• ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่

    บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า

    S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V

    P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง

    e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า

    รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก

    มุมมองเพิ่มเติม
    การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน:
    อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series
    อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความหมายของ S และ P
    S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า
    P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน

    ตัวอย่างการใช้งาน
    Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง
    e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ
    EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    🔋 ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่ บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า 💠 S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V 💠 P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า ⚙️ ตัวอย่างการใช้งานจริง 💠 เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง 💠 e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า 💠 รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก 🌐 มุมมองเพิ่มเติม การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน: 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความหมายของ S และ P ➡️ S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า ➡️ P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง ➡️ e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ ➡️ EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน

    จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน แม้ทั่วโลกยังมีอุปสรรคด้านเทคนิคและกฎระเบียบ แต่จีนเริ่มทดลองสายการผลิตและโชว์โมเดลใหม่ ๆ ที่ใกล้เคียงการใช้งานจริง

    จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุมพลังงาน ความเชี่ยวชาญนี้ถูกนำมาต่อยอดสู่การสร้าง “รถบินได้” หรือ air mobility vehicles ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น

    การผลิตและทดสอบจริง
    รายงานจากกวางโจวเผยว่าโรงงานจีนเริ่มทดลองสายการผลิตรถบินได้ โดยมีโมเดลสองที่นั่งที่ใช้ใบพัดไฟฟ้าเป็นต้นแบบ นักข่าวได้เห็นการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เช่น การทดสอบใบพัดและระบบควบคุมการบิน ซึ่งสะท้อนว่าจีนไม่ได้เพียงแค่พัฒนาในห้องทดลอง แต่กำลังเดินหน้าสู่การผลิตจริง

    อุปสรรคระดับโลก
    แม้ความก้าวหน้าจะน่าตื่นเต้น แต่ทั่วโลกยังมีปัญหาสำคัญ เช่น กฎระเบียบการบินที่เข้มงวด ความปลอดภัยของผู้โดยสาร และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่รองรับการบินในเมืองใหญ่ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น วางแผนเปิดตัว “air taxi” ในปี 2027 แต่ยังต้องผ่านการทดสอบและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ความหมายต่ออนาคตการเดินทาง
    หากจีนสามารถผลักดันการผลิตและใช้งานจริงได้ รถบินไฟฟ้าอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางในเมืองใหญ่ ลดการจราจรบนถนน และเปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการยอมรับจากสังคม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความได้เปรียบของจีน
    เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า
    ใช้เทคโนโลยี EV มาต่อยอดสู่รถบินได้

    การผลิตและทดสอบ
    โรงงานในกวางโจวเริ่มทดลองสายการผลิต
    ตรวจสอบคุณภาพใบพัดและระบบควบคุมการบิน

    อุปสรรคระดับโลก
    กฎระเบียบการบินเข้มงวด
    โครงสร้างพื้นฐานยังไม่รองรับ air taxi

    ความหมายต่ออนาคต
    ลดการจราจรในเมืองใหญ่
    เปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน

    คำเตือนที่ควรระวัง
    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร
    การยอมรับจากสังคมและหน่วยงานกำกับยังไม่แน่นอน
    หากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม อาจทำให้โครงการล่าช้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/electric-vehicle-prowess-helps-china039s-flying-car-sector-take-off
    🚙 จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน แม้ทั่วโลกยังมีอุปสรรคด้านเทคนิคและกฎระเบียบ แต่จีนเริ่มทดลองสายการผลิตและโชว์โมเดลใหม่ ๆ ที่ใกล้เคียงการใช้งานจริง จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุมพลังงาน ความเชี่ยวชาญนี้ถูกนำมาต่อยอดสู่การสร้าง “รถบินได้” หรือ air mobility vehicles ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น ✈️ การผลิตและทดสอบจริง รายงานจากกวางโจวเผยว่าโรงงานจีนเริ่มทดลองสายการผลิตรถบินได้ โดยมีโมเดลสองที่นั่งที่ใช้ใบพัดไฟฟ้าเป็นต้นแบบ นักข่าวได้เห็นการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เช่น การทดสอบใบพัดและระบบควบคุมการบิน ซึ่งสะท้อนว่าจีนไม่ได้เพียงแค่พัฒนาในห้องทดลอง แต่กำลังเดินหน้าสู่การผลิตจริง 🌍 อุปสรรคระดับโลก แม้ความก้าวหน้าจะน่าตื่นเต้น แต่ทั่วโลกยังมีปัญหาสำคัญ เช่น กฎระเบียบการบินที่เข้มงวด ความปลอดภัยของผู้โดยสาร และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่รองรับการบินในเมืองใหญ่ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น วางแผนเปิดตัว “air taxi” ในปี 2027 แต่ยังต้องผ่านการทดสอบและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล 🔮 ความหมายต่ออนาคตการเดินทาง หากจีนสามารถผลักดันการผลิตและใช้งานจริงได้ รถบินไฟฟ้าอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางในเมืองใหญ่ ลดการจราจรบนถนน และเปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการยอมรับจากสังคม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความได้เปรียบของจีน ➡️ เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า ➡️ ใช้เทคโนโลยี EV มาต่อยอดสู่รถบินได้ ✅ การผลิตและทดสอบ ➡️ โรงงานในกวางโจวเริ่มทดลองสายการผลิต ➡️ ตรวจสอบคุณภาพใบพัดและระบบควบคุมการบิน ✅ อุปสรรคระดับโลก ➡️ กฎระเบียบการบินเข้มงวด ➡️ โครงสร้างพื้นฐานยังไม่รองรับ air taxi ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ ลดการจราจรในเมืองใหญ่ ➡️ เปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร ⛔ การยอมรับจากสังคมและหน่วยงานกำกับยังไม่แน่นอน ⛔ หากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม อาจทำให้โครงการล่าช้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/electric-vehicle-prowess-helps-china039s-flying-car-sector-take-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Electric vehicle prowess helps China's flying car sector take off
    Globally, technical and regulatory challenges have prevented the much-hyped flying car sector from getting off the ground.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • ขุมทรัพย์ลิเธียมใต้ซูเปอร์ภูเขาไฟในสหรัฐ มูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์

    การค้นพบครั้งสำคัญเกิดขึ้นที่ McDermitt Caldera บริเวณชายแดนรัฐเนวาดา–โอเรกอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นแหล่งลิเธียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการประเมินว่ามีปริมาณระหว่าง 20–40 ล้านตันของดินเหนียวที่อุดมไปด้วยลิเธียม มูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การค้นพบนี้อาจพลิกโฉมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลก และทำให้สหรัฐมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดในอนาคต

    ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของแหล่งนี้คือการลดการพึ่งพาการนำเข้าลิเธียมจากต่างประเทศ ปัจจุบันสหรัฐพึ่งพาเหมือง Silver Peak ในเนวาดามาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 การมีแหล่งใหม่ขนาดมหึมาจะช่วยตอบสนองความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3–5 เท่าภายในปี 2040 จากการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานหมุนเวียน

    อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเหมืองลิเธียมในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนชนเผ่าและนักอนุรักษ์เตือนว่าการทำเหมืองอาจกระทบต่อระบบนิเวศทะเลทราย เช่น sage-grouse และสัตว์ป่าอื่น ๆ รวมถึงพื้นที่ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมือง

    ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือก เช่น sodium-ion กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว นักวิจัยในแคนาดาเพิ่งเปิดตัวแบตเตอรี่โซเดียมแบบ solid-state ที่มีความปลอดภัยสูงและราคาถูกกว่า แม้ยังไม่พร้อมเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจลดการพึ่งพาลิเธียมในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญและข้อควรระวัง
    การค้นพบแหล่งลิเธียมมหึมาที่ McDermitt Caldera
    ปริมาณลิเธียม 20–40 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
    อาจทำให้สหรัฐเป็นผู้นำด้านวัตถุดิบแบตเตอรี่โลก

    ความต้องการลิเธียมทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
    คาดว่าจะโต 3–5 เท่าภายในปี 2040 จากรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด
    การมีแหล่งใหม่ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า

    การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือก
    Sodium-ion และ solid-state กำลังพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกที่ถูกและปลอดภัยกว่า
    อาจช่วยลดแรงกดดันต่อการทำเหมืองลิเธียมในอนาคต

    ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
    การทำเหมืองอาจกระทบสัตว์ป่าและระบบนิเวศทะเลทราย
    พื้นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอาจถูกทำลาย

    ความไม่แน่นอนของตลาดและเทคโนโลยี
    ราคาลิเธียมผันผวนสูง อาจกระทบการลงทุนระยะยาว
    เทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ยังไม่พร้อมเชิงพาณิชย์ อาจใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/usd1-5-trillion-lithium-deposit-found-in-u-s-supervolcano-crater-site-could-supply-batteries-for-decades
    🌋 ขุมทรัพย์ลิเธียมใต้ซูเปอร์ภูเขาไฟในสหรัฐ มูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ การค้นพบครั้งสำคัญเกิดขึ้นที่ McDermitt Caldera บริเวณชายแดนรัฐเนวาดา–โอเรกอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นแหล่งลิเธียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการประเมินว่ามีปริมาณระหว่าง 20–40 ล้านตันของดินเหนียวที่อุดมไปด้วยลิเธียม มูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การค้นพบนี้อาจพลิกโฉมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทั่วโลก และทำให้สหรัฐมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดในอนาคต 🔋 ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของแหล่งนี้คือการลดการพึ่งพาการนำเข้าลิเธียมจากต่างประเทศ ปัจจุบันสหรัฐพึ่งพาเหมือง Silver Peak ในเนวาดามาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 การมีแหล่งใหม่ขนาดมหึมาจะช่วยตอบสนองความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3–5 เท่าภายในปี 2040 จากการขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานหมุนเวียน 🌱 อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเหมืองลิเธียมในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนชนเผ่าและนักอนุรักษ์เตือนว่าการทำเหมืองอาจกระทบต่อระบบนิเวศทะเลทราย เช่น sage-grouse และสัตว์ป่าอื่น ๆ รวมถึงพื้นที่ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมือง ⚡ ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือก เช่น sodium-ion กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว นักวิจัยในแคนาดาเพิ่งเปิดตัวแบตเตอรี่โซเดียมแบบ solid-state ที่มีความปลอดภัยสูงและราคาถูกกว่า แม้ยังไม่พร้อมเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจลดการพึ่งพาลิเธียมในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญและข้อควรระวัง ✅ การค้นพบแหล่งลิเธียมมหึมาที่ McDermitt Caldera ➡️ ปริมาณลิเธียม 20–40 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ อาจทำให้สหรัฐเป็นผู้นำด้านวัตถุดิบแบตเตอรี่โลก ✅ ความต้องการลิเธียมทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ➡️ คาดว่าจะโต 3–5 เท่าภายในปี 2040 จากรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ➡️ การมีแหล่งใหม่ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือก ➡️ Sodium-ion และ solid-state กำลังพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกที่ถูกและปลอดภัยกว่า ➡️ อาจช่วยลดแรงกดดันต่อการทำเหมืองลิเธียมในอนาคต ‼️ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ⛔ การทำเหมืองอาจกระทบสัตว์ป่าและระบบนิเวศทะเลทราย ⛔ พื้นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอาจถูกทำลาย ‼️ ความไม่แน่นอนของตลาดและเทคโนโลยี ⛔ ราคาลิเธียมผันผวนสูง อาจกระทบการลงทุนระยะยาว ⛔ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ยังไม่พร้อมเชิงพาณิชย์ อาจใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/usd1-5-trillion-lithium-deposit-found-in-u-s-supervolcano-crater-site-could-supply-batteries-for-decades
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    $1.5 trillion lithium deposit found in U.S. supervolcano crater — site could supply batteries for decades
    Enough lithium for decades worth of battery manufacturing has been discovered in the McDermitt Caldera, on the Nevada – Oregon border.
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251120 #TechRadar

    Garmin อัปเดตสมาร์ทวอทช์ จับสัญญาณความเครียดได้
    Garmin ปล่อยอัปเดตใหญ่ให้สมาร์ทวอทช์รุ่นดังอย่าง Vivoactive 6, Forerunner 570 และ Venu X1 รวมถึงคอมพิวเตอร์จักรยาน Edge 540 และ 1050 จุดเด่นคือฟีเจอร์ Health Status ที่ช่วยดูแนวโน้มสุขภาพระยะยาว เช่น อัตราการเต้นหัวใจ, HRV, การหายใจ, อุณหภูมิผิว และค่าออกซิเจนในเลือดตอนนอน หากค่าผิดปกติอาจบอกได้ว่าร่างกายกำลังเครียดหรือเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีแผนที่ 3D (สำหรับผู้ใช้แบบพรีเมียม) และฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับนักปั่น เช่น เตือนให้ดื่มน้ำ, เช็กสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์อัตราทดเกียร์
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/garmins-latest-smartwatch-update-helps-catch-signs-of-stress-in-one-key-way

    AMD เปิดตัว FSR Redstone แต่ใช้ได้เฉพาะ RX 9000
    AMD ประกาศเปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคมนี้ เป็นชุดเทคโนโลยี AI ที่ช่วยเร่งเฟรมเรตและปรับปรุงคุณภาพภาพกราฟิก แต่ข่าวร้ายคือใช้ได้เฉพาะการ์ดจอรุ่น RX 9000 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ RX 7000 และรุ่นก่อนหน้าไม่พอใจ เพราะยังถือว่าเป็นการ์ดจอใหม่อยู่ ฟีเจอร์ที่มาพร้อม Redstone เช่น Ray Regeneration (ปรับปรุงภาพ Ray Tracing), Radiance Caching (ปรับแสงให้สมจริง) และ Frame Generation ที่สร้างเฟรมเสริมเพื่อให้ภาพลื่นขึ้น
    https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-fsr-redstone-for-supercharged-gaming-debuts-on-december-10-but-its-rx-9000-only-leaving-older-radeon-gpus-in-the-cold

    รหัสผ่านธีมเทศกาล เสี่ยงโดนเจาะง่าย
    มีการวิเคราะห์รหัสผ่านที่รั่วไหลกว่า 800 ล้านรายการ พบว่ามีจำนวนมากที่ใช้คำเกี่ยวกับเทศกาล เช่น Christmas, Santa, หรือการดัดแปลงด้วยตัวเลข/สัญลักษณ์ แม้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเครื่องมือเจาะรหัสสมัยใหม่สามารถเดาได้ง่าย เพราะรูปแบบซ้ำ ๆ และคาดเดาได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงสิ้นปีที่หลายองค์กรบังคับเปลี่ยนรหัสผ่าน มักเป็นจังหวะที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้
    https://www.techradar.com/pro/this-company-analyzed-800-million-breached-passwords-and-found-a-surprising-amount-of-festive-themes-so-maybe-choose-a-better-password-please

    โรงเก็บของกลายเป็น Data Center ช่วยลดค่าไฟ
    คู่รักใน Essex, UK ทดลองติดตั้ง HeatHub ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในโรงเก็บของ ใช้ Raspberry Pi กว่า 500 เครื่องในการประมวลผล และนำความร้อนที่เกิดขึ้นไปใช้ทำความร้อนในบ้าน ผลคือค่าไฟลดจาก £375 เหลือเพียง £40 ต่อเดือน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองระดับประเทศ เพื่อหาทางใช้พลังงานจากการประมวลผลคอมพิวเตอร์มาเป็นพลังงานความร้อนในครัวเรือน
    https://www.techradar.com/pro/looking-to-lower-your-energy-bills-this-winter-how-about-hosting-a-data-center-in-your-garden-shed-to-help-heat-your-home

    เครื่องมือ Unix เก่ากลับมาพร้อมภัยใหม่
    คำสั่ง finger ที่เคยใช้ในระบบ Unix เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ ถูกนำกลับมาใช้ในทางร้าย โดยแฮกเกอร์ใช้สคริปต์ดึงคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลแล้วรันใน Windows ทำให้สามารถแอบติดตั้งโปรแกรม Python ที่ขโมยข้อมูลได้โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เทคนิคนี้ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือวิเคราะห์ได้ ถือเป็นการฟื้นคืนชีพของภัยคุกคามเก่าที่อันตรายมาก
    https://www.techradar.com/pro/a-decades-old-threat-command-is-making-a-comeback-so-dont-let-the-finger-of-doom-affect-you

    Meta ทุ่มงบเพิ่มความปลอดภัย WhatsApp
    Meta ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการ Bug Bounty และเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยของ WhatsApp เป้าหมายคือป้องกันการโจมตีและหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะใช้ประโยชน์ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงจังของ Meta ที่ต้องการให้ WhatsApp เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/security/meta-is-spending-millions-on-bug-bounties-and-security-tools-to-boost-whatsapp-security

    Google Maps เพิ่ม 4 ฟีเจอร์ใหม่รับเทศกาล
    Google Maps อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อช่วยผู้ใช้ช่วงเทศกาลปลายปี ฟีเจอร์ใหม่ประกอบด้วยการแสดงข้อมูลการจราจรที่ละเอียดขึ้น, การแจ้งเตือนเส้นทางที่หนาแน่น, การแนะนำเส้นทางทางเลือก และการปรับปรุงการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว/ร้านค้าให้ตรงใจมากขึ้น เหมาะกับการเดินทางในช่วงวันหยุดที่ผู้คนออกเดินทางจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/computing/websites-apps/google-maps-is-adding-4-new-features-to-help-you-navigate-the-holiday-season

    LG Battery โดนโจมตี Ransomware
    บริษัทลูกของ LG ที่ทำธุรกิจแบตเตอรี่ถูกโจมตีด้วย Ransomware ส่งผลให้ระบบบางส่วนหยุดชะงักและข้อมูลถูกเข้ารหัส ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการโจมตีลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่แฮกเกอร์เล็งเป้าเพื่อเรียกค่าไถ่สูง
    https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-attack-hits-lg-battery-subsidiary

    Asus Router ถูกโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่
    มีรายงานว่า Router ของ Asus ทั่วโลกถูกโจมตีจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายประสบปัญหาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ การโจมตีครั้งนี้ถูกจับตามองว่าอาจเป็นการแสดงศักยภาพด้านไซเบอร์ของรัฐชาติ และยังสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้กันแพร่หลาย
    https://www.techradar.com/pro/security/asus-routers-across-the-globe-hit-by-suspected-chinese-cyberattack-heres-what-we-know

    ข่าวสด VPN และสิทธิด้านดิจิทัล
    TechRadar เปิดหน้า VPN News Live อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์, สิทธิด้านดิจิทัล และความเป็นส่วนตัวออนไลน์ เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี VPN ใหม่ ๆ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก
    https://www.techradar.com/live/news/latest-vpn-news-wednesday-19-november

    Porsche Cayenne Turbo Electric แรงที่สุดที่เคยมี
    Porsche ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Cayenne Turbo Electric จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุดที่บริษัทเคยผลิต กำลังสูงสุดมากกว่า 1,000 แรงม้า ทำให้เป็น SUV ที่เร็วและแรงที่สุดในสายการผลิตของ Porsche ถือเป็นการยกระดับตลาดรถไฟฟ้าไปอีกขั้น
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/its-official-the-porsche-cayenne-turbo-electric-will-be-the-most-powerful-production-porsche-ever-made

    Chrome เจอช่องโหว่ Zero-Day อันตราย
    Google ออกแพตช์เร่งด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ที่ถูกโจมตีจริงแล้ว ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบโดยไม่รู้ตัว ผู้ใช้ถูกแนะนำให้อัปเดต Chrome ทันทีเพื่อความปลอดภัย
    https://www.techradar.com/pro/security/google-patches-worrying-chrome-zero-day-flaw-being-exploited-in-the-wild-heres-how-to-stay-safe

    Botnet ใหม่แอบใช้ Ray Cluster ขุดคริปโต
    มีการค้นพบ Botnet ลึกลับที่แอบเข้ายึด Ray Clusters แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องขุดคริปโตโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ทำให้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล และยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลอีกด้วย
    https://www.techradar.com/pro/security/ray-clusters-hijacked-and-turned-into-crypto-miners-by-shadowy-new-botnet

    iOS 26 Autocorrect พังหนัก
    ผู้ใช้ iPhone หลายรายบ่นว่า Autocorrect ใน iOS 26 ทำงานผิดพลาดอย่างมาก พิมพ์ผิดบ่อยและแก้คำไม่ตรงใจ แม้ Apple จะออก iOS 26.2 แล้ว แต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและรอการแก้ไขจริงจังจาก Apple
    https://www.techradar.com/phones/ios/youre-not-bad-at-typing-ios-26s-autocorrect-is-broken-and-theres-still-no-fix-in-ios-26-2

    NordVPN เปิดฟีเจอร์กันสแกมโทรศัพท์
    NordVPN เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Call Protection สำหรับผู้ใช้ใน UK และแคนาดา ช่วยตรวจจับและบล็อกสายโทรศัพท์ที่เป็นสแกมก่อนถึงผู้ใช้ ถือเป็นการขยายบทบาทของ VPN จากการป้องกันออนไลน์ไปสู่การป้องกันการสื่อสารโทรศัพท์ด้วย
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nordvpn-takes-on-phone-scammers-with-new-call-protection-feature-for-the-uk-and-canada

    Xiaomi เตือนราคาสมาร์ทโฟนจะพุ่งขึ้น
    Xiaomi ออกมาเตือนว่าปีหน้าราคาสมาร์ทโฟนจะปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งชิป, วัสดุ และค่าแรง ทำให้ผู้บริโภคอาจต้องเตรียมรับมือกับมือถือที่แพงกว่าเดิม
    https://www.techradar.com/phones/brace-yourself-xiaomi-warns-of-a-sizeable-rise-in-smartphone-prices-next-year

    VMware ยอมรับข้อมูลสเปกเซิร์ฟเวอร์ผิดพลาด
    VMware ยืนยันว่าคู่มือสเปกสำหรับเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้มีความคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้ใช้บางรายอาจเข้าใจผิดในการเลือกใช้งาน แม้จะเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้กระทบต่อระบบโดยตรง แต่ก็สร้างความสับสนและทำให้บริษัทต้องรีบแก้ไขข้อมูลใหม่
    https://www.techradar.com/pro/vmware-confirms-its-spec-guidance-on-storage-servers-was-rather-inaccurate
    📌📰🟠 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟠📰📌 #รวมข่าวIT #20251120 #TechRadar ⌚ Garmin อัปเดตสมาร์ทวอทช์ จับสัญญาณความเครียดได้ Garmin ปล่อยอัปเดตใหญ่ให้สมาร์ทวอทช์รุ่นดังอย่าง Vivoactive 6, Forerunner 570 และ Venu X1 รวมถึงคอมพิวเตอร์จักรยาน Edge 540 และ 1050 จุดเด่นคือฟีเจอร์ Health Status ที่ช่วยดูแนวโน้มสุขภาพระยะยาว เช่น อัตราการเต้นหัวใจ, HRV, การหายใจ, อุณหภูมิผิว และค่าออกซิเจนในเลือดตอนนอน หากค่าผิดปกติอาจบอกได้ว่าร่างกายกำลังเครียดหรือเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีแผนที่ 3D (สำหรับผู้ใช้แบบพรีเมียม) และฟีเจอร์ใหม่ ๆ สำหรับนักปั่น เช่น เตือนให้ดื่มน้ำ, เช็กสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์อัตราทดเกียร์ 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/garmins-latest-smartwatch-update-helps-catch-signs-of-stress-in-one-key-way 🎮 AMD เปิดตัว FSR Redstone แต่ใช้ได้เฉพาะ RX 9000 AMD ประกาศเปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคมนี้ เป็นชุดเทคโนโลยี AI ที่ช่วยเร่งเฟรมเรตและปรับปรุงคุณภาพภาพกราฟิก แต่ข่าวร้ายคือใช้ได้เฉพาะการ์ดจอรุ่น RX 9000 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ RX 7000 และรุ่นก่อนหน้าไม่พอใจ เพราะยังถือว่าเป็นการ์ดจอใหม่อยู่ ฟีเจอร์ที่มาพร้อม Redstone เช่น Ray Regeneration (ปรับปรุงภาพ Ray Tracing), Radiance Caching (ปรับแสงให้สมจริง) และ Frame Generation ที่สร้างเฟรมเสริมเพื่อให้ภาพลื่นขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-fsr-redstone-for-supercharged-gaming-debuts-on-december-10-but-its-rx-9000-only-leaving-older-radeon-gpus-in-the-cold 🎄 รหัสผ่านธีมเทศกาล เสี่ยงโดนเจาะง่าย มีการวิเคราะห์รหัสผ่านที่รั่วไหลกว่า 800 ล้านรายการ พบว่ามีจำนวนมากที่ใช้คำเกี่ยวกับเทศกาล เช่น Christmas, Santa, หรือการดัดแปลงด้วยตัวเลข/สัญลักษณ์ แม้ดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเครื่องมือเจาะรหัสสมัยใหม่สามารถเดาได้ง่าย เพราะรูปแบบซ้ำ ๆ และคาดเดาได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงสิ้นปีที่หลายองค์กรบังคับเปลี่ยนรหัสผ่าน มักเป็นจังหวะที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมนี้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-company-analyzed-800-million-breached-passwords-and-found-a-surprising-amount-of-festive-themes-so-maybe-choose-a-better-password-please 🏠 โรงเก็บของกลายเป็น Data Center ช่วยลดค่าไฟ คู่รักใน Essex, UK ทดลองติดตั้ง HeatHub ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กในโรงเก็บของ ใช้ Raspberry Pi กว่า 500 เครื่องในการประมวลผล และนำความร้อนที่เกิดขึ้นไปใช้ทำความร้อนในบ้าน ผลคือค่าไฟลดจาก £375 เหลือเพียง £40 ต่อเดือน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองระดับประเทศ เพื่อหาทางใช้พลังงานจากการประมวลผลคอมพิวเตอร์มาเป็นพลังงานความร้อนในครัวเรือน 🔗 https://www.techradar.com/pro/looking-to-lower-your-energy-bills-this-winter-how-about-hosting-a-data-center-in-your-garden-shed-to-help-heat-your-home 💻 เครื่องมือ Unix เก่ากลับมาพร้อมภัยใหม่ คำสั่ง finger ที่เคยใช้ในระบบ Unix เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้ ถูกนำกลับมาใช้ในทางร้าย โดยแฮกเกอร์ใช้สคริปต์ดึงคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลแล้วรันใน Windows ทำให้สามารถแอบติดตั้งโปรแกรม Python ที่ขโมยข้อมูลได้โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว เทคนิคนี้ยังสามารถเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือวิเคราะห์ได้ ถือเป็นการฟื้นคืนชีพของภัยคุกคามเก่าที่อันตรายมาก 🔗 https://www.techradar.com/pro/a-decades-old-threat-command-is-making-a-comeback-so-dont-let-the-finger-of-doom-affect-you 🔒 Meta ทุ่มงบเพิ่มความปลอดภัย WhatsApp Meta ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการ Bug Bounty และเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยของ WhatsApp เป้าหมายคือป้องกันการโจมตีและหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะใช้ประโยชน์ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงจังของ Meta ที่ต้องการให้ WhatsApp เป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/meta-is-spending-millions-on-bug-bounties-and-security-tools-to-boost-whatsapp-security 🗺️ Google Maps เพิ่ม 4 ฟีเจอร์ใหม่รับเทศกาล Google Maps อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อช่วยผู้ใช้ช่วงเทศกาลปลายปี ฟีเจอร์ใหม่ประกอบด้วยการแสดงข้อมูลการจราจรที่ละเอียดขึ้น, การแจ้งเตือนเส้นทางที่หนาแน่น, การแนะนำเส้นทางทางเลือก และการปรับปรุงการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว/ร้านค้าให้ตรงใจมากขึ้น เหมาะกับการเดินทางในช่วงวันหยุดที่ผู้คนออกเดินทางจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/computing/websites-apps/google-maps-is-adding-4-new-features-to-help-you-navigate-the-holiday-season 🔋 LG Battery โดนโจมตี Ransomware บริษัทลูกของ LG ที่ทำธุรกิจแบตเตอรี่ถูกโจมตีด้วย Ransomware ส่งผลให้ระบบบางส่วนหยุดชะงักและข้อมูลถูกเข้ารหัส ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการโจมตีลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงาน เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่แฮกเกอร์เล็งเป้าเพื่อเรียกค่าไถ่สูง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/ransomware-attack-hits-lg-battery-subsidiary 📡 Asus Router ถูกโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ มีรายงานว่า Router ของ Asus ทั่วโลกถูกโจมตีจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีน ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายประสบปัญหาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ การโจมตีครั้งนี้ถูกจับตามองว่าอาจเป็นการแสดงศักยภาพด้านไซเบอร์ของรัฐชาติ และยังสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้กันแพร่หลาย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/asus-routers-across-the-globe-hit-by-suspected-chinese-cyberattack-heres-what-we-know 🌐 ข่าวสด VPN และสิทธิด้านดิจิทัล TechRadar เปิดหน้า VPN News Live อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์, สิทธิด้านดิจิทัล และความเป็นส่วนตัวออนไลน์ เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี VPN ใหม่ ๆ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/live/news/latest-vpn-news-wednesday-19-november 🚗 Porsche Cayenne Turbo Electric แรงที่สุดที่เคยมี Porsche ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Cayenne Turbo Electric จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทรงพลังที่สุดที่บริษัทเคยผลิต กำลังสูงสุดมากกว่า 1,000 แรงม้า ทำให้เป็น SUV ที่เร็วและแรงที่สุดในสายการผลิตของ Porsche ถือเป็นการยกระดับตลาดรถไฟฟ้าไปอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/its-official-the-porsche-cayenne-turbo-electric-will-be-the-most-powerful-production-porsche-ever-made 🌐 Chrome เจอช่องโหว่ Zero-Day อันตราย Google ออกแพตช์เร่งด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day ใน Chrome ที่ถูกโจมตีจริงแล้ว ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบโดยไม่รู้ตัว ผู้ใช้ถูกแนะนำให้อัปเดต Chrome ทันทีเพื่อความปลอดภัย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/google-patches-worrying-chrome-zero-day-flaw-being-exploited-in-the-wild-heres-how-to-stay-safe 🪙 Botnet ใหม่แอบใช้ Ray Cluster ขุดคริปโต มีการค้นพบ Botnet ลึกลับที่แอบเข้ายึด Ray Clusters แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องขุดคริปโตโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ทำให้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล และยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลอีกด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/ray-clusters-hijacked-and-turned-into-crypto-miners-by-shadowy-new-botnet 📱 iOS 26 Autocorrect พังหนัก ผู้ใช้ iPhone หลายรายบ่นว่า Autocorrect ใน iOS 26 ทำงานผิดพลาดอย่างมาก พิมพ์ผิดบ่อยและแก้คำไม่ตรงใจ แม้ Apple จะออก iOS 26.2 แล้ว แต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและรอการแก้ไขจริงจังจาก Apple 🔗 https://www.techradar.com/phones/ios/youre-not-bad-at-typing-ios-26s-autocorrect-is-broken-and-theres-still-no-fix-in-ios-26-2 📞 NordVPN เปิดฟีเจอร์กันสแกมโทรศัพท์ NordVPN เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Call Protection สำหรับผู้ใช้ใน UK และแคนาดา ช่วยตรวจจับและบล็อกสายโทรศัพท์ที่เป็นสแกมก่อนถึงผู้ใช้ ถือเป็นการขยายบทบาทของ VPN จากการป้องกันออนไลน์ไปสู่การป้องกันการสื่อสารโทรศัพท์ด้วย 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nordvpn-takes-on-phone-scammers-with-new-call-protection-feature-for-the-uk-and-canada 📱 Xiaomi เตือนราคาสมาร์ทโฟนจะพุ่งขึ้น Xiaomi ออกมาเตือนว่าปีหน้าราคาสมาร์ทโฟนจะปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งชิป, วัสดุ และค่าแรง ทำให้ผู้บริโภคอาจต้องเตรียมรับมือกับมือถือที่แพงกว่าเดิม 🔗 https://www.techradar.com/phones/brace-yourself-xiaomi-warns-of-a-sizeable-rise-in-smartphone-prices-next-year 💾 VMware ยอมรับข้อมูลสเปกเซิร์ฟเวอร์ผิดพลาด VMware ยืนยันว่าคู่มือสเปกสำหรับเซิร์ฟเวอร์จัดเก็บข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้มีความคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้ใช้บางรายอาจเข้าใจผิดในการเลือกใช้งาน แม้จะเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้กระทบต่อระบบโดยตรง แต่ก็สร้างความสับสนและทำให้บริษัทต้องรีบแก้ไขข้อมูลใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/vmware-confirms-its-spec-guidance-on-storage-servers-was-rather-inaccurate
    0 Comments 0 Shares 864 Views 0 Reviews
  • ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ

    ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี

    สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม

    แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก

    สรุปประเด็น
    ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP
    พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ

    Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก
    มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่

    สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ
    แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน

    หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที
    GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี

    ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    🚀 ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก 📌 สรุปประเด็น ✅ ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP ➡️ พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ ✅ Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก ➡️ มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่ ✅ สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ ➡️ แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน ‼️ หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที ⛔ GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี ‼️ ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์

    Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla

    Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง

    รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian
    มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
    ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น
    เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk
    สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว
    กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้
    หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
    อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป
    นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า
    การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    💰 Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง ✅ รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian ➡️ มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี ➡️ ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น ➡️ เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe ✅ แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว ➡️ กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้ ⛔ หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ⛔ อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป ⛔ นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า ⛔ การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EV maker Rivian gives CEO a Musk-style pay package worth up to $4.6 billion
    (Reuters) -Electric pickup and SUV maker Rivian said on Friday it was giving its CEO a pay plan worth as much as $4.6 billion over the next decade, a deal similar to Tesla's record package for CEO Elon Musk, and linked to new profit targets and lower share price milestones than a previous deal.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด

    ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี

    ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด
    Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า
    Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม
    แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla
    ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ

    การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้

    ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา
    กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90%
    Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม
    Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ
    แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง

    คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่
    จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80%
    หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง
    หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด
    ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ

    คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง
    อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว
    รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย
    ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    🔋👑 ผลการศึกษาใหม่เผย: แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคิด – Kia ครองแชมป์สุขภาพแบตดีที่สุด ผลการศึกษาจากสวีเดนโดยบริษัท Kvdbil วิเคราะห์สุขภาพแบตเตอรี่ (State of Health – SoH) ของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกว่า 1,300 คัน พบว่า กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงรักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 90% แม้ผ่านการใช้งานหลายปี ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายในไม่กี่ปี 🚗 ผลการจัดอันดับแบรนด์และรุ่นที่แบตเตอรี่เสื่อมน้อยที่สุด 💠 Kia EV6 และ Kia e-Niro ครองอันดับสูงสุดในกลุ่มรถไฟฟ้า 💠 Tesla Model Y ตามมาในอันดับที่สาม แม้จะเป็นรุ่นที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่ม 💠 แบรนด์ที่มีสุขภาพแบตดีที่สุดโดยรวม ได้แก่ Kia, Audi, Opel และ Tesla 💠 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่ ได้แก่ อายุรถ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, และ รูปแบบการชาร์จ การศึกษานี้ช่วยลบล้างความเชื่อผิด ๆ ว่าแบตเตอรี่ EV จะเสื่อมเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 5–8 ปี โดยพบว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีระบบระบายความร้อนดีสามารถใช้งานได้นานกว่าที่คาดไว้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากการศึกษา ➡️ กว่า 80% ของรถ EV มือสองยังคงมีแบตเตอรี่ที่มี SoH มากกว่า 90% ➡️ Kia EV6 และ e-Niro มีสุขภาพแบตดีที่สุดในกลุ่ม ➡️ Tesla Model Y อยู่ในอันดับ 3 แม้จะมีจำนวนมากที่สุด ➡️ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสื่อมของแบตเตอรี่: อายุ, สภาพอากาศ, พฤติกรรมการขับขี่, การชาร์จ ➡️ แบตเตอรี่ EV เสื่อมช้ากว่าที่เคยคาดไว้ และอาจใช้งานได้นานกว่าตัวรถเอง ✅ คำแนะนำในการรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ ➡️ จำกัดการชาร์จรายวันไว้ที่ 80% ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ DC fast charging บ่อยครั้ง ➡️ หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถ EV มือสอง ⛔ อย่าตัดสินสุขภาพแบตจากอายุรถเพียงอย่างเดียว ⛔ รถที่ใช้งานหนักหรือชาร์จผิดวิธีอาจมีแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าค่าเฉลี่ย ⛔ ควรตรวจสอบรายงาน SoH ก่อนซื้อรถ EV มือสองทุกครั้ง https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/new-study-crowns-the-king-of-ev-battery-health-and-it-shows-batteries-dont-degrade-as-badly-as-first-feared
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีพบแหล่งลิเทียมมหาศาล – อาจเปลี่ยนอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งยุโรป!”

    บริษัท Neptune Energy จากสหราชอาณาจักรประกาศการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมขนาดมหึมาในรัฐ Saxony-Anhalt ประเทศเยอรมนี โดยมีปริมาณลิเทียมคาร์บอเนตประมาณ 43 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งลิเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมากกว่าที่อินเดียเคยค้นพบถึง 7 เท่า

    แหล่งนี้เคยเป็นพื้นที่สกัดก๊าซธรรมชาติมาก่อน และตอนนี้กำลังถูกเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Direct Lithium Extraction (DLE) ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้บ่อระเหยน้ำเกลือขนาดใหญ่ และปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการทำเหมืองแบบเดิม

    Neptune Energy ได้ทดลองใช้ DLE กับพันธมิตรชื่อ Lilac และกำลังทดสอบกระบวนการดูดซับลิเทียมจากน้ำเกลือ ซึ่งอาจช่วยให้เยอรมนีสามารถผลิตลิเทียมได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนหรือประเทศใน “ลิเทียมไทรแองเกิล” (ชิลี, อาร์เจนตินา, โบลิเวีย)

    ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันต้องนำเข้าลิเทียมจากต่างประเทศ และยังต้องพึ่งพาการแปรรูปจากจีน ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่สูงกว่าคู่แข่งจากจีนถึง 2 เท่า หากเยอรมนีสามารถผลิตและแปรรูปลิเทียมเองได้ จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความมั่นคงทางอุตสาหกรรมอย่างมาก

    อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเหมืองและโรงงานแปรรูปต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ชัดว่าเยอรมนีจะสามารถแข่งขันกับจีนในด้านต้นทุนแรงงานและการผลิตได้หรือไม่

    การค้นพบแหล่งลิเทียมในเยอรมนี
    พบในรัฐ Saxony-Anhalt โดย Neptune Energy
    ปริมาณลิเทียมคาร์บอเนตประมาณ 43 ล้านตัน
    ใหญ่กว่าที่อินเดียเคยค้นพบถึง 7 เท่า
    เคยเป็นพื้นที่สกัดก๊าซธรรมชาติมาก่อน

    เทคโนโลยีการสกัดลิเทียม
    ใช้ Direct Lithium Extraction (DLE) แทนการทำเหมืองหรือบ่อระเหย
    ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า
    ทดลองร่วมกับบริษัท Lilac
    กำลังทดสอบกระบวนการดูดซับจากน้ำเกลือ

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม EV
    ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันพึ่งพาลิเทียมจากจีนและลิเทียมไทรแองเกิล
    ต้นทุนแบตเตอรี่สูงกว่าคู่แข่งจากจีนถึง 2 เท่า
    หากผลิตเองได้จะลดต้นทุนและเพิ่มความมั่นคง
    อาจเปลี่ยนให้ยุโรปเป็นศูนย์กลางใหม่ของ supply chain EV

    https://www.slashgear.com/1998530/one-of-worlds-largest-lithium-deposits-found-could-reshape-ev-future/
    🔋 “เยอรมนีพบแหล่งลิเทียมมหาศาล – อาจเปลี่ยนอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งยุโรป!” บริษัท Neptune Energy จากสหราชอาณาจักรประกาศการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมขนาดมหึมาในรัฐ Saxony-Anhalt ประเทศเยอรมนี โดยมีปริมาณลิเทียมคาร์บอเนตประมาณ 43 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งลิเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมากกว่าที่อินเดียเคยค้นพบถึง 7 เท่า แหล่งนี้เคยเป็นพื้นที่สกัดก๊าซธรรมชาติมาก่อน และตอนนี้กำลังถูกเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Direct Lithium Extraction (DLE) ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้บ่อระเหยน้ำเกลือขนาดใหญ่ และปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าการทำเหมืองแบบเดิม Neptune Energy ได้ทดลองใช้ DLE กับพันธมิตรชื่อ Lilac และกำลังทดสอบกระบวนการดูดซับลิเทียมจากน้ำเกลือ ซึ่งอาจช่วยให้เยอรมนีสามารถผลิตลิเทียมได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนหรือประเทศใน “ลิเทียมไทรแองเกิล” (ชิลี, อาร์เจนตินา, โบลิเวีย) ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันต้องนำเข้าลิเทียมจากต่างประเทศ และยังต้องพึ่งพาการแปรรูปจากจีน ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่สูงกว่าคู่แข่งจากจีนถึง 2 เท่า หากเยอรมนีสามารถผลิตและแปรรูปลิเทียมเองได้ จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความมั่นคงทางอุตสาหกรรมอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเหมืองและโรงงานแปรรูปต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ชัดว่าเยอรมนีจะสามารถแข่งขันกับจีนในด้านต้นทุนแรงงานและการผลิตได้หรือไม่ ✅ การค้นพบแหล่งลิเทียมในเยอรมนี ➡️ พบในรัฐ Saxony-Anhalt โดย Neptune Energy ➡️ ปริมาณลิเทียมคาร์บอเนตประมาณ 43 ล้านตัน ➡️ ใหญ่กว่าที่อินเดียเคยค้นพบถึง 7 เท่า ➡️ เคยเป็นพื้นที่สกัดก๊าซธรรมชาติมาก่อน ✅ เทคโนโลยีการสกัดลิเทียม ➡️ ใช้ Direct Lithium Extraction (DLE) แทนการทำเหมืองหรือบ่อระเหย ➡️ ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า ➡️ ทดลองร่วมกับบริษัท Lilac ➡️ กำลังทดสอบกระบวนการดูดซับจากน้ำเกลือ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม EV ➡️ ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันพึ่งพาลิเทียมจากจีนและลิเทียมไทรแองเกิล ➡️ ต้นทุนแบตเตอรี่สูงกว่าคู่แข่งจากจีนถึง 2 เท่า ➡️ หากผลิตเองได้จะลดต้นทุนและเพิ่มความมั่นคง ➡️ อาจเปลี่ยนให้ยุโรปเป็นศูนย์กลางใหม่ของ supply chain EV https://www.slashgear.com/1998530/one-of-worlds-largest-lithium-deposits-found-could-reshape-ev-future/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Is One Of World's Largest Lithium Deposits, And It Could Reshape The Future Of EVs - SlashGear
    One of the world's largest lithium deposits was recently discovered outside of the triangle of South American countries that typically harbor the materials.
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • “Volvo ใจป้ำ! แจกไฟบ้านฟรี 1 ปีให้เจ้าของรถ EV ในสวีเดน – ขับได้ฟรีถึง 25,000 กม.”

    Volvo กำลังจะเปิดตัวแคมเปญสุดล้ำในสวีเดน เริ่มต้นกุมภาพันธ์ 2026 ที่จะมอบ “ไฟบ้านฟรี” สำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ โดยร่วมมือกับบริษัทพลังงาน Vattenfall เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านฟรีเป็นเวลา 1 ปี

    แคมเปญนี้ครอบคลุมพลังงานสูงสุด 5,150 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ประมาณ 25,000 กิโลเมตร (หรือราว 15,500 ไมล์) โดยเฉพาะกับรุ่น EX90 ที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐาน WLTP

    ลูกค้าที่จะได้รับสิทธิ์ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ที่มีฟีเจอร์ smart charging ซึ่งจะช่วยเลื่อนเวลาชาร์จไปยังช่วงที่ค่าไฟถูกและปล่อย CO₂ ต่ำที่สุด ระบบจะคำนวณค่าไฟที่ใช้ชาร์จรถและหักออกจากบิลไฟฟ้ารายเดือนของลูกค้าโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ Volvo ยังมีแผนจะขยายโครงการนี้ไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลจากโครงการนำร่องในสวีเดนเป็นฐาน และในอนาคตเมื่อเทคโนโลยี V2X (Vehicle-to-Everything) พร้อมใช้งาน ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถยนต์จ่ายไฟกลับเข้าบ้านหรือขายคืนให้กับระบบไฟฟ้าได้อีกด้วย

    รายละเอียดแคมเปญชาร์จไฟบ้านฟรีจาก Volvo
    เริ่มต้นในสวีเดน กุมภาพันธ์ 2026
    มอบไฟฟ้าฟรีสูงสุด 5,150 kWh ต่อปี
    เทียบเท่าระยะทางขับขี่ประมาณ 25,000 กม.
    ใช้ได้กับลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo
    ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars
    ระบบ smart charging ช่วยลดค่าไฟและลดการปล่อย CO₂
    คำนวณค่าไฟจากการชาร์จและหักจากบิลรายเดือนโดยอัตโนมัติ

    แผนขยายและวิสัยทัศน์ของ Volvo
    เตรียมขยายโครงการไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก
    ใช้ข้อมูลจากสวีเดนเป็นต้นแบบ
    เตรียมรองรับเทคโนโลยี V2X ในปี 2026
    ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถจ่ายไฟให้บ้านหรือขายคืนให้ระบบไฟฟ้า
    สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ต้องการให้รถยนต์มีบทบาทในระบบพลังงานแห่งอนาคต

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/forget-free-ev-chargers-volvo-is-offering-free-home-charging-for-a-year-if-you-buy-one-of-its-cars-in-sweden
    🔌 “Volvo ใจป้ำ! แจกไฟบ้านฟรี 1 ปีให้เจ้าของรถ EV ในสวีเดน – ขับได้ฟรีถึง 25,000 กม.” Volvo กำลังจะเปิดตัวแคมเปญสุดล้ำในสวีเดน เริ่มต้นกุมภาพันธ์ 2026 ที่จะมอบ “ไฟบ้านฟรี” สำหรับเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ โดยร่วมมือกับบริษัทพลังงาน Vattenfall เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ได้รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านฟรีเป็นเวลา 1 ปี แคมเปญนี้ครอบคลุมพลังงานสูงสุด 5,150 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ประมาณ 25,000 กิโลเมตร (หรือราว 15,500 ไมล์) โดยเฉพาะกับรุ่น EX90 ที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐาน WLTP ลูกค้าที่จะได้รับสิทธิ์ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ที่มีฟีเจอร์ smart charging ซึ่งจะช่วยเลื่อนเวลาชาร์จไปยังช่วงที่ค่าไฟถูกและปล่อย CO₂ ต่ำที่สุด ระบบจะคำนวณค่าไฟที่ใช้ชาร์จรถและหักออกจากบิลไฟฟ้ารายเดือนของลูกค้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ Volvo ยังมีแผนจะขยายโครงการนี้ไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลจากโครงการนำร่องในสวีเดนเป็นฐาน และในอนาคตเมื่อเทคโนโลยี V2X (Vehicle-to-Everything) พร้อมใช้งาน ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถยนต์จ่ายไฟกลับเข้าบ้านหรือขายคืนให้กับระบบไฟฟ้าได้อีกด้วย ✅ รายละเอียดแคมเปญชาร์จไฟบ้านฟรีจาก Volvo ➡️ เริ่มต้นในสวีเดน กุมภาพันธ์ 2026 ➡️ มอบไฟฟ้าฟรีสูงสุด 5,150 kWh ต่อปี ➡️ เทียบเท่าระยะทางขับขี่ประมาณ 25,000 กม. ➡️ ใช้ได้กับลูกค้าที่ซื้อหรือเช่ารถ EV ของ Volvo ➡️ ต้องมีสัญญาไฟฟ้ากับ Vattenfall และใช้แอป Volvo Cars ➡️ ระบบ smart charging ช่วยลดค่าไฟและลดการปล่อย CO₂ ➡️ คำนวณค่าไฟจากการชาร์จและหักจากบิลรายเดือนโดยอัตโนมัติ ✅ แผนขยายและวิสัยทัศน์ของ Volvo ➡️ เตรียมขยายโครงการไปยังประเทศอื่นในยุโรปและทั่วโลก ➡️ ใช้ข้อมูลจากสวีเดนเป็นต้นแบบ ➡️ เตรียมรองรับเทคโนโลยี V2X ในปี 2026 ➡️ ลูกค้าจะสามารถใช้แบตเตอรี่รถจ่ายไฟให้บ้านหรือขายคืนให้ระบบไฟฟ้า ➡️ สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ต้องการให้รถยนต์มีบทบาทในระบบพลังงานแห่งอนาคต https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/forget-free-ev-chargers-volvo-is-offering-free-home-charging-for-a-year-if-you-buy-one-of-its-cars-in-sweden
    WWW.TECHRADAR.COM
    Volvo is offering its EV buyers free home charging for a year, but there's a catch
    Deal unlocks 25,000km of free motoring, with a global rollout planned
    0 Comments 0 Shares 311 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.141 : สมรภูมิเดือดรถ EV จีน อนาคตจะเหลือสักกี่แบรนด์ ?
    .
    จากแบรนด์รถยนต์จีนที่ผลิตกันเกลื่อนกลาดกว่า 100 แบรนด์ เมื่อเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมาที่มหกรรมรถยนต์ที่ประเทศเยอรมนี นางสเตลลา หลี่ หรือ หลี่ เคอ รองประธานบริหารหญิงเก่งของ BYD ได้กล่าวถึงว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในตอนนี้ว่า จะทำให้แบรนด์รถยนต์จีนจะลดลงเหลือน้อยกว่านี้มาก โดยสุดท้ายอาจจะเหลือแค่ 15-20 บริษัทเท่านั้นที่สามารถจะอยู่รอดได้
    .
    ข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน ก็ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์ 3 รายใหญ่ครองตลาดรถ EV มากกว่า 50% โดยเบอร์หนึ่งในวงการ ก็คือ BYD ก็ยึดตลาดไปแล้วเกือบ 30% ... ในวันนี้ เราจะเล่าถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยจะสำรวจค่ายรถยนต์จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก มีรถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ว่าจะมีรายไหนที่อยู่รอดได้ในระยะยาว
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=QWy9mFJwnJY
    .
    #บูรพาไมแพ้ #รถยนต์ไฟฟ้า #รถอีวี #EV #จีน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.141 : สมรภูมิเดือดรถ EV จีน อนาคตจะเหลือสักกี่แบรนด์ ? . จากแบรนด์รถยนต์จีนที่ผลิตกันเกลื่อนกลาดกว่า 100 แบรนด์ เมื่อเดือนกันยายน 68 ที่ผ่านมาที่มหกรรมรถยนต์ที่ประเทศเยอรมนี นางสเตลลา หลี่ หรือ หลี่ เคอ รองประธานบริหารหญิงเก่งของ BYD ได้กล่าวถึงว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในตอนนี้ว่า จะทำให้แบรนด์รถยนต์จีนจะลดลงเหลือน้อยกว่านี้มาก โดยสุดท้ายอาจจะเหลือแค่ 15-20 บริษัทเท่านั้นที่สามารถจะอยู่รอดได้ . ข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน ก็ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์ 3 รายใหญ่ครองตลาดรถ EV มากกว่า 50% โดยเบอร์หนึ่งในวงการ ก็คือ BYD ก็ยึดตลาดไปแล้วเกือบ 30% ... ในวันนี้ เราจะเล่าถึง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยจะสำรวจค่ายรถยนต์จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก มีรถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ว่าจะมีรายไหนที่อยู่รอดได้ในระยะยาว . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=QWy9mFJwnJY . #บูรพาไมแพ้ #รถยนต์ไฟฟ้า #รถอีวี #EV #จีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 435 Views 0 Reviews
  • “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92%

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ

    แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical
    สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79%
    ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล
    ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง
    แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ
    ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9%
    ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
    กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก
    Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง
    ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่
    การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ
    การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain)

    https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    🔋 “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022 ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92% เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical ➡️ สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% ➡️ ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ➡️ ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ ➡️ ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% ➡️ ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ➡️ กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก ➡️ Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง ➡️ ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่ ➡️ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ ➡️ การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain) https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Recycling Method Helps Researchers Recover 99% Pure Lithium From Used EV Batteries - SlashGear
    Lithium-ion battery waste is a huge concern for the future, but researchers have found a recycling method capable of extracting 99% pure lithium.
    0 Comments 0 Shares 381 Views 0 Reviews
  • “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น

    งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่

    แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น

    ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019
    Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี
    Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่
    รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์
    Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก
    ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง
    ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000
    ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024
    คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า
    EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย
    แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น
    การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก
    EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง

    https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    🔋 “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ได้นานแค่ไหน? เทียบอายุการใช้งานกับรถน้ำมันแบบตรงไปตรงมา” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคทั่วโลก คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ “แบตเตอรี่ของรถ EV จะอยู่ได้นานแค่ไหน?” และ “มันจะคุ้มค่ากว่ารถน้ำมันจริงหรือ?” ล่าสุดมีการศึกษาหลายฉบับที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดขึ้น งานวิจัยจาก Nature Energy วิเคราะห์ข้อมูลจากรถกว่า 29 ล้านคันในสหราชอาณาจักรช่วงปี 2005–2022 พบว่าแบตเตอรี่ของรถ EV มีแนวโน้มใช้งานได้นานขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉลี่ยแบตเตอรี่เสื่อมเพียง 1.8% ต่อปี เทียบกับ 2.3% ในปี 2019 ขณะที่ผู้ผลิตอย่าง Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10–20 ปี และ Nissan ก็ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ แม้รถน้ำมันจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 200,000 ไมล์ แต่ก็มีกรณีสุดโต่ง เช่น Toyota Tacoma ที่วิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ โดยเจ้าของขับส่งยาให้โรงพยาบาลวันละ 100,000 ไมล์ต่อปี ส่วนฝั่ง EV ก็มี Tesla Model S ที่วิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ โดยเจ้าของในเยอรมนีตั้งเป้าทำลายสถิติโลกที่ 3.26 ล้านไมล์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของ EV คือ “ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่” ที่ยังสูงอยู่ โดยเฉพาะ Tesla ที่อาจต้องจ่ายถึง $10,000–$20,000 ต่อครั้ง และเจ้าของรถที่วิ่งไกลมากอาจต้องเปลี่ยนแบตหลายครั้งในช่วงอายุรถ ขณะที่เครื่องยนต์ของรถน้ำมันมีค่าซ่อมเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$10,000 เท่านั้น ข่าวดีคือราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก $400/kWh ในปี 2012 เหลือเพียง $111/kWh ในปี 2024 และมีแนวโน้มลดลงอีกในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ EV กลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แบตเตอรี่รถ EV เสื่อมเฉลี่ยเพียง 1.8% ต่อปี ลดลงจาก 2.3% ในปี 2019 ➡️ Tesla ระบุว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 10–20 ปี ➡️ Nissan ยืนยันว่าแบตเตอรี่เกือบทั้งหมดที่ผลิตยังคงใช้งานอยู่ ➡️ รถน้ำมันมีอายุเฉลี่ย 200,000 ไมล์ แต่บางคันวิ่งได้ถึง 2 ล้านไมล์ ➡️ Tesla Model S คันหนึ่งวิ่งไปแล้วกว่า 155,000 ไมล์ และตั้งเป้าทำลายสถิติโลก ➡️ ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ Tesla อยู่ที่ $10,000–$20,000 ต่อครั้ง ➡️ ค่าเปลี่ยนเครื่องยนต์รถน้ำมันอยู่ที่ $2,000–$10,000 ➡️ ราคาของแบตเตอรี่ EV ลดลงจาก $400/kWh เหลือ $111/kWh ในปี 2024 ➡️ คาดว่าในปี 2030 ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $3,375–$5,000 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รถ EV มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่ารถน้ำมัน ทำให้ค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า ➡️ EV ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือดูแลระบบไอเสีย ➡️ แบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) มีราคาถูกลงถึง $56/kWh ในบางรุ่น ➡️ การชาร์จที่บ้านมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเติมน้ำมันอย่างมาก ➡️ EV ได้รับเครดิตภาษีสูงสุดถึง $7,500 ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาซื้อจริงลดลง https://www.slashgear.com/1977447/electric-vehicle-vs-gas-car-battery-lifespan/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Long Do Electric Vehicle Batteries Last Vs. Gas Cars? - SlashGear
    One common question that EV skeptics may have is how long do the batteries last when compared to a gas car. Scientific studies show that they last quite a bit.
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก”

    Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ

    การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore

    TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด

    บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ

    จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS
    ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ
    ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป
    รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง
    ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer

    บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย
    มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030
    รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore
    อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก
    บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม
    UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง
    TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน
    การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้
    มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
    บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
    การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด

    https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    🔧 “TCS เปิดตัวบริการออกแบบระบบด้วยชิปเลต — อินเดียเร่งเครื่องสู่ศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์โลก” Tata Consultancy Services (TCS) บริษัทไอทีระดับโลกจากอินเดีย ประกาศเปิดตัวบริการใหม่ “Chiplet-Based System Engineering Services” เพื่อช่วยผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ออกแบบชิปยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ต้นทุนต่ำลง และพร้อมตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด “ชิปเลต” ซึ่งเป็นวงจรขนาดเล็กที่สามารถประกอบรวมกันเป็นชิปขนาดใหญ่ได้ตามความต้องการ การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อินเดียกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างจริงจัง โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45–50 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024–2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100–110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore TCS ให้บริการออกแบบและตรวจสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) และ HBM (High Bandwidth Memory) รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ 2.5D และ 3D interposer ซึ่งช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และขนาดที่กะทัดรัด บริการใหม่นี้ยังช่วยให้บริษัทสามารถเร่ง tape-out หรือการส่งแบบชิปเข้าสู่กระบวนการผลิตได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI, คลาวด์, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ✅ จุดเด่นของบริการ Chiplet-Based System Engineering จาก TCS ➡️ ใช้แนวคิด “ชิปเลต” เพื่อออกแบบชิปที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ ➡️ ช่วยเร่ง tape-out และลดต้นทุนการผลิตชิป ➡️ รองรับมาตรฐาน UCIe และ HBM สำหรับการเชื่อมต่อและหน่วยความจำความเร็วสูง ➡️ ให้บริการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูง เช่น 2.5D และ 3D interposer ✅ บริบทของตลาดเซมิคอนดักเตอร์อินเดีย ➡️ มูลค่าตลาดปี 2024–2025 อยู่ที่ $45–50 พันล้าน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น $100–110 พันล้านในปี 2030 ➡️ รัฐบาลสนับสนุนผ่านโครงการ India Semiconductor Mission มูลค่า ₹76,000 crore ➡️ อินเดียมีวิศวกรออกแบบชิปคิดเป็น 20% ของโลก ➡️ บริษัทต่างชาติเริ่มลงทุนตั้งโรงงานประกอบและออกแบบในอินเดีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แนวคิด chiplet-based design กำลังแทนที่การลดขนาดทรานซิสเตอร์แบบเดิม ➡️ UCIe เป็นมาตรฐานเปิดที่ช่วยให้ชิปหลายตัวสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้ใน GPU และ AI accelerator ที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ TCS เคยร่วมมือกับบริษัทในอเมริกาเหนือเพื่อเร่งการผลิต AI processor ด้วยแนวทางนี้ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การออกแบบด้วยชิปเลตยังมีความซับซ้อนด้านการจัดการสัญญาณและความร้อน ⛔ การรวมชิปต่างชนิดอาจเกิดปัญหาเรื่อง latency และความเข้ากันได้ ⛔ มาตรฐาน UCIe ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา — อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ⛔ บริษัทที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพ็กเกจขั้นสูงอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ⛔ การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังสูงมาก — ต้องมีนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่ออยู่รอด https://www.techpowerup.com/340896/tcs-unveils-chiplet-based-system-engineering-services-to-accelerate-semiconductor-innovation
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TCS Unveils Chiplet-Based System Engineering Services to Accelerate Semiconductor Innovation
    Tata Consultancy Services a global leader in IT services, consulting, and business solutions, announced the launch of its Chiplet-based System Engineering Services, designed to help semiconductor companies push the boundaries of traditional chip design. By using chiplets (which are small integrated ...
    0 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสายชาร์จที่หายไป: เมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดต้องเจอกับอุปสรรคจากเศษโลหะ

    ในปี 2025 เยอรมนีกำลังเผชิญกับ “โรคระบาด” แบบใหม่—ไม่ใช่ไวรัส แต่คือการลักขโมยสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขายทองแดงเป็นเศษเหล็ก โดยมีรายงานว่ามีการตัดสายชาร์จมากถึง 70 จุดต่อวันทั่วประเทศ2

    โจรเลือกเป้าหมายที่ง่ายต่อการเข้าถึง เช่น ลานจอดรถซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่มีคนเฝ้าในเวลากลางคืน หรือจุดชาร์จที่ตั้งอยู่ริมถนน ซึ่งสะดวกทั้งสำหรับผู้ใช้รถและ...ผู้ไม่หวังดี

    สายชาร์จหนึ่งเส้นมีทองแดงมูลค่าประมาณ €40 (~$47) แต่เมื่อขายเป็นเศษเหล็กจะได้เพียงเศษเสี้ยวของมูลค่านั้น ขณะที่ค่าซ่อมแซมและการหยุดให้บริการของสถานีชาร์จอาจสูงกว่าหลายเท่า และใช้เวลาซ่อมนานถึงสองสัปดาห์

    บริษัท EnBW ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายชาร์จเร็วรายใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และผู้ผลิตสถานีชาร์จ Alpitronic ต่างเร่งปรับปรุงระบบ เช่น เพิ่มกล้องวงจรปิด และอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ตรวจจับการขโมยได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ล่วงหน้า

    บางฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า การโจมตีเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่การขโมยเพื่อขายเศษโลหะ แต่เป็นการเจาะระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งอาจมีเบื้องหลังที่ลึกกว่าที่คิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/german-motorists-facing-plague-of-electric-car-charger-cable-thefts-70-charging-points-a-day-being-gutted-to-sell-for-copper-scrap
    🎙️ เรื่องเล่าจากสายชาร์จที่หายไป: เมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดต้องเจอกับอุปสรรคจากเศษโลหะ ในปี 2025 เยอรมนีกำลังเผชิญกับ “โรคระบาด” แบบใหม่—ไม่ใช่ไวรัส แต่คือการลักขโมยสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขายทองแดงเป็นเศษเหล็ก โดยมีรายงานว่ามีการตัดสายชาร์จมากถึง 70 จุดต่อวันทั่วประเทศ2 โจรเลือกเป้าหมายที่ง่ายต่อการเข้าถึง เช่น ลานจอดรถซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่มีคนเฝ้าในเวลากลางคืน หรือจุดชาร์จที่ตั้งอยู่ริมถนน ซึ่งสะดวกทั้งสำหรับผู้ใช้รถและ...ผู้ไม่หวังดี สายชาร์จหนึ่งเส้นมีทองแดงมูลค่าประมาณ €40 (~$47) แต่เมื่อขายเป็นเศษเหล็กจะได้เพียงเศษเสี้ยวของมูลค่านั้น ขณะที่ค่าซ่อมแซมและการหยุดให้บริการของสถานีชาร์จอาจสูงกว่าหลายเท่า และใช้เวลาซ่อมนานถึงสองสัปดาห์ บริษัท EnBW ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายชาร์จเร็วรายใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และผู้ผลิตสถานีชาร์จ Alpitronic ต่างเร่งปรับปรุงระบบ เช่น เพิ่มกล้องวงจรปิด และอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ตรวจจับการขโมยได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ล่วงหน้า บางฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า การโจมตีเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่การขโมยเพื่อขายเศษโลหะ แต่เป็นการเจาะระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งอาจมีเบื้องหลังที่ลึกกว่าที่คิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/german-motorists-facing-plague-of-electric-car-charger-cable-thefts-70-charging-points-a-day-being-gutted-to-sell-for-copper-scrap
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์

    ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์

    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry”

    ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว

    Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก

    แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง

    แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023
    ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง
    ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360)
    Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027
    SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก
    Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025
    รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน
    บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก
    Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100%
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์
    การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม
    Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต
    ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น


    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    🎙️ จากมือถือสู่มอเตอร์ – Xiaomi กับภารกิจเปลี่ยนโลกยานยนต์ ถ้าคุณรู้จัก Xiaomi จากมือถือราคาดีฟีเจอร์ครบ คุณอาจไม่ทันรู้ว่าแบรนด์นี้กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และไม่ใช่แค่ “ลองทำดู” แต่เป็นการลงทุนเต็มตัวกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 และตามด้วย YU7 SUV ในกลางปี 2025 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ยอดจองกว่า 240,000 คันภายใน 18 ชั่วโมง ด้วยดีไซน์ที่หลายคนเปรียบเทียบว่า “เหมือน Porsche แต่ราคาพอ ๆ กับ Toyota Camry” ยอดขายพุ่งทะลุ 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 และรายได้จากธุรกิจ EV ก็แตะ 20.6 พันล้านหยวนในไตรมาสเดียว แม้จะยังขาดทุนอยู่ แต่ก็ใกล้จุดคุ้มทุนแล้ว Xiaomi ไม่หยุดแค่ในจีน พวกเขาวางแผนบุกตลาดยุโรปในปี 2027 โดยเริ่มจากการทดสอบ SU7 Ultra บนสนาม Nürburgring ที่เยอรมนี ซึ่งทำสถิติเร็วที่สุดในกลุ่มรถ EV ผลิตจำนวนมาก แต่เส้นทางนี้ไม่ง่ายนัก เพราะในสหรัฐฯ Xiaomi ถูกกีดกันด้วยภาษีนำเข้า 100% จากนโยบายสงครามการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ตลาดใหญ่นี้ยังเข้าไม่ถึง แม้จะมีอุปสรรค แต่ Xiaomi ก็ได้รับคำชมจากนักวิเคราะห์ว่า “แซงหน้า Tesla ในหลายด้าน” โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7 ในเดือนธันวาคม 2023 ➡️ ตามด้วยรุ่น YU7 SUV ในเดือนมิถุนายน 2025 ยอดจอง 240,000 คันใน 18 ชั่วโมง ➡️ ราคาของ YU7 อยู่ที่ประมาณ 253,500 หยวน (US$35,360) ➡️ Xiaomi วางแผนเข้าสู่ตลาดยุโรปในปี 2027 ➡️ SU7 Ultra ทำสถิติเร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สำหรับรถ EV ผลิตจำนวนมาก ➡️ Xiaomi ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 157,000 คันในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ รายได้จากธุรกิจ EV ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.6 พันล้านหยวน ➡️ บริษัทตั้งเป้าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ 5 อันดับแรกของโลก ➡️ Xiaomi ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ เพราะภาษีนำเข้า 100% ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า Xiaomi แซง Tesla ในหลายด้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SU7 ได้รับคำชมว่า “เหมือน Porsche Taycan” แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Xiaomi ใช้ประสบการณ์จากธุรกิจมือถือและ IoT มาปรับใช้ในรถยนต์ ➡️ การออกแบบรถเน้น software-defined vehicle (SDV) ที่คล้ายสมาร์ตโฟนมากกว่ารถยนต์ดั้งเดิม ➡️ Xiaomi มีแผนเปิดโรงงาน EV แห่งที่สองเพื่อเพิ่มกำลังผลิต ➡️ ตลาดยุโรปมีภาษีนำเข้าต่ำกว่าสหรัฐฯ และเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/chinas-xiaomi-is-betting-big-on-electric-cars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China's Xiaomi is betting big on electric cars
    Xiaomi may not be a household name in the US, but in China its products are everywhere. Already one of the world's top mobile phone manufacturers, the technology company also makes everything from toothbrushes to watches – even mattresses. Now it's betting big on electric vehicles, having already succeeded where even Apple failed.
    0 Comments 0 Shares 577 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น

    Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์

    Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้

    นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน
    Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ
    DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน
    ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance
    Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล
    ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้
    Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely
    BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน
    ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง
    ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps
    LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก
    การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่
    การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    🎙️ เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์ Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน ➡️ Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ ➡️ DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน ➡️ ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล ➡️ ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้ ➡️ Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely ➡️ BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน ➡️ ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง ➡️ ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps ➡️ LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก ➡️ การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ ➡️ การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tesla to integrate Deepseek, Doubao AI voice controls in China
    Tesla Inc plans to introduce in-car voice assistant functions powered by Deepseek and Bytedance Ltd's Doubao artificial intelligence as it aims to catch local rivals who offer similar features.
    0 Comments 0 Shares 539 Views 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 419 Views 0 Reviews
  • จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ

    ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ

    โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก

    การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส

    นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

    การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก

    ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ
    เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ
    โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน
    ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC
    ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก
    ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน
    ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป
    สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco
    มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5%
    เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี
    เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด
    ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา
    GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้

    https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    🏭 จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก ✅ ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ ➡️ เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC ➡️ ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก ➡️ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน ➡️ ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป ➡️ สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco ➡️ มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5% ➡️ เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี ➡️ เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด ➡️ ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา ➡️ GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้ https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    WCCFTECH.COM
    U.S. Chip Industry Reaches Another Massive Milestone as GlobalWafers Becomes the First Firm to Produce Silicon Wafers Domestically, Backed By Investments from Apple & TSMC
    America's chip industry is heading towards complete self-reliance, as GlobalWafers has announced plans to develop silicon wafers in Texas.
    0 Comments 0 Shares 523 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกการค้า: ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีชิปนำเข้า 100% เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศ

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาผลิตในสหรัฐฯ แทนการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน หรือเวียดนาม

    อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น Apple, NVIDIA, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ากำลังสร้างหรือมีแผนสร้างโรงงานในประเทศจริง โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในโครงการ American Manufacturing Program ซึ่งรวมถึงโรงงานในเท็กซัสและศูนย์วิจัยในหลายรัฐ

    การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากยุคก่อนที่เน้นการให้เงินสนับสนุนผ่าน CHIPS Act มาเป็นการใช้ “ไม้แข็ง” เพื่อบังคับให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมาในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และคอนโซลเกม

    ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปนำเข้าจากต่างประเทศ
    ยกเว้นเฉพาะบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ

    Apple ได้รับการยกเว้นภาษีจากการลงทุน $100 พันล้านในโครงการ AMP
    รวมถึงโรงงานในเท็กซัสและการขยายกำลังผลิตในรัฐเคนทักกี

    TSMC ลงทุนรวมกว่า $165 พันล้านในโรงงานที่รัฐแอริโซนา
    เตรียมสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่งและศูนย์วิจัย

    NVIDIA ประกาศสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI และชิปในรัฐเท็กซัส
    ถือเป็นการ “onshoring” ครั้งใหญ่ของบริษัท

    บริษัทที่ “แค่สัญญา” แต่ไม่ดำเนินการจริงจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
    ทรัมป์ย้ำว่า “ต้องจ่ายแน่นอน” หากไม่ทำตามแผน

    https://wccftech.com/president-trump-to-impose-a-whopping-100-tariff-on-all-chips-coming-into-the-us/
    🇺🇸💥 เรื่องเล่าจากโลกการค้า: ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีชิปนำเข้า 100% เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปและเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาผลิตในสหรัฐฯ แทนการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน หรือเวียดนาม อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น Apple, NVIDIA, TSMC และ Samsung จะได้รับการยกเว้นภาษี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ากำลังสร้างหรือมีแผนสร้างโรงงานในประเทศจริง โดย Apple ได้ประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในโครงการ American Manufacturing Program ซึ่งรวมถึงโรงงานในเท็กซัสและศูนย์วิจัยในหลายรัฐ การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางจากยุคก่อนที่เน้นการให้เงินสนับสนุนผ่าน CHIPS Act มาเป็นการใช้ “ไม้แข็ง” เพื่อบังคับให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมาในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า และคอนโซลเกม ✅ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับชิปนำเข้าจากต่างประเทศ ➡️ ยกเว้นเฉพาะบริษัทที่ผลิตหรือมีแผนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ✅ Apple ได้รับการยกเว้นภาษีจากการลงทุน $100 พันล้านในโครงการ AMP ➡️ รวมถึงโรงงานในเท็กซัสและการขยายกำลังผลิตในรัฐเคนทักกี ✅ TSMC ลงทุนรวมกว่า $165 พันล้านในโรงงานที่รัฐแอริโซนา ➡️ เตรียมสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่งและศูนย์วิจัย ✅ NVIDIA ประกาศสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI และชิปในรัฐเท็กซัส ➡️ ถือเป็นการ “onshoring” ครั้งใหญ่ของบริษัท ✅ บริษัทที่ “แค่สัญญา” แต่ไม่ดำเนินการจริงจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ➡️ ทรัมป์ย้ำว่า “ต้องจ่ายแน่นอน” หากไม่ทำตามแผน https://wccftech.com/president-trump-to-impose-a-whopping-100-tariff-on-all-chips-coming-into-the-us/
    WCCFTECH.COM
    President Trump to Impose a Whopping 100% Tariff on All Chips Coming into the US; No Extra Charge on Semiconductors Produced Domestically
    While talking alongside Apple's CEO Tim Cook, Trump has announced a massive chip tariff, a figure that the markets weren't expecting at all.
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบรกที่ไม่ปล่อยฝุ่น: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าช่วยให้เมืองหายใจสะอาดขึ้น

    งานวิจัยจาก EIT Urban Mobility ที่สำรวจในลอนดอน, มิลาน และบาร์เซโลนา พบว่า:
    - รถยนต์ไฟฟ้าลดฝุ่นเบรกได้ถึง 83%
    - ฝุ่นเบรกเป็นแหล่ง PM10 ที่สำคัญในเมือง โดยคิดเป็น 55% ของมลพิษจากการจราจรที่ไม่ใช่ไอเสีย
    - ฝุ่นเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และบางครั้งต่ำกว่า 100 นาโนเมตร — สามารถเข้าสู่ปอดลึกและก่อให้เกิดการอักเสบ

    เทคโนโลยีเบื้องหลังคือ regenerative braking:
    - ใช้มอเตอร์หมุนย้อนกลับเพื่อชะลอรถ และเปลี่ยนพลังงานกลับไปเก็บในแบตเตอรี่
    - ลดการใช้เบรกแบบแรงเสียดทานลงครึ่งหนึ่ง
    - ยืดอายุแบตเตอรี่และลดการปล่อยฝุ่นโลหะ เช่น ทองแดง, เหล็ก, สังกะสี

    แม้จะมีข้อกังวลเรื่องน้ำหนักของ BEVs ที่อาจทำให้ยางสึกเร็วขึ้น แต่การศึกษาพบว่า:
    - ฝุ่นจากเบรกมีแนวโน้มฟุ้งกระจายมากกว่าฝุ่นจากยาง
    - เมื่อรวมฝุ่นจากยาง, เบรก และพื้นถนน BEVs ยังปล่อยฝุ่นน้อยกว่ารถน้ำมันถึง 38% — ยังไม่รวมการไม่มีท่อไอเสีย

    ผลกระทบเชิงสุขภาพ:
    - ฝุ่นเบรกที่มีทองแดงสูงก่อให้เกิด oxidative stress เทียบเท่าหรือมากกว่าฝุ่นดีเซล
    - ส่งผลต่อผู้มีรายได้น้อยในเมือง ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
    - แสดงถึงความจำเป็นในการเข้าถึงรถสะอาดอย่างเท่าเทียม

    นโยบายในอนาคต:
    - Euro 7 เตรียมออกมาตรฐานใหม่สำหรับฝุ่นจากเบรกและยาง
    - ผู้ผลิตเริ่มใช้เบรกแบบ enclosed drum และยางสูตรลดการสึกหรอ
    - การเปลี่ยนจากรถส่วนตัวไปสู่ระบบขนส่งสาธารณะจะลดฝุ่นได้ถึง 5 เท่า

    https://modernengineeringmarvels.com/2025/07/22/surprising-science-how-electric-cars-quietly-transform-urban-air/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบรกที่ไม่ปล่อยฝุ่น: เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าช่วยให้เมืองหายใจสะอาดขึ้น งานวิจัยจาก EIT Urban Mobility ที่สำรวจในลอนดอน, มิลาน และบาร์เซโลนา พบว่า: - รถยนต์ไฟฟ้าลดฝุ่นเบรกได้ถึง 83% - ฝุ่นเบรกเป็นแหล่ง PM10 ที่สำคัญในเมือง โดยคิดเป็น 55% ของมลพิษจากการจราจรที่ไม่ใช่ไอเสีย - ฝุ่นเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และบางครั้งต่ำกว่า 100 นาโนเมตร — สามารถเข้าสู่ปอดลึกและก่อให้เกิดการอักเสบ เทคโนโลยีเบื้องหลังคือ regenerative braking: - ใช้มอเตอร์หมุนย้อนกลับเพื่อชะลอรถ และเปลี่ยนพลังงานกลับไปเก็บในแบตเตอรี่ - ลดการใช้เบรกแบบแรงเสียดทานลงครึ่งหนึ่ง - ยืดอายุแบตเตอรี่และลดการปล่อยฝุ่นโลหะ เช่น ทองแดง, เหล็ก, สังกะสี แม้จะมีข้อกังวลเรื่องน้ำหนักของ BEVs ที่อาจทำให้ยางสึกเร็วขึ้น แต่การศึกษาพบว่า: - ฝุ่นจากเบรกมีแนวโน้มฟุ้งกระจายมากกว่าฝุ่นจากยาง - เมื่อรวมฝุ่นจากยาง, เบรก และพื้นถนน BEVs ยังปล่อยฝุ่นน้อยกว่ารถน้ำมันถึง 38% — ยังไม่รวมการไม่มีท่อไอเสีย ผลกระทบเชิงสุขภาพ: - ฝุ่นเบรกที่มีทองแดงสูงก่อให้เกิด oxidative stress เทียบเท่าหรือมากกว่าฝุ่นดีเซล - ส่งผลต่อผู้มีรายได้น้อยในเมือง ซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง - แสดงถึงความจำเป็นในการเข้าถึงรถสะอาดอย่างเท่าเทียม นโยบายในอนาคต: - Euro 7 เตรียมออกมาตรฐานใหม่สำหรับฝุ่นจากเบรกและยาง - ผู้ผลิตเริ่มใช้เบรกแบบ enclosed drum และยางสูตรลดการสึกหรอ - การเปลี่ยนจากรถส่วนตัวไปสู่ระบบขนส่งสาธารณะจะลดฝุ่นได้ถึง 5 เท่า https://modernengineeringmarvels.com/2025/07/22/surprising-science-how-electric-cars-quietly-transform-urban-air/
    MODERNENGINEERINGMARVELS.COM
    Surprising Science: How Electric Cars Quietly Transform Urban Air
    “It’s not just the tailpipe y’all,” joked one Electrek commenter, alluding to the black discolorations on alloy wheels visible proof of a less infamous city pollutant: brake dust. For d…
    0 Comments 0 Shares 633 Views 0 Reviews
  • ในโลกของพลังงานและ AI ที่ทุกวินาทีต้องการประสิทธิภาพสูง การใช้ “ซิลิคอน” อาจไม่พออีกต่อไปแล้วครับ → บริษัทอย่าง Infineon จึงหันมาโฟกัสที่ GaN (Gallium Nitride) ซึ่งเด่นเรื่อง

    - เปิด–ปิดสัญญาณไฟเร็วกว่า
    - รองรับแรงดันสูง–ความร้อนสูง
    - มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า Si หลายเท่า → ใช้งานได้ดีใน AI Data Center, ยานยนต์ EV, อุตสาหกรรมควบคุมมอเตอร์

    ล่าสุด Infineon พัฒนาไลน์ผลิตเวเฟอร์ GaN ขนาด 300 มม. (จากเดิม 200 มม.) ซึ่ง → ทำให้ได้จำนวนชิปต่อแผ่นมากขึ้น 2.3 เท่า → ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิปลดลง → พร้อมส่งตัวอย่างให้ลูกค้าทดสอบใน Q4 ปี 2025

    ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ TSMC กลับตัดสินใจ “เลิกเล่นเกม GaN” โดยจะปิดสายผลิตและรื้อโรงงานออกใน 2 ปีข้างหน้า → เป็นโอกาสทองให้ Infineon กลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดนี้

    Infineon จะเริ่มผลิต GaN บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. เป็นรายแรกของโลก  
    • ส่งผลให้ได้ yield สูงขึ้น 2.3 เท่า เทียบกับแบบ 200 มม.  
    • พร้อมเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในไตรมาส 4 ปี 2025

    ใช้โครงสร้าง IDM (Integrated Device Manufacturer)  
    • ควบคุมทุกขั้นตอน: ตั้งแต่ fab ไปจนถึงสินค้า  
    • ลดต้นทุน–เร่งเวลาไปตลาด  
    • ทำให้ GaN มีต้นทุนใกล้เคียงกับซิลิคอนแบบเดิม

    ตลาด GaN คาดจะเติบโต 36% ต่อปี และมีมูลค่า $2.5B ภายในปี 2030  
    • ข้อมูลจาก Yole Group  
    • ผลักดันจากความต้องการใน AI, EV, ระบบพลังงานขั้นสูง

    TSMC เตรียมถอนตัวจากตลาด GaN ใน 2 ปีข้างหน้า  
    • ชี้ชัดว่าบริษัทจะโฟกัสที่โปรเซสเซอร์ margin สูง  
    • เปิดพื้นที่ให้ Infineon และผู้เล่นเฉพาะทางยึดตลาด power semiconductor

    แอปพลิเคชันเป้าหมายของ Infineon รวมถึง:  
    • แหล่งจ่ายไฟของระบบ AI  
    • เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า  
    • ระบบควบคุมมอเตอร์อุตสาหกรรม

    https://www.techpowerup.com/338633/infineon-to-start-300-mm-gan-wafer-production-as-tsmc-exits-market
    ในโลกของพลังงานและ AI ที่ทุกวินาทีต้องการประสิทธิภาพสูง การใช้ “ซิลิคอน” อาจไม่พออีกต่อไปแล้วครับ → บริษัทอย่าง Infineon จึงหันมาโฟกัสที่ GaN (Gallium Nitride) ซึ่งเด่นเรื่อง - เปิด–ปิดสัญญาณไฟเร็วกว่า - รองรับแรงดันสูง–ความร้อนสูง - มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า Si หลายเท่า → ใช้งานได้ดีใน AI Data Center, ยานยนต์ EV, อุตสาหกรรมควบคุมมอเตอร์ ล่าสุด Infineon พัฒนาไลน์ผลิตเวเฟอร์ GaN ขนาด 300 มม. (จากเดิม 200 มม.) ซึ่ง → ทำให้ได้จำนวนชิปต่อแผ่นมากขึ้น 2.3 เท่า → ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิปลดลง → พร้อมส่งตัวอย่างให้ลูกค้าทดสอบใน Q4 ปี 2025 ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ TSMC กลับตัดสินใจ “เลิกเล่นเกม GaN” โดยจะปิดสายผลิตและรื้อโรงงานออกใน 2 ปีข้างหน้า → เป็นโอกาสทองให้ Infineon กลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดนี้ ✅ Infineon จะเริ่มผลิต GaN บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. เป็นรายแรกของโลก   • ส่งผลให้ได้ yield สูงขึ้น 2.3 เท่า เทียบกับแบบ 200 มม.   • พร้อมเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในไตรมาส 4 ปี 2025 ✅ ใช้โครงสร้าง IDM (Integrated Device Manufacturer)   • ควบคุมทุกขั้นตอน: ตั้งแต่ fab ไปจนถึงสินค้า   • ลดต้นทุน–เร่งเวลาไปตลาด   • ทำให้ GaN มีต้นทุนใกล้เคียงกับซิลิคอนแบบเดิม ✅ ตลาด GaN คาดจะเติบโต 36% ต่อปี และมีมูลค่า $2.5B ภายในปี 2030   • ข้อมูลจาก Yole Group   • ผลักดันจากความต้องการใน AI, EV, ระบบพลังงานขั้นสูง ✅ TSMC เตรียมถอนตัวจากตลาด GaN ใน 2 ปีข้างหน้า   • ชี้ชัดว่าบริษัทจะโฟกัสที่โปรเซสเซอร์ margin สูง   • เปิดพื้นที่ให้ Infineon และผู้เล่นเฉพาะทางยึดตลาด power semiconductor ✅ แอปพลิเคชันเป้าหมายของ Infineon รวมถึง:   • แหล่งจ่ายไฟของระบบ AI   • เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า   • ระบบควบคุมมอเตอร์อุตสาหกรรม https://www.techpowerup.com/338633/infineon-to-start-300-mm-gan-wafer-production-as-tsmc-exits-market
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Infineon to Start 300 mm GaN Wafer Production as TSMC Exits Market
    Infineon has announced that its gallium nitride (GaN) power semiconductor production is on schedule, confirming that its 300 mm wafer fab will deliver customer samples in Q4 2025. The German semiconductor manufacturer becomes the first company to successfully integrate 300 mm GaN wafer technology in...
    0 Comments 0 Shares 441 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์ฟาดอีลอน มัสก์อีกครั้ง!

    “อีลอน มัสก์รู้ดีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสนับสนุนผมแล้วว่าผมคัดค้านกฎหมาย EV อย่างหนักมาโดยตลอด มันไร้สาระ รถยนต์ไฟฟ้าก็ดี แต่ผู้คนไม่ควรถูกบังคับให้ซื้อ อีลอนอาจได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าใครๆ ในประวัติศาสตร์

    ถ้าไม่มีเงินอุดหนุน เขาอาจต้องปิดกิจการและเดินทางกลับแอฟริกาใต้

    ไม่มีจรวด ดาวเทียม หรือ EV อีกต่อไป บางที DOGE ควรพิจารณาเรื่องนี้ ต้องประหยัดเงินจำนวนมาก”
    ทรัมป์ฟาดอีลอน มัสก์อีกครั้ง! “อีลอน มัสก์รู้ดีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะสนับสนุนผมแล้วว่าผมคัดค้านกฎหมาย EV อย่างหนักมาโดยตลอด มันไร้สาระ รถยนต์ไฟฟ้าก็ดี แต่ผู้คนไม่ควรถูกบังคับให้ซื้อ อีลอนอาจได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากกว่าใครๆ ในประวัติศาสตร์ ถ้าไม่มีเงินอุดหนุน เขาอาจต้องปิดกิจการและเดินทางกลับแอฟริกาใต้ ไม่มีจรวด ดาวเทียม หรือ EV อีกต่อไป บางที DOGE ควรพิจารณาเรื่องนี้ ต้องประหยัดเงินจำนวนมาก”
    0 Comments 0 Shares 487 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.125 : สงครามราคา รถ EV จีน
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ จะมาเล่าถึงที่มาที่ไปของ “สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าจีน” ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ว่าจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บหนัก พังยับทั้งวงการหรือไม่ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนยังซื้อได้ไหม และถ้ามีแผนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า จะเลือกยังไงดี?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=H8fap-EPu6Q
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #สงครามราคารถEV
    บูรพาไม่แพ้ Ep.125 : สงครามราคา รถ EV จีน . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ จะมาเล่าถึงที่มาที่ไปของ “สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าจีน” ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ว่าจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บหนัก พังยับทั้งวงการหรือไม่ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนยังซื้อได้ไหม และถ้ามีแผนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า จะเลือกยังไงดี? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=H8fap-EPu6Q . #บูรพาไม่แพ้ #สงครามราคารถEV
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • Peugeot เปิดตัว E-208 GTi: รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch
    Peugeot เผยโฉม E-208 GTi ที่งาน 24h of Le Mans โดยออกแบบให้ สืบทอด DNA ของ GTi รุ่นก่อนหน้า พร้อม สมรรถนะระดับแนวหน้า

    รายละเอียดของ E-208 GTi
    ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า M4+ ให้กำลัง 280 แรงม้า
    - มอเตอร์ติดตั้งที่ล้อหน้า ทำให้สามารถ เร่ง 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 5.7 วินาที
    - ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 112 ไมล์ต่อชั่วโมง

    แบตเตอรี่ 54kWh ให้ระยะทาง 217 ไมล์ต่อการชาร์จ
    - ระยะทางต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น Renault 5 E-Tech และ Cupra Born VZ
    - ระบบจัดการความร้อนและการกู้คืนพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบตเตอรี่

    ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจาก Peugeot 205 GTi
    - สีตัวถังสดใส, พรมและเข็มขัดนิรภัยสีแดง
    - เบาะนั่งออกแบบใหม่พร้อมที่รองศีรษะในตัว

    โครงสร้างตัวถังปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความคล่องตัว
    - ซุ้มล้อกว้างขึ้น, ช่วงล่างเตี้ยลง และระยะยื่นสั้นลง
    - ล้ออัลลอย “Hole” และสปอยเลอร์ช่วยเพิ่มความสปอร์ต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
    ระยะทางต่อการชาร์จอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม
    - 217 ไมล์ต่อการชาร์จอาจไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล

    น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่น 205 GTi
    - E-208 GTi มีน้ำหนัก 1,596 กิโลกรัม เทียบกับ 848 กิโลกรัมของ 205 GTi

    ต้องติดตามว่าราคาจะอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่
    - Abarth 600e Scorpionisma มีราคาประมาณ £40,000 ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดราคาของ E-208 GTi

    อนาคตของ Hot Hatch ไฟฟ้า
    Peugeot Sport ปรับแต่งระบบกันสะเทือนและเบรกเพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่
    E-208 GTi อาจช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/peugeot-reinvents-its-gti-badge-for-the-ev-age-and-the-e-208-is-the-best-looking-electric-hot-hatch-so-far
    🚗 Peugeot เปิดตัว E-208 GTi: รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch Peugeot เผยโฉม E-208 GTi ที่งาน 24h of Le Mans โดยออกแบบให้ สืบทอด DNA ของ GTi รุ่นก่อนหน้า พร้อม สมรรถนะระดับแนวหน้า 🔍 รายละเอียดของ E-208 GTi ✅ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า M4+ ให้กำลัง 280 แรงม้า - มอเตอร์ติดตั้งที่ล้อหน้า ทำให้สามารถ เร่ง 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงใน 5.7 วินาที - ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 112 ไมล์ต่อชั่วโมง ✅ แบตเตอรี่ 54kWh ให้ระยะทาง 217 ไมล์ต่อการชาร์จ - ระยะทางต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น Renault 5 E-Tech และ Cupra Born VZ - ระบบจัดการความร้อนและการกู้คืนพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบตเตอรี่ ✅ ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจาก Peugeot 205 GTi - สีตัวถังสดใส, พรมและเข็มขัดนิรภัยสีแดง - เบาะนั่งออกแบบใหม่พร้อมที่รองศีรษะในตัว ✅ โครงสร้างตัวถังปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความคล่องตัว - ซุ้มล้อกว้างขึ้น, ช่วงล่างเตี้ยลง และระยะยื่นสั้นลง - ล้ออัลลอย “Hole” และสปอยเลอร์ช่วยเพิ่มความสปอร์ต 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ‼️ ระยะทางต่อการชาร์จอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม - 217 ไมล์ต่อการชาร์จอาจไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกล ‼️ น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่น 205 GTi - E-208 GTi มีน้ำหนัก 1,596 กิโลกรัม เทียบกับ 848 กิโลกรัมของ 205 GTi ‼️ ต้องติดตามว่าราคาจะอยู่ในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่ - Abarth 600e Scorpionisma มีราคาประมาณ £40,000 ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดราคาของ E-208 GTi 🚀 อนาคตของ Hot Hatch ไฟฟ้า ✅ Peugeot Sport ปรับแต่งระบบกันสะเทือนและเบรกเพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ ✅ E-208 GTi อาจช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/peugeot-reinvents-its-gti-badge-for-the-ev-age-and-the-e-208-is-the-best-looking-electric-hot-hatch-so-far
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 478 Views 0 Reviews
More Results