• Logitech รเปิดตัวเซ็นเซอร์เรดาร์ขนาดเล็กที่ชื่อว่า Spot ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้จัดการสามารถตรวจสอบว่ามีคนอยู่ในห้องทำงานหรือไม่ โดยไม่ต้องใช้กล้องที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของพนักงาน

    Spot เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งได้ง่ายบนผนังและใช้เรดาร์ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของคนในระยะประมาณ 16 ฟุต นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศ ระดับ CO2 อุณหภูมิ และความชื้น ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมกับพนักงานได้

    การใช้งาน Spot มีหลายกรณี เช่น การจองห้องที่ไม่ได้ใช้งาน การปรับระบบ HVAC ตามการใช้งานจริง และการป้องกันการสะสมของอากาศที่ไม่ดีต่อสุขภาพ Spot ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบการจัดการสำนักงานของ Logitech เช่น แผนที่แบบ Interactive และแผงการจัดตารางเวลา และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Microsoft Teams, Zoom และแพลตฟอร์มการทำงานอื่นๆ ผ่าน API

    Spot ใช้พลังงานต่ำและสามารถทำงานได้นานถึงสี่ปีด้วยแบตเตอรี่ก้อนเดียว แม้ว่าการติดตั้งเซ็นเซอร์เหล่านี้ทั่วทั้งสำนักงานอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการติดตามการเคลื่อนไหวของพนักงาน แต่ Logitech ยืนยันว่าเรดาร์ไม่สามารถระบุบุคคลได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิธีที่น้อยกว่าการใช้กล้อง

    Spot จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

    สาระที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การใช้เซ็นเซอร์เรดาร์ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวและสภาพแวดล้อมในสำนักงานเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพของพนักงาน การใช้เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บริษัทสามารถจัดการพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการใช้พลังงานได้

    https://www.techspot.com/news/106569-logitech-tiny-radar-sensors-could-managers-see-if.html
    Logitech รเปิดตัวเซ็นเซอร์เรดาร์ขนาดเล็กที่ชื่อว่า Spot ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้จัดการสามารถตรวจสอบว่ามีคนอยู่ในห้องทำงานหรือไม่ โดยไม่ต้องใช้กล้องที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของพนักงาน Spot เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งได้ง่ายบนผนังและใช้เรดาร์ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของคนในระยะประมาณ 16 ฟุต นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศ ระดับ CO2 อุณหภูมิ และความชื้น ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมกับพนักงานได้ การใช้งาน Spot มีหลายกรณี เช่น การจองห้องที่ไม่ได้ใช้งาน การปรับระบบ HVAC ตามการใช้งานจริง และการป้องกันการสะสมของอากาศที่ไม่ดีต่อสุขภาพ Spot ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบการจัดการสำนักงานของ Logitech เช่น แผนที่แบบ Interactive และแผงการจัดตารางเวลา และยังสามารถเชื่อมต่อกับ Microsoft Teams, Zoom และแพลตฟอร์มการทำงานอื่นๆ ผ่าน API Spot ใช้พลังงานต่ำและสามารถทำงานได้นานถึงสี่ปีด้วยแบตเตอรี่ก้อนเดียว แม้ว่าการติดตั้งเซ็นเซอร์เหล่านี้ทั่วทั้งสำนักงานอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการติดตามการเคลื่อนไหวของพนักงาน แต่ Logitech ยืนยันว่าเรดาร์ไม่สามารถระบุบุคคลได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิธีที่น้อยกว่าการใช้กล้อง Spot จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สาระที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การใช้เซ็นเซอร์เรดาร์ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวและสภาพแวดล้อมในสำนักงานเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและสุขภาพของพนักงาน การใช้เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้บริษัทสามารถจัดการพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการใช้พลังงานได้ https://www.techspot.com/news/106569-logitech-tiny-radar-sensors-could-managers-see-if.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Logitech's tiny radar sensors could let managers see if a cubicle is occupied
    The Spot is basically a peel-and-stick pebble that uses radar to detect people's presence. It can see about 16 feet in front of it and also sense...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 OpenAI ได้เปิดตัว ChatGPT Gov ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ ChatGPT ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ChatGPT Gov มีความสามารถในการช่วยงานต่างๆ เช่น การค้นหาเอกสารที่ซับซ้อน การทำงานร่วมกันในพื้นที่ทำงานของรัฐบาล การอัปโหลดไฟล์ข้อความและรูปภาพ และการเข้าถึง GPT-4o นอกจากนี้ยังมีคอนโซลสำหรับผู้บริหารด้านไอทีในการจัดการการใช้งาน

    การเปิดตัว ChatGPT Gov นี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การปรับปรุงสุขภาพของประชาชนและการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการ "รับใช้ผลประโยชน์ของชาติและความดีของประชาชน"

    หน่วยงานรัฐบาลสามารถใช้บริการ OpenAI ของ Microsoft Azure เพื่อปรับใช้ ChatGPT Gov ในสภาพแวดล้อมของตนเอง ซึ่งช่วยให้หน่วยงานสามารถจัดการกับความต้องการด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ง่ายขึ้น

    นอกจากนี้ ChatGPT Gov ยังมีนโยบายการใช้งานที่ห้ามการใช้งานที่เป็นอันตรายและมีการตั้งค่าการป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

    มีสาระที่น่าสนใจเพิ่มเติมในบทความนี้คือ การที่หน่วยงานรัฐบาลมากกว่า 3,500 แห่งในสหรัฐฯ ได้เริ่มใช้ ChatGPT ในการทำงานประจำวันแล้ว โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 90,000 คนที่ส่งข้อความผ่าน ChatGPT มากกว่า 18 ล้านข้อความ

    https://www.zdnet.com/article/openai-tailored-chatgpt-gov-for-government-use-heres-what-that-means/
    เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 OpenAI ได้เปิดตัว ChatGPT Gov ซึ่งเป็นเวอร์ชันของ ChatGPT ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ChatGPT Gov มีความสามารถในการช่วยงานต่างๆ เช่น การค้นหาเอกสารที่ซับซ้อน การทำงานร่วมกันในพื้นที่ทำงานของรัฐบาล การอัปโหลดไฟล์ข้อความและรูปภาพ และการเข้าถึง GPT-4o นอกจากนี้ยังมีคอนโซลสำหรับผู้บริหารด้านไอทีในการจัดการการใช้งาน การเปิดตัว ChatGPT Gov นี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การปรับปรุงสุขภาพของประชาชนและการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการ "รับใช้ผลประโยชน์ของชาติและความดีของประชาชน" หน่วยงานรัฐบาลสามารถใช้บริการ OpenAI ของ Microsoft Azure เพื่อปรับใช้ ChatGPT Gov ในสภาพแวดล้อมของตนเอง ซึ่งช่วยให้หน่วยงานสามารถจัดการกับความต้องการด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ChatGPT Gov ยังมีนโยบายการใช้งานที่ห้ามการใช้งานที่เป็นอันตรายและมีการตั้งค่าการป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน มีสาระที่น่าสนใจเพิ่มเติมในบทความนี้คือ การที่หน่วยงานรัฐบาลมากกว่า 3,500 แห่งในสหรัฐฯ ได้เริ่มใช้ ChatGPT ในการทำงานประจำวันแล้ว โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 90,000 คนที่ส่งข้อความผ่าน ChatGPT มากกว่า 18 ล้านข้อความ https://www.zdnet.com/article/openai-tailored-chatgpt-gov-for-government-use-heres-what-that-means/
    WWW.ZDNET.COM
    OpenAI tailored ChatGPT Gov for government use - here's what that means
    ChatGPT will be making its way to federal, state, and local agencies. The new version comes with benefits - and concerns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • โกโก้ป๋า

    วัตถุประสงค์

    เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป

    ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้

    ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม

    ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้

    ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท

    BELIEVE THE TRUTH

    ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ

    AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY

    หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ
    นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน"

    ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2

    การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล
    การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา

    เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์
    นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์

    เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้

    ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ

    ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30
    การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส
    หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ

    Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง

    การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน "

    Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
    “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์"

    "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ "

    American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org

    และเพิ่งระลึกไว้ว่า

    เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย

    Cr. Santi Manadee
    โกโก้ป๋า วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้ ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้ ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท BELIEVE THE TRUTH ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน" ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2 การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์ นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้ ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30 การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน " Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์" "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ " American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org และเพิ่งระลึกไว้ว่า เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังตรวจสอบปัญหาการหยุดทำงานของบริการ Microsoft 365 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ ปัญหานี้ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบและเข้าถึงบริการต่างๆ ของ Microsoft 365 รวมถึงเว็บไซต์และบริการ Outlook ได้.

    Microsoft ได้รับรายงานจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหลายพันรายผ่าน DownDetector ว่ามีปัญหาในการเข้าสู่ระบบและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของ Microsoft 365 บริการที่อาจได้รับผลกระทบได้แก่ SharePoint Online, Exchange Online, และ Microsoft 365 Admin Center

    ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Microsoft 365 เคยประสบปัญหาการหยุดทำงานที่ทำให้แอป Office บนเว็บและศูนย์การจัดการไม่สามารถใช้งานได้ และเมื่อต้นเดือนนี้ก็มีปัญหาการหยุดทำงานของ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าถึงแอป Office ของ Microsoft 365 ได้

    ล่าสุด Microsoft ได้รับรายงานว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขสำหรับผู้ใช้บางรายแล้ว บริษัทกำลังวิเคราะห์ข้อมูลบริการเพื่อหาสาเหตุของปัญหาและตรวจสอบว่ามีการดำเนินการเพิ่มเติมที่จำเป็นหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าล่าสุดที่มีข้อผิดพลาด ซึ่งทำให้การร้องขอการเข้าถึงไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง บริษัทได้ย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงนี้และหลังจากการตรวจสอบเพิ่มเติมยืนยันว่าปัญหาได้รับการแก้ไขสำหรับผู้ใช้ทุกคนแล้ว

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-investigates-microsoft-365-outage-affecting-users-admins/
    Microsoft กำลังตรวจสอบปัญหาการหยุดทำงานของบริการ Microsoft 365 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ ปัญหานี้ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบและเข้าถึงบริการต่างๆ ของ Microsoft 365 รวมถึงเว็บไซต์และบริการ Outlook ได้. Microsoft ได้รับรายงานจากลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหลายพันรายผ่าน DownDetector ว่ามีปัญหาในการเข้าสู่ระบบและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของ Microsoft 365 บริการที่อาจได้รับผลกระทบได้แก่ SharePoint Online, Exchange Online, และ Microsoft 365 Admin Center ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Microsoft 365 เคยประสบปัญหาการหยุดทำงานที่ทำให้แอป Office บนเว็บและศูนย์การจัดการไม่สามารถใช้งานได้ และเมื่อต้นเดือนนี้ก็มีปัญหาการหยุดทำงานของ Multi-Factor Authentication (MFA) ที่ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าถึงแอป Office ของ Microsoft 365 ได้ ล่าสุด Microsoft ได้รับรายงานว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขสำหรับผู้ใช้บางรายแล้ว บริษัทกำลังวิเคราะห์ข้อมูลบริการเพื่อหาสาเหตุของปัญหาและตรวจสอบว่ามีการดำเนินการเพิ่มเติมที่จำเป็นหรือไม่ Microsoft ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าล่าสุดที่มีข้อผิดพลาด ซึ่งทำให้การร้องขอการเข้าถึงไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง บริษัทได้ย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงนี้และหลังจากการตรวจสอบเพิ่มเติมยืนยันว่าปัญหาได้รับการแก้ไขสำหรับผู้ใช้ทุกคนแล้ว https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-investigates-microsoft-365-outage-affecting-users-admins/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft investigates Microsoft 365 outage affecting users, admins
    Microsoft is investigating an ongoing outage preventing users and admins from accessing some Microsoft 365 services and the admin center.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงก็ได้ลองใช้ DeepSeek มาแล้ว แจ่มจริง มาดู บทความของน้อง David Gewirtz ซึ่งเป็น Senior Contributing Editor ของ ZDNET ซึ่งคนนี้เก่งจริง เป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม ได้รับรางวัล Sigma Xi Research Award ในด้านวิศวกรรม และเคยเป็นศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Princeton, University of California, Berkeley, UCLA, และ Stanford นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายของสหรัฐอเมริกา

    บทความนี้กล่าวถึงการทดสอบความสามารถในการเขียนโค้ดของ DeepSeek R1 และ V3 ซึ่งเป็น AI chatbot จากประเทศจีน โดยผู้เขียนได้ทำการทดสอบ AI ทั้งสองรุ่นในหลายด้าน เช่น การเขียนปลั๊กอินสำหรับ WordPress การเขียนฟังก์ชันการจัดการสตริง การหาบั๊กที่น่ารำคาญ และการเขียนสคริปต์

    DeepSeek V3 และ R1 มีความสามารถที่น่าประทับใจในการเขียนโค้ด แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น DeepSeek V3 สามารถสร้างทั้งส่วนติดต่อผู้ใช้และตรรกะของโปรแกรมได้ตามที่กำหนด แต่ DeepSeek R1 มีการวิเคราะห์ที่ยาวเกินไปก่อนที่จะให้โค้ด นอกจากนี้ DeepSeek V3 ยังสามารถเขียนฟังก์ชันการจัดการสตริงได้ดี แต่ DeepSeek R1 มีปัญหาในการจัดการข้อมูลที่ไม่ใช่สตริง

    ในด้านการหาบั๊ก DeepSeek V3 และ R1 สามารถผ่านการทดสอบได้ แต่ในการเขียนสคริปต์ DeepSeek ทั้งสองรุ่นยังไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่ควร

    ในภาพรวม DeepSeek V3 มีความสามารถที่ดีกว่า DeepSeek R1 แต่ยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาอยู่ โดยเฉพาะในด้านการเขียนสคริปต์และการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน

    นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึงความท้าทายในการใช้งาน DeepSeek เช่น การต้องใช้ที่อยู่อีเมลสาธารณะในการลงทะเบียน และปัญหาด้านความเร็วในการตอบสนอง

    DeepSeek เป็น AI ที่น่าจับตามองในอนาคต แม้ว่าจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็มีศักยภาพในการพัฒนาและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

    https://www.zdnet.com/article/i-tested-deepseeks-r1-and-v3-coding-skills-and-were-not-all-doomed-yet/
    ลุงก็ได้ลองใช้ DeepSeek มาแล้ว แจ่มจริง มาดู บทความของน้อง David Gewirtz ซึ่งเป็น Senior Contributing Editor ของ ZDNET ซึ่งคนนี้เก่งจริง เป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม ได้รับรางวัล Sigma Xi Research Award ในด้านวิศวกรรม และเคยเป็นศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Princeton, University of California, Berkeley, UCLA, และ Stanford นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายของสหรัฐอเมริกา บทความนี้กล่าวถึงการทดสอบความสามารถในการเขียนโค้ดของ DeepSeek R1 และ V3 ซึ่งเป็น AI chatbot จากประเทศจีน โดยผู้เขียนได้ทำการทดสอบ AI ทั้งสองรุ่นในหลายด้าน เช่น การเขียนปลั๊กอินสำหรับ WordPress การเขียนฟังก์ชันการจัดการสตริง การหาบั๊กที่น่ารำคาญ และการเขียนสคริปต์ DeepSeek V3 และ R1 มีความสามารถที่น่าประทับใจในการเขียนโค้ด แต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น DeepSeek V3 สามารถสร้างทั้งส่วนติดต่อผู้ใช้และตรรกะของโปรแกรมได้ตามที่กำหนด แต่ DeepSeek R1 มีการวิเคราะห์ที่ยาวเกินไปก่อนที่จะให้โค้ด นอกจากนี้ DeepSeek V3 ยังสามารถเขียนฟังก์ชันการจัดการสตริงได้ดี แต่ DeepSeek R1 มีปัญหาในการจัดการข้อมูลที่ไม่ใช่สตริง ในด้านการหาบั๊ก DeepSeek V3 และ R1 สามารถผ่านการทดสอบได้ แต่ในการเขียนสคริปต์ DeepSeek ทั้งสองรุ่นยังไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่ควร ในภาพรวม DeepSeek V3 มีความสามารถที่ดีกว่า DeepSeek R1 แต่ยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาอยู่ โดยเฉพาะในด้านการเขียนสคริปต์และการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึงความท้าทายในการใช้งาน DeepSeek เช่น การต้องใช้ที่อยู่อีเมลสาธารณะในการลงทะเบียน และปัญหาด้านความเร็วในการตอบสนอง DeepSeek เป็น AI ที่น่าจับตามองในอนาคต แม้ว่าจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็มีศักยภาพในการพัฒนาและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น https://www.zdnet.com/article/i-tested-deepseeks-r1-and-v3-coding-skills-and-were-not-all-doomed-yet/
    WWW.ZDNET.COM
    I tested DeepSeek's R1 and V3 coding skills - and we're not all doomed (yet)
    Are DeepSeek V3 and R1 the next big things in AI? How this Chinese open-source chatbot outperformed some big-name AIs in coding tests, despite using vastly less infrastructure than its competitors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ

    ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ
    ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ

    จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล
    ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้

    การตอบสนองของฮุนเซ็น
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง

    จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย
    เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต

    อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต
    เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย

    ทำลายสถานทูตไทย
    ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก

    ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า
    หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ

    รายละเอียดของปฏิบัติการ
    วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
    เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ

    22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568

    #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต







    22 ปี จากจลาจลกัมพูชา สู่ปฏิบัติการโปเชนตง เบื้องหลังความขัดแย้ง ปฏิบัติการที่โลกต้องจดจำ ย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสีย ทางกายภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุจลาจลครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบทความ ในหนังสือพิมพ์กัมพูชา"รัศมี อังกอร์" ที่พาดพิงถึงนักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" ว่าได้กล่าวหากัมพูชาเรื่องนครวัด จนนำไปสู่ความโกรธแค้น และความรุนแรง ที่ลุกลามไปถึงการเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ จากบทความหนังสือพิมพ์ สู่ความโกลาหล ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2546 หนังสือพิมพ์ "รัศมี อังกอร์" ของกัมพูชา ได้ตีพิทพ์เผยแพร่บทความ ที่กล่าวอ้างว่า นักแสดงหญิงชาวไทย "กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง" พูดว่านครวัดเป็นของไทย และกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ "ขโมย" นครวัดไป ข้อความนี้แพร่กระจาย ออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างกระแสความโกรธเคือง ในหมู่ชาวกัมพูชา แม้ว่ากบ-สุวนันท์ จะออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง กระแสความไม่พอใจได้ การตอบสนองของฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา "ฮุนเซ็น" ได้กล่าวสนับสนุนข้อความ ในบทความดังกล่าว โดยเปรียบเทียบว่า นักแสดงชาวไทยคนนี้ "ไม่มีค่าเทียบเท่าใบหญ้า ที่ขึ้นใกล้นครวัด" พร้อมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์กัมพูชา หยุดการเผยแพร่ละครไทยทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปลุกระดม ให้ประชาชนกัมพูชา ระลึกถึงรากเหง้าของตนเอง ซึ่งยิ่งกระพือความไม่พอใจ ในวงกว้าง จากชุมนุมสู่เหตุการณ์จลาจล เริ่มต้นที่สถานทูตไทย เช้าวันที่ 29 มกราคม 2546 กลุ่มชาวกัมพูชาหลายร้อยคน เริ่มรวมตัวกัน ที่หน้าสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญ การประท้วงเริ่มจาก การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาธงชาติไทย และป้ายของสถานทูต ก่อนที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรง เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มบุกเข้าไป ในบริเวณสถานทูต อพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต เอกอัครราชทูตไทย ประจำกัมพูชาในขณะนั้น "ชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ" ตัดสินใจสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่สถานทูต อพยพออกจากอาคาร โดยปีนรั้วด้านหลังของสถานทูต ไปยังแม่น้ำบาสัก และบางส่วนหลบหนีไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ที่อยู่ติดกัน การตัดสินใจที่เด็ดขาดนี้ ช่วยรักษาชีวิตของทุกคน ไว้ได้อย่างปลอดภัย ทำลายสถานทูตไทย ในช่วงเวลาต่อมา กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผา และปล้นสดมสถานทูตไทย รวมถึงทำลายทรัพย์สิ นของธุรกิจไทยในกรุงพนมเปญ เช่น โรงแรม สำนักงาน และร้านค้าต่าง ๆ เหตุการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายขึ้น เมื่อมีข่าวลือว่า คนกัมพูชาถูกทำร้ายในประเทศไทย ซึ่งทำให้การจลาจลในพนมเปญ รุนแรงขึ้นไปอีก ปฏิบัติการโปเชนตง ความช่วยเหลือจากฟากฟ้า หลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจล รัฐบาลไทยภายใต้การนำ ของนายกรัฐมนตรี "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" ได้ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "โปเชนตง" เพื่ออพยพคนไทยออกจากกัมพูชา โดยใช้สนามบินเก่า "โปเชนตง" ในกรุงพนมเปญ เป็นจุดรับส่ง โดยได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชา ที่เริ่มเปลี่ยนท่าที และยินยอมให้เครื่องบินทหารไทยเข้าประเทศ รายละเอียดของปฏิบัติการ วันที่ 30 มกราคม 2546 เวลา 05.15 น. เครื่องบินลำเลียงแบบ C-130H และ G-222 พร้อมหน่วยรบพิเศษ ได้บินจากฐานทัพดอนเมือง ไปยังสนามบินโปเชนตง เพื่ออพยพคนไทยกว่า 700 คน การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด โดยสามารถนำคนไทย กลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด ในวันเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เหตุการณ์ครั้งนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยและกัมพูชา เลวร้ายลงอย่างมาก ไทยตัดสินใจ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และปิดชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภูมิภาค เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ ของการสื่อสารระหว่างประเทศ และการป้องกันการปลุกระดม ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง การตอบสนองที่รวดเร็ว และเด็ดขาดของรัฐบาลไทยในครั้งนั้น ยังเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต ที่มีประสิทธิภาพ 22 ปี หลังเหตุการณ์จลาจลในพนมเปญ และปฏิบัติการโปเชนตง ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยและกัมพูชา ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการจัดการวิกฤตระดับชาติ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของความร่วมมือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ถูกต้อง ระหว่างประชาชน และผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอนาคต ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 290850 ม.ค. 2568 #จลาจลกัมพูชา #ปฏิบัติการโปเชนตง #ไทยกัมพูชา #สถานทูตไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #การเมืองระหว่างประเทศ #บทเรียนความขัดแย้ง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #เหตุการณ์ในอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • แชร์ข่าวนี้ให้ไปถึงหัวหน้าของทุกคนด้วยครับ ฮาาา

    จากรายงานล่าสุดของ ActivTrak Productivity Lab พบว่าพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงาน พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีชั่วโมงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและมีการขัดจังหวะน้อยกว่า

    ในขณะที่พนักงานในอุตสาหกรรมการเงินมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 30 นาทีต่อวัน และมีอัตราการใช้งานที่ดีต่อสุขภาพสูงกว่า 9% พนักงานในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 36 นาทีต่อวัน แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์หรือการไม่สนใจงาน

    นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากมีการประชุมและการขัดจังหวะน้อยกว่า ในทางกลับกัน พนักงานที่ทำงานในสำนักงานมีรูปแบบการทำงานที่สมดุลที่สุด โดยใช้เวลาเกือบ 70% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ดีต่อสุขภาพ

    การทำงานแบบไฮบริดกำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่น แต่พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดมีเวลาพักที่สั้นกว่าเล็กน้อย ActivTrak เตือนว่าพนักงานที่ใช้เวลามากกว่า 75% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ใช้งานมากเกินไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์

    การเบิร์นเอาท์ (Burnout) เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงานหนักและมีความเครียดสูงเป็นเวลานาน การป้องกันการเบิร์นเอาท์สามารถทำได้โดยการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ชอบ และการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน

    การทำงานจากระยะไกลมีข้อดีหลายประการ เช่น การลดการขัดจังหวะและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน

    https://www.techradar.com/pro/Remote-workers-are-more-productive-and-face-less-interruptions-than-their-office-only-co-workers
    แชร์ข่าวนี้ให้ไปถึงหัวหน้าของทุกคนด้วยครับ ฮาาา จากรายงานล่าสุดของ ActivTrak Productivity Lab พบว่าพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่าพนักงานที่ทำงานในสำนักงาน พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีชั่วโมงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและมีการขัดจังหวะน้อยกว่า ในขณะที่พนักงานในอุตสาหกรรมการเงินมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 30 นาทีต่อวัน และมีอัตราการใช้งานที่ดีต่อสุขภาพสูงกว่า 9% พนักงานในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ถึง 36 นาทีต่อวัน แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์หรือการไม่สนใจงาน นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมีเวลาทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเนื่องจากมีการประชุมและการขัดจังหวะน้อยกว่า ในทางกลับกัน พนักงานที่ทำงานในสำนักงานมีรูปแบบการทำงานที่สมดุลที่สุด โดยใช้เวลาเกือบ 70% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ดีต่อสุขภาพ การทำงานแบบไฮบริดกำลังได้รับความนิยมเนื่องจากความยืดหยุ่น แต่พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดมีเวลาพักที่สั้นกว่าเล็กน้อย ActivTrak เตือนว่าพนักงานที่ใช้เวลามากกว่า 75% ของเวลาทำงานในสภาวะที่ใช้งานมากเกินไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเบิร์นเอาท์ การเบิร์นเอาท์ (Burnout) เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงานหนักและมีความเครียดสูงเป็นเวลานาน การป้องกันการเบิร์นเอาท์สามารถทำได้โดยการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ชอบ และการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน การทำงานจากระยะไกลมีข้อดีหลายประการ เช่น การลดการขัดจังหวะและการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังเช่นกัน https://www.techradar.com/pro/Remote-workers-are-more-productive-and-face-less-interruptions-than-their-office-only-co-workers
    WWW.TECHRADAR.COM
    Remote workers are more productive and face less interruptions than their office-only co-workers
    Remote-first is most productive while hybrid and office-first approaches offer healthier utilization of employee time
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • Paul McCartney นักดนตรีจากวง The Beatles ที่ออกมาเตือนว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจถูกใช้เพื่อ "ขโมย" ผลงานของศิลปิน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษปกป้องอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายและจริยธรรมเกี่ยวกับ AI ที่สามารถสร้างผลงานใหม่ๆ ได้หลังจากได้รับการฝึกฝนจากผลงานที่มีชื่อเสียง โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับผู้สร้างผลงานต้นฉบับ. ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อังกฤษได้เสนอวิธีให้ศิลปินสามารถให้สิทธิ์ในการใช้ผลงานของตนในการฝึกฝน AI แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นเพื่อสนับสนุนการใช้งานในวงกว้างของ AI

    McCartney กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่าเขากังวลว่าเทคโนโลยี AI จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เท่านั้น หากลิขสิทธิ์ไม่ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม เขาเน้นว่า AI เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควร "ขโมย" ผลงานของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์

    นอกจากนี้ McCartney ยังได้ใช้ AI ในการสร้างเสียงของ John Lennon สมาชิกวง The Beatles ที่เสียชีวิตไปแล้ว จากการบันทึกเสียงในเทปเก่าๆ เขากล่าวว่ามีความเสี่ยงที่ศิลปินจะสูญเสียสิทธิ์ในผลงานของตนหากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/don039t-let-ai-039rip-off039-artists-beatles-star-mccartney-warns-uk-government
    Paul McCartney นักดนตรีจากวง The Beatles ที่ออกมาเตือนว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจถูกใช้เพื่อ "ขโมย" ผลงานของศิลปิน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษปกป้องอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายและจริยธรรมเกี่ยวกับ AI ที่สามารถสร้างผลงานใหม่ๆ ได้หลังจากได้รับการฝึกฝนจากผลงานที่มีชื่อเสียง โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับผู้สร้างผลงานต้นฉบับ. ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อังกฤษได้เสนอวิธีให้ศิลปินสามารถให้สิทธิ์ในการใช้ผลงานของตนในการฝึกฝน AI แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นเพื่อสนับสนุนการใช้งานในวงกว้างของ AI McCartney กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่าเขากังวลว่าเทคโนโลยี AI จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เท่านั้น หากลิขสิทธิ์ไม่ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม เขาเน้นว่า AI เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควร "ขโมย" ผลงานของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ McCartney ยังได้ใช้ AI ในการสร้างเสียงของ John Lennon สมาชิกวง The Beatles ที่เสียชีวิตไปแล้ว จากการบันทึกเสียงในเทปเก่าๆ เขากล่าวว่ามีความเสี่ยงที่ศิลปินจะสูญเสียสิทธิ์ในผลงานของตนหากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/26/don039t-let-ai-039rip-off039-artists-beatles-star-mccartney-warns-uk-government
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Don't let AI 'rip off' artists, Beatles star McCartney warns UK government
    LONDON (Reuters) - Beatles musician Paul McCartney has warned that artificial intelligence could be used to "rip off" artists, urging the British government to make sure upcoming copyright reforms protect its creative industries.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทต่างๆ กำลังเผชิญกับ "ขีดจำกัดความเร็ว" ในการนำปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI) มาใช้งานจริง รายงานจาก Deloitte พบว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่พร้อมจะนำ Gen AI มาใช้งานในระดับการผลิต โดยมีเพียงหนึ่งในสามของการทดลอง Gen AI ที่จะสามารถขยายขนาดได้เต็มที่ในอีกสามถึงหกเดือนข้างหน้า

    ปัญหาหลักที่ทำให้การนำ Gen AI มาใช้งานช้าคือความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบและการจัดการความเสี่ยง 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าปัญหาด้านกฎระเบียบเป็นอุปสรรคหลักในการนำ Gen AI มาใช้งาน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงในองค์กรยังเกิดขึ้นช้ากว่าการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้การนำ Gen AI มาใช้งานต้องใช้เวลานานขึ้น

    แม้ว่าบริษัทต่างๆ จะเห็นผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการลงทุนใน AI แต่การสร้างมูลค่าจาก Gen AI และการนำมาใช้งานในระดับใหญ่ยังคงเป็นงานที่ยาก บางฟังก์ชันขององค์กรที่เห็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการใช้ Gen AI ได้แก่ IT, การดำเนินงาน และการตลาด ในขณะที่ฟังก์ชันอื่นๆ เช่น การขาย การเงิน และการวิจัยและพัฒนา ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างผลตอบแทนที่คาดหวัง

    https://www.zdnet.com/article/enterprises-are-hitting-a-speed-limit-in-deploying-gen-ai-heres-why/
    บริษัทต่างๆ กำลังเผชิญกับ "ขีดจำกัดความเร็ว" ในการนำปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI) มาใช้งานจริง รายงานจาก Deloitte พบว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่พร้อมจะนำ Gen AI มาใช้งานในระดับการผลิต โดยมีเพียงหนึ่งในสามของการทดลอง Gen AI ที่จะสามารถขยายขนาดได้เต็มที่ในอีกสามถึงหกเดือนข้างหน้า ปัญหาหลักที่ทำให้การนำ Gen AI มาใช้งานช้าคือความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบและการจัดการความเสี่ยง 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าปัญหาด้านกฎระเบียบเป็นอุปสรรคหลักในการนำ Gen AI มาใช้งาน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงในองค์กรยังเกิดขึ้นช้ากว่าการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้การนำ Gen AI มาใช้งานต้องใช้เวลานานขึ้น แม้ว่าบริษัทต่างๆ จะเห็นผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการลงทุนใน AI แต่การสร้างมูลค่าจาก Gen AI และการนำมาใช้งานในระดับใหญ่ยังคงเป็นงานที่ยาก บางฟังก์ชันขององค์กรที่เห็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการใช้ Gen AI ได้แก่ IT, การดำเนินงาน และการตลาด ในขณะที่ฟังก์ชันอื่นๆ เช่น การขาย การเงิน และการวิจัยและพัฒนา ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างผลตอบแทนที่คาดหวัง https://www.zdnet.com/article/enterprises-are-hitting-a-speed-limit-in-deploying-gen-ai-heres-why/
    WWW.ZDNET.COM
    Enterprises are hitting a 'speed limit' in deploying Gen AI - here's why
    Many C-suite executives have been cheerleaders for their company's work in AI despite slow progress, finds Deloitte's latest survey.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Brookhaven ของกระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังสำรวจแนวคิดของ "Exocortex" ซึ่งเป็นการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ โดยมองว่าเป็นการขยายสมองของนักวิทยาศาสตร์ แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถทางปัญญาของนักวิจัยโดยการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจของมนุษย์กับเครือข่ายของ AI

    Exocortex จะประกอบด้วย AI หลายตัวที่เชี่ยวชาญในงานเฉพาะ เช่น การจัดการวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การจัดการทดลอง หรือการสังเคราะห์ข้อมูล การทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้จะสร้างความสามารถที่ขยายขอบเขตทางปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างมาก

    นอกจากนี้ Exocortex ยังสามารถช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยการใช้ประโยชน์จาก "การสร้างภาพในจินตนาการ" (หลอน) ซึ่งแม้ว่าการหลอนจะไม่พึงประสงค์ในบางกรณี แต่ก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสาร

    https://www.techradar.com/pro/an-extension-of-a-scientists-brain-researchers-explore-ai-to-augment-inspiration-and-imagination-to-revolutionize-science
    นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Brookhaven ของกระทรวงพลังงานสหรัฐกำลังสำรวจแนวคิดของ "Exocortex" ซึ่งเป็นการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ โดยมองว่าเป็นการขยายสมองของนักวิทยาศาสตร์ แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถทางปัญญาของนักวิจัยโดยการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจของมนุษย์กับเครือข่ายของ AI Exocortex จะประกอบด้วย AI หลายตัวที่เชี่ยวชาญในงานเฉพาะ เช่น การจัดการวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ การจัดการทดลอง หรือการสังเคราะห์ข้อมูล การทำงานร่วมกันของ AI เหล่านี้จะสร้างความสามารถที่ขยายขอบเขตทางปัญญาของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างมาก นอกจากนี้ Exocortex ยังสามารถช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจและจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยการใช้ประโยชน์จาก "การสร้างภาพในจินตนาการ" (หลอน) ซึ่งแม้ว่าการหลอนจะไม่พึงประสงค์ในบางกรณี แต่ก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสาร https://www.techradar.com/pro/an-extension-of-a-scientists-brain-researchers-explore-ai-to-augment-inspiration-and-imagination-to-revolutionize-science
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัวแอป Gemini ที่สามารถควบคุมบ้านอัจฉริยะผ่านส่วนขยายของ Google Home แอปนี้สามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้พูดได้ เช่น ถ้าคุณบอกว่า "แสงสว่างเกินไป" Gemini จะหรี่ไฟให้โดยไม่ต้องระบุระดับแสงที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น "หรี่ไฟในห้องนั่งเล่น เปิดโคมไฟในห้องนอน และลดม่านลง" Gemini จะเข้าใจและทำตามคำสั่งทั้งหมดนี้ได้

    Gemini ยังสามารถควบคุมการเล่นสื่อ เช่น ปรับระดับเสียงและการเล่นเพลงหรือวิดีโอ และสามารถเปิดแอป Google Home อัตโนมัติเมื่อมีการจัดการกล้องและล็อคเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สามารถตอบคำถามเช่น "ฉันทิ้งไฟหน้าบ้านเปิดไว้หรือเปล่า" Gemini จะตรวจสอบและแจ้งให้คุณทราบ

    Google หวังว่า Gemini จะทำให้บ้านอัจฉริยะมีความสะดวกสบายและง่ายต่อการจัดการมากขึ้น และในอนาคตอาจมีการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น เช่น ถ้าคุณบอกว่า "ฉันเครียด" บ้านอาจจะชงชาให้คุณ หรี่ไฟ และเปิดเพลงผ่อนคลาย

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/google-gemini-is-your-new-smart-home-butler
    Google ได้เปิดตัวแอป Gemini ที่สามารถควบคุมบ้านอัจฉริยะผ่านส่วนขยายของ Google Home แอปนี้สามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้พูดได้ เช่น ถ้าคุณบอกว่า "แสงสว่างเกินไป" Gemini จะหรี่ไฟให้โดยไม่ต้องระบุระดับแสงที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกันได้ด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น "หรี่ไฟในห้องนั่งเล่น เปิดโคมไฟในห้องนอน และลดม่านลง" Gemini จะเข้าใจและทำตามคำสั่งทั้งหมดนี้ได้ Gemini ยังสามารถควบคุมการเล่นสื่อ เช่น ปรับระดับเสียงและการเล่นเพลงหรือวิดีโอ และสามารถเปิดแอป Google Home อัตโนมัติเมื่อมีการจัดการกล้องและล็อคเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สามารถตอบคำถามเช่น "ฉันทิ้งไฟหน้าบ้านเปิดไว้หรือเปล่า" Gemini จะตรวจสอบและแจ้งให้คุณทราบ Google หวังว่า Gemini จะทำให้บ้านอัจฉริยะมีความสะดวกสบายและง่ายต่อการจัดการมากขึ้น และในอนาคตอาจมีการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น เช่น ถ้าคุณบอกว่า "ฉันเครียด" บ้านอาจจะชงชาให้คุณ หรี่ไฟ และเปิดเพลงผ่อนคลาย https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/google-gemini-is-your-new-smart-home-butler
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก

    เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง

    E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ

    หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง

    น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    บริษัท Element Six (E6) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ De Beers Group ได้เปิดตัววัสดุคอมโพสิตที่ทำจากทองแดงและเพชร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของฮีตซิงค์ วัสดุใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในงานที่ต้องการการจัดการความร้อนสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC), และอุปกรณ์ GaN RF ที่ผลิตความร้อนมาก เพชรเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีความสามารถในการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้เป็นฮีตซิงค์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม เนื่องจากเพชรมีราคาสูง การวิจัยที่ใช้วัสดุนี้จึงมักจำกัดอยู่ในงานอุตสาหกรรมและงานที่มีมูลค่าสูง E6 มีความสามารถในการหาเพชรที่ต้องการสำหรับการสร้างวัสดุคอมโพสิตนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทในเครือของ De Beers ที่เคยมีการผูกขาดการจัดหาทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Akash Systems ที่กำลังพิจารณาใช้วัสดุเพชรในการระบายความร้อนของ GPU แต่ยังต้องการเงินทุนจำนวน 18.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก CHIPS and Science Act เพื่อดำเนินการต่อ หากวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้เข้าสู่ตลาด มันอาจถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้พลังงานมากในการระบายความร้อนของ GPU และโปรเซสเซอร์ วัสดุนี้อาจช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งกำลังเป็นภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ หากการผลิตในปริมาณมากทำให้ราคาลดลง วัสดุนี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง น่าสนใจที่เห็นว่าเทคโนโลยีการระบายความร้อนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และวัสดุคอมโพสิตทองแดง-เพชรนี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/pc-components/heatsinks/company-develops-copper-diamond-composite-for-better-heatsink-cooling-lower-cpu-and-gpu-temps
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เคล็ดลับการดูแลผลองุ่นให้โตคุณภาพดี 🍇✨
    เมื่อผลองุ่นเริ่มโตเท่าหัวเข็มหมุด เราสามารถปรับปรุงคุณภาพของผลและช่อองุ่นได้ด้วยเทคนิคดังนี้:

    🌟 #วิธีการดูแลองุ่นให้ผลสวยและคุณภาพดี
    1. #ซอยช่อองุ่น
    ตัดผลองุ่นออกประมาณ 20-30% เพื่อให้ช่อองุ่นโปร่ง 🍇
    ลดความหนาแน่นของผลเพื่อให้ผลที่เหลือเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

    2. #พ่นจิ๊บเบอเรลลิค แอซิด (GA3) 🧪
    ใช้ในอัตราส่วน 0.5-1 ซีซีต่อน้ำ 10 ลิตรพ่นทุก 7 วัน จำนวน 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของผล

    3. #ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) 🌱
    ให้ทุก 7-10 วัน เพื่อเสริมการเจริญเติบโตของผลและต้น

    4. #พ่นธาตุอาหารรองและเสริมทุก 7 วัน 🧪เน้น แคลเซียมและโบรอน เพื่อป้องกันผลหลุดร่วงและแตก

    5. #การให้น้ำ 💧
    ให้ปริมาณน้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ อย่าให้ขาดน้ำในช่วงขยายผล

    6. #การตัดยอด 🌿
    ตัดยอดองุ่นออก 50-80 เซนติเมตร เพื่อควบคุมทรงพุ่มและกระตุ้นการพัฒนาของผล

    7. #สังเกตและป้องกันศัตรูพืช 🐛
    ตรวจสอบโรคเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้างหรือราดำ และแมลงศัตรูพืช
    ใช้ชีวภัณฑ์หรือสารป้องกันที่เหมาะสมพ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันโรคเชื้อราและแมลงศัตรูพืชสม่ำเสมอ

    ✨ข้อดีของการจัดการช่อองุ่นที่ดี
    ผลองุ่นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ 🍇
    ลดการหลุดร่วงและแตกของผล
    เพิ่มคุณภาพและขนาดของผล

    #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมดูแลเพื่อนเกษตรกรทุกขั้นตอนการปลูกองุ่น 🍇
    📩 สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Inbox หรือโทร 093-6962691
    ศักรพี 😊✌️
    #เคล็ดลับการดูแลผลองุ่นให้โตคุณภาพดี 🍇✨ เมื่อผลองุ่นเริ่มโตเท่าหัวเข็มหมุด เราสามารถปรับปรุงคุณภาพของผลและช่อองุ่นได้ด้วยเทคนิคดังนี้: 🌟 #วิธีการดูแลองุ่นให้ผลสวยและคุณภาพดี 1. #ซอยช่อองุ่น ตัดผลองุ่นออกประมาณ 20-30% เพื่อให้ช่อองุ่นโปร่ง 🍇 ลดความหนาแน่นของผลเพื่อให้ผลที่เหลือเจริญเติบโตได้ดีขึ้น 2. #พ่นจิ๊บเบอเรลลิค แอซิด (GA3) 🧪 ใช้ในอัตราส่วน 0.5-1 ซีซีต่อน้ำ 10 ลิตรพ่นทุก 7 วัน จำนวน 3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของผล 3. #ให้ปุ๋ยสูตรเสมอ (เช่น 15-15-15) 🌱 ให้ทุก 7-10 วัน เพื่อเสริมการเจริญเติบโตของผลและต้น 4. #พ่นธาตุอาหารรองและเสริมทุก 7 วัน 🧪เน้น แคลเซียมและโบรอน เพื่อป้องกันผลหลุดร่วงและแตก 5. #การให้น้ำ 💧 ให้ปริมาณน้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ อย่าให้ขาดน้ำในช่วงขยายผล 6. #การตัดยอด 🌿 ตัดยอดองุ่นออก 50-80 เซนติเมตร เพื่อควบคุมทรงพุ่มและกระตุ้นการพัฒนาของผล 7. #สังเกตและป้องกันศัตรูพืช 🐛 ตรวจสอบโรคเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้างหรือราดำ และแมลงศัตรูพืช ใช้ชีวภัณฑ์หรือสารป้องกันที่เหมาะสมพ่น #ไตรโคบิวพลัส ป้องกันโรคเชื้อราและแมลงศัตรูพืชสม่ำเสมอ ✨ข้อดีของการจัดการช่อองุ่นที่ดี ผลองุ่นเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ 🍇 ลดการหลุดร่วงและแตกของผล เพิ่มคุณภาพและขนาดของผล #ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมดูแลเพื่อนเกษตรกรทุกขั้นตอนการปลูกองุ่น 🍇 📩 สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Inbox หรือโทร 093-6962691 ศักรพี 😊✌️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • Samsung ได้ประกาศกระบวนการรีไซเคิลโคบอลต์ใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S25 ในงาน Galaxy Unpacked 2025. Samsung ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

    Samsung ได้เริ่มใช้โคบอลต์รีไซเคิลในสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S24 เมื่อปีที่แล้ว และในปีนี้พวกเขาได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำโคบอลต์จากแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ Galaxy ที่ใช้แล้วและแบตเตอรี่ที่ถูกทิ้งในกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการรวบรวมแบตเตอรี่จากอุปกรณ์ที่ถูกส่งคืนผ่านโปรแกรมการแลกเปลี่ยนหรือเป็นส่วนหนึ่งของขยะจากการผลิต จากนั้นแบตเตอรี่จะถูกถอดแยกชิ้นส่วนเพื่อตรวจสอบความเสียหายหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น

    แบตเตอรี่ที่ถูกถอดแยกชิ้นส่วนจะถูกปล่อยประจุเพื่อความปลอดภัย จากนั้นจะถูกบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการแยกส่วน ชิ้นส่วนแบตเตอรี่จะถูกแปรรูปเป็นมวลสีดำซึ่งจะผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ในอุปกรณ์ใหม่ได้

    การรีไซเคิลหลายขั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สร้างสรรค์ของ Samsung แต่ยังช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและรักษาความภักดีของลูกค้า

    https://wccftech.com/samsung-continues-its-commitment-to-sustainability-with-a-new-cobalt-recycling-process-for-the-galaxy-s25-series/
    Samsung ได้ประกาศกระบวนการรีไซเคิลโคบอลต์ใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S25 ในงาน Galaxy Unpacked 2025. Samsung ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ Samsung ได้เริ่มใช้โคบอลต์รีไซเคิลในสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S24 เมื่อปีที่แล้ว และในปีนี้พวกเขาได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำโคบอลต์จากแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ Galaxy ที่ใช้แล้วและแบตเตอรี่ที่ถูกทิ้งในกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการรวบรวมแบตเตอรี่จากอุปกรณ์ที่ถูกส่งคืนผ่านโปรแกรมการแลกเปลี่ยนหรือเป็นส่วนหนึ่งของขยะจากการผลิต จากนั้นแบตเตอรี่จะถูกถอดแยกชิ้นส่วนเพื่อตรวจสอบความเสียหายหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น แบตเตอรี่ที่ถูกถอดแยกชิ้นส่วนจะถูกปล่อยประจุเพื่อความปลอดภัย จากนั้นจะถูกบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการแยกส่วน ชิ้นส่วนแบตเตอรี่จะถูกแปรรูปเป็นมวลสีดำซึ่งจะผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ในอุปกรณ์ใหม่ได้ การรีไซเคิลหลายขั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สร้างสรรค์ของ Samsung แต่ยังช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและรักษาความภักดีของลูกค้า https://wccftech.com/samsung-continues-its-commitment-to-sustainability-with-a-new-cobalt-recycling-process-for-the-galaxy-s25-series/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Continues Its Commitment To Sustainability With A New Cobalt Recycling Process For The Galaxy S25 Series
    Samsung is continuing its commitment towards sustainability.with a new cobalt recycling process for its Galaxy S25 series
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • 23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ

    วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้

    กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ

    นิยามใหม่ของ "การสมรส"
    ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น
    - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์
    - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย
    - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต

    สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส
    1. สิทธิทางกฎหมาย
    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น
    - สิทธิในการรับมรดก
    - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต
    - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
    - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส

    2. การจัดการทรัพย์สิน
    ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย

    ข้อกังวลและความท้าทาย
    แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น
    - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง
    - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่

    ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
    สร้างความเท่าเทียมในสังคม
    การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม

    เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย
    การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม

    สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย

    🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568

    #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม

    23 มกราคม 2568 จุดเริ่มต้นใหม่ของสมรสเท่าเทียม ในประเทศไทย มีสิทธิ์รับมรดก และฟ้องชู้ เปิดประตูยอมรับ สิทธิความหลากหลายทางเพศ วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย เมื่อกระทรวงมหาดไทย เปิดรับจดทะเบียนสมรส ตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งเปลี่ยนแปลงนิยามของการสมรส ในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยเปิดโอกาสให้บุคคล ไม่ว่ามีเพศใด สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ กฎหมายใหม่นี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลง วิธีการมองสิทธิในความรัก และครอบครัว แต่ยังปรับปรุงบทบัญญัติต่างๆ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับแนวคิดความเท่าเทียม และความหลากหลายทางเพศ นิยามใหม่ของ "การสมรส" ก่อนการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การสมรส เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "ชายและหญิง" เท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ปรับเปลี่ยนนิยามนี้ โดยใช้คำว่า "บุคคลสองฝ่าย" แทน ซึ่งช่วยยืนยันว่าการสมรส ไม่จำกัดเฉพาะเพศอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขคำเรียก "สามี-ภริยา" ในเอกสารทางกฎหมาย ให้เป็นคำว่า "คู่สมรส" เพื่อสะท้อนถึงความเท่าเทียม ในความสัมพันธ์ อีกทั้งยังมีการปรับปรุง บทบัญญัติอื่นๆ เช่น - อายุขั้นต่ำสำหรับการสมรส จากเดิม 17 ปีบริบูรณ์ เพิ่มเป็น 18 ปีบริบูรณ์ - ข้อกำหนดเรื่องความยินยอม ยังคงกำหนดว่าการสมรส ต้องแสดงความยินยอม ต่อหน้านายทะเบียนอย่างเปิดเผย - ข้อห้ามเกี่ยวกับการสมรส ยังคงข้อห้าม เช่น การสมรสซ้อน การสมรสกับญาติสืบสายโลหิต หรือการสมรสกับบุคคลวิกลจริต สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส 1. สิทธิทางกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ขยายสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายของคู่สมรส ให้ครอบคลุมทุกเพศ เช่น - สิทธิในการรับมรดก - สิทธิในการบรรจุเป็นข้าราชการ กรณีคู่สมรสเสียชีวิต - สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน - สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีคู่สมรส 2. การจัดการทรัพย์สิน ทรัพย์สินของคู่สมรส ยังคงแบ่งออกเป็น สินส่วนตัว และ สินสมรส โดยสินสมรสจะเป็นทรัพย์สิน ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ซึ่งการจัดการสินสมรส เช่น การขายทรัพย์สิน จะต้องได้รับความยินยอม จากคู่สมรสอีกฝ่าย ข้อกังวลและความท้าทาย แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเปิดทางสู่ความเท่าเทียม แต่ก็ยังมีข้อกังวลในแง่ของกฎหมายอื่น ที่ยังใช้คำว่า "สามี-ภริยา" และอาจต้องใช้เวลาในการปรับแก้ เช่น - กฎหมายบางฉบับ ที่ระบุสิทธิประโยชน์ เฉพาะสำหรับคู่ชาย-หญิง - การปรับปรุงระบบราชการ ให้รองรับกับนิยามคู่สมรสใหม่ ข้อดีของกฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างความเท่าเทียมในสังคม การรับรองสิทธิการสมรสสำหรับทุกเพศ ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียม และลดการเลือกปฏิบัติในสังคม เพิ่มความชัดเจนทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงถ้อยคำ ในเอกสารทางกฎหมาย ช่วยลดความกำกวม และทำให้ทุกคน สามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ได้อย่างเท่าเทียม สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรส กับชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างสังคม ที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และความเท่าเทียม กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่ให้สิทธิและหน้าที่ ที่เท่าเทียมกันแก่คู่สมรสทุกเพศ แต่ยังสะท้อนถึง ความก้าวหน้าในเชิงกฎหมาย และสังคมของประเทศไทย 🌈✨ "เพราะความรักคือสิทธิที่ทุกคน ควรได้รับอย่างเท่าเทียม" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 2300559 ม.ค. 2568 #สมรสเท่าเทียม #สิทธิมนุษยชน #ความเท่าเทียมทางเพศ #กฎหมายใหม่ #ประเทศไทย #LGBTQ+ #เสรีภาพและความเท่าเทียม #ความรักไม่มีเงื่อนไข #สมรสในไทย #สังคมแห่งความเท่าเทียม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • Seagate เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ Exos M ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งมีความจุสูงสุดถึง 36TB ฮาร์ดไดรฟ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่และการจัดเก็บข้อมูลที่ต้องการความจุสูง นอกจากนี้ Seagate ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Mozaic 3+ ที่รองรับฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงนี้ด้วย

    ฮาร์ดไดรฟ์ Exos M ใช้แผ่นดิสก์ขนาด 3.6TB จำนวน 10 แผ่น ซึ่งช่วยให้สามารถเพิ่มความจุได้มากขึ้น นอกจากนี้ Seagate ยังได้ทดสอบแผ่นดิสก์ขนาด 6TB ซึ่งอาจทำให้ฮาร์ดไดรฟ์ในอนาคตมีความจุถึง 60TB ได้

    การพัฒนาฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่มีการขยายตัวของคลาวด์และการนำ AI มาใช้ในการทำงาน. การจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและความจุสูงเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับการทำงานของ AI และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/seagate-unveils-36tb-hamr-hard-drive-mozaic-3-extended
    Seagate เพิ่งเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ Exos M ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ซึ่งมีความจุสูงสุดถึง 36TB ฮาร์ดไดรฟ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่และการจัดเก็บข้อมูลที่ต้องการความจุสูง นอกจากนี้ Seagate ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Mozaic 3+ ที่รองรับฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงนี้ด้วย ฮาร์ดไดรฟ์ Exos M ใช้แผ่นดิสก์ขนาด 3.6TB จำนวน 10 แผ่น ซึ่งช่วยให้สามารถเพิ่มความจุได้มากขึ้น นอกจากนี้ Seagate ยังได้ทดสอบแผ่นดิสก์ขนาด 6TB ซึ่งอาจทำให้ฮาร์ดไดรฟ์ในอนาคตมีความจุถึง 60TB ได้ การพัฒนาฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูงนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่มีการขยายตัวของคลาวด์และการนำ AI มาใช้ในการทำงาน. การจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและความจุสูงเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับการทำงานของ AI และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/seagate-unveils-36tb-hamr-hard-drive-mozaic-3-extended
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนโดย Seagate พบว่าการนำ AI มาใช้จะทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกสามปีข้างหน้า การเติบโตของข้อมูลที่เกิดจาก AI ทำให้การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์กลายเป็นทางเลือกที่นิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ในปี 2024, 65% ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกจัดเก็บบนคลาวด์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ภายในปี 2028

    การสำรวจยังพบว่า 72% ของธุรกิจที่สำรวจได้ใช้เทคโนโลยี AI แล้ว และ 28% วางแผนที่จะนำมาใช้ภายในสามปี. การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นทางเลือกที่นิยมเนื่องจากความสามารถในการขยายตัวและความสะดวกในการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าการเก็บข้อมูล AI เป็นเวลานานขึ้นช่วยปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล AI โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการเก็บข้อมูลเป็นเวลานานช่วยให้ผลลัพธ์ของ AI ดีขึ้น

    นอกจากนี้ ธุรกิจยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับแรก โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของ AI การจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้และการใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูลเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้เพื่อรับมือกับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-will-drive-storage-needs-by-2x-over-next-three-years-according-to-survey-funded-by-seagate
    จากการสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนโดย Seagate พบว่าการนำ AI มาใช้จะทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกสามปีข้างหน้า การเติบโตของข้อมูลที่เกิดจาก AI ทำให้การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์กลายเป็นทางเลือกที่นิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ในปี 2024, 65% ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกจัดเก็บบนคลาวด์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ภายในปี 2028 การสำรวจยังพบว่า 72% ของธุรกิจที่สำรวจได้ใช้เทคโนโลยี AI แล้ว และ 28% วางแผนที่จะนำมาใช้ภายในสามปี. การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นทางเลือกที่นิยมเนื่องจากความสามารถในการขยายตัวและความสะดวกในการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าการเก็บข้อมูล AI เป็นเวลานานขึ้นช่วยปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล AI โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการเก็บข้อมูลเป็นเวลานานช่วยให้ผลลัพธ์ของ AI ดีขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับแรก โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของ AI การจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้และการใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูลเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้เพื่อรับมือกับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-will-drive-storage-needs-by-2x-over-next-three-years-according-to-survey-funded-by-seagate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอเมริกันชนราว 47% ที่เห็นชอบการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ หลังจากเขาคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาณบ่งชี้ว่าประเทศแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว หลังตัวแทนจากรีพับลิกันคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน จากผลโพลของรอยเตอร์/อิปซอส ที่ปิดการสำรวจในวันอังคาร (21 ม.ค.)
    .
    ผลสำรวจที่ดำเนินการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) และวันอังคาร (21 ม.ค.) ตามหลัง ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของเขาสูงกว่าตลอดช่วงเวลาเกือบทั้งหมดในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017-2021
    .
    อย่างไรก็ตาม ผลโพลพบด้วยว่าชาวอเมริกาพากันขุ่นเคืองต่อความเคลื่อนไหวแรกๆ บางอย่างของประธานาธิบดีรายนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% บอกว่า ทรัมป์ ไม่ควรนิรโทษกรรมทุกคนที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดทางอาญา ระหว่างเหตุจลาจลบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021
    .
    ทรัมป์ ดำเนินการดังกล่าว นิรโทษกรรมเหล่าผู้สนับสนุนเกือบ 1,600 ราย ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา ร่วมกันปิดล้อมอาคารรัฐสภา ไม่กี่ชั่วโมงหลังดำรงตำแหน่งสมัย 2 อย่างเป็นทางการ ในระหว่างที่กำลังจัดทำโพล
    .
    มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 29% ที่เห็นชอบแนวทางของทรัมป์ ในการจัดการกับสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นระบบตุลาการเชิงการเมือง ทรัมป์กล่าวหา โจ ไบเดน ผู้นำคนก่อนก่อความบิดเบี้ยวแก่กระบวนการยุติธรรม ด้วยความพยายามดำเนินคดีต่างๆ กับเขา ในเจตนาขัดขวางเขาจากการดำรงตำแหน่ง ข้อกล่าวหาที่ทางฝั่งเดโมแครตปฏิเสธ นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังบอกว่าเขาอาจใช้ระบบยุติธรรมหาทางแก้แค้นคู่ปรับทางการเมืองด้วย
    .
    พวกผู้ตอบแบบสอบถามให้การสนับสนุนแนวทางทรัมป์ มากกว่าในการจัดการกับประเด็นอื่นๆ โดยมี 46% ที่เห็นชอบแนวทางการรับมือพวกผู้อพยพของทรัมป์ ประเด็นที่อเมริกันชนจำนวนมากอยากเห็นมันเป็นประเด็นที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในลำดับสูงสุด
    .
    ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้ง 2024 เหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากเดโมแครต ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 312 ต่อ 226 เสียง แต่ในส่วนของคะแนนป็อบปูลาร์โหวตนั้น เขาได้คะแนนเสียงแค่ 49.8% เฉือน แฮร์ริส ที่ได้ไป 48.3%
    .
    ผลสำรวจเท่ากับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทรัมป์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นวาระดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ด้วยคะแนนนิยม 43% ก่อนคะแนนนิยมจะดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 49% ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปิดฉากการเป็นประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 34% ตามหลังเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา พยายามโค่นล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    คล้ายกับ ไบเดน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) คะแนนนิยมของทรัมป์ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 45% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการดำรงตำแหน่งสมัยแรก และเคยดำดิ่งลงไปในระดับต่ำสุดเหลือแค่ 33% ในเดือนธันวาคม 2017
    .
    ไบเดน เริ่มต้นทำหน้าที่ประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 55% แต่เรตติ้งของเขาปักหัวลงอย่างรวดเร็ว และเคยดำดิ่งแตะระดับแค่ 35% ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ภาวะที่ไม่ได้รับความนิยมของตัวแทนจากพรรคเดโมแครตรายนี้ ถูกมองอย่างกว้างขวางว่ากลายเป็นตัวส่งเสริมคะแนนนิยมของทรัมป์ ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
    .
    การคืนสู่อำนาจของทรัมป์ เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาชาติเพื่อนบ้านและทั่วโลก แต่ผลสำรวจพบว่ามีอเมริกันชนเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนแผนขยายเขตแดนอเมริกาของทรัมป์ เช่นเดียวกับมาตรการรีดภาษีที่อาจทำให้ราคาเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น
    .
    ผลสำรวจพบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 16% ที่เห็นด้วยกับถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ว่า สหรัฐฯ ควรกดดันให้เดนมาร์ก ยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่อเมริกา
    .
    เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องควบคุมเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เพื่อรับประกันความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก และ กรีนแลนด์ บอกว่าเกาะยักษ์แห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย
    .
    ขณะเดียวกัน มีเพียงราว 29% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่บอกว่าสหรัฐฯ ควรทวงคืนการควบคุมคลองปานามา มาจากปานามา อีกหนึ่งเป้าหมายระหว่างประเทศของทรัมป์ อเมริกายอมปล่อยมือการควบคุมน่านน้ำยุทธศาสตร์แห่งนี้ให้แก่แคนาดาในปี 1999 แต่ ทรัมป์ กล่าวหา ปานามา ยกให้จีนดูแลปฏิบัติการต่างๆ ของคลองแห่งนี้ คำกล่าวหาที่ทางรัฐบาลปานามาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006615
    ..............
    Sondhi X
    มีอเมริกันชนราว 47% ที่เห็นชอบการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ หลังจากเขาคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาณบ่งชี้ว่าประเทศแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว หลังตัวแทนจากรีพับลิกันคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน จากผลโพลของรอยเตอร์/อิปซอส ที่ปิดการสำรวจในวันอังคาร (21 ม.ค.) . ผลสำรวจที่ดำเนินการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) และวันอังคาร (21 ม.ค.) ตามหลัง ทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี แสดงให้เห็นว่าคะแนนนิยมของเขาสูงกว่าตลอดช่วงเวลาเกือบทั้งหมดในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017-2021 . อย่างไรก็ตาม ผลโพลพบด้วยว่าชาวอเมริกาพากันขุ่นเคืองต่อความเคลื่อนไหวแรกๆ บางอย่างของประธานาธิบดีรายนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ตอบแบบสอบถามราว 58% บอกว่า ทรัมป์ ไม่ควรนิรโทษกรรมทุกคนที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดทางอาญา ระหว่างเหตุจลาจลบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 . ทรัมป์ ดำเนินการดังกล่าว นิรโทษกรรมเหล่าผู้สนับสนุนเกือบ 1,600 ราย ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา ร่วมกันปิดล้อมอาคารรัฐสภา ไม่กี่ชั่วโมงหลังดำรงตำแหน่งสมัย 2 อย่างเป็นทางการ ในระหว่างที่กำลังจัดทำโพล . มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 29% ที่เห็นชอบแนวทางของทรัมป์ ในการจัดการกับสิ่งที่รับรู้กันว่าเป็นระบบตุลาการเชิงการเมือง ทรัมป์กล่าวหา โจ ไบเดน ผู้นำคนก่อนก่อความบิดเบี้ยวแก่กระบวนการยุติธรรม ด้วยความพยายามดำเนินคดีต่างๆ กับเขา ในเจตนาขัดขวางเขาจากการดำรงตำแหน่ง ข้อกล่าวหาที่ทางฝั่งเดโมแครตปฏิเสธ นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังบอกว่าเขาอาจใช้ระบบยุติธรรมหาทางแก้แค้นคู่ปรับทางการเมืองด้วย . พวกผู้ตอบแบบสอบถามให้การสนับสนุนแนวทางทรัมป์ มากกว่าในการจัดการกับประเด็นอื่นๆ โดยมี 46% ที่เห็นชอบแนวทางการรับมือพวกผู้อพยพของทรัมป์ ประเด็นที่อเมริกันชนจำนวนมากอยากเห็นมันเป็นประเด็นที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในลำดับสูงสุด . ทรัมป์ คว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้ง 2024 เหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากเดโมแครต ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 312 ต่อ 226 เสียง แต่ในส่วนของคะแนนป็อบปูลาร์โหวตนั้น เขาได้คะแนนเสียงแค่ 49.8% เฉือน แฮร์ริส ที่ได้ไป 48.3% . ผลสำรวจเท่ากับเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับทรัมป์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นวาระดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ด้วยคะแนนนิยม 43% ก่อนคะแนนนิยมจะดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 49% ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ปิดฉากการเป็นประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 34% ตามหลังเหตุปิดล้อมอาคารรัฐสภา พยายามโค่นล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . คล้ายกับ ไบเดน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) คะแนนนิยมของทรัมป์ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 45% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการดำรงตำแหน่งสมัยแรก และเคยดำดิ่งลงไปในระดับต่ำสุดเหลือแค่ 33% ในเดือนธันวาคม 2017 . ไบเดน เริ่มต้นทำหน้าที่ประธานาธิบดี ด้วยคะแนนนิยม 55% แต่เรตติ้งของเขาปักหัวลงอย่างรวดเร็ว และเคยดำดิ่งแตะระดับแค่ 35% ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ภาวะที่ไม่ได้รับความนิยมของตัวแทนจากพรรคเดโมแครตรายนี้ ถูกมองอย่างกว้างขวางว่ากลายเป็นตัวส่งเสริมคะแนนนิยมของทรัมป์ ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง . การคืนสู่อำนาจของทรัมป์ เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาชาติเพื่อนบ้านและทั่วโลก แต่ผลสำรวจพบว่ามีอเมริกันชนเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนแผนขยายเขตแดนอเมริกาของทรัมป์ เช่นเดียวกับมาตรการรีดภาษีที่อาจทำให้ราคาเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น . ผลสำรวจพบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ 16% ที่เห็นด้วยกับถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ว่า สหรัฐฯ ควรกดดันให้เดนมาร์ก ยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่อเมริกา . เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐฯ มีความจำเป็นต้องควบคุมเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เพื่อรับประกันความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก และ กรีนแลนด์ บอกว่าเกาะยักษ์แห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย . ขณะเดียวกัน มีเพียงราว 29% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่บอกว่าสหรัฐฯ ควรทวงคืนการควบคุมคลองปานามา มาจากปานามา อีกหนึ่งเป้าหมายระหว่างประเทศของทรัมป์ อเมริกายอมปล่อยมือการควบคุมน่านน้ำยุทธศาสตร์แห่งนี้ให้แก่แคนาดาในปี 1999 แต่ ทรัมป์ กล่าวหา ปานามา ยกให้จีนดูแลปฏิบัติการต่างๆ ของคลองแห่งนี้ คำกล่าวหาที่ทางรัฐบาลปานามาปฏิเสธโดยสิ้นเชิงเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006615 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1362 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 3
    นี่ก็เป็นอีกบทเพลงหนึ่งในตำนาน ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราปวงชนชาวไทย
    ว่าที่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายทั่วทั้งโลกใบนี้ ว่าท่านเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริงๆๆ
    โดยได้มีการจัดการถ่ายทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งจะไม่เหมือนกับเก่าก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่มีความก้าวล้ำหน้า และทันสมัยเหมือนกับในปัจจุบันนั่นเอง
    ในยูทูปที่ชื่อ LOVE ETERNALLY (เพื่อพ่อตลอดไป)- PAUL EWING - For His Majesty King Of Thailand, 2014
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 3 นี่ก็เป็นอีกบทเพลงหนึ่งในตำนาน ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราปวงชนชาวไทย ว่าที่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายทั่วทั้งโลกใบนี้ ว่าท่านเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริงๆๆ โดยได้มีการจัดการถ่ายทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งจะไม่เหมือนกับเก่าก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่มีความก้าวล้ำหน้า และทันสมัยเหมือนกับในปัจจุบันนั่นเอง ในยูทูปที่ชื่อ LOVE ETERNALLY (เพื่อพ่อตลอดไป)- PAUL EWING - For His Majesty King Of Thailand, 2014
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค)
    .
    เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี
    .
    เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น
    .
    ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน
    .
    เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต
    .
    ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา
    .
    “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว
    .
    ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา
    .
    ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน
    .
    อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989
    .
    โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
    .
    โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา
    .
    ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา”
    .
    บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน”
    .
    และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว”
    .
    “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด”
    .
    เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช”
    .
    เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค) . เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี . เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น . ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน . เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต . ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า . เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที . บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา . “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว . ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา . ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน . อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989 . โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล . โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา . ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา” . บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน” . และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว” . “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด” . เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช” . เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 895 มุมมอง 0 รีวิว
  • Facebook, X (หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ Twitter), YouTube และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ตกลงที่จะเข้มงวดมากขึ้นในการจัดการกับการพูดดูถูกเกลียดชังในออนไลน์! ภายใต้กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า Digital Services Act (DSA) บริษัทเหล่านี้ต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายบนแพลตฟอร์มของพวกเขา

    นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังได้ลงนามในข้อตกลงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อัปเดตในเดือนพฤษภาคม 2016 ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้หน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรือหน่วยงานสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญในการพูดเกลียดชังออนไลน์ตรวจสอบวิธีการที่พวกเขาตรวจสอบการแจ้งเตือนการพูดเกลียดชัง และประเมินการแจ้งเตือนอย่างน้อยสองในสามภายใน 24 ชั่วโมง

    การใช้เครื่องมือการตรวจจับอัตโนมัติจะช่วยลดการพูดเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม และบริษัทจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของระบบแนะนำเนื้อหาและการเข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายก่อนที่จะถูกลบออก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/20/facebook-x-youtube-to-do-more-against-online-hate-speech-eu-says
    Facebook, X (หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ Twitter), YouTube และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ตกลงที่จะเข้มงวดมากขึ้นในการจัดการกับการพูดดูถูกเกลียดชังในออนไลน์! ภายใต้กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า Digital Services Act (DSA) บริษัทเหล่านี้ต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายบนแพลตฟอร์มของพวกเขา นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังได้ลงนามในข้อตกลงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อัปเดตในเดือนพฤษภาคม 2016 ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้หน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรือหน่วยงานสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญในการพูดเกลียดชังออนไลน์ตรวจสอบวิธีการที่พวกเขาตรวจสอบการแจ้งเตือนการพูดเกลียดชัง และประเมินการแจ้งเตือนอย่างน้อยสองในสามภายใน 24 ชั่วโมง การใช้เครื่องมือการตรวจจับอัตโนมัติจะช่วยลดการพูดเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม และบริษัทจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของระบบแนะนำเนื้อหาและการเข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายก่อนที่จะถูกลบออก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/20/facebook-x-youtube-to-do-more-against-online-hate-speech-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Facebook, X, YouTube to do more against online hate speech, EU says
    BRUSSELS (Reuters) - Meta's Facebook, Elon Musk's X, Google's YouTube and other tech companies have agreed to do more to tackle online hate speech under an updated code of conduct that will now be integrated into EU tech rules, the European Commission said on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI กำลังเตรียมเปิดตัว AI ตัวใหม่ที่ชื่อว่า "Operator" ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้อย่างอัตโนมัติ! Operator นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ในการจัดการงานที่ต้องการความรู้และความเข้าใจลึกซึ้ง โดยมีความสามารถเทียบเท่ากับระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว

    การเปิดตัว Operator นี้เป็นการก้าวสำคัญในวงการ AI เพราะมันสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันในวงการ AI ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะบริษัทอื่น ๆ อย่าง Anthropic และ Google ก็กำลังพัฒนา AI ที่มีความสามารถคล้ายกัน

    https://wccftech.com/meet-operator-openais-game-changing-autonomous-ai-super-agent-for-tackling-complex-tasks/
    OpenAI กำลังเตรียมเปิดตัว AI ตัวใหม่ที่ชื่อว่า "Operator" ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนได้อย่างอัตโนมัติ! Operator นี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้ในการจัดการงานที่ต้องการความรู้และความเข้าใจลึกซึ้ง โดยมีความสามารถเทียบเท่ากับระดับปริญญาเอกเลยทีเดียว การเปิดตัว Operator นี้เป็นการก้าวสำคัญในวงการ AI เพราะมันสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันในวงการ AI ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เพราะบริษัทอื่น ๆ อย่าง Anthropic และ Google ก็กำลังพัฒนา AI ที่มีความสามารถคล้ายกัน https://wccftech.com/meet-operator-openais-game-changing-autonomous-ai-super-agent-for-tackling-complex-tasks/
    WCCFTECH.COM
    Meet 'Operator,' OpenAI's Game-Changing Autonomous AI Super Agent For Tackling Complex Tasks
    OpenAI is said to be working on advanced AI agents that are said to offer super intelligence by handling tasks autonomously for users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • MAXSUN ได้กลับมาผลิตการ์ดจอ NVIDIA GT 730 อีกครั้ง! การ์ดจอรุ่นนี้เคยเป็นที่นิยมในปี 2014 และตอนนี้พวกเขาได้เปิดตัวรุ่นใหม่สองรุ่นในประเทศจีน คือ MS-GT730 PH 4 GB และ MS-GT730 PH 2 GB ซึ่งมีราคาประมาณ 49 ดอลลาร์สหรัฐและ 45 ดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ

    การ์ดจอเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีเก่าอย่าง GPU "Kepler 2.0" ของ NVIDIA ซึ่งไม่ได้รับการอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ตั้งแต่ปี 2021 และการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดคือไดรเวอร์ 473.47 WHQL MAXSUN ได้รีไซเคิลการออกแบบการ์ดจอรุ่นเก่าเพื่อเปิดตัวในตลาดปี 2025 เนื่องจากความต้องการจากการจัดการห่วงโซ่อุปทานภายใน

    นอกจากนี้ การ์ดจอรุ่นใหม่เหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับรุ่นเก่า ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจ การกลับมาของการ์ดจอรุ่นเก่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามมากเลยทีเดียว!

    https://www.techpowerup.com/331356/maxsun-dips-back-into-nvidia-gt-730-gpu-pool
    MAXSUN ได้กลับมาผลิตการ์ดจอ NVIDIA GT 730 อีกครั้ง! การ์ดจอรุ่นนี้เคยเป็นที่นิยมในปี 2014 และตอนนี้พวกเขาได้เปิดตัวรุ่นใหม่สองรุ่นในประเทศจีน คือ MS-GT730 PH 4 GB และ MS-GT730 PH 2 GB ซึ่งมีราคาประมาณ 49 ดอลลาร์สหรัฐและ 45 ดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ การ์ดจอเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีเก่าอย่าง GPU "Kepler 2.0" ของ NVIDIA ซึ่งไม่ได้รับการอัปเดตไดรเวอร์ใหม่ตั้งแต่ปี 2021 และการอัปเดตความปลอดภัยล่าสุดคือไดรเวอร์ 473.47 WHQL MAXSUN ได้รีไซเคิลการออกแบบการ์ดจอรุ่นเก่าเพื่อเปิดตัวในตลาดปี 2025 เนื่องจากความต้องการจากการจัดการห่วงโซ่อุปทานภายใน นอกจากนี้ การ์ดจอรุ่นใหม่เหล่านี้ยังมีประสิทธิภาพที่สอดคล้องกับรุ่นเก่า ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจ การกลับมาของการ์ดจอรุ่นเก่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามมากเลยทีเดียว! https://www.techpowerup.com/331356/maxsun-dips-back-into-nvidia-gt-730-gpu-pool
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MAXSUN Dips Back into NVIDIA GT 730 GPU Pool
    Recent MAXSUN activities have been very Intel Arc "Battlemage" B-series GPU-focused—most notably, a leaked design that leverages dual M.2 slots. Earlier today, ITHome reported on the fresh retail release of two sort-of-new MAXSUN graphics cards in China (on JD.com)—MS-GT730 PH 4 GB (¥359/~US$49) and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts