• พบพิรุธ “สีกาเก็น” จำนอง-ฝากขาย อสังหาฯ ในราคาต่ำกว่าจริงถึงครึ่งต่อครึ่ง
    https://www.thai-tai.tv/news/18902/
    พบพิรุธ “สีกาเก็น” จำนอง-ฝากขาย อสังหาฯ ในราคาต่ำกว่าจริงถึงครึ่งต่อครึ่ง https://www.thai-tai.tv/news/18902/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผยพบพิรุธ “สีกาเก็น” จำนอง-ฝากขาย อสังหาฯ ให้บุคคลอื่นหลายรายการในราคาต่ำกว่าจริงถึงครึ่งต่อครึ่ง ตำรวจเร่งสืบทรัพย์ ตามอายัดคืนวัดไร่ขิง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000048644

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    เผยพบพิรุธ “สีกาเก็น” จำนอง-ฝากขาย อสังหาฯ ให้บุคคลอื่นหลายรายการในราคาต่ำกว่าจริงถึงครึ่งต่อครึ่ง ตำรวจเร่งสืบทรัพย์ ตามอายัดคืนวัดไร่ขิง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000048644 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 644 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูมิใจไทยร้อนตัวฮั้วสว. แฉพิรุธจี้จุดตาxจึงนิ่งไม่ได้ ระดมทัพ “หนูหมู่” รุมฟัดรุมฟ้องคนร้องเรียน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ภูมิใจไทย
    #ฮั้วสว
    #เสี่ยหนู
    #อนุทิน
    ภูมิใจไทยร้อนตัวฮั้วสว. แฉพิรุธจี้จุดตาxจึงนิ่งไม่ได้ ระดมทัพ “หนูหมู่” รุมฟัดรุมฟ้องคนร้องเรียน #คิงส์โพธิ์แดง #ภูมิใจไทย #ฮั้วสว #เสี่ยหนู #อนุทิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • ทั่วโลกไม่ทํา(เว้นไทย) ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [NEWS UPDATE]

    พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศขอเปิดบัญชี มีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี ซึ่งใน 15 บัญชีของผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ขยายผลเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ประสานจีนออกหมายจับชาวจีนที่หนี ประสานธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา

    -บัญชีวัดไร่ขิงพิรุธเพียบ

    -ทำไมต้องเอาเป็นเอาตาย

    -ส.อ.ท.หนุนชะลอแจกเงินหมื่น

    -ทีมสุดซอยค้นฟรีโซน
    ทั่วโลกไม่ทํา(เว้นไทย) ใช้วีซ่าเปิดบัญชีม้า : [NEWS UPDATE] พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เผยถึงการจับกุมเจ้าหน้าที่ธนาคาร และจับกลุ่มผู้ต้องหาอํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องหาชาวจีน โดยพาไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศขอเปิดบัญชี มีผู้จัดการธนาคารและพนักงานร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้ส่วนแบ่งจากการเปิดบัญชี ซึ่งใน 15 บัญชีของผู้ต้องหาชาวจีนมีเงินเข้า 118 ล้านบาท ขยายผลเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี มีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหาย 2,200 ล้านบาท พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ประสานจีนออกหมายจับชาวจีนที่หนี ประสานธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีใครทํา -บัญชีวัดไร่ขิงพิรุธเพียบ -ทำไมต้องเอาเป็นเอาตาย -ส.อ.ท.หนุนชะลอแจกเงินหมื่น -ทีมสุดซอยค้นฟรีโซน
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • "ศุภณัฐ" เปิดพิรุธสร้างตึก สตง.บีบกรมโยธาฯออกแบบใน 6 เดือน แต่ปฏิเสธ เปิดทางเอกชนเสียหายนับพันล้าน
    https://www.thai-tai.tv/news/18735/
    "ศุภณัฐ" เปิดพิรุธสร้างตึก สตง.บีบกรมโยธาฯออกแบบใน 6 เดือน แต่ปฏิเสธ เปิดทางเอกชนเสียหายนับพันล้าน https://www.thai-tai.tv/news/18735/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : มีแต่อะไรแปลกๆ ฮั้ว สว. คดีนี้คนช่วยเยอะ จนทุกอย่าง พิรุธไปหมด

    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    #คดีฮั้วสว
    Newsstory : มีแต่อะไรแปลกๆ ฮั้ว สว. คดีนี้คนช่วยเยอะ จนทุกอย่าง พิรุธไปหมด #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #คดีฮั้วสว
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 3 0 รีวิว
  • กมธ.กาสิโน ชี้พิรุธร่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล ส่อขัด รธน.หลายมาตรา “แก้วสรร” แฉคน “ตระกูลชิน” หาคนออกแบบกาสิโนคลองเตยไว้แล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000045354

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    กมธ.กาสิโน ชี้พิรุธร่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล ส่อขัด รธน.หลายมาตรา “แก้วสรร” แฉคน “ตระกูลชิน” หาคนออกแบบกาสิโนคลองเตยไว้แล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000045354 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองผู้ว่าสตง.หอบเอกสารแจง กมธ.ฯมาตรฐานการก่อสร้างฯ เปิด 8 ขั้นตอนข้อมูลก่อสร้าง พบแก้แบบ 9 ครั้ง ทั้งปล่องลิฟต์-โครงสร้าง-การก่ออิฐ ก่อนขยายเวลาเพิ่ม พบพิรุธ อิตาเลียน ไทย-ไชน่า เรลเวย์ฯ ยื่นซื้อเอกสารประกวดราคา ก่อนยุบรวมเป็นกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประมูลงานก่อสร้าง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000042787

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รองผู้ว่าสตง.หอบเอกสารแจง กมธ.ฯมาตรฐานการก่อสร้างฯ เปิด 8 ขั้นตอนข้อมูลก่อสร้าง พบแก้แบบ 9 ครั้ง ทั้งปล่องลิฟต์-โครงสร้าง-การก่ออิฐ ก่อนขยายเวลาเพิ่ม พบพิรุธ อิตาเลียน ไทย-ไชน่า เรลเวย์ฯ ยื่นซื้อเอกสารประกวดราคา ก่อนยุบรวมเป็นกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประมูลงานก่อสร้าง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000042787 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" เชิญผู้จัดการบริษัท 3117 บิม เมเนจเม้นท์ฯ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมงานก่อสร้าง ช่วยวิเคราะห์ปมตึก สตง.ถล่ม ชี้พิรุธเพียบ เริ่มสัญญาไป 501 วัน แล้วเสนอแก้แบบลดเสาเข็มงานชั้นใต้ดิน เชื่อจุดวิบัติอยู่ที่การแก้ครั้งที่ 4 ปรับผนังปล่องลิฟต์ แถมล็อกสเปกขนาดช่องลิฟต์ เพื่อเอายี่ห้อที่ผู้รับจ้างเลือกไว้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000042033

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "ดีเอสไอ" เชิญผู้จัดการบริษัท 3117 บิม เมเนจเม้นท์ฯ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมงานก่อสร้าง ช่วยวิเคราะห์ปมตึก สตง.ถล่ม ชี้พิรุธเพียบ เริ่มสัญญาไป 501 วัน แล้วเสนอแก้แบบลดเสาเข็มงานชั้นใต้ดิน เชื่อจุดวิบัติอยู่ที่การแก้ครั้งที่ 4 ปรับผนังปล่องลิฟต์ แถมล็อกสเปกขนาดช่องลิฟต์ เพื่อเอายี่ห้อที่ผู้รับจ้างเลือกไว้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000042033 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิรุธสตง. มีวิศวกรโยธาหลายร้อยคน แต่ถูกห้ามยุ่งตึกใหม่
    วิศวกรสตง.แฉเอง ผู้บริหารสั่งย้ายลิฟต์จากกลางตึกไปริมตึก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สตง
    พิรุธสตง. มีวิศวกรโยธาหลายร้อยคน แต่ถูกห้ามยุ่งตึกใหม่ วิศวกรสตง.แฉเอง ผู้บริหารสั่งย้ายลิฟต์จากกลางตึกไปริมตึก #คิงส์โพธิ์แดง #สตง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • จับพิรุธ สตง. ลากอดีตผู้ว่าเกษียณ 8 ปี มาแก้ตัวแทน เพราะเจ้าหน้าที่สตง.อับอาย ไม่กล้าออกทำงานตรวจเงินใคร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    จับพิรุธ สตง. ลากอดีตผู้ว่าเกษียณ 8 ปี มาแก้ตัวแทน เพราะเจ้าหน้าที่สตง.อับอาย ไม่กล้าออกทำงานตรวจเงินใคร #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • 23 เมษายน 2568-แถลงการณ์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้จับกุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปให้ผู้อื่นทำก่อนจะส่งต่อไปให้อดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอกนายหนึ่งคัดลอก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2566 นั้นหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) รู้สึกเสียใจยิ่งกับเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้หลักสูตรฯ ในครั้งนี้ และขอเรียนว่า หลักสูตรฯ ได้รับการประสานจาก บช.สอท. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และหลักสูตรฯ ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาโดยตลอดหลักสูตรฯ ขอเรียนว่า "ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีครั้งนี้ มิใช่ศิษย์เก่าและมิได้เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย" แต่ได้อาศัยโอกาสกระทำการดังกล่าวจากการเข้ามาติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหลักสูตรโดยที่เจ้าหน้าที่มีได้สังเกตพิรุธ (รายละเอียดอยู่ในขั้นตอนคดี) ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของหลักสูตรได้ให้ข้อมูลและแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานข้อมูลเพิ่มเติมทางการสอบสวน และหากมีการกระทำผิดเกี่ยวกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในกรณีนี้หรือกรณีอื่น คณะนิติศาสตร์จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับการจัดการในกรณีอื่น ๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะนิติศาสตร์ ขอยืนยันเจตจำนงในอันที่จะรักษามาตรฐานการจัดการศึกษา การให้ปริญญา ตลอดจน คุณภาพบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาของไทยอนึ่ง หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 สำหรับบุคคลทั่วไปที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาแล้วเข้าศึกษานอกเวลาราชการเพื่อให้ได้รับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตอีกปริญญาหนึ่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย23 เมษายน 2568
    23 เมษายน 2568-แถลงการณ์จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้จับกุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกไปให้ผู้อื่นทำก่อนจะส่งต่อไปให้อดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอกนายหนึ่งคัดลอก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2566 นั้นหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) รู้สึกเสียใจยิ่งกับเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้หลักสูตรฯ ในครั้งนี้ และขอเรียนว่า หลักสูตรฯ ได้รับการประสานจาก บช.สอท. ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และหลักสูตรฯ ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาโดยตลอดหลักสูตรฯ ขอเรียนว่า "ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีครั้งนี้ มิใช่ศิษย์เก่าและมิได้เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย" แต่ได้อาศัยโอกาสกระทำการดังกล่าวจากการเข้ามาติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหลักสูตรโดยที่เจ้าหน้าที่มีได้สังเกตพิรุธ (รายละเอียดอยู่ในขั้นตอนคดี) ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของหลักสูตรได้ให้ข้อมูลและแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งประสานข้อมูลเพิ่มเติมทางการสอบสวน และหากมีการกระทำผิดเกี่ยวกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในกรณีนี้หรือกรณีอื่น คณะนิติศาสตร์จะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับการจัดการในกรณีอื่น ๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะนิติศาสตร์ ขอยืนยันเจตจำนงในอันที่จะรักษามาตรฐานการจัดการศึกษา การให้ปริญญา ตลอดจน คุณภาพบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาของไทยอนึ่ง หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคบัณฑิต (นอกเวลาราชการ) เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 สำหรับบุคคลทั่วไปที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาแล้วเข้าศึกษานอกเวลาราชการเพื่อให้ได้รับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตอีกปริญญาหนึ่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย23 เมษายน 2568
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม
    ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ
    .
    เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
    .
    จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง
    .
    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน
    .
    มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท
    .
    คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น
    .
    แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    ฉีกหน้ากาก”โกงซ้อนโกง” ตึก สตง.ถล่ม ปลอมลายเซ็นวิศวกร บิดเบือนไม่รับผิดชอบ . เรื่องตึก สตง.(สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน)ถล่ม อีกสิบปีก็พูดได้ว่ามันเป็นมหากาพย์การโกง ผมว่ามันโคตรจะระยำตำบอนเลย ผม 78 ปี ปีนี้ ผมทำข่าวมาห้าสิบกว่าปี ผมไม่เคยเจอขบวนการคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้ เรื่องขบวนการทุจริตในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างและตกแต่งอาคาร สตง. แห่งใหม่ ในเขตจตุจักร อย่างที่ผมฟันธงและบอกไปแล้วว่ามันมีเงื่อนงำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ . จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำเป็นกรณีศึกษา Case study สถาบันการศึกษา อาจารย์น่าจะเอาข้อมูลพวกนี้ แล้วมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ามันโกงกันอย่างไร ความเป็น สตง. นี่ไงที่ผมบอกว่าผมจะฟ้องท่านผู้ชม ให้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานมันพูดถึงคน สตง. เลวๆ ที่มันระยำตำบอนและโกงชาติบ้านเมือง ทำผิดคุณธรรม จริยธรรม ในหน้าที่ที่ตัวเองต้องตรวจสอบการทุจริต แต่กลับทุจริตเสียเอง . ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดจ้างเพื่อก่อสร้างโครงการนี้ยิ่งขึ้นไปอีก คือมันมีการปลอมลายเซ็นสำหรับกรณีวิศวกรทั้งสองคนที่มีชื่อไปเกี่ยวข้องและรับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมการก่อสร้างและออกแบบอาคาร คือ หนึ่ง คุณสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่ถูกอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นว่าเป็นผู้ควบคุมงานของกิจการร่วมค้า PWK สอง คือคุณพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรอายุ 85 ปี ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ออกแบบอาคาร 2 สตง. จริงหรือไม่ เจ้าตัวกลับปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องด้วย และไม่ได้ทำงานออกแบบมาหลายปีแล้ว ท่านผู้ชมครับเห็นหรือยังครับ มหากาพย์ของการโกง โกงกันตั้งแต่เริ่มออกแบบแล้ว ตรงนี้มันมีพิรุธไหม ? เพราะกรมโยธาธิการฯได้แจ้งว่า ที่ขอมาขอให้มีการเร่งออกแบบตึก สตง.ที่มีงบสองพันล้านบาทภายใน 180 วันไม่ทัน ก็เป็นสิทธิ์หน่วยงานนี้จะเอาสิทธิ์ตรงนั้นไปแจ้งบริษัทเอกชนออกแบบแทน นี่คือการเจตนาที่จะทุจริตที่เห็นได้ชัดเจน . มีคนหนึ่งที่ผมอยากให้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ใจแทบขาด เพราะน่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง คือ คุณปฏิวัติ ศิริไทย ซีอีโอ และเจ้าของบริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสามบริษัทที่ไปรวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า PKWได้งานควบคุมก่อสร้างตึก สตง. ในวงเงิน 74.65 ล้านบาท . คุณปฏิวัติครับ คุณอย่านั่งนิ่งเฉย เพราะผมได้ยินว่าคุณเป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคุณประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าฯ สตง. รู้จักนายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าฯ สตง. มือไม้ของคุณประจักษ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างประธาน คตง. คือ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน คตง. หรือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อยไปจนถึงคนใกล้ชิด ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน ซึ่งเป็นเครือญาติและคนใกล้ชิด พล.อ.ชนะทัพ ด้วย แม้หน่วยงานโคตรอภิสิทธิ์อย่าง สตง. ยืนยันที่ทำนั้น ล้วนแต่ดำเนินด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ผูดผ่องทั้งสิ้น . แต่ถ้ามันเน่าข้างในหมดแล้ว จะเอาหนังอะไรมากลบ ใส่เสื้อกี่ตัว กลิ่นมันออก พอกลิ่นมันออก ถอดเสื้อออกก็เหม็นเสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดเสื้อเชิ้ตออก เสื้อเชิ้ตก็เหม็น ถอดคอกลมออก คอกลมก็เหม็น พอถอดออกหมดแล้ว อ้าว ตายห่า มันเน่าหมดแล้วนี่ มันเน่าก็คือว่า ทำมาหาแดกกันทุกระดับ ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ใน สตง. จะเป็นใครก็ตาม ท่านผู้ชมเดาเอาเองก็แล้วกัน
    Like
    Love
    25
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1362 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : จับพิรุธจัดหนัก ปลอมลายเซ็นวิศวะ DSI ไม่นิ่งนอนใจแน่ๆ

    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    #พิรุธ #ลายเซ็นวิศวะ #dsi
    Newsstory : จับพิรุธจัดหนัก ปลอมลายเซ็นวิศวะ DSI ไม่นิ่งนอนใจแน่ๆ #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #พิรุธ #ลายเซ็นวิศวะ #dsi
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 10 0 รีวิว
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1264 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ 4 เมษายน 2568 พิรุธใหม่ “ซินเคอหยวน” ซุก “ฝุ่นแดง” เกือบครึ่งแสนตัน.จากกรณีการเกิดแผ่นดินไหวจนอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ถล่มลง ชื่อของบริษัททุนจีนที่ปรากฏเป็นข่าวและถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง นอกจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) แล้ว ยังมีชื่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เคียงคู่มาด้วย ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นยี่ห้อ SKY.ทั้งนี้ เหล็กข้ออ้อยขนาด 20 และ 32 มิลลิเมตรที่กระทรวงอุตสาหกรรมเก็บตัวอย่างมาจากตึก สตง. ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ก็คือเหล็ก SKY นั่นเอง.จากผลการตรวจพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าตรวจสอบโรงงานซินเคอหยวน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยตั้งเป้าตรวจสอบใน 2 ประเด็นหลัก.นั่นคือ 1. ตรวจสอบว่าเหล็กตกมาตรฐานของบริษัทที่เคยถูกยึดอายัดไว้เดือนธันวาคม 2567 ยังอยู่ครบหรือไม่ 2. บริษัทซึ่งถูกสั่งปิดปรับปรุงตั้งแต่ปลายปีนั้น มีการลักลอบประกอบกิจการหรือไม่.ผลการตรวจสอบในประเด็นแรกพบว่า เหล็กของกลางที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดอายัดไว้ยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเคลื่อนย้าย ส่วนการตรวจในประเด็นที่ 2 ในวันที่ลงตรวจก็ไม่พบการประกอบกิจการ.อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสื่อมวลชนที่ติดตามประเด็น ต่างตั้งข้อสังเกตว่า สภาพโรงงานดู “สะอาดเรียบร้อย” พร้อมรับการตรวจราวทราบล่วงหน้า รวมทั้งผู้เป็นตัวแทนบริษัทได้แสดงความมั่นใจ และบางช่วงได้ทักทายผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นไงนักข่าวได้ข่าวอะไรไหม”.กระนั้นก็ตาม จากการที่คณะตรวจการสุดซอยฯ ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าในโรงงานจากบิลค่าไฟ แม้พบว่า ค่าไฟในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จะลดลงอย่างมาก จากค่าเฉลี่ยเดิมที่ประมาณเดือนละ 150 ล้านบาท คงเหลือที่ 1.2 ล้านบาท 0.64 ล้านบาท และ 6.4 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ตัวเลขของเดือนล่าสุดก็ยังมีความน่าสงสัย.แต่สำหรับประเด็นชวนกังขาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ “ฝุ่นแดง” ที่ทางบริษัทมีอยู่ในครอบครอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ประเมินว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 43,000 ตัน ในขณะที่จำนวนที่บริษัทแจ้งต่อภาครัฐมีเพียง 2,245 ตันต่อปี อีกทั้งในปี 2567 บริษัทฯ ไม่มีการแจ้งหรือรายงานการกักเก็บฝุ่นแดงแต่อย่างใด .อนึ่ง ฝุ่นแดงคือฝุ่นที่เกิดจากเตาหลอมเหล็ก ซึ่งในระดับนานาชาติถือว่าเป็นของเสียอันตรายที่ต้องควบคุมการก่อเกิด การเคลื่อนย้าย และการกำจัดอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นโลหะหนักที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม.การมีฝุ่นแดงในครอบครองในกรณีของซินเคอหยวนจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในฐานะของเสียจากกระบวนการผลิต เพียงแต่ปริมาณที่แตกต่างมหาศาล จากระดับ 2,000 ตัน กลายเป็น 40,000 ตัน ก่อให้เกิดคำถามใหญ่และสำคัญว่า ฝุ่นแดงส่วนเกินนั้นมาจากไหน และฝุ่นแดงเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในโรงงานของบริษัทในฐานะอะไร เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นข้อพิรุธใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่ออย่างเอาจริงเอาจัง.เท่าที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศสังเกตดูกองถุงบิ๊กแบกบรรจุฝุ่นแดงภายในโรงงานของซินเคอหยวน พบว่าลักษณะของถุงมีความแตกต่างกัน ส่วนที่กองอยู่ในฟากหนึ่งเป็นถุงสีขาวออกน้ำตาลที่มีดูหมองและเก่า หลายจุดมีมีหยากไย่เกาะปกคลุม .ในขณะที่อีกฟากมีถุงบิ๊กแบกสีดำที่มีอักษรจีนกำกับ ซึ่งลักษณะดูใหม่กว่า และส่วนใหญ่จะวางทับถุงสีขาวน้ำตาล คล้ายกับว่าถุงเหล่านี้ถูกนำหรือเคลื่อนย้ายเข้ามาทีหลัง.สำหรับถุงบิ๊กแบกสีดำที่ที่มีอักษรจีนเป็นแบบเดียวกับเราเคยพบมาก่อนจากการลงพื้นที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเป็นถุงบรรจุฝุ่นแดงเช่นเดียวกัน.ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (3 เมษายน 2568) ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานดีเอสไอรับประเด็นเรื่องฝุ่นแดงกรณีบริษัทซินเคอหยวนนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งทางเพจจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวเนื่องอื่นๆ และความคืบหน้าต่อไป......เรื่องและภาพโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    รีโพสต์เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ 4 เมษายน 2568 พิรุธใหม่ “ซินเคอหยวน” ซุก “ฝุ่นแดง” เกือบครึ่งแสนตัน.จากกรณีการเกิดแผ่นดินไหวจนอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ถล่มลง ชื่อของบริษัททุนจีนที่ปรากฏเป็นข่าวและถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง นอกจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) แล้ว ยังมีชื่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เคียงคู่มาด้วย ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นยี่ห้อ SKY.ทั้งนี้ เหล็กข้ออ้อยขนาด 20 และ 32 มิลลิเมตรที่กระทรวงอุตสาหกรรมเก็บตัวอย่างมาจากตึก สตง. ซึ่งทดสอบแล้วพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ก็คือเหล็ก SKY นั่นเอง.จากผลการตรวจพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา คณะตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าตรวจสอบโรงงานซินเคอหยวน ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยตั้งเป้าตรวจสอบใน 2 ประเด็นหลัก.นั่นคือ 1. ตรวจสอบว่าเหล็กตกมาตรฐานของบริษัทที่เคยถูกยึดอายัดไว้เดือนธันวาคม 2567 ยังอยู่ครบหรือไม่ 2. บริษัทซึ่งถูกสั่งปิดปรับปรุงตั้งแต่ปลายปีนั้น มีการลักลอบประกอบกิจการหรือไม่.ผลการตรวจสอบในประเด็นแรกพบว่า เหล็กของกลางที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดอายัดไว้ยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเคลื่อนย้าย ส่วนการตรวจในประเด็นที่ 2 ในวันที่ลงตรวจก็ไม่พบการประกอบกิจการ.อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มสื่อมวลชนที่ติดตามประเด็น ต่างตั้งข้อสังเกตว่า สภาพโรงงานดู “สะอาดเรียบร้อย” พร้อมรับการตรวจราวทราบล่วงหน้า รวมทั้งผู้เป็นตัวแทนบริษัทได้แสดงความมั่นใจ และบางช่วงได้ทักทายผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “เป็นไงนักข่าวได้ข่าวอะไรไหม”.กระนั้นก็ตาม จากการที่คณะตรวจการสุดซอยฯ ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าในโรงงานจากบิลค่าไฟ แม้พบว่า ค่าไฟในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 จะลดลงอย่างมาก จากค่าเฉลี่ยเดิมที่ประมาณเดือนละ 150 ล้านบาท คงเหลือที่ 1.2 ล้านบาท 0.64 ล้านบาท และ 6.4 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ตัวเลขของเดือนล่าสุดก็ยังมีความน่าสงสัย.แต่สำหรับประเด็นชวนกังขาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ “ฝุ่นแดง” ที่ทางบริษัทมีอยู่ในครอบครอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ประเมินว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 43,000 ตัน ในขณะที่จำนวนที่บริษัทแจ้งต่อภาครัฐมีเพียง 2,245 ตันต่อปี อีกทั้งในปี 2567 บริษัทฯ ไม่มีการแจ้งหรือรายงานการกักเก็บฝุ่นแดงแต่อย่างใด .อนึ่ง ฝุ่นแดงคือฝุ่นที่เกิดจากเตาหลอมเหล็ก ซึ่งในระดับนานาชาติถือว่าเป็นของเสียอันตรายที่ต้องควบคุมการก่อเกิด การเคลื่อนย้าย และการกำจัดอย่างเข้มงวด เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นโลหะหนักที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม.การมีฝุ่นแดงในครอบครองในกรณีของซินเคอหยวนจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในฐานะของเสียจากกระบวนการผลิต เพียงแต่ปริมาณที่แตกต่างมหาศาล จากระดับ 2,000 ตัน กลายเป็น 40,000 ตัน ก่อให้เกิดคำถามใหญ่และสำคัญว่า ฝุ่นแดงส่วนเกินนั้นมาจากไหน และฝุ่นแดงเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในโรงงานของบริษัทในฐานะอะไร เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นข้อพิรุธใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่ออย่างเอาจริงเอาจัง.เท่าที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศสังเกตดูกองถุงบิ๊กแบกบรรจุฝุ่นแดงภายในโรงงานของซินเคอหยวน พบว่าลักษณะของถุงมีความแตกต่างกัน ส่วนที่กองอยู่ในฟากหนึ่งเป็นถุงสีขาวออกน้ำตาลที่มีดูหมองและเก่า หลายจุดมีมีหยากไย่เกาะปกคลุม .ในขณะที่อีกฟากมีถุงบิ๊กแบกสีดำที่มีอักษรจีนกำกับ ซึ่งลักษณะดูใหม่กว่า และส่วนใหญ่จะวางทับถุงสีขาวน้ำตาล คล้ายกับว่าถุงเหล่านี้ถูกนำหรือเคลื่อนย้ายเข้ามาทีหลัง.สำหรับถุงบิ๊กแบกสีดำที่ที่มีอักษรจีนเป็นแบบเดียวกับเราเคยพบมาก่อนจากการลงพื้นที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเป็นถุงบรรจุฝุ่นแดงเช่นเดียวกัน.ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (3 เมษายน 2568) ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานดีเอสไอรับประเด็นเรื่องฝุ่นแดงกรณีบริษัทซินเคอหยวนนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งทางเพจจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวเนื่องอื่นๆ และความคืบหน้าต่อไป......เรื่องและภาพโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 666 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงพาณิชย์ พบพิรุธ ‘ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10’ อาจเข้าข่ายนอมินี ขยายผลกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ พบเชื่อมโยงกับบริษัทอื่นอีก 13 แห่ง ส่งดีเอสไอสอบเชิงลึก หากพบทำผิดจริง จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ทั้งผู้ถือหุ้นคนไทยและต่างชาติ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท
    กระทรวงพาณิชย์ พบพิรุธ ‘ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10’ อาจเข้าข่ายนอมินี ขยายผลกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ พบเชื่อมโยงกับบริษัทอื่นอีก 13 แห่ง ส่งดีเอสไอสอบเชิงลึก หากพบทำผิดจริง จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ทั้งผู้ถือหุ้นคนไทยและต่างชาติ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • สบช่องแผ่นดินไหว ดึงกาสิโนเข้าสภาฯ

    ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. อีกทั้งสังคมยังคงให้ความสนใจปฎิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารที่ทำการ สตง.แห่งใหม่ถล่มลงมา โดยมีตัวเลขผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย บาดเจ็บ 19 ราย และผู้สูญหายประมาณ 70 คน ปรากฎว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และเตรียมเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน

    ปรากฎว่า ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แจ้งว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 15 เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าต้องการให้ สส. ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้ได้ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 เม.ย. เพราะหากไม่ทันก็ต้องรอเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งเดือน ก.ค. ถือเป็นความรวดเร็วและเร่งรีบอย่างมีพิรุธ

    เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. สนับสนุนอยู่ในมือ 319 เสียง เพียงพอที่จะล็อบบี้หรือสั่งการกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาลให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรโดยเร็ว เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งในเดือน ก.ค. กรรมาธิการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ วิปรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยก็จะผลักดันให้นำร่าง พ.ร.บ.เข้ามาพิจารณาโดยเร็ว และใช้เสียงข้างมากโหวตให้ผ่านสภาฯ วาระสาม ก่อนส่งต่อให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) พิจารณาต่อ หาก สว.สายสีน้ำเงินตกลงกันได้และไม่ขวาง ก็สามารถปิดเกมกฎหมาย พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ภายในไม่เกินปลายปี 2568

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการคุยกันก่อน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง อ้างว่ามีบริษัทต่างชาติระดับโลกสนใจลงทุน นายวิสุทธิ์ ไชณยรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำ ถ้าไม่ตัดสินใจหรือตัดสินใจช้าก็ไม่ได้ทำ ใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านไป ไม่กังวลอะไร ถ้ากลัวก็ไม่ทำ ทำแล้วไม่กลัวแน่นอน ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างว่าอย่าไปคิดเร่งรัดเกินไป เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่คิดโดยพลการ และอ้างว่าไม่เกี่ยวกัน หากกฎหมายไม่ผ่านวาระแรกรัฐบาลจะยุบสภา

    #Newskit
    สบช่องแผ่นดินไหว ดึงกาสิโนเข้าสภาฯ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. อีกทั้งสังคมยังคงให้ความสนใจปฎิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุอาคารที่ทำการ สตง.แห่งใหม่ถล่มลงมา โดยมีตัวเลขผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย บาดเจ็บ 19 ราย และผู้สูญหายประมาณ 70 คน ปรากฎว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และเตรียมเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน ปรากฎว่า ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แจ้งว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ มีคำสั่งให้บรรจุเรื่องตามระเบียบวาระเรื่องด่วนที่ 15 เพิ่มเติม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย.นี้ โดยคาดว่าต้องการให้ สส. ลงมติเห็นชอบวาระรับหลักการ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้ได้ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 เม.ย. เพราะหากไม่ทันก็ต้องรอเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งเดือน ก.ค. ถือเป็นความรวดเร็วและเร่งรีบอย่างมีพิรุธ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. สนับสนุนอยู่ในมือ 319 เสียง เพียงพอที่จะล็อบบี้หรือสั่งการกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่เป็นคนของฝ่ายรัฐบาลให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรโดยเร็ว เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ อีกครั้งในเดือน ก.ค. กรรมาธิการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ วิปรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยก็จะผลักดันให้นำร่าง พ.ร.บ.เข้ามาพิจารณาโดยเร็ว และใช้เสียงข้างมากโหวตให้ผ่านสภาฯ วาระสาม ก่อนส่งต่อให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) พิจารณาต่อ หาก สว.สายสีน้ำเงินตกลงกันได้และไม่ขวาง ก็สามารถปิดเกมกฎหมาย พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ภายในไม่เกินปลายปี 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการคุยกันก่อน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง อ้างว่ามีบริษัทต่างชาติระดับโลกสนใจลงทุน นายวิสุทธิ์ ไชณยรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรก็ต้องทำ ถ้าไม่ตัดสินใจหรือตัดสินใจช้าก็ไม่ได้ทำ ใครไม่เห็นด้วยก็คัดค้านไป ไม่กังวลอะไร ถ้ากลัวก็ไม่ทำ ทำแล้วไม่กลัวแน่นอน ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างว่าอย่าไปคิดเร่งรัดเกินไป เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่คิดโดยพลการ และอ้างว่าไม่เกี่ยวกัน หากกฎหมายไม่ผ่านวาระแรกรัฐบาลจะยุบสภา #Newskit
    Like
    Sad
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 665 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้

    ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน)

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง
    โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท

    เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า

    ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว

    เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า

    ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้

    การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%
    แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5%

    วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย

    ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน
    จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่

    น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
    “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..”

    คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร

    อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่

    หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่?

    ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่

    ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ

    ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว

    หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย
    เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    27 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?” โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ได้รับการโอนหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้า จำนวนรวมกันประมาณ 4,434 ล้านบาท ในปีพ.ศ. 2559 โดยได้ทำหนังสือสัญญาใช้เงิน (PN) ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่กำหนดวันครบชำระเงิน เพื่อให้เป็นหลักฐานเสมือนการซื้อหุ้นโดยยังไม่จ่ายเงิน (เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ไม่กำหนดวันชำระคืน) มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม นางสาวแพทองธาร ในปี 2559 ขณะที่อายุเพียงประมาณ 30 ปีจึงอยากซื้อหุ้นจำนวนมากจากบุคคลในครอบครัวและผู้เกี่ยวดอง โดยที่ตนไม่มีเงินที่จะจ่าย แต่ไปออกหนังสือสัญญาใช้เงินเป็นการกู้ยืมเงินที่จะจ่ายค่าหุ้นจำนวน 4,434 ล้านบาท เรื่องนี้ต้องเข้าใจ พฤติกรรมของคนในตระกูลชินวัตร รู้ที่มาที่ไปของหุ้น จึงพอจะวิเคราะห์และตั้งเป็นสมมุติฐานได้ว่า ในปี 2544 เมื่อนายทักษิณจะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ประสงค์จะไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วนกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางรายการ จึงได้โอนหุ้นจำนวนหนึ่งซุกไว้ในชื่อของ คนสวน คนรับใช้ คนขับรถ และคนเฝ้ายาม จนเกิดคดีซุกหุ้น ดังที่ปรากฎคดีกับนายทักษิณมาแล้ว เวลาต่อมา ได้โอนหุ้นจากชื่อของ “ลูกจ้าง”ในบ้านทั้งสามคน ไปให้กับ “ลูกจริง” ทั้ง 3คน แต่เนื่องจากลูกสาวคนเล็กคือแพทองธาร ขณะนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะยังไม่สามารถบริหารจัดการหุ้นในบริษัทต่างๆได้ จึงอาจจะโอนฝากไว้ที่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุงและป้า ต่อมาในปี 2559 เมื่อแพทองธาร บรรลุนิติภาวะแล้ว ประสงค์ให้ญาติที่ถือหุ้นไว้โอนหุ้นมากลับมาให้ แต่ขณะนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในต้นปี 2559 เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บภาษีมรดก ซึ่งระบุให้ การให้สินทรัพย์ ในระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถือเป็นรายได้ของผู้รับ หากมีมูลค่าเกิน 20ล้านบาทส่วนที่เกิน20ล้านจะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% แต่ หากเป็นพี่ น้อง ลุง ป้า หากมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10ล้าน บาท จะต้องเสียภาษีเงินได้ 5% วิธีการหลีกเลี่ยงหลบภาษี หรือบริหารภาษี ให้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องจ่าย คือทำนิติกรรมอำพรางโดยให้ดูเสมือนเป็นการซื้อขาย ผู้รับโอนจึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งก็คือทำสัญญากู้ยืม แต่ที่น่าสังเกตคือไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีการกำหนดวันชำระเงิน จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด นางสาวแพทองธาร จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่กำหนดเวลาชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย) เพื่อให้ดูเป็นเรื่องการซื้อขายไม่ใช่การให้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐจำนวนมากกว่า 200 ล้านบาท หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ ยอดหนี้ (ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว “ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..” คำอธิบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ได้แสดงชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อป.ป.ช. แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกทั้งคำอธิบายว่า ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ (ใครใครเขาก็ทำกัน ) ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสุจริตหรือไม่ หลายสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม่ได้เพราะจะต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้เพราะจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและคนจำนวนมาก ใช่หรือไม่? ประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่าครอบครัวรักกันมาก ทำไมจึงใช้วิธีซื้อขายหุ้นระหว่างกันไปมา โดยเฉพาะในช่วงที่นางสาวแพทองธาร จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โอนหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ จำนวน 22,410,000 หุ้น ไปให้ผู้เป็นแม่ ด้วยวิธีการซื้อขายโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การซื้อขายแทนการให้ เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ ถ้าจะพิจารณาจากอดีต คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ ยิ่งไปกว่านั้นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญาในการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามมาตรา157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กรณี ช่วยบุตรชายและบุตรสาว ของนายทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีกรณีหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว หากกรมสรรพากรและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ถูกต้องตามกฏหมายและเหมาะสมตามจริยธรรม ต่อไปการที่จะมีผู้โอนทรัพย์สินให้บุคคลในครอบครัว ก็ทำทีเป็นซื้อขายแล้วทำหนังสือสัญญาใช้เงิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยและไม่ต้องระบุวันจ่ายเงิน (หนังสือสัญญาไม่ต้องจ่ายเงิน) ทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายส่งผลให้ ภาษีมรดกที่กำหนดให้ผู้รับมรดกจะต้องจ่ายเป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย เท่ากับว่าฝ่ายบริหารโดยกรมสรรพากรได้ตีความให้กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติบังคับใช้ไม่ได้อีกต่อไป.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 802 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัดรวมข้อพิรุธ คดี "อดีตผู้กำกับโจ้" (14/03/68) #news1 #อดีตผู้กำกับโจ้ #แดน5 #พิรุธคดีอดีตผกก.โจ้
    มัดรวมข้อพิรุธ คดี "อดีตผู้กำกับโจ้" (14/03/68) #news1 #อดีตผู้กำกับโจ้ #แดน5 #พิรุธคดีอดีตผกก.โจ้
    Like
    Haha
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1670 มุมมอง 43 0 รีวิว
  • Newsstory : พิรุธอีกแล้วสมยศ ค่าทนายความของสมาคมฟุตบอล งวดสุดท้ายยอดพุ่ง 100 เท่า เพื่อ..!!
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    #สมยศ #สมาคมฟุตบอลไทย #สมยศค่าทนาย #พิรุธ
    Newsstory : พิรุธอีกแล้วสมยศ ค่าทนายความของสมาคมฟุตบอล งวดสุดท้ายยอดพุ่ง 100 เท่า เพื่อ..!! #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #สมยศ #สมาคมฟุตบอลไทย #สมยศค่าทนาย #พิรุธ
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1013 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • ส.ฟุตบอลยุค "สมยศ" เละ! พบพิรุธฟอกเงิน 30 ล้าน : [THE MESSAGE]

    นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เผย เตรียมยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หลังศาลฎีกาตัดสินให้ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด(มหาชน) ชนะคดีการยกเลิกสัญญาถ่ายทอดสดไม่เป็นธรรม ทำให้สมาคมต้องชดใช้เงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย พบพิรุธการจ่ายเงินของสมาคมชุดเก่าให้ทนายความในชั้นฎีกา 30 ล้านบาท ในคดีพิพาทกับสยามสปอร์ต ตามหลักฐานทนายเรียกเงินค่าจ้างในศาลชั้นต้น 700,000 บาท ชั้นต่อๆ ไป 300,000 บาท ตั้งข้อสงสัยอาจฉ้อโกงฟอกเงิน ให้ทีมกฏหมายดำเนินการซึ่งอาจฟ้องร้องเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนการตรวจงบการเงินมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 27 ล้านบาท มีหนี้สินที่ต้องชำระ 132 ล้านบาท ซึ่งมาจากยุค พล.ต.อ.สมยศ ที่กู้ยืมเงินระยะยาวจากฟีฟ่ามาใช้ในกิจการของสมาคม 5 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 155 ล้านบาท แบ่งจ่าย 10 งวด 10 ปี ส่งผลให้สมาคมจะถูกตัดเงินไปจนถึงปี 2573
    ส.ฟุตบอลยุค "สมยศ" เละ! พบพิรุธฟอกเงิน 30 ล้าน : [THE MESSAGE] นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เผย เตรียมยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล หลังศาลฎีกาตัดสินให้ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด(มหาชน) ชนะคดีการยกเลิกสัญญาถ่ายทอดสดไม่เป็นธรรม ทำให้สมาคมต้องชดใช้เงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย พบพิรุธการจ่ายเงินของสมาคมชุดเก่าให้ทนายความในชั้นฎีกา 30 ล้านบาท ในคดีพิพาทกับสยามสปอร์ต ตามหลักฐานทนายเรียกเงินค่าจ้างในศาลชั้นต้น 700,000 บาท ชั้นต่อๆ ไป 300,000 บาท ตั้งข้อสงสัยอาจฉ้อโกงฟอกเงิน ให้ทีมกฏหมายดำเนินการซึ่งอาจฟ้องร้องเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนการตรวจงบการเงินมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 27 ล้านบาท มีหนี้สินที่ต้องชำระ 132 ล้านบาท ซึ่งมาจากยุค พล.ต.อ.สมยศ ที่กู้ยืมเงินระยะยาวจากฟีฟ่ามาใช้ในกิจการของสมาคม 5 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 155 ล้านบาท แบ่งจ่าย 10 งวด 10 ปี ส่งผลให้สมาคมจะถูกตัดเงินไปจนถึงปี 2573
    Like
    Love
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1547 มุมมอง 52 1 รีวิว
  • เปิดห้องขัง"ผู้กำกับโจ้" : [NEWS UPDATE]
    พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดห้องคุมขังหมายเลข 50 แดน 5 ซึ่งเป็นห้องคุมขัง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องขังเรือนจำกลางคลองเปรม โดยเป็นห้องแยกการควบคุม ไม่ใช่ห้องขังเดี่ยว เพราะห้องขังเดี่ยวอยู่แดน 1 มี 10 ห้อง โดยช่วงกลางวันอดีตผู้กำกับโจ้สามารถออกไปร่วมกิจกรรมกับผู้ต้องขังอื่นได้ ตอนเย็นจึงขึ้นเรือนนอนไปอยู่คนเดียว บรรยากาศในห้องขังมีพัดลมระบายอากาศหนึ่งตัวติดไว้ด้านหลังสุดบนตะแกรงเหล็ก โดยยังมีของใช้อดีตผู้กำกับโจ้ เช่น ผ้าสีน้ำเงินสำหรับใช้ปูนอน รองเท้าแตะสีขาว ถังน้ำดื่ม อุปกรณ์อาบน้ำ ขัน สบู่ก้อน แชมพูขวด โฟมล้างหน้า ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เป็นต้น อยู่ภายในห้อง


    ราชทัณฑ์ต้องเปิดข้อมูล

    พิรุธ 30 ล้านฟอกเงิน

    ไม่มีแรงจูงใจXแตงโม

    คุมขายเหล้า-บุหรี่เด็กไม่ได้
    เปิดห้องขัง"ผู้กำกับโจ้" : [NEWS UPDATE] พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดห้องคุมขังหมายเลข 50 แดน 5 ซึ่งเป็นห้องคุมขัง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องขังเรือนจำกลางคลองเปรม โดยเป็นห้องแยกการควบคุม ไม่ใช่ห้องขังเดี่ยว เพราะห้องขังเดี่ยวอยู่แดน 1 มี 10 ห้อง โดยช่วงกลางวันอดีตผู้กำกับโจ้สามารถออกไปร่วมกิจกรรมกับผู้ต้องขังอื่นได้ ตอนเย็นจึงขึ้นเรือนนอนไปอยู่คนเดียว บรรยากาศในห้องขังมีพัดลมระบายอากาศหนึ่งตัวติดไว้ด้านหลังสุดบนตะแกรงเหล็ก โดยยังมีของใช้อดีตผู้กำกับโจ้ เช่น ผ้าสีน้ำเงินสำหรับใช้ปูนอน รองเท้าแตะสีขาว ถังน้ำดื่ม อุปกรณ์อาบน้ำ ขัน สบู่ก้อน แชมพูขวด โฟมล้างหน้า ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เป็นต้น อยู่ภายในห้อง ราชทัณฑ์ต้องเปิดข้อมูล พิรุธ 30 ล้านฟอกเงิน ไม่มีแรงจูงใจXแตงโม คุมขายเหล้า-บุหรี่เด็กไม่ได้
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1352 มุมมอง 58 0 รีวิว
  • ไม่อยากคบ"กระติก" ให้การพิเรนทร์จนพิรุธ : [NEWS UPDATE]

    นายฉันท์ชนะ ยิ้มสาย หรือ ฮิปโป เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของแตงโมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นานกว่า 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ถามความสัมพันธ์ว่ารู้จักกับบุคคลอื่นที่ดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ให้ข้อมูลการซื้อโทรศัพท์ของแตงโม และประเด็นเพิ่มที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นการให้ข้อมูลละเอียดกว่าที่ผ่านมา สบายใจที่หน่วยงานราชการเข้ามา ทุกคนต้องการความจริง มองคดีมีพิรุธไปหมด มีหลายคำถามในใจ ให้การพิเรนทร์จนเป็นพิรุธ ยืนยัน ไม่ได้คุยกับกระติก เจอครั้งสุดท้ายที่นิติเวช ในแชตกลุ่มกระติกถูกทุกคนรุมถามและต่อว่า “ทำไมใจดำทิ้งเพื่อน” ทำให้กระติกออกจากกลุ่มไลน์ ตนไม่อยากคบเป็นเพื่อน เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น

    -สว.พร้อมแจงฟอกเงิน

    -เร่งสอบทุจริตเลือก สว.

    -อย่าช้าตั้งทีมรับมือ"ทรัมป์"

    -ดัน พ.ร.บ.เกม ชิงเค้กตลาด
    ไม่อยากคบ"กระติก" ให้การพิเรนทร์จนพิรุธ : [NEWS UPDATE] นายฉันท์ชนะ ยิ้มสาย หรือ ฮิปโป เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของแตงโมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นานกว่า 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ถามความสัมพันธ์ว่ารู้จักกับบุคคลอื่นที่ดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ให้ข้อมูลการซื้อโทรศัพท์ของแตงโม และประเด็นเพิ่มที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นการให้ข้อมูลละเอียดกว่าที่ผ่านมา สบายใจที่หน่วยงานราชการเข้ามา ทุกคนต้องการความจริง มองคดีมีพิรุธไปหมด มีหลายคำถามในใจ ให้การพิเรนทร์จนเป็นพิรุธ ยืนยัน ไม่ได้คุยกับกระติก เจอครั้งสุดท้ายที่นิติเวช ในแชตกลุ่มกระติกถูกทุกคนรุมถามและต่อว่า “ทำไมใจดำทิ้งเพื่อน” ทำให้กระติกออกจากกลุ่มไลน์ ตนไม่อยากคบเป็นเพื่อน เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น -สว.พร้อมแจงฟอกเงิน -เร่งสอบทุจริตเลือก สว. -อย่าช้าตั้งทีมรับมือ"ทรัมป์" -ดัน พ.ร.บ.เกม ชิงเค้กตลาด
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1393 มุมมอง 64 0 รีวิว
  • "รักชนก" แถลงซัด "ประกันสังคม" ขอเอกสารจัดทำเว็บแอป 850 ล้านไม่ให้ ส่อพิรุธชัดเจน แฉร่อนนส.ขู่ขรก.อีก
    https://www.thai-tai.tv/news/17436/
    "รักชนก" แถลงซัด "ประกันสังคม" ขอเอกสารจัดทำเว็บแอป 850 ล้านไม่ให้ ส่อพิรุธชัดเจน แฉร่อนนส.ขู่ขรก.อีก https://www.thai-tai.tv/news/17436/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts