• สนธิเล่าเรื่อง 8-12-68
    .
    คลิก https://www.youtube.com/watch?v=6rE2gNjsqsc
    สนธิเล่าเรื่อง 8-12-68 . คลิก https://www.youtube.com/watch?v=6rE2gNjsqsc
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 8-12-68
    .
    ช่วงเช้าวันนี้ (8 ธ.ค.) สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเดือดสุด ๆ หลังจากที่มีการปะทะกันตั้งแต่เช้าตรู่ ตี 5 วงประชุมของคุณสนธิ อ.ปานเทพ และทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิเช้านี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าเป็นข้าวผัดกระเพราคลุกไก่หุบบอน จึงอัพเดตสถานการณ์ พูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ... จะพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง และคุณสนธิมีทัศนะต่อสถานการณ์เรื่องนี้ว่าอย่างไร ต้องไปติดตาม
    .
    คลิกชม >>https://www.youtube.com/watch?v=6rE2gNjsqsc
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #สงครามไทยเขมร #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    สนธิเล่าเรื่อง 8-12-68 . ช่วงเช้าวันนี้ (8 ธ.ค.) สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเดือดสุด ๆ หลังจากที่มีการปะทะกันตั้งแต่เช้าตรู่ ตี 5 วงประชุมของคุณสนธิ อ.ปานเทพ และทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิเช้านี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าเป็นข้าวผัดกระเพราคลุกไก่หุบบอน จึงอัพเดตสถานการณ์ พูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ... จะพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง และคุณสนธิมีทัศนะต่อสถานการณ์เรื่องนี้ว่าอย่างไร ต้องไปติดตาม . คลิกชม >>https://www.youtube.com/watch?v=6rE2gNjsqsc . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #สงครามไทยเขมร #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน! กองทัพภาคที่ 2 แจ้งเตือนทุกหน่วยงานยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย เน้นคุ้มครองอาคารราชการสำคัญ และป้องกันการกระทำที่อาจก่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กองทัพย้ำปฏิบัติเต็มกำลัง เพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของประเทศ
    .
    BREAKING! The 2nd Army Region has issued an alert for all relevant agencies to heighten security measures. The directive focuses on strengthening protection of key government facilities and preventing any hostile actions that could endanger lives or damage property. The Army reaffirms its full commitment to safeguarding the people and defending Thailand’s sovereignty.
    .
    #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    ด่วน! กองทัพภาคที่ 2 แจ้งเตือนทุกหน่วยงานยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย เน้นคุ้มครองอาคารราชการสำคัญ และป้องกันการกระทำที่อาจก่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กองทัพย้ำปฏิบัติเต็มกำลัง เพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของประเทศ . BREAKING! The 2nd Army Region has issued an alert for all relevant agencies to heighten security measures. The directive focuses on strengthening protection of key government facilities and preventing any hostile actions that could endanger lives or damage property. The Army reaffirms its full commitment to safeguarding the people and defending Thailand’s sovereignty. . #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหลี่ยมทุกดอก สว.สีน้ำเงิน กอดอำนาจผ่านเกมแก้รัฐธรรมนูญ, สัปดาห์แตกหักแก้รธน. สว.สีน้ำเงินเดินเกมหนัก ขอคงอำนาจสภาสูง–องค์กรอิสระครบวาระ ก่อนถึงวันโหวตวาระสามที่เดิมพันทั้งฉบับ
    .
    อ่านต่อ…..https://news1live.com/detail/9680000117481
    .
    #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #การเมืองไทย #รัฐธรรมนูญ #สว #สภาสูง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    เหลี่ยมทุกดอก สว.สีน้ำเงิน กอดอำนาจผ่านเกมแก้รัฐธรรมนูญ, สัปดาห์แตกหักแก้รธน. สว.สีน้ำเงินเดินเกมหนัก ขอคงอำนาจสภาสูง–องค์กรอิสระครบวาระ ก่อนถึงวันโหวตวาระสามที่เดิมพันทั้งฉบับ . อ่านต่อ…..https://news1live.com/detail/9680000117481 . #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #การเมืองไทย #รัฐธรรมนูญ #สว #สภาสูง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียด ปะทะต่อเนื่องจนมีพลเรือนเสียชีวิต 1 รายระหว่างอพยพ ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาทันควัน อ้างฝ่ายไทยบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างสถานการณ์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000117537

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียด ปะทะต่อเนื่องจนมีพลเรือนเสียชีวิต 1 รายระหว่างอพยพ ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาทันควัน อ้างฝ่ายไทยบิดเบือนข้อมูลเพื่อสร้างสถานการณ์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000117537 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายแดนศรีสะเกษระอุ กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนทหารไทยเจ็บ 2 นายกฯ เรียกประชุมด่วน กลาโหมงัดหลักฐานโต้กลับคำกล่าวหาบิดเบือน เตรียมชี้แจงเวทียูเอ็น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000117541

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ชายแดนศรีสะเกษระอุ กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนทหารไทยเจ็บ 2 นายกฯ เรียกประชุมด่วน กลาโหมงัดหลักฐานโต้กลับคำกล่าวหาบิดเบือน เตรียมชี้แจงเวทียูเอ็น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000117541 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 นำ Agenda View กลับมา แต่ใช้ WebView 2

    Microsoft กำลังนำฟีเจอร์ Agenda View กลับคืนสู่ Windows 11 หลังจากที่เคยถูกถอดออกไปตั้งแต่เปิดตัวในปี 2021 โดยฟีเจอร์นี้เคยอยู่ใน Action Center ของ Windows 10 และช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูตารางนัดหมายได้สะดวกขึ้น แต่การกลับมาครั้งนี้มีความแตกต่าง เพราะ Microsoft เลือกใช้ WebView 2 Runtime ในการแสดงผลแทนที่จะสร้างเป็นระบบ Native โดยตรง

    การทดสอบพบว่า เมื่อเปิด Agenda View จะมีการสร้างหลาย Process ของ WebView 2 ใน Task Manager และทำให้ Windows Shell Experience Host ใช้ CPU เพิ่มขึ้นถึง 6–20% ก่อนจะค่อยๆ ลดลง ซึ่งหมายความว่าฟีเจอร์นี้อาจมีผลต่อประสิทธิภาพเครื่อง โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่มีสเปกต่ำหรือใช้งานหลายโปรแกรมพร้อมกัน

    อย่างไรก็ตาม Microsoft มีเหตุผลที่เลือกใช้ WebView 2 เพราะช่วยลดต้นทุนการพัฒนา และทำให้การเชื่อมต่อกับบริการ Outlook และ Microsoft Teams ง่ายขึ้น รวมถึงการฝัง Copilot เข้าไปใน Agenda View เพื่อช่วยผู้ใช้จัดการตารางงานได้อัตโนมัติ เช่น การเข้าร่วมประชุม Teams ได้ทันทีจาก Notification Center โดยไม่ต้องเปิดแอปแยก

    แม้จะมีข้อดีด้านการเชื่อมต่อและการพัฒนา แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังคงกังวลเรื่อง Performance Overhead ที่อาจทำให้ระบบไม่ลื่นไหลเหมือนการทำงานแบบ Native App ซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft ต้องหาทางปรับปรุงต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การกลับมาของ Agenda View บน Windows 11
    ฟีเจอร์นี้เคยมีใน Windows 10 และถูกถอดออกไปเมื่อเปิดตัว Windows 11

    ใช้ WebView 2 Runtime แทน Native App
    ช่วยลดต้นทุนการพัฒนา และทำให้เชื่อมต่อกับ Outlook, Teams และ Copilot ได้ง่ายขึ้น

    การทำงานร่วมกับ Microsoft 365 Copilot
    ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมประชุม Teams ได้ทันทีจาก Agenda View

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพระบบ
    การใช้ WebView 2 ทำให้ CPU พุ่งขึ้น 6–20% และอาจทำให้เครื่องหน่วง

    ข้อกังวลจากผู้ใช้
    ฟีเจอร์ที่ทำงานผ่าน WebView 2 มักไม่ลื่นไหลเท่ากับ Native App และอาจกระทบประสบการณ์ใช้งาน

    https://securityonline.info/windows-11-agenda-view-is-back-but-built-on-webview-2-with-performance-overhead/
    🖥️ Windows 11 นำ Agenda View กลับมา แต่ใช้ WebView 2 Microsoft กำลังนำฟีเจอร์ Agenda View กลับคืนสู่ Windows 11 หลังจากที่เคยถูกถอดออกไปตั้งแต่เปิดตัวในปี 2021 โดยฟีเจอร์นี้เคยอยู่ใน Action Center ของ Windows 10 และช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูตารางนัดหมายได้สะดวกขึ้น แต่การกลับมาครั้งนี้มีความแตกต่าง เพราะ Microsoft เลือกใช้ WebView 2 Runtime ในการแสดงผลแทนที่จะสร้างเป็นระบบ Native โดยตรง การทดสอบพบว่า เมื่อเปิด Agenda View จะมีการสร้างหลาย Process ของ WebView 2 ใน Task Manager และทำให้ Windows Shell Experience Host ใช้ CPU เพิ่มขึ้นถึง 6–20% ก่อนจะค่อยๆ ลดลง ซึ่งหมายความว่าฟีเจอร์นี้อาจมีผลต่อประสิทธิภาพเครื่อง โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่มีสเปกต่ำหรือใช้งานหลายโปรแกรมพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม Microsoft มีเหตุผลที่เลือกใช้ WebView 2 เพราะช่วยลดต้นทุนการพัฒนา และทำให้การเชื่อมต่อกับบริการ Outlook และ Microsoft Teams ง่ายขึ้น รวมถึงการฝัง Copilot เข้าไปใน Agenda View เพื่อช่วยผู้ใช้จัดการตารางงานได้อัตโนมัติ เช่น การเข้าร่วมประชุม Teams ได้ทันทีจาก Notification Center โดยไม่ต้องเปิดแอปแยก แม้จะมีข้อดีด้านการเชื่อมต่อและการพัฒนา แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังคงกังวลเรื่อง Performance Overhead ที่อาจทำให้ระบบไม่ลื่นไหลเหมือนการทำงานแบบ Native App ซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft ต้องหาทางปรับปรุงต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การกลับมาของ Agenda View บน Windows 11 ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยมีใน Windows 10 และถูกถอดออกไปเมื่อเปิดตัว Windows 11 ✅ ใช้ WebView 2 Runtime แทน Native App ➡️ ช่วยลดต้นทุนการพัฒนา และทำให้เชื่อมต่อกับ Outlook, Teams และ Copilot ได้ง่ายขึ้น ✅ การทำงานร่วมกับ Microsoft 365 Copilot ➡️ ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมประชุม Teams ได้ทันทีจาก Agenda View ‼️ ผลกระทบต่อประสิทธิภาพระบบ ⛔ การใช้ WebView 2 ทำให้ CPU พุ่งขึ้น 6–20% และอาจทำให้เครื่องหน่วง ‼️ ข้อกังวลจากผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์ที่ทำงานผ่าน WebView 2 มักไม่ลื่นไหลเท่ากับ Native App และอาจกระทบประสบการณ์ใช้งาน https://securityonline.info/windows-11-agenda-view-is-back-but-built-on-webview-2-with-performance-overhead/
    SECURITYONLINE.INFO
    Windows 11 Agenda View is Back, But Built on WebView 2 with Performance Overhead
    Windows 11's missing Agenda View returns, but its WebView 2 implementation causes high CPU usage. Microsoft accepts the trade-off for easier Copilot/Teams integration.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน WatchGuard Firebox เสี่ยง DoS และ RCE ผ่าน IKEv2

    WatchGuard Technologies ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับ 5 ช่องโหว่ร้ายแรง ที่พบในผลิตภัณฑ์ Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่เหล่านี้สามารถถูกใช้โจมตีเพื่อทำให้บริการ VPN ล่ม (DoS), รันโค้ดอันตราย (RCE) และสั่งการแทรกคำสั่งในระบบบริหารจัดการได้ ซึ่งบริษัทได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในอัปเดตเดือนธันวาคม 2025

    หนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดคือ CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) ซึ่งเกิดจาก Memory Corruption ในโปรโตคอล IKEv2 ที่ใช้เชื่อมต่อ VPN โดยผู้โจมตีที่ไม่ต้องมีสิทธิ์สามารถทำให้ VPN ขององค์กรล่มได้ทั้ง Mobile User VPN และ Branch Office VPN ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อองค์กรที่พึ่งพา VPN ในการทำงานระยะไกล

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่กระทบต่อ Firebox Management Interface เช่น XPath Injection (CVE-2025-1545) ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox และ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ที่ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีผู้ดูแลระบบถูกแฮ็ก

    ช่องโหว่เหล่านี้กระทบกับหลายเวอร์ชันของ Fireware OS ได้แก่ 12.x (ถึง 12.11.4), 12.5.x (ถึง 12.5.13) และ 2025.1 (ถึง 2025.1.2) โดย WatchGuard ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 12.11.5, 12.5.14 (สำหรับ T15/T35) และ 2025.1.3 เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ Memory Corruption ใน IKEv2 (CVE-2025-11838)
    ผู้โจมตีไม่ต้องมีสิทธิ์ก็สามารถทำให้ VPN ล่มได้

    XPath Injection (CVE-2025-1545)
    เปิดช่องให้ดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox

    CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195)
    ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีถูกแฮ็ก

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    Fireware OS 12.x, 12.5.x และ 2025.1 ก่อนเวอร์ชันล่าสุด

    แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว
    Fireware OS 12.11.5, 12.5.14 และ 2025.1.3

    ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ VPN
    อาจถูกโจมตีจน VPN ล่มซ้ำๆ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

    ความเสี่ยงจากบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮ็ก
    อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายและเข้าถึงระบบลึกขึ้น

    https://securityonline.info/high-severity-watchguard-flaws-risk-vpn-dos-and-rce-via-ikev2-memory-corruption/
    🔒 ช่องโหว่ร้ายแรงใน WatchGuard Firebox เสี่ยง DoS และ RCE ผ่าน IKEv2 WatchGuard Technologies ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับ 5 ช่องโหว่ร้ายแรง ที่พบในผลิตภัณฑ์ Firebox ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Fireware OS โดยช่องโหว่เหล่านี้สามารถถูกใช้โจมตีเพื่อทำให้บริการ VPN ล่ม (DoS), รันโค้ดอันตราย (RCE) และสั่งการแทรกคำสั่งในระบบบริหารจัดการได้ ซึ่งบริษัทได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในอัปเดตเดือนธันวาคม 2025 หนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดคือ CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) ซึ่งเกิดจาก Memory Corruption ในโปรโตคอล IKEv2 ที่ใช้เชื่อมต่อ VPN โดยผู้โจมตีที่ไม่ต้องมีสิทธิ์สามารถทำให้ VPN ขององค์กรล่มได้ทั้ง Mobile User VPN และ Branch Office VPN ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อองค์กรที่พึ่งพา VPN ในการทำงานระยะไกล นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่กระทบต่อ Firebox Management Interface เช่น XPath Injection (CVE-2025-1545) ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox และ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ที่ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีผู้ดูแลระบบถูกแฮ็ก ช่องโหว่เหล่านี้กระทบกับหลายเวอร์ชันของ Fireware OS ได้แก่ 12.x (ถึง 12.11.4), 12.5.x (ถึง 12.5.13) และ 2025.1 (ถึง 2025.1.2) โดย WatchGuard ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 12.11.5, 12.5.14 (สำหรับ T15/T35) และ 2025.1.3 เพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ Memory Corruption ใน IKEv2 (CVE-2025-11838) ➡️ ผู้โจมตีไม่ต้องมีสิทธิ์ก็สามารถทำให้ VPN ล่มได้ ✅ XPath Injection (CVE-2025-1545) ➡️ เปิดช่องให้ดึงข้อมูลสำคัญจากการตั้งค่า Firebox ✅ CLI Command Injection (CVE-2025-12026 & CVE-2025-12195) ➡️ ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถรันโค้ดอันตรายได้หากบัญชีถูกแฮ็ก ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Fireware OS 12.x, 12.5.x และ 2025.1 ก่อนเวอร์ชันล่าสุด ✅ แพตช์แก้ไขที่ออกแล้ว ➡️ Fireware OS 12.11.5, 12.5.14 และ 2025.1.3 ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ VPN ⛔ อาจถูกโจมตีจน VPN ล่มซ้ำๆ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ‼️ ความเสี่ยงจากบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกแฮ็ก ⛔ อาจถูกใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายและเข้าถึงระบบลึกขึ้น https://securityonline.info/high-severity-watchguard-flaws-risk-vpn-dos-and-rce-via-ikev2-memory-corruption/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity WatchGuard Flaws Risk VPN DoS and RCE via IKEv2 Memory Corruption
    WatchGuard patched five flaws in Fireware OS. CVE-2025-11838 (CVSS 8.7) allows unauthenticated VPN DoS, while CLI Command Injection risks RCE in the management interface. Update immediately to v2025.1.3.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java (CVE-2025-66566) ทำข้อมูลรั่วจากหน่วยความจำ

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java ซึ่งเป็นไลบรารี Java สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วยอัลกอริทึม LZ4 โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66566 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 8.2 ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความลับของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ

    ปัญหาหลักเกิดจากการที่ output buffer ไม่ถูกเคลียร์อย่างเหมาะสม ระหว่างการดีบีบอัดข้อมูล ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้าง input ที่ถูกปรับแต่งเพื่อบังคับให้ตัวถอดรหัสอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญจากการทำงานก่อนหน้า เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือข้อมูลผู้ใช้

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อแอปพลิเคชันเลือกใช้ การ recycle buffer เพื่อประหยัดหน่วยความจำ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเก่าที่ไม่ได้ถูกล้างออกยังคงอยู่และถูกส่งออกมาเป็นผลลัพธ์การดีบีบอัดโดยไม่ตั้งใจ

    ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน lz4-java 1.10.1 โดยไม่ต้องเปลี่ยนโค้ดของผู้ใช้ หากไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ยังสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-66566 ใน lz4-java
    เกิดจากการไม่เคลียร์ output buffer อย่างถูกต้อง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส และข้อมูลผู้ใช้ อาจรั่วไหลออกมา

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    lz4-java 1.10.0 และเวอร์ชันก่อนหน้า

    การแก้ไขที่ปลอดภัย
    อัปเดตเป็น lz4-java 1.10.1 หรือทำการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน

    ความเสี่ยงต่อระบบที่ recycle buffer
    อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกส่งออกโดยไม่ตั้งใจ

    ความเข้าใจผิดของนักพัฒนา
    การใช้ fastestInstance() อาจยังคง fallback ไปใช้โค้ด Java ที่มีช่องโหว่ หาก JNI ไม่รองรับ

    https://securityonline.info/high-severity-lz4-java-flaw-cve-2025-66566-leaks-uninitialized-memory-during-decompression/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java (CVE-2025-66566) ทำข้อมูลรั่วจากหน่วยความจำ มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน lz4-java ซึ่งเป็นไลบรารี Java สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วยอัลกอริทึม LZ4 โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66566 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 8.2 ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความลับของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหลักเกิดจากการที่ output buffer ไม่ถูกเคลียร์อย่างเหมาะสม ระหว่างการดีบีบอัดข้อมูล ทำให้ผู้โจมตีสามารถสร้าง input ที่ถูกปรับแต่งเพื่อบังคับให้ตัวถอดรหัสอ่านข้อมูลจากหน่วยความจำที่ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญจากการทำงานก่อนหน้า เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือข้อมูลผู้ใช้ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อแอปพลิเคชันเลือกใช้ การ recycle buffer เพื่อประหยัดหน่วยความจำ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลเก่าที่ไม่ได้ถูกล้างออกยังคงอยู่และถูกส่งออกมาเป็นผลลัพธ์การดีบีบอัดโดยไม่ตั้งใจ ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน lz4-java 1.10.1 โดยไม่ต้องเปลี่ยนโค้ดของผู้ใช้ หากไม่สามารถอัปเดตได้ทันที ยังสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-66566 ใน lz4-java ➡️ เกิดจากการไม่เคลียร์ output buffer อย่างถูกต้อง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส และข้อมูลผู้ใช้ อาจรั่วไหลออกมา ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ lz4-java 1.10.0 และเวอร์ชันก่อนหน้า ✅ การแก้ไขที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตเป็น lz4-java 1.10.1 หรือทำการ zeroing buffer ก่อนใช้งาน ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบที่ recycle buffer ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเก่าถูกส่งออกโดยไม่ตั้งใจ ‼️ ความเข้าใจผิดของนักพัฒนา ⛔ การใช้ fastestInstance() อาจยังคง fallback ไปใช้โค้ด Java ที่มีช่องโหว่ หาก JNI ไม่รองรับ https://securityonline.info/high-severity-lz4-java-flaw-cve-2025-66566-leaks-uninitialized-memory-during-decompression/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity lz4-java Flaw (CVE-2025-66566) Leaks Uninitialized Memory During Decompression
    A High-severity flaw (CVE-2025-66566) in lz4-java allows remote attackers to read uninitialized memory (passwords/keys) from recycled buffers during decompression. Update to v1.10.1 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654)

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล

    ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา

    แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory

    ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool
    เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6

    การแก้ไขที่ปลอดภัย
    อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository

    ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก
    หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที
    ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ

    https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    💽 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654) มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool ➡️ เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6 ✅ การแก้ไขที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก ⛔ หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที ⛔ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Duc Disk Tool Flaw (CVE-2025-13654) Risks DoS and Information Leak via Integer Underflow
    A High-severity flaw (CVE-2025-13654) in the Duc disk usage tool risks DoS and information leaks. An integer underflow in buffer.c allows out-of-bounds memory read. Update to v1.4.6 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทั้งบริเวณช่องอานม้า เนิน 677 ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา และปราสาทตาเมือนธม
    ขอส่งกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนและอธิปไตย
    .
    BREAKING! Reports indicate heightened tension along multiple border areas —
    including Chong Ar Ma, Hill 677, Huai Ta Maria, Phueng Khana, and Prasat Ta Muen Thom.
    Our thoughts are with all Thai soldiers safeguarding the people and the nation’s sovereignty.
    .
    #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    ทั้งบริเวณช่องอานม้า เนิน 677 ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา และปราสาทตาเมือนธม ขอส่งกำลังใจให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนและอธิปไตย . BREAKING! Reports indicate heightened tension along multiple border areas — including Chong Ar Ma, Hill 677, Huai Ta Maria, Phueng Khana, and Prasat Ta Muen Thom. Our thoughts are with all Thai soldiers safeguarding the people and the nation’s sovereignty. . #news1 #news1live #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย #กองทัพภาคที่2 #กองทัพไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT

    ChatGPT ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ค้นหาข้อมูลไปจนถึงวางแผนงาน แต่บทความนี้ชี้ว่า หลายคำถามไม่ควรถามกับ ChatGPT เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้มองว่า ChatGPT เป็น “ผู้รู้ทุกเรื่อง” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงสูง

    หนึ่งในข้อควรระวังคือ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อายุ หรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เพราะการสนทนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเสมอไป และมีกรณีที่ข้อมูลรั่วไหลจากการแฮ็กหรือบั๊กในระบบ นอกจากนี้ ChatGPT อาจ “จำ” และนำข้อมูลที่เคยได้รับไปใช้ซ้ำในบริบทอื่นโดยไม่ตั้งใจ

    อีกประเด็นคือ คำถามที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม เช่น การขอคำแนะนำเรื่องยาเสพติดหรือการทำผิดกฎหมาย ถึงแม้ระบบจะมีข้อจำกัด แต่ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงที่บางคนใช้ ซึ่งเสี่ยงทั้งต่อการถูกดำเนินคดีและการได้รับข้อมูลผิดๆ ที่อันตรายต่อชีวิต

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่ควรถาม เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ ความสัมพันธ์ การเงิน กฎหมาย และการทำนายอนาคต เพราะ ChatGPT ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และมีแนวโน้มให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต

    14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT
    ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่ระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลบัตรเครดิต
    รหัสผ่านหรือข้อมูลบัญชีออนไลน์ เพราะอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ตั้งใจหรือเสี่ยงต่อการรั่วไหล
    คำแนะนำทางการแพทย์ ChatGPT ไม่ใช่แพทย์ และอาจให้ข้อมูลผิดพลาดที่เป็นอันตราย
    คำแนะนำด้านสุขภาพจิต ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญได้
    คำแนะนำทางกฎหมาย อาจให้ข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่สามารถใช้แทนทนายความได้
    คำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน มีความเสี่ยงสูงที่จะให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม
    คำถามเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย เช่น วิธีแฮ็ก การใช้ยาเสพติด หรือการก่ออาชญากรรม
    ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทหรือองค์กร เช่น โค้ดภายใน เอกสารลับ หรือข้อมูลลูกค้า
    การทำนายอนาคต ChatGPT ไม่มีความสามารถในการคาดการณ์ที่แม่นยำ
    คำถามเกี่ยวกับการเมืองที่อ่อนไหว อาจให้ข้อมูลที่มีอคติหรือไม่ถูกต้อง
    การใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การปฐมพยาบาลหรือการรับมือภัยพิบัติ
    คำถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การตัดสินใจเรื่องคู่ครองหรือครอบครัว
    การขอข้อมูลจาก Dark Web หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายและผิดกฎหมาย
    การใช้ ChatGPT เป็น “ผู้ตัดสินใจแทน” ไม่ควรฝากการตัดสินใจสำคัญให้กับ AI ที่อาจให้ข้อมูลผิดพลาด


    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลส่วนตัวไม่ควรใส่ใน ChatGPT
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลและถูกนำไปใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ

    ไม่ควรถามเรื่องผิดกฎหมาย
    ข้อมูลการสนทนาอาจถูกใช้เป็นหลักฐาน และคำตอบอาจผิดพลาด

    ไม่ควรใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลที่มีการคุ้มครอง
    เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือโค้ดลับของบริษัท

    คำแนะนำทางการแพทย์และสุขภาพจิต
    ChatGPT อาจให้ข้อมูลผิดและไม่สามารถแทนผู้เชี่ยวชาญได้

    เรื่องความสัมพันธ์และการเงิน
    มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรืออคติ

    การใช้ ChatGPT ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
    คำตอบผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

    การขอให้ทำนายอนาคตหรือเรื่องการเมือง
    ChatGPT มีอคติและไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำได้

    https://www.slashgear.com/2042576/never-ask-chatgpt-these-things/
    🚫 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT ChatGPT ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ค้นหาข้อมูลไปจนถึงวางแผนงาน แต่บทความนี้ชี้ว่า หลายคำถามไม่ควรถามกับ ChatGPT เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้มองว่า ChatGPT เป็น “ผู้รู้ทุกเรื่อง” ทั้งที่จริงๆ แล้วมันยังมีข้อจำกัดและความเสี่ยงสูง หนึ่งในข้อควรระวังคือ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อายุ หรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เพราะการสนทนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเสมอไป และมีกรณีที่ข้อมูลรั่วไหลจากการแฮ็กหรือบั๊กในระบบ นอกจากนี้ ChatGPT อาจ “จำ” และนำข้อมูลที่เคยได้รับไปใช้ซ้ำในบริบทอื่นโดยไม่ตั้งใจ อีกประเด็นคือ คำถามที่ผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม เช่น การขอคำแนะนำเรื่องยาเสพติดหรือการทำผิดกฎหมาย ถึงแม้ระบบจะมีข้อจำกัด แต่ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงที่บางคนใช้ ซึ่งเสี่ยงทั้งต่อการถูกดำเนินคดีและการได้รับข้อมูลผิดๆ ที่อันตรายต่อชีวิต นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ไม่ควรถาม เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ ความสัมพันธ์ การเงิน กฎหมาย และการทำนายอนาคต เพราะ ChatGPT ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และมีแนวโน้มให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต 📝 14 เรื่องที่ไม่ควรถาม ChatGPT ❓ ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่ระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลบัตรเครดิต ❓ รหัสผ่านหรือข้อมูลบัญชีออนไลน์ เพราะอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ตั้งใจหรือเสี่ยงต่อการรั่วไหล ❓ คำแนะนำทางการแพทย์ ChatGPT ไม่ใช่แพทย์ และอาจให้ข้อมูลผิดพลาดที่เป็นอันตราย ❓ คำแนะนำด้านสุขภาพจิต ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญได้ ❓ คำแนะนำทางกฎหมาย อาจให้ข้อมูลไม่ถูกต้องและไม่สามารถใช้แทนทนายความได้ ❓ คำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน มีความเสี่ยงสูงที่จะให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม ❓ คำถามเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย เช่น วิธีแฮ็ก การใช้ยาเสพติด หรือการก่ออาชญากรรม ❓ ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทหรือองค์กร เช่น โค้ดภายใน เอกสารลับ หรือข้อมูลลูกค้า ❓ การทำนายอนาคต ChatGPT ไม่มีความสามารถในการคาดการณ์ที่แม่นยำ ❓ คำถามเกี่ยวกับการเมืองที่อ่อนไหว อาจให้ข้อมูลที่มีอคติหรือไม่ถูกต้อง ❓ การใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การปฐมพยาบาลหรือการรับมือภัยพิบัติ ❓ คำถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การตัดสินใจเรื่องคู่ครองหรือครอบครัว ❓ การขอข้อมูลจาก Dark Web หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายและผิดกฎหมาย ❓ การใช้ ChatGPT เป็น “ผู้ตัดสินใจแทน” ไม่ควรฝากการตัดสินใจสำคัญให้กับ AI ที่อาจให้ข้อมูลผิดพลาด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลส่วนตัวไม่ควรใส่ใน ChatGPT ➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลและถูกนำไปใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ ไม่ควรถามเรื่องผิดกฎหมาย ➡️ ข้อมูลการสนทนาอาจถูกใช้เป็นหลักฐาน และคำตอบอาจผิดพลาด ✅ ไม่ควรใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลที่มีการคุ้มครอง ➡️ เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือโค้ดลับของบริษัท ✅ คำแนะนำทางการแพทย์และสุขภาพจิต ➡️ ChatGPT อาจให้ข้อมูลผิดและไม่สามารถแทนผู้เชี่ยวชาญได้ ✅ เรื่องความสัมพันธ์และการเงิน ➡️ มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรืออคติ ‼️ การใช้ ChatGPT ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ⛔ คำตอบผิดพลาดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ‼️ การขอให้ทำนายอนาคตหรือเรื่องการเมือง ⛔ ChatGPT มีอคติและไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำได้ https://www.slashgear.com/2042576/never-ask-chatgpt-these-things/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    14 Things You Should Never Ask ChatGPT - SlashGear
    Many people trust chatbots without thinking twice. Here’s a grounded look at why that trust can fail and what’s worth handling offline.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Goodbye Microsoft: Schleswig-Holstein หันพึ่ง Open Source

    รัฐบาลท้องถิ่น Schleswig-Holstein ในเยอรมนีตัดสินใจ ย้ายออกจาก Microsoft และหันมาใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแทน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้โอเพนซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่

    การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมถึง ความปลอดภัยและความโปร่งใส เนื่องจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบไม่มีการฝังฟังก์ชันที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถควบคุมและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง

    นอกจากนี้ การใช้โอเพนซอร์สยังช่วยสร้าง ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ลดการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายเดียว และเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ในท้องถิ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภูมิภาคได้

    แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีความท้าทาย เช่น การฝึกอบรมบุคลากรและการปรับระบบงาน แต่ Schleswig-Holstein มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ทั้งในด้านการเงิน ความปลอดภัย และความยั่งยืนของระบบดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การย้ายออกจาก Microsoft
    Schleswig-Holstein เลือกใช้โอเพนซอร์สแทน

    ประหยัดค่าใช้จ่าย
    ลดค่าไลเซนส์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร

    ความปลอดภัยและความโปร่งใส
    โค้ดโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบได้ ลดความเสี่ยงจากฟังก์ชันแอบแฝง

    ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
    ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่ และสนับสนุนการพัฒนาในท้องถิ่น

    ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน
    ต้องฝึกอบรมบุคลากรและปรับระบบงานให้เข้ากับซอฟต์แวร์ใหม่

    https://www.heise.de/en/news/Goodbye-Microsoft-Schleswig-Holstein-relies-on-Open-Source-and-saves-millions-11105459.html
    💶 Goodbye Microsoft: Schleswig-Holstein หันพึ่ง Open Source รัฐบาลท้องถิ่น Schleswig-Holstein ในเยอรมนีตัดสินใจ ย้ายออกจาก Microsoft และหันมาใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแทน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มหันมาใช้โอเพนซอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมถึง ความปลอดภัยและความโปร่งใส เนื่องจากซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบไม่มีการฝังฟังก์ชันที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถควบคุมและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ การใช้โอเพนซอร์สยังช่วยสร้าง ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ลดการผูกขาดกับผู้ให้บริการรายเดียว และเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ในท้องถิ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภูมิภาคได้ แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีความท้าทาย เช่น การฝึกอบรมบุคลากรและการปรับระบบงาน แต่ Schleswig-Holstein มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า ทั้งในด้านการเงิน ความปลอดภัย และความยั่งยืนของระบบดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การย้ายออกจาก Microsoft ➡️ Schleswig-Holstein เลือกใช้โอเพนซอร์สแทน ✅ ประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ ลดค่าไลเซนส์ได้มากถึง 15 ล้านยูโร ✅ ความปลอดภัยและความโปร่งใส ➡️ โค้ดโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบได้ ลดความเสี่ยงจากฟังก์ชันแอบแฝง ✅ ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ➡️ ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่ และสนับสนุนการพัฒนาในท้องถิ่น ‼️ ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน ⛔ ต้องฝึกอบรมบุคลากรและปรับระบบงานให้เข้ากับซอฟต์แวร์ใหม่ https://www.heise.de/en/news/Goodbye-Microsoft-Schleswig-Holstein-relies-on-Open-Source-and-saves-millions-11105459.html
    WWW.HEISE.DE
    Goodbye, Microsoft: Schleswig-Holstein relies on Open Source and saves millions
    Schleswig-Holstein saves 15 million euros in license costs by migrating from Microsoft to free software. The conversion is significantly cheaper.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทย-กัมพูชา ยังตึงเครียด พลเรือนตาย 1 ระหว่างอพยพ เขมรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสถานการณ์ชายแดนยังเดือด เกิดเหตุยิงหลายระลอกจากฝั่งกัมพูชาในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และช่องอานม้า ทำให้ประชาชนกว่า 70% ต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิต 1 รายระหว่างการเคลื่อนย้าย ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธข้อมูลไทยทั้งหมดและมองว่าเป็นการบิดเบือนสถานการณ์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117546
    .
    #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #สถานการณ์ชายแดน #เหตุยิงชายแดน #อพยพประชาชน #บุรีรัมย์ #สุรินทร์ #ช่องอานม้า #กระทรวงกลาโหมกัมพูชา #ความมั่นคง #ติดตามสถานการณ์ #กองทัพภาคที่2 #ศูนย์พักพิงชั่วคราว #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    ไทย-กัมพูชา ยังตึงเครียด พลเรือนตาย 1 ระหว่างอพยพ เขมรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาสถานการณ์ชายแดนยังเดือด เกิดเหตุยิงหลายระลอกจากฝั่งกัมพูชาในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และช่องอานม้า ทำให้ประชาชนกว่า 70% ต้องอพยพออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิต 1 รายระหว่างการเคลื่อนย้าย ขณะที่กัมพูชาปฏิเสธข้อมูลไทยทั้งหมดและมองว่าเป็นการบิดเบือนสถานการณ์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117546 . #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #สถานการณ์ชายแดน #เหตุยิงชายแดน #อพยพประชาชน #บุรีรัมย์ #สุรินทร์ #ช่องอานม้า #กระทรวงกลาโหมกัมพูชา #ความมั่นคง #ติดตามสถานการณ์ #กองทัพภาคที่2 #ศูนย์พักพิงชั่วคราว #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหตุเขมรยิงก่อน แพ้ราบคาบที่ยูเอ็น โดนแฉหลักฐานวางทุ่นระเบิดปะทะชายแดนศรีสะเกษเดือด ทหารไทยถูกยิงเจ็บ 2 นาย ขณะกัมพูชายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดว่าถูกโจมตีก่อน และตั้งข้อสังเกตอาจโยงการประชุมอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดที่ยูเอ็น นายกฯ เรียกประชุมด่วนและเตรียมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117543
    .
    #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate
    #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูผาเหล็ก #ทุ่นระเบิด #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    เหตุเขมรยิงก่อน แพ้ราบคาบที่ยูเอ็น โดนแฉหลักฐานวางทุ่นระเบิดปะทะชายแดนศรีสะเกษเดือด ทหารไทยถูกยิงเจ็บ 2 นาย ขณะกัมพูชายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดว่าถูกโจมตีก่อน และตั้งข้อสังเกตอาจโยงการประชุมอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดที่ยูเอ็น นายกฯ เรียกประชุมด่วนและเตรียมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000117543 . #News1live #News1 #truthfromthailand #newsupdate #ชายแดนไทยกัมพูชา #ภูผาเหล็ก #ทุ่นระเบิด #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #shorts #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง #ปกป้องอธิปไตย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • GPTZero พบ 50+ Hallucinations ใน ICLR 2026

    การประชุม International Conference on Learning Representations (ICLR) ถือเป็นหนึ่งในเวทีวิชาการด้าน Machine Learning ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่รายงานจาก GPTZero ชี้ว่า ระบบ Peer Review กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากการใช้ AI ในการเขียนบทความทำให้เกิดปัญหา “AI Slop” หรือเนื้อหาที่มีการอ้างอิงผิดพลาดและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

    GPTZero ใช้เครื่องมือ Citation Check สแกนบทความกว่า 300 เรื่องที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 และพบว่า 90 เรื่องมีการอ้างอิงที่น่าสงสัย โดยหลังการตรวจสอบจากมนุษย์ พบว่า 50 เรื่องมีการอ้างอิงที่เป็น Hallucination จริง ซึ่งน่ากังวลเพราะบทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่กลับไม่ถูกตรวจพบ

    ความหมายของ Hallucination ใน AI
    Hallucination (ภาพหลอนของ AI) คือปรากฏการณ์ที่โมเดล AI โดยเฉพาะ Generative AI เช่น ChatGPT หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สร้างคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดหรือแต่งขึ้นมาเอง
    ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงบทความที่ไม่มีอยู่จริง, การให้ข้อมูลตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง, หรือการสร้างชื่อบุคคล/งานวิจัยที่ไม่เคยมีจริง

    สิ่งที่น่าตกใจคือ บางบทความที่มีการอ้างอิงผิดพลาดยังได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติม นี่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่งานวิชาการคุณภาพต่ำอาจเล็ดลอดเข้าสู่เวทีระดับโลก

    GPTZero ประเมินว่า จากจำนวนบทความที่ส่งเข้าร่วมกว่า 20,000 เรื่อง อาจมีบทความที่มี Hallucination หลายร้อยเรื่อง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไข อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของวงการวิจัย AI และ Machine Learning ในระดับสากล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบของ GPTZero
    พบ Hallucinations มากกว่า 50 เรื่องในบทความที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026

    การตรวจสอบที่ล้มเหลว
    บทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่ไม่ถูกตรวจพบ

    ความเสี่ยงต่อคุณภาพงานวิจัย
    บางบทความที่มีอ้างอิงผิดพลาดยังได้คะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10

    ขอบเขตของปัญหา
    จาก 20,000 บทความที่ส่งเข้าร่วม อาจมีหลายร้อยเรื่องที่มี Hallucinations

    ผลกระทบต่อวงการวิชาการ
    อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย AI และ Machine Learning ลดลง

    ความท้าทายของ Peer Review
    ผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่สามารถตรวจจับการอ้างอิงผิดพลาดที่เกิดจาก AI ได้ทั้งหมด

    https://gptzero.me/news/iclr-2026/
    📚 GPTZero พบ 50+ Hallucinations ใน ICLR 2026 การประชุม International Conference on Learning Representations (ICLR) ถือเป็นหนึ่งในเวทีวิชาการด้าน Machine Learning ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่รายงานจาก GPTZero ชี้ว่า ระบบ Peer Review กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากการใช้ AI ในการเขียนบทความทำให้เกิดปัญหา “AI Slop” หรือเนื้อหาที่มีการอ้างอิงผิดพลาดและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง GPTZero ใช้เครื่องมือ Citation Check สแกนบทความกว่า 300 เรื่องที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 และพบว่า 90 เรื่องมีการอ้างอิงที่น่าสงสัย โดยหลังการตรวจสอบจากมนุษย์ พบว่า 50 เรื่องมีการอ้างอิงที่เป็น Hallucination จริง ซึ่งน่ากังวลเพราะบทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่กลับไม่ถูกตรวจพบ 🤖 ความหมายของ Hallucination ใน AI 💠 Hallucination (ภาพหลอนของ AI) คือปรากฏการณ์ที่โมเดล AI โดยเฉพาะ Generative AI เช่น ChatGPT หรือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สร้างคำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดหรือแต่งขึ้นมาเอง 💠 ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงบทความที่ไม่มีอยู่จริง, การให้ข้อมูลตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง, หรือการสร้างชื่อบุคคล/งานวิจัยที่ไม่เคยมีจริง สิ่งที่น่าตกใจคือ บางบทความที่มีการอ้างอิงผิดพลาดยังได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติม นี่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่งานวิชาการคุณภาพต่ำอาจเล็ดลอดเข้าสู่เวทีระดับโลก GPTZero ประเมินว่า จากจำนวนบทความที่ส่งเข้าร่วมกว่า 20,000 เรื่อง อาจมีบทความที่มี Hallucination หลายร้อยเรื่อง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไข อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของวงการวิจัย AI และ Machine Learning ในระดับสากล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบของ GPTZero ➡️ พบ Hallucinations มากกว่า 50 เรื่องในบทความที่ส่งเข้าร่วม ICLR 2026 ✅ การตรวจสอบที่ล้มเหลว ➡️ บทความเหล่านี้ผ่านการรีวิวจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3–5 คน แต่ไม่ถูกตรวจพบ ✅ ความเสี่ยงต่อคุณภาพงานวิจัย ➡️ บางบทความที่มีอ้างอิงผิดพลาดยังได้คะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงถึง 8/10 ✅ ขอบเขตของปัญหา ➡️ จาก 20,000 บทความที่ส่งเข้าร่วม อาจมีหลายร้อยเรื่องที่มี Hallucinations ‼️ ผลกระทบต่อวงการวิชาการ ⛔ อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย AI และ Machine Learning ลดลง ‼️ ความท้าทายของ Peer Review ⛔ ผู้ทรงคุณวุฒิอาจไม่สามารถตรวจจับการอ้างอิงผิดพลาดที่เกิดจาก AI ได้ทั้งหมด https://gptzero.me/news/iclr-2026/
    GPTZERO.ME
    GPTZero uncovers 50+ Hallucinations in ICLR 2026
    GPTZero used our Hallucination Check tool to find 50+ hallucinations under review at ICLR, each of which were missed by 3-5 peer reviewers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Titans + MIRAS: ก้าวใหม่ของความทรงจำระยะยาวใน AI

    Google Research เปิดตัวสถาปัตยกรรม Titans และกรอบแนวคิด MIRAS เพื่อแก้ปัญหาการจัดการข้อมูลในลำดับยาวที่โมเดล Transformer แบบดั้งเดิมมักเจอข้อจำกัด เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการคำนวณเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความยาวของ sequence ขยายตัว ทำให้ยากต่อการใช้งานในงานที่ต้องการการเข้าใจทั้งเอกสารหรือข้อมูลเชิงลึก เช่น การวิเคราะห์จีโนม

    Titans ถูกออกแบบให้ผสมผสานความเร็วของ RNNs เข้ากับความแม่นยำของ Transformers โดยเพิ่มโมดูลความจำระยะยาวที่ทำงานเหมือน multi-layer perceptron (MLP) ซึ่งมีพลังในการสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบทสำคัญ ขณะเดียวกัน MIRAS ทำหน้าที่เป็นกรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลสามารถอัปเดตความจำได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “surprise metric” ในการเลือกเก็บข้อมูลที่สำคัญหรือผิดคาดเข้าสู่ความจำถาวร

    จุดเด่นคือโมเดลไม่เพียงแต่เก็บข้อมูล แต่ยังสามารถ เรียนรู้ความสัมพันธ์และธีมหลัก ที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที พร้อมทั้งมีระบบ momentum เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง และ forgetting gate เพื่อจัดการความจำที่มีขีดจำกัด

    MIRAS ยังนำเสนอการมองใหม่ต่อ sequence modeling โดยมองว่าโมเดลทุกแบบคือการออกแบบหน่วยความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ที่ต้องหาสมดุลระหว่างการเรียนรู้ใหม่กับการรักษาความรู้เดิม ทำให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและทรงพลังมากขึ้น เช่น YAAD, MONETA และ MEMORA ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน

    ผลการทดลองแสดงว่า Titans และ MIRAS variants สามารถทำงานได้ดีกว่าโมเดลล้ำสมัยอื่นๆ เช่น Transformer++ และ Mamba-2 โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ long-context reasoning เช่นการประมวลผลเอกสารที่มีข้อมูลยาวกว่า 2 ล้าน tokens ซึ่ง Titans สามารถทำงานได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่าแม้เทียบกับโมเดลขนาดใหญ่เช่น GPT-4

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Titans Architecture
    เพิ่มโมดูลความจำระยะยาวแบบ MLP เพื่อสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบท

    MIRAS Framework
    กรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลอัปเดตความจำแบบเรียลไทม์ด้วย “surprise metric”

    กลไกสำคัญ
    Momentum สำหรับเก็บข้อมูลต่อเนื่อง และ Forgetting Gate สำหรับลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น

    โมเดลใหม่จาก MIRAS
    YAAD, MONETA, MEMORA ถูกออกแบบเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน

    ผลการทดลอง
    Titans และ MIRAS variants ทำงานได้ดีกว่า Transformer++ และ Mamba-2 ในงาน long-context reasoning

    ข้อท้าทาย
    การจัดการความจำที่มีขีดจำกัดยังต้องพึ่งกลไกการลืม (weight decay) เพื่อไม่ให้ระบบล้นข้อมูล

    https://research.google/blog/titans-miras-helping-ai-have-long-term-memory/
    🧠 Titans + MIRAS: ก้าวใหม่ของความทรงจำระยะยาวใน AI Google Research เปิดตัวสถาปัตยกรรม Titans และกรอบแนวคิด MIRAS เพื่อแก้ปัญหาการจัดการข้อมูลในลำดับยาวที่โมเดล Transformer แบบดั้งเดิมมักเจอข้อจำกัด เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการคำนวณเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความยาวของ sequence ขยายตัว ทำให้ยากต่อการใช้งานในงานที่ต้องการการเข้าใจทั้งเอกสารหรือข้อมูลเชิงลึก เช่น การวิเคราะห์จีโนม Titans ถูกออกแบบให้ผสมผสานความเร็วของ RNNs เข้ากับความแม่นยำของ Transformers โดยเพิ่มโมดูลความจำระยะยาวที่ทำงานเหมือน multi-layer perceptron (MLP) ซึ่งมีพลังในการสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบทสำคัญ ขณะเดียวกัน MIRAS ทำหน้าที่เป็นกรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลสามารถอัปเดตความจำได้แบบเรียลไทม์ โดยใช้แนวคิด “surprise metric” ในการเลือกเก็บข้อมูลที่สำคัญหรือผิดคาดเข้าสู่ความจำถาวร จุดเด่นคือโมเดลไม่เพียงแต่เก็บข้อมูล แต่ยังสามารถ เรียนรู้ความสัมพันธ์และธีมหลัก ที่เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที พร้อมทั้งมีระบบ momentum เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง และ forgetting gate เพื่อจัดการความจำที่มีขีดจำกัด MIRAS ยังนำเสนอการมองใหม่ต่อ sequence modeling โดยมองว่าโมเดลทุกแบบคือการออกแบบหน่วยความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ที่ต้องหาสมดุลระหว่างการเรียนรู้ใหม่กับการรักษาความรู้เดิม ทำให้สามารถสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและทรงพลังมากขึ้น เช่น YAAD, MONETA และ MEMORA ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน ผลการทดลองแสดงว่า Titans และ MIRAS variants สามารถทำงานได้ดีกว่าโมเดลล้ำสมัยอื่นๆ เช่น Transformer++ และ Mamba-2 โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ long-context reasoning เช่นการประมวลผลเอกสารที่มีข้อมูลยาวกว่า 2 ล้าน tokens ซึ่ง Titans สามารถทำงานได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่าแม้เทียบกับโมเดลขนาดใหญ่เช่น GPT-4 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Titans Architecture ➡️ เพิ่มโมดูลความจำระยะยาวแบบ MLP เพื่อสรุปข้อมูลจำนวนมากโดยไม่สูญเสียบริบท ✅ MIRAS Framework ➡️ กรอบทฤษฎีที่ช่วยให้โมเดลอัปเดตความจำแบบเรียลไทม์ด้วย “surprise metric” ✅ กลไกสำคัญ ➡️ Momentum สำหรับเก็บข้อมูลต่อเนื่อง และ Forgetting Gate สำหรับลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น ✅ โมเดลใหม่จาก MIRAS ➡️ YAAD, MONETA, MEMORA ถูกออกแบบเพื่อทดสอบแนวทางการจัดการความจำที่แตกต่างกัน ✅ ผลการทดลอง ➡️ Titans และ MIRAS variants ทำงานได้ดีกว่า Transformer++ และ Mamba-2 ในงาน long-context reasoning ‼️ ข้อท้าทาย ⛔ การจัดการความจำที่มีขีดจำกัดยังต้องพึ่งกลไกการลืม (weight decay) เพื่อไม่ให้ระบบล้นข้อมูล https://research.google/blog/titans-miras-helping-ai-have-long-term-memory/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Second IC: Homemade Silicon Chips โดย Sam Zeloof

    บทความนี้เล่าเรื่องการสร้างชิปทรานซิสเตอร์กว่า 1,000 ตัวด้วยกระบวนการ DIY โดย Sam Zeloof ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการทำ Integrated Circuit (IC) แบบโฮมเมด

    Sam Zeloof นักทดลองด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มทำชิปตั้งแต่สมัยมัธยม ได้เผยแพร่ผลงานใหม่ชื่อ Z2 ซึ่งเป็นชิปที่มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการ DIY ในโรงงานเล็กๆ ที่บ้าน โดยใช้เทคนิค polysilicon gate process ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ Intel ใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นแรกๆ อย่าง Intel 4004

    ก่อนหน้านี้ Sam เคยสร้าง Z1 amplifier ที่มีเพียง 6 ทรานซิสเตอร์เพื่อทดสอบกระบวนการ แต่ครั้งนี้เขาสามารถเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ได้มหาศาล ทำให้เข้าใกล้การสร้างวงจรที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นหน่วยความจำหรือวงจรดิจิทัลเต็มรูปแบบ

    สิ่งที่โดดเด่นคือการเปลี่ยนจาก metal gate ไปเป็น polysilicon gate ทำให้ชิปใหม่มี threshold voltage (Vth) ต่ำลง และสามารถทำงานร่วมกับแรงดันมาตรฐาน 2.5V–3.3V ได้ ต่างจากรุ่นก่อนที่ต้องใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงถึง 9V เพื่อให้ทำงานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า leakage current ต่ำมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีเกินคาดสำหรับการผลิตแบบโฮมเมด

    Sam ใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist รวมถึงการซื้อเวเฟอร์ที่มีการเคลือบชั้น polysilicon และ SiO₂ มาแล้วจากโรงงาน เพื่อลดขั้นตอนที่อันตรายและซับซ้อน เขายังใช้ซอฟต์แวร์ง่ายๆ อย่าง Photoshop ในการออกแบบ layout ของชิป

    แม้ผลลัพธ์ยังมีข้อจำกัด เช่น yield ต่ำและความผิดพลาดในการจัดเรียงเลเยอร์ แต่การที่สามารถสร้างชิปที่มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1,000 ตัวได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน ถือเป็นการพิสูจน์ว่า DIY IC fabrication สามารถก้าวไปไกลกว่าการทดลองเล็กๆ และอาจเปิดทางให้ผู้สนใจทั่วโลกได้ลองทำสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Z2 Chip
    มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตด้วยกระบวนการ DIY

    Polysilicon Gate Process
    ทำให้ threshold voltage ต่ำลงและรองรับแรงดันมาตรฐาน 2.5–3.3V

    คุณสมบัติเด่น
    leakage current ต่ำมาก, rise/fall time < 10 ns

    เครื่องมือที่ใช้
    อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist

    ข้อจำกัดของกระบวนการ DIY
    yield ต่ำ, alignment ของเลเยอร์ไม่สมบูรณ์ และยังไม่รองรับ CMOS เต็มรูปแบบ

    https://sam.zeloof.xyz/second-ic/
    🔬 Second IC: Homemade Silicon Chips โดย Sam Zeloof บทความนี้เล่าเรื่องการสร้างชิปทรานซิสเตอร์กว่า 1,000 ตัวด้วยกระบวนการ DIY โดย Sam Zeloof ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการทำ Integrated Circuit (IC) แบบโฮมเมด Sam Zeloof นักทดลองด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มทำชิปตั้งแต่สมัยมัธยม ได้เผยแพร่ผลงานใหม่ชื่อ Z2 ซึ่งเป็นชิปที่มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการ DIY ในโรงงานเล็กๆ ที่บ้าน โดยใช้เทคนิค polysilicon gate process ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่ Intel ใช้ในโปรเซสเซอร์รุ่นแรกๆ อย่าง Intel 4004 ก่อนหน้านี้ Sam เคยสร้าง Z1 amplifier ที่มีเพียง 6 ทรานซิสเตอร์เพื่อทดสอบกระบวนการ แต่ครั้งนี้เขาสามารถเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ได้มหาศาล ทำให้เข้าใกล้การสร้างวงจรที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่นหน่วยความจำหรือวงจรดิจิทัลเต็มรูปแบบ สิ่งที่โดดเด่นคือการเปลี่ยนจาก metal gate ไปเป็น polysilicon gate ทำให้ชิปใหม่มี threshold voltage (Vth) ต่ำลง และสามารถทำงานร่วมกับแรงดันมาตรฐาน 2.5V–3.3V ได้ ต่างจากรุ่นก่อนที่ต้องใช้แบตเตอรี่แรงดันสูงถึง 9V เพื่อให้ทำงานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า leakage current ต่ำมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีเกินคาดสำหรับการผลิตแบบโฮมเมด Sam ใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist รวมถึงการซื้อเวเฟอร์ที่มีการเคลือบชั้น polysilicon และ SiO₂ มาแล้วจากโรงงาน เพื่อลดขั้นตอนที่อันตรายและซับซ้อน เขายังใช้ซอฟต์แวร์ง่ายๆ อย่าง Photoshop ในการออกแบบ layout ของชิป แม้ผลลัพธ์ยังมีข้อจำกัด เช่น yield ต่ำและความผิดพลาดในการจัดเรียงเลเยอร์ แต่การที่สามารถสร้างชิปที่มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 1,000 ตัวได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐาน ถือเป็นการพิสูจน์ว่า DIY IC fabrication สามารถก้าวไปไกลกว่าการทดลองเล็กๆ และอาจเปิดทางให้ผู้สนใจทั่วโลกได้ลองทำสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Z2 Chip ➡️ มีทรานซิสเตอร์กว่า 1,200 ตัว ผลิตด้วยกระบวนการ DIY ✅ Polysilicon Gate Process ➡️ ทำให้ threshold voltage ต่ำลงและรองรับแรงดันมาตรฐาน 2.5–3.3V ✅ คุณสมบัติเด่น ➡️ leakage current ต่ำมาก, rise/fall time < 10 ns ✅ เครื่องมือที่ใช้ ➡️ อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น microscope, hotplate, tube furnace และ photoresist ‼️ ข้อจำกัดของกระบวนการ DIY ⛔ yield ต่ำ, alignment ของเลเยอร์ไม่สมบูรณ์ และยังไม่รองรับ CMOS เต็มรูปแบบ https://sam.zeloof.xyz/second-ic/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Screenshots from Developers: 2002 vs. 2015

    บทความนี้นำเสนอภาพเปรียบเทียบจากนักพัฒนาในปี 2002 และ 2015 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการทำงานและเครื่องมือที่ใช้ในวงการซอฟต์แวร์ตลอดระยะเวลา 13 ปี แม้จะเป็น “คนกลุ่มเดิม” แต่ภาพที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการทำงาน

    ในปี 2002 นักพัฒนามักทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปกจำกัด หน้าจอเล็ก และใช้เครื่องมือที่เรียบง่าย เช่น editor พื้นฐานหรือ IDE ที่ยังไม่ซับซ้อนมากนัก ขณะที่ในปี 2015 ภาพที่ปรากฏคือการทำงานบนเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น และมีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เช่น Git, Docker, และระบบ CI/CD ที่ช่วยให้การพัฒนาและทดสอบซอฟต์แวร์มีความคล่องตัวมากขึ้น

    นอกจากเทคโนโลยีแล้ว บทความยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป จากการทำงานแบบเดี่ยวหรือทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมที่ใหญ่ขึ้น มีการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และการทำงานแบบ remote ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงปี 2010s

    การเปรียบเทียบนี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของนักพัฒนาและวงการซอฟต์แวร์ที่ต้องเดินไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือพัฒนา
    จาก editor พื้นฐานในปี 2002 สู่ IDE และเครื่องมือทันสมัยในปี 2015

    ฮาร์ดแวร์และสภาพแวดล้อมการทำงาน
    จากเครื่องสเปกต่ำและหน้าจอเล็ก สู่เครื่องที่ทรงพลังและหน้าจอใหญ่ขึ้น

    วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป
    จากทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมใหญ่และการทำงานแบบ remote

    ข้อท้าทายของการเปลี่ยนผ่าน
    นักพัฒนาต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ๆ และการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://anders.unix.se/2015/12/10/screenshots-from-developers--2002-vs.-2015/
    🖼️ Screenshots from Developers: 2002 vs. 2015 บทความนี้นำเสนอภาพเปรียบเทียบจากนักพัฒนาในปี 2002 และ 2015 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมการทำงานและเครื่องมือที่ใช้ในวงการซอฟต์แวร์ตลอดระยะเวลา 13 ปี แม้จะเป็น “คนกลุ่มเดิม” แต่ภาพที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการทำงาน ในปี 2002 นักพัฒนามักทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสเปกจำกัด หน้าจอเล็ก และใช้เครื่องมือที่เรียบง่าย เช่น editor พื้นฐานหรือ IDE ที่ยังไม่ซับซ้อนมากนัก ขณะที่ในปี 2015 ภาพที่ปรากฏคือการทำงานบนเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น และมีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เช่น Git, Docker, และระบบ CI/CD ที่ช่วยให้การพัฒนาและทดสอบซอฟต์แวร์มีความคล่องตัวมากขึ้น นอกจากเทคโนโลยีแล้ว บทความยังสะท้อนถึง วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป จากการทำงานแบบเดี่ยวหรือทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมที่ใหญ่ขึ้น มีการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และการทำงานแบบ remote ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงปี 2010s การเปรียบเทียบนี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของนักพัฒนาและวงการซอฟต์แวร์ที่ต้องเดินไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือพัฒนา ➡️ จาก editor พื้นฐานในปี 2002 สู่ IDE และเครื่องมือทันสมัยในปี 2015 ✅ ฮาร์ดแวร์และสภาพแวดล้อมการทำงาน ➡️ จากเครื่องสเปกต่ำและหน้าจอเล็ก สู่เครื่องที่ทรงพลังและหน้าจอใหญ่ขึ้น ✅ วัฒนธรรมการทำงานที่เปลี่ยนไป ➡️ จากทีมเล็กๆ สู่การทำงานร่วมกันในทีมใหญ่และการทำงานแบบ remote ‼️ ข้อท้าทายของการเปลี่ยนผ่าน ⛔ นักพัฒนาต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ๆ และการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น https://anders.unix.se/2015/12/10/screenshots-from-developers--2002-vs.-2015/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Past Was Not That Cute – Julia Wise

    บทความนี้โดย Julia Wise พูดถึงการมองย้อนอดีตผ่านกระแส cottagecore และความโรแมนติกที่ผู้คนมักมีต่อ “ชีวิตเรียบง่ายในอดีต” แต่เธอชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้วอดีตเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคม ไม่ได้สวยงามอย่างที่ภาพจำบอกไว้

    Julia ยกตัวอย่างจาก Laura Ingalls Wilder ผู้เขียน Little House on the Prairie ที่เล่าเรื่องครอบครัวพยายามดิ้นรนในยุคบุกเบิก แม้หนังสือจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่เบื้องหลังคือความจริงอันโหดร้าย เช่น การล้มเหลวของพืชผลต่อเนื่องหลายปี ดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 36% และสุขภาพที่ทรุดโทรมจากการทำงานหนัก

    เธอยังสะท้อนถึง ความเข้าใจผิดเรื่องบุคลิกคนในอดีต ที่มักถูกโรแมนติไซส์ผ่านเพลงพื้นบ้านและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วสังคมเล็กๆ ในอดีตเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น การเลือกคู่ที่จำกัดในกลุ่มเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่คน และการที่ผู้หญิงมักถูกกดทับด้วยบทบาทครอบครัวและงานบ้านมากกว่าที่เราจินตนาการ

    ท้ายที่สุด Julia ย้ำว่า แม้เราจะยังคงสนุกกับการดึงแรงบันดาลใจจากอดีต เช่น การทำขนมปังเองหรือเล่นดนตรีร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า ความสะดวกสบายในปัจจุบัน เช่น ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการรักษาทางทันตกรรม คือสิ่งที่ทำให้เรามีอิสระในการเลือก “สุนทรียะ” โดยไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากแบบคนรุ่นก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cottagecore และภาพจำอดีต
    ผู้คนมักโรแมนติไซส์อดีตว่าเรียบง่ายและอบอุ่น

    ความจริงเบื้องหลัง Little House on the Prairie
    ครอบครัว Wilder ต้องเผชิญ crop failure ต่อเนื่องและดอกเบี้ยสูง

    บุคลิกและชีวิตคนในอดีต
    สังคมเล็กๆ มีข้อจำกัดมาก ทั้งการเลือกคู่และบทบาทผู้หญิง

    คุณค่าของความสะดวกสบายปัจจุบัน
    ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการแพทย์ทำให้เรามีอิสระในการเลือกสุนทรียะ

    ความเสี่ยงจากการโรแมนติไซส์อดีตเกินจริง
    อาจทำให้มองข้ามความยากลำบากและความไม่เท่าเทียมที่คนรุ่นก่อนเผชิญ

    https://juliawise.net/the-past-was-not-that-cute/
    🏡 The Past Was Not That Cute – Julia Wise บทความนี้โดย Julia Wise พูดถึงการมองย้อนอดีตผ่านกระแส cottagecore และความโรแมนติกที่ผู้คนมักมีต่อ “ชีวิตเรียบง่ายในอดีต” แต่เธอชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้วอดีตเต็มไปด้วยความลำบาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคม ไม่ได้สวยงามอย่างที่ภาพจำบอกไว้ Julia ยกตัวอย่างจาก Laura Ingalls Wilder ผู้เขียน Little House on the Prairie ที่เล่าเรื่องครอบครัวพยายามดิ้นรนในยุคบุกเบิก แม้หนังสือจะเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่เบื้องหลังคือความจริงอันโหดร้าย เช่น การล้มเหลวของพืชผลต่อเนื่องหลายปี ดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 36% และสุขภาพที่ทรุดโทรมจากการทำงานหนัก เธอยังสะท้อนถึง ความเข้าใจผิดเรื่องบุคลิกคนในอดีต ที่มักถูกโรแมนติไซส์ผ่านเพลงพื้นบ้านและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วสังคมเล็กๆ ในอดีตเต็มไปด้วยข้อจำกัด เช่น การเลือกคู่ที่จำกัดในกลุ่มเพื่อนบ้านเพียงไม่กี่คน และการที่ผู้หญิงมักถูกกดทับด้วยบทบาทครอบครัวและงานบ้านมากกว่าที่เราจินตนาการ ท้ายที่สุด Julia ย้ำว่า แม้เราจะยังคงสนุกกับการดึงแรงบันดาลใจจากอดีต เช่น การทำขนมปังเองหรือเล่นดนตรีร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า ความสะดวกสบายในปัจจุบัน เช่น ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการรักษาทางทันตกรรม คือสิ่งที่ทำให้เรามีอิสระในการเลือก “สุนทรียะ” โดยไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากแบบคนรุ่นก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cottagecore และภาพจำอดีต ➡️ ผู้คนมักโรแมนติไซส์อดีตว่าเรียบง่ายและอบอุ่น ✅ ความจริงเบื้องหลัง Little House on the Prairie ➡️ ครอบครัว Wilder ต้องเผชิญ crop failure ต่อเนื่องและดอกเบี้ยสูง ✅ บุคลิกและชีวิตคนในอดีต ➡️ สังคมเล็กๆ มีข้อจำกัดมาก ทั้งการเลือกคู่และบทบาทผู้หญิง ✅ คุณค่าของความสะดวกสบายปัจจุบัน ➡️ ไฟฟ้า น้ำสะอาด และการแพทย์ทำให้เรามีอิสระในการเลือกสุนทรียะ ‼️ ความเสี่ยงจากการโรแมนติไซส์อดีตเกินจริง ⛔ อาจทำให้มองข้ามความยากลำบากและความไม่เท่าเทียมที่คนรุ่นก่อนเผชิญ https://juliawise.net/the-past-was-not-that-cute/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมร Ying BM-21 ใส่เขตพลเรือนไทยอีกแล้ว ทำไมยังให้มันมาแข่งซีเกมส์ว่ะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เขมร Ying BM-21 ใส่เขตพลเรือนไทยอีกแล้ว ทำไมยังให้มันมาแข่งซีเกมส์ว่ะ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอบนี้ล่อให้เหี้ยน
    ไม่เจรจา ล้างฮุนให้สิ้นซาก ไม่ยกธงขาวไม่ต้องเลิกถล่ม ปล่อยไว้ก็กลับมาลอบกัดอีก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    รอบนี้ล่อให้เหี้ยน ไม่เจรจา ล้างฮุนให้สิ้นซาก ไม่ยกธงขาวไม่ต้องเลิกถล่ม ปล่อยไว้ก็กลับมาลอบกัดอีก #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • เที่ยวเฉิงตู ปี้เผิงโกว ❄ เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 9,999

    🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน
    ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์
    พักโรงแรม

    อุทยานปี้เผิงโกว
    ถนนคนเดินชุนซีลู่
    ถนนคนเดินไท่กู่หลี่

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวเฉิงตู ปี้เผิงโกว ❄🗓️ เดินทาง ม.ค. - มี.ค. 69 😍 9,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3 วัน 2 คืน ✈ VZ-ไทยเวียดเจ็ท แอร์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 อุทยานปี้เผิงโกว 📍 ถนนคนเดินชุนซีลู่ 📍 ถนนคนเดินไท่กู่หลี่ รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จีน #จีน #เฉิงตู #china #chengdu #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค

    บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์

    ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า

    นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน

    เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s
    ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX

    วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น
    เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่

    แนวคิด TIMTOWTDI
    ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN

    การแตกแยกจาก Perl 6
    สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก

    ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่
    Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า

    ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl
    ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน

    https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    📉 ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค บทความนี้อธิบายว่า การที่ภาษา Perl เสื่อมความนิยมลง ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิค แต่เป็นผลจาก วัฒนธรรมของชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนา ที่ทำให้ภาษาไม่สามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกซอฟต์แวร์ ผู้เขียนเล่าว่าช่วงยุค 90s–2000s Perl เคยเป็นภาษาที่โดดเด่นมาก โดยเฉพาะในงาน เว็บและระบบ UNIX แต่ชุมชน Perl เติบโตจากวัฒนธรรม sysadmin ที่มีลักษณะ ปิดกั้น, เน้นความยาก, และยกย่องความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากกว่าการเปิดรับผู้ใช้ใหม่ สิ่งนี้สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ และทำให้การพัฒนาภาษาไม่ก้าวไปข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีแนวคิด TIMTOWTDI (There Is More Than One Way To Do It) ที่แม้จะดูเสรี แต่กลับสร้างความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN เพราะทุกอย่างสามารถทำได้หลายวิธีโดยไม่ต้องรวมเข้าสู่ core language ผลลัพธ์คือภาษาไม่พัฒนาอย่างเป็นระบบ และเกิดความแตกแยกเมื่อมีการสร้าง Perl 6 ซึ่งกลายเป็น “schism” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชน เมื่อเทียบกับภาษาอื่น เช่น Ruby (Rails), PHP, และ Python ที่มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและเน้นความง่ายต่อผู้ใช้ใหม่ ทำให้ Perl สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ในเชิงเทคนิค Perl จะยังคงมีความสามารถสูง แต่การไม่ปรับตัวทางวัฒนธรรมทำให้มันถูกแทนที่ในตลาดเว็บและระบบสมัยใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Perl เคยรุ่งเรืองในยุค 90s–2000s ➡️ ใช้กันแพร่หลายในงานเว็บและระบบ UNIX ✅ วัฒนธรรมชุมชนแบบปิดกั้น ➡️ เน้นความยาก, ยกย่องผู้เชี่ยวชาญ, ไม่เป็นมิตรต่อมือใหม่ ✅ แนวคิด TIMTOWTDI ➡️ ทำให้เกิดความซับซ้อนและ dependency hell ผ่าน CPAN ✅ การแตกแยกจาก Perl 6 ➡️ สะท้อนความขัดแย้งภายในชุมชนและทำให้การพัฒนาภาษาหยุดชะงัก ✅ ภาษาอื่นที่เข้ามาแทนที่ ➡️ Ruby (Rails), PHP, Python มีวัฒนธรรมเปิดกว้างและใช้ง่ายกว่า ‼️ ข้อจำกัดที่แท้จริงของ Perl ⛔ ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นด้านวัฒนธรรมและการปรับตัวของชุมชน https://www.beatworm.co.uk/blog/computers/perls-decline-was-cultural-not-technical
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว