• เหรียญหลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ จ.ยะลา ปี2539
    เหรียญหลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ จ.ยะลา ปี2539 // พระดีพิธีใหญ่ พระประสบการณ์สูง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณครบทุกด้าน บนได้ ไหว์รับ ทำมาค้าขายดีมากกก เมตตามหานิยม สุด สุด ขอโชคลาภ แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาอุด สุดยอดนิรันตราย ทางด้านค้าขาย เรียกเงินทองร่ำรวย โภคทรัพย์ ส่งเสริมด้านการเงิน สร้างทรัพย์ รักษาทรัพย์ สั่งสมทรัพย์ มีคนไปใช้ประสพความสำเร็จในหน้าทีการงานมากมาย >>

    ** หลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ พระเกจิชื่อดังจังหวัดยะลา หลวงปู่ท่านเป็นพระสายปฎิบัติท่านหนึ่งที่เคร่งด้านพระวินัย วิปัสนากรรมฐาน วัตถุมงคลของท่าน เป็นของรักของหวง ของลูกศิษย์ และ คนในพิ้นที่มาก มีพุทธคุณสูง หลังการมรณภาพ สรีระสังขารไม่เน่าเปื่อย จนกระทั่งมีลูกศิษย์ ลูกหาในสามจังหวัดใต้ มาเลเชีย สิงคโปร์ มากมาย >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ จ.ยะลา ปี2539 เหรียญหลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ จ.ยะลา ปี2539 // พระดีพิธีใหญ่ พระประสบการณ์สูง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณครบทุกด้าน บนได้ ไหว์รับ ทำมาค้าขายดีมากกก เมตตามหานิยม สุด สุด ขอโชคลาภ แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาอุด สุดยอดนิรันตราย ทางด้านค้าขาย เรียกเงินทองร่ำรวย โภคทรัพย์ ส่งเสริมด้านการเงิน สร้างทรัพย์ รักษาทรัพย์ สั่งสมทรัพย์ มีคนไปใช้ประสพความสำเร็จในหน้าทีการงานมากมาย >> ** หลวงปู่สุระ วัดสวนใหม่ พระเกจิชื่อดังจังหวัดยะลา หลวงปู่ท่านเป็นพระสายปฎิบัติท่านหนึ่งที่เคร่งด้านพระวินัย วิปัสนากรรมฐาน วัตถุมงคลของท่าน เป็นของรักของหวง ของลูกศิษย์ และ คนในพิ้นที่มาก มีพุทธคุณสูง หลังการมรณภาพ สรีระสังขารไม่เน่าเปื่อย จนกระทั่งมีลูกศิษย์ ลูกหาในสามจังหวัดใต้ มาเลเชีย สิงคโปร์ มากมาย >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • 20 ต.ค. นี้ ไม่เปิดด่าน นักการเมืองไทยมีหนาว!!? (16/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ไม่เปิดด่าน
    #การเมืองไทย
    #ความมั่นคง
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    20 ต.ค. นี้ ไม่เปิดด่าน นักการเมืองไทยมีหนาว!!? (16/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ชายแดนไทยกัมพูชา #ไม่เปิดด่าน #การเมืองไทย #ความมั่นคง #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 0 Reviews
  • สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอิสระซึ่งยืนยันว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่พบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นของใหม่ที่เพิ่งถูกเอามาวาง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝีมือฝ่ายไหน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098843

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอิสระซึ่งยืนยันว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่พบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นของใหม่ที่เพิ่งถูกเอามาวาง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝีมือฝ่ายไหน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000098843 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • เมินคำขู่ ฮุน เซน!!! โฆษก กต. ยัน ไทย "ไม่มีแผนเปิดด่าน" ไม่หวั่นแม้ขู่แฉนักการเมืองไทย ชี้ต้องการเพียงความจริงใจ 4 ข้อ
    https://www.thai-tai.tv/news/21924/
    .
    #ไทยไท #กระทรวงการต่างประเทศ #กัมพูชา #เปิดด่านชายแดน #ความมั่นคง #F16 #สิทธิมนุษยชน

    เมินคำขู่ ฮุน เซน!!! โฆษก กต. ยัน ไทย "ไม่มีแผนเปิดด่าน" ไม่หวั่นแม้ขู่แฉนักการเมืองไทย ชี้ต้องการเพียงความจริงใจ 4 ข้อ https://www.thai-tai.tv/news/21924/ . #ไทยไท #กระทรวงการต่างประเทศ #กัมพูชา #เปิดด่านชายแดน #ความมั่นคง #F16 #สิทธิมนุษยชน
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • โมฮัมมัด มามุ อดีตผู้สมัครสส. พรรคก้าวไกล นำวัยรุ่นนับร้อย พร้อมเครือข่ายของ สส. รอมฎอน ชุมนุมด่าทอ กดดัน เจ้าหน้าที่ และรพ. สมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อนำศพโจรใต้ BRN ไปแห่ยกย่องโจรใต้ว่าเป็นวีรบุรุษ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    โมฮัมมัด มามุ อดีตผู้สมัครสส. พรรคก้าวไกล นำวัยรุ่นนับร้อย พร้อมเครือข่ายของ สส. รอมฎอน ชุมนุมด่าทอ กดดัน เจ้าหน้าที่ และรพ. สมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อนำศพโจรใต้ BRN ไปแห่ยกย่องโจรใต้ว่าเป็นวีรบุรุษ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “Microsoft Defender ยังอัปเดตต่อบน Windows 10 — แต่อย่าพึ่งแอนตี้ไวรัสอย่างเดียว” — เมื่อการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องมากกว่าแค่โปรแกรมสแกนไวรัส

    แม้ว่า Windows 10 จะเข้าสู่สถานะ End of Support แล้วในเดือนตุลาคม 2025 แต่ Microsoft ยืนยันว่า Microsoft Defender Antivirus ซึ่งเป็นระบบป้องกันไวรัสในตัวของ Windows จะยังคงได้รับการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม 2028

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เตือนว่า “Defender Antivirus เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการลดความเสี่ยง” เพราะระบบปฏิบัติการจะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยรายเดือนอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าช่องโหว่ใหม่ ๆ ที่ถูกค้นพบหลังจากนี้จะไม่ได้รับการแก้ไข

    ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Windows 10 ควรสมัครโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ซึ่งจะให้การอัปเดตด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม แม้ว่า Microsoft จะให้บริการนี้ฟรีสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในบางภูมิภาค แต่ก็มีข้อจำกัดและอาจมีค่าใช้จ่ายในบางประเทศ

    บทความยังเตือนว่า แม้ผู้ใช้จะระมัดระวังแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือแฮกเกอร์ได้ หากไม่มีการอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง เพราะช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไขจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา

    ข้อมูลในข่าว
    Microsoft Defender Antivirus จะยังได้รับอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสบน Windows 10 ถึงตุลาคม 2028
    Windows 10 เข้าสู่สถานะ End of Support แล้วในเดือนตุลาคม 2025
    ระบบจะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยรายเดือนอีกต่อไป
    Microsoft แนะนำให้สมัครโปรแกรม Extended Security Updates (ESU)
    ESU อาจให้บริการฟรีในบางภูมิภาค แต่มีข้อจำกัด
    Defender Antivirus เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการป้องกันความเสี่ยง
    ช่องโหว่ใหม่ ๆ จะไม่ได้รับการแก้ไขหากไม่มี ESU

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ Windows 10 ต่อโดยไม่มี ESU เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์
    แม้จะมีแอนตี้ไวรัส แต่หากระบบไม่ได้อัปเดต ช่องโหว่ก็ยังคงอยู่
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจเข้าใจผิดว่าการมี Defender เพียงพอแล้ว
    ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามเวลา เพราะช่องโหว่จะสะสมมากขึ้น
    การพึ่งพาแอนตี้ไวรัสอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนการอัปเดตระบบได้

    https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-defender-will-still-protect-windows-10-pcs-now-support-has-ended-but-dont-make-the-mistake-of-relying-on-antivirus
    🛡️ “Microsoft Defender ยังอัปเดตต่อบน Windows 10 — แต่อย่าพึ่งแอนตี้ไวรัสอย่างเดียว” — เมื่อการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องมากกว่าแค่โปรแกรมสแกนไวรัส แม้ว่า Windows 10 จะเข้าสู่สถานะ End of Support แล้วในเดือนตุลาคม 2025 แต่ Microsoft ยืนยันว่า Microsoft Defender Antivirus ซึ่งเป็นระบบป้องกันไวรัสในตัวของ Windows จะยังคงได้รับการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม 2028 อย่างไรก็ตาม Microsoft เตือนว่า “Defender Antivirus เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการลดความเสี่ยง” เพราะระบบปฏิบัติการจะไม่ได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยรายเดือนอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าช่องโหว่ใหม่ ๆ ที่ถูกค้นพบหลังจากนี้จะไม่ได้รับการแก้ไข ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Windows 10 ควรสมัครโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ซึ่งจะให้การอัปเดตด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม แม้ว่า Microsoft จะให้บริการนี้ฟรีสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในบางภูมิภาค แต่ก็มีข้อจำกัดและอาจมีค่าใช้จ่ายในบางประเทศ บทความยังเตือนว่า แม้ผู้ใช้จะระมัดระวังแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสถูกโจมตีจากมัลแวร์หรือแฮกเกอร์ได้ หากไม่มีการอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง เพราะช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไขจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Microsoft Defender Antivirus จะยังได้รับอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสบน Windows 10 ถึงตุลาคม 2028 ➡️ Windows 10 เข้าสู่สถานะ End of Support แล้วในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ระบบจะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยรายเดือนอีกต่อไป ➡️ Microsoft แนะนำให้สมัครโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ➡️ ESU อาจให้บริการฟรีในบางภูมิภาค แต่มีข้อจำกัด ➡️ Defender Antivirus เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการป้องกันความเสี่ยง ➡️ ช่องโหว่ใหม่ ๆ จะไม่ได้รับการแก้ไขหากไม่มี ESU ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ Windows 10 ต่อโดยไม่มี ESU เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมัลแวร์ ⛔ แม้จะมีแอนตี้ไวรัส แต่หากระบบไม่ได้อัปเดต ช่องโหว่ก็ยังคงอยู่ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจเข้าใจผิดว่าการมี Defender เพียงพอแล้ว ⛔ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามเวลา เพราะช่องโหว่จะสะสมมากขึ้น ⛔ การพึ่งพาแอนตี้ไวรัสอย่างเดียวไม่สามารถทดแทนการอัปเดตระบบได้ https://www.techradar.com/computing/windows/microsoft-defender-will-still-protect-windows-10-pcs-now-support-has-ended-but-dont-make-the-mistake-of-relying-on-antivirus
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B” — ขยายศักยภาพศูนย์ข้อมูล AI สู่ 5GW ทั่วสหรัฐฯ

    กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและการเงินระดับโลก ได้แก่ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ของ Elon Musk ได้ร่วมมือกันเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ด้วยมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมกำลังโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง

    Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแบบ modular และระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีศูนย์ข้อมูลที่เปิดใช้งานแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา รวมกันกว่า 5 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    ดีลนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลที่รองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากบริษัทที่กำลังพัฒนาโมเดลภาษาและระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เช่น xAI และ Microsoft Azure

    การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยให้ Aligned สามารถขยายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix โดยเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนแบบ liquid-cooling เพื่อรองรับ GPU ที่มี TDP สูง

    BlackRock ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในดีลนี้ มองว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็น “สินทรัพย์ระยะยาว” ที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจ

    ข้อมูลในข่าว
    BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B
    Aligned มีศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ทั้งที่เปิดใช้งานและอยู่ระหว่างการพัฒนา
    ศูนย์ข้อมูลรองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่
    Aligned ใช้ระบบ modular และ liquid-cooling เพื่อรองรับ TDP สูง
    มีแผนขยายไปยังเมืองใหม่ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix
    เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง
    BlackRock มองว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
    ดีลนี้สะท้อนความต้องการศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/groups-including-blackrock-microsoft-nvidia-and-xai-join-forces-to-acquire-aligned-data-centers-usd40b-deal-delivers-5gw-of-operational-and-planned-data-center-capacity
    🏢 “BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B” — ขยายศักยภาพศูนย์ข้อมูล AI สู่ 5GW ทั่วสหรัฐฯ กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและการเงินระดับโลก ได้แก่ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ของ Elon Musk ได้ร่วมมือกันเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ด้วยมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมกำลังโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแบบ modular และระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีศูนย์ข้อมูลที่เปิดใช้งานแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา รวมกันกว่า 5 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ดีลนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลที่รองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากบริษัทที่กำลังพัฒนาโมเดลภาษาและระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เช่น xAI และ Microsoft Azure การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยให้ Aligned สามารถขยายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix โดยเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนแบบ liquid-cooling เพื่อรองรับ GPU ที่มี TDP สูง BlackRock ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในดีลนี้ มองว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็น “สินทรัพย์ระยะยาว” ที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B ➡️ Aligned มีศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ทั้งที่เปิดใช้งานและอยู่ระหว่างการพัฒนา ➡️ ศูนย์ข้อมูลรองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ ➡️ Aligned ใช้ระบบ modular และ liquid-cooling เพื่อรองรับ TDP สูง ➡️ มีแผนขยายไปยังเมืองใหม่ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix ➡️ เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง ➡️ BlackRock มองว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นสินทรัพย์ระยะยาว ➡️ ดีลนี้สะท้อนความต้องการศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/groups-including-blackrock-microsoft-nvidia-and-xai-join-forces-to-acquire-aligned-data-centers-usd40b-deal-delivers-5gw-of-operational-and-planned-data-center-capacity
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • “Lenovo เปิดตัว LEGION Radeon RX 9070 XT รุ่นปรับแต่งพิเศษ” — การ์ดจอ OEM ที่ออกแบบเพื่อเกมเมอร์สาย MoDT โดยเฉพาะ

    Lenovo สร้างความฮือฮาในวงการฮาร์ดแวร์ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นปรับแต่งพิเศษ LEGION Radeon RX 9070 XT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพีซีเกมมิ่งรุ่น Blade 7000P ที่ใช้แนวคิด Mobile on Desktop (MoDT) โดยนำชิ้นส่วนจากโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงมาใช้ในเครื่องตั้งโต๊ะ

    แม้ Lenovo จะไม่ใช่แบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการ์ดจอแบบ custom แต่การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในระบบของ Lenovo เท่านั้น ไม่วางจำหน่ายแยก ทำให้กลุ่มนักสะสมและผู้ใช้ระดับสูงให้ความสนใจ

    การ์ดใช้สเปกมาตรฐานของ AMD Radeon RX 9070 XT:
    4,096 stream processors
    16 GB GDDR6 memory
    64 MB L3 cache
    ความเร็ว base clock 1,660 MHz, game clock 2,400 MHz, boost clock 2,970 MHz

    ดีไซน์ภายนอกเน้นความเรียบง่ายแบบอุตสาหกรรม:
    ฮีตซิงก์ขนาดใหญ่แบบ 3-slot
    ฝาครอบสีเทาเข้มและ backplate ลาย LEGION สีดำ
    มีไฟ RGB ด้านบนที่ปรับสีได้ตามธีมของผู้ใช้

    แม้จะมีเสียงวิจารณ์เรื่องความสวยงาม แต่หลายคนชื่นชมเรื่องการระบายความร้อนและความเงียบในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการ์ด OEM รุ่นอื่น ๆ

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การ์ดรุ่นนี้เป็น OEM ไม่สามารถซื้อแยกได้
    หากต้องการอัปเกรดซีพียูในอนาคต อาจต้องเปลี่ยนทั้งระบบ
    ดีไซน์เรียบแบบอุตสาหกรรม อาจไม่ถูกใจผู้ใช้ที่ชอบความสวยงาม
    การ์ดมีขนาดใหญ่ อาจไม่เหมาะกับเคสขนาดเล็ก การเปลี่ยนหรือซ่อมพัดลมต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะจาก Lenovo

    https://www.techpowerup.com/341941/lenovo-designs-custom-legion-radeon-rx-9070-xt-gpu
    🎮 “Lenovo เปิดตัว LEGION Radeon RX 9070 XT รุ่นปรับแต่งพิเศษ” — การ์ดจอ OEM ที่ออกแบบเพื่อเกมเมอร์สาย MoDT โดยเฉพาะ Lenovo สร้างความฮือฮาในวงการฮาร์ดแวร์ด้วยการเปิดตัวการ์ดจอรุ่นปรับแต่งพิเศษ LEGION Radeon RX 9070 XT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพีซีเกมมิ่งรุ่น Blade 7000P ที่ใช้แนวคิด Mobile on Desktop (MoDT) โดยนำชิ้นส่วนจากโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงมาใช้ในเครื่องตั้งโต๊ะ แม้ Lenovo จะไม่ใช่แบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการ์ดจอแบบ custom แต่การ์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในระบบของ Lenovo เท่านั้น ไม่วางจำหน่ายแยก ทำให้กลุ่มนักสะสมและผู้ใช้ระดับสูงให้ความสนใจ การ์ดใช้สเปกมาตรฐานของ AMD Radeon RX 9070 XT: 🎗️ 4,096 stream processors 🎗️ 16 GB GDDR6 memory 🎗️ 64 MB L3 cache 🎗️ ความเร็ว base clock 1,660 MHz, game clock 2,400 MHz, boost clock 2,970 MHz ดีไซน์ภายนอกเน้นความเรียบง่ายแบบอุตสาหกรรม: 🎗️ ฮีตซิงก์ขนาดใหญ่แบบ 3-slot 🎗️ ฝาครอบสีเทาเข้มและ backplate ลาย LEGION สีดำ 🎗️ มีไฟ RGB ด้านบนที่ปรับสีได้ตามธีมของผู้ใช้ แม้จะมีเสียงวิจารณ์เรื่องความสวยงาม แต่หลายคนชื่นชมเรื่องการระบายความร้อนและความเงียบในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการ์ด OEM รุ่นอื่น ๆ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การ์ดรุ่นนี้เป็น OEM ไม่สามารถซื้อแยกได้ ⛔ หากต้องการอัปเกรดซีพียูในอนาคต อาจต้องเปลี่ยนทั้งระบบ ⛔ ดีไซน์เรียบแบบอุตสาหกรรม อาจไม่ถูกใจผู้ใช้ที่ชอบความสวยงาม ⛔ การ์ดมีขนาดใหญ่ อาจไม่เหมาะกับเคสขนาดเล็ก ⛔ การเปลี่ยนหรือซ่อมพัดลมต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะจาก Lenovo https://www.techpowerup.com/341941/lenovo-designs-custom-legion-radeon-rx-9070-xt-gpu
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Lenovo Designs Custom LEGION Radeon RX 9070 XT GPU
    While Lenovo isn't typically known for its custom GPUs, the company is developing customized designs for its desktops, which are shipped in large quantities. Today, we have learned that Lenovo has created a LEGION Radeon RX 9070 XT GPU with a unique cooler. This GPU is part of the 2025 Blade 7000P, ...
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC

    Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก

    PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์

    โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า

    บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป

    Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน

    ข้อมูลในข่าว
    Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์
    ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets
    PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก
    โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023
    อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel
    ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001
    แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028
    โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์
    เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก

    https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    📦 “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์ โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets ➡️ PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก ➡️ โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023 ➡️ อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel ➡️ ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001 ➡️ แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028 ➡️ โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์ ➡️ เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Silicon Box Ships 100M Units, Proves Advanced Panel-Level Packaging Ready for AI, HPC era
    Silicon Box, a global leader in chiplet integration and advanced semiconductor packaging, announced it has shipped 100-million-units from its flagship factory in Singapore's Tampines Wafer Park. The state-of-the-art facility, which began mass production in late 2023, produces advanced panel-level pa...
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ

    บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล

    I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์

    โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V

    Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม

    ข้อมูลในข่าว
    MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ
    ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster
    รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว
    เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร
    รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23
    ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น
    Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven
    มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม

    https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    ⚙️ “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์ โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster ➡️ รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว ➡️ เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร ➡️ รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23 ➡️ ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ➡️ มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MIPS I8500 Processor Orchestrates Data Movement for the AI Era
    MIPS, a GlobalFoundries company, announced today the MIPS I8500 processor is now sampling to lead customers. Featured at GlobalFoundries' Technology Summit in Munich, Germany today, the I8500 represents a class of intelligent data movement processor IP designed for real-time, event-driven computing ...
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง

    ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง

    Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง

    แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว

    Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม

    ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว:
    Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์
    Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า
    DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ
    Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน
    Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    ข้อมูลในข่าว
    AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้
    ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้
    Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents
    Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026
    AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้
    Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์
    DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ
    Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน
    Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก
    อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี
    หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์
    การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ
    นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    🤖 “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์ บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว: ⭐ Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์ ⭐ Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า ⭐ DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ ⭐ Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน ⭐ Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ⭐ Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้ ➡️ Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents ➡️ Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ➡️ AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้ ➡️ Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์ ➡️ DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ ➡️ Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน ➡️ Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ➡️ Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก ⛔ อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์ ⛔ การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ⛔ นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Incredibly dangerous or incredibly useful? The rise of AI agents
    Developers say they can do nearly any task a human can at a computer. Critics say they are incredibly dangerous.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม

    ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้

    อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน

    นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ

    บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง

    รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์
    AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย
    แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง
    การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้
    การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น
    การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้
    หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว
    การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด
    ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย
    สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้
    การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย
    ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้
    ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย
    การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม

    https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    🛡️ “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้ อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง 🧠 รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ 🪙 AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย 🪙 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง 🪙 การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ 🪙 การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น 🪙 การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้ 🪙 หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว 🪙 การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด 🪙 ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย 🪙 สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้ 🪙 การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย 🪙 ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้ 🪙 ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย 🪙 การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    13 cybersecurity myths organizations need to stop believing
    Security teams trying to defend their organizations need to adapt quickly to new challenges. Yesterday's best practices have become today's myths.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ

    ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม

    หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ

    ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ

    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น:
    อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู
    ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ
    แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม
    ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    ข้อมูลในข่าว
    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ
    ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์
    เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล
    ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว
    ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์
    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป
    Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API
    Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง
    FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก
    PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว
    หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ
    การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง
    การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย
    การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ

    https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    🔍 “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น: ⭐ อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู ⭐ ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ ⭐ แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม ⭐ ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ ➡️ ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์ ➡️ เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล ➡️ ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว ➡️ ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์ ➡️ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป ➡️ Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API ➡️ Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง ➡️ FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก ➡️ PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว ⛔ หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ ⛔ การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง ⛔ การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย ⛔ การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    HACKREAD.COM
    The Power of Vector Databases in the New Era of AI Search
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐ” — ซอร์สโค้ดและข้อมูลช่องโหว่หลุด เสี่ยงต่อการโจมตีในอนาคต

    บริษัท F5 ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโซลูชันด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เช่น BIG-IP ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) โดยการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงก่อนเดือนสิงหาคม 2025 และเพิ่งถูกเปิดเผยในเดือนตุลาคม

    แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบภายในของ F5 ได้เป็นเวลานาน และขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ส่วนหนึ่งของซอร์สโค้ด BIG-IP, งานวิจัยเกี่ยวกับช่องโหว่ และข้อมูลการตั้งค่าของลูกค้าบางราย แม้ว่า F5 จะยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขระบบ build หรือกลไกการอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าข้อมูลที่หลุดอาจถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบในอนาคต

    หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหราชอาณาจักร (NCSC) ยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการแทรกซึมแบบต่อเนื่อง (APT) และมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ supply chain หรือการเจาะระบบของลูกค้าระดับองค์กรและรัฐบาล

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ F5 ตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง และติดตั้งแพตช์ล่าสุดโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากข้อมูลที่หลุด

    ข้อมูลในข่าว
    F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงซอร์สโค้ด BIG-IP และงานวิจัยช่องโหว่
    มีการเข้าถึงระบบภายในเป็นเวลานานก่อนถูกตรวจพบ
    ไม่มีหลักฐานว่าระบบ build หรือกลไกอัปเดตถูกแก้ไข
    หน่วยงาน NCSC ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ APT
    เป้าหมายคือการศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง
    ผู้ใช้งานควรติดตั้งแพตช์ล่าสุดและตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง
    การโจมตีอาจนำไปสู่การเจาะระบบของลูกค้าผ่าน supply chain

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ข้อมูลซอร์สโค้ดและช่องโหว่ที่หลุดอาจถูกใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบ
    การแทรกซึมแบบต่อเนื่องทำให้การตรวจจับยากและอาจเกิดความเสียหายระยะยาว
    ลูกค้าของ F5 อาจตกเป็นเป้าหมายจากข้อมูลที่หลุด
    การไม่อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผย
    การโจมตีแบบ nation-state มักมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และยากต่อการป้องกัน

    https://hackread.com/f5-breach-source-code-vulnerability-data-stolen/
    🛡️ “F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐ” — ซอร์สโค้ดและข้อมูลช่องโหว่หลุด เสี่ยงต่อการโจมตีในอนาคต บริษัท F5 ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโซลูชันด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เช่น BIG-IP ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) โดยการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงก่อนเดือนสิงหาคม 2025 และเพิ่งถูกเปิดเผยในเดือนตุลาคม แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบภายในของ F5 ได้เป็นเวลานาน และขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ส่วนหนึ่งของซอร์สโค้ด BIG-IP, งานวิจัยเกี่ยวกับช่องโหว่ และข้อมูลการตั้งค่าของลูกค้าบางราย แม้ว่า F5 จะยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขระบบ build หรือกลไกการอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าข้อมูลที่หลุดอาจถูกนำไปใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบในอนาคต หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหราชอาณาจักร (NCSC) ยืนยันว่าการโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการแทรกซึมแบบต่อเนื่อง (APT) และมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ supply chain หรือการเจาะระบบของลูกค้าระดับองค์กรและรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำให้ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ F5 ตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง และติดตั้งแพตช์ล่าสุดโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากข้อมูลที่หลุด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ F5 ถูกเจาะระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงซอร์สโค้ด BIG-IP และงานวิจัยช่องโหว่ ➡️ มีการเข้าถึงระบบภายในเป็นเวลานานก่อนถูกตรวจพบ ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าระบบ build หรือกลไกอัปเดตถูกแก้ไข ➡️ หน่วยงาน NCSC ยืนยันว่าเป็นการโจมตีแบบ APT ➡️ เป้าหมายคือการศึกษาการทำงานของผลิตภัณฑ์ F5 อย่างลึกซึ้ง ➡️ ผู้ใช้งานควรติดตั้งแพตช์ล่าสุดและตรวจสอบการตั้งค่าการเข้าถึง ➡️ การโจมตีอาจนำไปสู่การเจาะระบบของลูกค้าผ่าน supply chain ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ข้อมูลซอร์สโค้ดและช่องโหว่ที่หลุดอาจถูกใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเจาะระบบ ⛔ การแทรกซึมแบบต่อเนื่องทำให้การตรวจจับยากและอาจเกิดความเสียหายระยะยาว ⛔ ลูกค้าของ F5 อาจตกเป็นเป้าหมายจากข้อมูลที่หลุด ⛔ การไม่อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจเปิดช่องให้ถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผย ⛔ การโจมตีแบบ nation-state มักมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และยากต่อการป้องกัน https://hackread.com/f5-breach-source-code-vulnerability-data-stolen/
    HACKREAD.COM
    F5 Confirms Nation-State Breach, Source Code and Vulnerability Data Stolen
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย

    Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว

    รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว

    ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย

    ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้

    อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995

    ข้อมูลในข่าว
    Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai
    รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์
    ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
    รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger
    พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต
    ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit
    ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก
    ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
    สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก
    รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม
    ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์)

    https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    🚗 “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai ➡️ รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์ ➡️ ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ➡️ รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ➡️ พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต ➡️ ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit ➡️ ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก ➡️ ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ⛔ สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก ⛔ รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม ⛔ ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์) https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nissan's New 2026 Leaf Finally Delivers On An Old Promise - SlashGear
    Is Nissan's newest Leaf the freshly-crowned king of cheap electric cars?
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “Apple M5 vs M4” — ก้าวกระโดดด้าน AI และกราฟิกที่เปลี่ยนเกมของ Apple Silicon

    หลังจากเปิดตัวชิป M4 ในเดือนพฤษภาคม 2024 Apple ก็เดินหน้าต่อด้วย M5 ซึ่งเป็นชิปที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้าน AI และกราฟิกอย่างชัดเจน

    M5 มาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วกว่า M4 ถึง 4 เท่า และให้ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้นถึง 45% นอกจากนี้ CPU ของ M5 ยังมี 10 คอร์ (4 คอร์ประสิทธิภาพ + 6 คอร์ประหยัดพลังงาน) ซึ่งเพิ่มความเร็วแบบ multithreaded ขึ้นอีก 15% เมื่อเทียบกับ M4

    Neural Engine แบบ 16 คอร์ใน M5 ยังช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ของ unified memory ขึ้นถึง 30% ซึ่งส่งผลให้การทำงานร่วมกับโมเดล AI และการเรนเดอร์ภาพมีความลื่นไหลและแม่นยำมากขึ้น

    ในขณะที่ M4 เป็นชิปแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro โดยเน้นการเรนเดอร์กราฟิกด้วย ray tracing และ mesh shading M5 ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับ Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายการใช้งานของ Apple Silicon ไปยังอุปกรณ์ระดับสูงที่ต้องการพลังประมวลผลแบบเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลในข่าว
    M5 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม พร้อม GPU แบบ 10 คอร์
    มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ของ GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และกราฟิกดีขึ้น 45%
    CPU แบบ 10 คอร์ให้ multithreaded performance สูงขึ้น 15%
    Neural Engine แบบ 16 คอร์ช่วยเพิ่ม unified memory bandwidth ขึ้น 30%
    M4 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro
    M4 รองรับ ray tracing, mesh shading และ Dynamic Caching
    M5 เปิดตัวพร้อม Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่
    M5 เหมาะกับงาน AI และกราฟิกที่ต้องการพลังประมวลผลสูง

    https://www.slashgear.com/1997651/apple-m5-vs-m4-what-difference-performance-capabilities/
    🍏 “Apple M5 vs M4” — ก้าวกระโดดด้าน AI และกราฟิกที่เปลี่ยนเกมของ Apple Silicon หลังจากเปิดตัวชิป M4 ในเดือนพฤษภาคม 2024 Apple ก็เดินหน้าต่อด้วย M5 ซึ่งเป็นชิปที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพด้าน AI และกราฟิกอย่างชัดเจน M5 มาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วกว่า M4 ถึง 4 เท่า และให้ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้นถึง 45% นอกจากนี้ CPU ของ M5 ยังมี 10 คอร์ (4 คอร์ประสิทธิภาพ + 6 คอร์ประหยัดพลังงาน) ซึ่งเพิ่มความเร็วแบบ multithreaded ขึ้นอีก 15% เมื่อเทียบกับ M4 Neural Engine แบบ 16 คอร์ใน M5 ยังช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ของ unified memory ขึ้นถึง 30% ซึ่งส่งผลให้การทำงานร่วมกับโมเดล AI และการเรนเดอร์ภาพมีความลื่นไหลและแม่นยำมากขึ้น ในขณะที่ M4 เป็นชิปแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro โดยเน้นการเรนเดอร์กราฟิกด้วย ray tracing และ mesh shading M5 ได้รับการเปิดตัวพร้อมกับ Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายการใช้งานของ Apple Silicon ไปยังอุปกรณ์ระดับสูงที่ต้องการพลังประมวลผลแบบเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ M5 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม พร้อม GPU แบบ 10 คอร์ ➡️ มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ของ GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และกราฟิกดีขึ้น 45% ➡️ CPU แบบ 10 คอร์ให้ multithreaded performance สูงขึ้น 15% ➡️ Neural Engine แบบ 16 คอร์ช่วยเพิ่ม unified memory bandwidth ขึ้น 30% ➡️ M4 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สอง และเปิดตัวพร้อม iPad Pro ➡️ M4 รองรับ ray tracing, mesh shading และ Dynamic Caching ➡️ M5 เปิดตัวพร้อม Vision Pro และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ➡️ M5 เหมาะกับงาน AI และกราฟิกที่ต้องการพลังประมวลผลสูง https://www.slashgear.com/1997651/apple-m5-vs-m4-what-difference-performance-capabilities/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple M5 Vs. M4: What's The Difference In Performance & Capability? - SlashGear
    Apple’s M5 outpaces the M4 with up to 45% better graphics, faster AI processing, and higher memory bandwidth, making it a big leap in performance.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “ทำไมเจ้านายคุณไม่กลัว AI” — ความเข้าใจผิดที่อันตรายระหว่างซอฟต์แวร์ทั่วไปกับระบบปัญญาประดิษฐ์

    บทความนี้ชวนเรามองลึกถึงช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กับคนทั่วไป โดยเฉพาะในองค์กรที่ผู้บริหารอาจมองว่า “AI ก็เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป” ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่เสี่ยง

    ผู้เขียนอธิบายว่า คนทั่วไปเข้าใจดีว่า “บั๊กในซอฟต์แวร์” อาจสร้างความเสียหายได้ แต่ก็เชื่อว่ามันสามารถแก้ไขได้เหมือนการหาจุดผิดในโค้ด แล้วแก้ให้ถูกต้อง ซึ่งใช้ได้กับซอฟต์แวร์ทั่วไป แต่ใช้ไม่ได้กับ AI

    AI ไม่ได้ทำงานจากโค้ดที่เขียนทีละบรรทัด แต่เกิดจากการฝึกด้วยข้อมูลมหาศาล ซึ่งไม่มีใครรู้ครบว่ามีอะไรอยู่ในนั้น เช่น ชุดข้อมูล FineWeb ที่ใช้ฝึกโมเดลมีคำกว่า 11.25 ล้านล้านคำ — ถ้าคนอ่านวันละ 250 คำ จะใช้เวลาถึง 85,000 ปี!

    เมื่อ AI ทำพฤติกรรมผิดปกติ เราไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากข้อมูลไหน ต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไปที่สามารถไล่โค้ดย้อนกลับได้อย่างแม่นยำ นักวิจัยจึงใช้วิธี “ฝึกใหม่ด้วยข้อมูลเพิ่ม” แทนการแก้จุดเดียว

    นอกจากนี้ AI ยังมีพฤติกรรมที่ไม่เสถียร เช่น การตอบต่างกันแม้เปลี่ยนคำถามเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถควบคุมให้ทำตามสเปกได้เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป แม้จะตั้งเป้าหมายไว้ว่า “ห้ามตอบคำถามผิดกฎหมาย” ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า AI จะไม่หลุดพฤติกรรมในบางสถานการณ์

    ผู้เขียนเสนอว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญและคนทั่วไป โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ เพราะความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินจริง

    ข้อมูลในข่าว
    คนทั่วไปเข้าใจว่บั๊กในซอฟต์แวร์สามารถแก้ได้ แต่ใช้ไม่ได้กับ AI
    AI ทำงานจากการฝึกด้วยข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่โค้ดที่เขียนทีละบรรทัด
    ไม่มีใครรู้ครบว่าข้อมูลฝึก AI มีอะไรบ้าง เช่น FineWeb มีคำกว่า 11.25 ล้านล้านคำ
    พฤติกรรมผิดปกติใน AI ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากข้อมูลไหน
    นักวิจัยใช้วิธีฝึกใหม่ด้วยข้อมูลเพิ่ม แทนการแก้จุดเดียว
    AI ตอบต่างกันแม้เปลี่ยนคำถามเพียงเล็กน้อย เช่น เพิ่มเครื่องหมายคำถาม
    ไม่สามารถควบคุมให้ AI ทำตามสเปกได้เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป
    ความสามารถบางอย่างของ AI ถูกค้นพบโดยผู้ใช้ทั่วไปหลังเปิดตัว
    ไม่มีใครรับประกันได้ว่า AI จะไม่แสดงพฤติกรรมอันตรายในอนาคต
    ช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับคนทั่วไปเป็นปัญหาสำคัญ

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเข้าใจว่า AI เป็นแค่ซอฟต์แวร์ทั่วไปอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงผิดพลาด
    การคิดว่า “แก้บั๊กแล้วจบ” ใช้ไม่ได้กับระบบที่เรียนรู้จากข้อมูล
    การใช้ AI โดยไม่เข้าใจโครงสร้างการฝึก อาจเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมไม่คาดคิด
    การเปลี่ยนคำถามเล็กน้อยอาจทำให้ AI ตอบต่างกันอย่างสิ้นเชิง
    การตั้งสเปกให้ AI “ห้ามทำสิ่งผิด” ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้
    ความสามารถที่ซ่อนอยู่ใน AI อาจเป็นอันตราย หากถูกค้นพบโดยผู้ไม่หวังดี
    การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างฝ่ายเทคนิคกับผู้บริหารอาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาด

    https://boydkane.com/essays/boss
    🧠 “ทำไมเจ้านายคุณไม่กลัว AI” — ความเข้าใจผิดที่อันตรายระหว่างซอฟต์แวร์ทั่วไปกับระบบปัญญาประดิษฐ์ บทความนี้ชวนเรามองลึกถึงช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กับคนทั่วไป โดยเฉพาะในองค์กรที่ผู้บริหารอาจมองว่า “AI ก็เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป” ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่เสี่ยง ผู้เขียนอธิบายว่า คนทั่วไปเข้าใจดีว่า “บั๊กในซอฟต์แวร์” อาจสร้างความเสียหายได้ แต่ก็เชื่อว่ามันสามารถแก้ไขได้เหมือนการหาจุดผิดในโค้ด แล้วแก้ให้ถูกต้อง ซึ่งใช้ได้กับซอฟต์แวร์ทั่วไป แต่ใช้ไม่ได้กับ AI AI ไม่ได้ทำงานจากโค้ดที่เขียนทีละบรรทัด แต่เกิดจากการฝึกด้วยข้อมูลมหาศาล ซึ่งไม่มีใครรู้ครบว่ามีอะไรอยู่ในนั้น เช่น ชุดข้อมูล FineWeb ที่ใช้ฝึกโมเดลมีคำกว่า 11.25 ล้านล้านคำ — ถ้าคนอ่านวันละ 250 คำ จะใช้เวลาถึง 85,000 ปี! เมื่อ AI ทำพฤติกรรมผิดปกติ เราไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากข้อมูลไหน ต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไปที่สามารถไล่โค้ดย้อนกลับได้อย่างแม่นยำ นักวิจัยจึงใช้วิธี “ฝึกใหม่ด้วยข้อมูลเพิ่ม” แทนการแก้จุดเดียว นอกจากนี้ AI ยังมีพฤติกรรมที่ไม่เสถียร เช่น การตอบต่างกันแม้เปลี่ยนคำถามเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถควบคุมให้ทำตามสเปกได้เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป แม้จะตั้งเป้าหมายไว้ว่า “ห้ามตอบคำถามผิดกฎหมาย” ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า AI จะไม่หลุดพฤติกรรมในบางสถานการณ์ ผู้เขียนเสนอว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญและคนทั่วไป โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ เพราะความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินจริง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ คนทั่วไปเข้าใจว่บั๊กในซอฟต์แวร์สามารถแก้ได้ แต่ใช้ไม่ได้กับ AI ➡️ AI ทำงานจากการฝึกด้วยข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่โค้ดที่เขียนทีละบรรทัด ➡️ ไม่มีใครรู้ครบว่าข้อมูลฝึก AI มีอะไรบ้าง เช่น FineWeb มีคำกว่า 11.25 ล้านล้านคำ ➡️ พฤติกรรมผิดปกติใน AI ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากข้อมูลไหน ➡️ นักวิจัยใช้วิธีฝึกใหม่ด้วยข้อมูลเพิ่ม แทนการแก้จุดเดียว ➡️ AI ตอบต่างกันแม้เปลี่ยนคำถามเพียงเล็กน้อย เช่น เพิ่มเครื่องหมายคำถาม ➡️ ไม่สามารถควบคุมให้ AI ทำตามสเปกได้เหมือนซอฟต์แวร์ทั่วไป ➡️ ความสามารถบางอย่างของ AI ถูกค้นพบโดยผู้ใช้ทั่วไปหลังเปิดตัว ➡️ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า AI จะไม่แสดงพฤติกรรมอันตรายในอนาคต ➡️ ช่องว่างความเข้าใจระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับคนทั่วไปเป็นปัญหาสำคัญ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเข้าใจว่า AI เป็นแค่ซอฟต์แวร์ทั่วไปอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงผิดพลาด ⛔ การคิดว่า “แก้บั๊กแล้วจบ” ใช้ไม่ได้กับระบบที่เรียนรู้จากข้อมูล ⛔ การใช้ AI โดยไม่เข้าใจโครงสร้างการฝึก อาจเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมไม่คาดคิด ⛔ การเปลี่ยนคำถามเล็กน้อยอาจทำให้ AI ตอบต่างกันอย่างสิ้นเชิง ⛔ การตั้งสเปกให้ AI “ห้ามทำสิ่งผิด” ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ ⛔ ความสามารถที่ซ่อนอยู่ใน AI อาจเป็นอันตราย หากถูกค้นพบโดยผู้ไม่หวังดี ⛔ การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างฝ่ายเทคนิคกับผู้บริหารอาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาด https://boydkane.com/essays/boss
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก

    Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ

    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน

    การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp

    ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย

    ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน

    ข้อมูลในข่าว
    การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ
    บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก
    ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้
    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล
    พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล
    มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก
    บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ
    พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง
    การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง

    https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    📡 “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ➡️ บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก ➡️ ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้ ➡️ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล ➡️ พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล ➡️ มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก ➡️ บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ ➡️ พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    WWW.LIGHTHOUSEREPORTS.COM
    Surveillance Secrets
    Trove of surveillance data challenges what we thought we knew about location tracking tools, who they target and how far they have spread
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “ไอร์แลนด์ประกาศรายได้พื้นฐานถาวรสำหรับศิลปิน” — โมเดลสนับสนุนศิลปะที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ

    รัฐบาลไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts (BIA) เป็นนโยบายถาวร เริ่มตั้งแต่ปี 2026 หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองเป็นเวลา 3 ปี โดยมีศิลปินและผู้ทำงานด้านศิลปะกว่า 2,000 คนได้รับเงินสนับสนุนรายสัปดาห์จำนวน €325 โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้หรือเงื่อนไขสวัสดิการอื่น ๆ

    รายงานประเมินผลจาก Alma Economics พบว่าโครงการนี้สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ชมที่เพิ่มขึ้น การลดภาระสวัสดิการ และการพัฒนาสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วม โดยทุก €1 ที่ลงทุนในศิลปิน สร้างผลตอบแทนกลับมา €1.39 รวมมูลค่ากว่า €100 ล้านในช่วง 3 ปี

    นอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการยังช่วยให้ศิลปินสามารถทุ่มเทเวลาให้กับงานสร้างสรรค์มากขึ้นถึง 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และสร้างผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าและการมีส่วนร่วมทางสังคม

    รัฐบาลยังประกาศเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรมในปี 2026 เช่น สนับสนุนสถานที่จัดแสดงดนตรีอิสระ, ภาพยนตร์, การท่องเที่ยวศิลปิน และการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

    ข้อมูลในข่าว
    ไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts เป็นนโยบายถาวรในปี 2026
    ผู้เข้าร่วมได้รับเงิน €325 ต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้
    โครงการทดลองมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ระหว่างปี 2022–2025
    รายงานพบว่าโครงการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ €1.39 ต่อการลงทุน €1
    สร้างมูลค่าทางสังคมกว่า €16.9 ล้าน และสุขภาพจิตดีขึ้นกว่า €80 ล้าน
    ศิลปินใช้เวลาเพิ่มขึ้น 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในงานสร้างสรรค์
    ผลิตผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
    รัฐบาลเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรม เช่น ดนตรีอิสระ ภาพยนตร์ และศิลปะพื้นบ้าน
    โครงการได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากภาคศิลปะและผู้กำหนดนโยบาย

    https://www.artnews.com/art-news/news/ireland-basic-income-artists-program-permanent-1234756981/
    🎨 “ไอร์แลนด์ประกาศรายได้พื้นฐานถาวรสำหรับศิลปิน” — โมเดลสนับสนุนศิลปะที่สร้างผลตอบแทนทางสังคมและเศรษฐกิจ รัฐบาลไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts (BIA) เป็นนโยบายถาวร เริ่มตั้งแต่ปี 2026 หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองเป็นเวลา 3 ปี โดยมีศิลปินและผู้ทำงานด้านศิลปะกว่า 2,000 คนได้รับเงินสนับสนุนรายสัปดาห์จำนวน €325 โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้หรือเงื่อนไขสวัสดิการอื่น ๆ รายงานประเมินผลจาก Alma Economics พบว่าโครงการนี้สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน เช่น การมีส่วนร่วมของผู้ชมที่เพิ่มขึ้น การลดภาระสวัสดิการ และการพัฒนาสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วม โดยทุก €1 ที่ลงทุนในศิลปิน สร้างผลตอบแทนกลับมา €1.39 รวมมูลค่ากว่า €100 ล้านในช่วง 3 ปี นอกจากผลทางเศรษฐกิจแล้ว โครงการยังช่วยให้ศิลปินสามารถทุ่มเทเวลาให้กับงานสร้างสรรค์มากขึ้นถึง 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และสร้างผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าและการมีส่วนร่วมทางสังคม รัฐบาลยังประกาศเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรมในปี 2026 เช่น สนับสนุนสถานที่จัดแสดงดนตรีอิสระ, ภาพยนตร์, การท่องเที่ยวศิลปิน และการอนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ไอร์แลนด์ประกาศให้โครงการ Basic Income for the Arts เป็นนโยบายถาวรในปี 2026 ➡️ ผู้เข้าร่วมได้รับเงิน €325 ต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบรายได้ ➡️ โครงการทดลองมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ระหว่างปี 2022–2025 ➡️ รายงานพบว่าโครงการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ €1.39 ต่อการลงทุน €1 ➡️ สร้างมูลค่าทางสังคมกว่า €16.9 ล้าน และสุขภาพจิตดีขึ้นกว่า €80 ล้าน ➡️ ศิลปินใช้เวลาเพิ่มขึ้น 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในงานสร้างสรรค์ ➡️ ผลิตผลงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 40% และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ➡️ รัฐบาลเพิ่มงบประมาณด้านวัฒนธรรม เช่น ดนตรีอิสระ ภาพยนตร์ และศิลปะพื้นบ้าน ➡️ โครงการได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากภาคศิลปะและผู้กำหนดนโยบาย https://www.artnews.com/art-news/news/ireland-basic-income-artists-program-permanent-1234756981/
    WWW.ARTNEWS.COM
    Three Years After Trial Launch, Ireland Is Making Basic Income for Artists Program Permanent
    Several years after launching a trial, Ireland is set to make its basic income for artists program permanent starting in 2026.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “Apple เปิดตัวชิป M5” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ด้าน AI ด้วย GPU แบบใหม่และ Neural Accelerator ในทุกคอร์

    Apple ประกาศเปิดตัวชิป M5 ซึ่งเป็นระบบบนชิป (SoC) รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะ โดยนำมาใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 นิ้ว, iPad Pro และ Apple Vision Pro รุ่นล่าสุด

    M5 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม และมาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นกว่า M4 ถึง 4 เท่า และเร็วกว่า M1 ถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิกด้วย ray tracing รุ่นที่สาม และ dynamic caching รุ่นใหม่ที่ช่วยให้การเล่นเกมและการเรนเดอร์ภาพ 3D ลื่นไหลและสมจริงมากขึ้น

    CPU ของ M5 มี 10 คอร์ (แบ่งเป็น 6 คอร์ประหยัดพลังงาน และ 4 คอร์ประสิทธิภาพสูง) ซึ่งให้ความเร็วในการประมวลผลแบบ multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% พร้อม Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้น และแบนด์วิดธ์ของ unified memory เพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 153GB/s

    ชิป M5 ยังช่วยให้ Apple Vision Pro แสดงผลได้ละเอียดขึ้น 10% และเพิ่ม refresh rate สูงสุดถึง 120Hz ทำให้ภาพคมชัดและลดอาการเบลอจากการเคลื่อนไหว

    Apple ยังเน้นว่า M5 จะช่วยให้การใช้งาน AI บนอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างภาพใน Image Playground, การใช้ Foundation Models framework และการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่แบบ on-device โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ข้อมูลในข่าว
    Apple เปิดตัวชิป M5 สำหรับ MacBook Pro, iPad Pro และ Vision Pro
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม
    GPU แบบ 10 คอร์มี Neural Accelerator ในทุกคอร์
    ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และ M1 ถึง 6 เท่า
    รองรับ ray tracing รุ่นที่สามและ dynamic caching รุ่นใหม่
    CPU แบบ 10 คอร์ให้ความเร็ว multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15%
    Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงาน
    แบนด์วิดธ์ unified memory เพิ่มขึ้นเป็น 153GB/s
    Vision Pro แสดงผลละเอียดขึ้น 10% และ refresh rate สูงสุด 120Hz
    รองรับการใช้งาน AI แบบ on-device เช่น Image Playground และ Foundation Models

    https://www.apple.com/newsroom/2025/10/apple-unleashes-m5-the-next-big-leap-in-ai-performance-for-apple-silicon/
    🍎 “Apple เปิดตัวชิป M5” — ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ด้าน AI ด้วย GPU แบบใหม่และ Neural Accelerator ในทุกคอร์ Apple ประกาศเปิดตัวชิป M5 ซึ่งเป็นระบบบนชิป (SoC) รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการประมวลผลด้าน AI โดยเฉพาะ โดยนำมาใช้ใน MacBook Pro ขนาด 14 นิ้ว, iPad Pro และ Apple Vision Pro รุ่นล่าสุด M5 ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม และมาพร้อม GPU แบบ 10 คอร์ที่มี Neural Accelerator ฝังอยู่ในแต่ละคอร์ ทำให้สามารถประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นกว่า M4 ถึง 4 เท่า และเร็วกว่า M1 ถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านกราฟิกด้วย ray tracing รุ่นที่สาม และ dynamic caching รุ่นใหม่ที่ช่วยให้การเล่นเกมและการเรนเดอร์ภาพ 3D ลื่นไหลและสมจริงมากขึ้น CPU ของ M5 มี 10 คอร์ (แบ่งเป็น 6 คอร์ประหยัดพลังงาน และ 4 คอร์ประสิทธิภาพสูง) ซึ่งให้ความเร็วในการประมวลผลแบบ multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% พร้อม Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้น และแบนด์วิดธ์ของ unified memory เพิ่มขึ้นเกือบ 30% เป็น 153GB/s ชิป M5 ยังช่วยให้ Apple Vision Pro แสดงผลได้ละเอียดขึ้น 10% และเพิ่ม refresh rate สูงสุดถึง 120Hz ทำให้ภาพคมชัดและลดอาการเบลอจากการเคลื่อนไหว Apple ยังเน้นว่า M5 จะช่วยให้การใช้งาน AI บนอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การสร้างภาพใน Image Playground, การใช้ Foundation Models framework และการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่แบบ on-device โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Apple เปิดตัวชิป M5 สำหรับ MacBook Pro, iPad Pro และ Vision Pro ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่สาม ➡️ GPU แบบ 10 คอร์มี Neural Accelerator ในทุกคอร์ ➡️ ประสิทธิภาพ AI สูงกว่า M4 ถึง 4 เท่า และ M1 ถึง 6 เท่า ➡️ รองรับ ray tracing รุ่นที่สามและ dynamic caching รุ่นใหม่ ➡️ CPU แบบ 10 คอร์ให้ความเร็ว multithreaded สูงกว่า M4 ถึง 15% ➡️ Neural Engine แบบ 16 คอร์ที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงาน ➡️ แบนด์วิดธ์ unified memory เพิ่มขึ้นเป็น 153GB/s ➡️ Vision Pro แสดงผลละเอียดขึ้น 10% และ refresh rate สูงสุด 120Hz ➡️ รองรับการใช้งาน AI แบบ on-device เช่น Image Playground และ Foundation Models https://www.apple.com/newsroom/2025/10/apple-unleashes-m5-the-next-big-leap-in-ai-performance-for-apple-silicon/
    WWW.APPLE.COM
    Apple unleashes M5, the next big leap in AI performance for Apple silicon
    Apple today announced M5, delivering advances to every aspect of the chip and the next big leap in AI.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • “Claude Haiku 4.5 เปิดตัวแล้ว” — โมเดลเล็กที่เร็วกว่า ถูกกว่า และฉลาดใกล้เคียงระดับแนวหน้า

    Anthropic เปิดตัว Claude Haiku 4.5 ซึ่งเป็นโมเดลขนาดเล็กที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Claude Sonnet 4.5 แต่มีต้นทุนเพียงหนึ่งในสาม และความเร็วมากกว่าสองเท่า โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความเร็วแบบเรียลไทม์ เช่น แชตบอท, ตัวช่วยเขียนโค้ด, หรือผู้ช่วยบริการลูกค้า

    Claude Haiku 4.5 ยังสามารถใช้ร่วมกับ Sonnet 4.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ให้ Sonnet วางแผนหลายขั้นตอน แล้วให้ Haiku 4.5 หลายตัวทำงานย่อยแบบขนานกัน ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนในการประมวลผล

    ด้านความปลอดภัย Claude Haiku 4.5 ได้รับการจัดอยู่ในระดับ AI Safety Level 2 (ASL-2) ซึ่งปลอดภัยกว่ารุ่นก่อนหน้า และมีอัตราการเบี่ยงเบนพฤติกรรมต่ำกว่าทั้ง Sonnet 4.5 และ Opus 4.1 โดยผ่านการทดสอบด้าน alignment และความเสี่ยงจากการใช้งานในงานอ่อนไหว เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ รังสี นิวเคลียร์)

    นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งาน Claude Haiku 4.5 ได้แล้ววันนี้ผ่าน Claude API, Amazon Bedrock และ Google Cloud Vertex AI โดยมีราคาที่ประหยัดที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Claude

    ข้อมูลในข่าว
    Claude Haiku 4.5 เป็นโมเดลขนาดเล็กที่เปิดตัวล่าสุดจาก Anthropic
    ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง Sonnet 4.5 แต่เร็วกว่าและถูกกว่ามาก
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ว เช่น แชตบอทและตัวช่วยเขียนโค้ด
    สามารถใช้ร่วมกับ Sonnet 4.5 เพื่อแบ่งงานย่อยแบบขนาน
    รองรับการใช้งานผ่าน Claude API, Amazon Bedrock และ Google Cloud Vertex AI
    ราคาอยู่ที่ $1/$5 ต่อ input/output tokens หนึ่งล้านหน่วย
    ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยและ alignment อย่างละเอียด
    ได้รับการจัดอยู่ในระดับ AI Safety Level 2 (ASL-2)
    มีอัตราพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าและรุ่นระดับสูง
    เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความฉลาดและความเร็วแบบเรียลไทม์

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    แม้จะเร็วและถูกกว่า แต่ Haiku 4.5 ยังไม่เทียบเท่ารุ่นแนวหน้าในทุกด้าน
    การใช้ Haiku 4.5 ในงานที่ซับซ้อนมากอาจต้องพึ่ง Sonnet 4.5 ในการวางแผน
    แม้จะปลอดภัยกว่า แต่ยังต้องมีการควบคุมการใช้งานในบริบทอ่อนไหว
    การใช้งานในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูงควรพิจารณาโมเดลที่เหมาะสมกับงาน

    https://www.anthropic.com/news/claude-haiku-4-5
    ⚡ “Claude Haiku 4.5 เปิดตัวแล้ว” — โมเดลเล็กที่เร็วกว่า ถูกกว่า และฉลาดใกล้เคียงระดับแนวหน้า Anthropic เปิดตัว Claude Haiku 4.5 ซึ่งเป็นโมเดลขนาดเล็กที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Claude Sonnet 4.5 แต่มีต้นทุนเพียงหนึ่งในสาม และความเร็วมากกว่าสองเท่า โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความเร็วแบบเรียลไทม์ เช่น แชตบอท, ตัวช่วยเขียนโค้ด, หรือผู้ช่วยบริการลูกค้า Claude Haiku 4.5 ยังสามารถใช้ร่วมกับ Sonnet 4.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ให้ Sonnet วางแผนหลายขั้นตอน แล้วให้ Haiku 4.5 หลายตัวทำงานย่อยแบบขนานกัน ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนในการประมวลผล ด้านความปลอดภัย Claude Haiku 4.5 ได้รับการจัดอยู่ในระดับ AI Safety Level 2 (ASL-2) ซึ่งปลอดภัยกว่ารุ่นก่อนหน้า และมีอัตราการเบี่ยงเบนพฤติกรรมต่ำกว่าทั้ง Sonnet 4.5 และ Opus 4.1 โดยผ่านการทดสอบด้าน alignment และความเสี่ยงจากการใช้งานในงานอ่อนไหว เช่น CBRN (เคมี ชีวภาพ รังสี นิวเคลียร์) นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งาน Claude Haiku 4.5 ได้แล้ววันนี้ผ่าน Claude API, Amazon Bedrock และ Google Cloud Vertex AI โดยมีราคาที่ประหยัดที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Claude ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Claude Haiku 4.5 เป็นโมเดลขนาดเล็กที่เปิดตัวล่าสุดจาก Anthropic ➡️ ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง Sonnet 4.5 แต่เร็วกว่าและถูกกว่ามาก ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ว เช่น แชตบอทและตัวช่วยเขียนโค้ด ➡️ สามารถใช้ร่วมกับ Sonnet 4.5 เพื่อแบ่งงานย่อยแบบขนาน ➡️ รองรับการใช้งานผ่าน Claude API, Amazon Bedrock และ Google Cloud Vertex AI ➡️ ราคาอยู่ที่ $1/$5 ต่อ input/output tokens หนึ่งล้านหน่วย ➡️ ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยและ alignment อย่างละเอียด ➡️ ได้รับการจัดอยู่ในระดับ AI Safety Level 2 (ASL-2) ➡️ มีอัตราพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าและรุ่นระดับสูง ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการทั้งความฉลาดและความเร็วแบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ แม้จะเร็วและถูกกว่า แต่ Haiku 4.5 ยังไม่เทียบเท่ารุ่นแนวหน้าในทุกด้าน ⛔ การใช้ Haiku 4.5 ในงานที่ซับซ้อนมากอาจต้องพึ่ง Sonnet 4.5 ในการวางแผน ⛔ แม้จะปลอดภัยกว่า แต่ยังต้องมีการควบคุมการใช้งานในบริบทอ่อนไหว ⛔ การใช้งานในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูงควรพิจารณาโมเดลที่เหมาะสมกับงาน https://www.anthropic.com/news/claude-haiku-4-5
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Introducing Claude Haiku 4.5
    Claude Haiku 4.5, our latest small model, is available today to all users.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย

    MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน

    MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ

    แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง

    MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป:

    การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว
    การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ
    การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP
    รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง

    Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย

    ข้อมูลในข่าว
    MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร
    MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก
    แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native
    มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ
    รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on
    พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง
    มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม
    ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว

    https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    🛡️ “MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัย MCP” — ยกระดับการเชื่อมต่อ AI กับระบบองค์กรอย่างปลอดภัย MCPTotal ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและควบคุม MCP (Model Context Protocol) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI เข้ากับระบบภายในองค์กร แหล่งข้อมูลภายนอก และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม แต่การนำมาใช้อย่างไร้การควบคุมก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น ช่องโหว่ด้านซัพพลายเชน, การโจมตีแบบ prompt injection, การใช้เซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ไม่ปลอดภัย, การล้วงข้อมูล และช่องโหว่ด้านการยืนยันตัวตน MCPTotal จึงนำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีโครงสร้างแบบ hub-and-gateway ซึ่งช่วยให้สามารถโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ได้อย่างปลอดภัย พร้อมระบบยืนยันตัวตน, การจัดการข้อมูลรับรอง และการตรวจสอบทราฟฟิกแบบเรียลไทม์ โดยทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ แพลตฟอร์มนี้ยังมีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วหลายร้อยรายการ ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมระบบ single sign-on ที่ช่วยให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อโมเดล AI กับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง MCPTotal มี 4 จุดเด่นหลักที่แตกต่างจากตลาดทั่วไป: ✨ การเปิดใช้งานแบบปลอดภัย: ให้พนักงานทุกคนใช้งาน MCP ได้ทันทีผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบตรวจสอบและบังคับใช้นโยบายในตัว ✨ การตรวจสอบความปลอดภัยอัตโนมัติ: เซิร์ฟเวอร์ MCP ทุกตัวต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสู่ระบบ ✨ การสแกนความเสี่ยงแบบครอบคลุม: ตรวจสอบเครื่องของพนักงานเพื่อหาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ MCP ✨ รองรับหลายสภาพแวดล้อม: ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อป เบราว์เซอร์ คลาวด์ และระบบที่องค์กรโฮสต์เอง Gil Dabah ซีอีโอของ MCPTotal กล่าวว่า “นี่คือครั้งแรกที่มีโซลูชันที่ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถควบคุม MCP ได้ทันกับการใช้งานจริงของพนักงาน” โดยย้ำว่ามีรายงานพบเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายแล้วในโลกจริง และแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้สามารถโฮสต์ ตรวจสอบ และแยก sandbox ได้อย่างปลอดภัย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MCPTotal เปิดตัวแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยสำหรับ MCP แบบครบวงจร ➡️ MCP คือมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อโมเดล AI กับระบบองค์กรและแอปภายนอก ➡️ แพลตฟอร์มใช้โครงสร้าง hub-and-gateway พร้อมระบบยืนยันตัวตนและไฟร์วอลล์ AI-native ➡️ มีแคตตาล็อกเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่ผ่านการตรวจสอบหลายร้อยรายการ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Slack และ Gmail ผ่าน single sign-on ➡️ พนักงานไม่ต้องจัดการ API key ด้วยตนเอง ➡️ มีฟีเจอร์เด่น 4 ด้าน: เปิดใช้งานปลอดภัย, ตรวจสอบอัตโนมัติ, สแกนความเสี่ยง, รองรับหลายสภาพแวดล้อม ➡️ ซีอีโอระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ MCP ที่เป็นอันตรายเริ่มปรากฏในโลกจริงแล้ว https://securityonline.info/mcptotal-launches-to-power-secure-enterprise-mcp-workflows/
    SECURITYONLINE.INFO
    MCPTotal Launches to Power Secure Enterprise MCP Workflows
    New York, USA, New York, 15th October 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน

    ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป

    การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้

    Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud

    นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows

    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ

    การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก

    ข้อมูลในข่าว
    Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน
    ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist
    ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี
    พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2)
    มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ
    ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel
    ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm
    มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug
    มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย
    การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร
    การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ
    การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้
    ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก
    การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ

    https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    🕵️ “Jewelbug จากจีนล้วงข้อมูลบริษัท IT รัสเซีย 5 เดือนเต็ม” — ใช้ Yandex Cloud และ Microsoft Graph API พรางตัวแบบแนบเนียน ในรายงานล่าสุดจากทีม Symantec Threat Hunter ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่น่าตกใจโดยกลุ่ม APT จากจีนชื่อ “Jewelbug” ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบของบริษัท IT สัญชาติรัสเซียได้นานถึง 5 เดือนในช่วงต้นปี 2025 โดยใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและแอบแฝงผ่านบริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในรัสเซียอย่าง Yandex Cloud รวมถึงใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมมัลแวร์ (C2) เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไป การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในด้านการจารกรรมไซเบอร์ โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม APT จากจีนมักไม่โจมตีเป้าหมายในรัสเซีย แต่หลังจากสงครามยูเครนเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในโลกไซเบอร์เริ่มสั่นคลอน และ Jewelbug ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ Jewelbug ใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ cdb.exe เป็น “7zup.exe” เพื่อหลบ whitelist, การใช้ scheduled tasks เพื่อคงการเข้าถึงระบบ, การล้าง log เพื่อลบร่องรอย และการใช้ไฟล์ “yandex2.exe” ในการส่งข้อมูลออกไปยัง Yandex Cloud นอกจากนี้ยังพบมัลแวร์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม โดยมีการสร้างโฟลเดอร์ลับในระบบ, อัปโหลดรายการไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ เช่น IP และเวอร์ชัน Windows ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ยังใช้เทคนิค BYOVD (Bring-Your-Own-Vulnerable-Driver) โดยนำไดรเวอร์จากระบบป้องกันเกม ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel และใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz และ Earthworm เพื่อเคลื่อนย้ายภายในระบบ การโจมตีครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถของ Jewelbug แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทลูกค้าของผู้ให้บริการ IT รัสเซียจำนวนมาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Jewelbug เป็นกลุ่ม APT จากจีนที่แฮกระบบบริษัท IT รัสเซียได้นานถึง 5 เดือน ➡️ ใช้ Yandex Cloud ในการส่งข้อมูลออกเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ไฟล์ “7zup.exe” ซึ่งเป็น cdb.exe ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบ whitelist ➡️ ใช้ scheduled tasks, credential dumping, log clearing และไฟล์ “yandex2.exe” ในการโจมตี ➡️ พบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ Microsoft Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุม (C2) ➡️ มัลแวร์สามารถสร้างโฟลเดอร์ลับ, อัปโหลดไฟล์, และเก็บข้อมูลระบบ ➡️ ในแคมเปญก่อนหน้านี้ Jewelbug ใช้เทคนิค BYOVD โดยนำไดรเวอร์ ECHOAC มาใช้เจาะระดับ kernel ➡️ ใช้เครื่องมือเช่น KillAV, ShadowPad, Mimikatz, SMBExec และ Earthworm ➡️ มัลแวร์ถูกฝังใน mspaint.exe ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของ Jewelbug ➡️ มีความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนที่อาจส่งผลต่อบริษัทลูกค้าจำนวนมากในรัสเซีย ➡️ การโจมตีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหลังสงครามยูเครน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้บริการคลาวด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศเป้าหมายอาจทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การเปลี่ยนชื่อไฟล์ระบบเพื่อหลบ whitelist เป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับหลายองค์กร ⛔ การใช้ Graph API และ OneDrive เป็นช่องทางควบคุมอาจทำให้มัลแวร์พรางตัวได้ดีในทราฟฟิกปกติ ⛔ การใช้เทคนิค BYOVD และเครื่องมือเจาะระบบระดับ kernel อาจทำให้ระบบป้องกันทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ ⛔ ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอาจขยายผลไปยังบริษัทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้บริการที่ถูกแฮก ⛔ การฝังมัลแวร์ในโปรแกรมทั่วไปอย่าง mspaint.exe ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยและยากต่อการตรวจสอบ https://securityonline.info/chinas-jewelbug-apt-breaches-russian-it-provider-for-5-months-using-yandex-cloud-and-graph-api-c2/
    SECURITYONLINE.INFO
    China's Jewelbug APT Breaches Russian IT Provider for 5 Months, Using Yandex Cloud and Graph API C2
    Symantec exposed China's Jewelbug APT in an unprecedented 5-month intrusion on a Russian IT provider. The group used Yandex Cloud for data exfiltration and Graph API for stealthy C2 via custom malware.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • ปัญหาหนี้สินครูยังเป็นเรื่องเรื้อรัง กระทบคุณภาพชีวิต ล่าสุด นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ประชุมคณะกรรมการ สกสค. ตั้งเป้าจัดตั้งสหกรณ์กลางบริหารจัดการหนี้ มุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พร้อมสรรหาผู้เชี่ยวชาญปรับโครงสร้างหนี้และเตรียมความพร้อมด้านหนังสือเรียนปีการศึกษาหน้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098741

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ปัญหาหนี้สินครูยังเป็นเรื่องเรื้อรัง กระทบคุณภาพชีวิต ล่าสุด นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ประชุมคณะกรรมการ สกสค. ตั้งเป้าจัดตั้งสหกรณ์กลางบริหารจัดการหนี้ มุ่งเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน พร้อมสรรหาผู้เชี่ยวชาญปรับโครงสร้างหนี้และเตรียมความพร้อมด้านหนังสือเรียนปีการศึกษาหน้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000098741 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • จะขายของทั้งที ใช้ถุงอะไรก็ได้ใส่ให้ลูกค้าก็ได้…ไม่ด้ายยยยยยยย !!!!!!

    ถุง PP หนา หนาจริงหนาจัง… ถุงพลาสติกตราปู แน่น เหนียว … ใช้งานง่าย สบายกระเป๋า…

    ถุงไม่ขาด = สินค้าไม่เสียหาย
    ถุงดี = กำไรแฝง
    เลือกใช้ถุงให้ถูกประเภท เหมาะกับการใช้งาน

    ⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้า
    ถุง PP ร้อน หนา ตราปูใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSkKMNv5n/

    ถุง PP ร้อน หนา ตราปู ใน Shopee
    https://th.shp.ee/zRdVepM
    https://th.shp.ee/T8nPT9T

    ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีชมพู) ตราปูใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSHtb2NyenVnt-ZyVgf/

    ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีชมพู) ตราปู ใน Shopee
    https://th.shp.ee/uJyvjEm
    https://th.shp.ee/G4JGFYg

    ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีเขียว) ตราปูใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSHtb2JNfNKTr-sY2Hc/

    ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีเขียว) ตราปู ใน Shopee
    https://s.shopee.co.th/8zvafOPzWw
    https://s.shopee.co.th/7KnMgMiWNm

    เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง
    1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop
    2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_

    เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ

    #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก #ปลาซิวกรอบ #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาข้างเหลือง #กิมสั่วงา #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก

    #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ถุงเย็น #ถุงหูหิ้ว #ถุงร้อน #ถุงพีพีใบใหญ่
    จะขายของทั้งที ใช้ถุงอะไรก็ได้ใส่ให้ลูกค้าก็ได้…ไม่ด้ายยยยยยยย !!!!!! ถุง PP หนา หนาจริงหนาจัง… ถุงพลาสติกตราปู แน่น เหนียว … ใช้งานง่าย สบายกระเป๋า… ถุงไม่ขาด = สินค้าไม่เสียหาย ถุงดี = กำไรแฝง เลือกใช้ถุงให้ถูกประเภท เหมาะกับการใช้งาน 🌶️♨️⭕️ กดดูรายละเอียดสินค้า ถุง PP ร้อน หนา ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSkKMNv5n/ ถุง PP ร้อน หนา ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/zRdVepM https://th.shp.ee/T8nPT9T ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีชมพู) ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSHtb2NyenVnt-ZyVgf/ ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีชมพู) ตราปู ใน Shopee https://th.shp.ee/uJyvjEm https://th.shp.ee/G4JGFYg ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีเขียว) ตราปูใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSHtb2JNfNKTr-sY2Hc/ ถุงหูหิ้วไฮโซ (สีเขียว) ตราปู ใน Shopee https://s.shopee.co.th/8zvafOPzWw https://s.shopee.co.th/7KnMgMiWNm เลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง 1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop 2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_ เลือกช้อปได้ตามความชอบและคูปองของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก #ปลาซิวกรอบ #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาเกล็ดขาว #ปลาข้างเหลือง #กิมสั่วงา #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #คือจึ้งมาก #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ปลาเกล็ดขาวอบกรอบ #กุนเชียงปลา #กุนเชียงหมู #ของอร่อยต้องลอง #อร่อยดีบอกต่อ #อร่อยกี่โมง #ปลาซิวกรอบ #ปลากระพงทุบ #ปลาข้างเหลือง #หอยลายอบกรอบ #ปลาข้างเหลือง #ปลาซิวทอดกรอบ #ปลาจิ๊งจ๊างไม่งา #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #ถุงเย็น #ถุงหูหิ้ว #ถุงร้อน #ถุงพีพีใบใหญ่
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 0 Reviews
More Results