมรุมาศ

    แนวปฏิบัติมีเดียเอเยนซี่

    คุย"ฮุน มาเนต"ลดความขัดแย้ง

    ยังไม่ใช่เวลาเปิดด่าน
    วธ.พร้อมจัดงานพระราชพิธี สมพระเกียรติสูงสุด : [NEWS UPDATE] นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยถึงภารกิจหน่วยงานในสังกัด ทั้งการจัดพิธีทางศาสนาถวายเป็นพระราชกุศล และเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้แก่ 1.กรมการศาสนา ประสานองค์การทางศาสนาจัดพิธีตามหลักศาสนบัญญัติของเเต่ละศาสนา 2.กรมศิลปากร ดำเนินการรูปแบบพิธีการและจัดสร้างพระเมรุมาศ พร้อมทั้งอาคารประกอบ 3.กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประสานศิลปินแห่งชาติ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ 4.หอภาพยนตร์ เผยแพร่ภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ 5.กิจกรรมจิตอาสา 6.สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ข้อปฏิบัติแนวทางเข้าร่วมงานพระราชพิธี ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังตั้งคณะกรรมการอำนวยการ เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสำนักนายกรัฐมนตรี และปรับแผนงาน-งบประมาณ ให้เหมาะสมกับกิจกรรม เตรียมร่างแบบพระเมรุมาศ แนวปฏิบัติมีเดียเอเยนซี่ คุย"ฮุน มาเนต"ลดความขัดแย้ง ยังไม่ใช่เวลาเปิดด่าน
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 572 Views 0 0 Reviews
  • มีคนสรุป ที่สุดของในหลวง ร.9.ไว้ดีมาก

    พระมหากษัตริย์รูปงามที่สุด
    เป็นนักเรียนนอก
    พูดได้หลายภาษา
    เป็นสุภาพบุรุษ
    แต่งกายดีที่สุด
    กิริยามารยาทดีเยี่ยม
    มีอารมณ์ขัน
    โรแมนติคมาก
    รักเดียวใจเดียว
    รักการศึกษา
    รักภาษาไทย
    รักสัตว์
    รักชาติที่สุด
    รักประชาชนที่สุด
    มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่สุด
    บำเพ็ญทานยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
    เป็นผู้มีศีลมั่นคง
    มีสมาธิในการทำงานอย่างยิ่ง
    รู้ธรรมลึกซึ้งที่สุด
    มีความเมตตาที่สุด
    มีความกรุณาที่สุด
    มีความเสียสละที่สุด
    มีความเพียรที่สุด
    มีความอดทนที่สุด
    มีความกตัญญูที่สุด
    มีสติปัญญาลึกซึ้งที่สุด
    มีความรู้มากที่สุด
    ฉลาดที่สุด
    เป็นนักปราชญ์
    เป็นครู
    เป็นศิลปิน
    เป็นจิตรกร
    เป็นนักเขียน
    เป็นนักแปล
    เป็นนักประดิษฐ์
    เป็นนักพัฒนา
    เป็นนักสำรวจ
    เป็นนักเดินทาง
    เป็นนักกีฬา
    เก่งวิทยาศาสตร์
    เก่งวิศวะ
    เก่งเทคโนโลยี่
    เก่งสื่อสาร
    เก่งอักษรศาสตร์
    เก่งเศรษฐศาสตร์
    เก่งภูมิศาสตร์
    เก่งกฎหมาย
    เก่งการทหาร
    เก่งเกษตร
    เก่งเรื่องป่า
    เก่งเรื่องดินที่สุด
    เก่งเรื่องน้ำที่สุด
    เก่งเรื่องฝนที่สุด
    เก่งถ่ายรูปที่สุด
    เก่งดนตรีที่สุด

    เป็นมหาราชานักรบที่เก่ง และเหนื่อยที่สุดในโลก เอาชนะความยากจนให้กับประขาชนชาวไทย ทั้งประเทศ

    ทำประโยชน์ให้ประเทศไทยมากที่สุด

    #สรุปแล้ว...พระองค์ ทรงมีพระอัจฉริยภาพรอบรู้ในทุกๆเรื่อง ทุกๆด้าน...ที่มนุษย์บนโลกใบนี้ ทำได้...ตั้งแต่ น้ำ จรดพื้นดิน ขึ้นบนแผ่นฟ้า และลงมายังใต้พื้นดิน ใต้มหาสมุทรเพราะ พระองค์ท่าน ทรงเป็น พระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า...ทรงบำเพ็ญพระมหาปรมัตถบารมี...เพื่อที่จะทรง ตรัสรู้ อนุตร เอนกสัมโพธิญาณ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลเบื้องหน้า
    มีคนสรุป ที่สุดของในหลวง ร.9.ไว้ดีมาก พระมหากษัตริย์รูปงามที่สุด เป็นนักเรียนนอก พูดได้หลายภาษา เป็นสุภาพบุรุษ แต่งกายดีที่สุด กิริยามารยาทดีเยี่ยม มีอารมณ์ขัน โรแมนติคมาก รักเดียวใจเดียว รักการศึกษา รักภาษาไทย รักสัตว์ รักชาติที่สุด รักประชาชนที่สุด มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่สุด บำเพ็ญทานยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น เป็นผู้มีศีลมั่นคง มีสมาธิในการทำงานอย่างยิ่ง รู้ธรรมลึกซึ้งที่สุด มีความเมตตาที่สุด มีความกรุณาที่สุด มีความเสียสละที่สุด มีความเพียรที่สุด มีความอดทนที่สุด มีความกตัญญูที่สุด มีสติปัญญาลึกซึ้งที่สุด มีความรู้มากที่สุด ฉลาดที่สุด เป็นนักปราชญ์ เป็นครู เป็นศิลปิน เป็นจิตรกร เป็นนักเขียน เป็นนักแปล เป็นนักประดิษฐ์ เป็นนักพัฒนา เป็นนักสำรวจ เป็นนักเดินทาง เป็นนักกีฬา เก่งวิทยาศาสตร์ เก่งวิศวะ เก่งเทคโนโลยี่ เก่งสื่อสาร เก่งอักษรศาสตร์ เก่งเศรษฐศาสตร์ เก่งภูมิศาสตร์ เก่งกฎหมาย เก่งการทหาร เก่งเกษตร เก่งเรื่องป่า เก่งเรื่องดินที่สุด เก่งเรื่องน้ำที่สุด เก่งเรื่องฝนที่สุด เก่งถ่ายรูปที่สุด เก่งดนตรีที่สุด เป็นมหาราชานักรบที่เก่ง และเหนื่อยที่สุดในโลก เอาชนะความยากจนให้กับประขาชนชาวไทย ทั้งประเทศ ทำประโยชน์ให้ประเทศไทยมากที่สุด #สรุปแล้ว...พระองค์ ทรงมีพระอัจฉริยภาพรอบรู้ในทุกๆเรื่อง ทุกๆด้าน...ที่มนุษย์บนโลกใบนี้ ทำได้...ตั้งแต่ น้ำ จรดพื้นดิน ขึ้นบนแผ่นฟ้า และลงมายังใต้พื้นดิน ใต้มหาสมุทร😍😍😍เพราะ พระองค์ท่าน ทรงเป็น พระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า...ทรงบำเพ็ญพระมหาปรมัตถบารมี...เพื่อที่จะทรง ตรัสรู้ อนุตร เอนกสัมโพธิญาณ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลเบื้องหน้า😇😇
    0 Comments 0 Shares 473 Views 0 Reviews
  • เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 Comments 0 Shares 686 Views 0 Reviews
  • เหรียญหลวงพ่อสงค์หลังอาจารย์สีแก้ว วัดคงคาวดี วัดปากบาง จ.สงขลา
    เหรียญหลวงพ่อสงค์หลังอาจารย์สีแก้ว วัดคงคาวดี (วัดปากบาง) อำเภอควนเนียง จ.สงขลา ปี2540 // พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์มาก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณ มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา โชคลาภ ป้องกันอันตรายทั้งปวงเสริมดวงชะตาเพิ่มสิริมงคล เสน่ห์เมตตามหานิยม เพิ่มบารมี เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ฯลฯ

    ** วัดคงคาวดี (วัดปากบาง) อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา มีหลวงพ่อสงค์เป็นที่เคารพบูชามีชื่อเสียงในด้านคงกระพันธ์ชาตรีและเมตตามหานิยมในด้านอื่น โดยหลวงพ่อสงค์เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับอาจารย์สีแก้ว วัดไทรใหญ่ ตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิ ภายในอุโบสถวัดคงคาวดีมีภาพเขียน จิตกรรมฝาผนังโดยศิลปินพื้นบ้าน และครูจูหลิง ปงกันมูล วาดไว้ก่อนเสียชีวิต **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อสงค์หลังอาจารย์สีแก้ว วัดคงคาวดี วัดปากบาง จ.สงขลา เหรียญหลวงพ่อสงค์หลังอาจารย์สีแก้ว วัดคงคาวดี (วัดปากบาง) อำเภอควนเนียง จ.สงขลา ปี2540 // พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์มาก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณ มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา โชคลาภ ป้องกันอันตรายทั้งปวงเสริมดวงชะตาเพิ่มสิริมงคล เสน่ห์เมตตามหานิยม เพิ่มบารมี เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ฯลฯ ** วัดคงคาวดี (วัดปากบาง) อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา มีหลวงพ่อสงค์เป็นที่เคารพบูชามีชื่อเสียงในด้านคงกระพันธ์ชาตรีและเมตตามหานิยมในด้านอื่น โดยหลวงพ่อสงค์เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับอาจารย์สีแก้ว วัดไทรใหญ่ ตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิ ภายในอุโบสถวัดคงคาวดีมีภาพเขียน จิตกรรมฝาผนังโดยศิลปินพื้นบ้าน และครูจูหลิง ปงกันมูล วาดไว้ก่อนเสียชีวิต ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • “โต๊ะพกพา AeroTrac — พับใส่เป้ได้ แต่จะปลอดภัยกับ MacBook Pro $10,000 ไหม?” — เมื่อความคล่องตัวชนกับความเสี่ยงของอุปกรณ์ราคาแพง

    Tether Tools ได้เปิดตัว AeroTrac Workstation System ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานแบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ โดยโต๊ะนี้สามารถพับเก็บเป็นขนาดเท่ากระดาษ A4 และมีหูหิ้วผ้าใบสำหรับพกพาไปทุกที่ แม้จะดูสะดวก แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “จะปลอดภัยแค่ไหนถ้าเอา MacBook Pro ราคา $10,000 ไปวางบนโต๊ะพับกลางแจ้ง?”

    โต๊ะ AeroTrac ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพียง 3.3 ปอนด์ แต่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 30 ปอนด์ มีระบบรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน และสามารถติดตั้งบนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็นได้ อีกทั้งยังมีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้นได้ด้วย

    แม้จะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลเรื่องความเสี่ยง เช่น การสั่นสะเทือน, ฝุ่น, หรือแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานกลางแจ้ง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับอุปกรณ์ราคาแพงอย่าง MacBook Pro หรือ GPU ระดับสูง

    โต๊ะนี้มีราคาอยู่ที่ $299 และเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุปกรณ์เสริมผ่านไฟล์ 3D print แบบ open-source ซึ่งเหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัลที่ต้องย้ายสถานที่ทำงานบ่อย ๆ

    Tether Tools เปิดตัว AeroTrac Workstation System โต๊ะพกพาสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์
    พับเก็บได้ขนาด 8.5x11 นิ้ว น้ำหนัก 3.3 ปอนด์
    พื้นโต๊ะขนาด 17x11 นิ้ว รองรับน้ำหนักได้ 30 ปอนด์

    มีระบบรางติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน
    ติดตั้งได้บนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็น

    มีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้น
    เหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัล

    ราคาอยู่ที่ $299 พร้อมไฟล์ 3D print แบบ open-source สำหรับปรับแต่ง
    รองรับการใช้งานแบบโมดูลาร์และพกพา

    มีหูหิ้วผ้าใบและแม่เหล็กพับเก็บง่าย
    ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง

    https://www.techradar.com/pro/someone-designed-an-open-portable-desk-with-a-canvas-handle-to-carry-your-usd10-000-apple-macbook-pro-laptop-around-but-somehow-i-dont-think-it-is-a-very-good-idea
    💼 “โต๊ะพกพา AeroTrac — พับใส่เป้ได้ แต่จะปลอดภัยกับ MacBook Pro $10,000 ไหม?” — เมื่อความคล่องตัวชนกับความเสี่ยงของอุปกรณ์ราคาแพง Tether Tools ได้เปิดตัว AeroTrac Workstation System ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานแบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ โดยโต๊ะนี้สามารถพับเก็บเป็นขนาดเท่ากระดาษ A4 และมีหูหิ้วผ้าใบสำหรับพกพาไปทุกที่ แม้จะดูสะดวก แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “จะปลอดภัยแค่ไหนถ้าเอา MacBook Pro ราคา $10,000 ไปวางบนโต๊ะพับกลางแจ้ง?” โต๊ะ AeroTrac ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพียง 3.3 ปอนด์ แต่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 30 ปอนด์ มีระบบรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน และสามารถติดตั้งบนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็นได้ อีกทั้งยังมีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้นได้ด้วย แม้จะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลเรื่องความเสี่ยง เช่น การสั่นสะเทือน, ฝุ่น, หรือแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานกลางแจ้ง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับอุปกรณ์ราคาแพงอย่าง MacBook Pro หรือ GPU ระดับสูง โต๊ะนี้มีราคาอยู่ที่ $299 และเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุปกรณ์เสริมผ่านไฟล์ 3D print แบบ open-source ซึ่งเหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัลที่ต้องย้ายสถานที่ทำงานบ่อย ๆ ✅ Tether Tools เปิดตัว AeroTrac Workstation System โต๊ะพกพาสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ ➡️ พับเก็บได้ขนาด 8.5x11 นิ้ว น้ำหนัก 3.3 ปอนด์ ➡️ พื้นโต๊ะขนาด 17x11 นิ้ว รองรับน้ำหนักได้ 30 ปอนด์ ✅ มีระบบรางติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน ➡️ ติดตั้งได้บนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็น ✅ มีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้น ➡️ เหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัล ✅ ราคาอยู่ที่ $299 พร้อมไฟล์ 3D print แบบ open-source สำหรับปรับแต่ง ➡️ รองรับการใช้งานแบบโมดูลาร์และพกพา ✅ มีหูหิ้วผ้าใบและแม่เหล็กพับเก็บง่าย ➡️ ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง https://www.techradar.com/pro/someone-designed-an-open-portable-desk-with-a-canvas-handle-to-carry-your-usd10-000-apple-macbook-pro-laptop-around-but-somehow-i-dont-think-it-is-a-very-good-idea
    WWW.TECHRADAR.COM
    This portable desk holds your MacBook Pro like a coffee tray
    AeroTrac blends precision engineering with a hint of impractical ambition
    0 Comments 0 Shares 357 Views 0 Reviews
More Results