• สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง

    บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L.

    ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula"
    ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง

    จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ?
    และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร

    8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ:
    1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?)
    เคล็ดลับ:
    ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว

    2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?)
    เคล็ดลับ:
    หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง

    3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!)
    เคล็ดลับ:
    มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้

    4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?)
    เคล็ดลับ:
    คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง

    5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น

    6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?)
    เคล็ดลับ:
    ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์

    7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?)
    เคล็ดลับ:
    ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง

    8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?)
    เคล็ดลับ:
    แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด

    เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้

    แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ...
    ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว

    ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง
    ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค

    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ

    แหล่งอ้างอิง:
    •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    สูตรสำเร็จพิชิตเป้าหมายฉบับ McKim, R. L. สร้างฝันให้เป็นจริง บทความนี้เรียบเรียงจาก 1 ในเนื้อหาอมตะของ McKim, R. L. เจ้าของผลงาน “How To Use Your God Power” ที่ได้รับการตอบรับจากผู้สนใจการพัฒนาตนเอง นำเสนอเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจตั้งเป้าหมายในปี 2025 ฉบับ McKim, R. L. ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กๆ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่น อาศัยอยู่ชายหนุ่มผู้มีนามว่า 'เก่ง' ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและแรงบันดาลใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ความฝันนั้นก็ยังคงเป็นเพียงภาพลางๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "Goal Success Formula" ด้วยความอยากรู้ เก่งจึงเปิดอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ภายในเล่มเต็มไปด้วยเทคนิคและวิธีการในการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งทำให้เก่งตระหนักได้ว่า ความฝันของเขาจะไม่เป็นจริงเลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างจริงจัง จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ..... เก่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรในชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เขาอยากทำให้สำเร็จ? และคำถามเหล่านี้ช่วยให้เขาค้นพบเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร 8 ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ: 1.เก่งจินตนาการถึงภาพร้านกาแฟในฝัน ทั้งบรรยากาศ รสชาติกาแฟ และรอยยิ้มของลูกค้า เขาจดบันทึกทุกอย่างลงในสมุดเล่มโปรด (What is the Ideal Final Result?) เคล็ดลับ: ลองวาดภาพ หรือ เขียนบรรยายรายละเอียดให้ชัดเจน เหมือนกับว่าร้านกาแฟนั้นมีอยู่จริงแล้ว 2.เก่งถามตัวเองว่า ทำไมการมีร้านกาแฟถึงสำคัญกับเขานัก? คำตอบคือ เขาต้องการสร้างพื้นที่แห่งความสุข สร้างงาน สร้างรายได้ และแบ่งปันกาแฟรสเลิศให้กับชุมชน (Why Is This Goal So Important?) เคล็ดลับ: หาเหตุผลที่ 'ใช่' และ 'โดนใจ' เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง 3.เก่งเริ่มต้นด้วยการมองหาข้อได้เปรียบของตัวเอง เขามีความรู้เรื่องกาแฟ มีใจรักในงานบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Why I Know That I Can Easily Accomplish This Goal!) เคล็ดลับ: มองหาจุดแข็งของตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าจะทำได้ 4.เก่งคิดว่า ร้านกาแฟของเขาจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะของผู้คน สร้างสีสันและความอบอุ่นให้กับชุมชน (How Will This Goal Influence And Benefit Others?) เคล็ดลับ: คิดถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง 5.เก่งตระหนักดีว่าหนทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาอาจพบเจออุปสรรคมากมาย แต่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้และฝ่าฟันไปให้ได้ (What Obstacles Did I "Overcome" & How?) เคล็ดลับ: ลิสต์อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้น 6.เก่งนึกถึง 'ลุงสมชาย' เจ้าของร้านกาแฟชื่อดังที่คอยให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์ เก่งจดเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของลุงสมชายไว้ เพื่อที่จะไปขอคำแนะนำเพิ่มเติม (Who were the People & Companies Who helped & Inspired Me & How?) เคล็ดลับ: ระบุบุคคลต้นแบบ หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ 7.เก่งสำรวจตัวเองว่าเขามีความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการเปิดร้านกาแฟ และเขาต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกบ้าง (What Skills And Knowledge Do I Need?) เคล็ดลับ: ลิสต์ทักษะที่จำเป็น และวางแผนพัฒนาตัวเอง 8.เก่งวางแผนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การหาแหล่งวัตถุดิบ การตกแต่งร้าน การบริหารจัดการ ไปจนถึงการทำการตลาด (What Exact Steps Are Needed To Complete This Goal?) เคล็ดลับ: แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อยๆ และวางแผนอย่างละเอียด เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ... แน่นอนว่าระหว่างทาง เก่งต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาเรื่องเงินทุน การแข่งขันทางธุรกิจ และความเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง เก่งก็สามารถก้าวข้ามผ่านทุกปัญหาไปได้ แล้ววันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ... ร้านกาแฟเล็กๆ ของเก่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม และรอยยิ้มของเก่ง ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว ข้อคิดจากเรื่องราวของเก่ง ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างจริงจัง อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น และอย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรค ถึงเวลาแล้วที่คุณจะสร้าง Goal Success Formula ของคุณเอง! หยิบกระดาษ ปากกา แล้วเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามฝันของคุณ แหล่งอ้างอิง: •McKim, R. L. (2013). Goal Success Formula.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่วนจือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยฉิน

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูถึงตอนจบของเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงได้ผ่านตาฉากที่องค์ไทฮองไทเฮาทรงสอนให้อิงหวางทุ่มเทความสามารถเพื่อรับใช้ชาติและฮ่องเต้น้อยได้ตรัสออกมาหลายวรรค ฟังดูเป็นหลักปรัชญาการปกครอง วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    Storyฯ ไม่ได้ดูภาคซับไทยก็ไม่ทราบว่าแปลกันไว้ว่าอย่างไร ขอแปลเองง่ายๆ อย่างนี้
    “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน
    รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน
    ประชาชนชังความเหนื่อยยากวิตกกังวล ควรทำให้พวกเขาสุขใจสบายกาย
    ประชาชนชังความยากจน ควรทำให้พวกเขาร่ำรวย
    ประชาชนชังภยันตราย ควรทำให้พวกเขาปลอดภัย”

    วรรคเหล่านี้มาจากหนังสือที่ชื่อว่า ‘ก่วนจือ’ (管子) เป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นในสมัยฉินโดยอัครมหาเสนาบดีก่วนจ้งแห่งแคว้นฉี นักปราชญ์และนักการเมืองผู้เลื่องชื่อแห่งยุคสมัยชุนชิว (ไม่ทราบปีเกิด มรณะปี 645 ก่อนคริสตกาล) เรียกได้ว่าเป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่มีขึ้นก่อนฝั่งชาติตะวันตกหลายร้อยปี ปัจจุบันได้ถูกแปลไปหลากหลายภาษาทั่วโลก เป็นหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งของโลก

    ก่วนจือมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหลักการปกครอง เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ โดยมีพื้นฐานจากแนวคิดที่ว่า การที่ประเทศจะพัฒนาและรุ่งเรืองได้ ปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ และมีการลงรายละเอียดว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการเกษตรและการค้าขาย หนังสือเล่มนี้ยาว 86 บรรพ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 76 บรรพ อีก 10 บรรพสูญหายไปเหลือไว้ให้เห็นแค่สารบัญ มีบทความไทยและอังกฤษหลายบทความที่คุยถึงก่วนจือนี้ในหลากหลายมุมมอง (เนื่องจากเนื้อหาของหนังสือกว้าง) รวมถึงกล่าวถึงชีวประวัติของก่วนจ้ง Storyฯ ยกตัวอย่างแปะลิ้งค์ไว้ข้างล่าง เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันเองได้

    และวรรคที่ซีรีส์ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ยกมานี้ อยู่ในบรรพแรกที่เรียกว่า ‘มู่หมิน’ (牧民 / Shepherding the People / การดูแลประชาชน) ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอนย่อย โดยมาจากตอนที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ (四顺 / ซื่อซุ่น) เนื้อหาของตอนนี้ก็คือว่า ผู้มีอำนาจปกครองต้องเข้าใจว่าประชาชนโดยทั่วไปมี ‘สี่ชัง’ คือชังความยากลำบาก ความจน การต้องอยู่ท่ามกลางภยันตราย และการถูกกวาดล้างฆ่า และมี ‘สี่อยาก’ คืออยากสุขสบาย ร่ำรวย ปลอดภัย และได้ตั้งรกรากสร้างครอบครัวมีลูกหลาน และเมื่อผู้มีอำนาจปกครองเข้าใจถึง ‘สี่ชัง’ และ ‘สี่อยาก’ แล้ว หากสามารถจัดการบริหารบ้านเมืองและสังคมให้สอดคล้องกัน บ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าประเทศรุ่งเรือง หรือที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ นั่นเอง

    คงจะกล่าวได้ว่า ความคิดที่ถูกกลั่นกรองเรียบเรียงเป็นบทหนังสือมาสองสามพันปีแล้วนี้ ยังคงสะท้อนถึงแก่นแท้ของจิตใจคนและปัญหาความยากในการบริหารบ้านเมืองที่ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าในประเทศใด

    นอกจากนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน” ยังได้กลายมาเป็นวลีเด็ดผ่านกาลสมัย ถูกนำไปใช้ในหลายโอกาส มันเคยปรากฏในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนอีกด้วย

    โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ ไม่ค่อยชอบพล็อตเรื่องของ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> สักเท่าไหร่ แต่ยอมรับเลยว่ามันแฝงปรัชญาข้อคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะผ่านคำพูดของไทฮองไทเฮา ที่เป็นประโยชน์ต่อการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตามที่พึงกระทำในหน้าที่ของตน ไม่ใช่แค่ในบริบทของการบริหารบ้านเมือง แต่ยังใช้ได้ในบริบทขององค์กรบริษัทต่างๆ ได้อีกด้วย

    สุดท้าย ขอต้อนรับปีใหม่พร้อมกับคำอวยพรให้เพื่อนเพจได้พบเจอกับ ‘สี่อยาก’ และห่างไกลจาก ‘สี่ชัง’ ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    ลิ้งค์ไปบทความเกี่ยวกับก่วนจ้งและหนังสือก่วนจือ:
    https://www.arsomsiam.com/guanzhong/
    https://mgronline.com/china/detail/9570000117129
    http://www.inewhorizon.net/8456123-2/

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://www.brtvent.com/?list_4/2430.html
    https://dzrb.dzng.com/articleContent/1158_759894.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/guanzi/mu-min/zhs
    https://baike.baidu.com/item/管子·牧民/19831172
    https://www.sohu.com/a/604599137_121124389
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Diverse/guanzi.html

    #ทำนองรักกังวานแดนดิน #ก่วนจือ #ก่วนจ้ง #ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ #สาระจีน
    ก่วนจือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยฉิน สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูถึงตอนจบของเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงได้ผ่านตาฉากที่องค์ไทฮองไทเฮาทรงสอนให้อิงหวางทุ่มเทความสามารถเพื่อรับใช้ชาติและฮ่องเต้น้อยได้ตรัสออกมาหลายวรรค ฟังดูเป็นหลักปรัชญาการปกครอง วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน Storyฯ ไม่ได้ดูภาคซับไทยก็ไม่ทราบว่าแปลกันไว้ว่าอย่างไร ขอแปลเองง่ายๆ อย่างนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน ประชาชนชังความเหนื่อยยากวิตกกังวล ควรทำให้พวกเขาสุขใจสบายกาย ประชาชนชังความยากจน ควรทำให้พวกเขาร่ำรวย ประชาชนชังภยันตราย ควรทำให้พวกเขาปลอดภัย” วรรคเหล่านี้มาจากหนังสือที่ชื่อว่า ‘ก่วนจือ’ (管子) เป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นในสมัยฉินโดยอัครมหาเสนาบดีก่วนจ้งแห่งแคว้นฉี นักปราชญ์และนักการเมืองผู้เลื่องชื่อแห่งยุคสมัยชุนชิว (ไม่ทราบปีเกิด มรณะปี 645 ก่อนคริสตกาล) เรียกได้ว่าเป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่มีขึ้นก่อนฝั่งชาติตะวันตกหลายร้อยปี ปัจจุบันได้ถูกแปลไปหลากหลายภาษาทั่วโลก เป็นหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งของโลก ก่วนจือมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหลักการปกครอง เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ โดยมีพื้นฐานจากแนวคิดที่ว่า การที่ประเทศจะพัฒนาและรุ่งเรืองได้ ปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ และมีการลงรายละเอียดว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการเกษตรและการค้าขาย หนังสือเล่มนี้ยาว 86 บรรพ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 76 บรรพ อีก 10 บรรพสูญหายไปเหลือไว้ให้เห็นแค่สารบัญ มีบทความไทยและอังกฤษหลายบทความที่คุยถึงก่วนจือนี้ในหลากหลายมุมมอง (เนื่องจากเนื้อหาของหนังสือกว้าง) รวมถึงกล่าวถึงชีวประวัติของก่วนจ้ง Storyฯ ยกตัวอย่างแปะลิ้งค์ไว้ข้างล่าง เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันเองได้ และวรรคที่ซีรีส์ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ยกมานี้ อยู่ในบรรพแรกที่เรียกว่า ‘มู่หมิน’ (牧民 / Shepherding the People / การดูแลประชาชน) ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอนย่อย โดยมาจากตอนที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ (四顺 / ซื่อซุ่น) เนื้อหาของตอนนี้ก็คือว่า ผู้มีอำนาจปกครองต้องเข้าใจว่าประชาชนโดยทั่วไปมี ‘สี่ชัง’ คือชังความยากลำบาก ความจน การต้องอยู่ท่ามกลางภยันตราย และการถูกกวาดล้างฆ่า และมี ‘สี่อยาก’ คืออยากสุขสบาย ร่ำรวย ปลอดภัย และได้ตั้งรกรากสร้างครอบครัวมีลูกหลาน และเมื่อผู้มีอำนาจปกครองเข้าใจถึง ‘สี่ชัง’ และ ‘สี่อยาก’ แล้ว หากสามารถจัดการบริหารบ้านเมืองและสังคมให้สอดคล้องกัน บ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าประเทศรุ่งเรือง หรือที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ นั่นเอง คงจะกล่าวได้ว่า ความคิดที่ถูกกลั่นกรองเรียบเรียงเป็นบทหนังสือมาสองสามพันปีแล้วนี้ ยังคงสะท้อนถึงแก่นแท้ของจิตใจคนและปัญหาความยากในการบริหารบ้านเมืองที่ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าในประเทศใด นอกจากนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน” ยังได้กลายมาเป็นวลีเด็ดผ่านกาลสมัย ถูกนำไปใช้ในหลายโอกาส มันเคยปรากฏในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนอีกด้วย โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ ไม่ค่อยชอบพล็อตเรื่องของ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> สักเท่าไหร่ แต่ยอมรับเลยว่ามันแฝงปรัชญาข้อคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะผ่านคำพูดของไทฮองไทเฮา ที่เป็นประโยชน์ต่อการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตามที่พึงกระทำในหน้าที่ของตน ไม่ใช่แค่ในบริบทของการบริหารบ้านเมือง แต่ยังใช้ได้ในบริบทขององค์กรบริษัทต่างๆ ได้อีกด้วย สุดท้าย ขอต้อนรับปีใหม่พร้อมกับคำอวยพรให้เพื่อนเพจได้พบเจอกับ ‘สี่อยาก’ และห่างไกลจาก ‘สี่ชัง’ ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) ลิ้งค์ไปบทความเกี่ยวกับก่วนจ้งและหนังสือก่วนจือ: https://www.arsomsiam.com/guanzhong/ https://mgronline.com/china/detail/9570000117129 http://www.inewhorizon.net/8456123-2/ Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://www.brtvent.com/?list_4/2430.html https://dzrb.dzng.com/articleContent/1158_759894.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/guanzi/mu-min/zhs https://baike.baidu.com/item/管子·牧民/19831172 https://www.sohu.com/a/604599137_121124389 http://www.chinaknowledge.de/Literature/Diverse/guanzi.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #ก่วนจือ #ก่วนจ้ง #ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ #สาระจีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน

    ทุกวันคุณกำลังแลกบางสิ่งเพื่อได้อีกสิ่งหนึ่งมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สุขภาพ เวลา หรือความสัมพันธ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่คุณแลกมาและสิ่งที่คุณเสียไป

    ---

    สองทางเลือกในการแลกเปลี่ยน

    1. การแลกเปลี่ยนที่เน้นวัตถุ

    ตัวอย่าง: มีรายได้วันละล้าน แต่ต้องแลกกับเวลาอยู่กับครอบครัว ความเครียด หรือความเสี่ยง

    ผลลัพธ์: สิ่งที่ได้อาจเติมเต็มในด้านทรัพย์สิน แต่ไม่ได้เติมเต็มจิตใจ

    2. การแลกเปลี่ยนที่เน้นความสุขภายใน

    ตัวอย่าง: สละความโกรธ ความคิดที่มุ่งได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อแลกกับความสงบสุขในใจ

    ผลลัพธ์: ได้ความพอใจในชีวิตอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่มีอยู่จะไม่มากมาย

    ---

    พอใจกับสิ่งที่มีอยู่

    การมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จัก พอใจ กับสิ่งที่มีหรือไม่

    การฝึกพอใจเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น ลมหายใจ

    1. สังเกตลมหายใจเข้าออก

    2. รับรู้ความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้น เช่น จิตอยากให้ลมหายใจยาวกว่านี้ หรือสงบกว่านี้

    3. เมื่อสังเกตไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มเรียนรู้ที่จะ "พอ" กับสิ่งที่เป็นอยู่

    ---

    ผลลัพธ์ของการพอใจ

    1. ความสงบภายใน

    ความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก เช่น เงินทอง หรือคำชื่นชม

    2. ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

    คนที่รู้จักพอใจในตัวเอง จะสามารถสร้างความสุขให้คนรอบข้างได้ง่ายกว่า

    3. การมองโลกอย่างเบาสบาย

    เมื่อจิตเริ่ม "พอ" กับชีวิต ไม่ว่าจะเจออะไร ก็รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าพอใจ

    ---

    ข้อคิดสำคัญ:
    ชีวิตที่น่าพอใจไม่ได้มาจากการได้มากที่สุด แต่มาจากการรู้สึกว่า พอ กับสิ่งที่มีอยู่ การฝึกจิตให้เห็นความพอใจในลมหายใจคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เมื่อจิตพอได้ครั้งหนึ่ง การพอใจในชีวิตทั้งมวลก็จะตามมาเอง!
    ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน ทุกวันคุณกำลังแลกบางสิ่งเพื่อได้อีกสิ่งหนึ่งมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สุขภาพ เวลา หรือความสัมพันธ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่คุณแลกมาและสิ่งที่คุณเสียไป --- สองทางเลือกในการแลกเปลี่ยน 1. การแลกเปลี่ยนที่เน้นวัตถุ ตัวอย่าง: มีรายได้วันละล้าน แต่ต้องแลกกับเวลาอยู่กับครอบครัว ความเครียด หรือความเสี่ยง ผลลัพธ์: สิ่งที่ได้อาจเติมเต็มในด้านทรัพย์สิน แต่ไม่ได้เติมเต็มจิตใจ 2. การแลกเปลี่ยนที่เน้นความสุขภายใน ตัวอย่าง: สละความโกรธ ความคิดที่มุ่งได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อแลกกับความสงบสุขในใจ ผลลัพธ์: ได้ความพอใจในชีวิตอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่มีอยู่จะไม่มากมาย --- พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ การมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จัก พอใจ กับสิ่งที่มีหรือไม่ การฝึกพอใจเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น ลมหายใจ 1. สังเกตลมหายใจเข้าออก 2. รับรู้ความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้น เช่น จิตอยากให้ลมหายใจยาวกว่านี้ หรือสงบกว่านี้ 3. เมื่อสังเกตไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มเรียนรู้ที่จะ "พอ" กับสิ่งที่เป็นอยู่ --- ผลลัพธ์ของการพอใจ 1. ความสงบภายใน ความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก เช่น เงินทอง หรือคำชื่นชม 2. ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น คนที่รู้จักพอใจในตัวเอง จะสามารถสร้างความสุขให้คนรอบข้างได้ง่ายกว่า 3. การมองโลกอย่างเบาสบาย เมื่อจิตเริ่ม "พอ" กับชีวิต ไม่ว่าจะเจออะไร ก็รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าพอใจ --- ข้อคิดสำคัญ: ชีวิตที่น่าพอใจไม่ได้มาจากการได้มากที่สุด แต่มาจากการรู้สึกว่า พอ กับสิ่งที่มีอยู่ การฝึกจิตให้เห็นความพอใจในลมหายใจคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เมื่อจิตพอได้ครั้งหนึ่ง การพอใจในชีวิตทั้งมวลก็จะตามมาเอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา

    เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก?
    การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท

    ---

    มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ'
    พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง

    ---

    อุบายฝึกใจให้อภัย

    1. สังเกตใจที่ป่วย:
    เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข

    2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์:
    เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่

    3. เจริญเมตตา:
    ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น

    4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี:
    หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป

    ---

    อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์
    การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ

    ---

    ผลลัพธ์ของการให้อภัย
    เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา

    ข้อคิดส่งท้าย:
    การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    อภัยและปล่อยวาง: วิธีสร้างใจเย็นและโปร่งเบา เริ่มต้นให้อภัย: ทำไมจึงยาก? การให้อภัยไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเจ็บลึกจากการกระทำของผู้อื่น ความรู้สึกเจ็บปวดและผูกใจเจ็บมักทำให้เราเห็นการให้อภัยเป็นการ "ปล่อยให้คนผิดลอยนวล" หรือ "ยอมเสียเปรียบ" แต่ในมุมมองทางพุทธศาสนา การให้อภัยคือการรักษาจิตใจของเราให้หายจาก "โรคทางใจ" ที่ชื่อว่าพยาบาท --- มองความพยาบาทในฐานะ 'โรคทางใจ' พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบความโกรธเกลียดว่าเป็นโรคที่รุมเร้าจิตใจ ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง และไร้กำลังวังชา การยอมปล่อยวางความพยาบาทจึงเปรียบเสมือนการรักษาใจให้กลับมาสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง --- อุบายฝึกใจให้อภัย 1. สังเกตใจที่ป่วย: เมื่อเราโกรธหรือผูกใจเจ็บ ให้สังเกตว่าใจของเรานั้นฟุ้งซ่าน ร้อนรน และไม่มีความสุข 2. เปรียบเทียบสุขและทุกข์: เมื่อยังยึดติดกับความพยาบาท ความร้อนเหมือนไข้จะครอบงำใจ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นอภัย ความเย็นและความสุขจะเข้ามาแทนที่ 3. เจริญเมตตา: ฝึกมองคู่กรณีในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้เขาไม่ต้องเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น 4. ไม่จำเป็นต้องแกล้งดี: หากความสัมพันธ์ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ให้ยุติความสัมพันธ์โดยไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่มเติม การให้อภัยไม่ได้หมายถึงการกลับไปคบหากันเสมอไป --- อภัยไม่ได้แปลว่าไม่รักษาสิทธิ์ การให้อภัยในมุมพุทธศาสนาไม่ใช่การยอมละทิ้งความยุติธรรม เราสามารถเรียกร้องสิทธิ์หรือปกป้องความถูกต้องได้ โดยไม่ต้องยึดติดหรือเก็บความโกรธไว้ในใจ --- ผลลัพธ์ของการให้อภัย เมื่อจิตใจเย็นลงจากการให้อภัยจริง เราจะรู้สึกโปร่งโล่ง มีพลัง และเปี่ยมด้วยความสุขแบบที่อยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความสุขนี้จะสะท้อนผ่านสายตา น้ำเสียง และท่าที ทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกประทับใจในความสงบและความเมตตาของเรา ข้อคิดส่งท้าย: การให้อภัยไม่ใช่เพียงการปล่อยคนอื่นไป แต่คือการปล่อยตัวเองจากความทุกข์ และสร้างโลกในใจให้เย็นและเบาสบาย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุ่งอรุณแห่งความสำเร็จ: เรื่องเล่าของเหล่านกเช้า
    Source: Matthew Walker Teaches the Science of Better Sleep.

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้ามืด? พวกเขาเหล่านั้นคือ "นกเช้า" ผู้ตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน และเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังและความกระตือรือร้น ภาพที่เราเห็นนี้เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกของเหล่านกเช้า เผยให้เห็นถึงข้อดีและลักษณะเด่นที่น่าสนใจ
    ความเชื่อที่ว่า "นกน้อยตื่นเช้าจะได้กินหนอน" ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบของการเริ่มต้นวันก่อนใคร แต่ในโลกยุคใหม่ ความได้เปรียบนี้มีความหมายมากกว่าแค่การหาอาหาร

    ความสุขที่มาพร้อมกับแสงแรก
    งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เผยว่า การมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะตื่นเช้า อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภทและภาวะซึมเศร้า ราวกับว่าแสงแรกของวันได้นำมาซึ่งความสุขและความสงบในจิตใจ
    ความสำเร็จในโลกแห่งองค์กร
    ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบดั้งเดิม นกเช้ามักจะโดดเด่น พวกเขามีความพร้อมมากกว่าในการจัดการกับตารางเวลาที่แน่นอน และใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาเช้าตรู่ที่เงียบสงบในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ราวกับว่าพวกเขามีเวลาเพิ่มขึ้นในหนึ่งวัน
    พลังแห่งการเคลื่อนไหว
    การศึกษาพบว่านกเช้ามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าตลอดทั้งวัน พวกเขาอาจจะออกกำลังกายเบาๆ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจ ราวกับว่าพวกเขาได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์
    ความตรงต่อเวลาที่เป็นเลิศ
    นกเช้ามักจะมาถึงตรงเวลาหรือก่อนเวลาเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาและเคารพในนัดหมาย ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจถึงคุณค่าของทุกนาที
    แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
    การเป็นนกเช้าไม่ใช่สูตรสำเร็จของความสำเร็จ แต่เป็นเพียงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะกับบางคน สิ่งสำคัญคือการค้นหาจังหวะชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนกเช้า นกฮูก หรืออะไรก็ตาม

    เคล็ดลับจากเหล่านกเช้า:
    •เริ่มต้นอย่างช้าๆ: อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป ค่อยๆ ปรับเวลาตื่นนอนทีละเล็กทีละน้อย
    •สร้างกิจวัตรยามเช้า: กำหนดกิจกรรมที่คุณชอบทำในตอนเช้า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตื่นนอน
    •รับแสงแดด: แสงแดดธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย
    •พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นพื้นฐานของการตื่นเช้าอย่างสดชื่น
    •หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน: เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน

    ข้อคิดส่งท้าย:
    ไม่ว่าคุณจะเลือกตื่นเช้าหรือนอนดึก สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ค้นหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง และใช้ทุกช่วงเวลาให้คุ้มค่า

    อ้างอิง :
    •Nature Communications (2019): ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morningness-eveningness," "genetics," "mental health," และ "actigraphy"
    •University of Education in Heidelberg: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morning larks," "punctuality," และ "work performance"
    •University of Oulu: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "early risers," "physical activity," และ "middle-aged adults"

    หมายเหตุ:
    การค้นหาใน Google Scholar โดยใช้คำสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงงานวิจัยต้นฉบับและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง

    สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการศึกษา/วิจัยวิธีปฏิบัติที่ดี (Good Practices) ขององค์กร 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ
    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    https://10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดี X ความเก่ง”
    https://lifealignmentor.com
    รุ่งอรุณแห่งความสำเร็จ: เรื่องเล่าของเหล่านกเช้า Source: Matthew Walker Teaches the Science of Better Sleep. เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้ามืด? พวกเขาเหล่านั้นคือ "นกเช้า" ผู้ตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน และเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังและความกระตือรือร้น ภาพที่เราเห็นนี้เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกของเหล่านกเช้า เผยให้เห็นถึงข้อดีและลักษณะเด่นที่น่าสนใจ ความเชื่อที่ว่า "นกน้อยตื่นเช้าจะได้กินหนอน" ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบของการเริ่มต้นวันก่อนใคร แต่ในโลกยุคใหม่ ความได้เปรียบนี้มีความหมายมากกว่าแค่การหาอาหาร ความสุขที่มาพร้อมกับแสงแรก งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เผยว่า การมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะตื่นเช้า อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภทและภาวะซึมเศร้า ราวกับว่าแสงแรกของวันได้นำมาซึ่งความสุขและความสงบในจิตใจ ความสำเร็จในโลกแห่งองค์กร ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบดั้งเดิม นกเช้ามักจะโดดเด่น พวกเขามีความพร้อมมากกว่าในการจัดการกับตารางเวลาที่แน่นอน และใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาเช้าตรู่ที่เงียบสงบในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ราวกับว่าพวกเขามีเวลาเพิ่มขึ้นในหนึ่งวัน พลังแห่งการเคลื่อนไหว การศึกษาพบว่านกเช้ามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าตลอดทั้งวัน พวกเขาอาจจะออกกำลังกายเบาๆ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจ ราวกับว่าพวกเขาได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ ความตรงต่อเวลาที่เป็นเลิศ นกเช้ามักจะมาถึงตรงเวลาหรือก่อนเวลาเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาและเคารพในนัดหมาย ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจถึงคุณค่าของทุกนาที แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น การเป็นนกเช้าไม่ใช่สูตรสำเร็จของความสำเร็จ แต่เป็นเพียงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะกับบางคน สิ่งสำคัญคือการค้นหาจังหวะชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนกเช้า นกฮูก หรืออะไรก็ตาม เคล็ดลับจากเหล่านกเช้า: •เริ่มต้นอย่างช้าๆ: อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป ค่อยๆ ปรับเวลาตื่นนอนทีละเล็กทีละน้อย •สร้างกิจวัตรยามเช้า: กำหนดกิจกรรมที่คุณชอบทำในตอนเช้า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตื่นนอน •รับแสงแดด: แสงแดดธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย •พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นพื้นฐานของการตื่นเช้าอย่างสดชื่น •หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน: เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน ข้อคิดส่งท้าย: ไม่ว่าคุณจะเลือกตื่นเช้าหรือนอนดึก สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ค้นหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง และใช้ทุกช่วงเวลาให้คุ้มค่า อ้างอิง : •Nature Communications (2019): ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morningness-eveningness," "genetics," "mental health," และ "actigraphy" •University of Education in Heidelberg: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morning larks," "punctuality," และ "work performance" •University of Oulu: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "early risers," "physical activity," และ "middle-aged adults" หมายเหตุ: การค้นหาใน Google Scholar โดยใช้คำสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงงานวิจัยต้นฉบับและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการศึกษา/วิจัยวิธีปฏิบัติที่ดี (Good Practices) ขององค์กร 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก https://10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดี X ความเก่ง” https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • การบริหารงานแบบ "ดีระดับหนึ่ง" เพื่อสุขภาพจิตที่ดีในยุคแห่งการแข่งขันที่ดุดันนี้ การคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากทีมงานกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร แต่ในทางพุทธศาสตร์และการบริหารที่คำนึงถึงสุขภาพจิต ความคาดหวังที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่จำเป็นทั้งในระดับบุคคลและองค์กร---ปัญหาที่เกิดจากความคาดหวัง1. ความเครียดจากการเป็น "ที่หนึ่ง"ความคาดหวังจากหัวหน้าหรือองค์กรให้เป็นเบอร์หนึ่ง อาจสร้างแรงกดดันที่สูงจนทีมงานเสียสุขภาพจิตผลข้างเคียง: เครียด, ไมเกรน, อาการนอนไม่หลับ, และการเบื่อหน่ายงาน2. สุขภาพเสียเพื่อ "ผลลัพธ์ดีเลิศ"แม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำงานหนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสุขภาพของทีมงานกลับสูงสิ่งนี้ทำให้องค์กรได้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน---แนวทางแก้ไข: ใช้ความเพียร แทนความโลภในทางพุทธศาสตร์:"ความโลภ" ในการเป็นเบอร์หนึ่ง ควรถูกแทนที่ด้วย "ความเพียร" ที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ความเพียรอย่างตั้งใจโดยไม่ถูกผลลัพธ์ครอบงำ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีโดยธรรมชาติถ้าผลลัพธ์ "ดีพอ" ในวันของเรา มันอาจกลายเป็น "ดีที่สุด" โดยไม่ต้องฝืน---หลักปฏิบัติสำหรับองค์กร1. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลเป้าหมายไม่ควรเน้นแต่ "ชัยชนะ" แต่ควรเน้น "กระบวนการที่มีคุณภาพ"ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเองเมื่อทีมงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี2. สนับสนุนสุขภาพจิตของทีมงานสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมีการตรวจสอบสุขภาพจิตและร่างกายของทีมงานเป็นระยะ3. ปรับมุมมองของ "ความสำเร็จ"มองความสำเร็จในแง่ของความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเป็นเบอร์หนึ่งให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของทีมมากกว่าผลลัพธ์สุดท้าย---ข้อคิดจากพุทธศาสตร์การคาดหวังสูงโดยปราศจากเมตตาต่อตัวเองและทีมงาน อาจนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าความสำเร็จ"ความดี" ที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งเสมอไป แต่อยู่ที่การทำงานด้วยความเพียรและความสุขใจในกระบวนการผลที่ดีระดับหนึ่ง หากตรงกับเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม อาจกลายเป็นผลดีที่สุดได้เองบทสรุป:แทนที่จะคาดคั้นเอาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองเน้นการทำงานด้วย ความเพียรที่สมดุล และ สุขภาพจิตที่ดี ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและดีที่สุดในระยะยาวจะตามมาเอง!
    การบริหารงานแบบ "ดีระดับหนึ่ง" เพื่อสุขภาพจิตที่ดีในยุคแห่งการแข่งขันที่ดุดันนี้ การคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากทีมงานกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กร แต่ในทางพุทธศาสตร์และการบริหารที่คำนึงถึงสุขภาพจิต ความคาดหวังที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่จำเป็นทั้งในระดับบุคคลและองค์กร---ปัญหาที่เกิดจากความคาดหวัง1. ความเครียดจากการเป็น "ที่หนึ่ง"ความคาดหวังจากหัวหน้าหรือองค์กรให้เป็นเบอร์หนึ่ง อาจสร้างแรงกดดันที่สูงจนทีมงานเสียสุขภาพจิตผลข้างเคียง: เครียด, ไมเกรน, อาการนอนไม่หลับ, และการเบื่อหน่ายงาน2. สุขภาพเสียเพื่อ "ผลลัพธ์ดีเลิศ"แม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำงานหนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสุขภาพของทีมงานกลับสูงสิ่งนี้ทำให้องค์กรได้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน---แนวทางแก้ไข: ใช้ความเพียร แทนความโลภในทางพุทธศาสตร์:"ความโลภ" ในการเป็นเบอร์หนึ่ง ควรถูกแทนที่ด้วย "ความเพียร" ที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ความเพียรอย่างตั้งใจโดยไม่ถูกผลลัพธ์ครอบงำ จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีโดยธรรมชาติถ้าผลลัพธ์ "ดีพอ" ในวันของเรา มันอาจกลายเป็น "ดีที่สุด" โดยไม่ต้องฝืน---หลักปฏิบัติสำหรับองค์กร1. ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลเป้าหมายไม่ควรเน้นแต่ "ชัยชนะ" แต่ควรเน้น "กระบวนการที่มีคุณภาพ"ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเองเมื่อทีมงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี2. สนับสนุนสุขภาพจิตของทีมงานสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่นมีการตรวจสอบสุขภาพจิตและร่างกายของทีมงานเป็นระยะ3. ปรับมุมมองของ "ความสำเร็จ"มองความสำเร็จในแง่ของความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเป็นเบอร์หนึ่งให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของทีมมากกว่าผลลัพธ์สุดท้าย---ข้อคิดจากพุทธศาสตร์การคาดหวังสูงโดยปราศจากเมตตาต่อตัวเองและทีมงาน อาจนำไปสู่ความทุกข์มากกว่าความสำเร็จ"ความดี" ที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งเสมอไป แต่อยู่ที่การทำงานด้วยความเพียรและความสุขใจในกระบวนการผลที่ดีระดับหนึ่ง หากตรงกับเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม อาจกลายเป็นผลดีที่สุดได้เองบทสรุป:แทนที่จะคาดคั้นเอาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองเน้นการทำงานด้วย ความเพียรที่สมดุล และ สุขภาพจิตที่ดี ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและดีที่สุดในระยะยาวจะตามมาเอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝ่ายหวังยึดคุมทแกล้ว ถอนถอย แผนชั่วหาใช่ชัยชนะพลอย โห่ร้องทหารทุกเหล่าชะลอย ไป่คิด ดีใจหากมุ่งมั่นทำดีพ้อง ปกป้องชาติไทย ประชาชีขอให้เจริญธรรมและสุขสวัสดี ข่าวการ “ถอดถอน” ร่างแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ๒๕๕๑ ของนักการเมืองในระบอบทักษิณ หาใช่เป็น “ชัยชนะ” ของทแกล้วกล้าไทยรักไทยไม่ แต่เป็นเพราะ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วย คนไทยมองเห็นภัยพิบัติของชาติถ้า “นักการเมืองไทย” ควบคุม “กองทัพเหมือนพวกเขาควบคุมข้าราชการประจำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหาร” มีตัวอย่าง ๑ เรื่องอดีต “ปลัดกระทรวงคมนาคม” มีเงินสดเก็บไว้ในบ้านนับเป็นร้อยๆ ล้าน!:- (เรื่องนี้มิใช่เป็นการประจานซ้ำเติมนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แต่เป็นบทเรียนเชิงกรณีศึกษาและเปรียบเทียบ)นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม (ที่สายนักการเมืองกลุ่มหนึ่งปั้นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตคอรัปชัน ลองไปหาอ่านเอาเองนะครับ (ใน Thaipublica.Comและไทยโพสต์และอื่นๆ) เหตุเกิดเพราะบ้านนายสุพจน์ถูกโจรกรรม ขโมยเงินไป “๖ ล้านบาท แต่โจรให้การกับตำรวจว่า “ในตู้เสื้อผ้าของนายสุพจน์ยังมีเงินซ่อนไว้อีกมากมาย”เรื่องนี้ผ่านสาธารณะสังคมและสื่อ “ปปช.จึงเข้ามาตรวจสอบพบว่านายสุพจน์ “ร่ำรวยผิดปกติ” และพบว่าผิดจริงตามที่โจรให้การจึงส่งฟ้อง “ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก ๑๐ เดือน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (กรรมการการบินไทยจำกัด ด้วย) ไม่รอลงอาญาและยึดทรัพย์บ้างส่วน (เท่านั้น) เพราะปิดบังบัญชีทรัพย์สินที่ผมหยิบยกเรื่องนี้เพราะว่า “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงนั้นอยู่ในอำนาจของ ครม.!งบประมาณของแต่ละกระทรวงเป็นเค็กก้อนใหญ่ สามารถชำแหละแบ่งกันในกลุ่มนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐและตามจำนวน ส.ส.ในสภา จึงเป็นที่มาของระบบโควต้าแบ่งปัน)ถ้านักการเมืองคุม “ทหารเพียงคนเดียว” กลุ่มนักการเมืองบางคนบางกลุ่มนั้นนั้น สามารถคุมการทุจริตตลอดแนวชายแดนทั้งประเทศการค้าของเถื่อนจะเฟื่องฟูตลอดแนวชายแดน ยาเสพติด ค้าคน ค้าอาวุธ ค้ารถขโมยและสิ้นค้าเถิ่อนอื่นๆ อีกมากมาย ลองจินตนาการเอาเองนะครับสรุปว่า “เรื่องจริงที่เป็นประวัติศาสตร์การเมือง การทุจริตในประเทศไทย เคยมี นายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีเอง ๒ ท่านเท่านั้นที่เป็นเผด็จการทหารและเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกฎหมายที่ตัวท่านเองสร้างขึ้นมา เอาผิดฐานทุจริตคอรัปชันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถูกรัฐบาลจอมพลถนอมยึดทรัพย์ ๖๐๔ ล้านบาทในปี ๒๕๐๖ เข้าคลังและรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร ๔๗๐ ล้านบาทในปี ๒๕๑๖แต่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ บาทแม้ตัวเงินไม่ได้หรือสามารถวัด “ดีกรีกิเลสความโลภ ความชั่วได้แต่พฤติกรรม “โกงเงินเท่ากัน”ข้อคิด “กรรมมีจริง บาปมีจริง :Vachara Riddhagni ”
    ฝ่ายหวังยึดคุมทแกล้ว ถอนถอย แผนชั่วหาใช่ชัยชนะพลอย โห่ร้องทหารทุกเหล่าชะลอย ไป่คิด ดีใจหากมุ่งมั่นทำดีพ้อง ปกป้องชาติไทย ประชาชีขอให้เจริญธรรมและสุขสวัสดี ข่าวการ “ถอดถอน” ร่างแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ๒๕๕๑ ของนักการเมืองในระบอบทักษิณ หาใช่เป็น “ชัยชนะ” ของทแกล้วกล้าไทยรักไทยไม่ แต่เป็นเพราะ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วย คนไทยมองเห็นภัยพิบัติของชาติถ้า “นักการเมืองไทย” ควบคุม “กองทัพเหมือนพวกเขาควบคุมข้าราชการประจำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหาร” มีตัวอย่าง ๑ เรื่องอดีต “ปลัดกระทรวงคมนาคม” มีเงินสดเก็บไว้ในบ้านนับเป็นร้อยๆ ล้าน!:- (เรื่องนี้มิใช่เป็นการประจานซ้ำเติมนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แต่เป็นบทเรียนเชิงกรณีศึกษาและเปรียบเทียบ)นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม (ที่สายนักการเมืองกลุ่มหนึ่งปั้นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตคอรัปชัน ลองไปหาอ่านเอาเองนะครับ (ใน Thaipublica.Comและไทยโพสต์และอื่นๆ) เหตุเกิดเพราะบ้านนายสุพจน์ถูกโจรกรรม ขโมยเงินไป “๖ ล้านบาท แต่โจรให้การกับตำรวจว่า “ในตู้เสื้อผ้าของนายสุพจน์ยังมีเงินซ่อนไว้อีกมากมาย”เรื่องนี้ผ่านสาธารณะสังคมและสื่อ “ปปช.จึงเข้ามาตรวจสอบพบว่านายสุพจน์ “ร่ำรวยผิดปกติ” และพบว่าผิดจริงตามที่โจรให้การจึงส่งฟ้อง “ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก ๑๐ เดือน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (กรรมการการบินไทยจำกัด ด้วย) ไม่รอลงอาญาและยึดทรัพย์บ้างส่วน (เท่านั้น) เพราะปิดบังบัญชีทรัพย์สินที่ผมหยิบยกเรื่องนี้เพราะว่า “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงนั้นอยู่ในอำนาจของ ครม.!งบประมาณของแต่ละกระทรวงเป็นเค็กก้อนใหญ่ สามารถชำแหละแบ่งกันในกลุ่มนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐและตามจำนวน ส.ส.ในสภา จึงเป็นที่มาของระบบโควต้าแบ่งปัน)ถ้านักการเมืองคุม “ทหารเพียงคนเดียว” กลุ่มนักการเมืองบางคนบางกลุ่มนั้นนั้น สามารถคุมการทุจริตตลอดแนวชายแดนทั้งประเทศการค้าของเถื่อนจะเฟื่องฟูตลอดแนวชายแดน ยาเสพติด ค้าคน ค้าอาวุธ ค้ารถขโมยและสิ้นค้าเถิ่อนอื่นๆ อีกมากมาย ลองจินตนาการเอาเองนะครับสรุปว่า “เรื่องจริงที่เป็นประวัติศาสตร์การเมือง การทุจริตในประเทศไทย เคยมี นายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีเอง ๒ ท่านเท่านั้นที่เป็นเผด็จการทหารและเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกฎหมายที่ตัวท่านเองสร้างขึ้นมา เอาผิดฐานทุจริตคอรัปชันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถูกรัฐบาลจอมพลถนอมยึดทรัพย์ ๖๐๔ ล้านบาทในปี ๒๕๐๖ เข้าคลังและรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร ๔๗๐ ล้านบาทในปี ๒๕๑๖แต่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ บาทแม้ตัวเงินไม่ได้หรือสามารถวัด “ดีกรีกิเลสความโลภ ความชั่วได้แต่พฤติกรรม “โกงเงินเท่ากัน”ข้อคิด “กรรมมีจริง บาปมีจริง :Vachara Riddhagni ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ภูมิธรรม’ เผยยังไม่เห็น 6 ข้อเรียกร้องของ ‘สนธิ’ ปม MOU44 แต่เป็นสิทธิของผู้เสนอ รัฐบาลจะรับฟังและดูว่าทำได้มากน้อยเพัยงใด ขอดูก่อนจัดเวทีสาธารณะได้หรือไม่ ย้ำรัฐบาลพร้อมรับฟังทุกฝ่าย ไม่โฟกัสที่คนคนเดียว โอดรัฐบาลเพิ่งทำงาน 100 วันมีม็อบจำนวนมากแล้ว

    เมื่อเวลา 09.03 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับ MOU2544 6 ข้อต่อรัฐบาล ได้เห็นแล้วหรือยัง ว่า ตนยังไม่เห็นเงื่อนไข ซึ่งเป็นสิทธิของผู้เสนอ โดยไม่ใช่เฉพาะนายสนธิ แต่ประชาชนหรือผู้สื่อข่าวใครมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็สามารถเสนอได้ รัฐบาลก็จะรับฟัง และมาดูว่าจะสามารถทำได้มากน้อยขนาดไหน และเห็นพ้องต้องกันหรือไม่อย่างไร

    นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่หมิ่นประมาทการจัดม็อบ เพราะถือเป็นสิทธิของประชาชน ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญ ขอเพียงอย่างเดียวคือดำเนินการให้เหมาะสม และพูดให้ตรงข้อเท็จจริง ทั้งนี้รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก ฯ ทำงานไม่ถึง 100 วัน ก็มีม็อบมาเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งตนมองว่าหากมีเรื่องที่อึดอัดก็สามารถเสนอเรื่องได้เรายินดีรับฟัง แม้จะเป็นความเห็นที่แตกต่าง เพราะบางคนเห็นมุมที่ต่างกัน เปรียบเหมือนปี๊บ 1 ใบ ก็เห็นได้หลายด้าน และแต่ละด้านก็แตกต่างกันจึงมองได้หลายมุม แต่ว่าสิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียวของปี๊บ ไม่ใช่การเห็นปี๊บทั้งใบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000118796

    #MGROnline #ภูมิธรรม #สนธิ
    ‘ภูมิธรรม’ เผยยังไม่เห็น 6 ข้อเรียกร้องของ ‘สนธิ’ ปม MOU44 แต่เป็นสิทธิของผู้เสนอ รัฐบาลจะรับฟังและดูว่าทำได้มากน้อยเพัยงใด ขอดูก่อนจัดเวทีสาธารณะได้หรือไม่ ย้ำรัฐบาลพร้อมรับฟังทุกฝ่าย ไม่โฟกัสที่คนคนเดียว โอดรัฐบาลเพิ่งทำงาน 100 วันมีม็อบจำนวนมากแล้ว • เมื่อเวลา 09.03 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับ MOU2544 6 ข้อต่อรัฐบาล ได้เห็นแล้วหรือยัง ว่า ตนยังไม่เห็นเงื่อนไข ซึ่งเป็นสิทธิของผู้เสนอ โดยไม่ใช่เฉพาะนายสนธิ แต่ประชาชนหรือผู้สื่อข่าวใครมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็สามารถเสนอได้ รัฐบาลก็จะรับฟัง และมาดูว่าจะสามารถทำได้มากน้อยขนาดไหน และเห็นพ้องต้องกันหรือไม่อย่างไร • นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่หมิ่นประมาทการจัดม็อบ เพราะถือเป็นสิทธิของประชาชน ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญ ขอเพียงอย่างเดียวคือดำเนินการให้เหมาะสม และพูดให้ตรงข้อเท็จจริง ทั้งนี้รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก ฯ ทำงานไม่ถึง 100 วัน ก็มีม็อบมาเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งตนมองว่าหากมีเรื่องที่อึดอัดก็สามารถเสนอเรื่องได้เรายินดีรับฟัง แม้จะเป็นความเห็นที่แตกต่าง เพราะบางคนเห็นมุมที่ต่างกัน เปรียบเหมือนปี๊บ 1 ใบ ก็เห็นได้หลายด้าน และแต่ละด้านก็แตกต่างกันจึงมองได้หลายมุม แต่ว่าสิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียวของปี๊บ ไม่ใช่การเห็นปี๊บทั้งใบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000118796 • #MGROnline #ภูมิธรรม #สนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนวนจีนจาก <หาญท้าฯ 2>สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับสำนวนจีนจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วอาจจำได้ว่าฮ่องเต้จัดงานชมบุปผาบนเขาและต่อมามีคนลอบปลงพระชนม์จนทำให้ฟ่านเสียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงตอนเตรียมงานนั้น แม่ทัพเย่มาขอให้ฟ่านเสียนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขาจะต้องรับความผิดและลูกน้องจะซวยหนักกว่า ในเวอร์ชั่นซับไทยตอนที่แม่ทัพเย่ให้เหตุผลนี้ เขาอ้ำอึ้งใช้ประโยคว่า “หญ้า... อะไรแหลกๆ… ลมพัดแรงมักพัดถึงพวกตำแหน่งล่าง” ซึ่งฟ่านเสียนเลยต่อให้จบว่า “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ... ประโยคนี้ไม่ได้ใช้อย่างนี้” เพื่อนเพจที่ดูซับหรือพากย์ไทยอาจไม่สะดุดตาสะดุดหู แต่จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นภาษาจีนใช้อีกประโยคหนึ่ง ซึ่งสะดุดหู Storyฯ ไม่น้อยประโยคที่กล่าวถึงนี้ ในภาษาจีนก็คือ ‘เฟิงฉี่ชิงผิงจือม่อ’ (风起青萍之末) Storyฯ ขอแปลว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ซึ่งเป็นสำนวนจีน เป็นวรรคต้นของประโยคที่ว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ (风起于青萍之末,止于草莽之间) ฟังดูไพเราะ แต่มันแปลว่าอะไร?ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงที่มาว่า สำนวนนี้ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์โบราณสมัยจ้านกั๋วชื่อว่า ‘เฟิงฟู่’ (风赋 / บทประพันธ์แห่งสายลม)ของกวีนามว่าซ่งอวี้ (宋玉 ประมาณปี 290 – 222 ก่อนคริสตกาล) จากแคว้นฉู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดบทประพันธ์ชนิด ‘ฟู่’ ของจีนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด โดย ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่มีภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆเฟิงฟู่ ใช้สายลมเป็นตัวดำเนินเรื่อง กล่าวถึงอ๋องฉู่เซียงไปชมวิวบนหอสูง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) รู้สึกชื่นมื่นกับลมเย็นสบายและคิดว่านี่เป็นความเย็นสบายที่ชาวบ้านสามารถร่วมสัมผัสได้เหมือนกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือความร่ำรวยแต่ซ่งอวี้ที่ติดตามไปด้วยกลับบอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส ย่อมไม่เหมือนกับลมที่ชาวประชาสัมผัส นั่นเป็นเพราะว่า แม้ลมเป็นอากาศที่ไหลเวียนไปได้หลายพื้นที่ แต่เพราะภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่าง แรงลมที่สัมผัสได้ในแต่ละพื้นที่ย่อมแตกต่างกันซ่งอวี้บอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส สร้างตัวจากคลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหน ค่อยๆ ขยายไปยังหุบเขา ก่อเกิดเป็นลมแรงพัดผ่านภูเขา โถมกระหน่ำเข้าใส่หินผาและป่าไม้ จนผ่านพ้นถึงทุ่งหญ้าแล้วจึงสงบลงกลายเป็นสายลมที่สร้างความเย็นใจ และสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ นี้จึงเป็นการนำข้อความท่อนนี้มากลั่นย่อลงเป็นสำนวนสั้นๆ ซ่งอวี้ยังบอกต่ออีกว่า ลมที่ชาวบ้านทั่วไปสัมผัสนั้นเกิดจากตรอกเล็กซอกซอย เมื่อก่อตัวแรงขึ้นก็พัดพาเอาฝุ่นทรายและของสกปรกคลุ้งกระจายเข้าสู่บ้านเรือน ลมนั้นเมื่อชาวบ้านได้สัมผัสย่อมไม่ทำให้รู้สึกสบายตัวและอาจทำให้ล้มป่วยลงได้บทประพันธ์เฟิงฟู่นี้ไพเราะสวยงามด้วยคำบรรยายถึงลักษณะของสายลมภายใต้สภาวะต่างๆ และแฝงไว้ซึ่งข้อคิดเตือนสติ เฟิงฟู่ใช้สายลมเป็นตัวเปรียบเทียบระหว่างความเกรียงไกรของกษัตริย์และความแร้นแค้นของชาวบ้านธรรมดา สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางสังคมและความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเตือนใจต่ออ๋องฉู่เซียงว่าอย่าได้นิ่งนอนใจกับความสบายที่ได้รับเพราะในขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านที่ลำบากอยู่ต่อมาสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ถูกใช้เป็นการอุปมาอุปไมยว่า คลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นลมแรงที่กวาดไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ ก่อเกิดผลกระทบได้มากมาย และแน่นอนว่าสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ถ้าผู้มีอำนาจล้มแล้วคนที่อยู่เบื้องล่างจะซวยได้อย่างที่แม่ทัพเย่ในซีรีส์ต้องการหมายถึง และ Storyฯ คิดว่าความหมายก็เปรียบไม่ได้กับ ‘ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ’ เพราะจริงๆ แล้วความหมายของสำนวนนี้พูดสั้นๆ ก็คือ Butterfly Effect --- สิ่งเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงตามมาได้มากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.mp.oeeee.com/a/BAAFRD000020240519954909.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/风起于青萍之末/5876137 https://www.sohu.com/a/395149302_120482984 https://baike.baidu.com/item/风赋/2482215 https://zhsc.org/work/work-58b83fd9570c350062072623.htm #หาญท้าชะตาฟ้า #บทประพันธ์จีน #ButterflyEffect #เฟิงฟู่
    สำนวนจีนจาก <หาญท้าฯ 2>สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับสำนวนจีนจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วอาจจำได้ว่าฮ่องเต้จัดงานชมบุปผาบนเขาและต่อมามีคนลอบปลงพระชนม์จนทำให้ฟ่านเสียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงตอนเตรียมงานนั้น แม่ทัพเย่มาขอให้ฟ่านเสียนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขาจะต้องรับความผิดและลูกน้องจะซวยหนักกว่า ในเวอร์ชั่นซับไทยตอนที่แม่ทัพเย่ให้เหตุผลนี้ เขาอ้ำอึ้งใช้ประโยคว่า “หญ้า... อะไรแหลกๆ… ลมพัดแรงมักพัดถึงพวกตำแหน่งล่าง” ซึ่งฟ่านเสียนเลยต่อให้จบว่า “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ... ประโยคนี้ไม่ได้ใช้อย่างนี้” เพื่อนเพจที่ดูซับหรือพากย์ไทยอาจไม่สะดุดตาสะดุดหู แต่จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นภาษาจีนใช้อีกประโยคหนึ่ง ซึ่งสะดุดหู Storyฯ ไม่น้อยประโยคที่กล่าวถึงนี้ ในภาษาจีนก็คือ ‘เฟิงฉี่ชิงผิงจือม่อ’ (风起青萍之末) Storyฯ ขอแปลว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ซึ่งเป็นสำนวนจีน เป็นวรรคต้นของประโยคที่ว่า ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ (风起于青萍之末,止于草莽之间) ฟังดูไพเราะ แต่มันแปลว่าอะไร?ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงที่มาว่า สำนวนนี้ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์โบราณสมัยจ้านกั๋วชื่อว่า ‘เฟิงฟู่’ (风赋 / บทประพันธ์แห่งสายลม)ของกวีนามว่าซ่งอวี้ (宋玉 ประมาณปี 290 – 222 ก่อนคริสตกาล) จากแคว้นฉู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดบทประพันธ์ชนิด ‘ฟู่’ ของจีนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด โดย ‘ฟู่’ เป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่มีภาษาสวยงามผสมผสานคำคล้องจองลงไปเป็นช่วงๆเฟิงฟู่ ใช้สายลมเป็นตัวดำเนินเรื่อง กล่าวถึงอ๋องฉู่เซียงไปชมวิวบนหอสูง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) รู้สึกชื่นมื่นกับลมเย็นสบายและคิดว่านี่เป็นความเย็นสบายที่ชาวบ้านสามารถร่วมสัมผัสได้เหมือนกัน ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือความร่ำรวยแต่ซ่งอวี้ที่ติดตามไปด้วยกลับบอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส ย่อมไม่เหมือนกับลมที่ชาวประชาสัมผัส นั่นเป็นเพราะว่า แม้ลมเป็นอากาศที่ไหลเวียนไปได้หลายพื้นที่ แต่เพราะภูมิประเทศและสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่าง แรงลมที่สัมผัสได้ในแต่ละพื้นที่ย่อมแตกต่างกันซ่งอวี้บอกว่า ลมที่อ๋องฉู่เซียงสัมผัส สร้างตัวจากคลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหน ค่อยๆ ขยายไปยังหุบเขา ก่อเกิดเป็นลมแรงพัดผ่านภูเขา โถมกระหน่ำเข้าใส่หินผาและป่าไม้ จนผ่านพ้นถึงทุ่งหญ้าแล้วจึงสงบลงกลายเป็นสายลมที่สร้างความเย็นใจ และสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน สิ้นสุดกลางทุ่งหญ้า’ นี้จึงเป็นการนำข้อความท่อนนี้มากลั่นย่อลงเป็นสำนวนสั้นๆ ซ่งอวี้ยังบอกต่ออีกว่า ลมที่ชาวบ้านทั่วไปสัมผัสนั้นเกิดจากตรอกเล็กซอกซอย เมื่อก่อตัวแรงขึ้นก็พัดพาเอาฝุ่นทรายและของสกปรกคลุ้งกระจายเข้าสู่บ้านเรือน ลมนั้นเมื่อชาวบ้านได้สัมผัสย่อมไม่ทำให้รู้สึกสบายตัวและอาจทำให้ล้มป่วยลงได้บทประพันธ์เฟิงฟู่นี้ไพเราะสวยงามด้วยคำบรรยายถึงลักษณะของสายลมภายใต้สภาวะต่างๆ และแฝงไว้ซึ่งข้อคิดเตือนสติ เฟิงฟู่ใช้สายลมเป็นตัวเปรียบเทียบระหว่างความเกรียงไกรของกษัตริย์และความแร้นแค้นของชาวบ้านธรรมดา สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางสังคมและความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเตือนใจต่ออ๋องฉู่เซียงว่าอย่าได้นิ่งนอนใจกับความสบายที่ได้รับเพราะในขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านที่ลำบากอยู่ต่อมาสำนวน ‘ลมเกิดเหนือยอดแหน’ ถูกใช้เป็นการอุปมาอุปไมยว่า คลื่นอากาศแผ่วเบาเหนือจอกแหนสามารถก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นลมแรงที่กวาดไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ ก่อเกิดผลกระทบได้มากมาย และแน่นอนว่าสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ถ้าผู้มีอำนาจล้มแล้วคนที่อยู่เบื้องล่างจะซวยได้อย่างที่แม่ทัพเย่ในซีรีส์ต้องการหมายถึง และ Storyฯ คิดว่าความหมายก็เปรียบไม่ได้กับ ‘ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ’ เพราะจริงๆ แล้วความหมายของสำนวนนี้พูดสั้นๆ ก็คือ Butterfly Effect --- สิ่งเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์หรือการเปลี่ยนแปลงตามมาได้มากมาย(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.mp.oeeee.com/a/BAAFRD000020240519954909.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://baike.baidu.com/item/风起于青萍之末/5876137 https://www.sohu.com/a/395149302_120482984 https://baike.baidu.com/item/风赋/2482215 https://zhsc.org/work/work-58b83fd9570c350062072623.htm #หาญท้าชะตาฟ้า #บทประพันธ์จีน #ButterflyEffect #เฟิงฟู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hakan Fidan รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกียืนยันอีกครั้งว่าตุรกีพยายามยื่นไมตรีให้ซีเรียมาตลอด และสิ่งที่ตุรกีทำลงไปนั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว:

    “ข้อตกลงในการเจรจาที่กรุงอัสตานา(ปี 2017) ทำให้เราสามารถยุติความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ในซีเรียได้ และช่วยให้รัฐบาลได้มีเวลาสร้างสันติภาพกับประชาชน แต่อัสซาดไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เลยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การที่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธความคิดริเริ่มที่ประธานาธิบดีของเราริเริ่มขึ้นเพื่อเตรียมการสำหรับกระบวนการที่จะเกิดขึ้นในซีเรีย ทำให้เกิดการพัฒนาแนวทางของเราในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุด”

    (นี่เป็นข้อคิดเห็นของต้นโพสต์) บางทีอัสซาดอาจจะเป็นเซเลนสกีในอีกมิติหนึ่ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และอยู่ตรงข้ามตะวันตก อัสซาดอาจจะอ่อนแอเกินไป ซึ่งไม่สามารถควบคุมรัฐบาลของเขาได้ (ซึ่งก็เหมือนกับเซเลนสกี) แม้ว่ารัสเซียและอิหร่านพยายามประคับประคองเขา แต่เมื่อถึงเวลา ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป
    Hakan Fidan รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกียืนยันอีกครั้งว่าตุรกีพยายามยื่นไมตรีให้ซีเรียมาตลอด และสิ่งที่ตุรกีทำลงไปนั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว: “ข้อตกลงในการเจรจาที่กรุงอัสตานา(ปี 2017) ทำให้เราสามารถยุติความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ในซีเรียได้ และช่วยให้รัฐบาลได้มีเวลาสร้างสันติภาพกับประชาชน แต่อัสซาดไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เลยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การที่รัฐบาลซีเรียปฏิเสธความคิดริเริ่มที่ประธานาธิบดีของเราริเริ่มขึ้นเพื่อเตรียมการสำหรับกระบวนการที่จะเกิดขึ้นในซีเรีย ทำให้เกิดการพัฒนาแนวทางของเราในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุด” (นี่เป็นข้อคิดเห็นของต้นโพสต์) บางทีอัสซาดอาจจะเป็นเซเลนสกีในอีกมิติหนึ่ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และอยู่ตรงข้ามตะวันตก อัสซาดอาจจะอ่อนแอเกินไป ซึ่งไม่สามารถควบคุมรัฐบาลของเขาได้ (ซึ่งก็เหมือนกับเซเลนสกี) แม้ว่ารัสเซียและอิหร่านพยายามประคับประคองเขา แต่เมื่อถึงเวลา ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ ลงเว็บไซต์ Hongsamut.com ค่ะ เป็นแนวสืบสวน ชิงไหวชิงพริบ หักมุม แต่เป็นการสมมติสถานที่ บุคคลและเนื้อเรื่อง ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงนะคะ ขอให้รับชมเพื่อความบันเทิง หรือใครจะหาข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ จากงานเขียนของผู้เขียนได้ ผู้เขียนก็จะดีใจมากค่ะ

    https://www.hongsamut.com/fiction/11397/The+Contrast+%28%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%29
    ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ด้วยนะคะ ลงเว็บไซต์ Hongsamut.com ค่ะ เป็นแนวสืบสวน ชิงไหวชิงพริบ หักมุม แต่เป็นการสมมติสถานที่ บุคคลและเนื้อเรื่อง ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงนะคะ ขอให้รับชมเพื่อความบันเทิง หรือใครจะหาข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ จากงานเขียนของผู้เขียนได้ ผู้เขียนก็จะดีใจมากค่ะ https://www.hongsamut.com/fiction/11397/The+Contrast+%28%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%29
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    "จินตนาการ: ความจริงของเด็ก และบทเรียนของผู้ใหญ่"เมื่อเราย้อนคิดถึงวัยเด็ก เราทุกคนล้วนเคยใช้จินตนาการเป็นที่หลบภัยในวันที่ความจริงไม่เป็นดั่งใจ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของเด็ก แต่ยังสะท้อนความจริงของมนุษย์ทุกช่วงวัย เมื่อเราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้มา จินตนาการจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลอบประโลมใจ เป็นที่พักพิงชั่วคราว หรือในบางครั้งก็อาจยืดเยื้อจนกลายเป็นความจริงที่เราหลอกตัวเองว่า "เป็นไปได้"---จินตนาการในวัยเด็ก: ความรักที่ขาดหายในช่วงวัยเด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรักหรือความสนใจเพียงพอจากพ่อแม่ พวกเขามักสร้าง "พ่อแม่ในจินตนาการ" ขึ้นมา พ่อแม่ที่ใจดี อบอุ่น รักใคร่ และพร้อมมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักพ่อแม่ตัวจริง แต่เพราะพวกเขากำลังหาทางเติมเต็มความว่างเปล่าในใจจินตนาการเหล่านี้ช่วยเด็กจัดการกับความรู้สึกขาดหายแต่เมื่อเวลาผ่านไป จินตนาการที่ยืดเยื้ออาจทำให้พวกเขาปฏิเสธความจริง และเชื่อว่า "ไม่มีใครในโลกเข้าใจหรือรักพวกเขาจริงๆ"---จินตนาการในวัยผู้ใหญ่: ความฝันหรือการหลีกหนี?จินตนาการไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองก็ใช้มันเป็นเครื่องมือหลีกหนีความจริง เช่น การจินตนาการว่าร่ำรวย การได้ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา หรือแม้กระทั่งการคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าความจริงที่เป็นอยู่ความฝันและความหวังเป็นสิ่งดี หากใช้เพื่อสร้างแรงผลักดันแต่เมื่อจินตนาการกลายเป็น "หลุมหลบภัย" มันอาจหยุดยั้งเราไม่ให้เผชิญและแก้ไขปัญหาที่แท้จริง---บทเรียนสำหรับพ่อแม่: การสร้างจักรวาลเดียวกันกับลูกพ่อแม่ที่มัวแต่หมกมุ่นกับความต้องการของตนเอง หรืออ้างว่า "ทำเพื่ออนาคตของลูก" แต่กลับละเลยการใส่ใจในปัจจุบัน อาจกำลังสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับลูกการปล่อยให้ลูกต้องจมอยู่ในจินตนาการเพียงลำพัง อาจทำให้พวกเขาโตขึ้นมาโดยขาดความผูกพันกับความจริงในทางกลับกัน หากพ่อแม่สร้างจินตนาการร่วมกับลูก เช่น การอ่านนิทาน การพูดคุย และการเล่นร่วมกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น---ความสำคัญของการรู้จักกันและกันการรู้จักลูกอย่างแท้จริงตั้งแต่พวกเขาเกิด คือการป้องกันปัญหาความสัมพันธ์ในอนาคตลูกที่ได้รับความสนใจและการยอมรับจากพ่อแม่จะรู้สึกว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก"พ่อแม่ที่เข้าใจลูก จะมองเห็นความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของลูก---ข้อคิดสำหรับพ่อแม่1. ใส่ใจในปัจจุบัน: อย่ามองข้ามความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน2. สร้างจินตนาการร่วมกัน: ใช้เวลาอ่านนิทานหรือพูดคุยกับลูก เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า "พ่อแม่เข้าใจพวกเขา"3. อย่าปล่อยให้จินตนาการกลายเป็นหลุมหลบภัย: ช่วยให้ลูกเผชิญกับความจริงอย่างมั่นคง---"จินตนาการอาจเติมเต็มความว่างเปล่าในใจได้ชั่วคราว แต่ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่เท่านั้น ที่สามารถเติมเต็มชีวิตลูกได้อย่างแท้จริง"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 615 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต": ความแตกต่างที่เปลี่ยนชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยคำสอนและคำแนะนำมากมาย หลายคนอาจเคยได้ยินหรือจดจำธรรมะไว้ในใจ แต่ความเข้าใจและการนำไปใช้จริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนจดจำธรรมะได้มากมาย แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความสงบสุขหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะเหตุใด? เรามาหาคำตอบกัน---จำธรรมะเข้าหัว: รู้เยอะแต่ไม่เปลี่ยนแปลงการ "จำธรรมะเข้าหัว" เปรียบเสมือนการเก็บข้อมูลในสมอง เป็นการสะสมคำสอน ข้อคิด เพื่อให้พูดหรืออ้างอิงได้ในสถานการณ์ต่างๆข้อดี: สามารถแบ่งปันคำสอนหรือให้คำแนะนำกับผู้อื่นได้ข้อเสีย: เป็นเพียงการรู้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจผู้ที่จำธรรมะเข้าหัวมักมีความรู้ แต่ยังขาดการนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหาชีวิตจริง ผลที่ตามมาคือ การจมอยู่กับทุกข์เดิมๆ เพราะธรรมะที่แท้จริงยังไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ---นำธรรมะเข้าจิต: ฝึกปฏิบัติ สู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงการ "นำธรรมะเข้าจิต" คือการฝึกปฏิบัติตามคำสอนอย่างจริงจัง จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจเริ่มต้นที่การทำ: เช่น การให้ทาน การรักษาศีลฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: เช่น การอดทนต่ออารมณ์หรือสิ่งยั่วยุผลลัพธ์ที่ได้: ความสงบ ความสุข และความเข้าใจในธรรมชาติของทุกข์ธรรมะที่เข้าสู่จิตจริงๆ จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างขึ้น เช่น การเข้าใจความไม่เที่ยง ความทุกข์ และการไม่ยึดมั่นในตัวตน---เปรียบเทียบ "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต"---ทำอย่างไรให้ธรรมะเข้าสู่จิต?1. เริ่มจากสิ่งเล็กๆ: เลือกข้อธรรมะง่ายๆ เช่น การให้ทาน หรือการมีสติ2. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: อย่าท้อเมื่อเจออุปสรรค จงมองว่าเป็นบททดสอบ3. ทบทวนตนเอง: ถามตัวเองว่า "วันนี้เราได้นำธรรมะมาใช้ในชีวิตหรือยัง?"---บทสรุปการจดจำธรรมะเป็นเพียงก้าวแรก แต่การนำธรรมะเข้าจิตคือหัวใจของการปฏิบัติที่แท้จริง เพราะธรรมะไม่ใช่แค่คำพูดหรือความรู้ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราก้าวข้ามทุกข์ และสร้างความสงบสุขในชีวิต"ธรรมะที่แท้ เป็นของผู้ฝึกฝน ผู้ลงมือทำ และผู้ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง"ดังนั้น หากอยากให้ธรรมะช่วยพาเราข้ามพ้นทุกข์ อย่าหยุดแค่การจำ แต่จงเดินหน้าฝึกปฏิบัติ แล้วคุณจะค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงในใจ!
    "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต": ความแตกต่างที่เปลี่ยนชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยคำสอนและคำแนะนำมากมาย หลายคนอาจเคยได้ยินหรือจดจำธรรมะไว้ในใจ แต่ความเข้าใจและการนำไปใช้จริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนจดจำธรรมะได้มากมาย แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความสงบสุขหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะเหตุใด? เรามาหาคำตอบกัน---จำธรรมะเข้าหัว: รู้เยอะแต่ไม่เปลี่ยนแปลงการ "จำธรรมะเข้าหัว" เปรียบเสมือนการเก็บข้อมูลในสมอง เป็นการสะสมคำสอน ข้อคิด เพื่อให้พูดหรืออ้างอิงได้ในสถานการณ์ต่างๆข้อดี: สามารถแบ่งปันคำสอนหรือให้คำแนะนำกับผู้อื่นได้ข้อเสีย: เป็นเพียงการรู้เท่านั้น แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจผู้ที่จำธรรมะเข้าหัวมักมีความรู้ แต่ยังขาดการนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหาชีวิตจริง ผลที่ตามมาคือ การจมอยู่กับทุกข์เดิมๆ เพราะธรรมะที่แท้จริงยังไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ---นำธรรมะเข้าจิต: ฝึกปฏิบัติ สู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงการ "นำธรรมะเข้าจิต" คือการฝึกปฏิบัติตามคำสอนอย่างจริงจัง จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจเริ่มต้นที่การทำ: เช่น การให้ทาน การรักษาศีลฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: เช่น การอดทนต่ออารมณ์หรือสิ่งยั่วยุผลลัพธ์ที่ได้: ความสงบ ความสุข และความเข้าใจในธรรมชาติของทุกข์ธรรมะที่เข้าสู่จิตจริงๆ จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างขึ้น เช่น การเข้าใจความไม่เที่ยง ความทุกข์ และการไม่ยึดมั่นในตัวตน---เปรียบเทียบ "จำธรรมะเข้าหัว" กับ "นำธรรมะเข้าจิต"---ทำอย่างไรให้ธรรมะเข้าสู่จิต?1. เริ่มจากสิ่งเล็กๆ: เลือกข้อธรรมะง่ายๆ เช่น การให้ทาน หรือการมีสติ2. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: อย่าท้อเมื่อเจออุปสรรค จงมองว่าเป็นบททดสอบ3. ทบทวนตนเอง: ถามตัวเองว่า "วันนี้เราได้นำธรรมะมาใช้ในชีวิตหรือยัง?"---บทสรุปการจดจำธรรมะเป็นเพียงก้าวแรก แต่การนำธรรมะเข้าจิตคือหัวใจของการปฏิบัติที่แท้จริง เพราะธรรมะไม่ใช่แค่คำพูดหรือความรู้ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราก้าวข้ามทุกข์ และสร้างความสงบสุขในชีวิต"ธรรมะที่แท้ เป็นของผู้ฝึกฝน ผู้ลงมือทำ และผู้ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างแท้จริง"ดังนั้น หากอยากให้ธรรมะช่วยพาเราข้ามพ้นทุกข์ อย่าหยุดแค่การจำ แต่จงเดินหน้าฝึกปฏิบัติ แล้วคุณจะค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงในใจ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 566 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อคิดดีๆจาก หนังสือ "เทคนิคหลอกสมองให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่"
    #คำคม #ข้อคิดดีๆ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    ข้อคิดดีๆจาก หนังสือ "เทคนิคหลอกสมองให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่" #คำคม #ข้อคิดดีๆ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    วิธีจัดการกับความรู้สึกไม่อยากทำงาน โดยชี้ให้เห็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ลบ เช่น ความหนักใจ ความเหนื่อยล้า และความฝืนใจ และเสนอวิธีการเปลี่ยนมุมมองและสร้างอารมณ์เชิงบวกเพื่อเอาชนะกำแพงเหล่านั้นอย่างง่ายดายหลักสำคัญ:1. เข้าใจธรรมชาติของจิต:ความรู้สึกไม่อยากทำงานเกิดจากการสะสมอารมณ์ลบระหว่างทำงาน เช่น ความเหนื่อย ความฝืน และความเครียด ซึ่งสวนทางกับธรรมชาติที่จิตใจอยากสบาย2. แก้ไขด้วยความเบาใจ:การฝืนทำงานทันทีอาจเพิ่มความอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเบาใจ จะช่วยลดกำแพงอารมณ์ลบลงได้การสร้างภาพจินตนาการง่ายๆ เช่น ลุกไปดื่มน้ำ แล้วกลับมาทำงานต่อ เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นให้เริ่มงานได้ง่ายขึ้น3. ปรับจิตใจให้เป็นกลาง:เมื่อเริ่มทำงานด้วยอารมณ์ที่โปร่งเบา ใจจะไม่ยึดติดกับความฟุ้งซ่าน หรือความรู้สึกต่อต้านงาน4. สร้างนิสัยแห่งความสุข:ทำซ้ำกระบวนการนี้บ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย ช่วยให้การเริ่มต้นทำงานเป็นสิ่งที่ง่ายและน่าพอใจเมื่อจิตใจเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกสงบ งานจะกลายเป็นพื้นที่ฝึกสมาธิและสร้างความสุขระยะยาวข้อคิดที่สำคัญ:งานไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือฝึกจิตใจการเปลี่ยนอารมณ์ขณะทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่ายๆ และพยายามเชื่อมโยงงานกับความรู้สึกดีหากนำหลักการนี้ไปปรับใช้ จะช่วยให้เราสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและความสุขได้ในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    เรื่องราวนี้สะท้อนถึง ความแตกต่างในทัศนคติทางสังคมและการรับรู้ค่าของเงิน ที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่มีฐานะกับคนที่มีความลำบากทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายและการต่อรองราคา ที่ผู้คนมักจะรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ต่อรองราคาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในราคาต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกต้องการทำเช่นเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าที่มีราคาสูงจากร้านค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่กำหนดราคามาแล้วสิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ: 1. การต่อรองราคากับคนจน: พฤติกรรมที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ “ชัยชนะ” เมื่อสามารถต่อรองราคาของสินค้าจากผู้ที่มีรายได้น้อยลงไปได้ แม้ว่าราคาที่ตนจ่ายนั้นอาจจะไม่ได้ทำให้ผู้ขายได้กำไรจริงๆ หรือไม่ได้ทำให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นก็ตาม 2. การไม่ต่อรองในร้านค้าราคาแพง: ในทางกลับกัน ผู้คนมักจะยอมจ่ายราคาที่ตั้งไว้โดยร้านค้าหรือภัตตาคารใหญ่ โดยไม่ต่อรองหรือถามหาความเป็นไปได้ในการลดราคา ทั้งที่บางครั้งการ “ทิ้งทอน” หรือการไม่ขอส่วนลดที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป 3. การให้ราคาสูงกว่าเพื่อช่วยเหลือ: การที่ผู้เขียนเลือกที่จะให้ราคาสูงกว่าที่ต้องการเพื่อช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่มีความยากจน ถือเป็นการทำบุญที่มีความหมาย ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และการให้เกียรติในความพยายามของคนที่ทำงานหนักในแต่ละวันข้อคิดสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการสะท้อนคือการใช้ “ความเมตตา” และ “การช่วยเหลือ” ในการให้เงินหรือให้สิ่งต่างๆ แก่คนที่มีฐานะยากจน หรือผู้ที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพ การไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกเอาเปรียบ และการพยายามทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรีมากขึ้นผ่านการให้ความเคารพในราคาและการซื้อขาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 0 รีวิว
  • #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    #วันลอยกระทง #thaitimes #บทความ #ข้อคิด เนื่องในโอกาสพรุ่งนี้จะเป็นวันทิ้งขยะลงน้ำแห่งชาติ.......ตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่เถิดครับ ว่าจะไม่เห็นแก่ตัวมักง่ายโยนขยะในมือลงตามลำน้ำสาธารณะ ถ้าอยากทิ้งให้เก็บกลับไปทิ้งที่บ้านตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความสำนึกรู้คุณที่ทำได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องไปลอยกระทงให้รกลำน้ำ เป็นภาระแก่พนักงาน ที่ต้องมาตามเก็บให้เราในภายหลัง รวมถึงสร้างมลพิษต่อธรรมชาติ ต้องมาย่อยสลายสิ่งที่พวกเราก่อไว้ แม้จะขนมปังแต่เมื่อมีจำนวนมหาศาล ปลาก็กินไม่ทัน สุดท้ายจมน้ำไปก็เน่าเสียเกิดเป็นก๊าซพิษใต้น้ำ ทำให้ออกซิเจนลดต่ำ สัตว์น้ำจำนวนมากตกตายอีกกลายเป็นการซ้ำเติมต่อแม่คงคาไม่ใช่ขอขมา ถ้าอดไม่ได้อยากลอยมากจริงๆ ขอแนะนำว่าให้รับผิดชอบสิ่งที่ตนได้ลอยไปด้วยการตามเก็บกลับมาทิ้งในที่อันควรให้เรียบร้อยด้วย แล้ววิธีนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีความใส่ใจเช่นนั้น แทบทุกคนพอลอยเสร็จ ก็สะบัดก้นหันไปทำกิจกรรมอื่นกันต่อวันพระทั้งที ควรเป็นวันที่ได้ปล่อยความไม่ดีในตนให้ลอยหายไป ไม่หวงแหนหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพันไว้อีก ลอยอย่างนี้น่าจะดีกว่า ทั้งดีต่อตน ดีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดีต่อใจ ดีต่อโลก เพราะเราจะกลายเป็นผู้ที่เบียดเบียนชีวิตน้อยลง แต่ถ้าอดไม่ไหวจริงๆ หากไม่ได้ลอยกระทงแล้วอาจจะลงแดงตาย งั้นขอเสนอความเห็นเผื่อไว้ให้ลองพิจารณาดังนี้ถ้าเทศกาลลอยกระทงสำหรับคุณคือ1. เพื่อได้ขอขมาต่อแม่คงคาปีละครั้งลองไม่ต้องลอย แต่ทุกครั้งที่ใช้น้ำ ขอให้ใช้อย่างมีสติ คุ้มค่าที่สุด และไม่ทิ้งอะไรลงน้ำในทุกๆวัน ถือเป็นการกตัญญูรู้คุณ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าไหม2. การได้สนุกสนานเฮฮา ชมบรรยากาศกับเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวปีละครั้งลองเปลี่ยนจากชวนกันไปเที่ยวชมบรรยากาศ แสง สี เสียง ลอยกระทง จุดพลุ ฯลฯ มาเป็นชวนกันไปช่วยช้อนกระทงที่ลอยมาติดตามขอบริมตลิ่งขึ้นจากลำน้ำ จะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือได้บรรยากาศตามที่หวัง และได้เก็บขยะขึ้นจากน้ำด้วยน่าสนกว่าไหม3. การได้ขายกระทง ขายของกิน ของเล่น พลุประทัด และอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้คนที่มาเที่ยว เพื่อหารายได้ให้ตัวเองลองเปลี่ยนมาเป็นขายสวิงให้คนที่เขาอยากช่วยตักขยะขึ้นจากน้ำแต่ไม่มีอุปกรณ์สิ แล้วก็เขียนป้ายตัวโตๆหน่อย เช่น "สวิงกู้โลก" อุปกรณ์สำหรับยอดมนุษย์ ผู้ที่มีความปรารถนาเสียสละตน เพื่อความสุขมวลรวมประชาชาติ ออกแบบให้แจ๋วไปเลย ราคาไม่แพง แต่ใช้งานง่าย สะดวก เบามือ และแข็งแรง เทรนด์ใหม่ที่มุมมองพลิกด้าน คนอื่นเขาขายสวิงเป็นเครื่องมือทำบาป เราเปลี่ยนให้มาเป็นเครื่องมือในการทำกุศลแทน น่าสนใจกว่าไหม4. เพื่อหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ชุมชน ทำผลงานเชิดหน้าชูตาอวดนาย หรือชนชั้นผู้มีอำนาจลองเปลี่ยนใหม่นิดเดียว แทนที่จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์คนมาเที่ยวงานลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ ก็ให้เป็นเที่ยวงานอนุรักษ์น่านน้ำ คืนความงดงามสู่ธรรมชาติ ประกวดความคิดในการประดิษฐ์เครื่องมือ อุปกรณ์ในการเก็บขยะตามแหล่งน้ำ ประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้รางวัลเชิดชูพนักงานทำความสะอาดที่เขาต้องเหนื่อยหนัก ล่องเรือไปตามเก็บกวาดขยะในน้ำที่คุณๆสร้างไว้จะดีกว่าไหมแค่ช่วยคิดให้ ถ้าไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย และไม่อยากทำก็ไม่ว่ากัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่ละครระยะหลังของช่องหนึ่งกำลังมาแรง ทำท่าจะแซงโค้งช่องยักษ์ใหญ่ในอดีตทั้งหลาย ทว่าในความรู้สึกส่วนลึกของข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ใช่แซงแล้วขึ้นหน้า แต่น่าจะแซงและแหกโค้งหลุดไปนอกวิถี ที่แท้แล้วไม่ใช่พัฒนาขึ้นไปจากละครช่องอื่น แต่คือคลื่นลูกหลังที่เปรียบดังทายาทอสูร รับช่วงต่อขยะปฏิกูลที่มีมานานนม และใส่สีตีไข่ผสมให้ถูกใจคนชม มอมเมาให้หลงติดหนักมากขึ้นไปอีก

    กระแสแรงนั้นน่ากลัว เพราะคนมัวแต่บ้าตามกันไป ไหลไปไหนก็ยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ไปสู่ความเสื่อม ความทราม และห่างไกลความเจริญงอกงามทางจิตใจ

    #ข้อคิด
    #เตือนสติ
    #ละคร
    #thaitimes
    ในขณะที่ละครระยะหลังของช่องหนึ่งกำลังมาแรง ทำท่าจะแซงโค้งช่องยักษ์ใหญ่ในอดีตทั้งหลาย ทว่าในความรู้สึกส่วนลึกของข้าพเจ้าเห็นว่า ไม่ใช่แซงแล้วขึ้นหน้า แต่น่าจะแซงและแหกโค้งหลุดไปนอกวิถี ที่แท้แล้วไม่ใช่พัฒนาขึ้นไปจากละครช่องอื่น แต่คือคลื่นลูกหลังที่เปรียบดังทายาทอสูร รับช่วงต่อขยะปฏิกูลที่มีมานานนม และใส่สีตีไข่ผสมให้ถูกใจคนชม มอมเมาให้หลงติดหนักมากขึ้นไปอีก กระแสแรงนั้นน่ากลัว เพราะคนมัวแต่บ้าตามกันไป ไหลไปไหนก็ยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ไปสู่ความเสื่อม ความทราม และห่างไกลความเจริญงอกงามทางจิตใจ #ข้อคิด #เตือนสติ #ละคร #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้

    #thaitimes
    #ข้อคิด
    #เตือนใจ
    ในตัวของเราแต่ละคน มีฆาตกรร้ายแอบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ลึกและมิดชิด มันจะโผล่หน้าออกมาก็เฉพาะยามเมื่อความยับยั้งชั่งใจในตัวเองลดน้อยลงไป จงดูแลคนข้างในให้ดี อย่าปล่อยให้ออกมาอาละวาดภายนอกได้ #thaitimes #ข้อคิด #เตือนใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 505 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 720 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้นไม้พูดได้จากยอดเขา วัดพระบาทเขาหนาม เหนือเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก พระหลวงตาท่านหนึ่งดูแลอยู่และท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์

    ภาพถ่ายไว้นานกว่า 16-17 ปีได้

    #ข้อคิด
    #เขื่อนภูมิพล
    #วัดพระบาทเขาหนาม
    #thaitimes
    ต้นไม้พูดได้จากยอดเขา วัดพระบาทเขาหนาม เหนือเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก พระหลวงตาท่านหนึ่งดูแลอยู่และท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ ภาพถ่ายไว้นานกว่า 16-17 ปีได้ #ข้อคิด #เขื่อนภูมิพล #วัดพระบาทเขาหนาม #thaitimes
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า"

    พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย)

    #ข้อคิด
    #สุนทรพจน์
    #thaitimes
    #อดีตนายกรัฐมนตรี
    "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า" พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย) #ข้อคิด #สุนทรพจน์ #thaitimes #อดีตนายกรัฐมนตรี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • "แอลกอฮอล์นั้น เมื่อมันลงได้เข้าไปอยู่ในกระเพาะและเส้นเลือดของคนเราแล้ว ฉันขอโทษเถิดที่จะบอกแก่ท่านว่า มันทำให้หน้าด้าน ประกอบกรรมที่ลามกอนาจารยิ่งกว่าการกอดผู้หญิงต่อหน้าใครต่อใครได้
    อย่างง่ายดาย"

    ยศ วัชรเสถียร
    (ที่มา : คืนหนึ่งในชีวิตของฉัน)

    #ข้อคิด
    #ขี้เหล้า
    #thaitimes
    "แอลกอฮอล์นั้น เมื่อมันลงได้เข้าไปอยู่ในกระเพาะและเส้นเลือดของคนเราแล้ว ฉันขอโทษเถิดที่จะบอกแก่ท่านว่า มันทำให้หน้าด้าน ประกอบกรรมที่ลามกอนาจารยิ่งกว่าการกอดผู้หญิงต่อหน้าใครต่อใครได้ อย่างง่ายดาย" ยศ วัชรเสถียร (ที่มา : คืนหนึ่งในชีวิตของฉัน) #ข้อคิด #ขี้เหล้า #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต
    พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย
    คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป
    กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน
    ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย
    จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน
    อันชั่วดีมีจนระคนกัน
    จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง"

    ไม่ทราบนามผู้แต่ง
    (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี)

    #วรรคทองในวรรณคดี
    #thaitimes
    #บทกวี
    #กลอน
    #ข้อคิด
    "ฟ้ากำหนดบทบาทวาดชีวิต พรหมลิขิตขีดชะตาอย่าสงสัย คราอับจนทนสู้อยู่ต่อไป กลัวทำไมอุปสรรคย่อมผลักดัน ให้แปรปรวนผวนผันวันละร้อย จงค่อยค่อยพิจารณาอย่าหุนหัน อันชั่วดีมีจนระคนกัน จะมัวพรั่นอยู่ทำไมใช่จีรัง" ไม่ทราบนามผู้แต่ง (ที่มา : วรรคทองในวรรณคดี) #วรรคทองในวรรณคดี #thaitimes #บทกวี #กลอน #ข้อคิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืน 31 ตุลาคม เป็นคืนวันฮาโลวีน

    วันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปี พ.ศ.2565 เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ อินแทวอน เกาหลีใต้ เนื่องจากผู้คนแห่แหนกันออกมาเดินเที่ยวชมงานกิจกรรมเนื่องในช่วงเทศกาลฮาโลวีน

    จากที่จะเที่ยวชมอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับผี สุดท้ายจึงมีคนต้องตายเพราะขาดอากาศ ถูกเหยียบตายไปกว่า 159 คน บาดเจ็บอีกมาก

    คนที่ไปเที่ยวงาน ใครเลยจะขาดคิด สุดท้ายตนเองจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่มีโอกาสกลับบ้าน

    เราอย่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หลงใหลไปตามกระแสคลั่งไคล้ของสังคมคนส่วนใหญ่ ไม่เสมอไปว่าคนถูกใจมาก นิยมมาก รักมาก แล้วสิ่งนั้น เรื่องนั้น จะเป็นสิ่งดีเรื่องดี

    ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่เป็นภัย เป็นข้าศึกต่อกุศล

    เที่ยวกลางคืน คือหนึ่งในอบายมุข6 ที่ควรหลีกเลี่ยงละเว้น

    #ข้อคิด
    #thaitimes
    #ฮัลโลวีน
    #เที่ยวกลางคืน
    #อโคจร
    เมื่อคืน 31 ตุลาคม เป็นคืนวันฮาโลวีน วันที่ 29 ตุลาคม เมื่อปี พ.ศ.2565 เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ อินแทวอน เกาหลีใต้ เนื่องจากผู้คนแห่แหนกันออกมาเดินเที่ยวชมงานกิจกรรมเนื่องในช่วงเทศกาลฮาโลวีน จากที่จะเที่ยวชมอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับผี สุดท้ายจึงมีคนต้องตายเพราะขาดอากาศ ถูกเหยียบตายไปกว่า 159 คน บาดเจ็บอีกมาก คนที่ไปเที่ยวงาน ใครเลยจะขาดคิด สุดท้ายตนเองจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่มีโอกาสกลับบ้าน เราอย่าเป็นอีกคนหนึ่งที่หลงใหลไปตามกระแสคลั่งไคล้ของสังคมคนส่วนใหญ่ ไม่เสมอไปว่าคนถูกใจมาก นิยมมาก รักมาก แล้วสิ่งนั้น เรื่องนั้น จะเป็นสิ่งดีเรื่องดี ส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่เป็นภัย เป็นข้าศึกต่อกุศล เที่ยวกลางคืน คือหนึ่งในอบายมุข6 ที่ควรหลีกเลี่ยงละเว้น #ข้อคิด #thaitimes #ฮัลโลวีน #เที่ยวกลางคืน #อโคจร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts