• สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2569
    จากใจทีมงาน SavePal

    ขอขอบคุณทุกคนที่ไว้วางใจให้ SavePal เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและบริหารการเงินของคุณตลอดปีที่ผ่านมา
    ปีใหม่ปีนี้ ขอให้ทุกเป้าหมายทางการเงินของคุณชัดเจนขึ้น
    รายรับมั่นคง รายจ่ายเป็นระบบ
    มีเงินออม มีเงินสำรอง และมีความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งขึ้น

    SavePal จะยังคงพัฒนาระบบและเนื้อหาที่ช่วยให้
    การจัดการเงินเป็นเรื่องเข้าใจง่าย และทำได้จริงในชีวิตประจำวัน

    ขอให้ปี 2569 เป็นปีแห่ง
    วินัยทางการเงิน
    การเติบโตอย่างยั่งยืน
    และความสบายใจในทุกการใช้เงิน

    SavePal – เพื่อนคู่คิดเรื่องการเงินของคุณ
    สุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จ และมั่งคั่งอย่างมีแบบแผนตลอดปีใหม่นี้ครับ

    #SavePal
    🎉 สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2569 🎉 จากใจทีมงาน SavePal ขอขอบคุณทุกคนที่ไว้วางใจให้ SavePal เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและบริหารการเงินของคุณตลอดปีที่ผ่านมา ปีใหม่ปีนี้ ขอให้ทุกเป้าหมายทางการเงินของคุณชัดเจนขึ้น รายรับมั่นคง รายจ่ายเป็นระบบ มีเงินออม มีเงินสำรอง และมีความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งขึ้น SavePal จะยังคงพัฒนาระบบและเนื้อหาที่ช่วยให้ การจัดการเงินเป็นเรื่องเข้าใจง่าย และทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ขอให้ปี 2569 เป็นปีแห่ง 📌 วินัยทางการเงิน 📌 การเติบโตอย่างยั่งยืน 📌 และความสบายใจในทุกการใช้เงิน SavePal – เพื่อนคู่คิดเรื่องการเงินของคุณ สุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จ และมั่งคั่งอย่างมีแบบแผนตลอดปีใหม่นี้ครับ ✨ #SavePal
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาออกโรงแถลง ย้ำจุดยืนต้องการ “หยุดยิงทันที” เพื่อยุติความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย พร้อมเดินหน้าการทูตทุกช่องทาง เปิดรับการไกล่เกลี่ยจากประเทศที่สาม อ้างกัมพูชาตอบรับข้อเสนอหยุดยิงมาแล้วหลายครั้ง แต่ฝ่ายไทยยังไม่ตอบรับ
    .
    สื่อกัมพูชา Kampuchea Thmey Daily รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายปรัก สุคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้แถลงต่อสื่อมวลชน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช ภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมพิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งหารือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทย
    .
    นายปรัก สุคน ระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์การปะทะทางอาวุธที่ยังดำเนินอยู่ จุดยืนของกัมพูชาคือการยุติการสู้รบทันที และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา เพื่อยุติความทุกข์ทรมานของประชาชน รวมถึงการสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บ และความเสียหายต่อทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาย้ำว่า กัมพูชามุ่งใช้แนวทางการทูตเป็นหลัก ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหาร พร้อมเปิดรับความช่วยเหลือจากประเทศที่สามหรือกลไกระหว่างประเทศในการเข้ามาไกล่เกลี่ย หากจะช่วยนำไปสู่การยุติความขัดแย้งอย่างสันติ
    .
    พร้อมกันนี้ นายปรัก สุคน อ้างว่า นับตั้งแต่เกิดการปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนได้เสนอให้มีการหยุดยิงแล้ว 3 ครั้ง รวมถึงข้อเสนอจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีก 1 ครั้ง ซึ่งกัมพูชาได้ตอบรับทั้งหมด แต่ฝ่ายไทยยังไม่เห็นชอบ
    .
    ทั้งนี้ กัมพูชาได้เสนอแนวทาง 3 ประการต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ได้แก่
    1. ให้มีการหยุดการสู้รบทันที
    2. ให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายถอนกลับไปยังที่ตั้งเดิม
    3. แก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
    .
    โดยอ้างว่า ที่ประชุมอาเซียนได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงและเดินหน้าเจรจา พร้อมเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมระหว่างกองทัพกัมพูชา–ไทย ในวันที่ 24 ธันวาคม เพื่อหารือแนวทางการดำเนินการต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม >> https://news1live.com/detail/9680000123817
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #หยุดยิง #อาเซียน #การทูต #ข่าวต่างประเทศ
    รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาออกโรงแถลง ย้ำจุดยืนต้องการ “หยุดยิงทันที” เพื่อยุติความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย พร้อมเดินหน้าการทูตทุกช่องทาง เปิดรับการไกล่เกลี่ยจากประเทศที่สาม อ้างกัมพูชาตอบรับข้อเสนอหยุดยิงมาแล้วหลายครั้ง แต่ฝ่ายไทยยังไม่ตอบรับ . สื่อกัมพูชา Kampuchea Thmey Daily รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายปรัก สุคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้แถลงต่อสื่อมวลชน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช ภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมพิเศษรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งหารือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทย . นายปรัก สุคน ระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์การปะทะทางอาวุธที่ยังดำเนินอยู่ จุดยืนของกัมพูชาคือการยุติการสู้รบทันที และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา เพื่อยุติความทุกข์ทรมานของประชาชน รวมถึงการสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บ และความเสียหายต่อทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน . รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาย้ำว่า กัมพูชามุ่งใช้แนวทางการทูตเป็นหลัก ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหาร พร้อมเปิดรับความช่วยเหลือจากประเทศที่สามหรือกลไกระหว่างประเทศในการเข้ามาไกล่เกลี่ย หากจะช่วยนำไปสู่การยุติความขัดแย้งอย่างสันติ . พร้อมกันนี้ นายปรัก สุคน อ้างว่า นับตั้งแต่เกิดการปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนได้เสนอให้มีการหยุดยิงแล้ว 3 ครั้ง รวมถึงข้อเสนอจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีก 1 ครั้ง ซึ่งกัมพูชาได้ตอบรับทั้งหมด แต่ฝ่ายไทยยังไม่เห็นชอบ . ทั้งนี้ กัมพูชาได้เสนอแนวทาง 3 ประการต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ได้แก่ 1. ให้มีการหยุดการสู้รบทันที 2. ให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายถอนกลับไปยังที่ตั้งเดิม 3. แก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี . โดยอ้างว่า ที่ประชุมอาเซียนได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงและเดินหน้าเจรจา พร้อมเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมระหว่างกองทัพกัมพูชา–ไทย ในวันที่ 24 ธันวาคม เพื่อหารือแนวทางการดำเนินการต่อไป . อ่านเพิ่มเติม >> https://news1live.com/detail/9680000123817 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #หยุดยิง #อาเซียน #การทูต #ข่าวต่างประเทศ
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • ยุคใหม่ของการติดตั้งแอปบน Linux: 7 เครื่องมือจัดการ GitHub Binaries ที่ช่วยลดงานซ้ำซ้อน

    โลกของ Linux กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อซอฟต์แวร์จำนวนมากเลือกปล่อยเป็น pre‑compiled binaries บน GitHub Releases แทนการเข้าระบบแพ็กเกจของดิสโทรแบบดั้งเดิม ทำให้ผู้ใช้ต้องคอยเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์เองอยู่บ่อยครั้ง บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือรุ่นใหม่เหล่านี้ช่วย “ปิดช่องว่าง” ระหว่างแพ็กเกจเมเนเจอร์แบบเดิมกับโลกของ GitHub ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หนึ่งในเครื่องมือที่โดดเด่นคือ Eget ซึ่งช่วยดาวน์โหลดและติดตั้งไบนารีจาก GitHub โดยอัตโนมัติ เพียงระบุชื่อรีโป มันจะเลือกไฟล์ที่เหมาะกับสถาปัตยกรรมของระบบให้ทันที นอกจากนี้ยังมี deb‑get ที่นำแนวคิด apt-get มาประยุกต์ใช้กับ .deb จาก GitHub, PPA และลิงก์ตรง ทำให้ผู้ใช้ Ubuntu และ Debian สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์นอกรีโปได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

    ฝั่ง GUI ก็มี Autonomix ที่ใช้ GTK4 + libadwaita ให้หน้าตาทันสมัย รองรับทั้ง .deb, .rpm, AppImage, Flatpak และ Snap พร้อมระบบติดตามเวอร์ชันในตัว ส่วนเครื่องมืออย่าง bin, Install Release, stew และ AFX ก็เน้นความสามารถเฉพาะทาง เช่น การจัดการหลายแหล่งซอฟต์แวร์, การซิงก์สถานะข้ามเครื่อง, การติดตั้งแบบ declarative และการจัดการปลั๊กอินเชลล์อย่างเป็นระบบ

    ภาพรวมแล้ว เครื่องมือเหล่านี้สะท้อนทิศทางใหม่ของ Linux ที่กำลังเคลื่อนสู่โลกที่ผู้พัฒนาปล่อยซอฟต์แวร์เองมากขึ้น และผู้ใช้ต้องการระบบจัดการไบนารีที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม ไม่ต้องรอแพ็กเกจจากดิสโทร และยังสามารถอัปเดตได้อัตโนมัติแบบแพ็กเกจเมเนเจอร์ดั้งเดิม ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคล่องตัวของ GitHub กับความสะดวกของระบบจัดการแพ็กเกจที่ผู้ใช้คุ้นเคย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เครื่องมือเด่นสำหรับจัดการ GitHub Binaries
    deb‑get: apt‑get สำหรับ .deb จาก GitHub, PPA, direct download
    Autonomix: ตัวเลือก GUI รองรับหลายฟอร์แมต เช่น deb/rpm/AppImage/Flatpak/Snap
    Eget: ดาวน์โหลดไบนารีอัตโนมัติจาก GitHub พร้อมเลือกไฟล์ที่ตรงสถาปัตยกรรม
    Install Release: ซิงก์สถานะแพ็กเกจข้ามเครื่องผ่านไฟล์ JSON
    bin: จัดการไบนารีจากหลายแหล่ง เช่น GitHub, GitLab, Docker, Hashicorp
    stew: ระบบ declarative ผ่าน Stewfile + UI แบบ interactive
    AFX: จัดการปลั๊กอินเชลล์ + ไบนารีด้วย YAML config

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ต้องพึ่งพา GitHub API ซึ่งอาจเจอ rate‑limit หากไม่ใช้ token
    บางเครื่องมือยังใหม่มาก เช่น Autonomix อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่ครบ
    การติดตั้งไบนารีนอกรีโปอาจขาดการตรวจสอบความปลอดภัยจากดิสโทร
    ระบบ declarative หรือ multi‑source อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ใหม่

    https://itsfoss.com/github-binaries-tools/
    📦⚙️ ยุคใหม่ของการติดตั้งแอปบน Linux: 7 เครื่องมือจัดการ GitHub Binaries ที่ช่วยลดงานซ้ำซ้อน โลกของ Linux กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อซอฟต์แวร์จำนวนมากเลือกปล่อยเป็น pre‑compiled binaries บน GitHub Releases แทนการเข้าระบบแพ็กเกจของดิสโทรแบบดั้งเดิม ทำให้ผู้ใช้ต้องคอยเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์เองอยู่บ่อยครั้ง บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือรุ่นใหม่เหล่านี้ช่วย “ปิดช่องว่าง” ระหว่างแพ็กเกจเมเนเจอร์แบบเดิมกับโลกของ GitHub ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่โดดเด่นคือ Eget ซึ่งช่วยดาวน์โหลดและติดตั้งไบนารีจาก GitHub โดยอัตโนมัติ เพียงระบุชื่อรีโป มันจะเลือกไฟล์ที่เหมาะกับสถาปัตยกรรมของระบบให้ทันที นอกจากนี้ยังมี deb‑get ที่นำแนวคิด apt-get มาประยุกต์ใช้กับ .deb จาก GitHub, PPA และลิงก์ตรง ทำให้ผู้ใช้ Ubuntu และ Debian สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์นอกรีโปได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ฝั่ง GUI ก็มี Autonomix ที่ใช้ GTK4 + libadwaita ให้หน้าตาทันสมัย รองรับทั้ง .deb, .rpm, AppImage, Flatpak และ Snap พร้อมระบบติดตามเวอร์ชันในตัว ส่วนเครื่องมืออย่าง bin, Install Release, stew และ AFX ก็เน้นความสามารถเฉพาะทาง เช่น การจัดการหลายแหล่งซอฟต์แวร์, การซิงก์สถานะข้ามเครื่อง, การติดตั้งแบบ declarative และการจัดการปลั๊กอินเชลล์อย่างเป็นระบบ ภาพรวมแล้ว เครื่องมือเหล่านี้สะท้อนทิศทางใหม่ของ Linux ที่กำลังเคลื่อนสู่โลกที่ผู้พัฒนาปล่อยซอฟต์แวร์เองมากขึ้น และผู้ใช้ต้องการระบบจัดการไบนารีที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม ไม่ต้องรอแพ็กเกจจากดิสโทร และยังสามารถอัปเดตได้อัตโนมัติแบบแพ็กเกจเมเนเจอร์ดั้งเดิม ถือเป็นการผสมผสานระหว่างความคล่องตัวของ GitHub กับความสะดวกของระบบจัดการแพ็กเกจที่ผู้ใช้คุ้นเคย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เครื่องมือเด่นสำหรับจัดการ GitHub Binaries ➡️ deb‑get: apt‑get สำหรับ .deb จาก GitHub, PPA, direct download ➡️ Autonomix: ตัวเลือก GUI รองรับหลายฟอร์แมต เช่น deb/rpm/AppImage/Flatpak/Snap ➡️ Eget: ดาวน์โหลดไบนารีอัตโนมัติจาก GitHub พร้อมเลือกไฟล์ที่ตรงสถาปัตยกรรม ➡️ Install Release: ซิงก์สถานะแพ็กเกจข้ามเครื่องผ่านไฟล์ JSON ➡️ bin: จัดการไบนารีจากหลายแหล่ง เช่น GitHub, GitLab, Docker, Hashicorp ➡️ stew: ระบบ declarative ผ่าน Stewfile + UI แบบ interactive ➡️ AFX: จัดการปลั๊กอินเชลล์ + ไบนารีด้วย YAML config ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ต้องพึ่งพา GitHub API ซึ่งอาจเจอ rate‑limit หากไม่ใช้ token ⛔ บางเครื่องมือยังใหม่มาก เช่น Autonomix อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่ครบ ⛔ การติดตั้งไบนารีนอกรีโปอาจขาดการตรวจสอบความปลอดภัยจากดิสโทร ⛔ ระบบ declarative หรือ multi‑source อาจซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ใหม่ https://itsfoss.com/github-binaries-tools/
    ITSFOSS.COM
    Stop Manually Checking GitHub Releases — These Tools Automatically Install & Update Apps on Linux
    These handy utilities tools simplify installing and managing binaries from GitHub releases on Linux.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷

    #รวมข่าวIT #20251223 #securityonline

    Hardware‑Accelerated BitLocker: ยุคใหม่ของการเข้ารหัสที่ไม่กิน FPS อีกต่อไป
    Microsoft เปิดตัว BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งย้ายภาระการเข้ารหัสจาก CPU ไปยังเอนจินเฉพาะในคอนโทรลเลอร์ NVMe ทำให้ Windows 11 สามารถรักษาความเร็วอ่าน–เขียนระดับเกือบเนทีฟแม้เปิดการเข้ารหัสเต็มระบบ ต่างจากแบบเดิมที่ใช้ซอฟต์แวร์ล้วนและกินทรัพยากรจนกระทบ FPS ในเกมหรือโหลดงานหนักอย่างคอมไพล์โค้ดและเรนเดอร์วิดีโอ เทคโนโลยีใหม่นี้ยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการเก็บกุญแจเข้ารหัสในฮาร์ดแวร์ที่แยกตัว ลดโอกาสโจมตีหน่วยความจำ พร้อมประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยจะเปิดใช้ใน Windows 11 24H2–25H2 บนอุปกรณ์ที่มี NVMe controller รุ่นใหม่และ CPU ที่มี crypto engine ในตัว เช่น Intel Core Ultra, AMD Ryzen และ Snapdragon X ซึ่งหมายความว่า HDD และ SATA SSD จะไม่รองรับแน่นอน
    https://securityonline.info/unlocking-the-speed-of-light-how-hardware-accelerated-bitlocker-saves-your-fps/

    The Payroll Trap: แคมเปญ Quishing ใหม่ใช้ QR + CAPTCHA ปลอมเพื่อขโมยเงินเดือนพนักงาน
    แคมเปญฟิชชิงรูปแบบใหม่กำลังพุ่งเป้าไปที่พนักงานโดยใช้ QR code เพื่อหลบระบบความปลอดภัยขององค์กร ก่อนล่อให้เหยื่อสแกนด้วยมือถือส่วนตัวและพาออกนอกเครือข่ายบริษัท จากนั้นหน้าเว็บปลอมจะใช้ CAPTCHA หลอกเพื่อดึงอีเมลและกระตุ้นให้กรอกรหัสผ่าน โดยโครงสร้างหลังบ้านใช้โดเมนหมุนเวียนและ URL เฉพาะรายเหยื่อ ทำให้สืบสวนได้ยากขึ้น สะท้อนการยกระดับฟิชชิงที่ผสานเทคนิคและจิตวิทยาอย่างแนบเนียน
    https://securityonline.info/the-payroll-trap-new-quishing-campaign-uses-fake-captchas-to-hijack-employee-paychecks

    Zero‑Day Linksys: ช่องโหว่ Auth Bypass เปิดทางแฮ็กเกอร์ยึดเราเตอร์โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    นักวิจัยพบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Linksys E9450‑SG ที่ทำให้ผู้โจมตีบนเครือข่ายท้องถิ่นสามารถเปิด Telnet และเข้าถึงสิทธิ์ root ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน เพียงส่งคำขอ URL ที่เจาะจงไปยัง endpoint ที่ผิดพลาดของเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่ถูกโจมตีจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง แต่ความเสี่ยงต่อผู้ที่มีผู้ใช้ร่วมเครือข่ายหรือ Wi‑Fi รั่วไหลยังสูงมาก
    https://securityonline.info/zero-day-alert-linksys-auth-bypass-lets-hackers-hijack-routers-without-passwords

    Wonderland: มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้ Telegram ควบคุมแบบสองทางเพื่อดูดเงินเหยื่อ
    รายงานจาก Group‑IB เผยการระบาดของมัลแวร์ “Wonderland” ในเอเชียกลาง ซึ่งพัฒนาไปไกลจากโทรจันทั่วไป โดยใช้ dropper ปลอมตัวเป็นไฟล์อัปเดตหรือมีเดียเพื่อหลบการตรวจจับ ก่อนปล่อย payload ที่สื่อสารกับผู้โจมตีแบบ real‑time ผ่าน C2 ทำให้สั่งรัน USSD, ส่ง SMS และขยายการติดเชื้อผ่าน Telegram ของเหยื่อได้โดยอัตโนมัติ แสดงถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมมือถือที่ซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
    https://securityonline.info/wonderland-unleashed-new-android-dropper-malware-hijacks-telegram-to-drain-bank-accounts

    EchoGather: แคมเปญจารกรรมไซเบอร์ใช้ XLL + เอกสาร AI‑ปลอมเพื่อเจาะองค์กรรัสเซีย
    กลุ่ม Paper Werewolf ปรับยุทธวิธีใหม่ด้วยการใช้ไฟล์ XLL ซึ่งเป็น DLL ที่ Excel โหลดตรง ทำให้รันโค้ดได้โดยไม่ติดข้อจำกัดของมาโคร พร้อมเทคนิคหน่วงเวลาการทำงานเพื่อหลบระบบตรวจจับ เมื่อ payload ทำงานจะติดตั้ง backdoor “EchoGather” สำหรับเก็บข้อมูลและสั่งงานผ่าน HTTPS ขณะเดียวกันเอกสารล่อเหยื่อที่แนบมากลับถูกสร้างด้วย AI และมีข้อผิดพลาดหลายจุด สะท้อนการผสมผสานระหว่างเทคนิคขั้นสูงและความลวกของมนุษย์
    https://securityonline.info/ai-generated-decoys-xll-stealth-inside-the-new-echogather-cyber-espionage-campaign

    React2Shell Exploited: EtherRAT ใช้ Node.js ปลอมตัวเพื่อล่าคริปโตจากเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก
    แคมเปญโจมตีอัตโนมัติใช้ช่องโหว่ React2Shell เพื่อฝัง EtherRAT บนเซิร์ฟเวอร์ โดยดาวน์โหลด Node.js เวอร์ชันจริงมาติดตั้งเพื่อรันสคริปต์โจมตี ทำให้ยากต่อการตรวจจับ จากนั้นมัลแวร์จะเชื่อมต่อ RPC ของ Ethereum เพื่อทำธุรกรรมกับสัญญาเฉพาะ เป้าหมายคือขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลจากระบบที่ถูกยึดแบบไร้การเจาะจงประเทศ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ process Node.js แปลกปลอมและโฟลเดอร์ซ่อนใน home path
    https://securityonline.info/react2shell-exploited-new-etherrat-malware-hunts-for-crypto-via-node-js

    M‑Files Identity Hijack: ช่องโหว่ให้พนักงานขโมยตัวตนกันเองได้เงียบ ๆ
    แพลตฟอร์มจัดการเอกสาร M‑Files ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ “ผู้ใช้ภายใน” สามารถดัก session token ของเพื่อนร่วมงานและสวมรอยเข้าถึงข้อมูลลับได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้การตรวจสอบย้อนหลังแทบเป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกช่องโหว่ทำให้ข้อมูลจาก vault เก่ารั่วไหลไปยัง vault ใหม่โดยไม่ตั้งใจ สะท้อนความเสี่ยงของระบบที่องค์กรพึ่งพาในงานเอกสารระดับ mission‑critical และจำเป็นต้องอัปเดตแพตช์ทันทีเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้
    https://securityonline.info/identity-theft-in-m-files-high-severity-flaw-lets-insiders-hijack-user-accounts-and-access-sensitive-data

    Purchase Order Deception: แคมเปญจารกรรมใช้ loader อเนกประสงค์โจมตีอุตสาหกรรมยุโรป–ตะวันออกกลาง
    รายงานใหม่เผยแคมเปญที่ใช้ “unified commodity loader” เป็นแกนกลางในการส่ง RAT หลายตระกูลเข้าโจมตีบริษัทผลิตและหน่วยงานรัฐในอิตาลี ฟินแลนด์ และซาอุฯ โดยซ่อน payload ไว้ในภาพผ่าน steganography และดัดแปลงไลบรารีโอเพ่นซอร์สให้กลายเป็นม้าโทรจันที่ตรวจจับยาก พร้อมเทคนิคหลอก UAC แบบแนบเนียน ทำให้แคมเปญนี้เป็นตัวอย่างของการยกระดับ tradecraft ในตลาดมัลแวร์เชิงพาณิชย์
    https://securityonline.info/purchase-order-deception-sophisticated-loader-targets-manufacturing-giants-in-italy-finland-and-saudi-arabia

    Prince of Persia APT กลับมาพร้อมมัลแวร์ควบคุมผ่าน Telegram หลังเงียบไปหลายปี
    กลุ่ม APT สายอิหร่าน “Prince of Persia / Infy” ถูกพบว่ายังปฏิบัติการอยู่และได้อัปเกรดเครื่องมือใหม่ เช่น Tonnerre v50 ที่สื่อสารผ่าน Telegram group และใช้ DGA ซับซ้อนเพื่อหลบการบล็อก โครงสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่อย่าง Foudre v34 และ Tonnerre v50 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนี้ไม่ได้หายไป แต่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นและตรวจจับยากกว่าเดิม พร้อมหลักฐานว่ามีมนุษย์ควบคุมการโจมตีแบบ real‑time
    https://securityonline.info/iranian-prince-of-persia-apt-resurfaces-with-telegram-controlled-stealth-malware

    Ransomware Cartel: Qilin–DragonForce–LockBit รวมตัวแบบสิ้นหวังท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐ
    ท่ามกลางการกวาดล้างของหน่วยงานรัฐทั่วโลก กลุ่ม Qilin, DragonForce และ LockBit ประกาศตั้ง “คาร์เทล” ร่วมกัน แต่รายงานชี้ว่าการรวมตัวนี้เป็นเพียงความพยายามประคองชื่อเสียงของ LockBit ที่แทบไม่เหลือกิจกรรมจริงแล้ว ขณะที่ Qilin กลับได้ประโยชน์ด้านการตลาดและดึง affiliate ใหม่มากกว่า ภาพรวมสะท้อนการแตกตัวของ ecosystem ransomware และการเปลี่ยนไปสู่โมเดล “ขู่กรรโชกข้อมูลอย่างเดียว” ที่เสี่ยงน้อยกว่าเดิม
    https://securityonline.info/a-desperate-cartel-inside-the-unlikely-alliance-of-qilin-dragonforce-and-a-fading-lockbit

    Scripted Sparrow: เครื่องจักร BEC ระดับอุตสาหกรรมยิงอีเมลหลอกลวงกว่า 3 ล้านฉบับต่อเดือน
    กลุ่มอาชญากร “Scripted Sparrow” ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในการส่งอีเมล BEC โดยปลอมเป็นบริษัทเทรนนิ่งผู้บริหาร พร้อมแนบประวัติการสนทนาปลอมระหว่างผู้บริหารกับที่ปรึกษาเพื่อหลอกฝ่ายบัญชีให้จ่ายเงิน กลยุทธ์ใหม่คือส่งอีเมล “ลืมแนบไฟล์” เพื่อบังคับให้เหยื่อตอบกลับ ทำให้การสนทนากลายเป็น trusted thread และเปิดทางให้ส่งบัญชีม้าได้อย่างปลอดภัย การวิเคราะห์พบสมาชิกกระจายหลายทวีปและใช้เทคนิคปลอมตำแหน่ง GPS เพื่อหลบการติดตาม
    https://securityonline.info/the-3-million-email-siege-inside-scripted-sparrows-global-industrialized-bec-machine

    MongoDB Memory Leak: ช่องโหว่ zlib ทำข้อมูลหลุดโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน MongoDB (CVE‑2025‑14847) เปิดทางให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลจาก heap memory ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงส่งคำขอที่เจาะจงไปยังส่วนที่ใช้ zlib compression ทำให้เซิร์ฟเวอร์ตอบกลับด้วยข้อมูลที่ยังไม่ได้ล้าง ซึ่งอาจรวมถึง query ล่าสุดหรือ credential ที่ค้างอยู่ใน RAM ช่องโหว่นี้กระทบแทบทุกเวอร์ชันย้อนหลังหลายปี และผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีหรือปิดการใช้ zlib ชั่วคราวเพื่อหยุดการรั่วไหล
    https://securityonline.info/critical-unauthenticated-mongodb-flaw-leaks-sensitive-data-via-zlib-compression

    Anna’s Archive อ้างดูด Spotify 300TB จุดชนวนสอบสวนการรั่วไหลครั้งใหญ่
    กลุ่มเงา Anna’s Archive ระบุว่าสามารถ mirror คลังเพลงของ Spotify ได้กว่า 300TB ครอบคลุม 86 ล้านแทร็กที่คิดเป็น 99.6% ของยอดฟังทั้งหมด โดยใช้วิธีเก็บ metadata 256 ล้านรายการและหลุดไฟล์เสียงบางส่วนผ่านการเลี่ยง DRM แม้ Spotify จะยืนยันเพียงว่ามีการเข้าถึงข้อมูลบางส่วน แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์และความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะถูกนำไปสร้างแพลตฟอร์มสตรีมเถื่อนหรือใช้เทรนโมเดล AI
    https://securityonline.info/annas-archive-claims-300tb-spotify-mirror-forcing-an-investigation-into-a-massive-music-data-leak

    Windows DWM EoP: ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์ด้วยเทคนิค “วาดทับ” พร้อม PoC เผยแพร่แล้ว
    ช่องโหว่ใน Desktop Window Manager (DWM) ของ Windows เปิดทางให้ผู้ใช้ในเครื่องยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น SYSTEM ผ่านการจัดการกราฟิกผิดพลาด โดยมี PoC เผยแพร่แล้วแม้รายงานฉบับเต็มจะถูกล็อกให้เฉพาะผู้สนับสนุน เหตุการณ์นี้เพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องเร่งแพตช์ เพราะเป็นช่องโหว่ที่ผู้โจมตีสามารถใช้ร่วมกับบั๊กอื่นเพื่อยึดระบบได้อย่างรวดเร็ว
    https://securityonline.info/windows-dwm-flaw-lets-local-users-paint-their-way-to-system-privileges-poc-publishes

    Alphabet ทุ่ม $4.75B ซื้อ Intersect Power เพื่อควบคุมไฟฟ้าป้อน Gemini และศูนย์ข้อมูล
    Alphabet เดินเกมเชิงโครงสร้างด้วยการซื้อ Intersect Power เพื่อแก้ปัญหาพลังงานที่กำลังกลายเป็นคอขวดของการแข่งขัน AI โดยดีลนี้ทำให้ Google ควบคุมโครงการพลังงานหมุนเวียนหลายกิกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างติดกับดาต้าเซ็นเตอร์ในเท็กซัส การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าศึก AI ไม่ได้วัดกันที่ชิปหรือโมเดลอีกต่อไป แต่คือใครสร้างโรงไฟฟ้าได้เร็วกว่า
    https://securityonline.info/the-grid-is-the-goal-alphabets-4-75b-bet-to-own-the-power-plants-behind-gemini

    Android Toll: Google เก็บค่าติดตั้ง $2.85 ต่อแอปเมื่อใช้ลิงก์ดาวน์โหลดภายนอก
    ภายใต้แรงกดดันจากคดี Epic vs Google ศาลบีบให้ Google เปิด Play Store ให้ลิงก์ออกไปดาวน์โหลดภายนอกได้ แต่ Google เสนอโมเดลใหม่ที่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมสูง—คิด $2.85 ต่อการติดตั้งแอป และ $3.65 สำหรับเกม หากผู้ใช้ติดตั้งภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลิกลิงก์ พร้อมเก็บส่วนแบ่ง 10–20% สำหรับการจ่ายเงินผ่านระบบของนักพัฒนาเอง ทำให้แม้จะ “เปิด” ระบบ แต่ต้นทุนจริงอาจสูงจนผู้พัฒนาหลายรายไม่อยากออกจาก ecosystem
    https://securityonline.info/the-android-toll-google-to-charge-2-85-per-install-for-external-app-links
    📌🔐🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷🔐📌 #รวมข่าวIT #20251223 #securityonline ⚡ Hardware‑Accelerated BitLocker: ยุคใหม่ของการเข้ารหัสที่ไม่กิน FPS อีกต่อไป Microsoft เปิดตัว BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งย้ายภาระการเข้ารหัสจาก CPU ไปยังเอนจินเฉพาะในคอนโทรลเลอร์ NVMe ทำให้ Windows 11 สามารถรักษาความเร็วอ่าน–เขียนระดับเกือบเนทีฟแม้เปิดการเข้ารหัสเต็มระบบ ต่างจากแบบเดิมที่ใช้ซอฟต์แวร์ล้วนและกินทรัพยากรจนกระทบ FPS ในเกมหรือโหลดงานหนักอย่างคอมไพล์โค้ดและเรนเดอร์วิดีโอ เทคโนโลยีใหม่นี้ยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการเก็บกุญแจเข้ารหัสในฮาร์ดแวร์ที่แยกตัว ลดโอกาสโจมตีหน่วยความจำ พร้อมประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยจะเปิดใช้ใน Windows 11 24H2–25H2 บนอุปกรณ์ที่มี NVMe controller รุ่นใหม่และ CPU ที่มี crypto engine ในตัว เช่น Intel Core Ultra, AMD Ryzen และ Snapdragon X ซึ่งหมายความว่า HDD และ SATA SSD จะไม่รองรับแน่นอน 🔗 https://securityonline.info/unlocking-the-speed-of-light-how-hardware-accelerated-bitlocker-saves-your-fps/ 🧾 The Payroll Trap: แคมเปญ Quishing ใหม่ใช้ QR + CAPTCHA ปลอมเพื่อขโมยเงินเดือนพนักงาน แคมเปญฟิชชิงรูปแบบใหม่กำลังพุ่งเป้าไปที่พนักงานโดยใช้ QR code เพื่อหลบระบบความปลอดภัยขององค์กร ก่อนล่อให้เหยื่อสแกนด้วยมือถือส่วนตัวและพาออกนอกเครือข่ายบริษัท จากนั้นหน้าเว็บปลอมจะใช้ CAPTCHA หลอกเพื่อดึงอีเมลและกระตุ้นให้กรอกรหัสผ่าน โดยโครงสร้างหลังบ้านใช้โดเมนหมุนเวียนและ URL เฉพาะรายเหยื่อ ทำให้สืบสวนได้ยากขึ้น สะท้อนการยกระดับฟิชชิงที่ผสานเทคนิคและจิตวิทยาอย่างแนบเนียน 🔗 https://securityonline.info/the-payroll-trap-new-quishing-campaign-uses-fake-captchas-to-hijack-employee-paychecks 📡 Zero‑Day Linksys: ช่องโหว่ Auth Bypass เปิดทางแฮ็กเกอร์ยึดเราเตอร์โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน นักวิจัยพบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Linksys E9450‑SG ที่ทำให้ผู้โจมตีบนเครือข่ายท้องถิ่นสามารถเปิด Telnet และเข้าถึงสิทธิ์ root ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน เพียงส่งคำขอ URL ที่เจาะจงไปยัง endpoint ที่ผิดพลาดของเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่ถูกโจมตีจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง แต่ความเสี่ยงต่อผู้ที่มีผู้ใช้ร่วมเครือข่ายหรือ Wi‑Fi รั่วไหลยังสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/zero-day-alert-linksys-auth-bypass-lets-hackers-hijack-routers-without-passwords 📱 Wonderland: มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้ Telegram ควบคุมแบบสองทางเพื่อดูดเงินเหยื่อ รายงานจาก Group‑IB เผยการระบาดของมัลแวร์ “Wonderland” ในเอเชียกลาง ซึ่งพัฒนาไปไกลจากโทรจันทั่วไป โดยใช้ dropper ปลอมตัวเป็นไฟล์อัปเดตหรือมีเดียเพื่อหลบการตรวจจับ ก่อนปล่อย payload ที่สื่อสารกับผู้โจมตีแบบ real‑time ผ่าน C2 ทำให้สั่งรัน USSD, ส่ง SMS และขยายการติดเชื้อผ่าน Telegram ของเหยื่อได้โดยอัตโนมัติ แสดงถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมมือถือที่ซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว 🔗 https://securityonline.info/wonderland-unleashed-new-android-dropper-malware-hijacks-telegram-to-drain-bank-accounts 🧩 EchoGather: แคมเปญจารกรรมไซเบอร์ใช้ XLL + เอกสาร AI‑ปลอมเพื่อเจาะองค์กรรัสเซีย กลุ่ม Paper Werewolf ปรับยุทธวิธีใหม่ด้วยการใช้ไฟล์ XLL ซึ่งเป็น DLL ที่ Excel โหลดตรง ทำให้รันโค้ดได้โดยไม่ติดข้อจำกัดของมาโคร พร้อมเทคนิคหน่วงเวลาการทำงานเพื่อหลบระบบตรวจจับ เมื่อ payload ทำงานจะติดตั้ง backdoor “EchoGather” สำหรับเก็บข้อมูลและสั่งงานผ่าน HTTPS ขณะเดียวกันเอกสารล่อเหยื่อที่แนบมากลับถูกสร้างด้วย AI และมีข้อผิดพลาดหลายจุด สะท้อนการผสมผสานระหว่างเทคนิคขั้นสูงและความลวกของมนุษย์ 🔗 https://securityonline.info/ai-generated-decoys-xll-stealth-inside-the-new-echogather-cyber-espionage-campaign 💰 React2Shell Exploited: EtherRAT ใช้ Node.js ปลอมตัวเพื่อล่าคริปโตจากเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก แคมเปญโจมตีอัตโนมัติใช้ช่องโหว่ React2Shell เพื่อฝัง EtherRAT บนเซิร์ฟเวอร์ โดยดาวน์โหลด Node.js เวอร์ชันจริงมาติดตั้งเพื่อรันสคริปต์โจมตี ทำให้ยากต่อการตรวจจับ จากนั้นมัลแวร์จะเชื่อมต่อ RPC ของ Ethereum เพื่อทำธุรกรรมกับสัญญาเฉพาะ เป้าหมายคือขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลจากระบบที่ถูกยึดแบบไร้การเจาะจงประเทศ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ process Node.js แปลกปลอมและโฟลเดอร์ซ่อนใน home path 🔗 https://securityonline.info/react2shell-exploited-new-etherrat-malware-hunts-for-crypto-via-node-js 🕵️‍♂️ M‑Files Identity Hijack: ช่องโหว่ให้พนักงานขโมยตัวตนกันเองได้เงียบ ๆ แพลตฟอร์มจัดการเอกสาร M‑Files ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ “ผู้ใช้ภายใน” สามารถดัก session token ของเพื่อนร่วมงานและสวมรอยเข้าถึงข้อมูลลับได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้การตรวจสอบย้อนหลังแทบเป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกช่องโหว่ทำให้ข้อมูลจาก vault เก่ารั่วไหลไปยัง vault ใหม่โดยไม่ตั้งใจ สะท้อนความเสี่ยงของระบบที่องค์กรพึ่งพาในงานเอกสารระดับ mission‑critical และจำเป็นต้องอัปเดตแพตช์ทันทีเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้ 🔗 https://securityonline.info/identity-theft-in-m-files-high-severity-flaw-lets-insiders-hijack-user-accounts-and-access-sensitive-data 📦 Purchase Order Deception: แคมเปญจารกรรมใช้ loader อเนกประสงค์โจมตีอุตสาหกรรมยุโรป–ตะวันออกกลาง รายงานใหม่เผยแคมเปญที่ใช้ “unified commodity loader” เป็นแกนกลางในการส่ง RAT หลายตระกูลเข้าโจมตีบริษัทผลิตและหน่วยงานรัฐในอิตาลี ฟินแลนด์ และซาอุฯ โดยซ่อน payload ไว้ในภาพผ่าน steganography และดัดแปลงไลบรารีโอเพ่นซอร์สให้กลายเป็นม้าโทรจันที่ตรวจจับยาก พร้อมเทคนิคหลอก UAC แบบแนบเนียน ทำให้แคมเปญนี้เป็นตัวอย่างของการยกระดับ tradecraft ในตลาดมัลแวร์เชิงพาณิชย์ 🔗 https://securityonline.info/purchase-order-deception-sophisticated-loader-targets-manufacturing-giants-in-italy-finland-and-saudi-arabia 🕌 Prince of Persia APT กลับมาพร้อมมัลแวร์ควบคุมผ่าน Telegram หลังเงียบไปหลายปี กลุ่ม APT สายอิหร่าน “Prince of Persia / Infy” ถูกพบว่ายังปฏิบัติการอยู่และได้อัปเกรดเครื่องมือใหม่ เช่น Tonnerre v50 ที่สื่อสารผ่าน Telegram group และใช้ DGA ซับซ้อนเพื่อหลบการบล็อก โครงสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่อย่าง Foudre v34 และ Tonnerre v50 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนี้ไม่ได้หายไป แต่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นและตรวจจับยากกว่าเดิม พร้อมหลักฐานว่ามีมนุษย์ควบคุมการโจมตีแบบ real‑time 🔗 https://securityonline.info/iranian-prince-of-persia-apt-resurfaces-with-telegram-controlled-stealth-malware 🤝 Ransomware Cartel: Qilin–DragonForce–LockBit รวมตัวแบบสิ้นหวังท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐ ท่ามกลางการกวาดล้างของหน่วยงานรัฐทั่วโลก กลุ่ม Qilin, DragonForce และ LockBit ประกาศตั้ง “คาร์เทล” ร่วมกัน แต่รายงานชี้ว่าการรวมตัวนี้เป็นเพียงความพยายามประคองชื่อเสียงของ LockBit ที่แทบไม่เหลือกิจกรรมจริงแล้ว ขณะที่ Qilin กลับได้ประโยชน์ด้านการตลาดและดึง affiliate ใหม่มากกว่า ภาพรวมสะท้อนการแตกตัวของ ecosystem ransomware และการเปลี่ยนไปสู่โมเดล “ขู่กรรโชกข้อมูลอย่างเดียว” ที่เสี่ยงน้อยกว่าเดิม 🔗 https://securityonline.info/a-desperate-cartel-inside-the-unlikely-alliance-of-qilin-dragonforce-and-a-fading-lockbit 📨 Scripted Sparrow: เครื่องจักร BEC ระดับอุตสาหกรรมยิงอีเมลหลอกลวงกว่า 3 ล้านฉบับต่อเดือน กลุ่มอาชญากร “Scripted Sparrow” ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในการส่งอีเมล BEC โดยปลอมเป็นบริษัทเทรนนิ่งผู้บริหาร พร้อมแนบประวัติการสนทนาปลอมระหว่างผู้บริหารกับที่ปรึกษาเพื่อหลอกฝ่ายบัญชีให้จ่ายเงิน กลยุทธ์ใหม่คือส่งอีเมล “ลืมแนบไฟล์” เพื่อบังคับให้เหยื่อตอบกลับ ทำให้การสนทนากลายเป็น trusted thread และเปิดทางให้ส่งบัญชีม้าได้อย่างปลอดภัย การวิเคราะห์พบสมาชิกกระจายหลายทวีปและใช้เทคนิคปลอมตำแหน่ง GPS เพื่อหลบการติดตาม 🔗 https://securityonline.info/the-3-million-email-siege-inside-scripted-sparrows-global-industrialized-bec-machine 🛢️ MongoDB Memory Leak: ช่องโหว่ zlib ทำข้อมูลหลุดโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ร้ายแรงใน MongoDB (CVE‑2025‑14847) เปิดทางให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลจาก heap memory ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงส่งคำขอที่เจาะจงไปยังส่วนที่ใช้ zlib compression ทำให้เซิร์ฟเวอร์ตอบกลับด้วยข้อมูลที่ยังไม่ได้ล้าง ซึ่งอาจรวมถึง query ล่าสุดหรือ credential ที่ค้างอยู่ใน RAM ช่องโหว่นี้กระทบแทบทุกเวอร์ชันย้อนหลังหลายปี และผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีหรือปิดการใช้ zlib ชั่วคราวเพื่อหยุดการรั่วไหล 🔗 https://securityonline.info/critical-unauthenticated-mongodb-flaw-leaks-sensitive-data-via-zlib-compression 🎧 Anna’s Archive อ้างดูด Spotify 300TB จุดชนวนสอบสวนการรั่วไหลครั้งใหญ่ กลุ่มเงา Anna’s Archive ระบุว่าสามารถ mirror คลังเพลงของ Spotify ได้กว่า 300TB ครอบคลุม 86 ล้านแทร็กที่คิดเป็น 99.6% ของยอดฟังทั้งหมด โดยใช้วิธีเก็บ metadata 256 ล้านรายการและหลุดไฟล์เสียงบางส่วนผ่านการเลี่ยง DRM แม้ Spotify จะยืนยันเพียงว่ามีการเข้าถึงข้อมูลบางส่วน แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์และความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะถูกนำไปสร้างแพลตฟอร์มสตรีมเถื่อนหรือใช้เทรนโมเดล AI 🔗 https://securityonline.info/annas-archive-claims-300tb-spotify-mirror-forcing-an-investigation-into-a-massive-music-data-leak 🖼️ Windows DWM EoP: ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์ด้วยเทคนิค “วาดทับ” พร้อม PoC เผยแพร่แล้ว ช่องโหว่ใน Desktop Window Manager (DWM) ของ Windows เปิดทางให้ผู้ใช้ในเครื่องยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น SYSTEM ผ่านการจัดการกราฟิกผิดพลาด โดยมี PoC เผยแพร่แล้วแม้รายงานฉบับเต็มจะถูกล็อกให้เฉพาะผู้สนับสนุน เหตุการณ์นี้เพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องเร่งแพตช์ เพราะเป็นช่องโหว่ที่ผู้โจมตีสามารถใช้ร่วมกับบั๊กอื่นเพื่อยึดระบบได้อย่างรวดเร็ว 🔗 https://securityonline.info/windows-dwm-flaw-lets-local-users-paint-their-way-to-system-privileges-poc-publishes ⚡ Alphabet ทุ่ม $4.75B ซื้อ Intersect Power เพื่อควบคุมไฟฟ้าป้อน Gemini และศูนย์ข้อมูล Alphabet เดินเกมเชิงโครงสร้างด้วยการซื้อ Intersect Power เพื่อแก้ปัญหาพลังงานที่กำลังกลายเป็นคอขวดของการแข่งขัน AI โดยดีลนี้ทำให้ Google ควบคุมโครงการพลังงานหมุนเวียนหลายกิกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างติดกับดาต้าเซ็นเตอร์ในเท็กซัส การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าศึก AI ไม่ได้วัดกันที่ชิปหรือโมเดลอีกต่อไป แต่คือใครสร้างโรงไฟฟ้าได้เร็วกว่า 🔗 https://securityonline.info/the-grid-is-the-goal-alphabets-4-75b-bet-to-own-the-power-plants-behind-gemini 📱 Android Toll: Google เก็บค่าติดตั้ง $2.85 ต่อแอปเมื่อใช้ลิงก์ดาวน์โหลดภายนอก ภายใต้แรงกดดันจากคดี Epic vs Google ศาลบีบให้ Google เปิด Play Store ให้ลิงก์ออกไปดาวน์โหลดภายนอกได้ แต่ Google เสนอโมเดลใหม่ที่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมสูง—คิด $2.85 ต่อการติดตั้งแอป และ $3.65 สำหรับเกม หากผู้ใช้ติดตั้งภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลิกลิงก์ พร้อมเก็บส่วนแบ่ง 10–20% สำหรับการจ่ายเงินผ่านระบบของนักพัฒนาเอง ทำให้แม้จะ “เปิด” ระบบ แต่ต้นทุนจริงอาจสูงจนผู้พัฒนาหลายรายไม่อยากออกจาก ecosystem 🔗 https://securityonline.info/the-android-toll-google-to-charge-2-85-per-install-for-external-app-links
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • จินนี่ ตอนที่ 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 4
    อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร
    อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง
    เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ”
    ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ
    มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย
    นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย
    ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?)
    ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว
    ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน
    ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!!
    โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก
    และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย
    …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง….
    แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ
    เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ
    2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015
    สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น
    เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน
    พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย
    การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่
    ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน
    ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..)
    แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง
    หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…”
    ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย
    เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 4 อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ” ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!! โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง…. แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ 2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015 สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่ ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…” ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • ไม่ต้องจ่าย $100/เดือนก็โค้ดด้วย AI ได้: คู่มือ Local Coding Models สำหรับสาย Dev ยุคใหม่

    บทความนี้เริ่มจากสมมติฐานที่น่าสนใจของผู้เขียน: “แทนที่จะจ่าย $100+/เดือนให้ Claude Code หรือ AI coding tools แบบคลาวด์ เอาเงินไปซื้อเครื่องแรง ๆ แล้วรันโมเดลโค้ดแบบ local จะคุ้มกว่าไหม?” เขาทดสอบด้วยการซื้อ MacBook Pro RAM 128GB แล้วลองรันโมเดลโค้ดระดับ 30B–80B ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์แรกเริ่มเหมือนจะใช่ แต่หลังจากทดลองจริงหลายสัปดาห์ เขาพบว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ “ใช่…แต่ก็ไม่ใช่” เพราะแม้ local models จะทำงานได้ดีมาก แต่ยังไม่สามารถแทนที่ frontier models ในงานระดับ production ได้ทั้งหมด

    ผู้เขียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการทดลองครั้งแรก “ผิดพลาด” เพราะเขามองจากมุมของผู้ใช้สาย hobby มากกว่ามืออาชีพในองค์กรจริง ๆ แม้ local models จะทำงานได้ประมาณ 90% ของงานโค้ดทั่วไป แต่ “10% ที่เหลือ” คือส่วนที่สำคัญที่สุดในงานจริง และเป็นเหตุผลที่ subscription แบบ Claude Code หรือ Gemini Pro ยังจำเป็นสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ความเสถียร และการจัดการ context ที่ซับซ้อน

    อย่างไรก็ตาม บทความชี้ให้เห็นข้อดีของ local models ที่หลายคนมองข้าม เช่น ความเสถียรที่ไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (เหมาะกับงานที่มี IP สำคัญ) และความพร้อมใช้งานแม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอธิบายอย่างละเอียดเรื่อง RAM, context window, quantization, serving tools (MLX vs Ollama) และการเลือกโมเดลที่เหมาะกับเครื่องของคุณ ซึ่งเป็นความรู้เชิงเทคนิคที่มีประโยชน์มากสำหรับ dev ที่อยากเริ่มรันโมเดลเอง

    สุดท้าย ผู้เขียนสรุปว่า local models “คุ้มค่า” ในฐานะ ตัวเสริม ไม่ใช่ ตัวแทน ของ frontier models โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับ free tier ของ Gemini หรือโมเดลโอเพ่นซอร์สที่กำลังพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาย้ำว่าการซื้อเครื่องแรง ๆ อาจคุ้มในระยะยาว แต่ไม่ควรรีบยกเลิก subscription ถ้างานของคุณต้องการคุณภาพระดับสูงสุดของ AI coding tools

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Local models เก่งขึ้นมาก และทำงานได้ ~90% ของงานโค้ดทั่วไป
    แม้โมเดล 7B–30B ก็ทำงานได้ดีเกินคาด
    แต่ยังไม่ถึงระดับ frontier models ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ข้อดีของการรันโมเดลแบบ local
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ไม่เจอปัญหา rate limit หรือ downtime
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    ใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เช่น บนเครื่องบินหรือใน secure network

    ความรู้เชิงเทคนิคที่ dev ควรรู้
    RAM คือปัจจัยสำคัญที่สุด (30B = ~60GB RAM ถ้าไม่ quantize)
    context window ใช้ RAM มากกว่าตัวโมเดลเสียอีก
    MLX เร็วกว่า Ollama บน Mac แต่ Ollama ใช้ง่ายกว่า

    ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้เขียนแก้ไขความเข้าใจของตัวเอง
    local models ไม่เหมาะแทนที่ AI coding tools ในงาน production
    การ quantize KV cache อาจทำให้โมเดล “ลืม” reasoning trace
    การซื้อเครื่องแพง ๆ อาจไม่คุ้ม หากมี free tier ที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Gemini 3 Flash

    https://www.aiforswes.com/p/you-dont-need-to-spend-100mo-on-claude
    🧠💻 ไม่ต้องจ่าย $100/เดือนก็โค้ดด้วย AI ได้: คู่มือ Local Coding Models สำหรับสาย Dev ยุคใหม่ บทความนี้เริ่มจากสมมติฐานที่น่าสนใจของผู้เขียน: “แทนที่จะจ่าย $100+/เดือนให้ Claude Code หรือ AI coding tools แบบคลาวด์ เอาเงินไปซื้อเครื่องแรง ๆ แล้วรันโมเดลโค้ดแบบ local จะคุ้มกว่าไหม?” เขาทดสอบด้วยการซื้อ MacBook Pro RAM 128GB แล้วลองรันโมเดลโค้ดระดับ 30B–80B ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์แรกเริ่มเหมือนจะใช่ แต่หลังจากทดลองจริงหลายสัปดาห์ เขาพบว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ “ใช่…แต่ก็ไม่ใช่” เพราะแม้ local models จะทำงานได้ดีมาก แต่ยังไม่สามารถแทนที่ frontier models ในงานระดับ production ได้ทั้งหมด ผู้เขียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการทดลองครั้งแรก “ผิดพลาด” เพราะเขามองจากมุมของผู้ใช้สาย hobby มากกว่ามืออาชีพในองค์กรจริง ๆ แม้ local models จะทำงานได้ประมาณ 90% ของงานโค้ดทั่วไป แต่ “10% ที่เหลือ” คือส่วนที่สำคัญที่สุดในงานจริง และเป็นเหตุผลที่ subscription แบบ Claude Code หรือ Gemini Pro ยังจำเป็นสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ความเสถียร และการจัดการ context ที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม บทความชี้ให้เห็นข้อดีของ local models ที่หลายคนมองข้าม เช่น ความเสถียรที่ไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (เหมาะกับงานที่มี IP สำคัญ) และความพร้อมใช้งานแม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอธิบายอย่างละเอียดเรื่อง RAM, context window, quantization, serving tools (MLX vs Ollama) และการเลือกโมเดลที่เหมาะกับเครื่องของคุณ ซึ่งเป็นความรู้เชิงเทคนิคที่มีประโยชน์มากสำหรับ dev ที่อยากเริ่มรันโมเดลเอง สุดท้าย ผู้เขียนสรุปว่า local models “คุ้มค่า” ในฐานะ ตัวเสริม ไม่ใช่ ตัวแทน ของ frontier models โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับ free tier ของ Gemini หรือโมเดลโอเพ่นซอร์สที่กำลังพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาย้ำว่าการซื้อเครื่องแรง ๆ อาจคุ้มในระยะยาว แต่ไม่ควรรีบยกเลิก subscription ถ้างานของคุณต้องการคุณภาพระดับสูงสุดของ AI coding tools 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Local models เก่งขึ้นมาก และทำงานได้ ~90% ของงานโค้ดทั่วไป ➡️ แม้โมเดล 7B–30B ก็ทำงานได้ดีเกินคาด ➡️ แต่ยังไม่ถึงระดับ frontier models ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ข้อดีของการรันโมเดลแบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ไม่เจอปัญหา rate limit หรือ downtime ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ ใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เช่น บนเครื่องบินหรือใน secure network ✅ ความรู้เชิงเทคนิคที่ dev ควรรู้ ➡️ RAM คือปัจจัยสำคัญที่สุด (30B = ~60GB RAM ถ้าไม่ quantize) ➡️ context window ใช้ RAM มากกว่าตัวโมเดลเสียอีก ➡️ MLX เร็วกว่า Ollama บน Mac แต่ Ollama ใช้ง่ายกว่า ‼️ ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้เขียนแก้ไขความเข้าใจของตัวเอง ⛔ local models ไม่เหมาะแทนที่ AI coding tools ในงาน production ⛔ การ quantize KV cache อาจทำให้โมเดล “ลืม” reasoning trace ⛔ การซื้อเครื่องแพง ๆ อาจไม่คุ้ม หากมี free tier ที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Gemini 3 Flash https://www.aiforswes.com/p/you-dont-need-to-spend-100mo-on-claude
    WWW.AIFORSWES.COM
    [Revised] You Don’t Need to Spend $100/mo on Claude Code: Your Guide to Local Coding Models
    What you need to know about local model tooling and the steps for setting one up yourself
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • elementary OS 8.1 ออกแล้ว: อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อความลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม

    elementary OS 8.1 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ ความปลอดภัย และความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยอัปเดตนี้สร้างบนฐาน Ubuntu 24.04 LTS ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับอุปกรณ์ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหามากกว่า 1,100 รายการจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้ ทำให้เวอร์ชันนี้เป็นหนึ่งในอัปเดตที่ “เนียนที่สุด” ของ elementary OS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา.

    ในด้านประสบการณ์ใช้งาน ผู้ใช้จะได้พบกับ Dock ที่ฉลาดขึ้น การจัดการ Workspace ที่สะดวกกว่าเดิม และฟีเจอร์ Background Portal ที่ช่วยให้เห็นว่าแอปใดกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างโปร่งใส รวมถึงการปรับปรุงด้าน Accessibility ที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถติดตั้งระบบได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการสายดีไซน์นี้.

    ด้านความปลอดภัย Secure Session ถูกตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้การใช้งานทั่วไปปลอดภัยขึ้น เช่น หน้าต่างยืนยันรหัสผ่านที่ป้องกันการขโมยโฟกัสจากแอปอื่น และระบบอัปเดตที่ฉลาดขึ้น ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่กินเน็ตบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิด “ปลอดภัยแต่ไม่รบกวน” ที่ elementary OS ยึดถือมาโดยตลอด.

    สุดท้าย elementary OS 8.1 ยังเปิดตัวเวอร์ชัน ARM64 อย่างเป็นทางการ รองรับอุปกรณ์อย่าง Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่ใช้ UEFI ทำให้ระบบนี้ก้าวเข้าสู่โลก ARM อย่างเต็มตัว พร้อมแอปพื้นฐานที่ได้รับการปรับปรุง เช่น Maps, Monitor, Music และ GNOME Web 48.3 ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นอัปเดตที่ทั้งเบา ลื่น และทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อัปเดตด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UI/UX)
    Dock ใหม่รองรับ Workspace Switcher และ Background Portal
    Dark Mode แบบ “snooze” และการปรับปรุง Reduce Motion
    Accessibility ดีขึ้นจนผู้พิการทางสายตาติดตั้งระบบได้เอง

    AppCenter ฉลาดขึ้น
    แสดงคะแนนรีวิวแบบเปอร์เซ็นต์จาก ODRS
    จัดเรียงแอปตามวันที่อัปเดต และแสดงป้าย In-app purchase

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    Secure Session เป็นค่าเริ่มต้น
    หน้าต่างใส่รหัสผ่านป้องกันการขโมยโฟกัส

    ระบบอัปเดตที่เสถียรและไม่รบกวน
    แสดงขนาดไฟล์ก่อนดาวน์โหลด
    ไม่ดาวน์โหลดอัตโนมัติบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล

    รองรับ ARM64 อย่างเป็นทางการ
    ใช้งานได้บน Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่รองรับ UEFI

    ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้ใช้อาจต้องรู้ก่อนอัปเดต
    Secure Session อาจทำให้บางแอปเก่าหรือไดรเวอร์ไม่รองรับ
    ARM64 ยังอาจมีแอปบางตัวที่ไม่พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลง UI อาจทำให้ผู้ใช้เก่าต้องปรับตัวเล็กน้อย

    https://itsfoss.com/news/elementary-os-8-1-release/
    🖥️ elementary OS 8.1 ออกแล้ว: อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อความลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม elementary OS 8.1 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ ความปลอดภัย และความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยอัปเดตนี้สร้างบนฐาน Ubuntu 24.04 LTS ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับอุปกรณ์ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหามากกว่า 1,100 รายการจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้ ทำให้เวอร์ชันนี้เป็นหนึ่งในอัปเดตที่ “เนียนที่สุด” ของ elementary OS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา. ในด้านประสบการณ์ใช้งาน ผู้ใช้จะได้พบกับ Dock ที่ฉลาดขึ้น การจัดการ Workspace ที่สะดวกกว่าเดิม และฟีเจอร์ Background Portal ที่ช่วยให้เห็นว่าแอปใดกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างโปร่งใส รวมถึงการปรับปรุงด้าน Accessibility ที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถติดตั้งระบบได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการสายดีไซน์นี้. ด้านความปลอดภัย Secure Session ถูกตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้การใช้งานทั่วไปปลอดภัยขึ้น เช่น หน้าต่างยืนยันรหัสผ่านที่ป้องกันการขโมยโฟกัสจากแอปอื่น และระบบอัปเดตที่ฉลาดขึ้น ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่กินเน็ตบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิด “ปลอดภัยแต่ไม่รบกวน” ที่ elementary OS ยึดถือมาโดยตลอด. สุดท้าย elementary OS 8.1 ยังเปิดตัวเวอร์ชัน ARM64 อย่างเป็นทางการ รองรับอุปกรณ์อย่าง Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่ใช้ UEFI ทำให้ระบบนี้ก้าวเข้าสู่โลก ARM อย่างเต็มตัว พร้อมแอปพื้นฐานที่ได้รับการปรับปรุง เช่น Maps, Monitor, Music และ GNOME Web 48.3 ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นอัปเดตที่ทั้งเบา ลื่น และทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อัปเดตด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UI/UX) ➡️ Dock ใหม่รองรับ Workspace Switcher และ Background Portal ➡️ Dark Mode แบบ “snooze” และการปรับปรุง Reduce Motion ➡️ Accessibility ดีขึ้นจนผู้พิการทางสายตาติดตั้งระบบได้เอง ✅ AppCenter ฉลาดขึ้น ➡️ แสดงคะแนนรีวิวแบบเปอร์เซ็นต์จาก ODRS ➡️ จัดเรียงแอปตามวันที่อัปเดต และแสดงป้าย In-app purchase ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ Secure Session เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ หน้าต่างใส่รหัสผ่านป้องกันการขโมยโฟกัส ✅ ระบบอัปเดตที่เสถียรและไม่รบกวน ➡️ แสดงขนาดไฟล์ก่อนดาวน์โหลด ➡️ ไม่ดาวน์โหลดอัตโนมัติบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ✅ รองรับ ARM64 อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้งานได้บน Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่รองรับ UEFI ‼️ ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้ใช้อาจต้องรู้ก่อนอัปเดต ⛔ Secure Session อาจทำให้บางแอปเก่าหรือไดรเวอร์ไม่รองรับ ⛔ ARM64 ยังอาจมีแอปบางตัวที่ไม่พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ ⛔ การเปลี่ยนแปลง UI อาจทำให้ผู้ใช้เก่าต้องปรับตัวเล็กน้อย https://itsfoss.com/news/elementary-os-8-1-release/
    ITSFOSS.COM
    Christmas Comes Early With elementary OS 8.1 Release
    Based on Ubuntu 24.04 LTS with Secure Session as default and many other improvements.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline

    Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น
    ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน
    รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ
    https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk

    ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click
    การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด
    https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools

    AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok
    AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก
    https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs

    ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware
    แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร
    https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection

    Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน
    Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ
    https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools

    110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ
    Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส
    https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy

    Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้
    แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต
    รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข
    https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows

    HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน
    https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api

    Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI
    Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม
    https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses

    Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google
    บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง
    https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot

    Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง
    Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด
    https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o

    The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด
    คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ
    https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader

    Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ
    ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
    https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal

    OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์
    OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
    https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone

    n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว
    แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน
    https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access

    Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี
    แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    📌🔐🟡 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟡🔐📌 #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline 🧩 Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 🕶️ Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ 🔗 https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk 📱 ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด 🔗 https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools 🎭 AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs 🧪 ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร 🔗 https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection 🐾 Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ 🔗 https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools 🕵️‍♀️ 110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส 🔗 https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy 🧩 Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้ แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 📡 Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข 🔗 https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows 🖥️ HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api 🕶️ Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม 🔗 https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses 🐺 Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง 🔗 https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot ⚡ Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o 🕵️‍♂️ The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ 🔗 https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader ☎️ Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal 🤖 OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์ OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone ⚠️ n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access 🔐 Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • Gemini 3 Pro แซง 2.5 Pro ใน Pokémon Crystal: จุดเปลี่ยนของ “Spatial AI”

    การทดสอบของ Joel แสดงให้เห็นความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่าง Gemini 3 Pro และ Gemini 2.5 Pro เมื่อให้ทั้งสองรุ่นเล่น Pokémon Crystal ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน จุดที่น่าสนใจคือ แม้ทั้งคู่จะเริ่มเกมได้ใกล้เคียงกัน แต่ 3 Pro ค่อยๆ เปิดระยะห่างด้วยความสามารถด้านการรับรู้พื้นที่ การวางแผนล่วงหน้า และการจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งเป็นทักษะที่ 2.5 Pro ยังทำได้ไม่ดีพอ

    ในช่วงต้นเกม ทั้งสองโมเดลผ่านเส้นทางและด่านต่างๆ ได้ใกล้เคียงกัน แต่ 3 Pro ใช้เส้นทางที่มีประสิทธิภาพกว่า ลดการเดินหลงและลดการวนซ้ำโดยไม่จำเป็น เมื่อถึงช่วงสู้กับ Whitney ซึ่งเป็นจุดที่มักทำให้ผู้เล่นต้องฟาร์มเลเวลเพิ่ม 3 Pro กลับจัดการทรัพยากรและการต่อสู้ได้เฉียบคมกว่า ทำให้ผ่านด่านนี้ได้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด

    จุดที่ทำให้ 3 Pro ทิ้งห่างจริงๆ คือ Olivine Lighthouse และ Goldenrod Underground ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องใช้การนำทางแบบซับซ้อนและการแก้ปริศนาแบบไม่มี “safety net” 3 Pro สามารถแบ่งแผนที่เป็นส่วนๆ ทำ marker-aware navigation และวางแผนล่วงหน้าได้หลายก้าว ขณะที่ 2.5 Pro มักติดลูปหรือเดินผิดซ้ำๆ

    ท้ายที่สุด ในการทดสอบ “Final Exam: Red” ซึ่งเป็นบอสที่ยากที่สุดของเกม 3 Pro แสดงให้เห็นถึงความสามารถด้าน vision และการวิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์ที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน แม้จะยังมีจุดอ่อนบางอย่าง แต่ภาพรวมคือ 3 Pro เป็นก้าวกระโดดด้าน “agentic gameplay” ที่เริ่มเข้าใกล้ความสามารถของผู้เล่นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Gemini 3 Pro มีความเข้าใจพื้นที่เหนือกว่า
    แบ่งแผนที่เป็นโซนและนำทางได้แม่นยำ
    ลดการเดินหลงและลดลูปซ้ำๆ

    การวางแผนล่วงหน้าและการจัดการงานหลายอย่างดีขึ้น
    ควบคุมการฟาร์มเลเวลและการต่อสู้ได้มีประสิทธิภาพ
    ทำ marker-aware navigation ได้จริงในเกม

    ผ่านด่านซับซ้อนได้ดีกว่า 2.5 Pro
    Olivine Lighthouse และ Goldenrod Underground เป็นจุดที่เห็นความต่างชัด
    ใช้กลยุทธ์แบบผู้เล่นมนุษย์มากขึ้น

    จุดอ่อนที่ยังพบใน Gemini 3 Pro
    ยังมีบางสถานการณ์ที่ติดลูปหรืออ่านบริบทผิด
    การวางแผนบางครั้งยังไม่เสถียรในพื้นที่ที่มีตัวแปรสูง

    ความเสี่ยงของการพึ่งพา Vision Model ในเกมจริง
    หากสภาพภาพไม่ชัดหรือมี noise อาจทำให้ตัดสินใจผิด
    เกมที่มี UI ซับซ้อนกว่านี้อาจทำให้โมเดลสับสนได้

    https://blog.jcz.dev/gemini-3-pro-vs-25-pro-in-pokemon-crystal
    🎮 Gemini 3 Pro แซง 2.5 Pro ใน Pokémon Crystal: จุดเปลี่ยนของ “Spatial AI” การทดสอบของ Joel แสดงให้เห็นความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่าง Gemini 3 Pro และ Gemini 2.5 Pro เมื่อให้ทั้งสองรุ่นเล่น Pokémon Crystal ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน จุดที่น่าสนใจคือ แม้ทั้งคู่จะเริ่มเกมได้ใกล้เคียงกัน แต่ 3 Pro ค่อยๆ เปิดระยะห่างด้วยความสามารถด้านการรับรู้พื้นที่ การวางแผนล่วงหน้า และการจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งเป็นทักษะที่ 2.5 Pro ยังทำได้ไม่ดีพอ ในช่วงต้นเกม ทั้งสองโมเดลผ่านเส้นทางและด่านต่างๆ ได้ใกล้เคียงกัน แต่ 3 Pro ใช้เส้นทางที่มีประสิทธิภาพกว่า ลดการเดินหลงและลดการวนซ้ำโดยไม่จำเป็น เมื่อถึงช่วงสู้กับ Whitney ซึ่งเป็นจุดที่มักทำให้ผู้เล่นต้องฟาร์มเลเวลเพิ่ม 3 Pro กลับจัดการทรัพยากรและการต่อสู้ได้เฉียบคมกว่า ทำให้ผ่านด่านนี้ได้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด จุดที่ทำให้ 3 Pro ทิ้งห่างจริงๆ คือ Olivine Lighthouse และ Goldenrod Underground ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องใช้การนำทางแบบซับซ้อนและการแก้ปริศนาแบบไม่มี “safety net” 3 Pro สามารถแบ่งแผนที่เป็นส่วนๆ ทำ marker-aware navigation และวางแผนล่วงหน้าได้หลายก้าว ขณะที่ 2.5 Pro มักติดลูปหรือเดินผิดซ้ำๆ ท้ายที่สุด ในการทดสอบ “Final Exam: Red” ซึ่งเป็นบอสที่ยากที่สุดของเกม 3 Pro แสดงให้เห็นถึงความสามารถด้าน vision และการวิเคราะห์สถานการณ์แบบเรียลไทม์ที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน แม้จะยังมีจุดอ่อนบางอย่าง แต่ภาพรวมคือ 3 Pro เป็นก้าวกระโดดด้าน “agentic gameplay” ที่เริ่มเข้าใกล้ความสามารถของผู้เล่นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Gemini 3 Pro มีความเข้าใจพื้นที่เหนือกว่า ➡️ แบ่งแผนที่เป็นโซนและนำทางได้แม่นยำ ➡️ ลดการเดินหลงและลดลูปซ้ำๆ ✅ การวางแผนล่วงหน้าและการจัดการงานหลายอย่างดีขึ้น ➡️ ควบคุมการฟาร์มเลเวลและการต่อสู้ได้มีประสิทธิภาพ ➡️ ทำ marker-aware navigation ได้จริงในเกม ✅ ผ่านด่านซับซ้อนได้ดีกว่า 2.5 Pro ➡️ Olivine Lighthouse และ Goldenrod Underground เป็นจุดที่เห็นความต่างชัด ➡️ ใช้กลยุทธ์แบบผู้เล่นมนุษย์มากขึ้น ‼️ จุดอ่อนที่ยังพบใน Gemini 3 Pro ⛔ ยังมีบางสถานการณ์ที่ติดลูปหรืออ่านบริบทผิด ⛔ การวางแผนบางครั้งยังไม่เสถียรในพื้นที่ที่มีตัวแปรสูง ‼️ ความเสี่ยงของการพึ่งพา Vision Model ในเกมจริง ⛔ หากสภาพภาพไม่ชัดหรือมี noise อาจทำให้ตัดสินใจผิด ⛔ เกมที่มี UI ซับซ้อนกว่านี้อาจทำให้โมเดลสับสนได้ https://blog.jcz.dev/gemini-3-pro-vs-25-pro-in-pokemon-crystal
    BLOG.JCZ.DEV
    How Gemini 3 Pro Beat Pokemon Crystal (and 2.5 Pro didn't)
    From 2.5 Pro's lighthouse loop to 3 Pro's "Zombie Phoenix" strategy against Red: a full breakdown of why Gemini 3 Pro is a superior long-horizon agent.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland

    MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS

    การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส

    ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น

    ไฮไลต์ของ MPV 0.41
    ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น
    รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS

    ทิศทางการพัฒนา
    สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop
    เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง

    ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง
    ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า
    การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่
    ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์

    https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    🎬 MPV 0.41 มาแล้ว: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวิดีโอเพลเยอร์สายโอเพ่นซอร์สบน Wayland MPV 0.41 เปิดตัวพร้อมการปรับปรุงสำคัญด้าน Wayland ซึ่งเป็นหัวใจของเดสก์ท็อป Linux ยุคใหม่ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้การเรนเดอร์ภาพลื่นไหลขึ้น ลด input latency และแก้ปัญหาการจัดการหน้าต่างที่เคยเป็นข้อจำกัดในเวอร์ชันก่อนหน้า การพัฒนา Wayland ecosystem ที่เร็วขึ้นในปี 2025 ทำให้โปรเจกต์อย่าง MPV ต้องเร่งตามให้ทัน และเวอร์ชันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปสมัยใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการรองรับ Ambient Light Sensor (ALS) ผ่าน sysfs ซึ่งช่วยให้ MPV ปรับความสว่างของวิดีโอตามสภาพแสงรอบตัวได้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้เคยพบในอุปกรณ์พกพาและระบบปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ แต่กำลังเริ่มถูกนำมาใช้ใน Linux Desktop มากขึ้น โดยเฉพาะในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ที่รองรับเซนเซอร์แบบมาตรฐาน ACPI และ ALS การอัปเดตครั้งนี้ยังสอดคล้องกับทิศทางของ MPV ที่เน้นการรองรับเทคโนโลยีภาพสมัยใหม่ เช่น HDR, tone‑mapping และ GPU scaling ซึ่งเริ่มถูกผลักดันอย่างจริงจังตั้งแต่เวอร์ชัน 0.39–0.40 การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้ MPV กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเพลเยอร์ที่นักรีวิวสาย Linux ยกให้เป็น “มาตรฐานทองคำ” สำหรับงานดูหนังคุณภาพสูงบนระบบโอเพ่นซอร์ส ในภาพรวม MPV 0.41 ไม่ได้เป็นเพียงอัปเดตเล็ก ๆ แต่เป็นการยืนยันว่าโปรเจกต์ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมรองรับอนาคตของ Linux Desktop ที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland เต็มรูปแบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่มากขึ้น ✅ ไฮไลต์ของ MPV 0.41 ➡️ ปรับปรุง Wayland ให้เสถียรและตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ รองรับ Ambient Light Sensor ผ่าน sysfs ALS ✅ ทิศทางการพัฒนา ➡️ สอดคล้องกับการผลักดัน Wayland ใน Linux Desktop ➡️ เดินหน้ารองรับ HDR และ GPU scaling อย่างต่อเนื่อง ‼️ ประเด็นที่ผู้ใช้ควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์ ALS อาจใช้ไม่ได้ในฮาร์ดแวร์รุ่นเก่า ⛔ การเปลี่ยนผ่านสู่ Wayland อาจทำให้ปลั๊กอินหรือสคริปต์บางตัวต้องปรับตาม ‼️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ⛔ อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่า Wayland หากพบปัญหา input หรือการเรนเดอร์ https://9to5linux.com/mpv-0-41-open-source-video-player-released-with-improved-wayland-support
    9TO5LINUX.COM
    MPV 0.41 Open-Source Video Player Released with Improved Wayland Support - 9to5Linux
    MPV 0.41 open-source media player is now available for download with improved Wayland support and ambient light support on Linux.
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • สนธิเล่าเรื่อง 22-12-68
    .
    เช้าวันจันทร์วันนี้ วงประชุมและรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ กับ ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ มีเมนูเป็นข้าวผัดแหนม และต้มจืดหมูสับ เนื้อหาของการพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องความทุ่มเท การวางแผน และความเสียสละของทหารและกองทัพไทยในการยึดพื้นที่อธิปไตยของชาติ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้คืนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปราสาทตาควาย" และ "เนิน 350" นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงแนวโน้มในอนาคตเกี่ยวกับการจัดการเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยในหลากหลายด้านด้วย
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jAUPkXy7Zd8
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยเขมร
    สนธิเล่าเรื่อง 22-12-68 . เช้าวันจันทร์วันนี้ วงประชุมและรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ กับ ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ มีเมนูเป็นข้าวผัดแหนม และต้มจืดหมูสับ เนื้อหาของการพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องความทุ่มเท การวางแผน และความเสียสละของทหารและกองทัพไทยในการยึดพื้นที่อธิปไตยของชาติ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้คืนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปราสาทตาควาย" และ "เนิน 350" นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงแนวโน้มในอนาคตเกี่ยวกับการจัดการเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยในหลากหลายด้านด้วย . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jAUPkXy7Zd8 . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยเขมร
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • Mistral OCR 3: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของการอ่านเอกสารด้วย AI

    Mistral OCR 3 คือเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของระบบ OCR จาก Mistral AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความแม่นยำและความทนทานในการประมวลผลเอกสารทุกประเภท ตั้งแต่ฟอร์มราชการ สแกนคุณภาพต่ำ ไปจนถึงลายมือที่อ่านยาก จุดเด่นสำคัญคือประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Mistral OCR 2 อย่างชัดเจน โดยมีอัตราชนะรวมกว่า 74% ในการทดสอบภายในกับเอกสารจริงจากลูกค้าองค์กร

    สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นคือความสามารถในการ “เข้าใจโครงสร้างเอกสาร” ไม่ใช่แค่ดึงข้อความออกมาเท่านั้น Mistral OCR 3 สามารถสร้าง Markdown ที่มี HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างตารางที่ซับซ้อน เช่น merged cells, multi-row headers และ column hierarchy ซึ่งเป็นสิ่งที่ OCR ทั่วไปทำได้ยากมาก นอกจากนี้ยังรองรับการดึงภาพที่ฝังอยู่ในเอกสารออกมาพร้อมกัน ทำให้เหมาะสำหรับ workflow ที่ต้องการข้อมูลครบถ้วนเพื่อป้อนให้ agent หรือระบบ downstream อื่นๆ

    อีกหนึ่งจุดแข็งคือความสามารถในการจัดการเอกสารที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สแกนเอียง ภาพเบลอ DPI ต่ำ หรือมี noise ซึ่งเป็นปัญหาที่องค์กรจำนวนมากต้องเจอในงานจริง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารเก่า เอกสารราชการ หรือไฟล์ที่ถูกถ่ายจากมือถือ Mistral OCR 3 ถูกฝึกมาให้ robust ต่อสถานการณ์เหล่านี้โดยเฉพาะ ทำให้ผลลัพธ์มีความเสถียรและพร้อมใช้งานมากขึ้นในระดับ production

    สุดท้าย Mistral OCR 3 ยังมาพร้อมราคาที่แข่งขันได้มาก—เพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า และลดเหลือ $1 ต่อ 1,000 หน้า เมื่อใช้ Batch API ซึ่งถูกกว่าระบบ OCR เชิงพาณิชย์หลายเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประมวลผลเอกสารจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนสูง

    ไฮไลต์ของ Mistral OCR 3
    ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก: ชนะ Mistral OCR 2 ถึง 74% ในการทดสอบภายใน
    รองรับเอกสารหลากหลายประเภท รวมถึงลายมือ ฟอร์ม และสแกนคุณภาพต่ำ
    สร้าง Markdown พร้อม HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างเอกสาร

    ความสามารถเชิงเทคนิค
    Robust ต่อ noise, skew, compression artifacts และ low DPI
    ดึงข้อความ + ภาพฝังในเอกสารได้พร้อมกัน
    รองรับ complex tables พร้อม colspan/rowspan

    การใช้งานจริงในองค์กร
    เหมาะสำหรับ pipeline ปริมาณสูง เช่น ใบแจ้งหนี้ เอกสารปฏิบัติการ รายงานวิชาการ
    ใช้ใน Document AI Playground เพื่อแปลง PDF/ภาพเป็น text หรือ JSON ได้ทันที
    ลูกค้าใช้เพื่อ digitize archives, extract structured fields และปรับปรุง enterprise search

    ด้านราคาและการเข้าถึง
    ราคาเพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า (ลดเหลือ $1 เมื่อใช้ Batch API)
    backward compatible กับ Mistral OCR 2
    ใช้งานผ่าน API หรือ Document AI Playground ได้ทันที

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    แม้จะ robust แต่เอกสารที่เสียหายหนักอาจยังต้อง preprocessing
    การ reconstruct ตารางซับซ้อนอาจต้องตรวจสอบผลลัพธ์ก่อนใช้งาน downstream
    การใช้งานใน pipeline ปริมาณมากต้องวางแผนด้าน latency และ throughput

    https://mistral.ai/news/mistral-ocr-3
    🔍 Mistral OCR 3: ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของการอ่านเอกสารด้วย AI Mistral OCR 3 คือเวอร์ชันใหม่ล่าสุดของระบบ OCR จาก Mistral AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความแม่นยำและความทนทานในการประมวลผลเอกสารทุกประเภท ตั้งแต่ฟอร์มราชการ สแกนคุณภาพต่ำ ไปจนถึงลายมือที่อ่านยาก จุดเด่นสำคัญคือประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Mistral OCR 2 อย่างชัดเจน โดยมีอัตราชนะรวมกว่า 74% ในการทดสอบภายในกับเอกสารจริงจากลูกค้าองค์กร สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นคือความสามารถในการ “เข้าใจโครงสร้างเอกสาร” ไม่ใช่แค่ดึงข้อความออกมาเท่านั้น Mistral OCR 3 สามารถสร้าง Markdown ที่มี HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างตารางที่ซับซ้อน เช่น merged cells, multi-row headers และ column hierarchy ซึ่งเป็นสิ่งที่ OCR ทั่วไปทำได้ยากมาก นอกจากนี้ยังรองรับการดึงภาพที่ฝังอยู่ในเอกสารออกมาพร้อมกัน ทำให้เหมาะสำหรับ workflow ที่ต้องการข้อมูลครบถ้วนเพื่อป้อนให้ agent หรือระบบ downstream อื่นๆ อีกหนึ่งจุดแข็งคือความสามารถในการจัดการเอกสารที่มีคุณภาพต่ำ เช่น สแกนเอียง ภาพเบลอ DPI ต่ำ หรือมี noise ซึ่งเป็นปัญหาที่องค์กรจำนวนมากต้องเจอในงานจริง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารเก่า เอกสารราชการ หรือไฟล์ที่ถูกถ่ายจากมือถือ Mistral OCR 3 ถูกฝึกมาให้ robust ต่อสถานการณ์เหล่านี้โดยเฉพาะ ทำให้ผลลัพธ์มีความเสถียรและพร้อมใช้งานมากขึ้นในระดับ production สุดท้าย Mistral OCR 3 ยังมาพร้อมราคาที่แข่งขันได้มาก—เพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า และลดเหลือ $1 ต่อ 1,000 หน้า เมื่อใช้ Batch API ซึ่งถูกกว่าระบบ OCR เชิงพาณิชย์หลายเจ้าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการประมวลผลเอกสารจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนสูง ✅ ไฮไลต์ของ Mistral OCR 3 ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก: ชนะ Mistral OCR 2 ถึง 74% ในการทดสอบภายใน ➡️ รองรับเอกสารหลากหลายประเภท รวมถึงลายมือ ฟอร์ม และสแกนคุณภาพต่ำ ➡️ สร้าง Markdown พร้อม HTML table reconstruction เพื่อรักษาโครงสร้างเอกสาร ✅ ความสามารถเชิงเทคนิค ➡️ Robust ต่อ noise, skew, compression artifacts และ low DPI ➡️ ดึงข้อความ + ภาพฝังในเอกสารได้พร้อมกัน ➡️ รองรับ complex tables พร้อม colspan/rowspan ✅ การใช้งานจริงในองค์กร ➡️ เหมาะสำหรับ pipeline ปริมาณสูง เช่น ใบแจ้งหนี้ เอกสารปฏิบัติการ รายงานวิชาการ ➡️ ใช้ใน Document AI Playground เพื่อแปลง PDF/ภาพเป็น text หรือ JSON ได้ทันที ➡️ ลูกค้าใช้เพื่อ digitize archives, extract structured fields และปรับปรุง enterprise search ✅ ด้านราคาและการเข้าถึง ➡️ ราคาเพียง $2 ต่อ 1,000 หน้า (ลดเหลือ $1 เมื่อใช้ Batch API) ➡️ backward compatible กับ Mistral OCR 2 ➡️ ใช้งานผ่าน API หรือ Document AI Playground ได้ทันที ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ แม้จะ robust แต่เอกสารที่เสียหายหนักอาจยังต้อง preprocessing ⛔ การ reconstruct ตารางซับซ้อนอาจต้องตรวจสอบผลลัพธ์ก่อนใช้งาน downstream ⛔ การใช้งานใน pipeline ปริมาณมากต้องวางแผนด้าน latency และ throughput https://mistral.ai/news/mistral-ocr-3
    MISTRAL.AI
    Introducing Mistral OCR 3 | Mistral AI
    Achieving a new frontier for both accuracy and efficiency in document processing.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • PkgForge: ก้าวใหม่ของแอปพกพาบน Linux ที่ไม่ผูกติดดิสโทร

    PkgForge ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Linux เจอมานานหลายปี—แอปที่ “รันได้บนบางดิสโทร แต่พังบนอีกดิสโทรหนึ่ง” แม้จะมี Flatpak, Snap และ AppImage อยู่แล้ว แต่แต่ละแบบก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ต้องมี daemon, runtime หรือระบบรองรับเฉพาะทางก่อนจึงจะรันได้ PkgForge จึงเสนอแนวคิดใหม่: ทำให้แอปพกพาได้จริงโดยลดการพึ่งพา dependency ของระบบให้มากที่สุด และจัดการผ่าน ecosystem ที่มีความเป็นระเบียบและตรวจสอบได้มากกว่า

    หัวใจสำคัญของ PkgForge คือ Soar ตัวจัดการแพ็กเกจที่ทำงานคู่กับดิสโทรของผู้ใช้ ไม่ได้มาแทนที่ apt หรือ dnf แต่ทำหน้าที่เป็น “เลเยอร์พกพา” ที่ติดตั้งแอปจาก repository แบบ curated พร้อม build logs และ checksum ที่ตรวจสอบได้ จุดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสคริปต์ติดตั้งแบบสุ่มที่ผู้ใช้ Linux มักเจอเมื่อดาวน์โหลดแอปจากเว็บต่างๆ

    นอกจากนี้ PkgForge ยังมีองค์ประกอบเสริม เช่น SoarPkgs, BinCache, และ PkgCache ซึ่งรองรับตั้งแต่ static binaries ไปจนถึง portable desktop apps โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดียว เช่น AppImage, AppBundle, FlatImage, RunImage หรือแม้แต่ GameImage สำหรับเกมที่มี asset จำนวนมาก แนวคิดนี้สะท้อนเทรนด์ใหม่ของโอเพ่นซอร์สที่เน้น “ความยืดหยุ่นเหนือรูปแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับงานมากที่สุด

    แม้ PkgForge ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นช่องทางหลักของแอปใหญ่ๆ แต่ชุมชนเริ่มขยับตัว เช่นโครงการ AnyLinux AppImage ที่ทำให้ AppImage รันได้แม้ไม่มี FUSE หรือ user namespace ซึ่งช่วยลดปัญหาคลาสสิกของ AppImage ลงอย่างมาก หากโครงการเติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นรากฐานสำคัญของอนาคตแอปพกพาบน Linux ที่แท้จริง—ไม่ใช่แค่ในเชิงเทคนิค แต่ในเชิง ecosystem ด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แนวคิดหลักของ PkgForge
    มุ่งสร้างแอปพกพาที่รันได้บนทุกดิสโทรโดยลด dependency ให้มากที่สุด
    ไม่ใช่รูปแบบแพ็กเกจใหม่ แต่เป็น ecosystem ที่จัดการ portable apps อย่างเป็นระบบ
    เน้นความโปร่งใส เช่น build logs และ checksum verification

    บทบาทของ Soar
    ทำงานคู่กับ package manager ของดิสโทร ไม่ได้มาแทนที่
    จัดการติดตั้ง อัปเดต ลบ และรันแอปแบบพกพา
    รองรับการย้ายระบบหรือใช้งานบน USB ได้ง่ายขึ้น

    ประเภทแพ็กเกจที่รองรับ
    AppImage, AppBundle, Archive, FlatImage, GameImage, RunImage
    Static binaries สำหรับ CLI tools
    เลือกใช้รูปแบบที่เหมาะกับซอฟต์แวร์แต่ละตัว ไม่บังคับรูปแบบเดียว

    ความเคลื่อนไหวในชุมชน
    AnyLinux AppImage ทำให้ AppImage ใช้งานได้กว้างขึ้น
    มีแอปยอดนิยมหลายตัวเริ่มรองรับผ่าน Soar เช่น OBS Studio, Ghostty, Cromite
    แนวโน้ม portable ecosystem เริ่มชัดเจนขึ้นในโลก Linux

    ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง
    ยังไม่ใช่ช่องทางหลักของนักพัฒนาแอปส่วนใหญ่
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่าบางรูปแบบยังต้องพึ่งฟีเจอร์ของระบบ เช่น FUSE หรือ user namespace
    การจัดการแบบ manual (ถ้าไม่ใช้ Soar) อาจเพิ่มภาระเรื่องอัปเดตและ integration

    https://itsfoss.com/pkgforge/
    🧰 PkgForge: ก้าวใหม่ของแอปพกพาบน Linux ที่ไม่ผูกติดดิสโทร PkgForge ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ Linux เจอมานานหลายปี—แอปที่ “รันได้บนบางดิสโทร แต่พังบนอีกดิสโทรหนึ่ง” แม้จะมี Flatpak, Snap และ AppImage อยู่แล้ว แต่แต่ละแบบก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ต้องมี daemon, runtime หรือระบบรองรับเฉพาะทางก่อนจึงจะรันได้ PkgForge จึงเสนอแนวคิดใหม่: ทำให้แอปพกพาได้จริงโดยลดการพึ่งพา dependency ของระบบให้มากที่สุด และจัดการผ่าน ecosystem ที่มีความเป็นระเบียบและตรวจสอบได้มากกว่า หัวใจสำคัญของ PkgForge คือ Soar ตัวจัดการแพ็กเกจที่ทำงานคู่กับดิสโทรของผู้ใช้ ไม่ได้มาแทนที่ apt หรือ dnf แต่ทำหน้าที่เป็น “เลเยอร์พกพา” ที่ติดตั้งแอปจาก repository แบบ curated พร้อม build logs และ checksum ที่ตรวจสอบได้ จุดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากสคริปต์ติดตั้งแบบสุ่มที่ผู้ใช้ Linux มักเจอเมื่อดาวน์โหลดแอปจากเว็บต่างๆ นอกจากนี้ PkgForge ยังมีองค์ประกอบเสริม เช่น SoarPkgs, BinCache, และ PkgCache ซึ่งรองรับตั้งแต่ static binaries ไปจนถึง portable desktop apps โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดียว เช่น AppImage, AppBundle, FlatImage, RunImage หรือแม้แต่ GameImage สำหรับเกมที่มี asset จำนวนมาก แนวคิดนี้สะท้อนเทรนด์ใหม่ของโอเพ่นซอร์สที่เน้น “ความยืดหยุ่นเหนือรูปแบบ” เพื่อให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับงานมากที่สุด แม้ PkgForge ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นช่องทางหลักของแอปใหญ่ๆ แต่ชุมชนเริ่มขยับตัว เช่นโครงการ AnyLinux AppImage ที่ทำให้ AppImage รันได้แม้ไม่มี FUSE หรือ user namespace ซึ่งช่วยลดปัญหาคลาสสิกของ AppImage ลงอย่างมาก หากโครงการเติบโตต่อเนื่อง มันอาจกลายเป็นรากฐานสำคัญของอนาคตแอปพกพาบน Linux ที่แท้จริง—ไม่ใช่แค่ในเชิงเทคนิค แต่ในเชิง ecosystem ด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แนวคิดหลักของ PkgForge ➡️ มุ่งสร้างแอปพกพาที่รันได้บนทุกดิสโทรโดยลด dependency ให้มากที่สุด ➡️ ไม่ใช่รูปแบบแพ็กเกจใหม่ แต่เป็น ecosystem ที่จัดการ portable apps อย่างเป็นระบบ ➡️ เน้นความโปร่งใส เช่น build logs และ checksum verification ✅ บทบาทของ Soar ➡️ ทำงานคู่กับ package manager ของดิสโทร ไม่ได้มาแทนที่ ➡️ จัดการติดตั้ง อัปเดต ลบ และรันแอปแบบพกพา ➡️ รองรับการย้ายระบบหรือใช้งานบน USB ได้ง่ายขึ้น ✅ ประเภทแพ็กเกจที่รองรับ ➡️ AppImage, AppBundle, Archive, FlatImage, GameImage, RunImage ➡️ Static binaries สำหรับ CLI tools ➡️ เลือกใช้รูปแบบที่เหมาะกับซอฟต์แวร์แต่ละตัว ไม่บังคับรูปแบบเดียว ✅ ความเคลื่อนไหวในชุมชน ➡️ AnyLinux AppImage ทำให้ AppImage ใช้งานได้กว้างขึ้น ➡️ มีแอปยอดนิยมหลายตัวเริ่มรองรับผ่าน Soar เช่น OBS Studio, Ghostty, Cromite ➡️ แนวโน้ม portable ecosystem เริ่มชัดเจนขึ้นในโลก Linux ‼️ ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง ⛔ ยังไม่ใช่ช่องทางหลักของนักพัฒนาแอปส่วนใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่าบางรูปแบบยังต้องพึ่งฟีเจอร์ของระบบ เช่น FUSE หรือ user namespace ⛔ การจัดการแบบ manual (ถ้าไม่ใช้ Soar) อาจเพิ่มภาระเรื่องอัปเดตและ integration https://itsfoss.com/pkgforge/
    ITSFOSS.COM
    Linux Apps Without Distro Lock-In? Explore This Lesser Known Snap and Flatpak Alternative
    Meet PkgForge: A Distro-Independent Portable Apps 'Foundry' for Linux Users
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps

    จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps.

    CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ.

    สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก.

    แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน
    ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต
    รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads

    ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง
    throughput ใกล้ 100 Gbps
    ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST

    โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ
    ครอบคลุม 40 เมือง
    ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม.
    รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย

    รองรับ deterministic networking
    ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ
    เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม
    ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก
    ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย

    โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก
    อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    🌐⚡ CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps. CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ. สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก. แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน ➡️ ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต ➡️ รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads ✅ ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง ➡️ throughput ใกล้ 100 Gbps ➡️ ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST ✅ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ ➡️ ครอบคลุม 40 เมือง ➡️ ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม. ➡️ รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย ✅ รองรับ deterministic networking ➡️ ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ ➡️ เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม ⛔ ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ ‼️ deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก ⛔ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย ‼️ โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก ⛔ อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • Windows 11 แอบซ่อน Native NVMe Driver รุ่นใหม่ — ปลดล็อกได้ผ่าน Registry แต่เสี่ยงพังทั้งระบบ

    มีการค้นพบว่า Windows 11 และ Windows Server 2025 มี NVMe storage driver รุ่นใหม่ ที่ Microsoft ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้งาน แต่ซ่อนอยู่ในระบบแบบ “experimental flag” ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ผ่านการแก้ไข Registry โดยตรง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ NVMe โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ I/O throughput สูง เช่นเกม, workstation และ workload แบบ data‑intensive.

    ผู้ใช้ที่ทดลองเปิดใช้งานรายงานว่า driver ใหม่นี้ช่วยลด latency และเพิ่มความเร็ว I/O ได้จริงในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะบน SSD PCIe 4.0 และ PCIe 5.0 ที่มีคอขวดด้าน driver overhead อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการใน Windows 11 เวอร์ชัน consumer เพราะยังอยู่ในสถานะทดสอบ และอาจมีปัญหาความเข้ากันได้กับ SSD บางรุ่นหรือคอนโทรลเลอร์บางตระกูล.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ driver ตัวนี้ถูกเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้นใน Windows Server 2025 ซึ่งบ่งชี้ว่ามันถูกออกแบบมาสำหรับ workload ระดับองค์กร เช่น virtualization, database, และ storage‑heavy compute แต่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ “ปลดล็อก” มาใช้ได้บน Windows 11 ผ่าน Registry hack แม้ Microsoft จะไม่ได้แนะนำให้ทำก็ตาม.

    ในภาพรวม ฟีเจอร์นี้สะท้อนทิศทางของ Microsoft ที่ต้องการยกระดับ stack การจัดการ storage ให้ทันกับยุค SSD PCIe 5.0 ที่มีความเร็วสูงมาก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่ารองรับ SSD ทุกแบรนด์และทุกคอนโทรลเลอร์ได้อย่างเสถียร ก่อนจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Windows 11 มี NVMe driver รุ่นใหม่ซ่อนอยู่ในระบบ
    ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ I/O และลด latency
    เปิดใช้งานได้ผ่าน Registry hack

    เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows Server 2025
    ชี้ว่าฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ workload ระดับองค์กร
    เน้นงาน virtualization และ database

    ผู้ใช้บางรายพบว่าความเร็วเพิ่มขึ้นจริง
    เหมาะกับ SSD PCIe 4.0 และ 5.0
    ลด driver overhead ในงานหนัก

    Microsoft ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปอย่างเป็นทางการ
    อยู่ในสถานะ experimental
    อาจเปิดในอัปเดตใหญ่ของ Windows 11 ในอนาคต

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    Registry hack มีความเสี่ยงสูง
    อาจทำให้ระบบบูตไม่ได้หรือเกิด BSOD

    ความเข้ากันได้กับ SSD บางรุ่นยังไม่สมบูรณ์
    โดยเฉพาะคอนโทรลเลอร์รุ่นเก่า

    Microsoft ไม่รับประกันความเสถียรหากเปิดใช้เอง
    อาจมีผลต่อการอัปเดตหรือระบบความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/software/windows/registry-hack-enables-new-performance-boosting-native-nvme-support-on-windows-11-windows-server-2025-feature-can-be-unlocked-for-consumer-pcs-but-at-your-own-risk
    ⚡🗝️ Windows 11 แอบซ่อน Native NVMe Driver รุ่นใหม่ — ปลดล็อกได้ผ่าน Registry แต่เสี่ยงพังทั้งระบบ มีการค้นพบว่า Windows 11 และ Windows Server 2025 มี NVMe storage driver รุ่นใหม่ ที่ Microsoft ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้งาน แต่ซ่อนอยู่ในระบบแบบ “experimental flag” ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ผ่านการแก้ไข Registry โดยตรง ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ NVMe โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ I/O throughput สูง เช่นเกม, workstation และ workload แบบ data‑intensive. ผู้ใช้ที่ทดลองเปิดใช้งานรายงานว่า driver ใหม่นี้ช่วยลด latency และเพิ่มความเร็ว I/O ได้จริงในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะบน SSD PCIe 4.0 และ PCIe 5.0 ที่มีคอขวดด้าน driver overhead อย่างไรก็ตาม Microsoft ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการใน Windows 11 เวอร์ชัน consumer เพราะยังอยู่ในสถานะทดสอบ และอาจมีปัญหาความเข้ากันได้กับ SSD บางรุ่นหรือคอนโทรลเลอร์บางตระกูล. สิ่งที่น่าสนใจคือ driver ตัวนี้ถูกเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้นใน Windows Server 2025 ซึ่งบ่งชี้ว่ามันถูกออกแบบมาสำหรับ workload ระดับองค์กร เช่น virtualization, database, และ storage‑heavy compute แต่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ “ปลดล็อก” มาใช้ได้บน Windows 11 ผ่าน Registry hack แม้ Microsoft จะไม่ได้แนะนำให้ทำก็ตาม. ในภาพรวม ฟีเจอร์นี้สะท้อนทิศทางของ Microsoft ที่ต้องการยกระดับ stack การจัดการ storage ให้ทันกับยุค SSD PCIe 5.0 ที่มีความเร็วสูงมาก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่ารองรับ SSD ทุกแบรนด์และทุกคอนโทรลเลอร์ได้อย่างเสถียร ก่อนจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Windows 11 มี NVMe driver รุ่นใหม่ซ่อนอยู่ในระบบ ➡️ ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ I/O และลด latency ➡️ เปิดใช้งานได้ผ่าน Registry hack ✅ เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows Server 2025 ➡️ ชี้ว่าฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ workload ระดับองค์กร ➡️ เน้นงาน virtualization และ database ✅ ผู้ใช้บางรายพบว่าความเร็วเพิ่มขึ้นจริง ➡️ เหมาะกับ SSD PCIe 4.0 และ 5.0 ➡️ ลด driver overhead ในงานหนัก ✅ Microsoft ยังไม่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปอย่างเป็นทางการ ➡️ อยู่ในสถานะ experimental ➡️ อาจเปิดในอัปเดตใหญ่ของ Windows 11 ในอนาคต ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ Registry hack มีความเสี่ยงสูง ⛔ อาจทำให้ระบบบูตไม่ได้หรือเกิด BSOD ‼️ ความเข้ากันได้กับ SSD บางรุ่นยังไม่สมบูรณ์ ⛔ โดยเฉพาะคอนโทรลเลอร์รุ่นเก่า ‼️ Microsoft ไม่รับประกันความเสถียรหากเปิดใช้เอง ⛔ อาจมีผลต่อการอัปเดตหรือระบบความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/software/windows/registry-hack-enables-new-performance-boosting-native-nvme-support-on-windows-11-windows-server-2025-feature-can-be-unlocked-for-consumer-pcs-but-at-your-own-risk
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • 12 ปีแห่ง “HODL” — จากโพสต์เมาๆ สู่กลยุทธ์ลงทุนที่ทำกำไร 16,666%

    ย้อนกลับไปวันที่ 18 ธันวาคม 2013 ผู้ใช้ชื่อ GameKyuubi บนฟอรั่ม Bitcointalk ได้โพสต์ข้อความที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความเมา พร้อมพิมพ์ผิดคำว่า “HOLD” กลายเป็น “HODL” โดยบอกว่าตัวเองเป็น “นักเทรดที่ห่วย” และจะไม่ขายแม้ราคา Bitcoin จะร่วงหนัก ข้อความนั้นกลายเป็นมีมระดับตำนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม “ถือยาวไม่ขาย” ที่ครองใจนักลงทุนคริปโตทั่วโลก.

    ในเวลานั้น Bitcoin มีราคาเพียง $523 ต่อ 1 BTC ซึ่งถือว่าตกลงมามากจากจุดสูงสุด $1,132 ในเดือนก่อนหน้า แต่ถ้าใคร “HODL” จริงตามโพสต์นั้นและถือยาวมาถึงวันนี้ มูลค่าจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า $87,623 ต่อ BTC หรือคิดเป็นกำไร 16,666% ตามข้อมูลในข่าว นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพลังการถือยาวในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin.

    แม้คำว่า HODL จะเกิดจากความเมา แต่วงการคริปโตได้ตีความใหม่ให้เป็น “Hold On for Dear Life” หรือ “จับไว้ให้แน่น” ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดสั้นๆ ที่ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อการขาดทุน การถือยาวจึงกลายเป็นทั้งวัฒนธรรมและกลยุทธ์ที่นักลงทุนจำนวนมากยึดถือ โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหนัก.

    อย่างไรก็ตาม แม้ตัวอย่างนี้จะดูสวยงาม แต่นักลงทุนแบบดั้งเดิมเตือนว่ากลยุทธ์ HODL อาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะการไม่ตัดขาดทุนเลยอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการความเสี่ยงและการวางแผนจึงยังเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะอยู่ในโลกคริปโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะตัวก็ตาม.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ต้นกำเนิด HODL มาจากโพสต์เมาๆ ของ GameKyuubi ปี 2013
    พิมพ์ผิดจาก “HOLD” เป็น “HODL” แต่กลายเป็นมีมระดับโลก
    เกิดขึ้นช่วงราคา BTC ร่วงหนักจนชุมชนตื่นตระหนก

    การถือ 1 BTC จากปี 2013 ถึงวันนี้ให้ผลตอบแทน 16,666%
    จาก $523 → มากกว่า $87,000
    เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการถือยาวในสินทรัพย์ผันผวน

    HODL ถูกตีความใหม่เป็น “Hold On for Dear Life”
    กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของนักลงทุนคริปโต
    เน้นความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดรายวัน

    ข่าวชี้ว่ากลยุทธ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจในวงการคริปโต
    แม้จะเริ่มจากความเมา แต่กลายเป็นหลักคิดที่ทรงพลัง

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    กลยุทธ์ HODL ไม่เหมาะกับทุกคน
    การไม่ตัดขาดทุนอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในตลาดผันผวน

    การตีความ “ถือยาว” อาจทำให้มองข้ามความเสี่ยงจริง
    นักลงทุนบางรายอาจเข้าใจผิดว่า HODL คือวิธีที่ปลอดภัยเสมอ

    ข้อมูลในข่าวชี้ว่าควรระวังการมองอดีตเป็นตัวชี้อนาคต
    ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลลัพธ์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/hodlers-began-hodling-bitcoin-12-years-ago-iconic-whisky-fuelled-investment-strategy-would-have-turned-usd523-into-over-usd87-000-a-16-666-percent-gain
    🥃🚀 12 ปีแห่ง “HODL” — จากโพสต์เมาๆ สู่กลยุทธ์ลงทุนที่ทำกำไร 16,666% ย้อนกลับไปวันที่ 18 ธันวาคม 2013 ผู้ใช้ชื่อ GameKyuubi บนฟอรั่ม Bitcointalk ได้โพสต์ข้อความที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความเมา พร้อมพิมพ์ผิดคำว่า “HOLD” กลายเป็น “HODL” โดยบอกว่าตัวเองเป็น “นักเทรดที่ห่วย” และจะไม่ขายแม้ราคา Bitcoin จะร่วงหนัก ข้อความนั้นกลายเป็นมีมระดับตำนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม “ถือยาวไม่ขาย” ที่ครองใจนักลงทุนคริปโตทั่วโลก. ในเวลานั้น Bitcoin มีราคาเพียง $523 ต่อ 1 BTC ซึ่งถือว่าตกลงมามากจากจุดสูงสุด $1,132 ในเดือนก่อนหน้า แต่ถ้าใคร “HODL” จริงตามโพสต์นั้นและถือยาวมาถึงวันนี้ มูลค่าจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า $87,623 ต่อ BTC หรือคิดเป็นกำไร 16,666% ตามข้อมูลในข่าว นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพลังการถือยาวในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin. แม้คำว่า HODL จะเกิดจากความเมา แต่วงการคริปโตได้ตีความใหม่ให้เป็น “Hold On for Dear Life” หรือ “จับไว้ให้แน่น” ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดสั้นๆ ที่ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อการขาดทุน การถือยาวจึงกลายเป็นทั้งวัฒนธรรมและกลยุทธ์ที่นักลงทุนจำนวนมากยึดถือ โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหนัก. อย่างไรก็ตาม แม้ตัวอย่างนี้จะดูสวยงาม แต่นักลงทุนแบบดั้งเดิมเตือนว่ากลยุทธ์ HODL อาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะการไม่ตัดขาดทุนเลยอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการความเสี่ยงและการวางแผนจึงยังเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะอยู่ในโลกคริปโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะตัวก็ตาม. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ต้นกำเนิด HODL มาจากโพสต์เมาๆ ของ GameKyuubi ปี 2013 ➡️ พิมพ์ผิดจาก “HOLD” เป็น “HODL” แต่กลายเป็นมีมระดับโลก ➡️ เกิดขึ้นช่วงราคา BTC ร่วงหนักจนชุมชนตื่นตระหนก ✅ การถือ 1 BTC จากปี 2013 ถึงวันนี้ให้ผลตอบแทน 16,666% ➡️ จาก $523 → มากกว่า $87,000 ➡️ เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการถือยาวในสินทรัพย์ผันผวน ✅ HODL ถูกตีความใหม่เป็น “Hold On for Dear Life” ➡️ กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของนักลงทุนคริปโต ➡️ เน้นความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดรายวัน ✅ ข่าวชี้ว่ากลยุทธ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจในวงการคริปโต ➡️ แม้จะเริ่มจากความเมา แต่กลายเป็นหลักคิดที่ทรงพลัง ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ กลยุทธ์ HODL ไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การไม่ตัดขาดทุนอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในตลาดผันผวน ‼️ การตีความ “ถือยาว” อาจทำให้มองข้ามความเสี่ยงจริง ⛔ นักลงทุนบางรายอาจเข้าใจผิดว่า HODL คือวิธีที่ปลอดภัยเสมอ ‼️ ข้อมูลในข่าวชี้ว่าควรระวังการมองอดีตเป็นตัวชี้อนาคต ⛔ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลลัพธ์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/hodlers-began-hodling-bitcoin-12-years-ago-iconic-whisky-fuelled-investment-strategy-would-have-turned-usd523-into-over-usd87-000-a-16-666-percent-gain
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • Mac Studio Cluster กับ RDMA บน Thunderbolt 5: Apple เปิดประตูสู่ยุค AI Supernode บนเดสก์ท็อป
    การทดสอบล่าสุดของ Jeff Geerling เผยให้เห็นศักยภาพใหม่ของ Mac Studio M3 Ultra เมื่อจับมารวมคลัสเตอร์ผ่าน RDMA บน Thunderbolt 5 ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ใน macOS 26.2 การเชื่อมต่อแบบ RDMA ทำให้เครื่องหลายตัวแชร์หน่วยความจำเสมือนเป็นก้อนเดียว ลด latency จากระดับ
    300𝜇𝑠 เหลือไม่ถึง 50𝜇𝑠 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปกติพบในระบบ HPC ระดับศูนย์ข้อมูล ไม่ใช่บนเดสก์ท็อปทั่วไป

    คลัสเตอร์ที่ใช้ทดสอบประกอบด้วย Mac Studio 4 เครื่อง รวมหน่วยความจำ 1.5 TB unified memory มูลค่ารวมเกือบ $40,000 แม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่เมื่อเทียบกับระบบอย่าง Nvidia DGX Spark หรือ AMD AI Max+ 395 ที่มีหน่วยความจำสูงสุดเพียง 128 GB ต่อเครื่อง Mac Studio กลับให้สเปกที่เหนือกว่าในหลายมิติ โดยเฉพาะงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่

    การทดสอบจริงพบว่า RDMA ทำให้ Exo 1.0 สามารถรันโมเดลระดับ 600+ GB (Kimi K2 Thinking) และแม้แต่โมเดลระดับ 1T parameters ได้ที่ความเร็วประมาณ 30 tokens/s บนคลัสเตอร์ 4 เครื่อง ซึ่งถือว่าเร็วพอสำหรับงานโต้ตอบแบบ near‑real‑time ในระดับ local compute นอกจากนี้ Mac Studio ยังโดดเด่นด้านพลังงาน ใช้ไฟไม่ถึง 250W ต่อเครื่อง และ idle ต่ำกว่า 10W ซึ่งเป็นตัวเลขที่หาได้ยากในโลก HPC

    อย่างไรก็ตาม การจัดการคลัสเตอร์ macOS ยังมีข้อจำกัด เช่น การอัปเดตระบบที่ต้องคลิกผ่าน UI, ความยุ่งยากของการเดินสาย Thunderbolt 5 ที่ยังไม่มีสวิตช์กลาง, และความไม่เสถียรของ RDMA ในบางงาน เช่น HPL ที่ทำให้เครื่องรีบูตระหว่างทดสอบ แต่ภาพรวมแล้ว นี่คือสัญญาณว่า Apple กำลังกลับเข้าสู่โลก HPC อีกครั้ง หลังจากยุค Xserve และ Xgrid ที่เคยล้มเหลวในอดีต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    RDMA บน Thunderbolt 5 เปลี่ยน Mac Studio ให้เป็น AI Supernode
    ลด latency จาก 300 µs → < 50 µs
    ทำให้หลายเครื่องแชร์หน่วยความจำเสมือนเป็นก้อนเดียว

    ประสิทธิภาพของคลัสเตอร์ 1.5 TB unified memory
    รันโมเดล 600+ GB และ 1T parameters ได้จริง
    ทำงานเร็วพอสำหรับงาน AI แบบ local compute

    Mac Studio vs ระบบ HPC เชิงพาณิชย์
    แรงกว่า DGX Spark/AI Max+ 395 ในหลายงาน
    ใช้พลังงานต่ำกว่าและเสียงเงียบกว่าอย่างมาก

    ปัญหาและข้อจำกัด
    macOS ยังไม่เหมาะกับการจัดการคลัสเตอร์แบบมืออาชีพ
    Thunderbolt 5 ยังไม่มีสวิตช์ ทำให้ต้องต่อแบบ mesh
    RDMA ยังมีบั๊กและความไม่เสถียรในบาง workload

    คำเตือน / ประเด็นที่ควรระวัง
    RDMA บน macOS ยังใหม่มาก
    มีรายงาน crash เมื่อรัน HPL ผ่าน Thunderbolt

    การจัดการคลัสเตอร์ macOS ยังไม่เทียบเท่า Linux
    การอัปเดตระบบต้องทำผ่าน UI ไม่สามารถทำผ่าน SSH

    การเดินสาย Thunderbolt 5 มีข้อจำกัดเชิงกายภาพ
    ไม่มีสวิตช์ TB5 ทำให้การต่อหลายเครื่องยุ่งยากและไม่เสถียร

    https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/15-tb-vram-on-mac-studio-rdma-over-thunderbolt-5
    ⚡ Mac Studio Cluster กับ RDMA บน Thunderbolt 5: Apple เปิดประตูสู่ยุค AI Supernode บนเดสก์ท็อป การทดสอบล่าสุดของ Jeff Geerling เผยให้เห็นศักยภาพใหม่ของ Mac Studio M3 Ultra เมื่อจับมารวมคลัสเตอร์ผ่าน RDMA บน Thunderbolt 5 ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ใน macOS 26.2 การเชื่อมต่อแบบ RDMA ทำให้เครื่องหลายตัวแชร์หน่วยความจำเสมือนเป็นก้อนเดียว ลด latency จากระดับ 300𝜇𝑠 เหลือไม่ถึง 50𝜇𝑠 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปกติพบในระบบ HPC ระดับศูนย์ข้อมูล ไม่ใช่บนเดสก์ท็อปทั่วไป คลัสเตอร์ที่ใช้ทดสอบประกอบด้วย Mac Studio 4 เครื่อง รวมหน่วยความจำ 1.5 TB unified memory มูลค่ารวมเกือบ $40,000 แม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่เมื่อเทียบกับระบบอย่าง Nvidia DGX Spark หรือ AMD AI Max+ 395 ที่มีหน่วยความจำสูงสุดเพียง 128 GB ต่อเครื่อง Mac Studio กลับให้สเปกที่เหนือกว่าในหลายมิติ โดยเฉพาะงาน inference ของโมเดลขนาดใหญ่ การทดสอบจริงพบว่า RDMA ทำให้ Exo 1.0 สามารถรันโมเดลระดับ 600+ GB (Kimi K2 Thinking) และแม้แต่โมเดลระดับ 1T parameters ได้ที่ความเร็วประมาณ 30 tokens/s บนคลัสเตอร์ 4 เครื่อง ซึ่งถือว่าเร็วพอสำหรับงานโต้ตอบแบบ near‑real‑time ในระดับ local compute นอกจากนี้ Mac Studio ยังโดดเด่นด้านพลังงาน ใช้ไฟไม่ถึง 250W ต่อเครื่อง และ idle ต่ำกว่า 10W ซึ่งเป็นตัวเลขที่หาได้ยากในโลก HPC อย่างไรก็ตาม การจัดการคลัสเตอร์ macOS ยังมีข้อจำกัด เช่น การอัปเดตระบบที่ต้องคลิกผ่าน UI, ความยุ่งยากของการเดินสาย Thunderbolt 5 ที่ยังไม่มีสวิตช์กลาง, และความไม่เสถียรของ RDMA ในบางงาน เช่น HPL ที่ทำให้เครื่องรีบูตระหว่างทดสอบ แต่ภาพรวมแล้ว นี่คือสัญญาณว่า Apple กำลังกลับเข้าสู่โลก HPC อีกครั้ง หลังจากยุค Xserve และ Xgrid ที่เคยล้มเหลวในอดีต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ RDMA บน Thunderbolt 5 เปลี่ยน Mac Studio ให้เป็น AI Supernode ➡️ ลด latency จาก 300 µs → < 50 µs ➡️ ทำให้หลายเครื่องแชร์หน่วยความจำเสมือนเป็นก้อนเดียว ✅ ประสิทธิภาพของคลัสเตอร์ 1.5 TB unified memory ➡️ รันโมเดล 600+ GB และ 1T parameters ได้จริง ➡️ ทำงานเร็วพอสำหรับงาน AI แบบ local compute ✅ Mac Studio vs ระบบ HPC เชิงพาณิชย์ ➡️ แรงกว่า DGX Spark/AI Max+ 395 ในหลายงาน ➡️ ใช้พลังงานต่ำกว่าและเสียงเงียบกว่าอย่างมาก ✅ ปัญหาและข้อจำกัด ➡️ macOS ยังไม่เหมาะกับการจัดการคลัสเตอร์แบบมืออาชีพ ➡️ Thunderbolt 5 ยังไม่มีสวิตช์ ทำให้ต้องต่อแบบ mesh ➡️ RDMA ยังมีบั๊กและความไม่เสถียรในบาง workload ⚠️ คำเตือน / ประเด็นที่ควรระวัง ‼️ RDMA บน macOS ยังใหม่มาก ⛔ มีรายงาน crash เมื่อรัน HPL ผ่าน Thunderbolt ‼️ การจัดการคลัสเตอร์ macOS ยังไม่เทียบเท่า Linux ⛔ การอัปเดตระบบต้องทำผ่าน UI ไม่สามารถทำผ่าน SSH ‼️ การเดินสาย Thunderbolt 5 มีข้อจำกัดเชิงกายภาพ ⛔ ไม่มีสวิตช์ TB5 ทำให้การต่อหลายเครื่องยุ่งยากและไม่เสถียร https://www.jeffgeerling.com/blog/2025/15-tb-vram-on-mac-studio-rdma-over-thunderbolt-5
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • Tiger Data เปิดซอร์ส pg_textsearch: ก้าวใหม่ของการค้นหาแบบ BM25 บน PostgreSQL

    การที่ Tiger Data ตัดสินใจเปิดซอร์ส pg_textsearch ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนเกมในโลกฐานข้อมูลโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การค้นหาข้อมูลเชิงลึก (deep retrieval) และระบบ RAG กลายเป็นหัวใจของแอปพลิเคชัน AI สมัยใหม่ เนื้อหาบนหน้าเว็บระบุว่า pg_textsearch เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะบน Tiger Cloud แต่ตอนนี้ถูกปล่อยภายใต้ PostgreSQL License ทำให้นักพัฒนาและองค์กรสามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ

    การมาของ BM25 แบบเนทีฟใน PostgreSQL ทำให้หลายองค์กรไม่จำเป็นต้องพึ่ง Elasticsearch สำหรับงานค้นหาที่ต้องการ ranking คุณภาพสูงอีกต่อไป นอกจากนี้ pg_textsearch ยังถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับ pgvector และ pgvectorscale เพื่อสร้างระบบค้นหาแบบ hybrid retrieval ที่ผสาน keyword + semantic search ในฐานข้อมูลเดียว ซึ่งเป็นทิศทางที่หลายบริษัทกำลังมุ่งหน้าไปในยุค AI-first

    ในมุมกว้างของอุตสาหกรรม การเปิดซอร์สครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มที่ผู้ให้บริการฐานข้อมูลเริ่มผลักดัน “search inside the database” แทนการแยกระบบออกจากกันเพื่อลดความซับซ้อน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีม DevOps และ SRE ลดภาระการดูแลระบบ search engine แยกต่างหาก ซึ่งมักมีต้นทุนสูงและต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

    สุดท้าย การเปิดซอร์ส pg_textsearch ยังเป็นการขยับหมากเชิงกลยุทธ์ของ Tiger Data ในการสร้าง “Postgres Search Stack” ที่ครบวงจร ตั้งแต่ keyword search, vector search ไปจนถึงการ scale retrieval สำหรับงาน AI enterprise ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Elasticsearch, OpenSearch และแม้แต่บริการ search-as-a-service เชิงพาณิชย์ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดซอร์ส pg_textsearch
    เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะบน Tiger Cloud แต่ตอนนี้เปิดให้ใช้งานภายใต้ PostgreSQL License
    ช่วยให้ Postgres รองรับ BM25 แบบเนทีฟโดยไม่ต้องใช้ระบบ search แยกต่างหาก

    ความสามารถของ pg_textsearch
    รองรับ 29+ ภาษา และทำงานกับ partitioned tables ได้
    ใช้ operator <@> เพื่อทำ relevance-ranked search ได้ง่าย
    ปรับค่า BM25 (k1, b) ได้ตามงาน

    การผสานกับ pgvector / pgvectorscale
    ช่วยสร้าง hybrid retrieval (keyword + semantic) ในฐานข้อมูลเดียว
    ลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม RAG

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฐานข้อมูล
    แนวโน้ม “search inside the database” กำลังมาแรง
    ลดต้นทุนการดูแลระบบ search engine แยกต่างหาก
    เพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI-first

    คำเตือน / ประเด็นที่ควรระวัง
    การย้ายจาก Elasticsearch อาจไม่ง่าย
    ระบบที่ใช้ฟีเจอร์เฉพาะของ Elasticsearch เช่น aggregations หรือ complex analyzers อาจต้องปรับโครงสร้างใหม่

    ประสิทธิภาพขึ้นกับ workload
    แม้ BM25 ใน Postgres จะเร็ว แต่การ scale อาจยังไม่เท่าระบบ search engine ที่ออกแบบมาเฉพาะทาง

    ความเสี่ยงด้านการจัดการ index
    การใช้ memtable architecture ต้องวางแผนเรื่อง memory และการ update index ให้ดี

    https://itsfoss.com/news/tiger-data-pg-textsearch/
    🐘 Tiger Data เปิดซอร์ส pg_textsearch: ก้าวใหม่ของการค้นหาแบบ BM25 บน PostgreSQL การที่ Tiger Data ตัดสินใจเปิดซอร์ส pg_textsearch ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนเกมในโลกฐานข้อมูลโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การค้นหาข้อมูลเชิงลึก (deep retrieval) และระบบ RAG กลายเป็นหัวใจของแอปพลิเคชัน AI สมัยใหม่ เนื้อหาบนหน้าเว็บระบุว่า pg_textsearch เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะบน Tiger Cloud แต่ตอนนี้ถูกปล่อยภายใต้ PostgreSQL License ทำให้นักพัฒนาและองค์กรสามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ การมาของ BM25 แบบเนทีฟใน PostgreSQL ทำให้หลายองค์กรไม่จำเป็นต้องพึ่ง Elasticsearch สำหรับงานค้นหาที่ต้องการ ranking คุณภาพสูงอีกต่อไป นอกจากนี้ pg_textsearch ยังถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับ pgvector และ pgvectorscale เพื่อสร้างระบบค้นหาแบบ hybrid retrieval ที่ผสาน keyword + semantic search ในฐานข้อมูลเดียว ซึ่งเป็นทิศทางที่หลายบริษัทกำลังมุ่งหน้าไปในยุค AI-first ในมุมกว้างของอุตสาหกรรม การเปิดซอร์สครั้งนี้สะท้อนแนวโน้มที่ผู้ให้บริการฐานข้อมูลเริ่มผลักดัน “search inside the database” แทนการแยกระบบออกจากกันเพื่อลดความซับซ้อน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีม DevOps และ SRE ลดภาระการดูแลระบบ search engine แยกต่างหาก ซึ่งมักมีต้นทุนสูงและต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สุดท้าย การเปิดซอร์ส pg_textsearch ยังเป็นการขยับหมากเชิงกลยุทธ์ของ Tiger Data ในการสร้าง “Postgres Search Stack” ที่ครบวงจร ตั้งแต่ keyword search, vector search ไปจนถึงการ scale retrieval สำหรับงาน AI enterprise ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Elasticsearch, OpenSearch และแม้แต่บริการ search-as-a-service เชิงพาณิชย์ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดซอร์ส pg_textsearch ➡️ เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะบน Tiger Cloud แต่ตอนนี้เปิดให้ใช้งานภายใต้ PostgreSQL License ➡️ ช่วยให้ Postgres รองรับ BM25 แบบเนทีฟโดยไม่ต้องใช้ระบบ search แยกต่างหาก ✅ ความสามารถของ pg_textsearch ➡️ รองรับ 29+ ภาษา และทำงานกับ partitioned tables ได้ ➡️ ใช้ operator <@> เพื่อทำ relevance-ranked search ได้ง่าย ➡️ ปรับค่า BM25 (k1, b) ได้ตามงาน ✅ การผสานกับ pgvector / pgvectorscale ➡️ ช่วยสร้าง hybrid retrieval (keyword + semantic) ในฐานข้อมูลเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนของสถาปัตยกรรม RAG ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมฐานข้อมูล ➡️ แนวโน้ม “search inside the database” กำลังมาแรง ➡️ ลดต้นทุนการดูแลระบบ search engine แยกต่างหาก ➡️ เพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI-first ⚠️ คำเตือน / ประเด็นที่ควรระวัง ‼️ การย้ายจาก Elasticsearch อาจไม่ง่าย ⛔ ระบบที่ใช้ฟีเจอร์เฉพาะของ Elasticsearch เช่น aggregations หรือ complex analyzers อาจต้องปรับโครงสร้างใหม่ ‼️ ประสิทธิภาพขึ้นกับ workload ⛔ แม้ BM25 ใน Postgres จะเร็ว แต่การ scale อาจยังไม่เท่าระบบ search engine ที่ออกแบบมาเฉพาะทาง ‼️ ความเสี่ยงด้านการจัดการ index ⛔ การใช้ memtable architecture ต้องวางแผนเรื่อง memory และการ update index ให้ดี https://itsfoss.com/news/tiger-data-pg-textsearch/
    ITSFOSS.COM
    Watch Out Elasticsearch! Tiger Data's PostgreSQL BM25 Search Extension Goes Open Source
    Previously proprietary PostgreSQL extension is now freely available on GitHub.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • GCC 16 รองรับ Zen 6 แล้ว

    ทีมพัฒนา GCC (GNU Compiler Collection) ได้เพิ่ม Zen 6 target เข้าไปในเวอร์ชัน 16 ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 การอัปเดตนี้ช่วยให้ซอฟต์แวร์สามารถปรับแต่งการคอมไพล์ให้เหมาะสมกับสถาปัตยกรรม Zen 6 ได้ทันทีที่ฮาร์ดแวร์ออกสู่ตลาด ถือเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ Linux

    ความสำคัญของการรองรับล่วงหน้า
    การเพิ่ม target ใน GCC มีความสำคัญมาก เพราะ GCC เป็นหนึ่งในคอมไพเลอร์หลักของโลกโอเพ่นซอร์ส การรองรับ Zen 6 ล่วงหน้าช่วยให้ ecosystem ของ Linux และ HPC (High-Performance Computing) สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว โดยเฉพาะ workloads ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI, cloud และ supercomputing

    บริบทของ Zen 6
    Zen 6 คาดว่าจะใช้กระบวนการผลิต TSMC N2 (2nm) และอาจมาพร้อมกับการปรับปรุงด้าน cache, memory subsystem และการจัดการพลังงาน ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญต่อจาก Zen 5 ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2024 การที่ GCC รองรับแล้วจึงเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบและเตรียมการผลิตจริง

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    แม้ GCC จะรองรับแล้ว แต่ยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ instruction set หรือ optimization ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Zen 6 การใช้งานจริงอาจต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อ AMD เปิดเผยข้อมูลเต็มรูปแบบ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอัปเดต GCC 16
    เพิ่ม target สำหรับ AMD Zen 6
    เปิดทางให้ Linux และ HPC ใช้งานได้ทันทีเมื่อเปิดตัว

    ความสำคัญต่อ ecosystem
    GCC เป็นคอมไพเลอร์หลักของโอเพ่นซอร์ส
    รองรับล่วงหน้าช่วยให้ AI, cloud และ supercomputing ใช้งานได้เร็วขึ้น

    บริบทของ Zen 6
    คาดว่าจะใช้กระบวนการผลิต TSMC N2 (2nm)
    ปรับปรุง cache, memory subsystem และการจัดการพลังงาน

    ข้อควรระวัง
    ยังไม่มีรายละเอียด instruction set เฉพาะของ Zen 6
    การปรับแต่ง optimization ต้องรอข้อมูลจาก AMD เพิ่มเติม

    https://wccftech.com/amd-zen-6-support-added-to-gcc-16-ahead-of-launch/
    🖥️ GCC 16 รองรับ Zen 6 แล้ว ทีมพัฒนา GCC (GNU Compiler Collection) ได้เพิ่ม Zen 6 target เข้าไปในเวอร์ชัน 16 ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2026 การอัปเดตนี้ช่วยให้ซอฟต์แวร์สามารถปรับแต่งการคอมไพล์ให้เหมาะสมกับสถาปัตยกรรม Zen 6 ได้ทันทีที่ฮาร์ดแวร์ออกสู่ตลาด ถือเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ Linux ⚡ ความสำคัญของการรองรับล่วงหน้า การเพิ่ม target ใน GCC มีความสำคัญมาก เพราะ GCC เป็นหนึ่งในคอมไพเลอร์หลักของโลกโอเพ่นซอร์ส การรองรับ Zen 6 ล่วงหน้าช่วยให้ ecosystem ของ Linux และ HPC (High-Performance Computing) สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมใหม่ได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว โดยเฉพาะ workloads ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI, cloud และ supercomputing 🌐 บริบทของ Zen 6 Zen 6 คาดว่าจะใช้กระบวนการผลิต TSMC N2 (2nm) และอาจมาพร้อมกับการปรับปรุงด้าน cache, memory subsystem และการจัดการพลังงาน ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญต่อจาก Zen 5 ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2024 การที่ GCC รองรับแล้วจึงเป็นสัญญาณว่า AMD กำลังเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบและเตรียมการผลิตจริง ⚠️ ผลกระทบและข้อควรระวัง แม้ GCC จะรองรับแล้ว แต่ยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ instruction set หรือ optimization ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ Zen 6 การใช้งานจริงอาจต้องรอการปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อ AMD เปิดเผยข้อมูลเต็มรูปแบบ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอัปเดต GCC 16 ➡️ เพิ่ม target สำหรับ AMD Zen 6 ➡️ เปิดทางให้ Linux และ HPC ใช้งานได้ทันทีเมื่อเปิดตัว ✅ ความสำคัญต่อ ecosystem ➡️ GCC เป็นคอมไพเลอร์หลักของโอเพ่นซอร์ส ➡️ รองรับล่วงหน้าช่วยให้ AI, cloud และ supercomputing ใช้งานได้เร็วขึ้น ✅ บริบทของ Zen 6 ➡️ คาดว่าจะใช้กระบวนการผลิต TSMC N2 (2nm) ➡️ ปรับปรุง cache, memory subsystem และการจัดการพลังงาน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่มีรายละเอียด instruction set เฉพาะของ Zen 6 ⛔ การปรับแต่ง optimization ต้องรอข้อมูลจาก AMD เพิ่มเติม https://wccftech.com/amd-zen-6-support-added-to-gcc-16-ahead-of-launch/
    WCCFTECH.COM
    AMD Zen 6 Support Added To GCC 16 Ahead Of Launch
    AMD's upcoming Zen 6 architecture is now officially added in the GCC 16 open-source compiler, making a significant progress.
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • MS-PC Farm B860I Mini-ITX รุ่นแรกที่มี 4 DIMM

    Maxsun เปิดตัวเมนบอร์ด MS-PC Farm B860I ซึ่งเป็น Mini-ITX รุ่นแรกในตลาด consumer ที่มี 4 DIMM slots รองรับหน่วยความจำ DDR5 สูงสุดถึง 256GB พร้อมฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์ เช่น IPMI remote management และ PCIe 5.0 MCIO expansion

    โดยปกติเมนบอร์ด Mini-ITX จะมีเพียง 2 DIMM slots ทำให้จำกัดความจุหน่วยความจำ แต่ Maxsun ได้สร้างความแตกต่างด้วย MS-PC Farm B860I ที่มีถึง 4 DIMM slots ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในตลาด consumer ที่พบในฟอร์มแฟกเตอร์นี้. สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 256GB ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นไปได้เฉพาะในเมนบอร์ดขนาดใหญ่หรือรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์

    ฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์ในบอร์ด consumer
    นอกจากความจุหน่วยความจำที่มากขึ้นแล้ว บอร์ดนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ปกติพบในเซิร์ฟเวอร์ เช่น IPMI remote management ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและควบคุมเมนบอร์ดจากระยะไกลได้ รวมถึง MCIO connection ที่รองรับการขยาย PCIe 5.0 สำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง.

    การใช้งานและกลุ่มเป้าหมาย
    Maxsun เปิดตัวบอร์ดนี้ภายใต้ซีรีส์ “Farm” โดยเน้นตลาด internet cafes และ eSports ที่ต้องการเครื่องขนาดเล็กแต่ทรงพลัง การออกแบบระบบระบายความร้อนก็ถูกปรับปรุงเพื่อรองรับการทำงานหนักต่อเนื่อง เช่น การเล่นเกมหรือการประมวลผลที่ใช้หน่วยความจำสูง.

    จุดเด่นและข้อควรระวัง
    แม้จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Mini-ITX แต่การเพิ่ม DIMM slots อาจทำให้การจัดการพื้นที่ PCB ซับซ้อนขึ้น และผู้ใช้ต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายของ DDR5 ความจุสูง รวมถึงความเข้ากันได้กับระบบที่ใช้งานอยู่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    คุณสมบัติหลักของ MS-PC Farm B860I
    Mini-ITX รุ่นแรกในตลาด consumer ที่มี 4 DIMM slots
    รองรับ DDR5 สูงสุด 256GB

    ฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์
    IPMI remote management สำหรับควบคุมจากระยะไกล
    MCIO connection รองรับ PCIe 5.0 expansion

    กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน
    เน้น internet cafes และ eSports
    ระบบระบายความร้อนปรับปรุงเพื่อรองรับ workload หนัก

    ข้อควรระวัง
    ค่าใช้จ่ายสูงสำหรับ DDR5 ความจุใหญ่
    ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับระบบที่ใช้งานอยู่

    https://wccftech.com/maxsun-debuts-ms-pc-farm-b860i/
    🖥️ MS-PC Farm B860I Mini-ITX รุ่นแรกที่มี 4 DIMM Maxsun เปิดตัวเมนบอร์ด MS-PC Farm B860I ซึ่งเป็น Mini-ITX รุ่นแรกในตลาด consumer ที่มี 4 DIMM slots รองรับหน่วยความจำ DDR5 สูงสุดถึง 256GB พร้อมฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์ เช่น IPMI remote management และ PCIe 5.0 MCIO expansion โดยปกติเมนบอร์ด Mini-ITX จะมีเพียง 2 DIMM slots ทำให้จำกัดความจุหน่วยความจำ แต่ Maxsun ได้สร้างความแตกต่างด้วย MS-PC Farm B860I ที่มีถึง 4 DIMM slots ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในตลาด consumer ที่พบในฟอร์มแฟกเตอร์นี้. สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งหน่วยความจำ DDR5 ได้สูงสุดถึง 256GB ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นไปได้เฉพาะในเมนบอร์ดขนาดใหญ่หรือรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ ⚡ ฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์ในบอร์ด consumer นอกจากความจุหน่วยความจำที่มากขึ้นแล้ว บอร์ดนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ปกติพบในเซิร์ฟเวอร์ เช่น IPMI remote management ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและควบคุมเมนบอร์ดจากระยะไกลได้ รวมถึง MCIO connection ที่รองรับการขยาย PCIe 5.0 สำหรับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง. 🌐 การใช้งานและกลุ่มเป้าหมาย Maxsun เปิดตัวบอร์ดนี้ภายใต้ซีรีส์ “Farm” โดยเน้นตลาด internet cafes และ eSports ที่ต้องการเครื่องขนาดเล็กแต่ทรงพลัง การออกแบบระบบระบายความร้อนก็ถูกปรับปรุงเพื่อรองรับการทำงานหนักต่อเนื่อง เช่น การเล่นเกมหรือการประมวลผลที่ใช้หน่วยความจำสูง. ⚠️ จุดเด่นและข้อควรระวัง แม้จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Mini-ITX แต่การเพิ่ม DIMM slots อาจทำให้การจัดการพื้นที่ PCB ซับซ้อนขึ้น และผู้ใช้ต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายของ DDR5 ความจุสูง รวมถึงความเข้ากันได้กับระบบที่ใช้งานอยู่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ คุณสมบัติหลักของ MS-PC Farm B860I ➡️ Mini-ITX รุ่นแรกในตลาด consumer ที่มี 4 DIMM slots ➡️ รองรับ DDR5 สูงสุด 256GB ✅ ฟีเจอร์ระดับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ IPMI remote management สำหรับควบคุมจากระยะไกล ➡️ MCIO connection รองรับ PCIe 5.0 expansion ✅ กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน ➡️ เน้น internet cafes และ eSports ➡️ ระบบระบายความร้อนปรับปรุงเพื่อรองรับ workload หนัก ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ค่าใช้จ่ายสูงสำหรับ DDR5 ความจุใหญ่ ⛔ ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับระบบที่ใช้งานอยู่ https://wccftech.com/maxsun-debuts-ms-pc-farm-b860i/
    WCCFTECH.COM
    Maxsun Debuts MS-PC Farm B860I, A Rare Four DIMM Mini ITX Motherboard
    Motherboard maker Maxsun has launched a few new Intel motherboards including a model called MS-PC Farm B860I with 4 DIMMs.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • หน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจาก Intel

    SK hynix ประกาศว่าโมดูล DDR5 RDIMM ขนาด 256GB ที่ใช้ชิปหน่วยความจำ 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b (5th Gen 10nm-class) ได้รับการรับรองจาก Intel Data Center Certified เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการรวมความจุสูงเข้ากับการใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพสูง ซึ่งเหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบ hyperscale cloud ที่ต้องการทั้งความเร็วและความคุ้มค่า

    ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    โมดูล DDR5 รุ่นใหม่นี้สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 18% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ 256GB รุ่นก่อนหน้า โดยเฉลี่ยแล้วจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 แบบ single-CPU ซึ่งหากนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลที่มีเครื่องนับหมื่นเครื่อง จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลและ AI workloads
    AI servers ใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาลทั้ง HBM และ DDR5 SDRAM การลดพลังงานในระดับโมดูลจึงมีผลกระทบมหาศาลต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะ hyperscale data centers ที่ต้องการทั้ง throughput สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ การรับรองจาก Intel ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการคลาวด์และองค์กรที่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    แม้จะมีการประหยัดพลังงานที่ชัดเจน แต่การใช้โมดูลความจุสูงเช่นนี้ยังมีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ได้ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ DDR5 รุ่นใหม่ยังต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การรับรองจาก Intel
    SK hynix 256GB DDR5 RDIMM ผ่าน Intel Data Center Certified
    ใช้ชิป 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b

    ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานได้ 18% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
    ประหยัดได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6

    ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล
    ลดค่าใช้จ่ายมหาศาลใน hyperscale data centers
    เหมาะกับ AI workloads ที่ต้องการ throughput สูง

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูง อาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่
    ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-certified-256-gb-ddr5-stick-could-cut-xeon-memory-power-by-18-percent-saving-millions-of-dollars-a-32w-per-socket-reduction-could-save-millions-per-hyperscale-data-center
    🖥️ หน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจาก Intel SK hynix ประกาศว่าโมดูล DDR5 RDIMM ขนาด 256GB ที่ใช้ชิปหน่วยความจำ 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b (5th Gen 10nm-class) ได้รับการรับรองจาก Intel Data Center Certified เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการรวมความจุสูงเข้ากับการใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพสูง ซึ่งเหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบ hyperscale cloud ที่ต้องการทั้งความเร็วและความคุ้มค่า ⚡ ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน โมดูล DDR5 รุ่นใหม่นี้สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 18% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ 256GB รุ่นก่อนหน้า โดยเฉลี่ยแล้วจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 แบบ single-CPU ซึ่งหากนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลที่มีเครื่องนับหมื่นเครื่อง จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี 🌐 ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลและ AI workloads AI servers ใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาลทั้ง HBM และ DDR5 SDRAM การลดพลังงานในระดับโมดูลจึงมีผลกระทบมหาศาลต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะ hyperscale data centers ที่ต้องการทั้ง throughput สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ การรับรองจาก Intel ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการคลาวด์และองค์กรที่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ⚠️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด แม้จะมีการประหยัดพลังงานที่ชัดเจน แต่การใช้โมดูลความจุสูงเช่นนี้ยังมีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ได้ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ DDR5 รุ่นใหม่ยังต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การรับรองจาก Intel ➡️ SK hynix 256GB DDR5 RDIMM ผ่าน Intel Data Center Certified ➡️ ใช้ชิป 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b ✅ ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 18% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ➡️ ประหยัดได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายมหาศาลใน hyperscale data centers ➡️ เหมาะกับ AI workloads ที่ต้องการ throughput สูง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูง อาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ ⛔ ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-certified-256-gb-ddr5-stick-could-cut-xeon-memory-power-by-18-percent-saving-millions-of-dollars-a-32w-per-socket-reduction-could-save-millions-per-hyperscale-data-center
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • มัลแวร์บนเรือเฟอร์รี: ภัยคุกคามใหม่

    รายงานจากฝรั่งเศสระบุว่าเรือเฟอร์รี Fantastic ของบริษัท Grandi Navi Veloci ถูกพบว่ามีการติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ขณะจอดที่ท่าเรือเมือง Sète ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มัลแวร์นี้สามารถเปิดทางให้บุคคลภายนอกเข้าควบคุมระบบภายในเรือได้ ซึ่งรวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการจัดการ

    การสอบสวนและข้อกล่าวหา
    เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจับกุมลูกเรือชาวลัตเวียที่เพิ่งเข้ามาประจำการ โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการติดตั้งมัลแวร์ ขณะที่ลูกเรือชาวบัลแกเรียอีกคนถูกปล่อยตัวไป เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการพยายามโจมตีระบบประมวลผลข้อมูลโดยกลุ่มที่อาจมีความเชื่อมโยงกับ “มหาอำนาจต่างชาติ” แม้รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสจะไม่ระบุชื่อประเทศ แต่ยอมรับว่าลักษณะการแทรกแซงเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุโรป

    ความเปราะบางของระบบเดินเรือ
    เรือสมัยใหม่ใช้ทั้ง PC มาตรฐาน, industrial controllers และ embedded systems ในการจัดการตั้งแต่เส้นทางเดินเรือจนถึงการบริหารลูกเรือ แม้ระบบที่สำคัญด้านความปลอดภัยควรถูกแยกออกจากเครือข่ายทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติหลายครั้งกลับใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ lateral movement หากมัลแวร์เข้าถึงระบบที่ไม่ถูกแยกอย่างเหมาะสม

    ผลกระทบและคำเตือน
    เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือ แต่ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบขนส่งสมัยใหม่ ที่ IT และ OT (Operational Technology) ยังมีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจน หากไม่มีมาตรการแยกเครือข่ายและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อาจเปิดทางให้การโจมตีจากรัฐหรือองค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นได้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    พบมัลแวร์ RAT บนเรือเฟอร์รี Fantastic
    ลูกเรือชาวลัตเวียถูกจับกุมในฝรั่งเศส

    การสอบสวนและข้อกล่าวหา
    ถูกสงสัยว่าเป็นการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ของ “มหาอำนาจต่างชาติ”
    รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสยืนยันว่าเป็นรูปแบบการแทรกแซงที่เกิดบ่อยในยุโรป

    ความเปราะบางของระบบเดินเรือ
    ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันระหว่าง IT และระบบควบคุมเดินเรือ
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ lateral movement

    คำเตือนและผลกระทบ
    หากไม่แยกเครือข่าย IT และ OT อย่างเข้มงวด อาจถูกโจมตีจากภายนอก
    การโจมตีลักษณะนี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือและการขนส่งโดยรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/french-ferry-malware-arrest-exposes-fragile-boundaries-between-ship-it-and-navigation-systems
    🚢 มัลแวร์บนเรือเฟอร์รี: ภัยคุกคามใหม่ รายงานจากฝรั่งเศสระบุว่าเรือเฟอร์รี Fantastic ของบริษัท Grandi Navi Veloci ถูกพบว่ามีการติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ขณะจอดที่ท่าเรือเมือง Sète ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มัลแวร์นี้สามารถเปิดทางให้บุคคลภายนอกเข้าควบคุมระบบภายในเรือได้ ซึ่งรวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการจัดการ 🕵️ การสอบสวนและข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจับกุมลูกเรือชาวลัตเวียที่เพิ่งเข้ามาประจำการ โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการติดตั้งมัลแวร์ ขณะที่ลูกเรือชาวบัลแกเรียอีกคนถูกปล่อยตัวไป เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการพยายามโจมตีระบบประมวลผลข้อมูลโดยกลุ่มที่อาจมีความเชื่อมโยงกับ “มหาอำนาจต่างชาติ” แม้รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสจะไม่ระบุชื่อประเทศ แต่ยอมรับว่าลักษณะการแทรกแซงเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุโรป ⚡ ความเปราะบางของระบบเดินเรือ เรือสมัยใหม่ใช้ทั้ง PC มาตรฐาน, industrial controllers และ embedded systems ในการจัดการตั้งแต่เส้นทางเดินเรือจนถึงการบริหารลูกเรือ แม้ระบบที่สำคัญด้านความปลอดภัยควรถูกแยกออกจากเครือข่ายทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติหลายครั้งกลับใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ lateral movement หากมัลแวร์เข้าถึงระบบที่ไม่ถูกแยกอย่างเหมาะสม ⚠️ ผลกระทบและคำเตือน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือ แต่ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบขนส่งสมัยใหม่ ที่ IT และ OT (Operational Technology) ยังมีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจน หากไม่มีมาตรการแยกเครือข่ายและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อาจเปิดทางให้การโจมตีจากรัฐหรือองค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นได้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ พบมัลแวร์ RAT บนเรือเฟอร์รี Fantastic ➡️ ลูกเรือชาวลัตเวียถูกจับกุมในฝรั่งเศส ✅ การสอบสวนและข้อกล่าวหา ➡️ ถูกสงสัยว่าเป็นการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ของ “มหาอำนาจต่างชาติ” ➡️ รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสยืนยันว่าเป็นรูปแบบการแทรกแซงที่เกิดบ่อยในยุโรป ✅ ความเปราะบางของระบบเดินเรือ ➡️ ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันระหว่าง IT และระบบควบคุมเดินเรือ ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ lateral movement ‼️ คำเตือนและผลกระทบ ⛔ หากไม่แยกเครือข่าย IT และ OT อย่างเข้มงวด อาจถูกโจมตีจากภายนอก ⛔ การโจมตีลักษณะนี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือและการขนส่งโดยรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/french-ferry-malware-arrest-exposes-fragile-boundaries-between-ship-it-and-navigation-systems
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • Windows Server 2025: ยุคใหม่ของ Native NVMe

    Microsoft ได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมการจัดการ I/O ของ Windows Server 2025 โดยตัดการแปลงคำสั่ง NVMe ไปเป็น SCSI ที่เคยเป็นคอขวดมานาน ทำให้ระบบสามารถสื่อสารกับ NVMe SSD ได้โดยตรง ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น virtualization, AI/ML workloads และฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้
    การทดสอบภายในของ Microsoft แสดงให้เห็นว่า Native NVMe สามารถเพิ่ม IOPS ได้ถึง 80% และลดการใช้ CPU ลง 45% เมื่อเทียบกับ Windows Server 2022 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการใช้ multi-queue architecture ของ NVMe ที่รองรับได้ถึง 64,000 queues และ 64,000 commands ต่อ queue ซึ่งต่างจาก SCSI ที่จำกัดเพียง 32 commands ต่อ queue

    ผลกระทบต่อองค์กร
    สำหรับองค์กรที่ใช้ SQL Server, Hyper-V หรือระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ การเปิดใช้งาน Native NVMe จะช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น VM boot เร็วขึ้น, live migration ลื่นไหลขึ้น และการประมวลผลข้อมูล AI/ML มี latency ต่ำลง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ เพราะสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    แม้ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานแล้ว แต่ Microsoft เลือกที่จะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง ต้องเปิดใช้งานด้วยการแก้ Registry หรือ Group Policy และยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เอง หากใช้ไดรเวอร์จากผู้ผลิตอื่น ฟีเจอร์นี้จะไม่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่และอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปลี่ยนแปลงหลักใน Windows Server 2025
    รองรับ Native NVMe โดยตรง ไม่ต้องผ่าน SCSI translation
    เพิ่ม IOPS ได้สูงสุด 80% และลด CPU usage 45%

    ผลลัพธ์ต่อองค์กรและ workload
    SQL Server, Hyper-V, และ AI/ML workloads ทำงานเร็วขึ้น
    ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ฟีเจอร์ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น ต้องเปิดเองผ่าน Registry/Group Policy
    ต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เท่านั้น
    บาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/windows-server-2025-gains-native-nvme-support-14-years-after-its-introduction-groundbreaking-i-o-stack-drops-scsi-emulation-limitations-for-massive-throughput-and-cpu-efficiency-gains
    🖥️ Windows Server 2025: ยุคใหม่ของ Native NVMe Microsoft ได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมการจัดการ I/O ของ Windows Server 2025 โดยตัดการแปลงคำสั่ง NVMe ไปเป็น SCSI ที่เคยเป็นคอขวดมานาน ทำให้ระบบสามารถสื่อสารกับ NVMe SSD ได้โดยตรง ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น virtualization, AI/ML workloads และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ⚡ ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ การทดสอบภายในของ Microsoft แสดงให้เห็นว่า Native NVMe สามารถเพิ่ม IOPS ได้ถึง 80% และลดการใช้ CPU ลง 45% เมื่อเทียบกับ Windows Server 2022 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการใช้ multi-queue architecture ของ NVMe ที่รองรับได้ถึง 64,000 queues และ 64,000 commands ต่อ queue ซึ่งต่างจาก SCSI ที่จำกัดเพียง 32 commands ต่อ queue 🏢 ผลกระทบต่อองค์กร สำหรับองค์กรที่ใช้ SQL Server, Hyper-V หรือระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ การเปิดใช้งาน Native NVMe จะช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น VM boot เร็วขึ้น, live migration ลื่นไหลขึ้น และการประมวลผลข้อมูล AI/ML มี latency ต่ำลง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ เพราะสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚠️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด แม้ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานแล้ว แต่ Microsoft เลือกที่จะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง ต้องเปิดใช้งานด้วยการแก้ Registry หรือ Group Policy และยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เอง หากใช้ไดรเวอร์จากผู้ผลิตอื่น ฟีเจอร์นี้จะไม่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่และอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปลี่ยนแปลงหลักใน Windows Server 2025 ➡️ รองรับ Native NVMe โดยตรง ไม่ต้องผ่าน SCSI translation ➡️ เพิ่ม IOPS ได้สูงสุด 80% และลด CPU usage 45% ✅ ผลลัพธ์ต่อองค์กรและ workload ➡️ SQL Server, Hyper-V, และ AI/ML workloads ทำงานเร็วขึ้น ➡️ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น ต้องเปิดเองผ่าน Registry/Group Policy ⛔ ต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เท่านั้น ⛔ บาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง https://www.tomshardware.com/desktops/servers/windows-server-2025-gains-native-nvme-support-14-years-after-its-introduction-groundbreaking-i-o-stack-drops-scsi-emulation-limitations-for-massive-throughput-and-cpu-efficiency-gains
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • Kdenlive 25.12: Video Editor รุ่นใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม

    Kdenlive 25.12 เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคม 2025 โดยทีม KDE Gear พร้อมการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน ระบบ Docking ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าต่างและเครื่องมือได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลาก–วาง panels หรือการจัดเรียง workspace ให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของแต่ละคน ฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับ usability ที่ผู้ใช้มืออาชีพรอคอย

    Welcome Screen และ Layout แนวตั้ง
    อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่คือ Welcome Screen ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงโปรเจกต์ล่าสุด, เทมเพลต, และการตั้งค่าเริ่มต้นได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมี Vertical Layout ที่ออกแบบมาเพื่อการตัดต่อวิดีโอแนวตั้ง เช่น TikTok หรือ Instagram Reels โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของ Kdenlive เข้ากับยุคสื่อสังคมออนไลน์

    Safe Areas และการปรับปรุงระบบตัดต่อ
    Kdenlive 25.12 ยังเพิ่ม Safe Areas สำหรับวิดีโอ 9:16 เพื่อให้ผู้สร้างคอนเทนต์มั่นใจได้ว่าข้อความหรือองค์ประกอบสำคัญจะไม่ถูกตัดออกเมื่อเผยแพร่บนแพลตฟอร์มมือถือ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ Guide/Marker และ Effects Panel เพื่อให้การจัดการ timeline และเอฟเฟกต์มีความชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น

    ความสำคัญต่อผู้ใช้และชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีม KDE ในการทำให้ Kdenlive เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้มือใหม่และมืออาชีพ โดยเฉพาะผู้สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มสมัยใหม่ การเพิ่มฟีเจอร์ที่รองรับวิดีโอแนวตั้งและ Safe Areas ถือเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่าง งานตัดต่อแบบดั้งเดิม และ การผลิตคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    ระบบ Docking ใหม่
    ปรับแต่ง panels และ workspace ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Welcome Screen
    เข้าถึงโปรเจกต์ล่าสุดและการตั้งค่าเริ่มต้นได้รวดเร็ว

    Vertical Layout สำหรับวิดีโอ 9:16
    รองรับการตัดต่อคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram

    Safe Areas
    ป้องกันข้อความ/องค์ประกอบสำคัญไม่ให้ถูกตัดออกบนมือถือ

    ปรับปรุง Guide/Marker และ Effects Panel
    ทำให้ timeline และเอฟเฟกต์ใช้งานง่ายขึ้น

    คำเตือนต่อผู้ใช้ที่อัปเดตทันที
    ควรสำรองโปรเจกต์เดิมก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง layout อาจทำให้ workflow เดิมไม่เข้ากัน

    ความเสี่ยงด้านการใช้งานบนเครื่องสเปกต่ำ
    ฟีเจอร์ใหม่อาจทำให้การโหลดโปรเจกต์ใหญ่ใช้ทรัพยากรมากขึ้น

    https://9to5linux.com/kdenlive-25-12-video-editor-adds-new-docking-system-welcome-screen-and-more
    🎬 Kdenlive 25.12: Video Editor รุ่นใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม Kdenlive 25.12 เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคม 2025 โดยทีม KDE Gear พร้อมการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน ระบบ Docking ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าต่างและเครื่องมือได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลาก–วาง panels หรือการจัดเรียง workspace ให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของแต่ละคน ฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับ usability ที่ผู้ใช้มืออาชีพรอคอย 🖥️ Welcome Screen และ Layout แนวตั้ง อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่คือ Welcome Screen ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงโปรเจกต์ล่าสุด, เทมเพลต, และการตั้งค่าเริ่มต้นได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมี Vertical Layout ที่ออกแบบมาเพื่อการตัดต่อวิดีโอแนวตั้ง เช่น TikTok หรือ Instagram Reels โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวของ Kdenlive เข้ากับยุคสื่อสังคมออนไลน์ 📐 Safe Areas และการปรับปรุงระบบตัดต่อ Kdenlive 25.12 ยังเพิ่ม Safe Areas สำหรับวิดีโอ 9:16 เพื่อให้ผู้สร้างคอนเทนต์มั่นใจได้ว่าข้อความหรือองค์ประกอบสำคัญจะไม่ถูกตัดออกเมื่อเผยแพร่บนแพลตฟอร์มมือถือ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ Guide/Marker และ Effects Panel เพื่อให้การจัดการ timeline และเอฟเฟกต์มีความชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น 🌐 ความสำคัญต่อผู้ใช้และชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีม KDE ในการทำให้ Kdenlive เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้มือใหม่และมืออาชีพ โดยเฉพาะผู้สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มสมัยใหม่ การเพิ่มฟีเจอร์ที่รองรับวิดีโอแนวตั้งและ Safe Areas ถือเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่าง งานตัดต่อแบบดั้งเดิม และ การผลิตคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ ระบบ Docking ใหม่ ➡️ ปรับแต่ง panels และ workspace ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Welcome Screen ➡️ เข้าถึงโปรเจกต์ล่าสุดและการตั้งค่าเริ่มต้นได้รวดเร็ว ✅ Vertical Layout สำหรับวิดีโอ 9:16 ➡️ รองรับการตัดต่อคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram ✅ Safe Areas ➡️ ป้องกันข้อความ/องค์ประกอบสำคัญไม่ให้ถูกตัดออกบนมือถือ ✅ ปรับปรุง Guide/Marker และ Effects Panel ➡️ ทำให้ timeline และเอฟเฟกต์ใช้งานง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ที่อัปเดตทันที ⛔ ควรสำรองโปรเจกต์เดิมก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง layout อาจทำให้ workflow เดิมไม่เข้ากัน ‼️ ความเสี่ยงด้านการใช้งานบนเครื่องสเปกต่ำ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจทำให้การโหลดโปรเจกต์ใหญ่ใช้ทรัพยากรมากขึ้น https://9to5linux.com/kdenlive-25-12-video-editor-adds-new-docking-system-welcome-screen-and-more
    9TO5LINUX.COM
    Kdenlive 25.12 Video Editor Adds New Docking System, Welcome Screen, and More - 9to5Linux
    Kdenlive 25.12 open-source video editor is now available for download with a new and flexible docking system, a new Welcome Screen, and more.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • OpenZFS 2.4: รองรับ Linux 6.18 LTS พร้อมฟีเจอร์ใหม่

    OpenZFS 2.4 ได้รับการปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตใหญ่ที่เพิ่มการรองรับ Linux Kernel 6.18 LTS และฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการจัดการระบบไฟล์ ZFS ซึ่งเป็นที่นิยมในงานเซิร์ฟเวอร์และระบบจัดเก็บข้อมูล

    ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ
    Uncached I/O: เพิ่มกลไก fallback สำหรับ direct I/O ที่ไม่จัด alignment โดยใช้ lightweight uncached I/O ช่วยให้การอ่าน–เขียนข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้นในบาง workload
    Quota Improvements: ปรับปรุงระบบ quota ให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีผู้ใช้หลายราย
    Fragmentation Algorithm ใหม่: ใช้อัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อลดการ fragmentation ของ vdev ทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความเสถียรมากขึ้น

    การแก้ไขและปรับปรุงเพิ่มเติม
    นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว OpenZFS 2.4 ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงหลายจุด เช่น การทำงานร่วมกับระบบ RAIDZ, การจัดการ deduplication และการปรับปรุงประสิทธิภาพของ snapshot รวมถึงการรองรับการอัปเดตจากเวอร์ชันก่อนหน้าได้อย่างราบรื่น

    ความสำคัญต่อผู้ใช้และองค์กร
    การรองรับ Linux 6.18 LTS ทำให้ OpenZFS 2.4 เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบไฟล์ที่มีความเสถียรและปลอดภัยในระยะยาว ฟีเจอร์ใหม่อย่าง uncached I/O และ quota improvements ยังช่วยตอบโจทย์ workload ที่ซับซ้อน เช่น ระบบฐานข้อมูลและคลาวด์สตอเรจ

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    รองรับ Linux Kernel 6.18 LTS
    ทำให้ OpenZFS ใช้งานได้กับระบบล่าสุดที่มีการสนับสนุนระยะยาว

    เพิ่มฟีเจอร์ Uncached I/O
    ช่วยให้ direct I/O ที่ไม่ align ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปรับปรุงระบบ Quota และ Fragmentation Algorithm
    ลดปัญหา fragmentation และเพิ่มความแม่นยำในการจัดการ quota

    แก้ไขบั๊กและปรับปรุง RAIDZ, deduplication, snapshot
    เพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไฟล์

    คำเตือนต่อผู้ใช้ที่อัปเดตทันที
    ควรทดสอบบนระบบ staging ก่อนนำไปใช้จริงใน production

    ความเสี่ยงจากการ migration
    หากอัปเดตจากเวอร์ชันเก่าโดยไม่ตรวจสอบ compatibility อาจเกิดปัญหากับ workload เฉพาะทาง

    https://9to5linux.com/openzfs-2-4-released-with-linux-6-18-lts-support-quotas-uncached-io-and-more
    💾 OpenZFS 2.4: รองรับ Linux 6.18 LTS พร้อมฟีเจอร์ใหม่ OpenZFS 2.4 ได้รับการปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตใหญ่ที่เพิ่มการรองรับ Linux Kernel 6.18 LTS และฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการจัดการระบบไฟล์ ZFS ซึ่งเป็นที่นิยมในงานเซิร์ฟเวอร์และระบบจัดเก็บข้อมูล ⚙️ ฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ 🎗️ Uncached I/O: เพิ่มกลไก fallback สำหรับ direct I/O ที่ไม่จัด alignment โดยใช้ lightweight uncached I/O ช่วยให้การอ่าน–เขียนข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้นในบาง workload 🎗️ Quota Improvements: ปรับปรุงระบบ quota ให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีผู้ใช้หลายราย 🎗️ Fragmentation Algorithm ใหม่: ใช้อัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อลดการ fragmentation ของ vdev ทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีความเสถียรมากขึ้น 🛠️ การแก้ไขและปรับปรุงเพิ่มเติม นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว OpenZFS 2.4 ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงหลายจุด เช่น การทำงานร่วมกับระบบ RAIDZ, การจัดการ deduplication และการปรับปรุงประสิทธิภาพของ snapshot รวมถึงการรองรับการอัปเดตจากเวอร์ชันก่อนหน้าได้อย่างราบรื่น 🌐 ความสำคัญต่อผู้ใช้และองค์กร การรองรับ Linux 6.18 LTS ทำให้ OpenZFS 2.4 เป็นตัวเลือกที่มั่นคงสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบไฟล์ที่มีความเสถียรและปลอดภัยในระยะยาว ฟีเจอร์ใหม่อย่าง uncached I/O และ quota improvements ยังช่วยตอบโจทย์ workload ที่ซับซ้อน เช่น ระบบฐานข้อมูลและคลาวด์สตอเรจ 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ รองรับ Linux Kernel 6.18 LTS ➡️ ทำให้ OpenZFS ใช้งานได้กับระบบล่าสุดที่มีการสนับสนุนระยะยาว ✅ เพิ่มฟีเจอร์ Uncached I/O ➡️ ช่วยให้ direct I/O ที่ไม่ align ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ปรับปรุงระบบ Quota และ Fragmentation Algorithm ➡️ ลดปัญหา fragmentation และเพิ่มความแม่นยำในการจัดการ quota ✅ แก้ไขบั๊กและปรับปรุง RAIDZ, deduplication, snapshot ➡️ เพิ่มเสถียรภาพและประสิทธิภาพโดยรวมของระบบไฟล์ ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ที่อัปเดตทันที ⛔ ควรทดสอบบนระบบ staging ก่อนนำไปใช้จริงใน production ‼️ ความเสี่ยงจากการ migration ⛔ หากอัปเดตจากเวอร์ชันเก่าโดยไม่ตรวจสอบ compatibility อาจเกิดปัญหากับ workload เฉพาะทาง https://9to5linux.com/openzfs-2-4-released-with-linux-6-18-lts-support-quotas-uncached-io-and-more
    9TO5LINUX.COM
    OpenZFS 2.4 Released with Linux 6.18 LTS Support, Quotas, Uncached IO, and More - 9to5Linux
    OpenZFS 2.4 file system and volume manager is now available for download with support for Linux kernel 6.18 LTS and several new features.
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
More Results