• ตำรวจ บช.ก.อนุญาตให้ "เอก สายไหม" ประกันตัว 5 หมื่นบาท เจ้าตัวลั่นแจ้งจับพยานให้ข้อมูลเท็จจนต้องถูกดำเนินคดี ส่วน "ทนาย บอสพอล" เตรียมรับของขวัญปีใหม่ได้เลย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112525

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจ บช.ก.อนุญาตให้ "เอก สายไหม" ประกันตัว 5 หมื่นบาท เจ้าตัวลั่นแจ้งจับพยานให้ข้อมูลเท็จจนต้องถูกดำเนินคดี ส่วน "ทนาย บอสพอล" เตรียมรับของขวัญปีใหม่ได้เลย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112525 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลออกหมายจับ "เอก สายไหม" กุพยานเท็จ คดีดิไอคอน ล่าสุดเจ้าตัวเดินทางเข้ามอบตัว บช.ก. เผยเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวไว้แล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112447

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลออกหมายจับ "เอก สายไหม" กุพยานเท็จ คดีดิไอคอน ล่าสุดเจ้าตัวเดินทางเข้ามอบตัว บช.ก. เผยเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวไว้แล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000112447 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 623 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจกองปราบควบคุมตัว "เจ๊พัช" ฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตฯ พร้อมคัดค้านประกันตัว ด้านเจ้าตัวสีหน้าเรียบเฉย ปัดตอบคำถามสื่อ•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.50 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้คุมตัว น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ เจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ ผู้ต้องหาคดี “กรรโชกทรัพย์” และ “ตัวการเรียกรับสินบน” จากกรณีแอบอ้างเรียกเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 7.5 แสนบาท ขึ้นรถตู้ของ บก.ป. เพื่อไปทำการฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยท้ายคำร้องได้คัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน•ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา น.ส.กฤษอนงค์ มีสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่พยายามสอบถามในทุกประเด็น•#MGROnline #เจ๊พัช
    ตำรวจกองปราบควบคุมตัว "เจ๊พัช" ฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตฯ พร้อมคัดค้านประกันตัว ด้านเจ้าตัวสีหน้าเรียบเฉย ปัดตอบคำถามสื่อ•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.50 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้คุมตัว น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ เจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ ผู้ต้องหาคดี “กรรโชกทรัพย์” และ “ตัวการเรียกรับสินบน” จากกรณีแอบอ้างเรียกเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 7.5 แสนบาท ขึ้นรถตู้ของ บก.ป. เพื่อไปทำการฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยท้ายคำร้องได้คัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน•ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา น.ส.กฤษอนงค์ มีสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่พยายามสอบถามในทุกประเด็น•#MGROnline #เจ๊พัช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้กำกับ สภ.นครไทย ระบุนายก อบต.นาบัว ในฐานะ ปธ.ธนาคารหมู่บ้านฯ ถูกจับกุมใต้ปฏิบัติการ “ฟ้าสางที่นาบัว” ฐานฉ้อโกง หากประกันตัว วงเงินต้อง 25 ล้านบาทเท่านั้น ล่าสุดเครือข่ายหนีไป 3 ป่วยติดเตียง 1 ราย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110415

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผู้กำกับ สภ.นครไทย ระบุนายก อบต.นาบัว ในฐานะ ปธ.ธนาคารหมู่บ้านฯ ถูกจับกุมใต้ปฏิบัติการ “ฟ้าสางที่นาบัว” ฐานฉ้อโกง หากประกันตัว วงเงินต้อง 25 ล้านบาทเท่านั้น ล่าสุดเครือข่ายหนีไป 3 ป่วยติดเตียง 1 ราย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110415 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1371 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว"
    เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล.
    ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์
    .
    "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด
    .
    วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน
    .
    เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว
    .
    เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย
    .
    ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์
    .
    แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น
    .
    "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง
    .
    หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา
    .
    ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา
    .
    พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้
    .
    Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด

    https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0

    #Thaitimes
    "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว" เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล. ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์ . "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด . วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน . เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว . เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่ . ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย . ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์ . แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น . "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง . หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา . ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง . นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา . พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่ . นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้ . Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 788 มุมมอง 1 รีวิว
  • ศาลอาญาอนุญาตฝากขัง “ตี่ลี่ฮวงจุ้ย” หลังตำรวจกองปราบปรามหิ้วฝากขังครั้งแรก-ค้านประกัน ด้านญาติไม่ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108957

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลอาญาอนุญาตฝากขัง “ตี่ลี่ฮวงจุ้ย” หลังตำรวจกองปราบปรามหิ้วฝากขังครั้งแรก-ค้านประกัน ด้านญาติไม่ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108957 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    25
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2082 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน
    .
    ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว
    .
    นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง
    .
    นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง
    .
    ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก
    .
    ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่
    .
    ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร
    .
    เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้
    .
    มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก
    .
    เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง
    จุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน . ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว . นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง . นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย . เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง . ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก . ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่ . ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร . เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้ . มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก . เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 682 มุมมอง 1 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“

    จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง

    วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789

    #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“ • จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง • วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107789 • #MGROnline #ทนายตั้ม #กรมราชทัณฑ์
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“
    .
    จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ
    .
    นางกนกวรรณ เผยอีกว่า ส่วนเรื่องความกังวล นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม หากครบกำหนดอยู่แดนกักโรคแล้วจะต้องย้ายส่งต่อแดนใดนั้น เพราะอาจเจอคู่กรณีเป็นกลุ่ม 18 บอสดิไอคอน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาตามความเหมาะสม และขณะนี้กลุ่มบอสชาย 11 คน ได้แยกแดนเป็นที่เรียบร้อย อยู่แดนละ 2-3 คนกระจายกันไป แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบคู่กรณีของ นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม ในคดีอื่นๆ ด้วยเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เมนูอาหารมื้อเย็นในวันนี้ (8 พ.ย.) เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นข้าวสวย ไก่ต้มขมิ้น และไข่ต้ม ส่วนทัณฑสถานหญิงกลาง เป็นข้าวสวย หลนปลาร้า/ผักสด และ ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น
    ..............
    Sondhi X
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” ทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ คุมแดนกักโรค 5 วัน มื้อเย็นต้อนรับ คุกชาย "ข้าวสวย-ไก่ต้มขมิ้น-ไข่ต้ม" ส่วนคุกหญิง “ข้าวสวย-หลนปลาร้า/ผักสด-ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น“ . จากกรณีศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผัดแรก โดยชั้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวชั่วคราว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีฉ้อโกงเงินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวส่งฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง . วันนี้ (8 พ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เผยว่า ขั้นตอนหลังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม และ นางปทิตตา มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งคู่ต้องทำประวัติผู้ต้องขังใหม่ อาทิ ตรวจสุขภาพร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการอยู่แดนกักโรค 5 วันตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในแดนกักโรคตามเดิม แต่มีการแบ่งโซนออกจากกัน ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ . นางกนกวรรณ เผยอีกว่า ส่วนเรื่องความกังวล นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม หากครบกำหนดอยู่แดนกักโรคแล้วจะต้องย้ายส่งต่อแดนใดนั้น เพราะอาจเจอคู่กรณีเป็นกลุ่ม 18 บอสดิไอคอน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาตามความเหมาะสม และขณะนี้กลุ่มบอสชาย 11 คน ได้แยกแดนเป็นที่เรียบร้อย อยู่แดนละ 2-3 คนกระจายกันไป แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบคู่กรณีของ นายษิทรา หรือ ทนายตั้ม ในคดีอื่นๆ ด้วยเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เมนูอาหารมื้อเย็นในวันนี้ (8 พ.ย.) เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นข้าวสวย ไก่ต้มขมิ้น และไข่ต้ม ส่วนทัณฑสถานหญิงกลาง เป็นข้าวสวย หลนปลาร้า/ผักสด และ ผัดพริกแกงผักบุ้งลูกชิ้น .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    Angry
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 862 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 856 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองปราบควบคุมตัว "ทนายตั้ม-ภรรยา" ฝากขังศาลอาญาผัดแรก พร้อมคัดค้านประกันตัว หวั่นหลบหนีและยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000107673

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    กองปราบควบคุมตัว "ทนายตั้ม-ภรรยา" ฝากขังศาลอาญาผัดแรก พร้อมคัดค้านประกันตัว หวั่นหลบหนีและยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000107673 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1721 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทนายตั้ม” จูบหน้าผากภรรยา ก่อนส่งตัวฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ
    .
    ตำรวจกองปราบฯ คุมตัวทนายตั้มและภรรยา ไปฝากขังที่ศาลอาญา จูบหน้าผากก่อนขึ้นศาล ยกมือไหว้สื่อแต่ไม่ตอบคำถาม พนง.สอบสวนค้านประกันตัว หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมกับ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขึ้นรถตู้ 1 คัน โดยมีรถตำรวจ บก.ป. นำขบวน 1 คัน เพื่อไปทำการฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตามขั้นตอนทางกฎหมาย
    .
    โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา ทนายตั้มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ ส่วนภรรยาสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำ พร้อมสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งทันทีที่เดินออกมาจากตัวอาคารประชาอารักษ์ ตัวทนายตั้มได้ยกมือไหว้กับกองทัพสื่อมวลชน และไม่ได้กล่าวอะไร แม้สื่อมวลชนพยายามสอบถามในทุกประเด็น
    .
    จากการสังเกตทนายตั้ม มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่ภรรยาก็เช่นเดียวกัน และเมื่อขึ้นรถตู้ไป ก็ได้ขยับไปนั่งข้างๆ ภรรยา ก่อนจะประคองศีรษะมาใกล้ ๆ และจูบที่หน้าผาก โดยทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ จากนั้นรถตู้ก็ได้เคลื่อนตัวไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกทันที
    .
    โดยพนักงานสอบสวน จะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเหตุผลตามหมายจับ ระบุว่า มีหลักฐานตามสมควรว่าได้หรือน่าจะทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี รวมทั้งได้หรือน่าจะกระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานกับก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น
    ..............
    Sondhi X
    “ทนายตั้ม” จูบหน้าผากภรรยา ก่อนส่งตัวฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ . ตำรวจกองปราบฯ คุมตัวทนายตั้มและภรรยา ไปฝากขังที่ศาลอาญา จูบหน้าผากก่อนขึ้นศาล ยกมือไหว้สื่อแต่ไม่ตอบคำถาม พนง.สอบสวนค้านประกันตัว หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน . วันนี้ (8 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมกับ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขึ้นรถตู้ 1 คัน โดยมีรถตำรวจ บก.ป. นำขบวน 1 คัน เพื่อไปทำการฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตามขั้นตอนทางกฎหมาย . โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา ทนายตั้มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ ส่วนภรรยาสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำ พร้อมสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งทันทีที่เดินออกมาจากตัวอาคารประชาอารักษ์ ตัวทนายตั้มได้ยกมือไหว้กับกองทัพสื่อมวลชน และไม่ได้กล่าวอะไร แม้สื่อมวลชนพยายามสอบถามในทุกประเด็น . จากการสังเกตทนายตั้ม มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ ขณะที่ภรรยาก็เช่นเดียวกัน และเมื่อขึ้นรถตู้ไป ก็ได้ขยับไปนั่งข้างๆ ภรรยา ก่อนจะประคองศีรษะมาใกล้ ๆ และจูบที่หน้าผาก โดยทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ จากนั้นรถตู้ก็ได้เคลื่อนตัวไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกทันที . โดยพนักงานสอบสวน จะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเหตุผลตามหมายจับ ระบุว่า มีหลักฐานตามสมควรว่าได้หรือน่าจะทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี รวมทั้งได้หรือน่าจะกระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานกับก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    4
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 617 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้

    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

    นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง

    ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้ • วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล • นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง • ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต
    หลังกองปราบสอบ 11 ชม.
    .
    ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง
    .
    จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป.
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที .
    .
    ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ
    .
    ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร
    ..............
    Sondhi X
    เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต หลังกองปราบสอบ 11 ชม. . ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง . จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) . ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป. . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที . . ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ . ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 663 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค้านประกันตัว "ตั้ม" เกรงหลบหนี-ยุ่งเหยิงพยาน (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #จับทนายตั้ม #ค้านประกันตัว#คอตกโดนจับ
    ค้านประกันตัว "ตั้ม" เกรงหลบหนี-ยุ่งเหยิงพยาน (07/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #จับทนายตั้ม #ค้านประกันตัว#คอตกโดนจับ
    Like
    Wow
    23
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1433 มุมมอง 1018 0 รีวิว
  • ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน

    วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

    โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย

    ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ

    เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง

    ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ตำรวจกองปราบคุมตัว "ทนายตั้ม" พร้อมภรรยามาสอบสวน ค้นรถพบกระเป๋าเดินทาง-เครื่องนอน ด้านเจ้าตัวปัดตอบสื่อดื่มเยี่ยว 71 แก้ววันไหน • วันนี้ (7 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา "ฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน" และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา "ร่วมกันฟอกเงิน" มาสอบสวนที่กองปราบปราม ภายหลังจับกุมทั้งคู่ได้ขณะขับรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ใน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา • โดยทนายตั้มมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนทางด้านภรรยาปกปิดใบหน้า ด้วยแว่นกันแดดสีดำและแมสก์ อย่างไรก็ตามระหว่างที่คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่, จะดื่มเยี่ยว(ปัสสาวะ) 71 แก้ววันไหน, กังวลหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังตัวอาคารเพื่อสอบปากคำตามกระบวนการกฎหมาย • ทั้งนี้ในการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายมาสอบปากคำ ก็ได้มีการยึดรถยนตร์หรูยี่ห้อ PORSCHE รุ่น Cayenne ซึ่งภายในรถพบกระเป๋าเดินทาง พร้อมเครื่องนอน และเอกสาร 1 ซอง อยู่ด้านหลังรถ • เบื้องต้นในชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เนื่องจากคดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง • ทั้งนี้สืบเนื่องจากน.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทธา หลังก่อเหตุหลอกลงทุนสลากออนไลน์ 71 ล้านบาท ,อ้างสแกมเมอร์ 39 ล้าน ,ซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน และจ้างออกแบบโรงแรมอีก 9 ล้านบาท ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขอหมายจับศาลอาญารัชดาฯ จนศาลออกหมายจับเมื่อช่วงเช้ากระทั่งพบว่าทนายตั้มและภรรยาได้ขับรถPORSCHE ออกจากบ้านพัก เบื้องต้นรายงานว่าจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว จึงนำกำลังจับกุมได้ดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107298 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/

    #Thaitimes
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/ #Thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    Love
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 767 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการฟ้องแล้ว "เต้ย" มือตบ "ทนายธรรมราช" จำเลยรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่สู้คดีเรื่องค่าเสียหาย ศาลให้ประกันตัวและนัดฟังคำพิพากษา 25 พ.ย.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105628

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อัยการฟ้องแล้ว "เต้ย" มือตบ "ทนายธรรมราช" จำเลยรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่สู้คดีเรื่องค่าเสียหาย ศาลให้ประกันตัวและนัดฟังคำพิพากษา 25 พ.ย.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105628 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2072 มุมมอง 0 รีวิว
  • วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง
    เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง
    สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
    แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน
    เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก
    ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอซ์ รักนรก มีลุ้นถูกถอนประกันตัว หลังทำตัวเข้าข่ายผิดเงื่อนไขของศาล
    เช่น ด้อยค่าซุ้มเฉลิมพระเกียรติ วิพากษ์วิจารณ์อำนาจศาลเกี่ยวกับสิทธิประกันตัว ในโซเชียลมีเดีย แถมช่วงศาลนัดไต่สวน ดันปิดประชุมสภาฯ ไม่มีเอกสิทธิ์ด้วย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ไอซ์รักชนก
    ไอซ์ รักนรก มีลุ้นถูกถอนประกันตัว หลังทำตัวเข้าข่ายผิดเงื่อนไขของศาล เช่น ด้อยค่าซุ้มเฉลิมพระเกียรติ วิพากษ์วิจารณ์อำนาจศาลเกี่ยวกับสิทธิประกันตัว ในโซเชียลมีเดีย แถมช่วงศาลนัดไต่สวน ดันปิดประชุมสภาฯ ไม่มีเอกสิทธิ์ด้วย #คิงส์โพธิ์แดง #ไอซ์รักชนก
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่วม 18 บอสดิไอคอน เตรียมโดนข้อหาฟอกเงิน
    .
    ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นอกจากต้องจับตาความคืบหน้าในการขอประกันตัวของบรรดาเหล่าบอสคนดังแล้ว ปรากฎว่าการดำเนินไต่สวนของพนักงานสอบสวนก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เตรียมแจ้งข้อหากับบรรดาบอสทั้ง 18 คน เพิ่มเติม
    .
    สำหรับฐานความผิดที่จะแจ้งเพิ่มนั้น มีข้อหาร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินเป็นหลัก นอกจากนี้อาจมีข้อหาอื่น ๆ ประกอบ เช่น ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน รวมไปถึงข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักษณะขององค์กรอาชญากรรมอีกด้วย
    .
    โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนั้น ทีมสอบสวนจะมอบให้ให้พนักงานสอบสวน บช.ก. เข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมดในเรือนจำ ซึ่งคาดว่าจะสรุปข้อหาทั้งหมดที่จะแจ้งเพิ่มเติมได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งชุดพนักงานสอบสวนจะประสานงานกับทีมสืบสวนที่มีตำรวจ กองปราบปราม เป็นตัวหลักในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินของผู้ต้องหาแต่ละราย เพื่อให้ได้หลักฐานเชื่อมโยงไปสู่การกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย
    .
    ด้าน ตำรวจสอบสวนกลาง สรุปจำนวนยอดผู้เสียหายพบว่ายอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม 2567 จำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,875 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 979 ล้านบาทเศษ
    .
    ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) สรุปข้อมูลการรับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจภูธรจังหวัดและกองบังคับการตำรวจนครบาล ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2567 รวมผู้เสียหาย 892 ราย มูลค่าความเสียหาย 207 ล้านบาทเศษ ยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,773 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 632 ล้านบาทเศษ
    ..............
    Sondhi X
    อ่วม 18 บอสดิไอคอน เตรียมโดนข้อหาฟอกเงิน . ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นอกจากต้องจับตาความคืบหน้าในการขอประกันตัวของบรรดาเหล่าบอสคนดังแล้ว ปรากฎว่าการดำเนินไต่สวนของพนักงานสอบสวนก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หลังจากมีรายงานว่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เตรียมแจ้งข้อหากับบรรดาบอสทั้ง 18 คน เพิ่มเติม . สำหรับฐานความผิดที่จะแจ้งเพิ่มนั้น มีข้อหาร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินเป็นหลัก นอกจากนี้อาจมีข้อหาอื่น ๆ ประกอบ เช่น ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน รวมไปถึงข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักษณะขององค์กรอาชญากรรมอีกด้วย . โดยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนั้น ทีมสอบสวนจะมอบให้ให้พนักงานสอบสวน บช.ก. เข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมดในเรือนจำ ซึ่งคาดว่าจะสรุปข้อหาทั้งหมดที่จะแจ้งเพิ่มเติมได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งชุดพนักงานสอบสวนจะประสานงานกับทีมสืบสวนที่มีตำรวจ กองปราบปราม เป็นตัวหลักในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินของผู้ต้องหาแต่ละราย เพื่อให้ได้หลักฐานเชื่อมโยงไปสู่การกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย . ด้าน ตำรวจสอบสวนกลาง สรุปจำนวนยอดผู้เสียหายพบว่ายอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 10-20 ตุลาคม 2567 จำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,875 ราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะที่สอบปากคำแล้วรวม 979 ล้านบาทเศษ . ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) สรุปข้อมูลการรับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนกรุ๊ป จากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจภูธรจังหวัดและกองบังคับการตำรวจนครบาล ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2567 รวมผู้เสียหาย 892 ราย มูลค่าความเสียหาย 207 ล้านบาทเศษ ยอดรวมสะสม ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม 2567 มีจำนวนผู้เสียหายที่สอบปากคำแล้ว 2,773 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 632 ล้านบาทเศษ .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 734 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความ ไม่ยื่นประกันตัว "บอสพอล" เจ้าของอาณาจักรดิไอคอน ระบุสถานการณ์ยังไม่เหมาะสม รอฝุ่นจางมั่นใจได้ประกัน ยัน"บอสพอล"ไม่รู้จักเทวดา ล่าสุดศาลอนุญาตให้ฝากขัง รอส่งตัวนอนคุก

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000100581

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทนายความ ไม่ยื่นประกันตัว "บอสพอล" เจ้าของอาณาจักรดิไอคอน ระบุสถานการณ์ยังไม่เหมาะสม รอฝุ่นจางมั่นใจได้ประกัน ยัน"บอสพอล"ไม่รู้จักเทวดา ล่าสุดศาลอนุญาตให้ฝากขัง รอส่งตัวนอนคุก อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000100581 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    Yay
    Sad
    16
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2409 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่ง"บอสพอล" ฝากขัง-ค้านประกันตัว (18/10/67) #news1 #ดิไอคอนกรุ๊ป #ฝากขังบอสพอล
    ส่ง"บอสพอล" ฝากขัง-ค้านประกันตัว (18/10/67) #news1 #ดิไอคอนกรุ๊ป #ฝากขังบอสพอล
    Like
    Wow
    9
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1732 มุมมอง 488 0 รีวิว
Pages Boosts