• #ถ้าป้าข้างบ้านเป็นไฟอีปูเป็นหนอนนี่ก็น้ำมัน
    วันนี้มาเล่าต่อ เรื่องปูที่กลายเป็นหนอนที่พี่คิงส์ไปเจอมา
    แล้วพอใช้แว่นขยาย แม่งกลายเป็นนก มีสองหัว
    มีหนุ่มมาเจอปูแต่ในที่นี้ของเรียกว่านกสองหัวละกัน
    เพราะเป็นร่างสุดท้ายของมัน ให้เกียรติมันหน่อย
    อินังนก ไปอยู่กับหนุ่มที่มีชื่อเสียงโดยที่บ้านของหนุ่ม
    ก็ดูแลนังนกอย่างดีฝุดๆ แต่วันหนึ่งที่หนุ่มเอาต้นไผ่ที่มีรังผึ้งเข้าบ้าน
    นังนกก็เริ่มต้นแผนการบางอย่าง ซึ่งนักนกเองก็รู้
    ถึงความฉลาดของหนุ่มดัง ว่าคงจะแสวงหาประโยชน์อะไรได้ไม่มาก
    เพราะอยู่มาหลายปี หนุ่มให้ในสิ่งที่เหมาะสมเท่านั้น
    และเมื่อหนุ่มคบหากับสาวต่างด้าว และเห็นกิจกรรมที่สร้างรายได้
    การปักตระกร้า ความโล ภะ ก็กำเนิด
    และเมื่อหนุ่มไม่ไหว และแยกทางกับสาวต่างด้าว
    นังนกเอง มันก็แอบติดต่อและพยายามอย่างมาก
    ในการพรีเซ็นต์เฟส ให้สาวต่างด้าวรับนังนก
    ไปเป็นผู้ดูแล นังนกอยากโกอินเตอร์สัสสสสัสสส
    แต่ก่อนหน้านั้น หลายเรื่อง นังนกนี่แหละที่ให้ข้อมูลผิดๆ
    กับอิป้าข้างบ้าน อิป้าข้างบ้านเองก็เฉพติดราม่าอยู่แล้ว
    พอได้ยินอะไรมา จากที่อินกเล่า มันเชื่อเลย
    บางอย่างก็ระบายพ่นผ่านโพส บางอย่างก็เก็บเป็นความคั่งในใจ
    และส่งสารความเกลียดเข้าไปสร้างอคติกับหนุ่มให้กับสาวก
    นังนก มีส่วนแน่นอน ในการที่ทำให้หนุ่มกับสาวต่างด้าวมีปัญหากัน
    โดยผ่านผู้เฉบติดดราม่าอย่างป้า มากระจาย
    แต่พอเค้าแยกกันจริง มันผิดแผน เพราะการจะเข้าไป
    เป็นอะไรซักอย่างโดยเฉพาะ การเป็น ผจก ของสาวต่างด้าว
    มันเจอด่านสำคัญ ก็คือ ป้าข้างบ้านนี่เอง
    เรื่องความคิดไม่ดีต่อนายจ้างหนุ่มของตัวเอง
    สังเกตุดีๆ ตอนมีปัญหา ถ้าใครว่าหนุ่ม อินี่เงียบกริ๊บ
    แต่ถ้าใครว่าสาวต่างด้าว อินกนี่จะแสลนมาทันที
    และทุกข้อมูลที่อินี่เปิด ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสาวต่างด้าวเสมอ
    จนในที่สุด อินังนี่ก็ไม่ได้ดูแลหนุ่มอีกต่อไป
    แต่อย่างที่บอกว่า นังนก มันหิวแสง ไม่ได้แดรรกแมลงเป็นอาหาร
    ตอนนี้พยายามพรีเซ็นต์เฟส ออกมาแสดง เป็นตัวแสดงเองเรียบร้อย
    กรรูบอกเลย คนอย่างเมิงน่ะ ไปได้ไม่ไกล เพราะกรรมที่เมิงก่อนไว้
    ไม่ธรรมดา เพราะถ้าอิป้าข้างบ้าน ไม่ได้แรงบิ๊วจากข้อมูลผิดๆ
    ที่เมิงบอกเอง หรือผ่าน พี่น้อง 2 ผ. ขาเมาท์ หวังทำลายหนุ่ม
    อิป้าคงไม่มีข้อมูลบวมๆ ไปกระจายต่อในบรรดาสาวกขนาดนี้
    แต่สิ่งที่ นังนกสองหัวนี้ไม่รู้คืออะไรรู้ป่ะ
    มันหักหลังหนุ่มได้ อิพี่น้อง 2 ผ. ก็หักหลังมันได้เหมือนกัน
    กรรรู ขรรรม อิฉัด
    เบื้องหน้ามันเรียก พี่ ป. เบื้องหลัง พี่น้อง 2 ผ.
    เรียกนำหน้าเมิงว่า E ดอก ..ป.. แทบทุกคำ
    ฝนตกขรี้หมูไหลเจงๆ
    อ้อ ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเล่า อย่าไปโยงนะจ๊ะ จุ๊บๆ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #ถ้าป้าข้างบ้านเป็นไฟอีปูเป็นหนอนนี่ก็น้ำมัน วันนี้มาเล่าต่อ เรื่องปูที่กลายเป็นหนอนที่พี่คิงส์ไปเจอมา แล้วพอใช้แว่นขยาย แม่งกลายเป็นนก มีสองหัว มีหนุ่มมาเจอปูแต่ในที่นี้ของเรียกว่านกสองหัวละกัน เพราะเป็นร่างสุดท้ายของมัน ให้เกียรติมันหน่อย อินังนก ไปอยู่กับหนุ่มที่มีชื่อเสียงโดยที่บ้านของหนุ่ม ก็ดูแลนังนกอย่างดีฝุดๆ แต่วันหนึ่งที่หนุ่มเอาต้นไผ่ที่มีรังผึ้งเข้าบ้าน นังนกก็เริ่มต้นแผนการบางอย่าง ซึ่งนักนกเองก็รู้ ถึงความฉลาดของหนุ่มดัง ว่าคงจะแสวงหาประโยชน์อะไรได้ไม่มาก เพราะอยู่มาหลายปี หนุ่มให้ในสิ่งที่เหมาะสมเท่านั้น และเมื่อหนุ่มคบหากับสาวต่างด้าว และเห็นกิจกรรมที่สร้างรายได้ การปักตระกร้า ความโล ภะ ก็กำเนิด และเมื่อหนุ่มไม่ไหว และแยกทางกับสาวต่างด้าว นังนกเอง มันก็แอบติดต่อและพยายามอย่างมาก ในการพรีเซ็นต์เฟส ให้สาวต่างด้าวรับนังนก ไปเป็นผู้ดูแล นังนกอยากโกอินเตอร์สัสสสสัสสส แต่ก่อนหน้านั้น หลายเรื่อง นังนกนี่แหละที่ให้ข้อมูลผิดๆ กับอิป้าข้างบ้าน อิป้าข้างบ้านเองก็เฉพติดราม่าอยู่แล้ว พอได้ยินอะไรมา จากที่อินกเล่า มันเชื่อเลย บางอย่างก็ระบายพ่นผ่านโพส บางอย่างก็เก็บเป็นความคั่งในใจ และส่งสารความเกลียดเข้าไปสร้างอคติกับหนุ่มให้กับสาวก นังนก มีส่วนแน่นอน ในการที่ทำให้หนุ่มกับสาวต่างด้าวมีปัญหากัน โดยผ่านผู้เฉบติดดราม่าอย่างป้า มากระจาย แต่พอเค้าแยกกันจริง มันผิดแผน เพราะการจะเข้าไป เป็นอะไรซักอย่างโดยเฉพาะ การเป็น ผจก ของสาวต่างด้าว มันเจอด่านสำคัญ ก็คือ ป้าข้างบ้านนี่เอง เรื่องความคิดไม่ดีต่อนายจ้างหนุ่มของตัวเอง สังเกตุดีๆ ตอนมีปัญหา ถ้าใครว่าหนุ่ม อินี่เงียบกริ๊บ แต่ถ้าใครว่าสาวต่างด้าว อินกนี่จะแสลนมาทันที และทุกข้อมูลที่อินี่เปิด ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสาวต่างด้าวเสมอ จนในที่สุด อินังนี่ก็ไม่ได้ดูแลหนุ่มอีกต่อไป แต่อย่างที่บอกว่า นังนก มันหิวแสง ไม่ได้แดรรกแมลงเป็นอาหาร ตอนนี้พยายามพรีเซ็นต์เฟส ออกมาแสดง เป็นตัวแสดงเองเรียบร้อย กรรูบอกเลย คนอย่างเมิงน่ะ ไปได้ไม่ไกล เพราะกรรมที่เมิงก่อนไว้ ไม่ธรรมดา เพราะถ้าอิป้าข้างบ้าน ไม่ได้แรงบิ๊วจากข้อมูลผิดๆ ที่เมิงบอกเอง หรือผ่าน พี่น้อง 2 ผ. ขาเมาท์ หวังทำลายหนุ่ม อิป้าคงไม่มีข้อมูลบวมๆ ไปกระจายต่อในบรรดาสาวกขนาดนี้ แต่สิ่งที่ นังนกสองหัวนี้ไม่รู้คืออะไรรู้ป่ะ มันหักหลังหนุ่มได้ อิพี่น้อง 2 ผ. ก็หักหลังมันได้เหมือนกัน กรรรู ขรรรม อิฉัด เบื้องหน้ามันเรียก พี่ ป. เบื้องหลัง พี่น้อง 2 ผ. เรียกนำหน้าเมิงว่า E ดอก ..ป.. แทบทุกคำ ฝนตกขรี้หมูไหลเจงๆ อ้อ ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเล่า อย่าไปโยงนะจ๊ะ จุ๊บๆ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่า สดๆร้อนๆ วันนี้ เซียนสายเดียวกัน แฉกรรมการตัดสิน พระเก๊ติดรางวัลที่ 1 งานประกวดใหญ่ศูนย์ราชการ เขาเขียนว่า ใบรับรอง ออกเอง เซ็นเอง ขายเอง...ข้อเท็จจริง จะตามข่าวมาให้....ภาพประกอบไม่เกี่ยว แต่คือพระรุ่นนี้... .
    ดราม่า สดๆร้อนๆ วันนี้ เซียนสายเดียวกัน แฉกรรมการตัดสิน พระเก๊ติดรางวัลที่ 1 งานประกวดใหญ่ศูนย์ราชการ เขาเขียนว่า ใบรับรอง ออกเอง เซ็นเอง ขายเอง...ข้อเท็จจริง จะตามข่าวมาให้....ภาพประกอบไม่เกี่ยว แต่คือพระรุ่นนี้... .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดราม่า สดๆร้อนๆ วันนี้ เซียนสายเดียวกัน แฉกรรมการตัดสิน พระเก๊ติดรางวัลที่ 1 งานประกวดใหญ่ศูนย์ราชการ เขาเขียนว่า ใบรับรอง ออกเอง เซ็นเอง ขายเอง...ข้อเท็จจริง จะตามข่าวมาให้....ภาพประกอบไม่เกี่ยว แต่คือพระรุ่นนี้... .
    ดราม่า สดๆร้อนๆ วันนี้ เซียนสายเดียวกัน แฉกรรมการตัดสิน พระเก๊ติดรางวัลที่ 1 งานประกวดใหญ่ศูนย์ราชการ เขาเขียนว่า ใบรับรอง ออกเอง เซ็นเอง ขายเอง...ข้อเท็จจริง จะตามข่าวมาให้....ภาพประกอบไม่เกี่ยว แต่คือพระรุ่นนี้... .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย อดีตกองหน้าทีมชาติไทย ย้อนคำพูดตัวเองที่เคยกล่าวเตือนนักเตะรุ่นน้องในรายการเพื่อนซี้คอบอลไทย เมื่อ 22 ต.ค. 2567 หลังมีดราม่าฟุตบอลไทย เสมอ สปป.ลาว 1-1.โดยมีเนื้อหาใจความว่า “ผมพูดได้ว่า ผมโดนด่ามาตลอด ผมไม่เคยสนใจ ผมไม่เคยไปอ่าน เลือกที่จะปล่อยผ่าน หากคุณมีชื่อเสียง คนชอบพูดถึง ลองถามตัวเองว่ารับไหวมั้ยในการที่จะโดนด่า”.“ตัวคุณเองต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณทำในวันนี้มันดีหรือไม่ดี ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณยังทำไม่ค่อยดี กระแสออกมาลบ คุณไม่ต้องเข้าไปอ่านพวกสื่อโซเชี่ยล คุณแค่กลับไปแก้ไข หากคุณเป็นนักฟุตบอลและเล่นไม่ดี คุณต้องแก้ไข อย่าไปอ่าน เพราะคอมเมนต์มันมาได้ตลอด มันมาเยอะมาก คนจะพูดอะไรก็ได้ คุณจะยิ่งเสียขวัญ และกำลังใจ”.“ผมพูดได้ว่า ผมโดนด่ามาตลอด ผมไม่เคยสนใจ ผมไม่เคยไปอ่าน เลือกที่จะปล่อยผ่าน หากคุณมีชื่อเสียง คนชอบพูดถึง ลองถามตัวเองว่ารับไหวมั้ย ? ในการที่จะโดนด่า”.“ตัวคุณเองต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณทำในวันนี้ มันดีหรือไม่ดี ? ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่า คุณยังทำไม่ค่อยดี กระแสออกมาลบ คุณก็ไม่ต้องเข้าไปอ่านพวกสื่อโซเชี่ยล คุณแค่กลับไปแก้ไข”.“หากคุณเป็นนักฟุตบอล และเล่นไม่ดี คุณก็ต้องแก้ไข อย่าไปอ่าน เพราะคอมเมนต์มันมาได้ตลอด มันมาเยอะมาก คนจะพูดอะไรก็ได้ คุณจะยิ่งเสียขวัญ และกำลังใจ”.“ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กล่าวผ่านรายการ “เพื่อนซี้คอบอลไทย” 22/10/24.#MGRInfographics #ลีซอ #ธีรเทพวิโนทัย #เพื่อนซี้คอบอลไทย
    “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย อดีตกองหน้าทีมชาติไทย ย้อนคำพูดตัวเองที่เคยกล่าวเตือนนักเตะรุ่นน้องในรายการเพื่อนซี้คอบอลไทย เมื่อ 22 ต.ค. 2567 หลังมีดราม่าฟุตบอลไทย เสมอ สปป.ลาว 1-1.โดยมีเนื้อหาใจความว่า “ผมพูดได้ว่า ผมโดนด่ามาตลอด ผมไม่เคยสนใจ ผมไม่เคยไปอ่าน เลือกที่จะปล่อยผ่าน หากคุณมีชื่อเสียง คนชอบพูดถึง ลองถามตัวเองว่ารับไหวมั้ยในการที่จะโดนด่า”.“ตัวคุณเองต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณทำในวันนี้มันดีหรือไม่ดี ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณยังทำไม่ค่อยดี กระแสออกมาลบ คุณไม่ต้องเข้าไปอ่านพวกสื่อโซเชี่ยล คุณแค่กลับไปแก้ไข หากคุณเป็นนักฟุตบอลและเล่นไม่ดี คุณต้องแก้ไข อย่าไปอ่าน เพราะคอมเมนต์มันมาได้ตลอด มันมาเยอะมาก คนจะพูดอะไรก็ได้ คุณจะยิ่งเสียขวัญ และกำลังใจ”.“ผมพูดได้ว่า ผมโดนด่ามาตลอด ผมไม่เคยสนใจ ผมไม่เคยไปอ่าน เลือกที่จะปล่อยผ่าน หากคุณมีชื่อเสียง คนชอบพูดถึง ลองถามตัวเองว่ารับไหวมั้ย ? ในการที่จะโดนด่า”.“ตัวคุณเองต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณทำในวันนี้ มันดีหรือไม่ดี ? ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่า คุณยังทำไม่ค่อยดี กระแสออกมาลบ คุณก็ไม่ต้องเข้าไปอ่านพวกสื่อโซเชี่ยล คุณแค่กลับไปแก้ไข”.“หากคุณเป็นนักฟุตบอล และเล่นไม่ดี คุณก็ต้องแก้ไข อย่าไปอ่าน เพราะคอมเมนต์มันมาได้ตลอด มันมาเยอะมาก คนจะพูดอะไรก็ได้ คุณจะยิ่งเสียขวัญ และกำลังใจ”.“ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย กล่าวผ่านรายการ “เพื่อนซี้คอบอลไทย” 22/10/24.#MGRInfographics #ลีซอ #ธีรเทพวิโนทัย #เพื่อนซี้คอบอลไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • จบดราม่าวัดถ้ำเสือ เลิกเก็บค่าเข้าวัด ใช้วิธีบอกบุญแทน
    .
    ทุกวันนี้เกิดประเด็นในวงการพุทธศาสนาไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเกิดประเด็นที่วัดถ้ำเสือ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปชมความงามเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต้องนำภาพอันสวยงามของวัดไปใช้โปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยต้นดราม่ามาจากการที่ทางวัดประกาศเก็บค่าเข้าวัดคนละ 20 บาท
    .
    แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนักแต่ในมุมหนึ่งก็มากที่จะกระทบเทือนจิตใจชาวพุทธที่ได้พบเห็น ซึ่งสาเหตุที่จำเป็นต้องเก็บค่าเข้าวัดนั้นผู้บริหารวัดอ้างว่าวัดมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าแรงคนดูแลสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมรถกระเช้าไฟฟ้าที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนของวัด ใช้เงินมากกว่า 10 ล้านบาท เป็นภาระที่วัดแบกรับมานานโดยหน่วยงานภาครัฐจังหวัดกาญจนบุรีไม่เคยให้ความช่วยเหลือ
    .
    จากดราม่าที่เกิดขึ้นส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดลงพอสมควร ต่อมาปรากฎว่าทางวัดได้ปลดป้ายขอเก็บค่าเข้าวัดออกไป โดยเจ้าหน้าที่ของวัดที่ให้ข้อมูลว่า เจ้าอาวาสสั่งให้พนักงานของวัด ดำเนินการถอดป้ายออก
    .
    ด้าน พระครูกาญจนสุตาคม เจ้าคณะอำเภอท่าม่วง ชี้แจงว่า เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้ ให้เข้าไปพูดคุยเจรจากับทางเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ ก่อนยินยอมที่จะถอดป้ายเรียกเก็บเงินค่าบำรุงวัดทั้งหมดจำนวน 5 ป้าย ออกเรียบร้อย ส่วนกรณีที่ทางวัดมีความประสงค์ต้องการที่จะหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในวัดนั้น ได้มีข้อเสนอแนะว่าควรใช้ข้อความบนป้ายในลักษณะขอความร่วมมือ หรือบอกบุญให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางมาทำบุญที่วัดจะดีกว่าแทน
    ..............
    Sondhi X
    จบดราม่าวัดถ้ำเสือ เลิกเก็บค่าเข้าวัด ใช้วิธีบอกบุญแทน . ทุกวันนี้เกิดประเด็นในวงการพุทธศาสนาไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเกิดประเด็นที่วัดถ้ำเสือ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปชมความงามเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต้องนำภาพอันสวยงามของวัดไปใช้โปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยต้นดราม่ามาจากการที่ทางวัดประกาศเก็บค่าเข้าวัดคนละ 20 บาท . แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนักแต่ในมุมหนึ่งก็มากที่จะกระทบเทือนจิตใจชาวพุทธที่ได้พบเห็น ซึ่งสาเหตุที่จำเป็นต้องเก็บค่าเข้าวัดนั้นผู้บริหารวัดอ้างว่าวัดมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งค่าแรงคนดูแลสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมรถกระเช้าไฟฟ้าที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนของวัด ใช้เงินมากกว่า 10 ล้านบาท เป็นภาระที่วัดแบกรับมานานโดยหน่วยงานภาครัฐจังหวัดกาญจนบุรีไม่เคยให้ความช่วยเหลือ . จากดราม่าที่เกิดขึ้นส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดลงพอสมควร ต่อมาปรากฎว่าทางวัดได้ปลดป้ายขอเก็บค่าเข้าวัดออกไป โดยเจ้าหน้าที่ของวัดที่ให้ข้อมูลว่า เจ้าอาวาสสั่งให้พนักงานของวัด ดำเนินการถอดป้ายออก . ด้าน พระครูกาญจนสุตาคม เจ้าคณะอำเภอท่าม่วง ชี้แจงว่า เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้ ให้เข้าไปพูดคุยเจรจากับทางเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ ก่อนยินยอมที่จะถอดป้ายเรียกเก็บเงินค่าบำรุงวัดทั้งหมดจำนวน 5 ป้าย ออกเรียบร้อย ส่วนกรณีที่ทางวัดมีความประสงค์ต้องการที่จะหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในวัดนั้น ได้มีข้อเสนอแนะว่าควรใช้ข้อความบนป้ายในลักษณะขอความร่วมมือ หรือบอกบุญให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางมาทำบุญที่วัดจะดีกว่าแทน .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 609 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา
    เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป
    โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง
    การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน
    ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ
    แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น
    ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น
    คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป
    หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก
    สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้
    กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง
    จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก
    เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้)


    นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์

    ที่มา :
    Thai PBS
    Instagram : one31thailand
    The Animal Welfare Act (AWA) 1966
    The Animal Welfare Act 2006
    The American Humane Association
    พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไม่นานมานี้เกิดกรณีดราม่าที่มีละครซีรี่ย์เรื่อง “แม่หยัว” ของช่อง ONE 31 ได้ถ่ายทำฉากใน EP.5 ที่มี "แมวดำ" กินน้ำผสมยาพิษ หลังจากนั้นแมวตัวดังกล่าว มีอาการชักกระตุกหลายครั้ง ขย้อนอาหารออกจากปาก ตาเบิกโพลง มีลักษณะเกร็งตัวและนอนแน่นิ่งไป โดยการถ่ายทำฉากดังกล่าว เป็นการใช้แมวจริงที่ถูกวางยาสลบ โดยนาย สันต์ ศรีแก้วหล่อ ผู้กำกับการแสดง ได้ออกมาชี้แจงใน Facebook ของตนในภายหลังว่า เป็นการถ่ายทำที่มีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลอย่างดีในทุกขั้นตอน แต่ทว่าภาพที่สื่อออกมากลับสะท้อนถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์ ซึ่งเข้าข่ายการทารุณกรรมสัตว์อย่างชัดเจน กรณีนี้ก่อให้เกิดกระแสในสังคมออนไลน์เรียกร้องให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์แสดงความรับผิดชอบ และเกิดการเคลื่อนไหวให้ "แบน" ละครดังกล่าวในวงกว้าง การนำสัตว์เข้าฉากเพื่อแสดงความเจ็บปวดหรือการวางยาสลบจริง ๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงการขาดความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อสัตว์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมในด้านการปฏิบัติต่อสัตว์ในวงการบันเทิง กรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงความละเลยและขาดมาตรฐานด้านจริยธรรมและการดูแลสัตว์ในกระบวนการผลิตของสื่อบันเทิงไทย โดยเฉพาะเมื่อละครดังกล่าวออกอากาศในวงกว้างและมีผู้ชมหลายกลุ่มอายุรวมไปถึงเยาวชน ย่อมส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อวงการบันเทิงไทยโดยรวม และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบในหมู่เยาวชน ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งครอบคลุมถึงการกระทำที่ถือเป็นการทารุณสัตว์ทุกประเภท โดยเฉพาะกรณีการทำร้ายสัตว์จนเกิดความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. นี้ ระบุว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร" การทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดจนเสียชีวิตหรือได้รับความเสียหาย “อย่างไม่จำเป็น” ถือว่าเข้าข่ายการทารุณกรรม กรณีของการวางยาสลบสัตว์จริงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงถือเป็นความไม่จำเป็นและอาจเข้าข่ายเป็นการการละเมิดกฎหมาย ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำของนายสันต์ ผู้กำกับการแสดง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ว่าคือใคร ใช่สัตว์แพทย์หรือไม่ และเจ้าของที่ว่าคือเจ้าของจริงที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุมและเลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นไว้เพียงเพื่อประโยชน์ทางการค้า และแมวตัวที่นำมากล่าวอ้างว่าปัจจุบันสุขกายสบายดีนั้น แท้จริงแล้วใช่แมวตัวเดียวกันกับที่ถ่ายทำหรือไม่ จะพิสูจน์อย่างไร และกรณีแมวดำเป็นกรณีแรกหรือไม่ หรือว่ามีกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่เคยถูกตรวจสอบ และจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมา มีการทารุณกรรมสัตว์ในการถ่ายทำ จนกลายเป็นปกติประเพณีไปแล้ว ประชาชนตั้งคำถามและประชาชน.......ต้องการคำตอบ แม้ตัวบทกฎหมายจะกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดกล่าวหา ผู้นั้นพิสูจน์” แต่ในกรณีนี้ คงไม่ใช่การเดินหมากที่ฉลาดนักของผู้บริหารช่องฯรวมไปถึงกลุ่มคนที่มีส่วนร่วม และควรต้องรีบชี้แจ้งข้อเท็จจริงโดยละเอียดให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงความโปร่งใส และควรบอกแต่ความจริงเท่านั้น ดังนั้น การชี้แจ้งและกล่าวเพียงคำขอโทษผ่าน Instragram ของช่อง one31thailand เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา จึงไม่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เพียงพอและไม่ได้สัดส่วนต่อสิ่งที่ได้กระทำขึ้น คำถามสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคบคิดต่อไปก็คือ แม้เราจะมีกฎหมาย แต่กฎหมายกลับไม่ได้กำหนดมาตรการการควบคุมที่เฉพาะเจาะจงในกรณีที่มีการใช้สัตว์ในงานบันเทิง เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายและบทลงโทษในต่างประเทศ พบว่าในต่างประเทศมีกฎหมายที่คุ้มครองสัตว์เข้มงวดกว่าประเทศไทยมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมาย Animal Welfare Act (AWA) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสูงในการใช้สัตว์ในงานบันเทิง โดยกำหนดให้ต้องมีการขอใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงการมีองค์กรอย่าง American Humane Association (AHA) ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการใช้สัตว์ในวงการภาพยนตร์โดยเฉพาะ หากพบว่ามีการละเมิด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากและอาจถูกห้ามไม่ให้ใช้สัตว์ในสื่อบันเทิงอีกต่อไป หรืออย่างในประเทษอังกฤษ มี The Animal Welfare Act 2006 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมการดูแลสัตว์ในวงการบันเทิง โดยห้ามการใช้วิธีการที่ทำให้สัตว์เจ็บปวดโดยไม่จำเป็น และหากพบการกระทำที่เป็นการทารุณกรรมสัตว์ จะมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี รวมถึงปรับเงินตามความร้ายแรงของกรณี ดังนั้น เมื่อเทียบกับบทลงโทษของไทย ยังถือว่าเบากว่าต่างประเทศหลายเท่านัก สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้น ในการแก้ปัญหาการใช้สัตว์อย่างไม่เหมาะสม กรมปศุสัตว์ควรพิจารณามาตรการ เช่น การจัดทำมาตรฐานแนวทางการใช้สัตว์ในสื่อบันเทิง ควรจัดทำคู่มือและข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการใช้สัตว์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และสื่อบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสวัสดิภาพสัตว์ การตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนและหลัง และการปฏิบัติต่อสัตว์ที่ปลอดภัยตลอดกระบวนการถ่ายทำ โดยอาจนำตัวอย่างแนวทางจากต่างประเทศ เช่น American Humane Association ของสหรัฐอเมริกามาปรับใช้ กรมปศุสัตว์ควรเสนอให้เพิ่มบทลงโทษสำหรับการทารุณกรรมสัตว์ โดยเพิ่มค่าปรับหรือโทษจำคุกที่หนักขึ้น เพื่อให้ผู้ผลิตสื่อเกิดความยับยั้งชั่งใจและมีความรับผิดชอบในการใช้สัตว์ อีกทั้งควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและติดตามผลหลังจากที่มีการลงโทษเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ และควรร่วมมือกับองค์กรที่มีประสบการณ์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ เช่น มูลนิธิต่างๆ และหน่วยงานอื่น ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการใช้สัตว์ในวงการบันเทิง จากใจแม่ที่มีลูกเป็นหมาสองตัว อย่าปล่อยให้การทารุณสัตว์ในสื่อบันเทิงไทย....กลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง........ต้องไปให้สุดซอย ! ส่วนเราในฐานะภาคประชาชน ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบในแบบที่เราถนัดต่อไป คือ การค้นหาความจริง และ การจับโกหก เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น (อ.สนธิ และ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน กล่าวไว้) นักศึกษากฎหมายระบายทุกข์ ที่มา : Thai PBS Instagram : one31thailand The Animal Welfare Act (AWA) 1966 The Animal Welfare Act 2006 The American Humane Association พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มาตรา 20
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเน็ตไม่เชื่อ! แมวดำ!ตัวเดียวกัน (10/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ดราม่าละครไทย #แมวดำโดนวางยาสลบ #แม่หยัว
    ชาวเน็ตไม่เชื่อ! แมวดำ!ตัวเดียวกัน (10/11/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ดราม่าละครไทย #แมวดำโดนวางยาสลบ #แม่หยัว
    Like
    Sad
    Love
    12
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 999 มุมมอง 562 0 รีวิว
  • เคยมีคำกล่าวว่าแมวมีเก้าชีวิตซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ที่ในความเป็นจริงก็ตายแล้วตายเลยไม่ต่างจากสัตว์อื่นหรือมนุษย์ โตขึ้นมาสักหน่อยประมาณช่วงมัธยมต้น ช่างประปานามว่ามาริโอ้ทำให้ผมทึ่ง เพราะในอาณาจักรเห็ดแล้ว เขามีชีวิตได้สูงสุดถึง 99 ครั้ง

    โอ้..คุณพระ!

    #TomorrowandTomorrowandTomorrow
    นี่คือหนังสือที่เปิดเผยวงการสร้างเกมวิดีโอได้เจาะลึกและน่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มีอยู่ไม่มากนักในตลาด ที่สำคัญมีอะไรมากไปกว่าแค่เรื่องเด็กสร้างเกม

    สนพ.แซลมอน
    แกเบรียล เซวิน เขียน
    สุวิชชา จันทร แปล
    พิมพ์เมื่อ กรกฎาคม 2566
    หนา 400 หน้า 495 บาท

    หนังสือเล่มใหญ่มากแถมยังหนา ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานพ็อกเก็ตบุ๊กทั่วไปพอสมควร เป็นอุปสรรคในการถืออ่านพอสมควร ด้วยความหนักบวกเทอะทะ จึงไม่เหมาะพกพาอ่านนอกสถานที่เท่าใดนัก แต่นี่ไม่ทำให้ใจที่อยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้างลดน้อยลง

    เปิดประตูสู่โลกในจินตนาการ

    ด้วยเหตุใดก็ตามที่บันดาลให้เด็กหญิงเซดีน กรีน เชื้อสายอเมริกันยิว ในวัยสิบกว่าปีที่มาเยี่ยมพี่สาวอายุห่างจากเธอ 2 ปีกับแม่ แล้วทำให้พี่สาวแหกปากลั่น จนแม่ต้องไล่ให้เซดีออกไปนอกห้องสักพัก จนเธอเดินเปะปะมาเจอกับ แซม เมเซอ ที่เป็นเด็กชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีหน้าตาแปลก และเท้ามีปัญหา ซึ่งกำลังจดจ่อกับการบังคับมาริโอ้ เกมจากเครื่องเล่นนินเทนโดในห้องสันทนาการ ถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสายใยพิเศษพิสดาร ที่จะผูกโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันไปอีกนานหลายสิบปีนับจากนี้

    💻

    แม้จะไม่เคยมีใครสามารถทำให้แซมอ้าปากพูดได้มาก่อน นับตั้งแต่เขาอยู่ใน รพ.มาเป็นระยะเวลากว่าหกสัปดาห์ แต่เซดี คือบุคคลอันน่าเหลือเชื่อ ที่ทั้งหมอ และพยาบาลต่างแปลกใจ เธอใช้เวลาไม่นานนับแต่เดินไปเห็นเขา แล้วยืนชมแซมเล่นตัวมาริโอ้ด้วยเทคนิกชั้นเซียน จนอีกไม่กี่อึดใจถัดมา แซมก็เอ่ยปากคุยกับเธอเกี่ยวกับเกมที่เขากำลังเล่น จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับรู้จักกันดีมาเป็นเวลานานทั้งที่เพิ่งจะพบกันในวันนั้นเป็นครั้งแรก

    💻

    เหตุนี้เอง หมอและพยาบาลจึงอยากให้แม่ของเซดี ยอมให้เธอมาที่รพ.บ่อย ๆ และเป็นเพื่อนคุยกับแซม เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เขาแจ่มใสร่าเริงขึ้น หลังประสบเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้เท้าของเขามีปัญหาไม่ธรรมดา ซึ่งเซดีเองก็ยินดี เธอและแซมเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องของวิดีโอเกม จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน และไปกระทบกระเทือนใจของแซมอย่างรุนแรงจนเขาผิดหวังและไล่เธอไม่ให้มาพบเจอกันอีกต่อไป

    💻

    เวลาผ่านไปหลายปี เซดีเรียนต่อที่ mit ทางด้านสาขาการออกแบบเกม ส่วนแซมเข้าฮาร์วาร์ดได้ เขาถนัดด้านคณิตศาสตร์ เท้าเจ้ากรรมยังคงแย่ไม่แพ้สมัยเด็ก แซมได้รูมเมตเป็นลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกันญี่ปุ่นชื่อว่า มาร์กซ์ วาตานาเบะ ผู้มีจิตใจดีและเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแนะนำเขาในหลายเรื่อง

    วันหนึ่ง แซม ได้พบกับเซดี ในระหว่างทางที่กำลังจะขึ้นรถไฟใต้ดิน เขาอดใจไม่ไหวร้องเรียกเธอ แล้วได้คุยกันสั้น ๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เธอฝากแผ่นเกมสำหรับเล่นกับเครื่องพีซีให้เขาไว้ บอกว่าเป็นเกมที่เธอสร้างเอง เล่นจบแล้วรู้สึกอย่างไรช่วยติดต่อบอกด้วยตามที่อยู่อีเมล จากนั้นต่างแยกย้าย

    💻

    ระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายกับเซดี ที่ทำให้เธอสิ้นหวังและหมดพลังในชีวิต แต่เป็นแซมที่พยายามหาทางติดต่อกลับ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากเธอเลย วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจเดินด้วยเท้าสภาพเน่า ๆ เสี่ยงไปยังที่พักของเธอ เมื่อได้พบกันเซดีเหมือนผีตายซากที่รอเวลาแห้งเหี่ยว แซมมาหาเธอทุกวันจนในที่สุด สาวน้อยคนเก่ากลับฟื้นคืนสติเป็นผู้เป็นคน จนยอมรับข้อเสนอมาร่วมกันสร้างเกมกับเขาในช่วงปิดภาคเรียนไม่กี่เดือน เพื่อต้องการสานฝันให้เป็นจริง ซึ่งต่อมาทั้งสองได้มาร์กซ์มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย

    💻

    แล้วตำนานแห่งสามสหายที่ให้กำเนิดโคตรเกมที่ยิ่งใหญ่และตีตลาดจนเป็นที่นิยมในวงกว้าง ก็ถือกำเนิดขึ้น นำพาผู้อ่านท่องสู่จักรวาลของผู้สร้างอันบรรเจิดเพริศแพร้ว จนมีหลายบริษัทเข้าแถวอยากทำสัญญาด้วย ต่อมาโชคชะตาเอื้ออำนวย ให้ทั้งสามก่อตั้งบริษัทผลิตเกมเป็นของตน จนสร้างสรรค์ผลงานน่าจดจำป้อนสู่ตลาด มีทั้งที่ประสบความสำเร็จงดงาม และบางเกมก็โดนหามลงจากเวที ตลอดจนประสบพบเจออุปสรรคหลากหลายที่ล้วนแต่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกถึงกับเกือบจะล้มหายไปจากวงการ แต่ในที่สุดก็ผ่านมันไปได้

    💻

    เรื่องราวสุดแสนเข้มข้นน่าติดตามค้นหาอีกมากมาย รอคอยให้ผู้อ่านเช่นคุณเสาะแสวงหามาทดสอบ ต่อให้ไม่ใช่คนที่รักชอบในการเล่นวิดีโอเกมมาก่อนเลย ก็สามารถจะทำความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็ได้รับความบันเทิงควบคู่ไปด้วย

    💽ความน่าทึ่งซึ่งปรากฏชัดหลังอ่านจบ

    (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหนังสือ ต่อจากนี้ไปอาจมีกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญบางส่วน โปรดพิจารณา ถ้าไม่กังวลก็ขอเชิญอ่านต่อได้เลยครับ)

    1. ผมทั้งถูกใจและขัดใจในขนาดรูปเล่มที่ทำออกมา คือถืออ่านไม่ถนัดมือ รูปภาพที่ทำปกก็ดูไม่เข้ากับเรื่องเกม ไม่ค่อยดึงดูดให้คนอยากอ่าน ไม่สื่อถึงเรื่องวงการเกม แต่เมื่ออ่านเนื้อหาภายในไปสักพักจึงเข้าใจที่มาของรูปคลื่น อ้อ ..ความเกี่ยวข้องกับเกมอยู่ตรงนี้เองสำคัญด้วยสิ แต่คนที่จะรู้ได้คือต้องอ่านก่อนเท่านั้นนี่คือจุดบอด นอกจากภาพปกก็การจัดทำอาร์ตเวิร์ก ทีแรกไม่ชอบเลย ทำไมถึงตั้งใจให้อักษรถูกวางเรียงเป็นพรืด ออกมาเป็นบล็อกราวกับก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า แถมยังเว้นพื้นที่ว่างด้านริมชิดขอบหนังสือนิดเดียว แต่กลับเว้นช่องว่างด้านหลังแถวอักษรเยอะ กลายเป็นเมื่อเปิดหน้าหนังสือออก จะมีบริเวณที่เว้นว่างซึ่งไม่มีอักษรเลยช่วงกึ่งกลางเล่มเป็นช่องโล่งกว้างใหญ่ มองแล้วแปลก ๆ

    ตัวอักษรที่ถูกเลือกใช้อีก ไม่ใช่แบบอักษรที่นิยม มองแล้วไม่นุ่มนวล ออกจะเป็นอักษรที่ดูแข็งทื่อและกระด้างเมื่อเรียงอยู่ด้วยกันเป็นแถวยาว แต่เมื่อมองไปมองมา พลิกอ่านไปสักระยะก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น นี่มันเหมือนรูปแบบของตัวพิกเซลเลยนี่นา ความเป็นเหลี่ยม เป็นก้อน เป็นบล็อก หรือนี่คือความตั้งใจที่ได้รับการออกแบบไว้แต่แรกของผู้เขียนและสนพ. เนื่องจากไม่เคยเห็นฉบับภาษาอังกฤษจึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ แต่เชื่อว่าฉบับแปลไทยก็คงจะพยายามทำออกมาโดยคงแนวคิดเดิมให้ได้มากสุด เมื่อคิดได้ดังนี้ จากที่ตอนแรกขัดใจกลักลายเป็นนึกชมขึ้นมาแทน ไม่รู้หรอกว่าจะใช่อย่างที่เดาไหม แต่ถ้าใช่ถือว่าทำสำเร็จ เพราะมันเข้ากับเรื่องราวที่กล่าวเกี่ยวกับการสร้างเกมพอดี

    .

    2. ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อยกับรูปแบบการเขียนของแกเบรียลที่เหมือนกับเล่ม "หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ" คือคนอ่านต้องมีสมาธิจดจ่ออย่างมากกับเรื่องที่ผู้เขียนเล่า เพราะเขาจะไม่มีการขึ้นบทใหม่ หรือใช้ย่อหน้า หรือเลขแบ่ง หรือเว้นวรรคที่ว่าง เพื่อแบ่งฉากให้รู้ชัดเจนว่านี่คือเรื่องราวของฉากใหม่ เหตุการณ์ใหม่ วันใหม่แล้วนะ เรียกว่าเล่าเรื่องฉากหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตัดจบไปดื้อ ๆ แล้วบรรทัดถัดไปก็เป็นเรื่องราวใหม่ที่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แถมไม่มีบรรยายเกริ่น แต่เริ่มด้วยบทสนทนาของตัวละครทันที ดังนั้นบ่อยครั้งที่อ่านอยู่แล้วพอพลิกหน้าต่อไปก็เอ๋อ งงอยู่นานว่าทำไมเรื่องราวมันจึงไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละครคุยกันเรื่องหนึ่ง ไฉนกลายเป็นใครไม่รู้มาคุยในอีกเรื่องหนึ่ง กว่าจะทำความเข้าใจว่า อ๋อ..นี่คือตอนใหม่ คนละช่วงเวลาแล้วนะก็เบลอเป็นระยะ เพราะปรากฏลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งการจัดวางรูปแบบให้แถวอักษรเรียงเท่ากันเป็นตับด้วยแล้ว จึงยิ่งทำให้การอ่านนั้นยากขึ้น แต่เมื่อชินกับสไตล์การเขียนของเขาแล้ว ช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มอ่านง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าหนังสือของนักเขียนคนนี้ อ่านเร็วไม่ได้ ต้องค่อย ๆ อ่านอย่างจดจ่อแล้วคิดตามไป

    ..

    3. การเล่าเรื่องเป็นมุมมองอย่างพระเจ้าที่มองเห็นความคิด ความในใจของตัวละครทั้งหมด เพียงแต่ผู้เขียนเลือกที่จะเล่าเท่าที่อยากบอกในช่วงแรกแค่นิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เผยเรื่องราวความลับของตัวละครหลักทั้งสามออกมาทีละนิดในภายหลัง ชนิดปิดทั้งตัวละครอื่นในเรื่องเองที่ไม่รู้ความจริง รวมถึงปิดคนอ่านด้วย โดยมาเปิดให้รู้ภายหลังเมื่อถึงช่วงที่สำคัญในจังหวะและบรรยากาศ ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นไต่ระดับถึงจุดอิ่มของตัวละครที่ดำเนินอยู่พอดี ทั้งตัวละครบางตัวรวมถึงคนอ่าน จะได้รู้เรื่องราวในอดีตไปพร้อมกัน จึงเกิดแรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรมของตัวเอกในเรื่อง กลายเป็นแรงผลักดันให้นิยายเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งนับว่ามีความชาญฉลาดที่เลือกการทยอยเล่าความจริง ได้เหมาะเจาะกับฉากนั้นอย่างลงตัว

    ...

    4. เชื่อว่าสำหรับหนังสือเล่มนี้ ทิศทางความชอบหรือไม่ชอบหลังอ่านจบแล้วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คือกลุ่มที่ชอบถึงชอบมาก กับกลุ่มที่ไม่ชอบเลย หลายคนที่ยังไม่เคยอ่านและไม่คิดจะอ่าน เพียงเพราะคิดว่าเนื้อหาอย่างนี้คงเหมาะกับผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม คือคนที่เคยสัมผัสกับการเล่มวิดีโอเกมมาก่อนเท่านั้น คนที่ไม่เคยเล่นคงเข้าถึงได้ยากและน่าจะไม่สนุกแน่เลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด แน่นอนว่าผมชอบเล่นวิดีโอเกมมาตั้งแต่เด็ก แม้ในปัจจุบันเวลาชีวิตจะไม่อำนวยให้สามารถกลับไปเล่นได้เหมือนในอดีต ทว่าอยากยืนยันสิ่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างมั่นใจ ถึงคนที่ไม่เคยเล่นวิดีโอเกมมาก่อน ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสนุก และไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปนัก

    ช่วงแรกของการเริ่มต้นอาจจะเป็นด่านที่ต้องใช้เวลาสักหน่อยก็จริง เพราะเรื่องถูกเล่าแบบไม่รีบร้อน อีกทั้งบรรยายรายละเอียดชีวิตของตัวเอกทั้งสองแบบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นสนใจนัก ทว่าพอผ่านไปสักพักความรู้สึกเฉย ๆ กึ่งเริ่มจะเบื่อแล้วนะ จะค่อย ๆ หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้เรื่องราวต่อไปของทั้งเซดีนและแซม น่าแปลกเหมือนกัน แต่เหมือนบุคลิกและความสัมพันธ์ของทั้งสองมีแรงดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจจะหยุดอ่าน คงคล้ายเมื่อเราได้เริ่มเล่นเกมสักเกมหนึ่งซึ่งทีแรกเกือบจะท้อแท้และบอกตัวเองว่า เกมอะไรไม่รู้ไม่เห็นสนุกเลย แต่ใจหนึ่งก็กระซิบบอกตัวเองว่า เล่นต่ออีกหน่อยน่าอย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ และพอตั้งใจให้สมาธิกับการจดจ่อกับฉากตรงหน้าแล้ว กลับกลายเป็นว่าเกมเริ่มสนุกขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเราเริ่มถูกดึงเข้าไปสู่โลกของมัน และการเล่นก็เข้าฝัก เกิดความคุ้นชิน ไม่ได้ยากหรือน่าเบื่อดังที่คิด

    ....

    5. สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงเกมมาก่อน อาจมีข้อได้เปรียบและสามารถสนุกไปกับเนื้อหาที่ผู้เขียนใส่เข้ามา มากกว่าคนกลุ่มอื่นพอสมควร เหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่า เนื่องจากมีการกล่าวถึงชื่อเกมหลายเกมที่เป็นที่นิยมของบรรดาผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ประมาณช่วงยุคแปดศูนย์ ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่เคยแตะโลกของเกมมาก่อน ก็ยังสามารถสนุกไปกับเนื้อหายาวเหยียดได้เช่นกัน หากว่าชื่นชอบในการได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้นำเสนอให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างเกมตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มหรือพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นตอนทางความคิดการออกแบบตัวละคร ฉาก องค์ประกอบเรื่องราวเนื้อหา จนแล้วเสร็จไปถึงขั้นตอนการผลิตและจัดจำหน่าย แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแสดงงาน ให้สัมภาษณ์ เดินสายไปตามที่ต่าง ๆ แบบครบวงจร ซึ่งไม่ได้เขียนออกมาอย่างหนังสือวิชาการ แต่ผ่านการบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิงของนิยาย ที่ผูกโยงเข้ากับเรื่องราวความใฝ่ฝันของตัวเอกทั้งสาม ที่อยากจะสร้างเกมที่นักเล่นทุกคนจะเล่นได้อย่างสนุกและรักมัน เป็นโลกที่พวกเขาจะไม่มีวันแพ้ เพราะถ้าตายก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

    .....

    6. ในเล่มนี้มีทั้งประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศิลปะ การปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอื่น อย่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนรัก คนในครอบครัว และจิตวิทยาการใช้ชีวิตและจูงใจคน รวมถึงการสื่อสารระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่แค่นิยายเพ้อฝันที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มสาวสามคนที่อยากโลดแล่นในวงการนักออกแบบเกมเท่านั้นภายในจำนวนแถวอักษรยาวเหยียดที่เรียงเป็นตับกว่าสี่ร้อยหน้า โลกเบื้องหลังนั้นมีความซับซ้อน และโยงใยยุ่งเหยิงในความสัมพันธ์ของคนต่อคน และคนกับสังคมวงกว้างอย่างลึกล้ำ ยิ่งอ่านก็ยิ่งดำดิ่งลงไปในเรื่องราวดราม่ากว่าจะมาเป็นเกมสักเกมให้คนเล่นเสพสมจนสนุกสนาน ทว่าชีวิตของคนสร้างที่ให้กำเนิดเกมฮิตนั้น เขาและเธอต้องพบเจอและผ่านด่าน อุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ มาแล้วกี่ร้อยกี่พันฉาก ปะปนทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ ความขมขื่นที่ไม่มีใครรับรู้แม้แต่คนที่นึกว่าเป็นเพื่อนซึ่งเหมือนใกล้ชิดสุดกว่าใครอื่นในชีวิต ความว่างเปล่าโหวงเหวงที่บรรจุอยู่ภายในจิตใจ เมื่อถึงที่สุดได้แตกกระจายและขยายตัวออกสู่ภายนอก จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถจัดการรับมือกับสิ่งที่เกิดและประเดประดังเข้าหา สิ่งที่หลงเหลือต่อจากนั้นพวกเขาแต่ละคนจะจัดการเส้นทางชีวิตตนอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริง และเก็บสาระที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน

    7. ผมชอบเนื้อหาในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับมาร์กซ์ แซมกับเซดี และมาร์กซ์กับเซดี ที่มีมุมแตกต่างให้เราได้ศึกษา ได้เห็นถึงน้ำใจที่ไม่ธรรมดาที่พวกเขามีให้กัน ในขณะเดียวกันเมื่อมีโจทย์มาทดสอบความเป็นเพื่อนและมิตรภาพของพวกเขา แต่ละคนก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นปุถุชนคนทั่วไป ที่ยังรักตัวรักตนมากเหนือสิ่งอื่นใด จึงในบางคราวก็รับบทบาทร้ายกาจไร้ซึ่งเหตุผลอันสมควรได้เหมือนกัน แม้นเป็นเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านยาวนานเพียงพอ คนเราก็จะเติบโตขึ้น เรียนรู้จากความบกพร่องผิดพลาดของตนในอดีต และเข้าใจโลกมากกว่าเก่า จนสามารถจะปลดปล่อยปลงวางปมที่เคยขมวดแน่นในใจ ให้คลี่คลายลงแล้วก้าวข้ามผ่านเกมชีวิตจริง และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมดังชื่อเรื่อง

    พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้.

    แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นที่นักอ่านท่านอื่นอาจจะไม่ได้เห็นเช่นเดียวกันก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงหวังใจว่าใครที่มีเล่มนี้อยู่ที่บ้านแต่ยังไม่ได้อ่าน จะเกิดความรู้สึกอยากทำความรู้จักกับ แซม, มาร์กซ์ และเซดี ขึ้นมาบ้าง

    #หนังสือดี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #วิดีโอเกม
    #นิยายแปล
    #การสร้างเกม
    เคยมีคำกล่าวว่าแมวมีเก้าชีวิตซึ่งเป็นความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ที่ในความเป็นจริงก็ตายแล้วตายเลยไม่ต่างจากสัตว์อื่นหรือมนุษย์ โตขึ้นมาสักหน่อยประมาณช่วงมัธยมต้น ช่างประปานามว่ามาริโอ้ทำให้ผมทึ่ง เพราะในอาณาจักรเห็ดแล้ว เขามีชีวิตได้สูงสุดถึง 99 ครั้ง โอ้..คุณพระ! #TomorrowandTomorrowandTomorrow นี่คือหนังสือที่เปิดเผยวงการสร้างเกมวิดีโอได้เจาะลึกและน่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มีอยู่ไม่มากนักในตลาด ที่สำคัญมีอะไรมากไปกว่าแค่เรื่องเด็กสร้างเกม สนพ.แซลมอน แกเบรียล เซวิน เขียน สุวิชชา จันทร แปล พิมพ์เมื่อ กรกฎาคม 2566 หนา 400 หน้า 495 บาท หนังสือเล่มใหญ่มากแถมยังหนา ใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานพ็อกเก็ตบุ๊กทั่วไปพอสมควร เป็นอุปสรรคในการถืออ่านพอสมควร ด้วยความหนักบวกเทอะทะ จึงไม่เหมาะพกพาอ่านนอกสถานที่เท่าใดนัก แต่นี่ไม่ทำให้ใจที่อยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในนั้นมีอะไรอยู่บ้างลดน้อยลง เปิดประตูสู่โลกในจินตนาการ ด้วยเหตุใดก็ตามที่บันดาลให้เด็กหญิงเซดีน กรีน เชื้อสายอเมริกันยิว ในวัยสิบกว่าปีที่มาเยี่ยมพี่สาวอายุห่างจากเธอ 2 ปีกับแม่ แล้วทำให้พี่สาวแหกปากลั่น จนแม่ต้องไล่ให้เซดีออกไปนอกห้องสักพัก จนเธอเดินเปะปะมาเจอกับ แซม เมเซอ ที่เป็นเด็กชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลีหน้าตาแปลก และเท้ามีปัญหา ซึ่งกำลังจดจ่อกับการบังคับมาริโอ้ เกมจากเครื่องเล่นนินเทนโดในห้องสันทนาการ ถือได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของสายใยพิเศษพิสดาร ที่จะผูกโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันไปอีกนานหลายสิบปีนับจากนี้ 💻 แม้จะไม่เคยมีใครสามารถทำให้แซมอ้าปากพูดได้มาก่อน นับตั้งแต่เขาอยู่ใน รพ.มาเป็นระยะเวลากว่าหกสัปดาห์ แต่เซดี คือบุคคลอันน่าเหลือเชื่อ ที่ทั้งหมอ และพยาบาลต่างแปลกใจ เธอใช้เวลาไม่นานนับแต่เดินไปเห็นเขา แล้วยืนชมแซมเล่นตัวมาริโอ้ด้วยเทคนิกชั้นเซียน จนอีกไม่กี่อึดใจถัดมา แซมก็เอ่ยปากคุยกับเธอเกี่ยวกับเกมที่เขากำลังเล่น จากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับรู้จักกันดีมาเป็นเวลานานทั้งที่เพิ่งจะพบกันในวันนั้นเป็นครั้งแรก 💻 เหตุนี้เอง หมอและพยาบาลจึงอยากให้แม่ของเซดี ยอมให้เธอมาที่รพ.บ่อย ๆ และเป็นเพื่อนคุยกับแซม เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เขาแจ่มใสร่าเริงขึ้น หลังประสบเหตุการณ์ที่ยากลำบาก ทำให้เท้าของเขามีปัญหาไม่ธรรมดา ซึ่งเซดีเองก็ยินดี เธอและแซมเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยในเรื่องของวิดีโอเกม จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน และไปกระทบกระเทือนใจของแซมอย่างรุนแรงจนเขาผิดหวังและไล่เธอไม่ให้มาพบเจอกันอีกต่อไป 💻 เวลาผ่านไปหลายปี เซดีเรียนต่อที่ mit ทางด้านสาขาการออกแบบเกม ส่วนแซมเข้าฮาร์วาร์ดได้ เขาถนัดด้านคณิตศาสตร์ เท้าเจ้ากรรมยังคงแย่ไม่แพ้สมัยเด็ก แซมได้รูมเมตเป็นลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกันญี่ปุ่นชื่อว่า มาร์กซ์ วาตานาเบะ ผู้มีจิตใจดีและเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแนะนำเขาในหลายเรื่อง วันหนึ่ง แซม ได้พบกับเซดี ในระหว่างทางที่กำลังจะขึ้นรถไฟใต้ดิน เขาอดใจไม่ไหวร้องเรียกเธอ แล้วได้คุยกันสั้น ๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เธอฝากแผ่นเกมสำหรับเล่นกับเครื่องพีซีให้เขาไว้ บอกว่าเป็นเกมที่เธอสร้างเอง เล่นจบแล้วรู้สึกอย่างไรช่วยติดต่อบอกด้วยตามที่อยู่อีเมล จากนั้นต่างแยกย้าย 💻 ระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายกับเซดี ที่ทำให้เธอสิ้นหวังและหมดพลังในชีวิต แต่เป็นแซมที่พยายามหาทางติดต่อกลับ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากเธอเลย วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจเดินด้วยเท้าสภาพเน่า ๆ เสี่ยงไปยังที่พักของเธอ เมื่อได้พบกันเซดีเหมือนผีตายซากที่รอเวลาแห้งเหี่ยว แซมมาหาเธอทุกวันจนในที่สุด สาวน้อยคนเก่ากลับฟื้นคืนสติเป็นผู้เป็นคน จนยอมรับข้อเสนอมาร่วมกันสร้างเกมกับเขาในช่วงปิดภาคเรียนไม่กี่เดือน เพื่อต้องการสานฝันให้เป็นจริง ซึ่งต่อมาทั้งสองได้มาร์กซ์มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย 💻 แล้วตำนานแห่งสามสหายที่ให้กำเนิดโคตรเกมที่ยิ่งใหญ่และตีตลาดจนเป็นที่นิยมในวงกว้าง ก็ถือกำเนิดขึ้น นำพาผู้อ่านท่องสู่จักรวาลของผู้สร้างอันบรรเจิดเพริศแพร้ว จนมีหลายบริษัทเข้าแถวอยากทำสัญญาด้วย ต่อมาโชคชะตาเอื้ออำนวย ให้ทั้งสามก่อตั้งบริษัทผลิตเกมเป็นของตน จนสร้างสรรค์ผลงานน่าจดจำป้อนสู่ตลาด มีทั้งที่ประสบความสำเร็จงดงาม และบางเกมก็โดนหามลงจากเวที ตลอดจนประสบพบเจออุปสรรคหลากหลายที่ล้วนแต่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระลอกถึงกับเกือบจะล้มหายไปจากวงการ แต่ในที่สุดก็ผ่านมันไปได้ 💻 เรื่องราวสุดแสนเข้มข้นน่าติดตามค้นหาอีกมากมาย รอคอยให้ผู้อ่านเช่นคุณเสาะแสวงหามาทดสอบ ต่อให้ไม่ใช่คนที่รักชอบในการเล่นวิดีโอเกมมาก่อนเลย ก็สามารถจะทำความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็ได้รับความบันเทิงควบคู่ไปด้วย 💽ความน่าทึ่งซึ่งปรากฏชัดหลังอ่านจบ (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านหนังสือ ต่อจากนี้ไปอาจมีกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญบางส่วน โปรดพิจารณา ถ้าไม่กังวลก็ขอเชิญอ่านต่อได้เลยครับ) 1. ผมทั้งถูกใจและขัดใจในขนาดรูปเล่มที่ทำออกมา คือถืออ่านไม่ถนัดมือ รูปภาพที่ทำปกก็ดูไม่เข้ากับเรื่องเกม ไม่ค่อยดึงดูดให้คนอยากอ่าน ไม่สื่อถึงเรื่องวงการเกม แต่เมื่ออ่านเนื้อหาภายในไปสักพักจึงเข้าใจที่มาของรูปคลื่น อ้อ ..ความเกี่ยวข้องกับเกมอยู่ตรงนี้เองสำคัญด้วยสิ แต่คนที่จะรู้ได้คือต้องอ่านก่อนเท่านั้นนี่คือจุดบอด นอกจากภาพปกก็การจัดทำอาร์ตเวิร์ก ทีแรกไม่ชอบเลย ทำไมถึงตั้งใจให้อักษรถูกวางเรียงเป็นพรืด ออกมาเป็นบล็อกราวกับก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า แถมยังเว้นพื้นที่ว่างด้านริมชิดขอบหนังสือนิดเดียว แต่กลับเว้นช่องว่างด้านหลังแถวอักษรเยอะ กลายเป็นเมื่อเปิดหน้าหนังสือออก จะมีบริเวณที่เว้นว่างซึ่งไม่มีอักษรเลยช่วงกึ่งกลางเล่มเป็นช่องโล่งกว้างใหญ่ มองแล้วแปลก ๆ ตัวอักษรที่ถูกเลือกใช้อีก ไม่ใช่แบบอักษรที่นิยม มองแล้วไม่นุ่มนวล ออกจะเป็นอักษรที่ดูแข็งทื่อและกระด้างเมื่อเรียงอยู่ด้วยกันเป็นแถวยาว แต่เมื่อมองไปมองมา พลิกอ่านไปสักระยะก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้น นี่มันเหมือนรูปแบบของตัวพิกเซลเลยนี่นา ความเป็นเหลี่ยม เป็นก้อน เป็นบล็อก หรือนี่คือความตั้งใจที่ได้รับการออกแบบไว้แต่แรกของผู้เขียนและสนพ. เนื่องจากไม่เคยเห็นฉบับภาษาอังกฤษจึงไม่มีข้อเปรียบเทียบ แต่เชื่อว่าฉบับแปลไทยก็คงจะพยายามทำออกมาโดยคงแนวคิดเดิมให้ได้มากสุด เมื่อคิดได้ดังนี้ จากที่ตอนแรกขัดใจกลักลายเป็นนึกชมขึ้นมาแทน ไม่รู้หรอกว่าจะใช่อย่างที่เดาไหม แต่ถ้าใช่ถือว่าทำสำเร็จ เพราะมันเข้ากับเรื่องราวที่กล่าวเกี่ยวกับการสร้างเกมพอดี . 2. ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อยกับรูปแบบการเขียนของแกเบรียลที่เหมือนกับเล่ม "หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ" คือคนอ่านต้องมีสมาธิจดจ่ออย่างมากกับเรื่องที่ผู้เขียนเล่า เพราะเขาจะไม่มีการขึ้นบทใหม่ หรือใช้ย่อหน้า หรือเลขแบ่ง หรือเว้นวรรคที่ว่าง เพื่อแบ่งฉากให้รู้ชัดเจนว่านี่คือเรื่องราวของฉากใหม่ เหตุการณ์ใหม่ วันใหม่แล้วนะ เรียกว่าเล่าเรื่องฉากหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตัดจบไปดื้อ ๆ แล้วบรรทัดถัดไปก็เป็นเรื่องราวใหม่ที่เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง แถมไม่มีบรรยายเกริ่น แต่เริ่มด้วยบทสนทนาของตัวละครทันที ดังนั้นบ่อยครั้งที่อ่านอยู่แล้วพอพลิกหน้าต่อไปก็เอ๋อ งงอยู่นานว่าทำไมเรื่องราวมันจึงไม่ต่อเนื่องกัน ตัวละครคุยกันเรื่องหนึ่ง ไฉนกลายเป็นใครไม่รู้มาคุยในอีกเรื่องหนึ่ง กว่าจะทำความเข้าใจว่า อ๋อ..นี่คือตอนใหม่ คนละช่วงเวลาแล้วนะก็เบลอเป็นระยะ เพราะปรากฏลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง ยิ่งการจัดวางรูปแบบให้แถวอักษรเรียงเท่ากันเป็นตับด้วยแล้ว จึงยิ่งทำให้การอ่านนั้นยากขึ้น แต่เมื่อชินกับสไตล์การเขียนของเขาแล้ว ช่วงหลัง ๆ ก็จะเริ่มอ่านง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าหนังสือของนักเขียนคนนี้ อ่านเร็วไม่ได้ ต้องค่อย ๆ อ่านอย่างจดจ่อแล้วคิดตามไป .. 3. การเล่าเรื่องเป็นมุมมองอย่างพระเจ้าที่มองเห็นความคิด ความในใจของตัวละครทั้งหมด เพียงแต่ผู้เขียนเลือกที่จะเล่าเท่าที่อยากบอกในช่วงแรกแค่นิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เผยเรื่องราวความลับของตัวละครหลักทั้งสามออกมาทีละนิดในภายหลัง ชนิดปิดทั้งตัวละครอื่นในเรื่องเองที่ไม่รู้ความจริง รวมถึงปิดคนอ่านด้วย โดยมาเปิดให้รู้ภายหลังเมื่อถึงช่วงที่สำคัญในจังหวะและบรรยากาศ ซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นไต่ระดับถึงจุดอิ่มของตัวละครที่ดำเนินอยู่พอดี ทั้งตัวละครบางตัวรวมถึงคนอ่าน จะได้รู้เรื่องราวในอดีตไปพร้อมกัน จึงเกิดแรงกระเพื่อมที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรมของตัวเอกในเรื่อง กลายเป็นแรงผลักดันให้นิยายเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งนับว่ามีความชาญฉลาดที่เลือกการทยอยเล่าความจริง ได้เหมาะเจาะกับฉากนั้นอย่างลงตัว ... 4. เชื่อว่าสำหรับหนังสือเล่มนี้ ทิศทางความชอบหรือไม่ชอบหลังอ่านจบแล้วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คือกลุ่มที่ชอบถึงชอบมาก กับกลุ่มที่ไม่ชอบเลย หลายคนที่ยังไม่เคยอ่านและไม่คิดจะอ่าน เพียงเพราะคิดว่าเนื้อหาอย่างนี้คงเหมาะกับผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม คือคนที่เคยสัมผัสกับการเล่มวิดีโอเกมมาก่อนเท่านั้น คนที่ไม่เคยเล่นคงเข้าถึงได้ยากและน่าจะไม่สนุกแน่เลย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด แน่นอนว่าผมชอบเล่นวิดีโอเกมมาตั้งแต่เด็ก แม้ในปัจจุบันเวลาชีวิตจะไม่อำนวยให้สามารถกลับไปเล่นได้เหมือนในอดีต ทว่าอยากยืนยันสิ่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างมั่นใจ ถึงคนที่ไม่เคยเล่นวิดีโอเกมมาก่อน ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสนุก และไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปนัก ช่วงแรกของการเริ่มต้นอาจจะเป็นด่านที่ต้องใช้เวลาสักหน่อยก็จริง เพราะเรื่องถูกเล่าแบบไม่รีบร้อน อีกทั้งบรรยายรายละเอียดชีวิตของตัวเอกทั้งสองแบบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นสนใจนัก ทว่าพอผ่านไปสักพักความรู้สึกเฉย ๆ กึ่งเริ่มจะเบื่อแล้วนะ จะค่อย ๆ หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้เรื่องราวต่อไปของทั้งเซดีนและแซม น่าแปลกเหมือนกัน แต่เหมือนบุคลิกและความสัมพันธ์ของทั้งสองมีแรงดึงดูดประหลาด ที่ทำให้ไม่อาจจะหยุดอ่าน คงคล้ายเมื่อเราได้เริ่มเล่นเกมสักเกมหนึ่งซึ่งทีแรกเกือบจะท้อแท้และบอกตัวเองว่า เกมอะไรไม่รู้ไม่เห็นสนุกเลย แต่ใจหนึ่งก็กระซิบบอกตัวเองว่า เล่นต่ออีกหน่อยน่าอย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ และพอตั้งใจให้สมาธิกับการจดจ่อกับฉากตรงหน้าแล้ว กลับกลายเป็นว่าเกมเริ่มสนุกขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเราเริ่มถูกดึงเข้าไปสู่โลกของมัน และการเล่นก็เข้าฝัก เกิดความคุ้นชิน ไม่ได้ยากหรือน่าเบื่อดังที่คิด .... 5. สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงเกมมาก่อน อาจมีข้อได้เปรียบและสามารถสนุกไปกับเนื้อหาที่ผู้เขียนใส่เข้ามา มากกว่าคนกลุ่มอื่นพอสมควร เหมือนได้พบเจอเพื่อนเก่า เนื่องจากมีการกล่าวถึงชื่อเกมหลายเกมที่เป็นที่นิยมของบรรดาผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ประมาณช่วงยุคแปดศูนย์ ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่เคยแตะโลกของเกมมาก่อน ก็ยังสามารถสนุกไปกับเนื้อหายาวเหยียดได้เช่นกัน หากว่าชื่นชอบในการได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้นำเสนอให้เห็นถึงกระบวนการในการสร้างเกมตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มหรือพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นตอนทางความคิดการออกแบบตัวละคร ฉาก องค์ประกอบเรื่องราวเนื้อหา จนแล้วเสร็จไปถึงขั้นตอนการผลิตและจัดจำหน่าย แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การแสดงงาน ให้สัมภาษณ์ เดินสายไปตามที่ต่าง ๆ แบบครบวงจร ซึ่งไม่ได้เขียนออกมาอย่างหนังสือวิชาการ แต่ผ่านการบอกเล่าอย่างมีชั้นเชิงของนิยาย ที่ผูกโยงเข้ากับเรื่องราวความใฝ่ฝันของตัวเอกทั้งสาม ที่อยากจะสร้างเกมที่นักเล่นทุกคนจะเล่นได้อย่างสนุกและรักมัน เป็นโลกที่พวกเขาจะไม่มีวันแพ้ เพราะถ้าตายก็ยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ..... 6. ในเล่มนี้มีทั้งประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศิลปะ การปรับตัวให้เข้ากับบุคคลอื่น อย่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนรัก คนในครอบครัว และจิตวิทยาการใช้ชีวิตและจูงใจคน รวมถึงการสื่อสารระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่แค่นิยายเพ้อฝันที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มสาวสามคนที่อยากโลดแล่นในวงการนักออกแบบเกมเท่านั้นภายในจำนวนแถวอักษรยาวเหยียดที่เรียงเป็นตับกว่าสี่ร้อยหน้า โลกเบื้องหลังนั้นมีความซับซ้อน และโยงใยยุ่งเหยิงในความสัมพันธ์ของคนต่อคน และคนกับสังคมวงกว้างอย่างลึกล้ำ ยิ่งอ่านก็ยิ่งดำดิ่งลงไปในเรื่องราวดราม่ากว่าจะมาเป็นเกมสักเกมให้คนเล่นเสพสมจนสนุกสนาน ทว่าชีวิตของคนสร้างที่ให้กำเนิดเกมฮิตนั้น เขาและเธอต้องพบเจอและผ่านด่าน อุปสรรคขวากหนามต่าง ๆ มาแล้วกี่ร้อยกี่พันฉาก ปะปนทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ ความขมขื่นที่ไม่มีใครรับรู้แม้แต่คนที่นึกว่าเป็นเพื่อนซึ่งเหมือนใกล้ชิดสุดกว่าใครอื่นในชีวิต ความว่างเปล่าโหวงเหวงที่บรรจุอยู่ภายในจิตใจ เมื่อถึงที่สุดได้แตกกระจายและขยายตัวออกสู่ภายนอก จนกระทั่งตัวเองไม่สามารถจัดการรับมือกับสิ่งที่เกิดและประเดประดังเข้าหา สิ่งที่หลงเหลือต่อจากนั้นพวกเขาแต่ละคนจะจัดการเส้นทางชีวิตตนอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริง และเก็บสาระที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตน 7. ผมชอบเนื้อหาในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับมาร์กซ์ แซมกับเซดี และมาร์กซ์กับเซดี ที่มีมุมแตกต่างให้เราได้ศึกษา ได้เห็นถึงน้ำใจที่ไม่ธรรมดาที่พวกเขามีให้กัน ในขณะเดียวกันเมื่อมีโจทย์มาทดสอบความเป็นเพื่อนและมิตรภาพของพวกเขา แต่ละคนก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นปุถุชนคนทั่วไป ที่ยังรักตัวรักตนมากเหนือสิ่งอื่นใด จึงในบางคราวก็รับบทบาทร้ายกาจไร้ซึ่งเหตุผลอันสมควรได้เหมือนกัน แม้นเป็นเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อกาลเวลาหมุนผ่านยาวนานเพียงพอ คนเราก็จะเติบโตขึ้น เรียนรู้จากความบกพร่องผิดพลาดของตนในอดีต และเข้าใจโลกมากกว่าเก่า จนสามารถจะปลดปล่อยปลงวางปมที่เคยขมวดแน่นในใจ ให้คลี่คลายลงแล้วก้าวข้ามผ่านเกมชีวิตจริง และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมดังชื่อเรื่อง พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้ และ พรุ่งนี้. แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นที่นักอ่านท่านอื่นอาจจะไม่ได้เห็นเช่นเดียวกันก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงหวังใจว่าใครที่มีเล่มนี้อยู่ที่บ้านแต่ยังไม่ได้อ่าน จะเกิดความรู้สึกอยากทำความรู้จักกับ แซม, มาร์กซ์ และเซดี ขึ้นมาบ้าง #หนังสือดี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #วิดีโอเกม #นิยายแปล #การสร้างเกม
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 760 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาชิกสภาฯ หญิงท้า ถึงเวลาเกณฑ์ทหารหญิงแล้ว!

    Maryana Bezuhla เจ้าแม่ดราม่ายูเครนออกโรงสนับสนุนการเกณฑ์ทหารหญิงอย่างถึงพริกถึงขิง "รัฐธรรมนูญไม่ได้แบ่งพลเมืองเป็นสองประเภท ตอนนี้เราเลือกปฏิบัติกับผู้ชายอย่างผิดกฎหมาย" เธอยังแซวผู้ชายว่า "ถ้าผู้หญิงถูกเกณฑ์ด้วย พวกคุณก็จะถูกเกณฑ์น้อยลงนะ นี่เป็นเหตุผลที่ควรสนับสนุน!"

    เธอเสนอให้เริ่มจากตำแหน่งหลังแนวรบก่อน เช่น งานเอกสาร งานบุคคล หน่วยรักษาการณ์ "ตอนนี้มีผู้ชายนับพันที่ 'จ่ายใต้โต๊ะ' เพื่อหลบอยู่หลังแนวรบ ในขณะที่หน่วยรบกำลังรอคอย แต่กลับต้องดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาเป็นทหารราบ ทำให้กองทัพสูญเสียความเชี่ยวชาญ"

    "สงครามไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเดียว โดยเฉพาะเมื่อไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่องการดำรงอยู่ของชาติ" เธอเผย เคยเสนอแก้กฎหมายหลายครั้งแต่ถูกปัดตก "ตลกร้ายที่กระทรวงกลาโหมทำพังเรื่องเกณฑ์ทหาร นายพลทำลายทหารด้วยการตัดสินใจไร้สติ แต่ไม่มีใครกล้าพูดเพราะเป็นเรื่อง 'ละเอียดอ่อน' บางทีถ้าผู้หญิงถูกเกณฑ์ อาจจะมาจัดการความวุ่นวายนี้ได้"
    ความเท่าเทียมอย่างแท้จริงกำลังจะเกิดขึ้นที่ยูเครนแล้ว

    https://web.facebook.com/groups/194174770388504/posts/362604156878897/
    สมาชิกสภาฯ หญิงท้า ถึงเวลาเกณฑ์ทหารหญิงแล้ว! Maryana Bezuhla เจ้าแม่ดราม่ายูเครนออกโรงสนับสนุนการเกณฑ์ทหารหญิงอย่างถึงพริกถึงขิง "รัฐธรรมนูญไม่ได้แบ่งพลเมืองเป็นสองประเภท ตอนนี้เราเลือกปฏิบัติกับผู้ชายอย่างผิดกฎหมาย" เธอยังแซวผู้ชายว่า "ถ้าผู้หญิงถูกเกณฑ์ด้วย พวกคุณก็จะถูกเกณฑ์น้อยลงนะ นี่เป็นเหตุผลที่ควรสนับสนุน!" เธอเสนอให้เริ่มจากตำแหน่งหลังแนวรบก่อน เช่น งานเอกสาร งานบุคคล หน่วยรักษาการณ์ "ตอนนี้มีผู้ชายนับพันที่ 'จ่ายใต้โต๊ะ' เพื่อหลบอยู่หลังแนวรบ ในขณะที่หน่วยรบกำลังรอคอย แต่กลับต้องดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาเป็นทหารราบ ทำให้กองทัพสูญเสียความเชี่ยวชาญ" "สงครามไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเดียว โดยเฉพาะเมื่อไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่องการดำรงอยู่ของชาติ" เธอเผย เคยเสนอแก้กฎหมายหลายครั้งแต่ถูกปัดตก "ตลกร้ายที่กระทรวงกลาโหมทำพังเรื่องเกณฑ์ทหาร นายพลทำลายทหารด้วยการตัดสินใจไร้สติ แต่ไม่มีใครกล้าพูดเพราะเป็นเรื่อง 'ละเอียดอ่อน' บางทีถ้าผู้หญิงถูกเกณฑ์ อาจจะมาจัดการความวุ่นวายนี้ได้" ความเท่าเทียมอย่างแท้จริงกำลังจะเกิดขึ้นที่ยูเครนแล้ว https://web.facebook.com/groups/194174770388504/posts/362604156878897/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โฆษกรัฐบาล” โต้ดราม่า ให้สัญชาติ-สถานะ ผู้อพยพ ต้องอยู่ไทยนานกว่า 50 ปี ยันกลุ่มเทา ไม่มีสิทธิ แจงแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 3.5 แสนคน ไม่มีสิทธิการเมือง ส่วนเด็กเกิดในไทยมีสิทธิตามสัญชาติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105617

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “โฆษกรัฐบาล” โต้ดราม่า ให้สัญชาติ-สถานะ ผู้อพยพ ต้องอยู่ไทยนานกว่า 50 ปี ยันกลุ่มเทา ไม่มีสิทธิ แจงแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 3.5 แสนคน ไม่มีสิทธิการเมือง ส่วนเด็กเกิดในไทยมีสิทธิตามสัญชาติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105617 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Haha
    Angry
    10
    3 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2075 มุมมอง 0 รีวิว

  • บิ๊กอ้วนห่วงดราม่า ชี้ชื่อย่อสอบไม่ได้ (30/10/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #เทวดาเพื่อไทย #เพื่อไทยเอี่ยวดิไอค่อน
    บิ๊กอ้วนห่วงดราม่า ชี้ชื่อย่อสอบไม่ได้ (30/10/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #เทวดาเพื่อไทย #เพื่อไทยเอี่ยวดิไอค่อน
    Like
    Haha
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2044 มุมมอง 504 0 รีวิว
  • 29-10-67/01 : หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.13

    01.ทำไม? หัวเว่ยทิ้ง ANDROID สร้างนวตกรรมใหม่หมด ต้อนรับโลกใหม่! ปฎิบัติการ HARMONY OS 5.0 ช็อคโลก นี่มันโลกอนาคตชัดๆ ส่งสัญญานเบอร์ 1 โลก ดิจิตอล AI QUANTUM มาหมด ย้อนเวลากันเลยดีมุย?

    02.ลีลาปูติน บอกเหี้ยตะวันตกอย่าส่งลูกยาวให้ยูเครน(ใจจริงรีบส่งสิฟ่ะ) ห้ามยูเครนยิงขีปนาวุธพิสัยไกล และติดตั้ง(รอให้มรึงติดซักที) อี NATO นกรู้ ขืนให้ ขืนติดตั้งให้ ไปหมดทั้งทวีป เพราะปูตินใช้เป็นหลักฐานทำลายความมั่นคงรัฐแห่งรัสเซียได้สบายตรีน กฎหมายรัสเซีย และสากลรองรับเต็มตรีน

    03.เป็นไงล่ะ! อียิวช็อค หน่วยรบพิเศษอาหรับรวมตัวกันก่อวินาศกรรมใหญ่กลางเทลอาวีฟ มรึงมาได้ไงฟ่ะ? ชาติอาหรับทะยอยส่งหน่วยพิเศาเข้าร่วมปฎิบัติการนี้ เพื่อสอดคล้องกับแผนการฮามาส รุกใน ทุบนอก แซนวิสลงแขกยิว หน่วยเฉพาะกิจ รุกแบบกองโจร ตีเสร็จหายไปในกลีบเมฆ อียิวงง.. เกิดอะไรขึ้น?

    04.ฉิบหาย! แนวร่วมขี้ข้าหดหาย หลังประจักษ์คาตา ขีปนาวุธอิหร่านเอานายใหญ่อยู่หมัด ทั้งยุโรป ทั้งตะวันออกกลางพากันชิ่งหนี แค่เยเมน ตัวตึงขั้วเก่ายังแพ้ยับ อียิว เหี้ยมะกัน ร่วมมือลอบกัด ยังแห้ว ประสาอะไรจะชนกับจีน รัสเซีย โดยตรง นี่มัน "หมูวิ่งชนบังตอชัดๆ" สัญญานแรง 9G ขี้ข้าเหี้ยแห่ขอเข้าร่วมประชุม BRICS แห่ไม่ส่งอาวุธยูเครน แห่ไม่หนุนยิวต่ออีก? จบแล้ว

    05.ไบ้แดร๊ก! TSMC ยักษ์ใหญ่ชิปโลก ของไต้หวัน ช็อค! เสือกไปเห็นชิปคล้ายของตัวเองในเครื่องหัวเว่ย โดนสอดไส้คาราเมลแล้วไงล่ะ ไอ้สัส! จีนถูกเหี้ยไอ้อีตะวันตกแบน คว่ำบาตร ไต้หวันไม่ส่งชิปให้จีน อ๋อ..เหรอ ไม่ใช่ปัญหา เมื่อไม่ให้กู กูก็ผลิตเองแม่งซะเลย จะ COPY ก็ดี จะแอบดูดสั่งใต้ดินเข้ามาก็ดี สุดท้าย วัตถุดิบกูมี ผลิตเองได้ ไม่ง้อเหี้ย? ดอกนี้ สะเทือนทั้งวงการชิปโลก

    06.กลียุคเผยธาตุแท้เหี้ยเสมอ พ่อพระในคราบเดรัจฉานออกลาย แถไม่เลิก จะชี้ให้เห็นว่า "ไอ้ที่คิดว่าดี ไอ้ที่คิดว่าใช่ ทุกอย่างคือภาพมายา" แสงทำงาน ความจริงปรากฎเสมอ ความยุติธรรมก่อเกิด สิ่งโสมมชั่วร้ายอยู่ไม่ได้ มันจะร้อนรน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า อย่ามาแหยม "ลุงสนธิ" เพ่อ้อย ขอมา ลุงแกจัดให้ เห็นอะไรจากนิทาน ไอ(คอน)สัส ทนายตุย และอีกเยอะ ปลงซะ

    07.เฮซบอเลาะห์คลั่ง ถล่มฐานทัพยิวแตกกระจุย NON STOP ดาหน้าฆ่าอย่างเมามันส์ พรมแดนเลบานอน อียิวก้าวไม่ถึง 5 เมตร ตายคาที่ กับดักระเบิดเพี๊ยบ รถถังมายังยับ! คนจะเหลือเหรอ? ลูกยาวลง 3 เมืองใหญ่ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ชาวเมืองหนีลงรูหมดแล้ว ไม่ต้องออกน่ะ เดี๋ยวกูจะฝังทั้งเป็น

    08.ไอ้สัส! วาระแห่งชาติ "หมูเด้ง vs หมูเด้ง(ตัวปลอม)" มรึงจะดังไปไหน? ศึกล้างตา หมูเด้งออกอาละวาดอีกครั้ง งับหัวแม่งเลย อีตัวปลอม ซีนกูน่ะ กูต้องเกิด คนแม่งก็สรรหาอีเว้นต์ให้หมูเด้งตลอด น้ำขึ้นให้รีบตัก หมูเด้งบอก วุ่นวายกับกูจริง "อีมนุษย์" เดี๋ยวกูจะเด้งดึ๋งทั้งวัน หมดแรงก็หลับ มีปัญหา?

    09.ไอ้สัส! ดราม่าบัลลงดอร์ พอกูไม่ได้ ก็ไม่ร่วมงาน แต๋วแตก! อีราชัน คิดว่าเป็นพระเจ้า ที่ผ่านมา อี FIFA ช่วยมรึงเท่าไหร่แล้ว ไอ้สัส! จะผูกขาด สันดานอียิวท่าเดียว มรึงแข่งทีมเดียวล่ะกัน เป็นไงล่ะ ล่าสุด ถูกบาร์ซ่าถล่มยับคารัง 4:0 พูลสวัสดิ์ ขี้แตกคาเบอร์นาบิว หมดยุคมาเฟียแล้วมรึง อย่างอแง ดีออก? จ้าวยุโรปที่ใช้เงินซื้อเหรอ แหกกฎไปเท่าไหร่แล้ว ใครอุ้ม?

    10.ไอ้สัส! ฮาโลวีนระบาด! แต่งผีก็แต่งไป แต่ขอร้อง อย่าแต่งชุดนางรำไทย มันสยอง ไอ้สัส! ใครใช้ให้มรึงขึ้นลิฟท์ งานนี้มีหัวใจวายตายห่าแน่ ผี น่ากลัวยังไง ก็ไม่เท่า อียิวเหี้ย ผีได้แค่หลอก แต่อียิว มันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดาบนั้นคืนสนอง นาทีนี้ อียิวหนีตายทั่วโลก ใครว่าล่ะ ไอ้ที่หนีไปต่างแดน มรึงคิดว่าอยู่สุขสบายเหรอ? ออกนอกบ้าน เจอโจทก์เก่า อาหรับมีอยู่ทุกที่ ระวังเจอแทงยับ เหมือนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปลอมตัวสิจ๊ะ แต่งเป็นชุดน้องหมาก็ได้

    หมายเหตุ : เกิดอะไรขึ้น 1.3 แสนคน ย้ายออกจากนิวซีแลนด์ ประเทศ TOP20 โลกที่น่าอยู่ เหตุผลคือ "สู้ค่าครองชีพไม่ไหว" เงินเฟ้อพุ่งเกือบ 8% แล้วส่วนใหญ่ที่ย้ายออกคือวัยทำงาน กำลังผลิตสำคัญ ชี้ชัด เดินตามเหี้ยฉิบหายหมดเกลี้ยง นโยบายกีวี ไม่มีอะไรมาก เดินตามใบสั่ง จะตาย จะเจ๊ง ขึ้นอยู่กับใบสั่งอียิวทั้งนั้น แล้วชาวกีวีหนีไปไหนหมดล่ะ บอกเลย "เอเซีย" เพราะยุโรปเจ๊งหมดแล้ว ชาติตะวันตก ผู้คนลำบาก เพราะต้องจ่ายพลังงานแพง แถมถูกตัดสวัสดิการหมดเกลี้ยง เนื่องจากรัฐถังแตก แต่เสือกมีเงินไปจ่ายให้อียูเครน แล้วมรึงจะอยากอยู่จ่ายภาษีค่าโง่ต่อมั้ยล่ะ? ล่าสุด ไทยเปิดตัวซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ 600 ล้าน เร็ว แรงสุด ในอาเซียน ใครล่ะ ที่ถ่ายทอดวิชากำลังภายในให้? มรึงดู! เหี้ยตะวันตกจะเครมว่าชิปใคร แต่ AI สมองกลอัจฉริยะมาจากจีนเต็มเหนี่ยว ไม่ต้องบอก ก็รู้ ใครแบ็คอัพ? มีอะไรอีกเยอะ ที่ไทยได้มาจากรัสเซีย จีน แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย หรือออกตัว ในตอนนี้

    หมี CNN(ขรรมกลิ้ง อียุ่นปี่ งง.. ทำไม BYD ถึงทำได้ถูกบัดซบเยี่ยงนี้ อะไรคือสาเหตุลดต้นทุน ลงทุนซื้อรถมาถอดชิ้นส่วน คำตอบที่ได้คือ "งง" นวตกรรมมันไปไกลเกินกว่ามรึงจะเข้าใจ ชิ้นเดียวจบ ไม่ยุ่งยาก งานออกแบบประหยัดพลังงาน ต้นทุน เวลา ที่สำคัญแบตเตอรี่คือหัวใจสำคัญ ต้นทุนใหญ่สุด จีนสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก 1000 กม. กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ต่อไปมรึงอาจจะได้เห็น รถพลังงานสะอาด+พลังงานกล วิ่งได้ไม่จำกัดระยะทาง เอาให้สุดขั้วกันไปเลย ตาสว่าง มรึงล้าหลังจีนไปไกลสุดขั้ว เพราะชิปตัวเดียว เปลี่ยนโลกทันตาเห็น!)
    29 ตุลาคม 67
    09.58 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    29-10-67/01 : หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.13 01.ทำไม? หัวเว่ยทิ้ง ANDROID สร้างนวตกรรมใหม่หมด ต้อนรับโลกใหม่! ปฎิบัติการ HARMONY OS 5.0 ช็อคโลก นี่มันโลกอนาคตชัดๆ ส่งสัญญานเบอร์ 1 โลก ดิจิตอล AI QUANTUM มาหมด ย้อนเวลากันเลยดีมุย? 02.ลีลาปูติน บอกเหี้ยตะวันตกอย่าส่งลูกยาวให้ยูเครน(ใจจริงรีบส่งสิฟ่ะ) ห้ามยูเครนยิงขีปนาวุธพิสัยไกล และติดตั้ง(รอให้มรึงติดซักที) อี NATO นกรู้ ขืนให้ ขืนติดตั้งให้ ไปหมดทั้งทวีป เพราะปูตินใช้เป็นหลักฐานทำลายความมั่นคงรัฐแห่งรัสเซียได้สบายตรีน กฎหมายรัสเซีย และสากลรองรับเต็มตรีน 03.เป็นไงล่ะ! อียิวช็อค หน่วยรบพิเศษอาหรับรวมตัวกันก่อวินาศกรรมใหญ่กลางเทลอาวีฟ มรึงมาได้ไงฟ่ะ? ชาติอาหรับทะยอยส่งหน่วยพิเศาเข้าร่วมปฎิบัติการนี้ เพื่อสอดคล้องกับแผนการฮามาส รุกใน ทุบนอก แซนวิสลงแขกยิว หน่วยเฉพาะกิจ รุกแบบกองโจร ตีเสร็จหายไปในกลีบเมฆ อียิวงง.. เกิดอะไรขึ้น? 04.ฉิบหาย! แนวร่วมขี้ข้าหดหาย หลังประจักษ์คาตา ขีปนาวุธอิหร่านเอานายใหญ่อยู่หมัด ทั้งยุโรป ทั้งตะวันออกกลางพากันชิ่งหนี แค่เยเมน ตัวตึงขั้วเก่ายังแพ้ยับ อียิว เหี้ยมะกัน ร่วมมือลอบกัด ยังแห้ว ประสาอะไรจะชนกับจีน รัสเซีย โดยตรง นี่มัน "หมูวิ่งชนบังตอชัดๆ" สัญญานแรง 9G ขี้ข้าเหี้ยแห่ขอเข้าร่วมประชุม BRICS แห่ไม่ส่งอาวุธยูเครน แห่ไม่หนุนยิวต่ออีก? จบแล้ว 05.ไบ้แดร๊ก! TSMC ยักษ์ใหญ่ชิปโลก ของไต้หวัน ช็อค! เสือกไปเห็นชิปคล้ายของตัวเองในเครื่องหัวเว่ย โดนสอดไส้คาราเมลแล้วไงล่ะ ไอ้สัส! จีนถูกเหี้ยไอ้อีตะวันตกแบน คว่ำบาตร ไต้หวันไม่ส่งชิปให้จีน อ๋อ..เหรอ ไม่ใช่ปัญหา เมื่อไม่ให้กู กูก็ผลิตเองแม่งซะเลย จะ COPY ก็ดี จะแอบดูดสั่งใต้ดินเข้ามาก็ดี สุดท้าย วัตถุดิบกูมี ผลิตเองได้ ไม่ง้อเหี้ย? ดอกนี้ สะเทือนทั้งวงการชิปโลก 06.กลียุคเผยธาตุแท้เหี้ยเสมอ พ่อพระในคราบเดรัจฉานออกลาย แถไม่เลิก จะชี้ให้เห็นว่า "ไอ้ที่คิดว่าดี ไอ้ที่คิดว่าใช่ ทุกอย่างคือภาพมายา" แสงทำงาน ความจริงปรากฎเสมอ ความยุติธรรมก่อเกิด สิ่งโสมมชั่วร้ายอยู่ไม่ได้ มันจะร้อนรน นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า อย่ามาแหยม "ลุงสนธิ" เพ่อ้อย ขอมา ลุงแกจัดให้ เห็นอะไรจากนิทาน ไอ(คอน)สัส ทนายตุย และอีกเยอะ ปลงซะ 07.เฮซบอเลาะห์คลั่ง ถล่มฐานทัพยิวแตกกระจุย NON STOP ดาหน้าฆ่าอย่างเมามันส์ พรมแดนเลบานอน อียิวก้าวไม่ถึง 5 เมตร ตายคาที่ กับดักระเบิดเพี๊ยบ รถถังมายังยับ! คนจะเหลือเหรอ? ลูกยาวลง 3 เมืองใหญ่ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ชาวเมืองหนีลงรูหมดแล้ว ไม่ต้องออกน่ะ เดี๋ยวกูจะฝังทั้งเป็น 08.ไอ้สัส! วาระแห่งชาติ "หมูเด้ง vs หมูเด้ง(ตัวปลอม)" มรึงจะดังไปไหน? ศึกล้างตา หมูเด้งออกอาละวาดอีกครั้ง งับหัวแม่งเลย อีตัวปลอม ซีนกูน่ะ กูต้องเกิด คนแม่งก็สรรหาอีเว้นต์ให้หมูเด้งตลอด น้ำขึ้นให้รีบตัก หมูเด้งบอก วุ่นวายกับกูจริง "อีมนุษย์" เดี๋ยวกูจะเด้งดึ๋งทั้งวัน หมดแรงก็หลับ มีปัญหา? 09.ไอ้สัส! ดราม่าบัลลงดอร์ พอกูไม่ได้ ก็ไม่ร่วมงาน แต๋วแตก! อีราชัน คิดว่าเป็นพระเจ้า ที่ผ่านมา อี FIFA ช่วยมรึงเท่าไหร่แล้ว ไอ้สัส! จะผูกขาด สันดานอียิวท่าเดียว มรึงแข่งทีมเดียวล่ะกัน เป็นไงล่ะ ล่าสุด ถูกบาร์ซ่าถล่มยับคารัง 4:0 พูลสวัสดิ์ ขี้แตกคาเบอร์นาบิว หมดยุคมาเฟียแล้วมรึง อย่างอแง ดีออก? จ้าวยุโรปที่ใช้เงินซื้อเหรอ แหกกฎไปเท่าไหร่แล้ว ใครอุ้ม? 10.ไอ้สัส! ฮาโลวีนระบาด! แต่งผีก็แต่งไป แต่ขอร้อง อย่าแต่งชุดนางรำไทย มันสยอง ไอ้สัส! ใครใช้ให้มรึงขึ้นลิฟท์ งานนี้มีหัวใจวายตายห่าแน่ ผี น่ากลัวยังไง ก็ไม่เท่า อียิวเหี้ย ผีได้แค่หลอก แต่อียิว มันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ดาบนั้นคืนสนอง นาทีนี้ อียิวหนีตายทั่วโลก ใครว่าล่ะ ไอ้ที่หนีไปต่างแดน มรึงคิดว่าอยู่สุขสบายเหรอ? ออกนอกบ้าน เจอโจทก์เก่า อาหรับมีอยู่ทุกที่ ระวังเจอแทงยับ เหมือนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปลอมตัวสิจ๊ะ แต่งเป็นชุดน้องหมาก็ได้ หมายเหตุ : เกิดอะไรขึ้น 1.3 แสนคน ย้ายออกจากนิวซีแลนด์ ประเทศ TOP20 โลกที่น่าอยู่ เหตุผลคือ "สู้ค่าครองชีพไม่ไหว" เงินเฟ้อพุ่งเกือบ 8% แล้วส่วนใหญ่ที่ย้ายออกคือวัยทำงาน กำลังผลิตสำคัญ ชี้ชัด เดินตามเหี้ยฉิบหายหมดเกลี้ยง นโยบายกีวี ไม่มีอะไรมาก เดินตามใบสั่ง จะตาย จะเจ๊ง ขึ้นอยู่กับใบสั่งอียิวทั้งนั้น แล้วชาวกีวีหนีไปไหนหมดล่ะ บอกเลย "เอเซีย" เพราะยุโรปเจ๊งหมดแล้ว ชาติตะวันตก ผู้คนลำบาก เพราะต้องจ่ายพลังงานแพง แถมถูกตัดสวัสดิการหมดเกลี้ยง เนื่องจากรัฐถังแตก แต่เสือกมีเงินไปจ่ายให้อียูเครน แล้วมรึงจะอยากอยู่จ่ายภาษีค่าโง่ต่อมั้ยล่ะ? ล่าสุด ไทยเปิดตัวซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ 600 ล้าน เร็ว แรงสุด ในอาเซียน ใครล่ะ ที่ถ่ายทอดวิชากำลังภายในให้? มรึงดู! เหี้ยตะวันตกจะเครมว่าชิปใคร แต่ AI สมองกลอัจฉริยะมาจากจีนเต็มเหนี่ยว ไม่ต้องบอก ก็รู้ ใครแบ็คอัพ? มีอะไรอีกเยอะ ที่ไทยได้มาจากรัสเซีย จีน แต่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย หรือออกตัว ในตอนนี้ หมี CNN(ขรรมกลิ้ง อียุ่นปี่ งง.. ทำไม BYD ถึงทำได้ถูกบัดซบเยี่ยงนี้ อะไรคือสาเหตุลดต้นทุน ลงทุนซื้อรถมาถอดชิ้นส่วน คำตอบที่ได้คือ "งง" นวตกรรมมันไปไกลเกินกว่ามรึงจะเข้าใจ ชิ้นเดียวจบ ไม่ยุ่งยาก งานออกแบบประหยัดพลังงาน ต้นทุน เวลา ที่สำคัญแบตเตอรี่คือหัวใจสำคัญ ต้นทุนใหญ่สุด จีนสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก 1000 กม. กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ต่อไปมรึงอาจจะได้เห็น รถพลังงานสะอาด+พลังงานกล วิ่งได้ไม่จำกัดระยะทาง เอาให้สุดขั้วกันไปเลย ตาสว่าง มรึงล้าหลังจีนไปไกลสุดขั้ว เพราะชิปตัวเดียว เปลี่ยนโลกทันตาเห็น!) 29 ตุลาคม 67 09.58 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรรชัย ต่อสายเคลียร์ สนธิ
    .
    จากกรณที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวตอนหนึ่งในรายการ sondhitalk ระบุว่า หนุ่ม กรรชัย ต้องระวัง ไม่ใช่ใครให้เงินซี้ซั้ว ให้เขาออกรายการฟอกตัว อย่าพลาดนะ เพราะช่วงหลังเริ่มหลงตัวเอง คุณกับผมรู้จักกันดี คุณมีคุณูปการกับสังคม เช่น กรณีของดิไอคอน ตนชื่นชม แต่การเอานายษิทรา (นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม) มาฟอกแบบนี้ มันด้อยค่า ทำให้ตนมองคุณหนุ่มด้อยลงไปเยอะมาก
    .
    ทั้งนี้ นายษิทรา หรือทนายต้ม และนายสนธิ มีข้อพิพาทกัน หลังจากที่ทนายตั้มออกรายการโหนกระแสเคลียร์ดราม่าเรื่องเป็นทนายสีเทา โดยช่วงหนึ่งบอกว่า ตนได้มีการรับเงิน 71 ล้าน จากลูกความมหาเศรษฐี จนเกิดการท้าทายใครหน้าแหกกินเยี่ยว 71 แก้วนั้น
    .
    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนุ่ม กรรชัย ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวในรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ระบุว่า คุณสนธิและทนายตั้มไฟต์กันอยู่ ก็มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นมาโดนผมด้วย เพราะทนายตั้มมาออกโหนกระแส และบางช่วงบางตอนที่คุณสนธิไลฟ์ บอกว่าทนายตั้มมาออกโหนกระแสเพื่อฟอกขาว
    .
    “ผมไม่สบายใจ ยืนยันว่าไม่รู้มาก่อนเลย ผมไม่รู้มาก่อนว่าทนายตั้มจะตอบเรื่องราวแบบนี้ แต่หลังจากที่คุณสนธิเปิดเรื่องมาแล้วว่าทนายตั้มได้รับเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มสวนมาคำหนึ่งที่คุณสนธิรู้สึกไม่โอเคมาก คือ ‘ไอ้ลิ้มมาเจอกูที่โหนกระแส’ ซึ่งทำให้คุณสนธิไม่โอเคมาก เหมือนเป็นการท้าทาย”
    .
    หนุ่ม กรรชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเรียน “ทนายตั้ม” ขอตำหนิหน่อย ว่าเรื่องนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างสองคน หากจะไปดึงโหนกระแสไปเกี่ยวด้วย ทำให้มีประเด็นเกิดขึ้น เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่
    .
    “ผมได้ต่อสาย บอกว่าไม่ได้ฟอกขาว คุณสนธิบอกว่าไม่มีอะไรเลยหนุ่ม ที่อาพูดไปไม่ได้บอกว่าหนุ่มไปฟอกขาวให้เขา แต่ขอให้หนุ่มระวังว่าจะมีคนมาฟอกขาวในรายการ”
    .
    #MGRInfographics #หนุ่มกรรชัย #สนธิลิ้มทองกุล #ทนายตั้ม
    กรรชัย ต่อสายเคลียร์ สนธิ . จากกรณที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวตอนหนึ่งในรายการ sondhitalk ระบุว่า หนุ่ม กรรชัย ต้องระวัง ไม่ใช่ใครให้เงินซี้ซั้ว ให้เขาออกรายการฟอกตัว อย่าพลาดนะ เพราะช่วงหลังเริ่มหลงตัวเอง คุณกับผมรู้จักกันดี คุณมีคุณูปการกับสังคม เช่น กรณีของดิไอคอน ตนชื่นชม แต่การเอานายษิทรา (นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม) มาฟอกแบบนี้ มันด้อยค่า ทำให้ตนมองคุณหนุ่มด้อยลงไปเยอะมาก . ทั้งนี้ นายษิทรา หรือทนายต้ม และนายสนธิ มีข้อพิพาทกัน หลังจากที่ทนายตั้มออกรายการโหนกระแสเคลียร์ดราม่าเรื่องเป็นทนายสีเทา โดยช่วงหนึ่งบอกว่า ตนได้มีการรับเงิน 71 ล้าน จากลูกความมหาเศรษฐี จนเกิดการท้าทายใครหน้าแหกกินเยี่ยว 71 แก้วนั้น . เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนุ่ม กรรชัย ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวในรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ระบุว่า คุณสนธิและทนายตั้มไฟต์กันอยู่ ก็มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นมาโดนผมด้วย เพราะทนายตั้มมาออกโหนกระแส และบางช่วงบางตอนที่คุณสนธิไลฟ์ บอกว่าทนายตั้มมาออกโหนกระแสเพื่อฟอกขาว . “ผมไม่สบายใจ ยืนยันว่าไม่รู้มาก่อนเลย ผมไม่รู้มาก่อนว่าทนายตั้มจะตอบเรื่องราวแบบนี้ แต่หลังจากที่คุณสนธิเปิดเรื่องมาแล้วว่าทนายตั้มได้รับเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มสวนมาคำหนึ่งที่คุณสนธิรู้สึกไม่โอเคมาก คือ ‘ไอ้ลิ้มมาเจอกูที่โหนกระแส’ ซึ่งทำให้คุณสนธิไม่โอเคมาก เหมือนเป็นการท้าทาย” . หนุ่ม กรรชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเรียน “ทนายตั้ม” ขอตำหนิหน่อย ว่าเรื่องนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างสองคน หากจะไปดึงโหนกระแสไปเกี่ยวด้วย ทำให้มีประเด็นเกิดขึ้น เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ . “ผมได้ต่อสาย บอกว่าไม่ได้ฟอกขาว คุณสนธิบอกว่าไม่มีอะไรเลยหนุ่ม ที่อาพูดไปไม่ได้บอกว่าหนุ่มไปฟอกขาวให้เขา แต่ขอให้หนุ่มระวังว่าจะมีคนมาฟอกขาวในรายการ” . #MGRInfographics #หนุ่มกรรชัย #สนธิลิ้มทองกุล #ทนายตั้ม
    Like
    Yay
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1597 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หนึ่งในร้อย

    ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก

    ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น

    แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง

    .

    ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก

    .

    หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่

    .

    แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน

    .

    จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่

    ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย"

    .

    หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย

    .

    ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น

    .

    ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง

    .

    คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ

    .

    ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา

    .

    ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง

    นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ

    .

    ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้

    จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด

    น่าเสียดาย...

    ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต

    #thaitimes
    #ดอกไม้สด
    #ละคร
    #mycherieamour
    #วิเคราะห์ตัวละคร
    #วิจารณ์ละคร
    #หนึ่งในร้อย ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง . ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก . หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่ . แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน . จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่ ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย" . หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย . ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น . ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง . คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ . ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา . ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ . ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด น่าเสียดาย... ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต #thaitimes #ดอกไม้สด #ละคร #mycherieamour #วิเคราะห์ตัวละคร #วิจารณ์ละคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 585 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anit Osathanugrah

    “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือเหยื่อของ บอสพอล ตอน2‼️

    วันนี้ ถึงแม้ตัวบอสพอล จะถูกนำไปอยู่ในที่คุมขังแล้ว แต่ผลงานของเขาที่วางทิ้งเอาไว้ ก็เริ่มทยอยออกมาระเบิดใส่ ผู้คนและเทวดาต่างๆไม่หยุดหย่อน หลายคนชอบวิเคราะห์ว่า เกมนี้ไม่มีอะไรหรอก บอสพอลแค่คนโลภ และพอจ่ายใต้โต๊ะใคร ก็แค่อัดเสียงไว้ เผื้อไว้แบลคเมล์ในวันหลัง อันนี้อาจจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป

    จากข้อมูลที่ทยอยออกมาเรื่อยๆรายวัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแฉโชว์ วันละคน ทั้งๆที่ตัวเขา เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ถ้าไม่ตระเตรียมเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า ทุกครั้งที่เขาเจรจากับใคร เขาจะอัดเสียง และเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ ผ่านอุปกรณ์ it ล้ำๆต่างๆ ซุกไว้ในทีืคาดผม กางเกงชั้นใน เผลอๆพวกกล้องกระดุม กล้องรูเข็ม หรืออะไรที่คนธรรมดานึกไม่ถึง รับรองเขามีหมด คนทำธุรกิจปกติ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้หรือ

    วันนี้ ทุกที่ที่เขาจ่ายเงินไป จะมีข่าวเส้นทางการเงินเหล่านี้หลุดออกมา ทำบุญให้พระ แต่ไม่ได้เข้า บัญชีวัด เรื่องนึ้ทาง จนท จะทำอย่างไร คลิปเสียงนักร้อง รีดไถ และให้จ่ายผ่านมูลนิธิ ถ้าเรื่องเป็นตามนั้นจริง DSI ก็ต้องตามไปสอบมูลนิธินัินต่อ และรับประกันว่า ถ้่าเปิดทุกเส้นทางการเงินของมูลนิธินั้น คงไม่ใช่ของ บอสพอล คนเดียว ครั้งเดียวแน่ ที่ใช้มูลนิธิเป็นที่ฟอกเงิน จะเจอ อีกมากมายมหาศาล ทั้งบริษัทหรือนักการเมือง ที่แอบฟอกเงินผ่านการทำบุญ และจะเกิดโดมิโน แอฟเฟค ขึ้นในสังคมให้ตรวจสอบทุกมูลนิธิหรือไม่
    ซึ่งถ้าตรวจกันขึ้นมาจริงๆ คุกไทยอาจไม่พอขังคน
    และนี่คือระเบิดลูกแรกที่เขาวางเอาไว้

    สิ่งที่เราต้องคิดให้แตก อีกเรื่องคือ เขาวางแผนตั้งใจแฉเรื่องนี้ ชำแหละเบื้องหลัง สังคมไทยแบบนี้ หรือแค่บังเอิญแอบอัดไว้ แล้ววันนี้โดนจับ ก็เลย คิดง่ายๆแบบเด็กประถมลอกข้อสอบ แล้วพอครูจับได้ ก็เลยตีโพยตีพาย ฟ้องว่าเพื่อนๆก็ลอกเหมือนกัน บางคนก็บอกว่าไหนๆจะตายแล้ว ก็เลยลากคนมาตายหมู่ด้วยกัน เอาสะใจเฉยๆ
    คุณคิดว่าคนที่หาเงินได้หลายหมื่นล้าน ในเวลาไม่กี่ปี ผ่านผู้คนหลายแสนคน และระบบอันซับซ้อน เขาคิดได้แค่นี้เหรอ
    คนทำผิด ปกติ พอถูกจับ จะพยายามทำให้เรื่องเงียบไวๆที่สุด เพราะรู้ดีว่าสังคมไทยลืมง่าย อย่าง Forex 3 D ถามจริงๆ ว่ามีใครสนใจอีกไหม แค่เห็นดาราติดคุก ก็สะใจและแยกย้ายกันไปหาเรื่องอืืนมาดราม่าต่อแล้ว…ก็คนไืทย

    สิ่งที่บอสพอลควรทำ คือ ไม่พูดอะไร แค่บอกตัวเองบริสุทธ์ขอพิสูจน์ในชัินศาล ทำหน้าเศร้าเดินเข้าซังเตไป ไม่กี่เดือนคนไทยก็ลืมแล้ว และหลังจากนัิน ก็ใช้อำนาจเงินที่มีนับหมื่นล้าน เล็งเทวดา ฤทธ์ ระดับ องค์อินทร์ เจ้าสววรค์สักสององค์ ให้เคลียร์ให้ หัวหมูสักพันล้าน รับรองสำนวนคดีเบาหวิว เป็นปุยนุ่น ไม่นานก็ออกมาเดินเฉิดฉาย แต่นี่เล่นแฉ เล่นเชือดโชว์ทีละคน รายวัน วันนี้และวันหน้า ใครจะกล้ารับหน้าเสื่อเคลียร์ให้เขา โดนกล้องแอบอัดไว้คุกแน่นอน สิ่งที่เขาทำทั้งหมด วันนีิ คือทำให้ตัวเขาเดือดร้อน ซวยหนัก มากขึ้นในวันหน้า
    แต่เขาก็ทำ

    หลายคนบอก ไม่สะใจ เทวดาที่แฉมา ไฉนตัวเล็กราวกับลูกกรอก ยังหรอก นี่แค่น้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อย ยังมีอีกมากมายมหาศาล ที่เขาจะทยอยปล่อยออกมา พูดตามตรง สำหรับบอสพอลนัิน ข้าราชการระดับ รองเลขา หรือรอง ผอ นั้น ไม่ได้ถือเป็นเทวดาสำหรับเขาเลย คอนเนคชั่นของคนมีเงินหมื่นล้านอย่างเขา คุยกับ สส หรือรัฐมนตรีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาแค่หนึ่งในบอส ของไอคอน เช่นพี่แซม นี่ก็ สส เก่า ระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีมหาดไทย ถ้าเขาจะไหว้วานให้ยกหู หาเพื่อนสส หรือ รมต คนไหน พรรคไหน รับรองทำได้ทุกนาที
    แต่เขาเลือกจะเอาเงินไปเคลียร์ เทวดาลูกกรอก และอัดเสียงไว้แทน

    อำนาจเงินขนาดเขา ถ้าเอาไปสนับสนุนพรรคการเมืองระดับกลางๆ สัก 500-1000 ล้าน แทนที่จะไปซื้อรถสปอร์ตหลากสีเหมือนลูกกวาด นาฬิกาบ้าบอหลายร้อยล้าน รับรองป่านนี้มี นอมินี เป็น รมต ไปแล้วไม่รู้กี่คน แต่เขาไม่ทำ เลือกเดินทางอัดเสียง เก็บหลักฐาน เพื่อแฉ ทุกคนแทน ทำไปทำไม

    อีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าคิดที่สุด ในการที่จะบอกว่า เขาตั้งใจแฉ เอาคืนสังคมในวันนีิ แทนที่จะหนีไปใช้ชีวิตเสพสุข ทั้งๆที่จะทำก็ทำได้ ก็คือ วันที่เรื่องราวของไอคอน ระเบิดออกมาตามสื่อต่างๆ ผู้เสียหายโผล่มาเป็นดอกเห็ด ทีมทนาย อเวนเจอร์ ยกพล ออกทีวี แผลงฤทธ์ กันวุ่นวาย จนท ตำรวจถึงกับคำรามออกทีวี ว่า หมายจับจะออกภายใน 48 ชม คนทั่วประเทศออกมาโวยวายว่า พูดเหมือนจะส่งสัญญาณ บอกเขาว่าจะหนีให้รีบหนี

    วันนั้น บอสพอล มีทางเลือกสองทาง

    1 ซื้อตั๋วเครื่องบิน เฟิสคลาส ไปประเทศใดก็ได้ และเสพสุขผ่านเงินหลักหมื่นล้าน ที่เก็บไว้ในดิจิตอล วอลเลท ใช้ชีวิตสุขสบายที่ไหนก็ได้ในโลก จนคดีหมดอายุความ และค่อยกลับ ประเทศไทย เหมือนนักการเมือง พ่อมดการเงินทั้งหลาย รุ่นพี่ที่ทำกัน หรือออกช่องทางธรรมชาติใดก็ได้ วันนั้นเขายังไม่มีหมายจับ

    2 ไปรายการโหนกระแส ให้พี่หนุ่มขยี้ิออกทีวี รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ได้ช่วยให้คดีอะไรเบาลงได้เลย และก็รอหมายจับออกมาเพื่อจะได้โดนรวบตัวเหมือนวันนี้ เข้าซังเต

    ทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เลือกหนีไปเสพสุข รึไม่จริง
    แต่บอสพอล เลือกทางที่สอง ไปออกรายการร้องห่มร้องไห้ ในโหนกระแส แต่จุดประสงค์จริงๆไม่ใช่ไปฟอกตัว แต่คือไปแฉดึงเทวดาลงนรกแทน และ จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมา และก็สมใจเขาโดยพลัน

    วันนี้สังคมไทย ถูกเปิดแผลขึ้นมาเละเทะ ทุกวงการ ล่าแม่มดกันอย่างเมามัน จากฝีมือและหลักฐานของเขา ไม่พ้นกระทั่งวงการสงฆ์ รายการทีวี พิธีกรทีวี รุ่นเก๋า และอีกมากมายมหาศาล ที่กำลังรอถูกเปิดแผล ผ่านคลิปเสียงนับร้อยพัน ในมือของเขา ทุกคนที่เคยพูดคุยกับเขา ถึงกับต้องกลับมานั่งตรึกตรองคิด ว่าเคยพูดอะไรผิดไปไหม ถ้ามี น่าจะใกล้ถึงคิวโดนแฉ เป็นรายต่อไปแน่ๆ

    มหากาพย์เรื่องนี้ ยังอีกยาวไกล ถึงตัวบอสพอล จะอยู่ในที่คุมขัง แต่หมากที่เขาวางทิ้งเอาไว้ ผ่านผู้คน ผ่านหนอน ที่มีมากมายของเขา กำลังจะแผลงฤทธ์ ออกมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะไปสุดที่ใด จะเปลี่ยนสังคมไทย ในระดับโครงสร้างได้เลยรึไม่ โปรดติดตามชม

    บอสพอล เจ้าช่างอำมหิตจริงๆ

    To be continued.”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MhAK17zppYH4p8oe/?mibextid=WC7FNe

    #Thaitimes
    รีโพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anit Osathanugrah “ ‼️หรือว่าแท้จริงแล้วทุกคนคือเหยื่อของ บอสพอล ตอน2‼️ วันนี้ ถึงแม้ตัวบอสพอล จะถูกนำไปอยู่ในที่คุมขังแล้ว แต่ผลงานของเขาที่วางทิ้งเอาไว้ ก็เริ่มทยอยออกมาระเบิดใส่ ผู้คนและเทวดาต่างๆไม่หยุดหย่อน หลายคนชอบวิเคราะห์ว่า เกมนี้ไม่มีอะไรหรอก บอสพอลแค่คนโลภ และพอจ่ายใต้โต๊ะใคร ก็แค่อัดเสียงไว้ เผื้อไว้แบลคเมล์ในวันหลัง อันนี้อาจจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป จากข้อมูลที่ทยอยออกมาเรื่อยๆรายวัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแฉโชว์ วันละคน ทั้งๆที่ตัวเขา เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เขาทำได้อย่างไร ถ้าไม่ตระเตรียมเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า ทุกครั้งที่เขาเจรจากับใคร เขาจะอัดเสียง และเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ ผ่านอุปกรณ์ it ล้ำๆต่างๆ ซุกไว้ในทีืคาดผม กางเกงชั้นใน เผลอๆพวกกล้องกระดุม กล้องรูเข็ม หรืออะไรที่คนธรรมดานึกไม่ถึง รับรองเขามีหมด คนทำธุรกิจปกติ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้หรือ วันนี้ ทุกที่ที่เขาจ่ายเงินไป จะมีข่าวเส้นทางการเงินเหล่านี้หลุดออกมา ทำบุญให้พระ แต่ไม่ได้เข้า บัญชีวัด เรื่องนึ้ทาง จนท จะทำอย่างไร คลิปเสียงนักร้อง รีดไถ และให้จ่ายผ่านมูลนิธิ ถ้าเรื่องเป็นตามนั้นจริง DSI ก็ต้องตามไปสอบมูลนิธินัินต่อ และรับประกันว่า ถ้่าเปิดทุกเส้นทางการเงินของมูลนิธินั้น คงไม่ใช่ของ บอสพอล คนเดียว ครั้งเดียวแน่ ที่ใช้มูลนิธิเป็นที่ฟอกเงิน จะเจอ อีกมากมายมหาศาล ทั้งบริษัทหรือนักการเมือง ที่แอบฟอกเงินผ่านการทำบุญ และจะเกิดโดมิโน แอฟเฟค ขึ้นในสังคมให้ตรวจสอบทุกมูลนิธิหรือไม่ ซึ่งถ้าตรวจกันขึ้นมาจริงๆ คุกไทยอาจไม่พอขังคน และนี่คือระเบิดลูกแรกที่เขาวางเอาไว้ สิ่งที่เราต้องคิดให้แตก อีกเรื่องคือ เขาวางแผนตั้งใจแฉเรื่องนี้ ชำแหละเบื้องหลัง สังคมไทยแบบนี้ หรือแค่บังเอิญแอบอัดไว้ แล้ววันนี้โดนจับ ก็เลย คิดง่ายๆแบบเด็กประถมลอกข้อสอบ แล้วพอครูจับได้ ก็เลยตีโพยตีพาย ฟ้องว่าเพื่อนๆก็ลอกเหมือนกัน บางคนก็บอกว่าไหนๆจะตายแล้ว ก็เลยลากคนมาตายหมู่ด้วยกัน เอาสะใจเฉยๆ คุณคิดว่าคนที่หาเงินได้หลายหมื่นล้าน ในเวลาไม่กี่ปี ผ่านผู้คนหลายแสนคน และระบบอันซับซ้อน เขาคิดได้แค่นี้เหรอ คนทำผิด ปกติ พอถูกจับ จะพยายามทำให้เรื่องเงียบไวๆที่สุด เพราะรู้ดีว่าสังคมไทยลืมง่าย อย่าง Forex 3 D ถามจริงๆ ว่ามีใครสนใจอีกไหม แค่เห็นดาราติดคุก ก็สะใจและแยกย้ายกันไปหาเรื่องอืืนมาดราม่าต่อแล้ว…ก็คนไืทย สิ่งที่บอสพอลควรทำ คือ ไม่พูดอะไร แค่บอกตัวเองบริสุทธ์ขอพิสูจน์ในชัินศาล ทำหน้าเศร้าเดินเข้าซังเตไป ไม่กี่เดือนคนไทยก็ลืมแล้ว และหลังจากนัิน ก็ใช้อำนาจเงินที่มีนับหมื่นล้าน เล็งเทวดา ฤทธ์ ระดับ องค์อินทร์ เจ้าสววรค์สักสององค์ ให้เคลียร์ให้ หัวหมูสักพันล้าน รับรองสำนวนคดีเบาหวิว เป็นปุยนุ่น ไม่นานก็ออกมาเดินเฉิดฉาย แต่นี่เล่นแฉ เล่นเชือดโชว์ทีละคน รายวัน วันนี้และวันหน้า ใครจะกล้ารับหน้าเสื่อเคลียร์ให้เขา โดนกล้องแอบอัดไว้คุกแน่นอน สิ่งที่เขาทำทั้งหมด วันนีิ คือทำให้ตัวเขาเดือดร้อน ซวยหนัก มากขึ้นในวันหน้า แต่เขาก็ทำ หลายคนบอก ไม่สะใจ เทวดาที่แฉมา ไฉนตัวเล็กราวกับลูกกรอก ยังหรอก นี่แค่น้ำจิ้ม เรียกน้ำย่อย ยังมีอีกมากมายมหาศาล ที่เขาจะทยอยปล่อยออกมา พูดตามตรง สำหรับบอสพอลนัิน ข้าราชการระดับ รองเลขา หรือรอง ผอ นั้น ไม่ได้ถือเป็นเทวดาสำหรับเขาเลย คอนเนคชั่นของคนมีเงินหมื่นล้านอย่างเขา คุยกับ สส หรือรัฐมนตรีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาแค่หนึ่งในบอส ของไอคอน เช่นพี่แซม นี่ก็ สส เก่า ระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีมหาดไทย ถ้าเขาจะไหว้วานให้ยกหู หาเพื่อนสส หรือ รมต คนไหน พรรคไหน รับรองทำได้ทุกนาที แต่เขาเลือกจะเอาเงินไปเคลียร์ เทวดาลูกกรอก และอัดเสียงไว้แทน อำนาจเงินขนาดเขา ถ้าเอาไปสนับสนุนพรรคการเมืองระดับกลางๆ สัก 500-1000 ล้าน แทนที่จะไปซื้อรถสปอร์ตหลากสีเหมือนลูกกวาด นาฬิกาบ้าบอหลายร้อยล้าน รับรองป่านนี้มี นอมินี เป็น รมต ไปแล้วไม่รู้กี่คน แต่เขาไม่ทำ เลือกเดินทางอัดเสียง เก็บหลักฐาน เพื่อแฉ ทุกคนแทน ทำไปทำไม อีกหนึ่งเรื่อง ที่น่าคิดที่สุด ในการที่จะบอกว่า เขาตั้งใจแฉ เอาคืนสังคมในวันนีิ แทนที่จะหนีไปใช้ชีวิตเสพสุข ทั้งๆที่จะทำก็ทำได้ ก็คือ วันที่เรื่องราวของไอคอน ระเบิดออกมาตามสื่อต่างๆ ผู้เสียหายโผล่มาเป็นดอกเห็ด ทีมทนาย อเวนเจอร์ ยกพล ออกทีวี แผลงฤทธ์ กันวุ่นวาย จนท ตำรวจถึงกับคำรามออกทีวี ว่า หมายจับจะออกภายใน 48 ชม คนทั่วประเทศออกมาโวยวายว่า พูดเหมือนจะส่งสัญญาณ บอกเขาว่าจะหนีให้รีบหนี วันนั้น บอสพอล มีทางเลือกสองทาง 1 ซื้อตั๋วเครื่องบิน เฟิสคลาส ไปประเทศใดก็ได้ และเสพสุขผ่านเงินหลักหมื่นล้าน ที่เก็บไว้ในดิจิตอล วอลเลท ใช้ชีวิตสุขสบายที่ไหนก็ได้ในโลก จนคดีหมดอายุความ และค่อยกลับ ประเทศไทย เหมือนนักการเมือง พ่อมดการเงินทั้งหลาย รุ่นพี่ที่ทำกัน หรือออกช่องทางธรรมชาติใดก็ได้ วันนั้นเขายังไม่มีหมายจับ 2 ไปรายการโหนกระแส ให้พี่หนุ่มขยี้ิออกทีวี รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ได้ช่วยให้คดีอะไรเบาลงได้เลย และก็รอหมายจับออกมาเพื่อจะได้โดนรวบตัวเหมือนวันนี้ เข้าซังเต ทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เลือกหนีไปเสพสุข รึไม่จริง แต่บอสพอล เลือกทางที่สอง ไปออกรายการร้องห่มร้องไห้ ในโหนกระแส แต่จุดประสงค์จริงๆไม่ใช่ไปฟอกตัว แต่คือไปแฉดึงเทวดาลงนรกแทน และ จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมา และก็สมใจเขาโดยพลัน วันนี้สังคมไทย ถูกเปิดแผลขึ้นมาเละเทะ ทุกวงการ ล่าแม่มดกันอย่างเมามัน จากฝีมือและหลักฐานของเขา ไม่พ้นกระทั่งวงการสงฆ์ รายการทีวี พิธีกรทีวี รุ่นเก๋า และอีกมากมายมหาศาล ที่กำลังรอถูกเปิดแผล ผ่านคลิปเสียงนับร้อยพัน ในมือของเขา ทุกคนที่เคยพูดคุยกับเขา ถึงกับต้องกลับมานั่งตรึกตรองคิด ว่าเคยพูดอะไรผิดไปไหม ถ้ามี น่าจะใกล้ถึงคิวโดนแฉ เป็นรายต่อไปแน่ๆ มหากาพย์เรื่องนี้ ยังอีกยาวไกล ถึงตัวบอสพอล จะอยู่ในที่คุมขัง แต่หมากที่เขาวางทิ้งเอาไว้ ผ่านผู้คน ผ่านหนอน ที่มีมากมายของเขา กำลังจะแผลงฤทธ์ ออกมาเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะไปสุดที่ใด จะเปลี่ยนสังคมไทย ในระดับโครงสร้างได้เลยรึไม่ โปรดติดตามชม บอสพอล เจ้าช่างอำมหิตจริงๆ To be continued.” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/MhAK17zppYH4p8oe/?mibextid=WC7FNe #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟ้องด้วยภาพ…
    มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ

    รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา

    และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด

    ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท

    ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท

    ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท

    ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์
    https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms

    #Thaitimes
    ฟ้องด้วยภาพ… มีภาพระหว่างการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นภาพของ บอสพอล หรือ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งดิไอคอนกรุ๊ป โดยมี บอสกันต์ กันตถาวร นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยบอสกันต์นั้นกำลังถูกสอบปากคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้มใดๆ ตรงกันข้ามกับ บอสพอล ที่นั่งยิ้มแย้มและหัวเราะอยู่ข้างๆ ในระหว่างการสอบปากคำ รายงานข่าวมติชนแจ้งว่า ภายในห้องสอบสวนบอสพอล และบอสดาราทั้ง 3 คน ประกอบไปด้วย กันต์, มิน, แซม ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่า ดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งดาราทั้ง 3 คน ได้เรียกร้องให้บริษัทออกมาแถลงข่าวหรือแสดงความรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาบริษัทกลับเงียบเฉย จนถูกหมายจับในเวลาต่อมา และเมื่อทั้ง 4 คนมาเจอกันครั้งแรก ขณะที่ตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมด ถึงประเด็นการจ้างดาราทั้ง 3 คนมาเป็นพรีเซนเตอร์ในบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่าทำงานในลักษณะแบบใด ซึ่งบอสดาราทั้ง 3 คน ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ซึ่งจากการสังเกตกลับไม่พบว่าบอสดาราทั้ง 3 คน ได้พูดคุยกับบอสพอลเลย มีเพียงแต่บอสคนอื่นๆ ที่คุยกับบอสพอลเท่านั้น ซึ่งบรรยายในขณะนั้น ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งนี้การยึดทรัพย์ของบอสดาราทั้ง3 ปรากฏว่าบอสกันต์ กันตถาวรโดนยึดทรัพย์สินมากที่สุดกว่า 17ล้านบาท ได้แก่ รถหรูยี่ห้อ Mercedes Benz รุ่น Sprinter 416 CDI Van รุ่น ปี 2020 สีดำ 1 คัน รถหรูยี่ห้อ Porche รุ่น Cayenne S E-Hybrid ปี 2014 สีแดง จำนวน 1 คัน รถสปอร์ตยี่ห้อ FORD Muastang 1 คัน รถอเนกประสงค์ ยี่ห้อ KIA รุ่น CARNIVAL ปี 2022 จำนวน 1 คัน iPad mini 2 จำนวน 1 เครื่อง และผลิตภัณฑ์ของ The Icon หลายรายการ รวมมูลค่า 17,077,000 บาท ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ บอสแซม ถูกยึดเพียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1 รายการ มูลค่า 20,000 บาท ส่วน ดาราสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมิน ถูกยึดทรัพย์เพียงแค่ กระเป๋าเดินทางหลุยส์ วิตตองเพียง 1 ใบ มูลค่า 125,000 บาท ที่มาข่าวและภาพ : มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/local/crime/news_4853942#m2ett7ahftwpgowrjms #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • สยบดราม่ามหาดไทย ผู้ว่าฯต้องมารับ รมต. แค่เฉพาะเรื่องงาน
    .
    กลายเป็นประเด็นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรสำหรับถ้อยแถลงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระหว่างมอบนโยบายของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมีตอนหนึ่งที่ระบุว่า "การขับเคลื่อนงานทั้งหมดนี้ จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นกลไกที่สำคัญ ท่านคือพ่อเมือง เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวของทุกคน ความเป็นพ่อเมือง กราบเรียนว่า หาวันหยุดไม่ได้ เราเลือกมาทางนี้แล้ว หาวันหยุดไม่ได้ วันนี้หยุด รัฐมนตรีมาไม่มารับ ไม่ได้ มท.1 ไป ท่านต้องมารับ อันนี้เปิดอกกันเลย มท.2-3-4 ก็เช่นกัน เราไม่ให้เกียรติกันเอง แล้วใครจะให้เกียรติเรา"
    .
    “ถ้าถามว่า ถ้าไป พวกผมก็คิดว่า 4 คน พวกผมก็มีวุฒิภาวะเพียงพอว่า ไหว้เจ้า กินเจ ไปสายมู แก้บน อย่างนี้ท่านไม่ต้องมา ผมก็คงไม่บอกให้ท่านมา แต่ถ้าไปในหน้าที่ราชการ ถ้า มท.ไปในพื้นที่ท่านแล้วผู้ว่าฯไม่มาเนี่ย ถามว่า มท.คนนั้น อึดอัดใจไหม อึดอัดแน่นอน เปิดอกกันเลย ต่อให้ท่านเอง ท่านรู้ว่า มท.มาในพื้นที่ท่าน แล้วท่านไม่มาเนี่ย ลั้นลาไหม ท่านสบายใจไหม ผมว่าท่านไม่ แก้ไขได้นิดเดียว ถ้าเขามาทำงาน ก็ไปทำงานกับเขา แค่นั้นเอง ไม่มีปัญหาเรื่องอื่นเลย จะได้ไม่ต้องถามว่า ไปยังไง ตั๋วเครื่องบินเต็มไหม ลาคนนี้แล้วไม่ลาคนนี้ สีข้างถลอกหมดแล้ว ไม่มีประโยชน์ อะไรที่กลัดผิดเม็ดแรก ก็ผิดไปหมด มันไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริง ความเป็นจริง” ท่าทีขึงขังจากเจ้ากระทรวงมหาดไทย
    .
    งานนี้ก่อให้เกิดกระแสพอสมควร โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองกดฝ่ายข้าราชการประจำหรือไม่ จนทำให้นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย ต้องชี้แจงว่า เจตนาของการแถลงดังกล่าว คือ การเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการต้องมาทำงานร่วมกัน และไม่ได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมาคอยต้อนรับตลอด แต่กำชับเฉพาะในส่วนที่เป็นการทำงานเท่านั้น เนื่องจากเวลารัฐมนตรีลงพื้นที่ย่อมต้องมาพร้อมกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการไปให้ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน
    .
    "งานของเราคือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ต้องเร็ว พูดแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่มานั่งบอกต่อๆกัน รัฐมนตรี บอกรองผู้ว่าฯ ให้ไปบอกผู้ว่าฯ แล้วเมื่อไรประชาชนจะได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนั้น การทำงานที่เป็นเอกภาพ มีรัฐมนตรี มีผู้ว่าฯ ทำให้ประชาชนเห็นแล้ว เกิดความเชื่อมั่น เราต้องเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชน ไม่ใช่ว่ากระโดดไปคนละทิศละทาง แล้วประชาชนจะเอาอะไรมาเชื่อมั่นเรา" โฆษกกระทรวงมหาดไทย อธิบาย
    ..............
    Sondhi X
    สยบดราม่ามหาดไทย ผู้ว่าฯต้องมารับ รมต. แค่เฉพาะเรื่องงาน . กลายเป็นประเด็นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรสำหรับถ้อยแถลงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระหว่างมอบนโยบายของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมีตอนหนึ่งที่ระบุว่า "การขับเคลื่อนงานทั้งหมดนี้ จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นกลไกที่สำคัญ ท่านคือพ่อเมือง เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวของทุกคน ความเป็นพ่อเมือง กราบเรียนว่า หาวันหยุดไม่ได้ เราเลือกมาทางนี้แล้ว หาวันหยุดไม่ได้ วันนี้หยุด รัฐมนตรีมาไม่มารับ ไม่ได้ มท.1 ไป ท่านต้องมารับ อันนี้เปิดอกกันเลย มท.2-3-4 ก็เช่นกัน เราไม่ให้เกียรติกันเอง แล้วใครจะให้เกียรติเรา" . “ถ้าถามว่า ถ้าไป พวกผมก็คิดว่า 4 คน พวกผมก็มีวุฒิภาวะเพียงพอว่า ไหว้เจ้า กินเจ ไปสายมู แก้บน อย่างนี้ท่านไม่ต้องมา ผมก็คงไม่บอกให้ท่านมา แต่ถ้าไปในหน้าที่ราชการ ถ้า มท.ไปในพื้นที่ท่านแล้วผู้ว่าฯไม่มาเนี่ย ถามว่า มท.คนนั้น อึดอัดใจไหม อึดอัดแน่นอน เปิดอกกันเลย ต่อให้ท่านเอง ท่านรู้ว่า มท.มาในพื้นที่ท่าน แล้วท่านไม่มาเนี่ย ลั้นลาไหม ท่านสบายใจไหม ผมว่าท่านไม่ แก้ไขได้นิดเดียว ถ้าเขามาทำงาน ก็ไปทำงานกับเขา แค่นั้นเอง ไม่มีปัญหาเรื่องอื่นเลย จะได้ไม่ต้องถามว่า ไปยังไง ตั๋วเครื่องบินเต็มไหม ลาคนนี้แล้วไม่ลาคนนี้ สีข้างถลอกหมดแล้ว ไม่มีประโยชน์ อะไรที่กลัดผิดเม็ดแรก ก็ผิดไปหมด มันไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริง ความเป็นจริง” ท่าทีขึงขังจากเจ้ากระทรวงมหาดไทย . งานนี้ก่อให้เกิดกระแสพอสมควร โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองกดฝ่ายข้าราชการประจำหรือไม่ จนทำให้นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย ต้องชี้แจงว่า เจตนาของการแถลงดังกล่าว คือ การเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการต้องมาทำงานร่วมกัน และไม่ได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมาคอยต้อนรับตลอด แต่กำชับเฉพาะในส่วนที่เป็นการทำงานเท่านั้น เนื่องจากเวลารัฐมนตรีลงพื้นที่ย่อมต้องมาพร้อมกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการไปให้ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน . "งานของเราคือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ต้องเร็ว พูดแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่มานั่งบอกต่อๆกัน รัฐมนตรี บอกรองผู้ว่าฯ ให้ไปบอกผู้ว่าฯ แล้วเมื่อไรประชาชนจะได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนั้น การทำงานที่เป็นเอกภาพ มีรัฐมนตรี มีผู้ว่าฯ ทำให้ประชาชนเห็นแล้ว เกิดความเชื่อมั่น เราต้องเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชน ไม่ใช่ว่ากระโดดไปคนละทิศละทาง แล้วประชาชนจะเอาอะไรมาเชื่อมั่นเรา" โฆษกกระทรวงมหาดไทย อธิบาย .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 853 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตาเกมรุกเชิงจิตวิทยาของบอสพอล เจ้าของ The Icon Group ที่ D-Day วันนี้
    -เปิดตัวครั้งแรกดราม่าบีบน้ำตากับสื่อ“โหนกระแส” ที่ทรงอิทธิพล ตอบแบบมีชั้นเชิงเรื่องThe Icon Group
    -ตั้งศูนย์IcanHelp รับเรื่องร้องทุกข์ลูกข่าย
    -ตกเย็นเลือกเปิดให้The Standard สื่อของGenรุ่นใหม่สัมภาษณ์พร้อมเหยื่อ
    จับตาเกมรุกเชิงจิตวิทยาของบอสพอล เจ้าของ The Icon Group ที่ D-Day วันนี้ -เปิดตัวครั้งแรกดราม่าบีบน้ำตากับสื่อ“โหนกระแส” ที่ทรงอิทธิพล ตอบแบบมีชั้นเชิงเรื่องThe Icon Group -ตั้งศูนย์IcanHelp รับเรื่องร้องทุกข์ลูกข่าย -ตกเย็นเลือกเปิดให้The Standard สื่อของGenรุ่นใหม่สัมภาษณ์พร้อมเหยื่อ
    "บอสพอล" ซีอีโอ "ดิ ไอคอน กรุ๊ป" ออก "โหนกระแส" เปิดใจผ่านรายการเป็นครั้งแรก ท่ามกลางผู้เสียหายที่มาขอความเป็นธรรมพร้อมหน้า บอกกลัวที่มาออกรายการนี้ แต่อยากมาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ร่ำไห้ขอโทษ ไม่เคยทราบว่ามีคนตาย

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000098584

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • สังคมกำลังแสวงหาความจริงดราม่าปางช้างป้าไส้เดือน จู่ๆ ดันมีเพจสันดา.นหมา หากินกับหมา โดดมาร่วมวง สุดท้ายจึงถูกช้างเหยียบตุยกลายเป็นประจานตัวเองซะนี่ ต่อไปจะยืนไถเงิ.นคนตามห้าง ระวังโดน "ไอ้ช้าง Yes"
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง2
    สังคมกำลังแสวงหาความจริงดราม่าปางช้างป้าไส้เดือน จู่ๆ ดันมีเพจสันดา.นหมา หากินกับหมา โดดมาร่วมวง สุดท้ายจึงถูกช้างเหยียบตุยกลายเป็นประจานตัวเองซะนี่ ต่อไปจะยืนไถเงิ.นคนตามห้าง ระวังโดน "ไอ้ช้าง Yes" #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง2
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 877 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กันต์ กันตถาวร” ประกาศลาออก ยุติบทบาทพิธีกรทุกรายการ รับผิดชอบดราม่า “The iCon Group” แสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมให้ข้อมูลทุกหน่วยงาน

    กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ขณะนี้ สำหรับกรณีดราม่า บริษัทขายตรง ดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group) ที่มีผู้เสียหายจำนวนมากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ล่าสุด “กันต์ กันตถาวร” พิธีกรชื่อดัง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึง Chief Marketing Officer (CMO) ของบริษัท ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้ว

    “กันต์” ได้โพสต์ข้อความแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่าตนไม่ได้นิ่งนอนใจกับกระแสข่าว และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงขอยุติบทบาทการเป็นพิธีกรในทุกรายการ จนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะคลี่คลาย พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ทั้งนี้ “กันต์” ยังยืนยันว่าพร้อมให้ข้อมูลกับทุกหน่วยงานเพื่อความถูกต้องในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการประกาศยุติบทบาทพิธีกรในครั้งนี้ นับเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นการปกป้องชื่อเสียงขององค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ด้วย

    #Thaitimes
    “กันต์ กันตถาวร” ประกาศลาออก ยุติบทบาทพิธีกรทุกรายการ รับผิดชอบดราม่า “The iCon Group” แสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมให้ข้อมูลทุกหน่วยงาน กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ขณะนี้ สำหรับกรณีดราม่า บริษัทขายตรง ดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group) ที่มีผู้เสียหายจำนวนมากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ล่าสุด “กันต์ กันตถาวร” พิธีกรชื่อดัง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึง Chief Marketing Officer (CMO) ของบริษัท ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้ว “กันต์” ได้โพสต์ข้อความแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่าตนไม่ได้นิ่งนอนใจกับกระแสข่าว และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงขอยุติบทบาทการเป็นพิธีกรในทุกรายการ จนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะคลี่คลาย พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ “กันต์” ยังยืนยันว่าพร้อมให้ข้อมูลกับทุกหน่วยงานเพื่อความถูกต้องในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการประกาศยุติบทบาทพิธีกรในครั้งนี้ นับเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นการปกป้องชื่อเสียงขององค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ด้วย #Thaitimes
    พร้อมให้ข้อมูลทุกหน่วยงาน!! “กันต์ กันตถาวร” ประกาศยุติบทบาทหน้าที่พิธีกรในทุกรายการจนกว่าจะมีความชัดเจนและความกระจ่าง หลังเจอดราม่า “The iCon Group”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000097052

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • พร้อมให้ข้อมูลทุกหน่วยงาน!! “กันต์ กันตถาวร” ประกาศยุติบทบาทหน้าที่พิธีกรในทุกรายการจนกว่าจะมีความชัดเจนและความกระจ่าง หลังเจอดราม่า “The iCon Group”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000097052

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    พร้อมให้ข้อมูลทุกหน่วยงาน!! “กันต์ กันตถาวร” ประกาศยุติบทบาทหน้าที่พิธีกรในทุกรายการจนกว่าจะมีความชัดเจนและความกระจ่าง หลังเจอดราม่า “The iCon Group” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000097052 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    15
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2911 มุมมอง 0 รีวิว
  • สคบ.เคลียร์ดราม่าปมมอบรางวัล ดิไอคอน (10/10/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #มอบรางวัล ดิไอคอน #สคบ. #ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ #ดาราเอี่ยวแชร์ลูกโซ่
    สคบ.เคลียร์ดราม่าปมมอบรางวัล ดิไอคอน (10/10/67) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #มอบรางวัล ดิไอคอน #สคบ. #ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ #ดาราเอี่ยวแชร์ลูกโซ่
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1710 มุมมอง 263 0 รีวิว
  • "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง เคลื่อนไหวแล้ว หลังเจอดรามาหนัก ย้ำมั่นใจดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด วอนขอเวลาตรวจสอบข้อมูล อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่น ยันไม่รู้มีผู้เสียหายเสียชีวิต เผยพร้อมช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย และขออย่าด่วนตัดสินกัน

    จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า "เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?" อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

    9 ตุลาคม 2567- เฟซบุ๊ก "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" หรือ บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCon Group) ได้ออกมาชี้แจงกรณีดรามา โดยระบุข้อความว่า

    “สวัสดีทุกท่านครับ ผมขอเรียนชี้แจง ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปมาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้ ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา และรู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่เกิดเหตุว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจกับบริษัทของผม

    ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคส ตามที่เกิดดราม่า ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลยและมีอีกหลายเคส ที่ ขายของ กับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอในโลกโซเชียลฯ เช่นเดียวกัน ผมยอมรับตรงๆว่าผม งง และ สับสนมากครับ พยามตั้งสติ พยามติดตาม ดูข้อมูล ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่นบ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ

    โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่าทำธุรกิจกับบริษัทของผม แล้วฆ่าตัวตาย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไม ? ถึงไม่มีใครในองค์กร รู้มาก่อนบ้างเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมาก และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท

    แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ ส่วนที่ถามว่าทำไม ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร ผมขอตอบตรงๆว่า เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว ผมคิดว่าไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา ในช่วงที่กระแสสังคม เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้ ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่จะชี้แจงให้ทราบ ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฏหมาย

    ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่า เราต่างเป็นสุจริตชน ที่อยู่ภายใต้“กฎหมาย” ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว ”มอบตัวกับตำรวจ“ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ และพร้อม นำข้อเท็จจริงและหลักฐานทั้งหมด เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม” ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมาให้ทุกท่านทราบ

    ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหาผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฏหมายอย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ ประนาม เหยียบย่ำผมได้เลยครับ เชื่อว่าไม่ช้าเกินไป แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับและผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผมผมส่องกระจกดูตัวเองแล้วผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้“อย่างเต็มตา” ในขณะเดียวกันผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กรต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือผมอยาก ข้อร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน โปรดให้โอกาสผมและองค์กรได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ ขอบคุณครับ”

    อย่างไรก็ตาม ยอดประเมินผู้เสียหายเฉพาะกลุ่มดีเลอร์กลุ่มเดียว30,000 ราย ยอดเสียหาย 7,500 ล้านบาท และในอดีตเมื่อปี2563 ผู้เสียหายส่วนหนึ่งออกมาเป็นเจ้าทุกข์และร้องเรียน สคบ.ตั้งแต่ปี2563แต่ สคบ.แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์เป็นผู้บริโภค และสคบ.เคยมอบรางวัลให้บริษัทนี้ในปี2565ทั้งๆที่เคยโดนถูกร้องเรียน

    #Thaitimes
    "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง เคลื่อนไหวแล้ว หลังเจอดรามาหนัก ย้ำมั่นใจดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด วอนขอเวลาตรวจสอบข้อมูล อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่น ยันไม่รู้มีผู้เสียหายเสียชีวิต เผยพร้อมช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย และขออย่าด่วนตัดสินกัน จากกรณีกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต หลังหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดง ผู้ประกาศข่าว และพิธีกรชื่อดังออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก หนุ่ม กรรชัย เพียงสั้นๆ ระบุว่า "เหล่าแม่ข่ายของบริษัทธุรกิจเครือข่ายดังเริ่มมีการข่มขู่ไปทั่ว กลัวโดนเปิดแผล มีการระดมคนติดแฮชแท็ก เซฟบอส เซฟบริษัทตัวเอง ไม่เซฟผู้เสียหายบ้างเหรอ?" อันเนื่องมาจากมีคนระดมติดแฮชแท็ก #Saveบอส จนติดเทรนด์ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น 9 ตุลาคม 2567- เฟซบุ๊ก "วรัทย์พล วรัตน์วรกุล" หรือ บอสพอล นักธุรกิจขายตรงชื่อดัง ผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักร “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCon Group) ได้ออกมาชี้แจงกรณีดรามา โดยระบุข้อความว่า “สวัสดีทุกท่านครับ ผมขอเรียนชี้แจง ผ่านทางช่องทางนี้นะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ ขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปมาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส มาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น ณ ขณะนี้ ผมติดตามข้อมูลต่อเนื่องมา และรู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่เกิดเหตุว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจกับบริษัทของผม ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคส ตามที่เกิดดราม่า ที่ออกมา ต่อว่า ด่าทอบริษัท กลับไม่ได้เป็น ตัวแทนจำหน่ายของผม แบบที่เค้ากล่าวอ้างเลยและมีอีกหลายเคส ที่ ขายของ กับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอในโลกโซเชียลฯ เช่นเดียวกัน ผมยอมรับตรงๆว่าผม งง และ สับสนมากครับ พยามตั้งสติ พยามติดตาม ดูข้อมูล ว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความ ปลุกปั่นบ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่าทำธุรกิจกับบริษัทของผม แล้วฆ่าตัวตาย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด ที่ผมเองไม่เคย ได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไม ? ถึงไม่มีใครในองค์กร รู้มาก่อนบ้างเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมาก และอยากที่จะ ช่วยเหลือ เยียวยา ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย อย่างเต็มที่ครับ ขอเพียง ท่านติดต่อกลับมา ที่บริษัท แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่เคยทราบข้อมูลมาก่อนจริงๆ ส่วนที่ถามว่าทำไม ผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร ผมขอตอบตรงๆว่า เมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว ผมคิดว่าไม่ว่าจะตอบ อะไร ออกมา ในช่วงที่กระแสสังคม เปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว จากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้ ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียม ข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่จะชี้แจงให้ทราบ ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฏหมาย ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่า เราต่างเป็นสุจริตชน ที่อยู่ภายใต้“กฎหมาย” ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัว ”มอบตัวกับตำรวจ“ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ และพร้อม นำข้อเท็จจริงและหลักฐานทั้งหมด เข้าชี้แจงผ่าน “กระบวนการยุติธรรม” ทุกท่านอดใจรอหน่อยนะครับ เดี๋ยวความจริงก็จะเปิดเผยออกมาให้ทุกท่านทราบ ถ้าผมทำผิด ตามที่ถูกกล่าวหาผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฏหมายอย่างถึงที่สุด แน่นอนครับ เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ ประนาม เหยียบย่ำผมได้เลยครับ เชื่อว่าไม่ช้าเกินไป แต่วันนี้ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ครับและผมเชื่อ ในความบริสุทธิ์ ของผมผมส่องกระจกดูตัวเองแล้วผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้“อย่างเต็มตา” ในขณะเดียวกันผมก็สลดใจ ที่ตัวเอง และ องค์กรต้องมาถูกเหยียบย่ำ ทำลาย ต่างๆ นาๆในขณะที่ยังไม่ได้มีการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรม ที่พวกเรา เชื่อมั่น เชื่อถือผมอยาก ข้อร้อง วิงวอนให้ทุกท่าน โปรดให้โอกาสผมและองค์กรได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน นะครับ ขอบคุณครับ” อย่างไรก็ตาม ยอดประเมินผู้เสียหายเฉพาะกลุ่มดีเลอร์กลุ่มเดียว30,000 ราย ยอดเสียหาย 7,500 ล้านบาท และในอดีตเมื่อปี2563 ผู้เสียหายส่วนหนึ่งออกมาเป็นเจ้าทุกข์และร้องเรียน สคบ.ตั้งแต่ปี2563แต่ สคบ.แจ้งว่าไม่เข้าเกณฑ์เป็นผู้บริโภค และสคบ.เคยมอบรางวัลให้บริษัทนี้ในปี2565ทั้งๆที่เคยโดนถูกร้องเรียน #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 535 มุมมอง 0 รีวิว
  • น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ !
    -เหนือเมฆ-

    น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 59 ประจำเดือนตุลาคม 2567 @ ประเทศไทยต้องมี “แผนป้องกันน้ำท่วมระยะยาว”ออกจากปากของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็น“วิสัยทัศน์”ที่ควรค่าต่อการ“ปรบมือ”และ“ติดตาม”... “เหนือเมฆ” แนะให้ดู “วิธีคิด-วิธีการ”ของผู้บริหาร “แชงกรีลาเชียงใหม่โมเดล” เป็นแรงกระชากใจ...กล้าคิด กล้าทำ @ ดราม่าไอแพดบบนเวที ACD summit กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ชุดความรู้สำหรับ “สร.1 ป้ายแดง” “เหนือเมฆ”ให้กำลังใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คำเมืองเปิ้นว่า “แมงแสนตี๋นต๋ายตกน้ำบ่อ”...ประมาณว่า ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ภาวะผู้นำเบอร์ 1 ของประเทศ บางฟิลต้อง “นิ่ง”ให้เป็น.. “เหนือเมฆ” ใคร่อยากรู้นัก ใครเป็นทีมที่ปรึกษา-ทีมPR อยากหยิกให้เนื้อเขียวเชียว...@ “นายกอุ๊งอิ๊ง”อ้อนออดขอกำลังใจจากผู้อาวุโส“สายม๊อบ” ที่เอะอะก็จะเป่านกหวีดชวนคนลงถนนตะพึ่ด “เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียวเอง..” ลำพัง“นิติสงคราม”จากพี่ๆนักร้องมืออาชีพที่เคารพก็กองพะเนินเทินทึกจ่อคอหอย ขบวนการตามล้างตามเช็ดตระกูล “ชินวัตร” รายล้อมรอบตัว...งานนี้ คุณพ่อที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ต้องติวเข้ม “ลูกอุ๊งอิ๊ง” ทุกกระเบียดนิ้วปฏิกริยา...ปล่อย“สหายใหญ่” เป็นโค้ชคนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ @ ก็ชอบแล้วที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม 2 คน ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โปรเจ็คต์ปะจะฉะดะพะบู๊กับแรงเสียดทานทั้งสายบู๊สายบุ๋นนอกในสภา...คู่หูดูโอ้นี้น่าจะบรรเทาเบาแรงให้ “นายกอุ๊งอิ๊ง”มีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น @ ยามนี้พรรคการเมืองไทยที่กระโดดโลดเต้นในหน้าสื่อรายวัน ดูเหมือนจะมีโดดเด่นเพียง “เพื่อไทย”กับ “ภูมิใจไทย” ขณะที่พรรคประชาชน พักหลังโดนกระแสสังคม “จับตา-จับตาย”หลายแอ๊คชั่นของส.ส.ในสังกัด ที่เหมือนบางท่านจะ“วุฒิภาวะบกพร่อง”กระบวนการ “คิด” และ “ประสบการณ์” แม้ว่ามวลหมู่คนเจนเนอเรชั่นเดียวกันในมุมมืดจะฟันธงล่วงหน้า “อย่างไรก็จะเลือก” แต่โอกาสที่พรรคประชาชนจะเทียบชั้นบริหารราชการแผ่นดินเบอร์ 1 ก็ยังคงมีขบวนการเตะตัดขา “ยุ่บ-ยั่บ”ต่อเนื่อ...แม้สนามหน้าจะแลนด์สไลด์ก็ตาม...เว้นแต่พรรคใหญ่สมัยหน้าจะกวักมือเทียบเชิญจัดตั้งรัฐบาลข้ามสปีชี่... @ “นักการเมือง”และ“สื่อ” คือ พลวัตรชี้นำสังคมไทย โดยมี “คุณภาพประชาชนไทย”เป็นฐานองคาพยพขับเคลื่อน ทั้งการ “ส่งต่อ”และ “การสังเคราะห์ข้อมูล” กระบวนการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นตัวอย่างแอ็คชั่นทางการเมืองเพื่อ “ฟอกขาว”ตนตัวของบรรดานักการเมือง เมื่อ “สื่อ”ระดม“สารมวลชน” ให้ประชาชนคำนวณบวกลบคูณหาร อาการลุกลี้ลุกลนตามสำนวน “ถอยแบบสุดซอย”จึงเกิดขึ้น... และแน่นอนก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยเพราะบางพรรคร่วมรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง 1” ชูธงเป็นนโยบายหาเสียง @ หากพลิกประเด็นในนโยบายหาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองไทยแล้ว โดยพิจารณาจากทุกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฏร จะเห็นว่าทุกพรรค ออกอาการอุจจาระหดผายลมหายกับคำว่า “รัฐประหาร” ทั้งต่อต้าน ทั้งห้ามนิรโทษกรรม ทั้งกำหนดบทลงโทษ พาลโพเลโพเกไปถึงองค์กรอิสระที่เสนอให้ต้องลดบทบาทอำนาจ ให้มีการคานอำนาจ...อาการของนักการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ “เหนือเมฆ”มองมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองหรือพรรคการเมืองสาย “กินปูนร้อนท้อง”...@ วุฒิสภาสายสีน้ำเงิน...ก็เป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของพรรคการเมืองไทยที่พยายามอาศัยช่องว่างช่องโหว่ของนิยามการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตัวแทนประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และสุดท้ายภาพของ “วุฒิสภา”ที่ต้องทำงานร้อยรัดกับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เลยบังเกิดขึ้นในเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ... “เกียรติยศ”และ “ศักดิ์ศรี” กินไม่ได้แต่“เท่” มันมีจริงๆครับเสี่ย...! @ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและมท.1 เลี่ยงที่จะตอบคำถามกรณี คำถามสื่อที่ว่า ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ บ้านใหญ่ภูมิใจไทย ดอดเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร บ้านใหญ่เพื่อไทย...จริงหรือไม่ ณ นาทีนี้ “เหนือเมฆ”ยังไม่ฟันธง แต่อาการ “เลี่ยง” และโบกมือ “บ๊ายบาย”สื่อ มันผิดวิสัยปกติของมท.1 “พี่หนู”...แต่ที่แน่ๆ ถ้าจริง มันคงไม่ใช่เรื่อง “ไร้สาระ”แน่นอน...@ เสียงอำนวยอวยพรก้องฟ้าบุรีรัมย์ของ เนวิน ชิดชอบ “ขอให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี”ยังดังก้องในพิธีปะกำช้างวันคล้ายวันเกิดครูใหญ่เนวิน ขณะผูกข้อไม้ข้อมือ พรนี้ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล” ออกอาการสะดุ้งโหยง ไมครูใหญ่ช่างกล้า...เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น..นิ ! @ ส่งท้าย น.ส.พ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์ ขอแสดงความยินดีกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 แห่งอาณาจักรพิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คดีความต่อเนื่องใดๆที่ใครๆต่างก็ลุ้นระทึกตั้งแต่ครั้ง “รักษาการ” มาถึง “ตัวจริง-เสียงจริง”ในวันนี้ “เหนือเมฆ” ไม่คาดหวังสิ่งใด นอกจาก “ภาพลักษณ์เชิงบวก”ของวงการตำรวจไทย...ที่สาละวันถอยหลังและสาละวันเตี้ยลงมานานหลายขวบปี...มีฝีมือแค่ไหน “เดินหน้าลงมือทำทันที” ครับท่าน...ตะเบ๊ะ ! -เหนือเมฆ-
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า

    “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล

    หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท

    คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ

    ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร"

    สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี

    2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน)

    ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

    ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก

    ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ

    นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้

    สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก"

    สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า

    - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5%
    - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด

    ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น

    และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น

    ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด

    ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก"

    นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ

    ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร

    รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่"

    ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น"

    ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565)

    โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว

    ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร

    อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์"

    เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

    ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น

    ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก

    นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย

    ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท)

    ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท

    จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว

    แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ

    สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์

    ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง

    นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้

    หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565)

    พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง"

    อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย

    วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ

    พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย"

    หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน

    เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571

    และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้

    เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ

    คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ

    ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่?

    นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท

    ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย

    ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ

    อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท"

    แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน"

    การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป

    และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

    จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท

    คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า

    "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์"

    เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย

    ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น

    คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้

    - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต

    - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5%

    แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ

    และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง

    ------------------------

    นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป"

    เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว

    เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้

    กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป

    พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก

    สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง

    แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง

    สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก

    เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย

    ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้”
    ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร" สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี 2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้ สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก" สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5% - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก" นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่" ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น" ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565) โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท) ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์ ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565) พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง" อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย" หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571 และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้ เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่? นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท" แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน" การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์" เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้ - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5% แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง ------------------------ นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป" เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้ กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้” ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts