• IMC Accreditation Training Center

    ก้าวอีกขั้นของ 10X Consulting ที่ได้รับการพิจารณาเป็นแบรนด์ที่ผ่านการรับรองตามสมรรถนะระดับสากลของ International Mentoring Center (IMC) หรือ IMC Accreditation Training Center
    10X Consulting เป็นแบรนด์แรกในประเทศที่ให้บริการ และให้การรับรอง (Certified) แก่บุคคล ทีม และองค์กรที่เรียนรู้ด้านเมนทอร์อย่างเต็มรูปแบบ

    เราทุ่มเทพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามเหตุผลของการดำรงอยู่ของเรา (Why we exist?) : “พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก” มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “ผู้ให้บริการโซลูชั่นชั้นนำทางการจัดการที่เป็นเลิศเพื่อบุคคล ทีม และสถานที่ทำงานที่คนทุกคนประสบความสำเร็จ”

    ความก้าวหน้าอีกขั้นของเราเกิดจากความเชื่อมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการใช้ “OKR – Objective & Key Results” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ และให้บริการแก่องค์กร ทีมและผู้นำ ซึ่งเป็นลูกค้าคนพิเศษ – คนสำคัญซึ่งมอบความไว้วางใจให้เราได้มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กร

    10X Consulting เรายังคงมุ่งหน้าสู่ BHAG (Big Hairy Audacious Goal) ของเรา “ยกระดับผลงานองค์กร/โครงการ > 10X จำนวน 1 ล้านองค์กร/โครงการ ภายในปี 2030”

    รายละเอียดการรับรอง
    การรับรองนี้ตระหนักถึงความมุ่งมั่นของคุณในการให้การฝึกอบรมการให้คําปรึกษาคุณภาพสูงและการปฏิบัติตามมาตรฐานของ IMC
    ประเภท : ศูนย์ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง
    ชื่อศูนย์ฝึกอบรม : 10X Consulting
    วันที่รับรอง : 21 พ.ย. 2567
    วันหมดอายุ : 20 พ.ย. 2569

    ในฐานะผู้ให้บริการการฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก IMC คุณได้รับอนุญาตให้:
    -ใช้โลโก้และการกําหนดผู้ให้บริการการฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก IMC
    -เสนอโปรแกรมการให้คําปรึกษาที่ได้รับการรับรองจาก IMC
    -ออกป้ายที่ได้รับการรับรอง IMC ให้กับผู้สําเร็จการศึกษาจากโปรแกรมของคุณ

    ตรวจโปรไฟล์การรับรอง IMC Accreditation Training Center ได้ที่ https://app.mentoringcenter.org/detailed-overview/?center=10x-Consulting-20
    IMC Accreditation Training Center ก้าวอีกขั้นของ 10X Consulting ที่ได้รับการพิจารณาเป็นแบรนด์ที่ผ่านการรับรองตามสมรรถนะระดับสากลของ International Mentoring Center (IMC) หรือ IMC Accreditation Training Center 10X Consulting เป็นแบรนด์แรกในประเทศที่ให้บริการ และให้การรับรอง (Certified) แก่บุคคล ทีม และองค์กรที่เรียนรู้ด้านเมนทอร์อย่างเต็มรูปแบบ เราทุ่มเทพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามเหตุผลของการดำรงอยู่ของเรา (Why we exist?) : “พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก” มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “ผู้ให้บริการโซลูชั่นชั้นนำทางการจัดการที่เป็นเลิศเพื่อบุคคล ทีม และสถานที่ทำงานที่คนทุกคนประสบความสำเร็จ” ความก้าวหน้าอีกขั้นของเราเกิดจากความเชื่อมั่นและทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการใช้ “OKR – Objective & Key Results” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ และให้บริการแก่องค์กร ทีมและผู้นำ ซึ่งเป็นลูกค้าคนพิเศษ – คนสำคัญซึ่งมอบความไว้วางใจให้เราได้มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กร 10X Consulting เรายังคงมุ่งหน้าสู่ BHAG (Big Hairy Audacious Goal) ของเรา “ยกระดับผลงานองค์กร/โครงการ > 10X จำนวน 1 ล้านองค์กร/โครงการ ภายในปี 2030” รายละเอียดการรับรอง การรับรองนี้ตระหนักถึงความมุ่งมั่นของคุณในการให้การฝึกอบรมการให้คําปรึกษาคุณภาพสูงและการปฏิบัติตามมาตรฐานของ IMC ประเภท : ศูนย์ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง ชื่อศูนย์ฝึกอบรม : 10X Consulting วันที่รับรอง : 21 พ.ย. 2567 วันหมดอายุ : 20 พ.ย. 2569 ในฐานะผู้ให้บริการการฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก IMC คุณได้รับอนุญาตให้: -ใช้โลโก้และการกําหนดผู้ให้บริการการฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก IMC -เสนอโปรแกรมการให้คําปรึกษาที่ได้รับการรับรองจาก IMC -ออกป้ายที่ได้รับการรับรอง IMC ให้กับผู้สําเร็จการศึกษาจากโปรแกรมของคุณ ตรวจโปรไฟล์การรับรอง IMC Accreditation Training Center ได้ที่ https://app.mentoringcenter.org/detailed-overview/?center=10x-Consulting-20
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ขอแสดงมุทิตาจิตกับสามเณรสกาย ในการสำเร็จการศึกษา “นักธรรมชั้นตรี” ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้สามเณรสกายได้สำเร็จบรรลุเป้าหมายเปรียญธรรม ๙ ประโยคสมปรารถนา เป็นศาสนทายาทสืบทอดพระธรรมสืบต่อไปผลสอบธรรมสนามหลวง จากสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงโดยความเห็นของมหาเถรสมาคม#สามเณรปลูกปัญญาธรรมรม #บวชเณร #เณรน้อย #น่ารัก #กิจกรรม #ปิดเทอม #อนุโมทนาบุญ #สาธุ #ทรูปลูกปัญญา #truelittlemonk #dhamma
    ขอแสดงมุทิตาจิตกับสามเณรสกาย ในการสำเร็จการศึกษา “นักธรรมชั้นตรี” ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้สามเณรสกายได้สำเร็จบรรลุเป้าหมายเปรียญธรรม ๙ ประโยคสมปรารถนา เป็นศาสนทายาทสืบทอดพระธรรมสืบต่อไปผลสอบธรรมสนามหลวง จากสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงโดยความเห็นของมหาเถรสมาคม#สามเณรปลูกปัญญาธรรมรม #บวชเณร #เณรน้อย #น่ารัก #กิจกรรม #ปิดเทอม #อนุโมทนาบุญ #สาธุ #ทรูปลูกปัญญา #truelittlemonk #dhamma
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • ❤️ #รีวิว เส้นทาง #คุนหมิง #ต้าหลี่ จากคุณวิชาญนะคะ❤️ เมื่อวันที่ 9-14 พ.ย. 67 ที่ผ่านมานะคะ📍
    ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘

    "แนวคิดท่องเที่ยวแบบผมคือ ประเทศจีนไม่ใช่ปากซอย แล้วว่าถ้าตอนเช้าลืมตอนบ่ายก็เดินกลับใหม่ไปได้ ดังนั้นก่อนจะเลือกสถานที่ท่องเที่ยวหรือทัวร์ต่างๆผมจะหาข้อมูลอย่างค่อนข้างละเอียดรอบคอบเพราะถ้าไปผิดเวลาสถานที่หรือบุคคลอาจจะทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจได้ เมื่อมาเที่ยวกับบริษัท #Etravelway ทำให้ผมรู้สึกว่าพาเที่ยวได้อย่างถูกทั้งบุคคล สถานที่ และเวลา นั่นหมายถึงบริษัทต้องมีหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวลาและทำให้การท่องเที่ยวไหลลื่นไปได้ถูกเวลาและสถานที่ ตัวอย่างของหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่ทำให้ประทับใจมีหลากหลายเรื่องมากๆครับ รวมถึงรายละเอียดต่างๆในการบริหารจัดการเวลาเช่น ภูเขาหิมะมังกรหยกเราต้องตื่นเช้านิดนึงแล้วอย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเพราะถ้าไปช้าแค่ 2-3 นาทีอาจจะต้องต่อคิวยาวมากอาจจะไม่ทันถ่ายรูปภูเขาที่ยอดเขาเป็นสีเหลืองทองของแสงอาทิตย์ตามรูปที่ส่งมาด้วยซึ่งก็มีหลายบริษัททัวร์ที่ถ่ายรูปไม่ทัน รวมถึงเกร็ดประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการศึกษาเศรษฐกิจที่ไกด์ท้องถิ่นได้สอดแทรกความรู้และยังมีมุกตลกขำขันให้เราได้แก้ง่วงระหว่างนั่งรถด้วยอย่างเช่นเรื่องของก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานเรื่องของการเรียกหญิงสาวในแต่ละเมืองที่จะเรียกต่างกันไปเป็นต้น บางเมืองห้ามรถมอเตอร์ไซค์เข้าวงแหวนชั้นในรวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับ 1อย่างเช่นชิงหัว ซึ่งอันที่จริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวของทุกๆทัวร์ก็จะคล้ายๆกันแต่คุณภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม หัวหน้าไกด์เป็นช่างภาพที่รู้ตำแหน่ง มุมภาพและเวลาทำให้ทำให้ผมประทับใจมากครับ คราวหน้าก็คงเลือกทัวร์ของบริษัทอีก 
    จบแล้วครับ"

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ❤️ #รีวิว เส้นทาง #คุนหมิง #ต้าหลี่ จากคุณวิชาญนะคะ❤️ เมื่อวันที่ 9-14 พ.ย. 67 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 "แนวคิดท่องเที่ยวแบบผมคือ ประเทศจีนไม่ใช่ปากซอย แล้วว่าถ้าตอนเช้าลืมตอนบ่ายก็เดินกลับใหม่ไปได้ ดังนั้นก่อนจะเลือกสถานที่ท่องเที่ยวหรือทัวร์ต่างๆผมจะหาข้อมูลอย่างค่อนข้างละเอียดรอบคอบเพราะถ้าไปผิดเวลาสถานที่หรือบุคคลอาจจะทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจได้ เมื่อมาเที่ยวกับบริษัท #Etravelway ทำให้ผมรู้สึกว่าพาเที่ยวได้อย่างถูกทั้งบุคคล สถานที่ และเวลา นั่นหมายถึงบริษัทต้องมีหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวลาและทำให้การท่องเที่ยวไหลลื่นไปได้ถูกเวลาและสถานที่ ตัวอย่างของหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่ทำให้ประทับใจมีหลากหลายเรื่องมากๆครับ รวมถึงรายละเอียดต่างๆในการบริหารจัดการเวลาเช่น ภูเขาหิมะมังกรหยกเราต้องตื่นเช้านิดนึงแล้วอย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเพราะถ้าไปช้าแค่ 2-3 นาทีอาจจะต้องต่อคิวยาวมากอาจจะไม่ทันถ่ายรูปภูเขาที่ยอดเขาเป็นสีเหลืองทองของแสงอาทิตย์ตามรูปที่ส่งมาด้วยซึ่งก็มีหลายบริษัททัวร์ที่ถ่ายรูปไม่ทัน รวมถึงเกร็ดประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการศึกษาเศรษฐกิจที่ไกด์ท้องถิ่นได้สอดแทรกความรู้และยังมีมุกตลกขำขันให้เราได้แก้ง่วงระหว่างนั่งรถด้วยอย่างเช่นเรื่องของก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานเรื่องของการเรียกหญิงสาวในแต่ละเมืองที่จะเรียกต่างกันไปเป็นต้น บางเมืองห้ามรถมอเตอร์ไซค์เข้าวงแหวนชั้นในรวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับ 1อย่างเช่นชิงหัว ซึ่งอันที่จริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวของทุกๆทัวร์ก็จะคล้ายๆกันแต่คุณภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม หัวหน้าไกด์เป็นช่างภาพที่รู้ตำแหน่ง มุมภาพและเวลาทำให้ทำให้ผมประทับใจมากครับ คราวหน้าก็คงเลือกทัวร์ของบริษัทอีก  จบแล้วครับ" ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • ❤️ #รีวิว เส้นทาง #คุนหมิง #ต้าหลี่ จากคุณวิชาญนะคะ❤️ เมื่อวันที่ 9-14 พ.ย. 67 ที่ผ่านมานะคะ📍
    ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘

    "แนวคิดท่องเที่ยวแบบผมคือ ประเทศจีนไม่ใช่ปากซอย แล้วว่าถ้าตอนเช้าลืมตอนบ่ายก็เดินกลับใหม่ไปได้ ดังนั้นก่อนจะเลือกสถานที่ท่องเที่ยวหรือทัวร์ต่างๆผมจะหาข้อมูลอย่างค่อนข้างละเอียดรอบคอบเพราะถ้าไปผิดเวลาสถานที่หรือบุคคลอาจจะทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจได้ เมื่อมาเที่ยวกับบริษัท #Etravelway ทำให้ผมรู้สึกว่าพาเที่ยวได้อย่างถูกทั้งบุคคล สถานที่ และเวลา นั่นหมายถึงบริษัทต้องมีหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวลาและทำให้การท่องเที่ยวไหลลื่นไปได้ถูกเวลาและสถานที่ ตัวอย่างของหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่ทำให้ประทับใจมีหลากหลายเรื่องมากๆครับ รวมถึงรายละเอียดต่างๆในการบริหารจัดการเวลาเช่น ภูเขาหิมะมังกรหยกเราต้องตื่นเช้านิดนึงแล้วอย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเพราะถ้าไปช้าแค่ 2-3 นาทีอาจจะต้องต่อคิวยาวมากอาจจะไม่ทันถ่ายรูปภูเขาที่ยอดเขาเป็นสีเหลืองทองของแสงอาทิตย์ตามรูปที่ส่งมาด้วยซึ่งก็มีหลายบริษัททัวร์ที่ถ่ายรูปไม่ทัน รวมถึงเกร็ดประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการศึกษาเศรษฐกิจที่ไกด์ท้องถิ่นได้สอดแทรกความรู้และยังมีมุกตลกขำขันให้เราได้แก้ง่วงระหว่างนั่งรถด้วยอย่างเช่นเรื่องของก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานเรื่องของการเรียกหญิงสาวในแต่ละเมืองที่จะเรียกต่างกันไปเป็นต้น บางเมืองห้ามรถมอเตอร์ไซค์เข้าวงแหวนชั้นในรวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับ 1อย่างเช่นชิงหัว ซึ่งอันที่จริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวของทุกๆทัวร์ก็จะคล้ายๆกันแต่คุณภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม หัวหน้าไกด์เป็นช่างภาพที่รู้ตำแหน่ง มุมภาพและเวลาทำให้ทำให้ผมประทับใจมากครับ คราวหน้าก็คงเลือกทัวร์ของบริษัทอีก 
    จบแล้วครับ"

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ❤️ #รีวิว เส้นทาง #คุนหมิง #ต้าหลี่ จากคุณวิชาญนะคะ❤️ เมื่อวันที่ 9-14 พ.ย. 67 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 "แนวคิดท่องเที่ยวแบบผมคือ ประเทศจีนไม่ใช่ปากซอย แล้วว่าถ้าตอนเช้าลืมตอนบ่ายก็เดินกลับใหม่ไปได้ ดังนั้นก่อนจะเลือกสถานที่ท่องเที่ยวหรือทัวร์ต่างๆผมจะหาข้อมูลอย่างค่อนข้างละเอียดรอบคอบเพราะถ้าไปผิดเวลาสถานที่หรือบุคคลอาจจะทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจได้ เมื่อมาเที่ยวกับบริษัท #Etravelway ทำให้ผมรู้สึกว่าพาเที่ยวได้อย่างถูกทั้งบุคคล สถานที่ และเวลา นั่นหมายถึงบริษัทต้องมีหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวลาและทำให้การท่องเที่ยวไหลลื่นไปได้ถูกเวลาและสถานที่ ตัวอย่างของหัวหน้าไกด์และไกด์ท้องถิ่นที่ทำให้ประทับใจมีหลากหลายเรื่องมากๆครับ รวมถึงรายละเอียดต่างๆในการบริหารจัดการเวลาเช่น ภูเขาหิมะมังกรหยกเราต้องตื่นเช้านิดนึงแล้วอย่าเพิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเพราะถ้าไปช้าแค่ 2-3 นาทีอาจจะต้องต่อคิวยาวมากอาจจะไม่ทันถ่ายรูปภูเขาที่ยอดเขาเป็นสีเหลืองทองของแสงอาทิตย์ตามรูปที่ส่งมาด้วยซึ่งก็มีหลายบริษัททัวร์ที่ถ่ายรูปไม่ทัน รวมถึงเกร็ดประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการศึกษาเศรษฐกิจที่ไกด์ท้องถิ่นได้สอดแทรกความรู้และยังมีมุกตลกขำขันให้เราได้แก้ง่วงระหว่างนั่งรถด้วยอย่างเช่นเรื่องของก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานเรื่องของการเรียกหญิงสาวในแต่ละเมืองที่จะเรียกต่างกันไปเป็นต้น บางเมืองห้ามรถมอเตอร์ไซค์เข้าวงแหวนชั้นในรวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับ 1อย่างเช่นชิงหัว ซึ่งอันที่จริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวของทุกๆทัวร์ก็จะคล้ายๆกันแต่คุณภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม หัวหน้าไกด์เป็นช่างภาพที่รู้ตำแหน่ง มุมภาพและเวลาทำให้ทำให้ผมประทับใจมากครับ คราวหน้าก็คงเลือกทัวร์ของบริษัทอีก  จบแล้วครับ" ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • สหรัฐพร้อมทำสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซียในระดับที่ยอมรับได้ เพราะยังต้องเก็บอาวุธนิวเคลียร์บางส่วนไว้เพื่อรักษาการเป็นมหาอำนาจโลกด้านอาวุธต่อไป

    "สหรัฐฯยอมรับได้หากมีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในเงื่อนไขที่สหรัฐยอมรับได้มากที่สุด ซึ่งเป็นกรณีที่จำเป็น แต่เราจะต้องเก็บอาวุธนิวเคลียร์ไว้บางส่วนด้วยเพื่อขู่ขวัญศัตรูต่อไป"

    "เราจำเป็นต้องมีอาวุธสำรองไว้ คุณคงไม่ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อชัยชนะใช่ไหม? เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะไมีเหลืออะไรไว้ขู่ศัตรู"

    ตามที่บิวแคนันพูด สหรัฐยินดีใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และเพื่อให้สหรัฐฯ "ยังคงเป็นผู้นำโลกต่อไป"

    พลเรือเอกโทมัส บิวแคนัน โฆษกของกองบัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐ (STRATCOM) กล่าวแสดงความเห็นเมื่อวันพุธในงาน Project Atom 2024 ที่ศูนย์การศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง Oreshnik โจมตีโรงงานผลิตอาวุธขนาดใหญ่ในเมือง Dnepropetrovsk

    บิวแคนัน เรียกสงครามนิวเคลียร์ว่าเป็น “เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้” “และเมื่อไหร่ที่ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดี เราก็พร้อมที่จะเอาชนะในความขัดแย้งทันที”

    อย่างไรก็ตาม บิวแคนัน กล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีใครต้องการสงครามนิวเคลียร์” และเรียกร้องให้ทำเนียบขาวเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมกับรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ เพื่อป้องกันสงครามนิวเคลียร์
    สหรัฐพร้อมทำสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซียในระดับที่ยอมรับได้ เพราะยังต้องเก็บอาวุธนิวเคลียร์บางส่วนไว้เพื่อรักษาการเป็นมหาอำนาจโลกด้านอาวุธต่อไป "สหรัฐฯยอมรับได้หากมีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในเงื่อนไขที่สหรัฐยอมรับได้มากที่สุด ซึ่งเป็นกรณีที่จำเป็น แต่เราจะต้องเก็บอาวุธนิวเคลียร์ไว้บางส่วนด้วยเพื่อขู่ขวัญศัตรูต่อไป" "เราจำเป็นต้องมีอาวุธสำรองไว้ คุณคงไม่ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีเพื่อชัยชนะใช่ไหม? เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะไมีเหลืออะไรไว้ขู่ศัตรู" ตามที่บิวแคนันพูด สหรัฐยินดีใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และเพื่อให้สหรัฐฯ "ยังคงเป็นผู้นำโลกต่อไป" พลเรือเอกโทมัส บิวแคนัน โฆษกของกองบัญชาการยุทธศาสตร์สหรัฐ (STRATCOM) กล่าวแสดงความเห็นเมื่อวันพุธในงาน Project Atom 2024 ที่ศูนย์การศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง Oreshnik โจมตีโรงงานผลิตอาวุธขนาดใหญ่ในเมือง Dnepropetrovsk บิวแคนัน เรียกสงครามนิวเคลียร์ว่าเป็น “เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้” “และเมื่อไหร่ที่ได้รับคำสั่งจากประธานาธิบดี เราก็พร้อมที่จะเอาชนะในความขัดแย้งทันที” อย่างไรก็ตาม บิวแคนัน กล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีใครต้องการสงครามนิวเคลียร์” และเรียกร้องให้ทำเนียบขาวเริ่มการเจรจาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมกับรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ เพื่อป้องกันสงครามนิวเคลียร์
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • ระบบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าการที่นาโต้จะยกระดับความรุนแรงขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย - ผู้เชี่ยวชาญ

    "วลาดิมีร์ ปูติน ส่งสารอันทรงพลังไปยังตะวันตกว่าพวกเขาควรแก้ไขการตัดสินใจยกระดับความขัดแย้ง," ดมิทรี ซุสลอฟ, รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษายุโรปและระหว่างประเทศของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงของรัสเซีย, ซึ่งมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำแก่ผู้นำในการแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียและการนำหลักคำสอนใหม่มาใช้, กล่าวกับสปุตนิก

    เมื่อวันพฤหัสบดี, ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เปิดตัวขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ซึ่งถูกยิงเมื่อคืนวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้การใช้ระบบ ATACMS และ Storm Shadows ระยะไกลของนาโต้โจมตีภูมิภาค Bryansk และ Kursk ของรัสเซีย ผลจากการโจมตี, ทำให้ Yuzhmash (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Pivdenmash), ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธของยูเครนถูกโจมตีที่เมือง Dnepropetrovsk ได้สำเร็จ

    ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งนี้, ปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า หากประเทศสมาชิก NATO ยังคงใช้ขีปนาวุธ ATACMS และ Storm Shadow โจมตีรัสเซีย, "รัสเซียอาจใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางโจมตีประเทศเหล่านั้น, โจมตีวัตถุทางทหารของประเทศตะวันตกเหล่านี้," ซุสลอฟ กล่าวต่อ

    ยิ่งไปกว่านั้น, ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า, รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น "หากตะวันตกตอบสนองต่อการกระทำของรัสเซียด้วยวิธีการที่รุนแรงขึ้น, รัสเซียก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น, และการนำหลักคำสอนนิวเคลียร์ใหม่ล่าสุดของรัสเซียมาใช้ แสดงให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ชั่วร้ายในระดับหนึ่งแล้ว," เขากล่าวเน้นย้ำ

    ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ, ยูริ คนูตอฟ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและนักประวัติศาสตร์ของกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ กล่าวกับสปุตนิก

    "ความเร็วของขีปนาวุธรุ่นนี้, ตามที่ประธานาธิบดีกล่าวไว้, คือ ๑๐ มัค ปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกที่มีขีปนาวุธแบบนี้," เขากล่าว

    ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ขณะนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆในโลกต่างไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียได้

    "เราได้สาธิตขีปนาวุธที่สามารถโจมตีไม่เพียงแต่เมืองยูซมาชเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงลอนดอนและปารีสด้วย หากฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ยังคงเดินหน้ายกระดับการโจมตีรัสเซีย, และยังคงแทรกแซงโดยตรงต่อฝ่ายยูเครน," คนูตอฟ กล่าวสรุป
    .
    RUSSIA'S HYPERSONIC ORESHNIK MISSILE SYSTEM SHOWS NATO ESCALATION WILL COME AT PRICE - EXPERTS

    "Vladimir Putin delivered a very powerful message to the West that they should revise the decision to escalate the conflict," Dmitry Suslov, deputy director of the Center for European and International Studies at Russia’s Higher School of Economics, who participated in advising the leadership on amendment of the Russian nuclear doctrine and adoption of the new one, tells Sputnik.

    On Thursday, Russian President Vladimir Putin unveiled the Oreshnik medium-range hypersonic ballistic missile that was fired on the night of November 21 in response to Ukraine's use of NATO's long-range ATACMS and Storm Shadows against Russia's Bryansk and Kursk regions. As a result of the strike, Yuzhmash (also known as Pivdenmash), a Ukrainian arms manufacturer was successfully hit in Dnepropetrovsk.

    With this move, Putin made it clear that if NATO countries continue to use their ATACMS and Storm Shadow missiles against Russia, "then Russia might use its medium range missiles against those countries, against the military objects of these Western countries," Suslov continued.

    Moreover, Russia is ready for further escalation, according to the pundit. "If the West will respond to these Russian actions in the escalatory way, then Russia will escalate further. And the recent adoption of the newest Russian nuclear doctrine tells that Russia is basically ready at a certain stage to use evil nuclear weapons," he stresses.

    Russia's new hypersonic missile is a breakthrough technology, Yuri Knutov, military expert and historian of the Air Defense Forces, tells Sputnik

    "Its speed, as the president said, is 10 Mach. Today, no other country in the world has such missiles," he says.

    The pundit underscored that neither the US nor other countries of the world currently possess air defense systems capable of intercepting Russia's new hypersonic missiles.

    "We demonstrated a missile that can strike not only Yuzhmash, but also London and Paris if France and Great Britain continue their escalation course towards Russia, continue their direct intervention on the side of Ukraine," Knutov concludes.
    .
    1:48 AM · Nov 22, 2024 · 5,207 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1859670274335236138
    ระบบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าการที่นาโต้จะยกระดับความรุนแรงขึ้นนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย - ผู้เชี่ยวชาญ "วลาดิมีร์ ปูติน ส่งสารอันทรงพลังไปยังตะวันตกว่าพวกเขาควรแก้ไขการตัดสินใจยกระดับความขัดแย้ง," ดมิทรี ซุสลอฟ, รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษายุโรปและระหว่างประเทศของโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงของรัสเซีย, ซึ่งมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำแก่ผู้นำในการแก้ไขหลักคำสอนนิวเคลียร์ของรัสเซียและการนำหลักคำสอนใหม่มาใช้, กล่าวกับสปุตนิก เมื่อวันพฤหัสบดี, ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เปิดตัวขีปนาวุธพิสัยกลางความเร็วเหนือเสียง Oreshnik ซึ่งถูกยิงเมื่อคืนวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้การใช้ระบบ ATACMS และ Storm Shadows ระยะไกลของนาโต้โจมตีภูมิภาค Bryansk และ Kursk ของรัสเซีย ผลจากการโจมตี, ทำให้ Yuzhmash (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Pivdenmash), ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธของยูเครนถูกโจมตีที่เมือง Dnepropetrovsk ได้สำเร็จ ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งนี้, ปูตินได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า หากประเทศสมาชิก NATO ยังคงใช้ขีปนาวุธ ATACMS และ Storm Shadow โจมตีรัสเซีย, "รัสเซียอาจใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางโจมตีประเทศเหล่านั้น, โจมตีวัตถุทางทหารของประเทศตะวันตกเหล่านี้," ซุสลอฟ กล่าวต่อ ยิ่งไปกว่านั้น, ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวอีกว่า, รัสเซียพร้อมที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น "หากตะวันตกตอบสนองต่อการกระทำของรัสเซียด้วยวิธีการที่รุนแรงขึ้น, รัสเซียก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น, และการนำหลักคำสอนนิวเคลียร์ใหม่ล่าสุดของรัสเซียมาใช้ แสดงให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ชั่วร้ายในระดับหนึ่งแล้ว," เขากล่าวเน้นย้ำ ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ, ยูริ คนูตอฟ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและนักประวัติศาสตร์ของกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศ กล่าวกับสปุตนิก "ความเร็วของขีปนาวุธรุ่นนี้, ตามที่ประธานาธิบดีกล่าวไว้, คือ ๑๐ มัค ปัจจุบันไม่มีประเทศใดในโลกที่มีขีปนาวุธแบบนี้," เขากล่าว ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ขณะนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆในโลกต่างไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ของรัสเซียได้ "เราได้สาธิตขีปนาวุธที่สามารถโจมตีไม่เพียงแต่เมืองยูซมาชเท่านั้น, แต่ยังรวมถึงลอนดอนและปารีสด้วย หากฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ยังคงเดินหน้ายกระดับการโจมตีรัสเซีย, และยังคงแทรกแซงโดยตรงต่อฝ่ายยูเครน," คนูตอฟ กล่าวสรุป . RUSSIA'S HYPERSONIC ORESHNIK MISSILE SYSTEM SHOWS NATO ESCALATION WILL COME AT PRICE - EXPERTS "Vladimir Putin delivered a very powerful message to the West that they should revise the decision to escalate the conflict," Dmitry Suslov, deputy director of the Center for European and International Studies at Russia’s Higher School of Economics, who participated in advising the leadership on amendment of the Russian nuclear doctrine and adoption of the new one, tells Sputnik. On Thursday, Russian President Vladimir Putin unveiled the Oreshnik medium-range hypersonic ballistic missile that was fired on the night of November 21 in response to Ukraine's use of NATO's long-range ATACMS and Storm Shadows against Russia's Bryansk and Kursk regions. As a result of the strike, Yuzhmash (also known as Pivdenmash), a Ukrainian arms manufacturer was successfully hit in Dnepropetrovsk. With this move, Putin made it clear that if NATO countries continue to use their ATACMS and Storm Shadow missiles against Russia, "then Russia might use its medium range missiles against those countries, against the military objects of these Western countries," Suslov continued. Moreover, Russia is ready for further escalation, according to the pundit. "If the West will respond to these Russian actions in the escalatory way, then Russia will escalate further. And the recent adoption of the newest Russian nuclear doctrine tells that Russia is basically ready at a certain stage to use evil nuclear weapons," he stresses. Russia's new hypersonic missile is a breakthrough technology, Yuri Knutov, military expert and historian of the Air Defense Forces, tells Sputnik "Its speed, as the president said, is 10 Mach. Today, no other country in the world has such missiles," he says. The pundit underscored that neither the US nor other countries of the world currently possess air defense systems capable of intercepting Russia's new hypersonic missiles. "We demonstrated a missile that can strike not only Yuzhmash, but also London and Paris if France and Great Britain continue their escalation course towards Russia, continue their direct intervention on the side of Ukraine," Knutov concludes. . 1:48 AM · Nov 22, 2024 · 5,207 Views https://x.com/SputnikInt/status/1859670274335236138
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 592 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ
    .
    รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น
    .
    วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน
    .
    - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย
    .
    - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น
    .
    - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย
    .
    - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ
    .
    - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก
    .
    - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ
    .
    - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน
    .
    - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร
    .
    - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ
    .
    - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้
    .
    - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง
    ..............
    Sondhi X
    สนธิเล่าเรื่อง "ทนายตั้ม" ทำตัวผู้จัดการมรดก ส่อง GPS รถเบนซ์ เปิดแผนลวงเข้าป่า-ล่องแพ . รายการสนธิเล่าเรื่องเช้านี้ พบทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เขียนพินัยกรรมเอง ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ พบให้พยานเซ็นเฉพาะหน้าสุดท้าย ไม่คืนคู่ฉบับ ซื้อรถเบนซ์คุณอ้อย ติด GPS ดูทุกความเคลื่อนไหว แถมชักชวนไปเที่ยวไกลๆ ไปเชียงราย แม้กระทั่งไปเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี ไม่มีสัญญาณมือถือ ผวาหากตายไปอ้างได้ว่าอุบัติเหตุ สุดท้ายทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองสกัดกั้น . วันนี้ (20 พ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการสนธิเล่าเรื่อง ทางยูทูบ Sondhitalk ถึงความคืบหน้าคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไฮไสต์สำคัญอยู่ที่การที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยสรุปดังนี้ . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกในการเขียนพินัยกรรม พอได้รับการแต่งตั้งก็พยายามชวนคุณอ้อยไปเที่ยวไกลๆ เช่น เขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครคาดคิด หากคุณอ้อยเสียชีวิต ทนายตั้มจะได้เป็นผู้จัดการมรดก มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว แต่โชคดีที่คุณอ้อยไหวตัวทัน . - ก่อนหน้านี้บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ได้รับว่าจ้างจากคุณอ้อยเดือนละ 300,000 บาทให้เป็นที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ธุรกิจ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากนั้นทนายตั้มอาศัยความไว้ใจจากพี่อ้อยช่วยเหลือดำเนินการ เช่น ยกลูกตัวเองคนหนึ่งให้เป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกชายคุณอ้อยไม่เห็นด้วย . - เมื่อรู้ว่าคุณอ้อยร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาท และการศึกษาน้อย ร่ำรวยจากการเสี่ยงโชค คุณอ้อยพลาดตรงที่หาทนายความจากเฟซบุ๊ก เห็นว่าทนายตั้มหน้าตาดี เป็นทนายความเพื่อประชาชน แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นึกไม่ถึงว่าเป็นคนเลวถึงขนาดนั้น . - พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแค่ 9 วัน ทนายตั้มก็คิดจะฮุบเงินฮุบทอง ทำพินัยกรรมที่สำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม มีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีทนายตั้มเป็นผู้เขียนและพิมพ์พินัยกรรม คุณเดวิดสามีคุณอ้อย และคุณน้อย เป็นพยาน ทีแรกไม่ผิดสังเกต แต่ภายหลังพบว่าทนายตั้มไม่ได้ทำงานสมค่าจ้าง ยกครอบครัวเที่ยวหรูอยู่สบาย รวมทั้งสำนักงาน ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จัดทริปพาพนักงาน 20 คนเที่ยวญี่ปุ่น ก็ขอเงินคุณอ้อยหลายล้านบาท และขอเงินยิบย่อย . - ผ่านไป 1 ปี คุณอ้อยเห็นว่าทำงานไม่คุ้ม ไม่ไหว เลยยกเลิกสัญญาเป็นที่ปรึกษา แต่ทนายตั้มยังตื้อขอต่อสัญญาอีก 1 ปี พร้อมข้อเสนอการลงทุนตามมา เป็นที่มาของเงิน 2 ล้านยูโร ทำแอปฯ นาคี ต่อด้วยคดีสมคบกับนายนุวัฒน์และ น.ส.สาลินีหลอกลวงว่าถูกแฮกคริปโตฯ สูญ 39 ล้านบาท ฉ้อโกงเขียนแบบโรงแรม และอื่นๆ . - ทนายตั้มร่างพินัยกรรมคุณอ้อยฉบับใหม่ ทำที่บ้านชีวา ลงวันที่ 7 ส.ค. 2566 แก้ไขจากฉบับแรก แต่พินัยกรรมมีปัญหารายละเอียดสำคัญว่า สินทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศให้ลูกชายคนเดียว แต่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ก่อนเริ่มซื้อรถเบนซ์ ติด GPS เอาไว้ โดยทนายตั้มติดเอง แสดงว่าจะตามว่ารถคันนี้ไปที่ไหนบ้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงติด GPS เอาไว้ แต่ทนายตั้มยังโกหก . - คุณอ้อยกล่าวว่า ทนายตั้มเคยชวนไปเชียงราย อ้างว่าทำบุญที่วัดห้วยปลากั้ง แต่ไม่ไปเพราะไกล เป็นห่วงความปลอดภัยของแฟน และไม่ได้รู้จักคนทางโน้น และชวนไปล่องแพที่ภาคใต้ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่ไปเพราะกลัวเป็นน้ำ ไปลำบากเลยปฎิเสธ ไม่ได้คิดเบื้องหน้าเบื้องหลัง พอรู้จากคนใกล้ชิดก็กลัวว่าอยู่ใต้แพ . - ในสัญญาติดตั้ง GPS ใช้ชื่อทนายตั้ม ทำสัญญารายปี และมีหลักฐานว่าทนายตั้มแอบดูข้อมูลการเดินทางว่าไปไหนบ้าง เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาหลังมีเรื่อง นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาทนายตั้มยังแอบเข้าไปดู GPS ว่ารถคุณอ้อยเดินทางไปที่ไหน . - คุณอ้อยและคุณน้อยพบว่า หลังทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 ทนายตั้มยังชักชวนไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา อ้างว่าจะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือโจ๊ก เหมือนกับที่ไปฮ่องกง ไปเจอนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่คุณอ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และไม่อยากรู้จักใคร . - เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ใครจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ สมมติกรณีที่จัดการกับเจ้าของมรดกก็ไม่มีใครรู้ อ้างได้ว่าอุบัติเหตุทางน้ำ . - หลังจากทำพินัยกรรมฉบับที่ 2 คุณอ้อยและคุณน้อยพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้มตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถามหรือทำลายต่อหน้า และพบว่าสัญญามีช่องโหว่ อีกทั้งให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมและพินัยกรรมสอดไส้ . - ต้นปี 2567 หลังจากคุณอ้อยใจสลาย ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    2 Comments 0 Shares 949 Views 0 Reviews
  • 🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด
    ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000%
    https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../
    ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น
    อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก
    ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง
    สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก
    ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์
    เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้:
    “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม”
    คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้
    ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน
    “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ
    อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้
    การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร
    ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก
    วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
    ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร
    สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม
    ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน?
    อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค
    ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน)
    ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด
    คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller
    ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า:
    “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง”
    ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์
    “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000% https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../ ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์ เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้: “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม” คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้ การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน? อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน) ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า: “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง” ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    0 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    "อุตสาหกรรมที่ชี้เป็นชี้ตาย" หมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือโลก และหากเกิดปัญหาในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยปกติจะหมายถึงอุตสาหกรรมหลัก เช่น:1. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ2. อุตสาหกรรมพลังงาน3. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ4. อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร5. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์6. อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์7. อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์8. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง9. อุตสาหกรรมโทรคมนาคม10. อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน11. อุตสาหกรรมเหมืองแร่12. อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ13. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี14. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร15. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอาวุธ16. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์17. อุตสาหกรรมการผลิตหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ18. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ19. อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ20. อุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อ21. อุตสาหกรรมการศึกษาและการฝึกอบรม22. อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน (พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานลม)23. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ24. อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์25. อุตสาหกรรมสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์26. อุตสาหกรรมเกมและการพัฒนาแอปพลิเคชัน27. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์พิเศษ28. อุตสาหกรรมการขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานนี่คืออุตสาหกรรมเพิ่มเติมที่มีความสำคัญ:29. อุตสาหกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสีย30. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ31. อุตสาหกรรมการประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเล32. อุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้าง33. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์34. อุตสาหกรรมอุปกรณ์กีฬา35. อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว36. อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบตกแต่งภายใน37. อุตสาหกรรมการศึกษาออนไลน์และการเรียนรู้ดิจิทัล38. อุตสาหกรรมการค้าปลีก (ทั้งแบบดั้งเดิมและออนไลน์)39. อุตสาหกรรมการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (เช่น ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย)40. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ41. อุตสาหกรรมการพัฒนาและขายซอฟต์แวร์42. อุตสาหกรรมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง43. อุตสาหกรรมบริการด้านการเงิน (เช่น บริษัทประกันภัย)44. อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์45. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตแบตเตอรี่46. อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์47. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรม)48. อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ49. อุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D Printing)50. อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที (Data Centers)51. อุตสาหกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง52. อุตสาหกรรมการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)53. อุตสาหกรรมการวิเคราะห์และวิจัยตลาด54. อุตสาหกรรมการทดสอบและควบคุมคุณภาพ55. อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์56. อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์57. อุตสาหกรรมการแพทย์ทางเลือกและการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม58. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มการจัดการโครงข่ายพลังงาน (Smart Grid)59. อุตสาหกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับ60. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อัจฉริยะและห่วงโซ่อุปทาน61. อุตสาหกรรมการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรูหรา62. อุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุ63. อุตสาหกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว64. อุตสาหกรรมระบบการเกษตรแบบยั่งยืนและเทคโนโลยีเกษตร (AgriTech)65. อุตสาหกรรมที่พักอาศัยและการบริการ (Hospitality)66. อุตสาหกรรมสถาบันทางการเงินระหว่างประเทศ67. อุตสาหกรรมการจัดการและบำบัดน้ำ
    0 Comments 0 Shares 428 Views 0 Reviews
  • "เฉียบ"

    คืองี้ คำว่าขงเบ้ง ดูดาวน่ะนะ มันไม่ใช่ว่าขงเบ้งชื่นชมกับความสวยของดวงดาวอะไรนั่น
    หากแต่ว่า ขงเบ้งเค้าศึกษาวิชาดาราศาสตร์น่ะครับ
    เช่น เหตุการณ์การเรียกลมเรียกฝนเรียกน้ำอะไรนั่น มันมาจากการศึกษาคำนวนคาดการณ์วิถีการโคจรของดวงดาวที่ทำให้เกิดฤดูกาลทางธรรมชาติ
    มันไม่ใช่ว่าขงเบ้งเป็นผู้วิเศษ หมอดู หมอเดา อะไรทั้งนั้น

    หากแต่มันคือความไฝ่รู้ จนเป็นผู้รอบรู้...

    "เฉียบ" คืองี้ คำว่าขงเบ้ง ดูดาวน่ะนะ มันไม่ใช่ว่าขงเบ้งชื่นชมกับความสวยของดวงดาวอะไรนั่น หากแต่ว่า ขงเบ้งเค้าศึกษาวิชาดาราศาสตร์น่ะครับ เช่น เหตุการณ์การเรียกลมเรียกฝนเรียกน้ำอะไรนั่น มันมาจากการศึกษาคำนวนคาดการณ์วิถีการโคจรของดวงดาวที่ทำให้เกิดฤดูกาลทางธรรมชาติ มันไม่ใช่ว่าขงเบ้งเป็นผู้วิเศษ หมอดู หมอเดา อะไรทั้งนั้น หากแต่มันคือความไฝ่รู้ จนเป็นผู้รอบรู้...
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 715 Views 51 0 Reviews
  • ไม่ว่าคุณจะมีการศึกษา เก่งกาจ ร่ำรวย หรือดูเท่แค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “วิธีที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น” เพราะนั่นสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณ ความซื่อสัตย์และความมีน้ำใจเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณค่าแท้ในตัวคุณ และเป็นสิ่งที่จะอยู่กับคุณตลอดไปข้อความนี้เตือนให้เราจำไว้ว่าความสำเร็จหรือภาพลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่คนจะจดจำในระยะยาว แต่การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างให้เกียรติและจริงใจคือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และบ่งบอกว่าคุณเป็นคนแบบไหนอย่างแท้จริง
    ไม่ว่าคุณจะมีการศึกษา เก่งกาจ ร่ำรวย หรือดูเท่แค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “วิธีที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น” เพราะนั่นสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณ ความซื่อสัตย์และความมีน้ำใจเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณค่าแท้ในตัวคุณ และเป็นสิ่งที่จะอยู่กับคุณตลอดไปข้อความนี้เตือนให้เราจำไว้ว่าความสำเร็จหรือภาพลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่คนจะจดจำในระยะยาว แต่การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างให้เกียรติและจริงใจคือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง และบ่งบอกว่าคุณเป็นคนแบบไหนอย่างแท้จริง
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • Application นี้...ส่วนตัวมองว่า เป็นที่รวมผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งอายุ การศึกษา สถานะทางสังคม วิธีคิดและอื่นๆ...ผมพบว่า ในเฟสบุ๊ค ด้วยความที่เข้าถึงคนจำนวนมาก..ซึ่งผมว่ามากเกินไปเสียด้วย มีคนหลากหลาย..และในจำนวนนั้น มีคนที่ไม่มีคุณสมบัติข้างต้นที่ผมเขียนมา..จำนวนมาก...ไม่ใช่การดูถูก...แต่มันคือการสื่อสารกันคนละภาษา...ความรู้ความเข้าใจ ในเจตนาต่างกัน...บ่อยครั้งก็มีการสาดอารมณ์ใส่กัน...ซึ่งมันน่าเบื่อ และไม่จำเป็น...
    Application นี้...ส่วนตัวมองว่า เป็นที่รวมผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งอายุ การศึกษา สถานะทางสังคม วิธีคิดและอื่นๆ...ผมพบว่า ในเฟสบุ๊ค ด้วยความที่เข้าถึงคนจำนวนมาก..ซึ่งผมว่ามากเกินไปเสียด้วย มีคนหลากหลาย..และในจำนวนนั้น มีคนที่ไม่มีคุณสมบัติข้างต้นที่ผมเขียนมา..จำนวนมาก...ไม่ใช่การดูถูก...แต่มันคือการสื่อสารกันคนละภาษา...ความรู้ความเข้าใจ ในเจตนาต่างกัน...บ่อยครั้งก็มีการสาดอารมณ์ใส่กัน...ซึ่งมันน่าเบื่อ และไม่จำเป็น...
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • จีนนำเสนอเครื่องบินขับไล่ล่องหนใหม่ล่าสุด ต่อสายตาของสาธารณชนเป็นครั้งแรก ความเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จีนเร่งยกระดับความทันสมัยของกองทัพ ในการแข่งขันกับวอชิงตัน สำหรับความเหนือกว่าบนท้องฟ้า ท่ามกลางความตึงเครียดที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆในภูมิภาค
    .
    เครื่องบินล่องหน J-35A ประจำการภาคพื้น ถูกเปิดตัว ณ พิธีเปิดงานนิทรรศการอวกาศและการบินระหว่างประเทศ (China International Aviation & Aerospace Exhibition) ในเมืองจูไห่ ทางภาคใต้ของจีน ผ่านการบินสาธิตทางอากาศเป็นเวลา 5 นาที
    .
    นอกจากนี้แล้วภายในงานดังกล่าว ยังมีการจัดแสดงเครื่องบินล่องหน J-35 เวอร์ชันประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินเช่นกัน ตามรายงานของสื่อมวลชนแห่งรัฐ ขณะที่นิทรรศการทางอากาศที่จัดขึ้น 2 ปีครั้ง ถือเป็นการรวมตัวของอากาศยานกองทัพครั้งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งในเอเชีย
    .
    แม้รายละเอียดเกี่ยวกับสมรรถนะของ J-35 จะมีอย่างจำกัด แต่พวกนักวิเคราะห์บอกว่าการเปิดตัวครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของจีน ในความพยายามยกระดับกองทัพให้มีความทันสมัยและท้าทายความเป็นเต้ยของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวๆไต้หวัน ซึ่งทางปักกิ่งกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
    .
    คาร์ล ชูสเตอร์ นักวิเคราะห์ทางทหารและอดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ แห่งศูนย์ข่าวกรองร่วมของกองบัญชาการแปซิฟิกแห่งกองทัพสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า "งานแอร์โชว์ในปีนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อส่งสารว่า กองทัพจีนทัดเทียมกับสหรัฐฯและทั่วทั้งตะวันตก กองกำลังสหรัฐฯเคยเปรมปรีดิ์ ในความเหนือกว่าทางอากาศในทุกๆความขัดแย้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เวลานี้แสนนายุภาพทางอากาศที่กำลังเติบโตขึ้นของจีน กำลังท้าทายความได้เปรียบดั้งเดิมของตะวันตก"
    .
    ด้วยการเปิดตัว J-35 ทำให้จีน ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับสหรัฐฯ เป็นเพียง 2 ประเทศ ที่สามารรถผลิตเครื่องบินขับไล่ล่องหนได้มากกว่า 1 ซีรีย์ นอกจากนี้แล้วพวกเขายังเป็นประเทศเดียวที่กำลังเดินหน้าผลิตทั้ง 2 ซีรีย์ เนื่องจากสหรัฐฯระงับการผลิต F-22 แรปเตอร์ไปแล้ว
    .
    "จีนไล่กวดเข้ามาในแง่ของขอบเขตยุทโธปกรณ์ที่พวกเขามี อย่างน้อยๆก็ที่นำออกมาแสดง" เจมส์ ชาร์ ผู้ช่วยศาสตรจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านกองทัพจีน ณ สถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์กล่าว "แต่ในแง่การไล่ตามอเมริกา พวกนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกเขายังคงล้าหลังอยู่ราวๆ 10 ถึง 15 ปี" เช่นเดียวกับแง่มุมอื่นๆเกียวกับการประจำการทางทหาร อย่างเช่นการฝึกฝนและความพร้อมด้านปฏิบัติการ
    .
    J-35 ถูกพัฒนามานานกว่า 1 ทศวรรษโดยเฉินหยาง แอร์คราฟท์ คอร์ปอเรชัน หน่วยธุรกิจของอาเวียชัน อินดัสตรี คอร์ปอเรชีน ออฟ ไชนา บริษัทที่มีรัฐเป็นเจ้าของ และมันจะถูกส่งเข้าประจำการในกองทัพปักกิ่ง ร่วมกับเครื่องบินล่องหน J-2 มุ่งเน้นจากอากาศสู่อากาศ ที่เข้าประจำการมาตั้งแต่ปี 2017
    .
    ชูสเตอร์ คาดหมายว่าเครื่องบิน J-35 ล็อตแรก ที่จะเข้าร่วมในการฝึกซ้อมด้านปฏิบัติการของกองทัพอากาศจีน ในเดือนมีนาคม 2026
    .
    หนี่ เล่อเซวียง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจากมหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และกฎหมายเซี่ยงไฮ้ ระบุว่าด้วยศักยภาพยิงจากอากาศสู่ภาคพื้นและโจมตีทางอากาศสู่อากาศ รวมถึงความสามารถในการเทคออฟขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินซีรีย์ต่างๆของ J-35 ถูกออกแบบมาให้ทัดเทียมกับเครื่องบินล่องหน F-35 ซีรีย์ต่างๆของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ ปักกิ่ง ยังไม่แถลงเกี่ยวกับเวอร์ชันที่สามารถเทคออฟและลงจอดในแนวดิ่ง บางอย่างที่ F-35B สามารถทำได้
    .
    ปีเตอร์ เลย์ตัน จากสถาบันวิจัยรอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิส เน้นว่า J-35 กำลังเข้าประจำการตามหลัง F-35 ของสหรัฐฯเกือบ 10 ปี และมีขึ้นหลังจากวอชิงตันเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขามองว่าด้วยความสามารถในการผลิตที่เหนือกว่าของจีน จึงหมายความว่า F-35 อาจสร้างได้ง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า เมื่อเทียบกับสหรัฐฯที่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ทำให้ J-35 มีความได้เปรียบในแง่ของการส่งออกไปยังตลาดต่างๆ
    .
    เครื่องบินที่นำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการอวกาศและการบินระหว่างประเทศในปีนี้ ยังรวมไปถึงซูคอย ซู-27 ของรัสเซีย บ่งชี้ถึงสัญญาณความสัมพันธ์ที่ครอบคลุมมากขึ้นและแน่นแฟ้นมากขึ้นระหว่างปักกิ่งกับมอสโก จากความเห็นของ คอลลิน โก๊ะ นักวิจัยอีกคนของสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109079
    ..............
    Sondhi X
    จีนนำเสนอเครื่องบินขับไล่ล่องหนใหม่ล่าสุด ต่อสายตาของสาธารณชนเป็นครั้งแรก ความเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จีนเร่งยกระดับความทันสมัยของกองทัพ ในการแข่งขันกับวอชิงตัน สำหรับความเหนือกว่าบนท้องฟ้า ท่ามกลางความตึงเครียดที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆในภูมิภาค . เครื่องบินล่องหน J-35A ประจำการภาคพื้น ถูกเปิดตัว ณ พิธีเปิดงานนิทรรศการอวกาศและการบินระหว่างประเทศ (China International Aviation & Aerospace Exhibition) ในเมืองจูไห่ ทางภาคใต้ของจีน ผ่านการบินสาธิตทางอากาศเป็นเวลา 5 นาที . นอกจากนี้แล้วภายในงานดังกล่าว ยังมีการจัดแสดงเครื่องบินล่องหน J-35 เวอร์ชันประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินเช่นกัน ตามรายงานของสื่อมวลชนแห่งรัฐ ขณะที่นิทรรศการทางอากาศที่จัดขึ้น 2 ปีครั้ง ถือเป็นการรวมตัวของอากาศยานกองทัพครั้งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งในเอเชีย . แม้รายละเอียดเกี่ยวกับสมรรถนะของ J-35 จะมีอย่างจำกัด แต่พวกนักวิเคราะห์บอกว่าการเปิดตัวครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของจีน ในความพยายามยกระดับกองทัพให้มีความทันสมัยและท้าทายความเป็นเต้ยของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวๆไต้หวัน ซึ่งทางปักกิ่งกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน . คาร์ล ชูสเตอร์ นักวิเคราะห์ทางทหารและอดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ แห่งศูนย์ข่าวกรองร่วมของกองบัญชาการแปซิฟิกแห่งกองทัพสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า "งานแอร์โชว์ในปีนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อส่งสารว่า กองทัพจีนทัดเทียมกับสหรัฐฯและทั่วทั้งตะวันตก กองกำลังสหรัฐฯเคยเปรมปรีดิ์ ในความเหนือกว่าทางอากาศในทุกๆความขัดแย้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เวลานี้แสนนายุภาพทางอากาศที่กำลังเติบโตขึ้นของจีน กำลังท้าทายความได้เปรียบดั้งเดิมของตะวันตก" . ด้วยการเปิดตัว J-35 ทำให้จีน ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับสหรัฐฯ เป็นเพียง 2 ประเทศ ที่สามารรถผลิตเครื่องบินขับไล่ล่องหนได้มากกว่า 1 ซีรีย์ นอกจากนี้แล้วพวกเขายังเป็นประเทศเดียวที่กำลังเดินหน้าผลิตทั้ง 2 ซีรีย์ เนื่องจากสหรัฐฯระงับการผลิต F-22 แรปเตอร์ไปแล้ว . "จีนไล่กวดเข้ามาในแง่ของขอบเขตยุทโธปกรณ์ที่พวกเขามี อย่างน้อยๆก็ที่นำออกมาแสดง" เจมส์ ชาร์ ผู้ช่วยศาสตรจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านกองทัพจีน ณ สถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์กล่าว "แต่ในแง่การไล่ตามอเมริกา พวกนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกเขายังคงล้าหลังอยู่ราวๆ 10 ถึง 15 ปี" เช่นเดียวกับแง่มุมอื่นๆเกียวกับการประจำการทางทหาร อย่างเช่นการฝึกฝนและความพร้อมด้านปฏิบัติการ . J-35 ถูกพัฒนามานานกว่า 1 ทศวรรษโดยเฉินหยาง แอร์คราฟท์ คอร์ปอเรชัน หน่วยธุรกิจของอาเวียชัน อินดัสตรี คอร์ปอเรชีน ออฟ ไชนา บริษัทที่มีรัฐเป็นเจ้าของ และมันจะถูกส่งเข้าประจำการในกองทัพปักกิ่ง ร่วมกับเครื่องบินล่องหน J-2 มุ่งเน้นจากอากาศสู่อากาศ ที่เข้าประจำการมาตั้งแต่ปี 2017 . ชูสเตอร์ คาดหมายว่าเครื่องบิน J-35 ล็อตแรก ที่จะเข้าร่วมในการฝึกซ้อมด้านปฏิบัติการของกองทัพอากาศจีน ในเดือนมีนาคม 2026 . หนี่ เล่อเซวียง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจากมหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และกฎหมายเซี่ยงไฮ้ ระบุว่าด้วยศักยภาพยิงจากอากาศสู่ภาคพื้นและโจมตีทางอากาศสู่อากาศ รวมถึงความสามารถในการเทคออฟขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินซีรีย์ต่างๆของ J-35 ถูกออกแบบมาให้ทัดเทียมกับเครื่องบินล่องหน F-35 ซีรีย์ต่างๆของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ ปักกิ่ง ยังไม่แถลงเกี่ยวกับเวอร์ชันที่สามารถเทคออฟและลงจอดในแนวดิ่ง บางอย่างที่ F-35B สามารถทำได้ . ปีเตอร์ เลย์ตัน จากสถาบันวิจัยรอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิส เน้นว่า J-35 กำลังเข้าประจำการตามหลัง F-35 ของสหรัฐฯเกือบ 10 ปี และมีขึ้นหลังจากวอชิงตันเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขามองว่าด้วยความสามารถในการผลิตที่เหนือกว่าของจีน จึงหมายความว่า F-35 อาจสร้างได้ง่ายกว่าและมีราคาถูกกว่า เมื่อเทียบกับสหรัฐฯที่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง ทำให้ J-35 มีความได้เปรียบในแง่ของการส่งออกไปยังตลาดต่างๆ . เครื่องบินที่นำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการอวกาศและการบินระหว่างประเทศในปีนี้ ยังรวมไปถึงซูคอย ซู-27 ของรัสเซีย บ่งชี้ถึงสัญญาณความสัมพันธ์ที่ครอบคลุมมากขึ้นและแน่นแฟ้นมากขึ้นระหว่างปักกิ่งกับมอสโก จากความเห็นของ คอลลิน โก๊ะ นักวิจัยอีกคนของสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ เอส ราชารัตนัม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109079 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Yay
    20
    0 Comments 0 Shares 1138 Views 0 Reviews
  • 📌การรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีการประคับประคองอาการ (palliative care) มักมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากกว่าการรักษาที่จะรักษาโรคให้หายขาด

    ☘️ส่วนการใช้สารสกัดจากข้าวไรย์ (polytin) ก็เป็นทางเลือกเสริมที่บางคนเลือกใช้ เนื่องจากมีการศึกษางาตวิจัย ระบุว่าข้าวไรย์ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการบางประการของผู้ป่วยมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม การใช้สารสกัดดังกล่าวควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ

    ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด
    ☎️. 090-465-6360


    #โรคมะเร็ง #มะเร็ง #มะเร็งปอด #มะเร็งเต้านม #มะเร็งตับ #รักษามะเร็ง #อาการมะเร็ง #ป้องกันมะเร็ง #สุขภาพ #สู้มะเร็ง #ตรวจมะเร็ง #ความรู้เรื่องมะเร็ง #มะเร็งผิวหนัง #เคมีบำบัด #การฉายรังสี #ภูมิคุ้มกันบำบัด #วิธีรักษามะเร็ง #คำแนะนำมะเร็ง #ข้อมูลสุขภาพ #ชีวิตสู้มะเร็ง
    📌การรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีการประคับประคองอาการ (palliative care) มักมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากกว่าการรักษาที่จะรักษาโรคให้หายขาด ☘️ส่วนการใช้สารสกัดจากข้าวไรย์ (polytin) ก็เป็นทางเลือกเสริมที่บางคนเลือกใช้ เนื่องจากมีการศึกษางาตวิจัย ระบุว่าข้าวไรย์ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการบางประการของผู้ป่วยมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม การใช้สารสกัดดังกล่าวควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ ปรึกษา อ.ธนกร ศูนย์สร้างภูมิบำบัด ☎️. 090-465-6360 #โรคมะเร็ง #มะเร็ง #มะเร็งปอด #มะเร็งเต้านม #มะเร็งตับ #รักษามะเร็ง #อาการมะเร็ง #ป้องกันมะเร็ง #สุขภาพ #สู้มะเร็ง #ตรวจมะเร็ง #ความรู้เรื่องมะเร็ง #มะเร็งผิวหนัง #เคมีบำบัด #การฉายรังสี #ภูมิคุ้มกันบำบัด #วิธีรักษามะเร็ง #คำแนะนำมะเร็ง #ข้อมูลสุขภาพ #ชีวิตสู้มะเร็ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 462 Views 60 0 Reviews
  • ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที.

    ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง:

    ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว

    คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น

    คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน

    คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
    จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง

    จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

    ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

    นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก

    ทางเลือกเป็นของคุณ

    ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง

    @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    ..เรา ประเทศไทยเราล่ะ,เราจะซ่อมแซมประเทศไทยเราจริงจังแบบไหน&กันเสียที. ..พรรคเดโมแครต ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมอเมริกาถึงเลือกทรัมป์ ฉันขออธิบายให้ฟัง: ความจริงก็คือ ชาวอเมริกันเบื่อหน่ายกับเรื่องบ้าๆ ของคุณแล้ว คุณทำลายชาติและวัฒนธรรมของเรา คุณล้อเลียน ดูถูก และเลือกปฏิบัติต่อเราอย่างเปิดเผย จากนั้นก็เรียกเราว่าพวกเหยียดผิว เหยียดเพศ และพวกนาซี เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็น คุณทำให้สถาบันอันยิ่งใหญ่ของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงและเสื่อมทราม รวมถึงสื่อ โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี สถาบันการศึกษา หน่วยข่าวกรอง สุขภาพ ยา ฮอลลีวูด ความบันเทิง กีฬา ทุกอย่าง! คุณใช้ทุกแง่มุมของชีวิตชาวอเมริกันเป็นอาวุธ และใช้มันเพื่อผลักดันวาระฝ่ายซ้ายสุดโต่งของคุณให้พวกเราต้องทนทุกข์ทรมาน คุณบอกเราว่าทรัมป์เป็นทรัพยากรของรัสเซียที่กำลังจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 และจะเลวร้ายยิ่งกว่าฮิตเลอร์ จากนั้นคุณก็ใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการแสดงความเกลียดชังต่อผู้สนับสนุนทรัมป์และก่อจลาจลบนท้องถนน คุณใช้สิ่งนั้นเป็นข้ออ้างในการขัดขวางและทำลายวาระแรกของทรัมป์ และกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด จากนั้นในช่วงโควิด คุณเรียกร้องให้เราทุกคนถูกบังคับให้ทำการทดลองทางการแพทย์โดยไม่ทดลอง คุณต้องการให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยถูกขังไว้ในคุก คุณต้องการให้เด็กๆ ถูกพรากไปจากพ่อแม่ที่ต่อต้านวัคซีน คุณต้องการให้พวกต่อต้านวัคซีนอยู่ในค่าย คุณเชียร์ให้พวกเราต้องตาย จากนั้นก็กลายเป็นว่าคุณคิดผิดเกี่ยวกับทุกอย่าง ตั้งแต่แหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไปจนถึงหน้ากาก วัคซีน การเว้นระยะห่างทางสังคม ไอเวอร์เมกติน HCQ ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นในช่วงยูเครน คุณบอกเราว่ายูเครนเป็นปราการของประชาธิปไตย และพวกเขาต้องการเงินภาษีของเราทั้งหมดอย่างมาก จากนั้นก็กลายเป็นว่ายูเครนเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุจริตมากที่สุดในโลก โดยมีกองกำลังทหารนาซีตามตัวอักษร และที่จริงแล้วเป็นเพียงปฏิบัติการฟอกเงินเพื่อขโมยเงินจากผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน คุณต้องการปกป้องพรมแดนของยูเครนมากกว่าของเราเอง คุณส่งเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปยังอีกฟากของโลก ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับคำโกหก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Epstein, Diddy และการค้ามนุษย์อีกด้วย พวกคุณทุกคนบอกเราอย่างรุนแรงว่าการค้ามนุษย์เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง พวกคุณบอกเราว่าชายแดนปลอดภัย และพวกคุณบอกเราว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามถึงเรื่องนี้คือพวกนักทฤษฎีสมคบคิดที่ไถ่ถอนไม่ได้และน่ารังเกียจ (และเป็นขยะ) พวกคุณบอกว่าใครก็ตามที่ดูรายการ "Sound of Freedom" ล้วนเป็นพวกหัวรุนแรง QAnon และเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย จากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องจริง และชนชั้นสูงก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมที่เลวร้ายต่อเด็กๆ จริงๆ หลังจากที่คุณบอกเรามาหลายสิบปีว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พวกคุณปกปิดอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ฉันทำแบบนี้ได้เป็นวันๆ แต่ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจประเด็นแล้ว ชาวอเมริกันตื่นตัวต่อกลลวงและความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเราจะไม่ทนอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงจ้างโดนัลด์ เจ. ทรัมป์และทีมผู้รักชาติของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และนำอเมริกากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์ คุณเป็นคนเลว และคุณถูกหลอก ยิ่งคุณตื่นรู้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเข้าร่วมกับเราในการซ่อมแซมประเทศนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หรือคุณสามารถเลือกที่จะปฏิเสธความจริง และใช้ชีวิตที่เหลือของคุณไปกับความเกลียดชังที่ขึ้นอยู่กับคำโกหก ทางเลือกเป็นของคุณ ลงชื่อ: ผู้รักชาติอเมริกันที่แท้จริง @realDonaldTrump ขอบคุณสำหรับความกล้าหาญและการยืนหยัดเพื่ออเมริกาและมวลมนุษยชาติ ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา 🙏🏼🇺🇸ฟ
    0 Comments 0 Shares 456 Views 0 Reviews
  • การอนุมัติใช้ยารักษาไข้หวัดใหญ่

    หลักฐานชัดเจนมีเพียงใดและแค่ไหน?

    มีการอนุมัติให้ใช้ จนกระทั่งถึงการให้สะสม stockpile ตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และกลายเป็นมาตรฐานสำหรับไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก จนถึงปัจจุบัน
    จากวารสารการแพทย์ของอังกฤษ British medical journal เปิดเผยและวิเคราะห์ ถึงรายงานต่างๆ ในวารสารการแพทย์ชั้นนำของโลกอื่นๆ

    พบว่าไม่มีการตรวจสอบข้อมูลในการศึกษาอย่างแท้จริง (ใช้คำว่า ไม่มี vetted underlying data = ไม่มี careful and critical examination) แต่เป็นข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต

    และจนกระทั่งถึงปัจจุบัน “ยังไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพ” ได้ว่าสามารถลดอัตราการเกิดปอดบวม และการเสียชีวิต ตามรายงานจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2019

    รายงานการศึกษาประสิทธิภาพในระยะที่ 3 ของบริษัทผู้ผลิตไม่ได้ถูกเปิดเผยหรือถูกตีพิมพ์แม้ว่าจะผ่านไป 10 ปีหลังจากที่มีการสนับสนุนให้เป็นการใช้มาตรฐาน จาก WHO CDC EMA (ยุโรป)

    Tamiflu campaign BMJ
    https://www.bmj.com/tamiflu

    ยารักษาไข้หวัดใหญ่ oseltamivir peramivir, หรือ zanamivir
    รายงานในวารสาร แลนเซท 24 สิงหาคม 2024
    (https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(24)01307-2/fulltext)
    เป็น meta-analysis รายงานต่างๆที่เป็น RCT ไม่มีรายงานพิสูจน์ชัดว่าถ้าถึงกับเข้าโรงพยาบาลไปแล้วจะลดอาการหนักได้จริงอย่างชัดเจน สำหรับประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาการเจ็บป่วยพบว่าอาจเป็นไปได้ แต่ระดับความน่าเชื่อถือยังต่ำเช่นกัน

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    การอนุมัติใช้ยารักษาไข้หวัดใหญ่ หลักฐานชัดเจนมีเพียงใดและแค่ไหน? มีการอนุมัติให้ใช้ จนกระทั่งถึงการให้สะสม stockpile ตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และกลายเป็นมาตรฐานสำหรับไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก จนถึงปัจจุบัน จากวารสารการแพทย์ของอังกฤษ British medical journal เปิดเผยและวิเคราะห์ ถึงรายงานต่างๆ ในวารสารการแพทย์ชั้นนำของโลกอื่นๆ พบว่าไม่มีการตรวจสอบข้อมูลในการศึกษาอย่างแท้จริง (ใช้คำว่า ไม่มี vetted underlying data = ไม่มี careful and critical examination) แต่เป็นข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิต และจนกระทั่งถึงปัจจุบัน “ยังไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพ” ได้ว่าสามารถลดอัตราการเกิดปอดบวม และการเสียชีวิต ตามรายงานจนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2019 รายงานการศึกษาประสิทธิภาพในระยะที่ 3 ของบริษัทผู้ผลิตไม่ได้ถูกเปิดเผยหรือถูกตีพิมพ์แม้ว่าจะผ่านไป 10 ปีหลังจากที่มีการสนับสนุนให้เป็นการใช้มาตรฐาน จาก WHO CDC EMA (ยุโรป) Tamiflu campaign BMJ https://www.bmj.com/tamiflu ยารักษาไข้หวัดใหญ่ oseltamivir peramivir, หรือ zanamivir รายงานในวารสาร แลนเซท 24 สิงหาคม 2024 (https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(24)01307-2/fulltext) เป็น meta-analysis รายงานต่างๆที่เป็น RCT ไม่มีรายงานพิสูจน์ชัดว่าถ้าถึงกับเข้าโรงพยาบาลไปแล้วจะลดอาการหนักได้จริงอย่างชัดเจน สำหรับประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาการเจ็บป่วยพบว่าอาจเป็นไปได้ แต่ระดับความน่าเชื่อถือยังต่ำเช่นกัน ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Tamiflu campaign
    The BMJ’s first open data campaign aimed to pressure companies into releasing the underlying clinical trial data for two globally stockpiled anti-influenza drugs, Tamiflu and Relenza. The campaign lasted nearly 4 years and was ultimately successful, and helped galvanize a movement towards increased transparency of clinical trial data. The bottom line
    Like
    Sad
    Love
    7
    0 Comments 2 Shares 386 Views 0 Reviews
  • ชาวพุทธส่วนหนึ่ง มีความเห็นผิดๆ เพราะเข้าไม่ถึงความจริงของชีวิตตามหลักคำสอนของพระตถาคต ซึ่งเป็นศาสดาของตน เพราะเหตุใด ??

    การปกปิดคำสอนของพระศาสดา ให้พิจารณาดูจาก ตำรา "มนต์พิธี" ซึ่งเคยอ่านตอนพรรพชา แค่คำว่ามนต์พิธีก็จบสิ้นสงสัยแล้ว เพราะมันหมายถึงพิธีกรรมของปริพาชกเหล่าอื่น มิใช่พิธีกรรมของพุทธศาสนา

    การบูชาน้ำ บูชาไฟ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ปฏิบัติ..ท่านสอนให้หาสถานที่สงบ วิเวก ให้ใช้สติ ตามรู้ลมหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพิธีกรรมใด ๆ ให้ยุ้งยากและสิ้นเปลืองงบประมาณ

    ศาสนาพุทธถูกครอบงำด้วยมนต์พิธีมานานแล้ว ในนั้น ส่วนใหญ่เป็นคำสวดแต่งใหม่ มีคาถาโน้นนี้นั้น แต่ไม่มีบทสัชฌายะ "ปฏิจจสมปบาท" ซึ่งเป็นบทสำคัญของพระศาสดา และพระองค์ได้สั่งให้สาวกนำไปศึกษาเล่าเรียนด้วยพระองค์เอง

    เหตุจากศาสนาพุทธถูกครอบงำด้วยดงพิธีกรรมของปริพาชกเหล่าอื่น นอกจากทำให้พุทธบริษัทเข้าไม่ถึงคำสอนของพระศาสดาโดยตรงแล้ว ยังกระทบถึงระบบการศึกษา ประเพณี วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    หากเห็นว่า จิตวิญญาณของคน เป็นปัจจัยต้นเหตุของเศรษฐกิจและสังคมไทย สถาบันศาสนาควรจะเป็นสถาบันแรกที่ควรได้รับการแก้ไข..มิใช่แก้รัฐธรรมนูญ !
    ชาวพุทธส่วนหนึ่ง มีความเห็นผิดๆ เพราะเข้าไม่ถึงความจริงของชีวิตตามหลักคำสอนของพระตถาคต ซึ่งเป็นศาสดาของตน เพราะเหตุใด ?? การปกปิดคำสอนของพระศาสดา ให้พิจารณาดูจาก ตำรา "มนต์พิธี" ซึ่งเคยอ่านตอนพรรพชา แค่คำว่ามนต์พิธีก็จบสิ้นสงสัยแล้ว เพราะมันหมายถึงพิธีกรรมของปริพาชกเหล่าอื่น มิใช่พิธีกรรมของพุทธศาสนา การบูชาน้ำ บูชาไฟ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ปฏิบัติ..ท่านสอนให้หาสถานที่สงบ วิเวก ให้ใช้สติ ตามรู้ลมหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพิธีกรรมใด ๆ ให้ยุ้งยากและสิ้นเปลืองงบประมาณ ศาสนาพุทธถูกครอบงำด้วยมนต์พิธีมานานแล้ว ในนั้น ส่วนใหญ่เป็นคำสวดแต่งใหม่ มีคาถาโน้นนี้นั้น แต่ไม่มีบทสัชฌายะ "ปฏิจจสมปบาท" ซึ่งเป็นบทสำคัญของพระศาสดา และพระองค์ได้สั่งให้สาวกนำไปศึกษาเล่าเรียนด้วยพระองค์เอง เหตุจากศาสนาพุทธถูกครอบงำด้วยดงพิธีกรรมของปริพาชกเหล่าอื่น นอกจากทำให้พุทธบริษัทเข้าไม่ถึงคำสอนของพระศาสดาโดยตรงแล้ว ยังกระทบถึงระบบการศึกษา ประเพณี วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเห็นว่า จิตวิญญาณของคน เป็นปัจจัยต้นเหตุของเศรษฐกิจและสังคมไทย สถาบันศาสนาควรจะเป็นสถาบันแรกที่ควรได้รับการแก้ไข..มิใช่แก้รัฐธรรมนูญ !
    0 Comments 1 Shares 164 Views 36 0 Reviews
  • จากการศึกษายาวนาน ผู้เขียนพบว่า ทั้งบุญ และบาป...ให้ผล เท่าทวีคูณเสมอ....แบบกระทำ 1 เอาไป 2_3 ....คุณจะเลือกแบบไหน...ก็เลือกเอา....
    จากการศึกษายาวนาน ผู้เขียนพบว่า ทั้งบุญ และบาป...ให้ผล เท่าทวีคูณเสมอ....แบบกระทำ 1 เอาไป 2_3 ....คุณจะเลือกแบบไหน...ก็เลือกเอา....
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • Test #10
    การเทรดในแต่ละโบรคนั้นนอกจากจะมีโหมดต่างๆมาให้เทรดมากมายไม่ว่าจะเป็น ไบนารีหรือฟอเร็กซ์ และโหมด Blitz ก็ตาม แน่นอนว่าทางโบรคแต่ละโบรคย่อมมีบัญชีเทรดที่เอาไว้สำหรับทดลองให้กับลูกค้านักเทรดทุกคนอยู่แล้ว เพราะการลงทุนในตลาดนี้นั้นไม่ได้ว่าจะได้กำไรมาง่ายๆเลยแต่ยังต้องมีการศึกษาเรียนรู้ให้มากพอและเงินลงทุนที่เราพร้อมจะทำกำไรและขาดทุนให้กับตลาด โดยบัญชีทดลองนั้นถูกสร้างมาไว้เฉพาะกับนักเทรดทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เพราะสามารถเอาไว้ใช้ฝึกฝนกับความรู้และเทคนิคของแต่ละคนที่เอาไว้ใช้กับตลาด และถ้ายิ่งเราฝึกใช้บัญชีทดลองบ่อยๆก็อาจจะมีประสบการณ์และความรู้มากขึ้น และสามารถนำประสบการณ์กับความรู้ที่ได้ไปใช้กับบัญชีจริง และมีโอกาสสามมารถทำกำไรจากตลาดมากกว่าขาดทุนอีกด้วย

    เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเทรด
    >> https://yoshitrader.blogspot.com/

    สนใจเปิดตลาด ได้ที่ลิ้งค์นี้ :
    >> https://bit.ly/3yGZQIk

    สนใจตลาดที่มีโหมด Blitz ได้ที่ลิ้งค์นี้ :
    >> https://bit.ly/4eh1XBr


    ติดต่อสอบถาม

    Twitter :
    >> https://x.com/Weskee62
    Test #10 การเทรดในแต่ละโบรคนั้นนอกจากจะมีโหมดต่างๆมาให้เทรดมากมายไม่ว่าจะเป็น ไบนารีหรือฟอเร็กซ์ และโหมด Blitz ก็ตาม แน่นอนว่าทางโบรคแต่ละโบรคย่อมมีบัญชีเทรดที่เอาไว้สำหรับทดลองให้กับลูกค้านักเทรดทุกคนอยู่แล้ว เพราะการลงทุนในตลาดนี้นั้นไม่ได้ว่าจะได้กำไรมาง่ายๆเลยแต่ยังต้องมีการศึกษาเรียนรู้ให้มากพอและเงินลงทุนที่เราพร้อมจะทำกำไรและขาดทุนให้กับตลาด โดยบัญชีทดลองนั้นถูกสร้างมาไว้เฉพาะกับนักเทรดทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เพราะสามารถเอาไว้ใช้ฝึกฝนกับความรู้และเทคนิคของแต่ละคนที่เอาไว้ใช้กับตลาด และถ้ายิ่งเราฝึกใช้บัญชีทดลองบ่อยๆก็อาจจะมีประสบการณ์และความรู้มากขึ้น และสามารถนำประสบการณ์กับความรู้ที่ได้ไปใช้กับบัญชีจริง และมีโอกาสสามมารถทำกำไรจากตลาดมากกว่าขาดทุนอีกด้วย เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเทรด >> https://yoshitrader.blogspot.com/ สนใจเปิดตลาด ได้ที่ลิ้งค์นี้ : >> https://bit.ly/3yGZQIk สนใจตลาดที่มีโหมด Blitz ได้ที่ลิ้งค์นี้ : >> https://bit.ly/4eh1XBr ติดต่อสอบถาม Twitter : >> https://x.com/Weskee62
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • ได้มีโอกาส อ่านบทความของไอร์ไสตน์หลายปีก่อน...พบว่า เขาให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่ ใช้สมองทำงานผิดวิธี...สมองมีไว้ให้คิด...ประมวลผล..ใครครวญ....แต่คนส่วนใหญ่ ใช้งานสมอง เพื่อ จดจำ....ซึ่งเป็นหน้าที่รองของสมอง....
    ..ผู้เขียนเคยได้อ่านงานวิจัยชิ้นนึง ผลการเก็บข้อมูลพบว่า ระดับ อัจฉริยะของโลก..ใช่ประสิทธิภาพของสมอง แค่ 50 กว่า % ....ในขณะที่คนทั่วไป ..ใช่ประสิทธิภาพแค่ ไม่เกิน 30% ....จะเห็นได้ว่า...เรายังเรียนรู้...และพัฒนา...ได้อีกมาก .......
    ..เดี๋ยวนี้แหล่งความรู้ "เฉพาะทาง" มีหลายช่องทางให้เราเรียนรู้...ได้อย่างเฉพาะเจาะจง....ผู้เขียนทำนายว่า..ถ้าระบบการศึกษาไทย ยังคงเป็นอยู่แบบนี้...การเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัย...อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปในอนาคต....ส่วน.ชั้น ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ยังจำเป็น...
    ได้มีโอกาส อ่านบทความของไอร์ไสตน์หลายปีก่อน...พบว่า เขาให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่ ใช้สมองทำงานผิดวิธี...สมองมีไว้ให้คิด...ประมวลผล..ใครครวญ....แต่คนส่วนใหญ่ ใช้งานสมอง เพื่อ จดจำ....ซึ่งเป็นหน้าที่รองของสมอง.... ..ผู้เขียนเคยได้อ่านงานวิจัยชิ้นนึง ผลการเก็บข้อมูลพบว่า ระดับ อัจฉริยะของโลก..ใช่ประสิทธิภาพของสมอง แค่ 50 กว่า % ....ในขณะที่คนทั่วไป ..ใช่ประสิทธิภาพแค่ ไม่เกิน 30% ....จะเห็นได้ว่า...เรายังเรียนรู้...และพัฒนา...ได้อีกมาก ....... ..เดี๋ยวนี้แหล่งความรู้ "เฉพาะทาง" มีหลายช่องทางให้เราเรียนรู้...ได้อย่างเฉพาะเจาะจง....ผู้เขียนทำนายว่า..ถ้าระบบการศึกษาไทย ยังคงเป็นอยู่แบบนี้...การเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัย...อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปในอนาคต....ส่วน.ชั้น ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ยังจำเป็น...
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก

    ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก

    รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม
    อย่าง บิดพริ้วไม่ได้

    ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย
    ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ
    อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม

    รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข
    ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

    และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ

    และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล

    ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ

    และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ
    ในตำราแพทย์ไทยนั้น

    ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ

    ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67
    https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU

    ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย
    ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้
    และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น
    1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน
    2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้
    3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์
    4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่
    5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ
    6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง
    ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง

    ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้

    สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด

    โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า
    ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย
    โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง
    เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก
    ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท

    สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้

    วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน

    นสพ มติชน ฉบับพิมพ์
    ท็อล์กออฟเดอะทาวน์
    10 พย 2567

    กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    รวบรวมข้อมูลโดย
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม อย่าง บิดพริ้วไม่ได้ ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ ในตำราแพทย์ไทยนั้น ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67 https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้ และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น 1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน 2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้ 3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์ 4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่ 5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ 6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้ สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้ วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน นสพ มติชน ฉบับพิมพ์ ท็อล์กออฟเดอะทาวน์ 10 พย 2567 กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์ รวบรวมข้อมูลโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    13
    0 Comments 0 Shares 621 Views 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยนโยบายที่จะยับยั้งการส่งเสริมเรื่องเพศที่หลากหลายในเยาวชนอเมริกัน:

    - “ขอให้รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้เพศที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับรองมีเพียงชายและหญิงเท่านั้น และเพศเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเกิด”

    - “ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทุกแห่งยุติโครงการทั้งหมดที่ส่งเสริมแนวคิดเรื่องเพศและการเปลี่ยนแปลงทางเพศในทุกช่วงวัย”

    - “ขอให้รัฐสภาหยุดใช้เงินภาษีของประชาชนซึ่งใช้โดยรัฐบาลกลางอย่างถาวร ในการส่งเสริมหรือจ่ายเงินสำหรับขั้นตอนเหล่านี้ และผ่านกฎหมายห้ามการทำลายอวัยวะเพศในเด็กทั่วทั้ง 50 รัฐ”

    - “จะออกประกาศกำหนดแนวทางว่าโรงพยาบาลหรือผู้ให้บริการด้านการแพทย์ใดๆ ที่เข้าร่วมในการทำลายร่างกาย จิตใจ และสารเคมีของเยาวชน จะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของรัฐบาลกลางสำหรับ Medicaid และ Medicare อีกต่อไป และจะถูกยกเลิกจากการสนับสนุนของภาครัฐทันที”

    - “สนับสนุนการสร้างสิทธิส่วนบุคคลในการฟ้องร้องแพทย์ที่ทำขั้นตอนเหล่านี้กับเด็กโดยไม่สามารถให้อภัยได้”

    - “กระทรวงยุติธรรมจะสอบสวนบริษัทยาขนาดใหญ่และเครือข่ายโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาตั้งใจปกปิดผลข้างเคียงที่เลวร้ายในระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงทางเพศเพื่อความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงผู้ป่วยที่เปราะบางหรือไม่”

    - “ตรวจสอบว่าบริษัทยาขนาดใหญ่หรือบริษัทอื่นๆ มีฮอร์โมนและยาเพื่อหยุดการเจริญวัย วางตลาดอย่างผิดกฎหมายหรือไม่”

    - “แจ้งให้รัฐและเขตการศึกษาทราบว่า หากครูหรือเจ้าหน้าที่โรงเรียนคนใด พยายามให้ข้อมูลต่อเด็กว่า พวกเขามีร่างกายที่ไม่ตรงกับจิตใจ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพศของเด็ก เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างร้ายแรง”

    - “ปกป้องสิทธิของผู้ปกครองจากการถูกกดดันจากรอบข้าง เพื่ออนุญาตให้บุตรของตนเปลี่ยนเพศและอัตลักษณ์ใหม่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง”
    โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยนโยบายที่จะยับยั้งการส่งเสริมเรื่องเพศที่หลากหลายในเยาวชนอเมริกัน: - “ขอให้รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้เพศที่รัฐบาลสหรัฐฯ รับรองมีเพียงชายและหญิงเท่านั้น และเพศเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเกิด” - “ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่ เพื่อสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางทุกแห่งยุติโครงการทั้งหมดที่ส่งเสริมแนวคิดเรื่องเพศและการเปลี่ยนแปลงทางเพศในทุกช่วงวัย” - “ขอให้รัฐสภาหยุดใช้เงินภาษีของประชาชนซึ่งใช้โดยรัฐบาลกลางอย่างถาวร ในการส่งเสริมหรือจ่ายเงินสำหรับขั้นตอนเหล่านี้ และผ่านกฎหมายห้ามการทำลายอวัยวะเพศในเด็กทั่วทั้ง 50 รัฐ” - “จะออกประกาศกำหนดแนวทางว่าโรงพยาบาลหรือผู้ให้บริการด้านการแพทย์ใดๆ ที่เข้าร่วมในการทำลายร่างกาย จิตใจ และสารเคมีของเยาวชน จะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของรัฐบาลกลางสำหรับ Medicaid และ Medicare อีกต่อไป และจะถูกยกเลิกจากการสนับสนุนของภาครัฐทันที” - “สนับสนุนการสร้างสิทธิส่วนบุคคลในการฟ้องร้องแพทย์ที่ทำขั้นตอนเหล่านี้กับเด็กโดยไม่สามารถให้อภัยได้” - “กระทรวงยุติธรรมจะสอบสวนบริษัทยาขนาดใหญ่และเครือข่ายโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาตั้งใจปกปิดผลข้างเคียงที่เลวร้ายในระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงทางเพศเพื่อความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงผู้ป่วยที่เปราะบางหรือไม่” - “ตรวจสอบว่าบริษัทยาขนาดใหญ่หรือบริษัทอื่นๆ มีฮอร์โมนและยาเพื่อหยุดการเจริญวัย วางตลาดอย่างผิดกฎหมายหรือไม่” - “แจ้งให้รัฐและเขตการศึกษาทราบว่า หากครูหรือเจ้าหน้าที่โรงเรียนคนใด พยายามให้ข้อมูลต่อเด็กว่า พวกเขามีร่างกายที่ไม่ตรงกับจิตใจ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพศของเด็ก เจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอย่างร้ายแรง” - “ปกป้องสิทธิของผู้ปกครองจากการถูกกดดันจากรอบข้าง เพื่ออนุญาตให้บุตรของตนเปลี่ยนเพศและอัตลักษณ์ใหม่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง”
    0 Comments 0 Shares 253 Views 41 0 Reviews
  • โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย
    “กฤษฎีกากัมพูชา 1972”
    รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย !
    ________
    .
    ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด…
    .
    กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ
    .
    และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ !
    .
    “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972”
    .
    วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972
    .
    จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี
    .
    สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น
    .
    วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย
    .
    (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958
    .
    (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ…
    .
    (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง…
    .
    (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000
    .
    กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง
    .
    โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P”
    .
    โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้
    .
    จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง
    .
    จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย
    .
    มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง
    .
    เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้
    .
    แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร
    .
    การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต
    .
    ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล
    .
    ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น…
    .
    คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง !
    .
    ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !!
    .
    แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ?
    .
    แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !!
    .
    ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้
    .
    ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี
    .
    ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง
    .
    แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ
    .
    เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ?
    .
    เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก !
    .
    ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!!
    .
    ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส
    .
    แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้
    .
    “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“
    .
    แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย
    .
    โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง
    .
    หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73
    .
    การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง
    .
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ
    .
    การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่
    .
    มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย
    .
    พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    .
    คำนูณ สิทธิสมาน
    4 พฤศจิกายน 2567

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย “กฤษฎีกากัมพูชา 1972” รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย ! ________ . ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด… . กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ . และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ ! . “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972” . วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 . จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี . สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น . วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย . (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 . (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ… . (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง… . (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000 . กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง . โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P” . โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้ . จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง . จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย . มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง . เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้ . แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร . การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต . ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล . ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น… . คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง ! . ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !! . แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ? . แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !! . ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้ . ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี . ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง . แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ . เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ? . เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก ! . ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!! . ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส . แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้ . “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“ . แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย . โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง . หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73 . การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง . ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ . การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่ . มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย . พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้ . ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้ . . คำนูณ สิทธิสมาน 4 พฤศจิกายน 2567 ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 Comments 1 Shares 1073 Views 0 Reviews
  • นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล โอเมอร์ บาร์ตอฟ ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของโลก และศาสตราจารย์ด้านการศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และฮอโลคอสต์ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาตอนเหนือ

    “นี่คือแผนที่ร่างขึ้นโดยนายพลเกษียณอายุราชการ Giora Eiland ซึ่งสื่อของอิสราเอลได้พูดถึงเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะกำจัดพลเรือนออกจากพื้นที่ดังกล่าวโดยใช้แรงกดดันทางทหารและความอดอยาก … นี่เป็นก้าวแรกสู่การผนวกดินแดนทางตอนเหนือของ Netzarim Corridor ซึ่งจะทำให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และจะเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการค่อยๆ ยึดครองพื้นที่บางส่วนของฉนวนกาซาบ โดยบีบให้พลเรือนต้องอพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่หดตัวลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะบังคับให้พวกเขาออกจากฉนวนกาซาบ หรือทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวโดยสรุป นี่คือแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

    เขาเชื่อว่าปฏิบัติการปัจจุบันในฉนวนกาซาตอนเหนือเพียงอย่างเดียวเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: "เป็นไปได้ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมองว่าปฏิบัติการนี้เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้ว่าจะขัดขวางสงครามในฉนวนกาซาโดยรวมก็ตาม"

    ที่มาhttps://www.theguardian.com/commentisfree/2024/nov/06/we-are-witnessing-the-final-stage-of-genocide-in-gaza

    #Thaitimes
    นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล โอเมอร์ บาร์ตอฟ ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของโลก และศาสตราจารย์ด้านการศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และฮอโลคอสต์ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาตอนเหนือ “นี่คือแผนที่ร่างขึ้นโดยนายพลเกษียณอายุราชการ Giora Eiland ซึ่งสื่อของอิสราเอลได้พูดถึงเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะกำจัดพลเรือนออกจากพื้นที่ดังกล่าวโดยใช้แรงกดดันทางทหารและความอดอยาก … นี่เป็นก้าวแรกสู่การผนวกดินแดนทางตอนเหนือของ Netzarim Corridor ซึ่งจะทำให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และจะเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการค่อยๆ ยึดครองพื้นที่บางส่วนของฉนวนกาซาบ โดยบีบให้พลเรือนต้องอพยพไปอยู่ในพื้นที่ที่หดตัวลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะบังคับให้พวกเขาออกจากฉนวนกาซาบ หรือทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวโดยสรุป นี่คือแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เขาเชื่อว่าปฏิบัติการปัจจุบันในฉนวนกาซาตอนเหนือเพียงอย่างเดียวเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์: "เป็นไปได้ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมองว่าปฏิบัติการนี้เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้ว่าจะขัดขวางสงครามในฉนวนกาซาโดยรวมก็ตาม" ที่มาhttps://www.theguardian.com/commentisfree/2024/nov/06/we-are-witnessing-the-final-stage-of-genocide-in-gaza #Thaitimes
    WWW.THEGUARDIAN.COM
    We are witnessing the final stage of genocide in Gaza | Arwa Mahdawi
    Omer Bartov is an Israeli-American professor of Holocaust and genocide studies. He has issued a grim warning on Gaza
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 695 Views 0 Reviews
  • ..
    ..วันแรกที่ระเบิด: คำสั่งผู้บริหารของทรัมป์และเคนเนดีทำลายล้างสถานะเดิมและกำหนดสุขภาพ เสรีภาพ และรัฐบาลของอเมริกาใหม่!

    ข่าวด่วน: ทรัมป์และเคนเนดีออกคำสั่งผู้บริหารชุดใหญ่ตั้งแต่วันแรก! คำสั่งฉีดวัคซีนถูกทำลาย FDA และ CDC ถูกยกเลิก ห้ามใช้ส่วนผสมที่เป็นพิษ จีเอ็มโอ และการรับรองอย่างเป็นทางการถึงอันตรายจากวัคซีน ยุคใหม่ของสุขภาพและเสรีภาพเขย่าอเมริกา!

    บูม: คำสั่งฉีดวัคซีนถูกทำลาย! คำสั่งฉีดวัคซีนหมดไปแล้ว! ทรัมป์และเคนเนดีทำลายคำสั่งด้วยคำสั่งอันทรงพลังเพียงคำสั่งเดียว ยุติการควบคุมหลายปีของบริษัทยาขนาดใหญ่ เสรีภาพทางการแพทย์กลับมาแล้ว! ชาวอเมริกันเรียกร้องสิทธิในการเลือกคืนมา—ไม่มีการบังคับให้ปฏิบัติตามอีกต่อไป เสรีภาพส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้!

    เสียงปืน! กฎหมายคุ้มครองวัคซีนปี 1986: ประวัติศาสตร์! บริษัทยาขนาดใหญ่ไม่มีการหลบซ่อนอีกต่อไป! ทรัมป์และเคนเนดีได้ยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ได้รับอันตรายจากวัคซีนปี 1986 ทำลายกำแพงภูมิคุ้มกันที่บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ซ่อนอยู่ ความยุติธรรมกลับมาอีกครั้งเมื่อประชาชนได้รับสิทธิในการเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้อีกครั้ง

    ปัง! การห้ามใช้ฟลูออไรด์กำลังครอบงำประเทศชาติ! ไม่มีฟลูออไรด์ในน้ำประปาอีกต่อไป! การห้ามใช้ฟลูออไรด์ในน้ำของทรัมป์และเคนเนดีทำให้ยุคของการแพทย์จำนวนมากสิ้นสุดลงโดยไม่ได้รับความยินยอม ปล่อยให้คนอเมริกันดื่มน้ำบริสุทธิ์และฟรี! คาดหวังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่การใช้น้ำธรรมชาติที่สะอาดทั่วประเทศ

    บูม! FDA, CDC และ FTC ปรับเปลี่ยนใหม่—ไม่ พังทลาย! ทรัมป์และเคนเนดีไม่ได้แค่ปฏิรูปเท่านั้น—พวกเขาทำลาย FDA, CDC และ FTC รื้อถอนระบบราชการ นี่คือระบบราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ! หน่วยงานใหม่ที่รับผิดชอบจะรายงานต่อประชาชนและปกป้องสุขภาพโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขจากบริษัท

    ปัง! ส่วนผสมที่เป็นพิษถูกห้ามในอาหาร—การปฏิวัติสุขภาพ! บอกลาสารเติมแต่งที่เป็นอันตรายได้เลย! สีสังเคราะห์ สารกันบูด และสารพิษหมดไปจากอาหารอเมริกันแล้ว นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการปฏิวัติอาหารที่นำโดยทรัมป์และเคนเนดีเพื่อปกป้องสุขภาพ

    ฟ้าร้อง! การบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากวัคซีนได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ทรัมป์และเคนเนดีโจมตีอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็ยอมรับการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากวัคซีน ไม่มีการปฏิเสธหรือการหลอกลวงอีกต่อไป เหยื่อจะได้รับการรับฟัง การชดเชยดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความยุติธรรม

    ระเบิด! จีเอ็มโอและยาฆ่าแมลงที่เป็นพิษถูกห้าม—อเมริกาเปลี่ยนเป็นออร์แกนิก! การห้ามจีเอ็มโอและยาฆ่าแมลงของทรัมป์และเคนเนดีส่งสารอันกึกก้อง: อเมริกาเปลี่ยนเป็นออร์แกนิก สุขภาพมีความสำคัญมากกว่าผลกำไร และภาคการเกษตรก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!

    การประท้วงครั้งสุดท้าย: การยอมรับความเชื่อมโยงระหว่างออทิสติกกับวัคซีน—ระเบิดความจริง ทรัมป์และเคนเนดีพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างออทิสติกกับวัคซีนอย่างกล้าหาญ โดยท้าทายสถานะทางการแพทย์ปัจจุบัน การศึกษาวิจัยอิสระจะเพิ่มมากขึ้น และโปรแกรมสำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจะขยายตัว พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นผู้นำความจริงและความโปร่งใส

    ตอนจบที่ยิ่งใหญ่: การยกเลิก FDA, CDC, FTC—จุดจบของยุคสมัย! นี่คือตอนจบ: การโจมตีครั้งสุดท้ายที่ทำลายล้างสถานะเดิม ทรัมป์และเคนเนดีโค่นล้มยักษ์ใหญ่ในระบบราชการ ถ่ายโอนอำนาจให้กับประชาชน

    อเมริกา เตรียมตัวไว้ให้ดี—การเปลี่ยนแปลงกำลังมาถึงแล้ว!
    .. ..วันแรกที่ระเบิด: คำสั่งผู้บริหารของทรัมป์และเคนเนดีทำลายล้างสถานะเดิมและกำหนดสุขภาพ เสรีภาพ และรัฐบาลของอเมริกาใหม่! ข่าวด่วน: ทรัมป์และเคนเนดีออกคำสั่งผู้บริหารชุดใหญ่ตั้งแต่วันแรก! คำสั่งฉีดวัคซีนถูกทำลาย FDA และ CDC ถูกยกเลิก ห้ามใช้ส่วนผสมที่เป็นพิษ จีเอ็มโอ และการรับรองอย่างเป็นทางการถึงอันตรายจากวัคซีน ยุคใหม่ของสุขภาพและเสรีภาพเขย่าอเมริกา! บูม: คำสั่งฉีดวัคซีนถูกทำลาย! คำสั่งฉีดวัคซีนหมดไปแล้ว! ทรัมป์และเคนเนดีทำลายคำสั่งด้วยคำสั่งอันทรงพลังเพียงคำสั่งเดียว ยุติการควบคุมหลายปีของบริษัทยาขนาดใหญ่ เสรีภาพทางการแพทย์กลับมาแล้ว! ชาวอเมริกันเรียกร้องสิทธิในการเลือกคืนมา—ไม่มีการบังคับให้ปฏิบัติตามอีกต่อไป เสรีภาพส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้! เสียงปืน! กฎหมายคุ้มครองวัคซีนปี 1986: ประวัติศาสตร์! บริษัทยาขนาดใหญ่ไม่มีการหลบซ่อนอีกต่อไป! ทรัมป์และเคนเนดีได้ยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ได้รับอันตรายจากวัคซีนปี 1986 ทำลายกำแพงภูมิคุ้มกันที่บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ซ่อนอยู่ ความยุติธรรมกลับมาอีกครั้งเมื่อประชาชนได้รับสิทธิในการเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้อีกครั้ง ปัง! การห้ามใช้ฟลูออไรด์กำลังครอบงำประเทศชาติ! ไม่มีฟลูออไรด์ในน้ำประปาอีกต่อไป! การห้ามใช้ฟลูออไรด์ในน้ำของทรัมป์และเคนเนดีทำให้ยุคของการแพทย์จำนวนมากสิ้นสุดลงโดยไม่ได้รับความยินยอม ปล่อยให้คนอเมริกันดื่มน้ำบริสุทธิ์และฟรี! คาดหวังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่การใช้น้ำธรรมชาติที่สะอาดทั่วประเทศ บูม! FDA, CDC และ FTC ปรับเปลี่ยนใหม่—ไม่ พังทลาย! ทรัมป์และเคนเนดีไม่ได้แค่ปฏิรูปเท่านั้น—พวกเขาทำลาย FDA, CDC และ FTC รื้อถอนระบบราชการ นี่คือระบบราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ! หน่วยงานใหม่ที่รับผิดชอบจะรายงานต่อประชาชนและปกป้องสุขภาพโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขจากบริษัท ปัง! ส่วนผสมที่เป็นพิษถูกห้ามในอาหาร—การปฏิวัติสุขภาพ! บอกลาสารเติมแต่งที่เป็นอันตรายได้เลย! สีสังเคราะห์ สารกันบูด และสารพิษหมดไปจากอาหารอเมริกันแล้ว นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการปฏิวัติอาหารที่นำโดยทรัมป์และเคนเนดีเพื่อปกป้องสุขภาพ ฟ้าร้อง! การบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากวัคซีนได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ทรัมป์และเคนเนดีโจมตีอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็ยอมรับการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากวัคซีน ไม่มีการปฏิเสธหรือการหลอกลวงอีกต่อไป เหยื่อจะได้รับการรับฟัง การชดเชยดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับความยุติธรรม ระเบิด! จีเอ็มโอและยาฆ่าแมลงที่เป็นพิษถูกห้าม—อเมริกาเปลี่ยนเป็นออร์แกนิก! การห้ามจีเอ็มโอและยาฆ่าแมลงของทรัมป์และเคนเนดีส่งสารอันกึกก้อง: อเมริกาเปลี่ยนเป็นออร์แกนิก สุขภาพมีความสำคัญมากกว่าผลกำไร และภาคการเกษตรก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล! การประท้วงครั้งสุดท้าย: การยอมรับความเชื่อมโยงระหว่างออทิสติกกับวัคซีน—ระเบิดความจริง ทรัมป์และเคนเนดีพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างออทิสติกกับวัคซีนอย่างกล้าหาญ โดยท้าทายสถานะทางการแพทย์ปัจจุบัน การศึกษาวิจัยอิสระจะเพิ่มมากขึ้น และโปรแกรมสำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจะขยายตัว พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นผู้นำความจริงและความโปร่งใส ตอนจบที่ยิ่งใหญ่: การยกเลิก FDA, CDC, FTC—จุดจบของยุคสมัย! นี่คือตอนจบ: การโจมตีครั้งสุดท้ายที่ทำลายล้างสถานะเดิม ทรัมป์และเคนเนดีโค่นล้มยักษ์ใหญ่ในระบบราชการ ถ่ายโอนอำนาจให้กับประชาชน อเมริกา เตรียมตัวไว้ให้ดี—การเปลี่ยนแปลงกำลังมาถึงแล้ว!
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
More Results