• บทความกฎหมาย EP.47

    คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถือเป็นองค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศที่โดดเด่นและมีอำนาจหน้าที่สูงสุดในเชิงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงมวลมนุษยชาติภายใต้อาณัติของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญสูงสุดของประชาคมโลก ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งทำให้องค์กรนี้มีความพิเศษกว่าองค์กรอื่นในระบบสหประชาชาติคืออำนาจในการออกข้อมติที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐสมาชิกทั้งหมดตามมาตรายี่สิบห้าแห่งกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งระบุให้รัฐสมาชิกตกลงยอมรับและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง อันเป็นการโอนอ่อนอำนาจอธิปไตยบางส่วนในเชิงความมั่นคงมาไว้ที่การตัดสินใจร่วมกันในระดับพหุภาคีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นสงครามวงกว้าง โดยโครงสร้างทางกฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐมหาอำนาจที่มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรห้าประเทศกับสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งอีกสิบประเทศ แม้ว่าในเชิงนิติศาสตร์มักมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เท่าเทียมจากสิทธิยับยั้งหรือวีโต้ที่สมาชิกถาวรครอบครองอยู่แต่ในอีกมุมหนึ่งโครงสร้างนี้คือกลไกเชิงประจักษ์ที่รักษาเสถียรภาพระหว่างมหาอำนาจเพื่อไม่ให้ระบบกฎหมายโลกพังทลายลงเหมือนเช่นในอดีต

    กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของคณะมนตรีความมั่นคงนั้นดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในหมวดที่หกและหมวดที่เจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติโดยเริ่มต้นจากการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการสืบสวนและการประนีประนอมแต่หากสถานการณ์บานปลายจนกลายเป็นการคุกคามต่อสันติภาพหรือการกระทำอันเป็นการรุกรานคณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจตามหมวดที่เจ็ดในการใช้มาตรการบังคับซึ่งรวมถึงมาตรการที่มิใช่การใช้กำลังทางทหารเช่นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการจำกัดการคมนาคมขนส่งไปจนถึงมาตรการขั้นสูงสุดคือการอนุญาตให้ใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาสันติภาพกลับคืนมาการตัดสินใจเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตีความกฎหมายและการประเมินข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของรัฐอธิปไตยอย่างรุนแรงอำนาจหน้าที่เชิงนิติบัญญัติและนิติบริหารของคณะมนตรีความมั่นคงจึงถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกำหนดทิศทางของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดนิยามของการก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับร้ายแรงที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงสากล

    บทสรุปของบทบาทคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในมิติทางกฎหมายจึงมิได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมืองเท่านั้นแต่คือเสาหลักของการบังคับใช้ระเบียบโลกที่อาศัยหลักนิติธรรมเป็นเครื่องนำทางท่ามกลางความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันแม้ว่าความท้าทายใหม่ๆเช่นอาชญากรรมทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งในรูปแบบพันทางจะขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าที่ผู้ร่างกฎบัตรเมื่อแปดสิบปีก่อนจะคาดคิดแต่คณะมนตรีความมั่นคงยังคงต้องปรับตัวและตีความกฎหมายที่มีอยู่ให้สอดรับกับพลวัตของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าเจตนารมณ์สูงสุดในการพิทักษ์สันติภาพจะยังคงศักดิ์สิทธิ์และมีผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนสืบไปความสำเร็จขององค์กรนี้จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของรัฐสมาชิกในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายและการเคารพในมติที่ออกมาเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของมวลมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าของรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงลำพังอันจะเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในเวทีโลกอย่างแท้จริง
    บทความกฎหมาย EP.47 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถือเป็นองค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศที่โดดเด่นและมีอำนาจหน้าที่สูงสุดในเชิงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงมวลมนุษยชาติภายใต้อาณัติของกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญสูงสุดของประชาคมโลก ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งทำให้องค์กรนี้มีความพิเศษกว่าองค์กรอื่นในระบบสหประชาชาติคืออำนาจในการออกข้อมติที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐสมาชิกทั้งหมดตามมาตรายี่สิบห้าแห่งกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งระบุให้รัฐสมาชิกตกลงยอมรับและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง อันเป็นการโอนอ่อนอำนาจอธิปไตยบางส่วนในเชิงความมั่นคงมาไว้ที่การตัดสินใจร่วมกันในระดับพหุภาคีเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นสงครามวงกว้าง โดยโครงสร้างทางกฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจของรัฐมหาอำนาจที่มีสถานะเป็นสมาชิกถาวรห้าประเทศกับสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งอีกสิบประเทศ แม้ว่าในเชิงนิติศาสตร์มักมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เท่าเทียมจากสิทธิยับยั้งหรือวีโต้ที่สมาชิกถาวรครอบครองอยู่แต่ในอีกมุมหนึ่งโครงสร้างนี้คือกลไกเชิงประจักษ์ที่รักษาเสถียรภาพระหว่างมหาอำนาจเพื่อไม่ให้ระบบกฎหมายโลกพังทลายลงเหมือนเช่นในอดีต กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของคณะมนตรีความมั่นคงนั้นดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในหมวดที่หกและหมวดที่เจ็ดของกฎบัตรสหประชาชาติโดยเริ่มต้นจากการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการสืบสวนและการประนีประนอมแต่หากสถานการณ์บานปลายจนกลายเป็นการคุกคามต่อสันติภาพหรือการกระทำอันเป็นการรุกรานคณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจตามหมวดที่เจ็ดในการใช้มาตรการบังคับซึ่งรวมถึงมาตรการที่มิใช่การใช้กำลังทางทหารเช่นการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการจำกัดการคมนาคมขนส่งไปจนถึงมาตรการขั้นสูงสุดคือการอนุญาตให้ใช้กำลังทางทหารเพื่อรักษาสันติภาพกลับคืนมาการตัดสินใจเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการตีความกฎหมายและการประเมินข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของรัฐอธิปไตยอย่างรุนแรงอำนาจหน้าที่เชิงนิติบัญญัติและนิติบริหารของคณะมนตรีความมั่นคงจึงถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกำหนดทิศทางของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดนิยามของการก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับร้ายแรงที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงสากล บทสรุปของบทบาทคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในมิติทางกฎหมายจึงมิได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมืองเท่านั้นแต่คือเสาหลักของการบังคับใช้ระเบียบโลกที่อาศัยหลักนิติธรรมเป็นเครื่องนำทางท่ามกลางความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันแม้ว่าความท้าทายใหม่ๆเช่นอาชญากรรมทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งในรูปแบบพันทางจะขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าที่ผู้ร่างกฎบัตรเมื่อแปดสิบปีก่อนจะคาดคิดแต่คณะมนตรีความมั่นคงยังคงต้องปรับตัวและตีความกฎหมายที่มีอยู่ให้สอดรับกับพลวัตของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าเจตนารมณ์สูงสุดในการพิทักษ์สันติภาพจะยังคงศักดิ์สิทธิ์และมีผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนสืบไปความสำเร็จขององค์กรนี้จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือของรัฐสมาชิกในการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายและการเคารพในมติที่ออกมาเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมของมวลมนุษยชาติมากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าของรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงลำพังอันจะเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในเวทีโลกอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel จับมือ Samsung ผลิตชิปเซ็ต 8nm สำหรับ Nova Lake

    รายงานจากสื่อเกาหลีเผยว่า Samsung Foundry ได้รับคำสั่งผลิตชิปเซ็ตจาก Intel โดยใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์มใหม่ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 โดยชิปเซ็ต Z990 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ถือเป็นการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งหลังจากที่ Samsung เคยผลิตชิปให้ Intel ในอดีต

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Intel ที่ต้องการ ลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาความต้องการล้นเกินและการขาดแคลนกำลังผลิต การเลือก Samsung จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน โดย Samsung เองก็มีประสบการณ์ผลิตชิปให้ Nvidia และ Nintendo มาก่อน ทำให้มีความน่าเชื่อถือในตลาด

    แม้ว่า 8nm จะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ก็เพียงพอสำหรับการผลิตชิปเซ็ตที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเหมือน CPU หรือ GPU การย้ายจาก 14nm ไปสู่ 8nm ยังช่วยให้ Intel สามารถแข่งขันกับ AMD ได้ในเชิงการตลาด เนื่องจาก AMD ยังคงใช้กระบวนการ 14nm สำหรับชิปเซ็ตในปัจจุบัน

    การผลิตจะเกิดขึ้นที่โรงงานของ Samsung ในเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเริ่มเต็มกำลังในปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Nova Lake ที่มาพร้อมกับ CPU Core Ultra 400S การร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมกำลังผลิต แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ Intel ในการกลับมาท้าทายคู่แข่งในตลาด

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    Intel เลือก Samsung ผลิตชิปเซ็ต Z990
    ใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์ม Nova Lake

    กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC
    กระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน และเสริมความมั่นคง

    การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
    จาก 14nm ไปสู่ 8nm แม้ไม่ใช่ล่าสุด แต่เพียงพอสำหรับชิปเซ็ต

    การผลิตในเกาหลีใต้
    โรงงาน Samsung จะเริ่มผลิตเต็มกำลังในปี 2026

    คำเตือนด้านการแข่งขัน
    แม้จะใช้ 8nm แต่ยังตามหลังเทคโนโลยีขั้นสูงของ TSMC และ AMD ในบางส่วน
    หากการผลิตไม่เป็นไปตามแผน อาจกระทบต่อการเปิดตัว Nova Lake และภาพลักษณ์ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/samsung-eyed-up-for-huge-8nm-chip-order-from-intel-the-z990-chipset-for-nova-lake-cpus-could-be-intels-8nm-debut
    🤝 Intel จับมือ Samsung ผลิตชิปเซ็ต 8nm สำหรับ Nova Lake รายงานจากสื่อเกาหลีเผยว่า Samsung Foundry ได้รับคำสั่งผลิตชิปเซ็ตจาก Intel โดยใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์มใหม่ Nova Lake ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 โดยชิปเซ็ต Z990 จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ถือเป็นการกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งหลังจากที่ Samsung เคยผลิตชิปให้ Intel ในอดีต การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Intel ที่ต้องการ ลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาความต้องการล้นเกินและการขาดแคลนกำลังผลิต การเลือก Samsung จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน โดย Samsung เองก็มีประสบการณ์ผลิตชิปให้ Nvidia และ Nintendo มาก่อน ทำให้มีความน่าเชื่อถือในตลาด แม้ว่า 8nm จะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ก็เพียงพอสำหรับการผลิตชิปเซ็ตที่ไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเหมือน CPU หรือ GPU การย้ายจาก 14nm ไปสู่ 8nm ยังช่วยให้ Intel สามารถแข่งขันกับ AMD ได้ในเชิงการตลาด เนื่องจาก AMD ยังคงใช้กระบวนการ 14nm สำหรับชิปเซ็ตในปัจจุบัน การผลิตจะเกิดขึ้นที่โรงงานของ Samsung ในเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะเริ่มเต็มกำลังในปี 2026 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Nova Lake ที่มาพร้อมกับ CPU Core Ultra 400S การร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมกำลังผลิต แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ Intel ในการกลับมาท้าทายคู่แข่งในตลาด 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ Intel เลือก Samsung ผลิตชิปเซ็ต Z990 ➡️ ใช้กระบวนการ 8nm สำหรับแพลตฟอร์ม Nova Lake ✅ กลยุทธ์ลดการพึ่งพา TSMC ➡️ กระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน และเสริมความมั่นคง ✅ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ➡️ จาก 14nm ไปสู่ 8nm แม้ไม่ใช่ล่าสุด แต่เพียงพอสำหรับชิปเซ็ต ✅ การผลิตในเกาหลีใต้ ➡️ โรงงาน Samsung จะเริ่มผลิตเต็มกำลังในปี 2026 ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขัน ⛔ แม้จะใช้ 8nm แต่ยังตามหลังเทคโนโลยีขั้นสูงของ TSMC และ AMD ในบางส่วน ⛔ หากการผลิตไม่เป็นไปตามแผน อาจกระทบต่อการเปิดตัว Nova Lake และภาพลักษณ์ของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/chipsets/samsung-eyed-up-for-huge-8nm-chip-order-from-intel-the-z990-chipset-for-nova-lake-cpus-could-be-intels-8nm-debut
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 8
    “ข่าวลือ ข่าวลวง”

    ตอน 8

    เยเมน เป็นเหมือนหนามตำตีน ซาอุดิอารเบียมาตลอดเวลากว่า 70 ปีมาแล้ว

    อิบน์ ซาอูด เคยยกพลไปทำสงครามกับเยเมน เมื่อปี ค.ศ.1934 กองทัพซาอุ ยึดพื้นที่ริมทะเลแดงได้ แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ตามแนวภูเขาและตัวเมืองชั้นในได้สัญญาสงบศึกระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทำขึ้น ทำให้เยเมนต้องเสียหลายเมืองตามแนวเขตแดนให้แก่ซาอุดิอารเบีย และทำให้ขบวนการทวงดินแดนของเยเมนไม่เคยหมดไป

    เมื่อตอนปี ค.ศ.1960 ซาอุ สนับสนุนราชวงศ์เซดี ที่ปกครองเยเมน ในการต่อสู้กับฝ่ายอียิปต์ ที่ให้การสนับสนุนขบวนการเป็นสาธารณรัฐของเยเมน ที่ประกาศว่า จะโค่นล้มระบบกษัตริย์ทั้งคาบสมุทรอารเบีย

    แต่พอถึงเดือนมีนาคมปีนี้ (2015) ฝ่ายซาอุ ดันยิงจรวดเข้าถล่มกลุ่มฮูตติ ที่เป็นพวกกับกบฏเซดี ซึ่งกำลังรุกเข้าไปครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเยเมนได้ และขับไล่รัฐบาลเยเมนที่พวกซาอุดิอารเบียสนับสนุน พ่ายแพ้หนีออกไปจากเมืองซานะ เข้าไปพึ่งใบบุญของซาอุดิอารเบีย ตั้งแต่ปีที่แล้ว

    โอ้ย วุ่นกันฉิบหาย…. อย่าเพิ่งงงนะครับ อ่านช้าๆ หลายหนก็ได้ เพราะนี่เรากำลังจะเข้าไปสู่จุดชี้ชะตา ของซาอุดิอารเบีย และก็อาจจะเป็นจุดชี้ชะตา ของอเมริกาด้วยก็ได้….

    เขาว่า ซาอุ ตัดสินใจส่งจรวดให้เยเมน เพียงเพราะฝ่ายซาอุไปได้ข่าวมาว่า พวกเซดีตกลงใจที่จะให้เส้นทางบินแก่อิหร่าน ที่จะบินตรงจากเตหะรานมาเยเมน และเยเมนยังตกลงใจที่จะให้อิหร่านใช้ท่าเรือฮูเดดาห์ Hudaydah ของเยเมน แถมกำลังมีการเจรจาจะซื้อน้ำมันราคาถูกระหว่างเยเมนกับอิหร่านอีกด้วย

    สรุปว่า เยเมนได้รับจรวด เพราะซาอุดิอารเบียประสาทกินเรื่องอิหร่าน

    เรื่องนี้ทำให้ซาอุ ออกแขกจริงๆ และไปรวบรวมเพื่อนขี่อูฐด้วยกัน ให้มาไล่ถล่มเยเมน นอกจากพรรคพวกแถวอ่าวแล้ว ยังมี จอร์แดน โมรอคโค และอิยิปต์บอกเอาด้วย แต่ที่น่าสนใจ โอมานและปากีสถาน เพื่อนเก่าบอก ไม่เอากับซาอุด้วย เออ น่าคิด

    สำหรับโอมาน เข้าใจว่าพยายามจะวางตัวเป็นกลาง เพราะยืนอยู่ใกล้ปากอิหร่านเหลือเกิน และยิ่งเป็นอิหร่านที่กำลังมาแรงเสียด้วย ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ที่โอมานจะทิ้งระยะห่างจากซาอุ

    แต่สำหรับปากีสถาน ซึ่งเคยว่าไงว่ากันกับอเมริกา และ อยู่ในบัญชี ประเภทสามารถรูดบัตรเติมเงินกับซาอุดิอารเบียได้มาตลอดนี่ … ยิ่งกว่าน่าสนใจ

    อเมริกาอ้างว่า ตัวเองให้การสนับสนุนซาอุในเรื่องยิงจรวดใส่เยเมนเฉพาะ ด้านงานข่าวกรอง และด้านสภาพพื้นที่ในเยเมน แม้ว่าทางริยาร์ดจะแจ้งทางอเมริกาล่วงหน้า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะยิงจรวดลูกแรกใส่เยเมน

    การบุกเยเมนในครั้งนี้ของซาอุดิอารเบีย ถือเป็นนโยบายต่างประเทศเชิงรุก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของซาอุดิอารเบีย ที่ผ่านๆมา ซาอุ จะทำอย่างไม่เปิดเผย แถมซ่อนไปซ้อนมาเสียอีกด้วยซ้ำ

    ในความเห็นของอเมริกา การที่ซาอุดิอารเบียยิงจรวดใส่เยเมนในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องอันตรายกับซาอุเองอย่างยิ่ง

    …อ้าว แล้วทำไมไม่เตือนเพื่อนรักกันเลย จริงๆ ต้องด่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะไปยิงจรวดใส่บ้านคนอื่นเขาง่ายๆ อย่างนี้ได้ไงวะ ที่แค่ยังไม่มีการเลือกตั้ง มึงยังเสือกปากเข้ามาไม่เลิก…
    และจนถึงทุกวันนี้ การสู้รบที่เยเมน ก็ไม่ได้เกิดผลดีกับซาอุแต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างยังยันกันอยู่ ฝ่ายซาอุกับพวกอ้างว่าคุมได้แล้วทางอากาศ ชายฝั่งและท่าเรือทางใต้ของเอเดน ขณะที่ฝ่ายซาดีฮูตติและพวก ก็อ้างว่าควบคุมทางเหนือของเยเมนได้เกือบหมดแล้ว

    และระหว่างที่ซาอุและพวกฟาดฟันยุ่งอยู่กับพวกฮูตติ จึงเป็นโอกาสให้อัลไดดาขยายฐานเข้าไปยึดได้เมืองใหญ่ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นถิ่นเดิม ที่พ่อของบิน ลาเดน เคยอยู่มาก่อนที่จะอพยพไปอยู่ในซาอุดิอารเบีย

    สงครามเยเมน จึงเสมือนเป็นบททดสอบ บทแรกของกษัตริย์ซัลมาน เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ ที่อาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย คาบสมุทรอารเบีย และรวมไปถึงภูมิภาคด้วย

    การรบเยเมน มีทั้งมิติเรื่องระหว่างนิกาย และเรื่องชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาค ระหว่างซาอุกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ ในความคิดของอเมริกา สงครามเยเมนยังเป็นสงครามที่แสดงให้เห็นว่า เทศกาลอาหรับสปริง ที่ซาอุดิอารเบียต่อต้านมาตลอดนั้น ยังไม่จบลง…

    อเมริกาเชื่อว่า การต่อสู้ที่เยเมน จะดึงฝ่ายอื่นๆเข้ามาร่วมรายการเพิ่มขึ้นอีก จะยืดเยื้อ และขยายวงออกไปนอกเยเมนถึงประเทศอื่นๆอีกด้วย …เป็นการวิจารณ์ ที่ทำให้มองเห็น เยเมน กำลังเป็นไฟลามทุ่ง….

    นอกจากนี้ อเมริกายังคาดการณ์ เหมือนเป็นลางร้ายอีกว่า เยเมนอาจจบลง อย่างเป็นจุดด่างของการครองราชย์ของกษัตริย์ซาลมาน และเป็นการจบสิ้นของความทะเยอทะยานของทั้ง บิน นาเยฟ และ บิน ซาลมาน ไม่ว่าทั้ง 2 คน จะได้มีส่วนร่วมกับสงครามนี้อย่างไร ชัดเจนว่า บิน ซาลมานที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหม คงเป็นคนที่สูญเสียมากที่สุด ที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่พ่อเชื่อใจมาก เป็นตัวแทนพ่อ ไปเยี่ยมรัสเซียและฝรั่งเศส และเมื่อกษัตริย์ซาลมาน ยกเลิกแผนที่จะไปพบโอบามา ที่แคมป์เดวิด เพื่อที่จะไปบอกกับโอบามา ว่าตนเองขุ่นเคืองขนาดไหน เกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน กษัตริย์ซัลมาน ก็ส่งเจ้าชายทั้ง 2 คน ทั้ง MBN และ MBS ไปพบโอบามาแทนตน ซึ่งโอบามา กลับพูดเร่งรัดเรื่องการปฏิรูปประเทศ แต่ก็สนับสนุนเรื่องสงครามกับเยเมน

    และในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์ซัลมานเดินทางไปวอชิงตันเข้าจริงๆ การสนทนากลับสั้น และฝ่ายซาอุกลับเป็นฝ่าย (ต้อง)ฟัง และการสนทนากลับเน้นไปที่ลูกมากกว่าพ่อ

    …แต่ โปรดสังเกตดูรูปภาพการสนทนา ระหว่างนายโอบามา กับ กษัตริย์ซาลมาน ที่ผมเอามาลงประกอบนิทานตอนนี้ ผมกลับเห็นสวนทาง กับไอ้เขี้ยวซีไอเอ ผมดูว่า ใบตองแห้งน่าจะเป็นฝ่าย ใกล้จะลงไปนั่งกับพื้น พนมมือพูดกับกษัตริย์ซาลมานร่อมร่อแล้ว เหมือนกับเป็นตัวปลอม คนละคน กับที่พูด กับคุณพี่ปูติน หรือ อาเฮียสี ช่วงวันประชุมสหประชาชาติ อย่างไม่น่าเชื่อ น่าสนใจนะครับ

    ไอ้เขี้ยวยาวซีไอเอ ยังบอกว่า บิน นาเยฟ อาจจะเป็นคนที่เข้ากับอเมริกันได้มากที่สุด ในจำนวนผู้ที่อยู่ในเส้นทางที่จะครองบัลลังค์ซาอูด และเขาอาจจะเป็นคนที่เก่งเรื่องข่าวกรองมากที่สุดในโลกตะวันออกกลาง ที่อเมริกาชื่นชม ถึงขนาดบอกว่า ฉลาดที่สุดในรุ่นเดียวกัน และต่างกับพ่อของเขา the Black Price และ บิน นาเยฟ ดูเหมือนจะพอทำงานร่วมกับอเมริกันได้ และเข้ากับโอบามาได้ดี ที่แคมป์เดวิด แต่ บิน นาเยฟ มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และมันจะมากขึ้น หลังเทศกาลอาหรับสปริงจบจริงๆ ในตะวันออกกลาง อเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ น่าจะรู้ดีว่า เขาต้องมีเพื่อนในยามนั้น…

    ที่เล่ามาทั้ง 8 ตอนนี้ สรุปได้ว่า เป็นรายการ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งเปิดโปง ทั้งปิดปาก ของอเมริกา ต่อเพื่อนรัก ที่คบกันมากว่า 70 ปี อย่างน่าชื่นชมในฝีมือการเขียน
    ซีไอเอเก๋า เขี้ยวยาวเจ้าของบทความขู่สท้านโลก ตบท้ายว่า…. แต่วอชิงตัน จะทำใจยอมรับ อย่างไม่หลอกตัวเอง ไม่มีภาพลวงตา หรือเหมาเอาเอง ได้หรือไม่ว่า ซาอุดิอารเบียที่เป็นประเทศ ที่ยังปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ใหญ่ที่สุด ที่ยังเหลืออยู่ในโลก กับราชวงศ์ซาอูด จะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศของตน ไปจากแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันอย่างง่ายๆ และราชวงศ์ซาอูด ก็จะไม่มีวันตัดขาดกับกลุ่มวะฮาบีและเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขา และไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ซัลมาน เจ้าชายบิน นาเยฟ หรือเจ้าชายบิน ซาลมาน รวมทั้งราชวงศ์ที่เหลือทุกคน ต่างมีความเชื่อว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้เช่นนี้กว่า 250 ปีแล้ว ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนระอุ และรุนแรง และพวกเขาก็คิดว่า จะอยู่รอดแบบนี้ ต่อไป…

    ซาอุดิอารเบียและอเมริกา จะจับมือกันต่อไปไหม จะจับมือแบบอยู่รอดด้วยกัน หรือจับมือฉิบหายไปด้วยกัน หรือพวกเขาจะแยกทางกันเดิน และแยกทางกันเละ … รออ่านตอนสุดท้ายของนิทานเรื่องนี้ อย่าพลาดนะครับ!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 8 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 8 เยเมน เป็นเหมือนหนามตำตีน ซาอุดิอารเบียมาตลอดเวลากว่า 70 ปีมาแล้ว อิบน์ ซาอูด เคยยกพลไปทำสงครามกับเยเมน เมื่อปี ค.ศ.1934 กองทัพซาอุ ยึดพื้นที่ริมทะเลแดงได้ แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ตามแนวภูเขาและตัวเมืองชั้นในได้สัญญาสงบศึกระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทำขึ้น ทำให้เยเมนต้องเสียหลายเมืองตามแนวเขตแดนให้แก่ซาอุดิอารเบีย และทำให้ขบวนการทวงดินแดนของเยเมนไม่เคยหมดไป เมื่อตอนปี ค.ศ.1960 ซาอุ สนับสนุนราชวงศ์เซดี ที่ปกครองเยเมน ในการต่อสู้กับฝ่ายอียิปต์ ที่ให้การสนับสนุนขบวนการเป็นสาธารณรัฐของเยเมน ที่ประกาศว่า จะโค่นล้มระบบกษัตริย์ทั้งคาบสมุทรอารเบีย แต่พอถึงเดือนมีนาคมปีนี้ (2015) ฝ่ายซาอุ ดันยิงจรวดเข้าถล่มกลุ่มฮูตติ ที่เป็นพวกกับกบฏเซดี ซึ่งกำลังรุกเข้าไปครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเยเมนได้ และขับไล่รัฐบาลเยเมนที่พวกซาอุดิอารเบียสนับสนุน พ่ายแพ้หนีออกไปจากเมืองซานะ เข้าไปพึ่งใบบุญของซาอุดิอารเบีย ตั้งแต่ปีที่แล้ว โอ้ย วุ่นกันฉิบหาย…. อย่าเพิ่งงงนะครับ อ่านช้าๆ หลายหนก็ได้ เพราะนี่เรากำลังจะเข้าไปสู่จุดชี้ชะตา ของซาอุดิอารเบีย และก็อาจจะเป็นจุดชี้ชะตา ของอเมริกาด้วยก็ได้…. เขาว่า ซาอุ ตัดสินใจส่งจรวดให้เยเมน เพียงเพราะฝ่ายซาอุไปได้ข่าวมาว่า พวกเซดีตกลงใจที่จะให้เส้นทางบินแก่อิหร่าน ที่จะบินตรงจากเตหะรานมาเยเมน และเยเมนยังตกลงใจที่จะให้อิหร่านใช้ท่าเรือฮูเดดาห์ Hudaydah ของเยเมน แถมกำลังมีการเจรจาจะซื้อน้ำมันราคาถูกระหว่างเยเมนกับอิหร่านอีกด้วย สรุปว่า เยเมนได้รับจรวด เพราะซาอุดิอารเบียประสาทกินเรื่องอิหร่าน เรื่องนี้ทำให้ซาอุ ออกแขกจริงๆ และไปรวบรวมเพื่อนขี่อูฐด้วยกัน ให้มาไล่ถล่มเยเมน นอกจากพรรคพวกแถวอ่าวแล้ว ยังมี จอร์แดน โมรอคโค และอิยิปต์บอกเอาด้วย แต่ที่น่าสนใจ โอมานและปากีสถาน เพื่อนเก่าบอก ไม่เอากับซาอุด้วย เออ น่าคิด สำหรับโอมาน เข้าใจว่าพยายามจะวางตัวเป็นกลาง เพราะยืนอยู่ใกล้ปากอิหร่านเหลือเกิน และยิ่งเป็นอิหร่านที่กำลังมาแรงเสียด้วย ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ที่โอมานจะทิ้งระยะห่างจากซาอุ แต่สำหรับปากีสถาน ซึ่งเคยว่าไงว่ากันกับอเมริกา และ อยู่ในบัญชี ประเภทสามารถรูดบัตรเติมเงินกับซาอุดิอารเบียได้มาตลอดนี่ … ยิ่งกว่าน่าสนใจ อเมริกาอ้างว่า ตัวเองให้การสนับสนุนซาอุในเรื่องยิงจรวดใส่เยเมนเฉพาะ ด้านงานข่าวกรอง และด้านสภาพพื้นที่ในเยเมน แม้ว่าทางริยาร์ดจะแจ้งทางอเมริกาล่วงหน้า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะยิงจรวดลูกแรกใส่เยเมน การบุกเยเมนในครั้งนี้ของซาอุดิอารเบีย ถือเป็นนโยบายต่างประเทศเชิงรุก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของซาอุดิอารเบีย ที่ผ่านๆมา ซาอุ จะทำอย่างไม่เปิดเผย แถมซ่อนไปซ้อนมาเสียอีกด้วยซ้ำ ในความเห็นของอเมริกา การที่ซาอุดิอารเบียยิงจรวดใส่เยเมนในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องอันตรายกับซาอุเองอย่างยิ่ง …อ้าว แล้วทำไมไม่เตือนเพื่อนรักกันเลย จริงๆ ต้องด่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะไปยิงจรวดใส่บ้านคนอื่นเขาง่ายๆ อย่างนี้ได้ไงวะ ที่แค่ยังไม่มีการเลือกตั้ง มึงยังเสือกปากเข้ามาไม่เลิก… และจนถึงทุกวันนี้ การสู้รบที่เยเมน ก็ไม่ได้เกิดผลดีกับซาอุแต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างยังยันกันอยู่ ฝ่ายซาอุกับพวกอ้างว่าคุมได้แล้วทางอากาศ ชายฝั่งและท่าเรือทางใต้ของเอเดน ขณะที่ฝ่ายซาดีฮูตติและพวก ก็อ้างว่าควบคุมทางเหนือของเยเมนได้เกือบหมดแล้ว และระหว่างที่ซาอุและพวกฟาดฟันยุ่งอยู่กับพวกฮูตติ จึงเป็นโอกาสให้อัลไดดาขยายฐานเข้าไปยึดได้เมืองใหญ่ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นถิ่นเดิม ที่พ่อของบิน ลาเดน เคยอยู่มาก่อนที่จะอพยพไปอยู่ในซาอุดิอารเบีย สงครามเยเมน จึงเสมือนเป็นบททดสอบ บทแรกของกษัตริย์ซัลมาน เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ ที่อาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย คาบสมุทรอารเบีย และรวมไปถึงภูมิภาคด้วย การรบเยเมน มีทั้งมิติเรื่องระหว่างนิกาย และเรื่องชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาค ระหว่างซาอุกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ ในความคิดของอเมริกา สงครามเยเมนยังเป็นสงครามที่แสดงให้เห็นว่า เทศกาลอาหรับสปริง ที่ซาอุดิอารเบียต่อต้านมาตลอดนั้น ยังไม่จบลง… อเมริกาเชื่อว่า การต่อสู้ที่เยเมน จะดึงฝ่ายอื่นๆเข้ามาร่วมรายการเพิ่มขึ้นอีก จะยืดเยื้อ และขยายวงออกไปนอกเยเมนถึงประเทศอื่นๆอีกด้วย …เป็นการวิจารณ์ ที่ทำให้มองเห็น เยเมน กำลังเป็นไฟลามทุ่ง…. นอกจากนี้ อเมริกายังคาดการณ์ เหมือนเป็นลางร้ายอีกว่า เยเมนอาจจบลง อย่างเป็นจุดด่างของการครองราชย์ของกษัตริย์ซาลมาน และเป็นการจบสิ้นของความทะเยอทะยานของทั้ง บิน นาเยฟ และ บิน ซาลมาน ไม่ว่าทั้ง 2 คน จะได้มีส่วนร่วมกับสงครามนี้อย่างไร ชัดเจนว่า บิน ซาลมานที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหม คงเป็นคนที่สูญเสียมากที่สุด ที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่พ่อเชื่อใจมาก เป็นตัวแทนพ่อ ไปเยี่ยมรัสเซียและฝรั่งเศส และเมื่อกษัตริย์ซาลมาน ยกเลิกแผนที่จะไปพบโอบามา ที่แคมป์เดวิด เพื่อที่จะไปบอกกับโอบามา ว่าตนเองขุ่นเคืองขนาดไหน เกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน กษัตริย์ซัลมาน ก็ส่งเจ้าชายทั้ง 2 คน ทั้ง MBN และ MBS ไปพบโอบามาแทนตน ซึ่งโอบามา กลับพูดเร่งรัดเรื่องการปฏิรูปประเทศ แต่ก็สนับสนุนเรื่องสงครามกับเยเมน และในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์ซัลมานเดินทางไปวอชิงตันเข้าจริงๆ การสนทนากลับสั้น และฝ่ายซาอุกลับเป็นฝ่าย (ต้อง)ฟัง และการสนทนากลับเน้นไปที่ลูกมากกว่าพ่อ …แต่ โปรดสังเกตดูรูปภาพการสนทนา ระหว่างนายโอบามา กับ กษัตริย์ซาลมาน ที่ผมเอามาลงประกอบนิทานตอนนี้ ผมกลับเห็นสวนทาง กับไอ้เขี้ยวซีไอเอ ผมดูว่า ใบตองแห้งน่าจะเป็นฝ่าย ใกล้จะลงไปนั่งกับพื้น พนมมือพูดกับกษัตริย์ซาลมานร่อมร่อแล้ว เหมือนกับเป็นตัวปลอม คนละคน กับที่พูด กับคุณพี่ปูติน หรือ อาเฮียสี ช่วงวันประชุมสหประชาชาติ อย่างไม่น่าเชื่อ น่าสนใจนะครับ ไอ้เขี้ยวยาวซีไอเอ ยังบอกว่า บิน นาเยฟ อาจจะเป็นคนที่เข้ากับอเมริกันได้มากที่สุด ในจำนวนผู้ที่อยู่ในเส้นทางที่จะครองบัลลังค์ซาอูด และเขาอาจจะเป็นคนที่เก่งเรื่องข่าวกรองมากที่สุดในโลกตะวันออกกลาง ที่อเมริกาชื่นชม ถึงขนาดบอกว่า ฉลาดที่สุดในรุ่นเดียวกัน และต่างกับพ่อของเขา the Black Price และ บิน นาเยฟ ดูเหมือนจะพอทำงานร่วมกับอเมริกันได้ และเข้ากับโอบามาได้ดี ที่แคมป์เดวิด แต่ บิน นาเยฟ มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และมันจะมากขึ้น หลังเทศกาลอาหรับสปริงจบจริงๆ ในตะวันออกกลาง อเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ น่าจะรู้ดีว่า เขาต้องมีเพื่อนในยามนั้น… ที่เล่ามาทั้ง 8 ตอนนี้ สรุปได้ว่า เป็นรายการ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งเปิดโปง ทั้งปิดปาก ของอเมริกา ต่อเพื่อนรัก ที่คบกันมากว่า 70 ปี อย่างน่าชื่นชมในฝีมือการเขียน ซีไอเอเก๋า เขี้ยวยาวเจ้าของบทความขู่สท้านโลก ตบท้ายว่า…. แต่วอชิงตัน จะทำใจยอมรับ อย่างไม่หลอกตัวเอง ไม่มีภาพลวงตา หรือเหมาเอาเอง ได้หรือไม่ว่า ซาอุดิอารเบียที่เป็นประเทศ ที่ยังปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ใหญ่ที่สุด ที่ยังเหลืออยู่ในโลก กับราชวงศ์ซาอูด จะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศของตน ไปจากแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันอย่างง่ายๆ และราชวงศ์ซาอูด ก็จะไม่มีวันตัดขาดกับกลุ่มวะฮาบีและเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขา และไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ซัลมาน เจ้าชายบิน นาเยฟ หรือเจ้าชายบิน ซาลมาน รวมทั้งราชวงศ์ที่เหลือทุกคน ต่างมีความเชื่อว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้เช่นนี้กว่า 250 ปีแล้ว ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนระอุ และรุนแรง และพวกเขาก็คิดว่า จะอยู่รอดแบบนี้ ต่อไป… ซาอุดิอารเบียและอเมริกา จะจับมือกันต่อไปไหม จะจับมือแบบอยู่รอดด้วยกัน หรือจับมือฉิบหายไปด้วยกัน หรือพวกเขาจะแยกทางกันเดิน และแยกทางกันเละ … รออ่านตอนสุดท้ายของนิทานเรื่องนี้ อย่าพลาดนะครับ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • “iPad mini 8 – OLED + A20 Pro ยกระดับแท็บเล็ตไซส์เล็ก”

    Apple เตรียมเปิดตัว iPad mini 8 ในปี 2026 โดยมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ทั้งด้านหน้าจอและชิปประมวลผล รุ่นใหม่นี้จะใช้ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad mini 7 เล็กน้อย และอาจใช้เทคโนโลยี Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล คล้ายกับที่เคยทำใน iPhone X

    ในด้านประสิทธิภาพ iPad mini 8 จะขับเคลื่อนด้วย ชิป A20 Pro ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เหนือกว่า A19 Pro ที่เคยถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ iPad mini 8 กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดของ Apple และสามารถรองรับการใช้งานหนัก เช่น เกมกราฟิกสูง หรือแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างลื่นไหล

    เพื่อควบคุมต้นทุน Apple อาจเลือกใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียว แทนที่จะเป็นจอ OLED แบบ Tandem ที่มีหลายชั้น ซึ่งจะช่วยลดราคาเปิดตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า iPad mini 8 จะเริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแข่งขันได้ในตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียม

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Apple ที่ต้องการรักษาตลาดแท็บเล็ตขนาดเล็กให้ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่า iPad Air และ iPad Pro จะครองตลาดหลัก แต่ iPad mini 8 จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องเล็กแต่ทรงพลัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    iPad mini 8 เปิดตัวปี 2026
    คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3–4

    หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว
    อาจใช้ Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล

    ชิปใหม่ A20 Pro
    แรงกว่าที่คาดการณ์เดิม (A19 Pro) รองรับงานกราฟิกและ AI

    ราคาเริ่มต้นประมาณ 499 ดอลลาร์
    ใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียวเพื่อลดต้นทุน

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้
    หากต้องการจอ OLED แบบ Tandem คุณภาพสูง อาจต้องรอรุ่น Pro หรือ Air
    ราคาจริงอาจสูงกว่าที่คาด หาก Apple เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ

    https://wccftech.com/apples-ipad-mini-8-to-launch-with-oled-screen-a20-pro-chip/
    📰 “iPad mini 8 – OLED + A20 Pro ยกระดับแท็บเล็ตไซส์เล็ก” Apple เตรียมเปิดตัว iPad mini 8 ในปี 2026 โดยมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ทั้งด้านหน้าจอและชิปประมวลผล รุ่นใหม่นี้จะใช้ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad mini 7 เล็กน้อย และอาจใช้เทคโนโลยี Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล คล้ายกับที่เคยทำใน iPhone X ในด้านประสิทธิภาพ iPad mini 8 จะขับเคลื่อนด้วย ชิป A20 Pro ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เหนือกว่า A19 Pro ที่เคยถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ iPad mini 8 กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่ทรงพลังที่สุดของ Apple และสามารถรองรับการใช้งานหนัก เช่น เกมกราฟิกสูง หรือแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างลื่นไหล เพื่อควบคุมต้นทุน Apple อาจเลือกใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียว แทนที่จะเป็นจอ OLED แบบ Tandem ที่มีหลายชั้น ซึ่งจะช่วยลดราคาเปิดตัว โดยมีการคาดการณ์ว่า iPad mini 8 จะเริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแข่งขันได้ในตลาดแท็บเล็ตระดับพรีเมียม การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ของ Apple ที่ต้องการรักษาตลาดแท็บเล็ตขนาดเล็กให้ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่า iPad Air และ iPad Pro จะครองตลาดหลัก แต่ iPad mini 8 จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องเล็กแต่ทรงพลัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ iPad mini 8 เปิดตัวปี 2026 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3–4 ✅ หน้าจอ OLED ขนาด 8.5 นิ้ว ➡️ อาจใช้ Flexible OLED เพื่อลดขอบจอและเพิ่มพื้นที่การแสดงผล ✅ ชิปใหม่ A20 Pro ➡️ แรงกว่าที่คาดการณ์เดิม (A19 Pro) รองรับงานกราฟิกและ AI ✅ ราคาเริ่มต้นประมาณ 499 ดอลลาร์ ➡️ ใช้ LTPO OLED แบบชั้นเดียวเพื่อลดต้นทุน ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากต้องการจอ OLED แบบ Tandem คุณภาพสูง อาจต้องรอรุ่น Pro หรือ Air ⛔ ราคาจริงอาจสูงกว่าที่คาด หาก Apple เพิ่มฟีเจอร์พิเศษ https://wccftech.com/apples-ipad-mini-8-to-launch-with-oled-screen-a20-pro-chip/
    WCCFTECH.COM
    iPad mini 8 Set for Stunning OLED Screen And The A20 Pro Chip
    Apple's iPad mini 8 is shaping up to be a must-have device, especially if the latest reporting on its specs pans out.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี หญิงสาวเมาแล้วขับ ชน “น้องอ๊อฟ ธนกฤต” อดีตนักแสดงหนัง 16 ห้าว 19 เดือด จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตลอดชีวิต
    .
    แม่ของน้องอ๊อฟ เผยต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมมานานถึง 3 ปี 8 เดือน แม้ศาลแพ่งสั่งชดใช้ค่าเสียหายกว่า 4 ล้านบาท แต่คู่กรณีไม่เคยเยียวยาแม้แต่บาทเดียว และไม่เคยมีคำขอโทษ
    .
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวต้องเผชิญความยากลำบาก แม่ต้องดูแลลูกชายตลอด 24 ชั่วโมง สูญเสียรายได้ และอาศัยการขายของผ่านโซเชียลเพื่อหาเงินมารักษาลูกเพียงลำพัง
    .
    แม้วันนี้คดีถึงที่สุดแล้ว แม่ยอมรับว่าได้รับ “ความยุติธรรมจากศาล” แต่ความสูญเสียและภาระชีวิตยังคงอยู่ พร้อมย้ำว่านี่คือบทเรียนของสังคมจากโศกนาฏกรรมเมาแล้วขับ
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121188
    .
    #News1live #News1 #เมาแล้วขับ #น้องอ๊อฟธนกฤต #ความยุติธรรม #อุบัติเหตุไม่ควรเกิด
    ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี หญิงสาวเมาแล้วขับ ชน “น้องอ๊อฟ ธนกฤต” อดีตนักแสดงหนัง 16 ห้าว 19 เดือด จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตลอดชีวิต . แม่ของน้องอ๊อฟ เผยต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมมานานถึง 3 ปี 8 เดือน แม้ศาลแพ่งสั่งชดใช้ค่าเสียหายกว่า 4 ล้านบาท แต่คู่กรณีไม่เคยเยียวยาแม้แต่บาทเดียว และไม่เคยมีคำขอโทษ . ตลอดเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวต้องเผชิญความยากลำบาก แม่ต้องดูแลลูกชายตลอด 24 ชั่วโมง สูญเสียรายได้ และอาศัยการขายของผ่านโซเชียลเพื่อหาเงินมารักษาลูกเพียงลำพัง . แม้วันนี้คดีถึงที่สุดแล้ว แม่ยอมรับว่าได้รับ “ความยุติธรรมจากศาล” แต่ความสูญเสียและภาระชีวิตยังคงอยู่ พร้อมย้ำว่านี่คือบทเรียนของสังคมจากโศกนาฏกรรมเมาแล้วขับ . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121188 . #News1live #News1 #เมาแล้วขับ #น้องอ๊อฟธนกฤต #ความยุติธรรม #อุบัติเหตุไม่ควรเกิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 3

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 3
    ในปี ค.ศ.1979 ราชวงศ์ซาอูดถูกท้าทาย จากการบุกยึดมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ที่นครเมกกะ โดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ที่เชื่อว่าวันสุดท้ายของความชั่วร้ายมาถึงแล้ว การต่อสู้เพื่อยึดเอามัสยิดกลับ ดำเนินอยู่หลายสัปดาห์ โดยฝ่ายราชวงศ์ใช้กองทัพ ที่อำนวยการโดยกระทรวงมหาดไทย และมีหน่วยคอมมานโดของฝรั่งเศส ที่ราชวงศ์จ้างไว้เป็นพิเศษคอยช่วยเหลือ รวมทั้งมีการใช้อาวุธเคมีด้วย ฝ่ายราชวงศ์จึงยึดมัสยิดใหญ่กลับคืนมาได้
    รายการท้าทายนี้ ทำให้ราชวงศ์และรัฐบาลซาอุเสียหน้าอย่างมาก และที่ทำให้อึกอักหนักขึ้น เมื่อผลการสอบสวนตัวการท้าทายทั้งหลาย กลายเป็นว่า หลายคนรู้จักดี กับรัฐมนตรีมหาดไทย the Black Prince และหลังจากการสอบสวน แม้ว่าหลายคนจะถูกกักขัง แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของฝ่ายศาสนาที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีมหาดไทย พวกยึดมัสยิดก็ได้รับการปล่อยตัว
    The Black Prince ไม่หมองมัวจากเรื่องการบุกยึดมัสยิด คนที่ต้องรับผิดชอบกลับเป็นเจ้าชายอีกคน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการนครเมกกะ อเมริกาปากยาวตามเคย บอกว่า เรื่องนี้ฝ่ายราชวงศ์แสดงความอ่อนแอ ยอมตามความต้องการของฝ่ายศาสนามากเกินไป และทำให้การปฏิรูปประเทศของซาอุดิอารเบีย ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือจะเดินถอยหลังเอาด้วยซ้ำ
    และเมื่อราชวงศ์เริ่มให้การสนับสนุนกับกลุ่มกองทัพอิสลามหัวรุนแรง ที่เริ่มปฏิบัติการณ์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ เมื่อซาอุดิอารเบียร่วมมือกับอเมริกา สนับสนุนกองกำลังอาฟกัน มูจาฮีดีน ต่อสู้กับกองกำลังของสหภาพโซเวียตที่อาฟกานิสถาน ในช่วงปี ค.ศ.1979 – 1989 อเมริกาก็วิจารณ์อีกว่า ฝ่ายราชวงศ์นับวันจะยิ่งขยับไปใกล้กับฝ่ายศาสนามากขึ้นทุกที
    ….เออ อันนี้เอ็งไม่น่าพูดมากเลยนะ ก็จับมือเล่นด้วยกันไม่ใช่หรือ เขารู้กันทั้งนั้น….
    ในช่วงนั้น กษัตริย์ซาลมาน (ผู้ที่ปกครองซาอุดิ อารเบียในปัจจุบัน) รับหน้าที่เป็นผู้จัดหาทุนเป็นการภายใน ระหว่างราชวงศ์และพวกเศรษฐีซาอุทั้งหลาย ได้เงินเป็นหลายๆ สิบล้านเหรียญ เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังมูจาฮิดีน ในการรบที่อาฟกานิสถาน รวมทั้งการรบของกองกำลังมุสลิมในบอสเนีย และปาเลสไตน์ด้วย
    …. การที่อเมริกาเอาเรื่องนี้ของราชวงศ์ซาอูดมาแฉ แสดงว่าอเมริกาน่าจะกำลังอาการหนัก เลยรีบประทับตราราชวงศ์ซาอูด ให้โลกเห็นพฤติกรรม จะได้หนีไปใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออื่นยาก….
    และเมื่อ อุซามะ บิน ลาเดน ก่อตั้งกลุ่มอัลไคดา เจ้าชายนาเยฟเอง ก็นับเป็นมิตรที่ดีกับ บิน ลาเดน และเห็นว่า การที่โซเวียตพ่ายแพ้ถอยออกไปจากอาฟกานิสถานนั้น เป็นผลงานของ บิน ลาเดน ทีเดียว นาเยฟ มีความเห็นว่า ในตอนหลังที่มีการกล่าวหาว่า บิน ลาเดน เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น มาจากการป้ายสีของอเมริกาทั้งสิ้น และ บิน ลาเดน ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อซาอุดิอารเบีย หรือราชวงศ์ซาอูดแต่อย่างใด และก็เป็นความเห็น ที่ไม่ต่างกับความเห็นของราชวงศ์ซาอูด เองด้วย
    เมื่อ George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านข่าวกรอง เตือนเจ้าชายนาเยฟว่า กลุ่มอัลไคดาสร้างอุโมงค์เครือข่ายใต้ดินอยู่เต็มซาอุดิ อารเบีย นาเยฟไม่เชื่อ เพราะนาเยฟ ไม่เคยวางใจการเข้ามาในซาอุดิอารเบีย ของอเมริกาเลยจนนิดเดียว นาเยฟ สุภาพกับเจ้าหน้าที่อเมริกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับอเมริกา
    เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายชีอะ วางระเบิดฐานทัพอเมริกาที่ Khobar Tower ที่เมือง Dhahran ในปี ค.ศ.1996 ทำให้มีเจ้าหน้าที่การบินตายไป 19 คน นาเยฟ ไม่ยอมบอกข้อมูลกับฝ่ายอเมริกันว่า ผู้ก่อการร้ายอาจมีส่วนเกี่ยวพัน กับอิหร่าน เขาอ้างว่า ทางวอชิงตันอาจนำข้อมูลนี้มาใช้อ้างในการกล่าวหาอิหร่าน และลากเอาซาอุดิอารเบีย เข้าสู่สงครามกับอิหร่านไปด้วย แต่ฝ่ายอเมริกันบอกว่า นาเยฟ คงเกลียดอเมริกันมากกว่า เกลียดอิหร่านเสียอีก
    ….นี่ก็เป็นการเขียนบทความ “ดักคอ” ซาอุดิอารเบีย ของซีไอเอเก๋าอีกรายการ ที่น่าสนใจ….
    อเมริกาบอกว่า นาเยฟ ยังไม่สนใจคำเตือนของฝ่ายอเมริกัน เกี่ยวกับเรื่อง
    อัลไคดาต่อไปอีกหลายปี แต่ในที่สุด จะไม่สนใจอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว และคนที่ต้องมาจัดการเรื่องอัลไคดา ก็คือ บิน นาเยฟ หรือ MBN ลูกชายของ นาเยฟ นั่นเอง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 3 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 3 ในปี ค.ศ.1979 ราชวงศ์ซาอูดถูกท้าทาย จากการบุกยึดมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ที่นครเมกกะ โดยกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ที่เชื่อว่าวันสุดท้ายของความชั่วร้ายมาถึงแล้ว การต่อสู้เพื่อยึดเอามัสยิดกลับ ดำเนินอยู่หลายสัปดาห์ โดยฝ่ายราชวงศ์ใช้กองทัพ ที่อำนวยการโดยกระทรวงมหาดไทย และมีหน่วยคอมมานโดของฝรั่งเศส ที่ราชวงศ์จ้างไว้เป็นพิเศษคอยช่วยเหลือ รวมทั้งมีการใช้อาวุธเคมีด้วย ฝ่ายราชวงศ์จึงยึดมัสยิดใหญ่กลับคืนมาได้ รายการท้าทายนี้ ทำให้ราชวงศ์และรัฐบาลซาอุเสียหน้าอย่างมาก และที่ทำให้อึกอักหนักขึ้น เมื่อผลการสอบสวนตัวการท้าทายทั้งหลาย กลายเป็นว่า หลายคนรู้จักดี กับรัฐมนตรีมหาดไทย the Black Prince และหลังจากการสอบสวน แม้ว่าหลายคนจะถูกกักขัง แต่ในที่สุด ด้วยคำแนะนำของฝ่ายศาสนาที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีมหาดไทย พวกยึดมัสยิดก็ได้รับการปล่อยตัว The Black Prince ไม่หมองมัวจากเรื่องการบุกยึดมัสยิด คนที่ต้องรับผิดชอบกลับเป็นเจ้าชายอีกคน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการนครเมกกะ อเมริกาปากยาวตามเคย บอกว่า เรื่องนี้ฝ่ายราชวงศ์แสดงความอ่อนแอ ยอมตามความต้องการของฝ่ายศาสนามากเกินไป และทำให้การปฏิรูปประเทศของซาอุดิอารเบีย ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือจะเดินถอยหลังเอาด้วยซ้ำ และเมื่อราชวงศ์เริ่มให้การสนับสนุนกับกลุ่มกองทัพอิสลามหัวรุนแรง ที่เริ่มปฏิบัติการณ์ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ เมื่อซาอุดิอารเบียร่วมมือกับอเมริกา สนับสนุนกองกำลังอาฟกัน มูจาฮีดีน ต่อสู้กับกองกำลังของสหภาพโซเวียตที่อาฟกานิสถาน ในช่วงปี ค.ศ.1979 – 1989 อเมริกาก็วิจารณ์อีกว่า ฝ่ายราชวงศ์นับวันจะยิ่งขยับไปใกล้กับฝ่ายศาสนามากขึ้นทุกที ….เออ อันนี้เอ็งไม่น่าพูดมากเลยนะ ก็จับมือเล่นด้วยกันไม่ใช่หรือ เขารู้กันทั้งนั้น…. ในช่วงนั้น กษัตริย์ซาลมาน (ผู้ที่ปกครองซาอุดิ อารเบียในปัจจุบัน) รับหน้าที่เป็นผู้จัดหาทุนเป็นการภายใน ระหว่างราชวงศ์และพวกเศรษฐีซาอุทั้งหลาย ได้เงินเป็นหลายๆ สิบล้านเหรียญ เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังมูจาฮิดีน ในการรบที่อาฟกานิสถาน รวมทั้งการรบของกองกำลังมุสลิมในบอสเนีย และปาเลสไตน์ด้วย …. การที่อเมริกาเอาเรื่องนี้ของราชวงศ์ซาอูดมาแฉ แสดงว่าอเมริกาน่าจะกำลังอาการหนัก เลยรีบประทับตราราชวงศ์ซาอูด ให้โลกเห็นพฤติกรรม จะได้หนีไปใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออื่นยาก…. และเมื่อ อุซามะ บิน ลาเดน ก่อตั้งกลุ่มอัลไคดา เจ้าชายนาเยฟเอง ก็นับเป็นมิตรที่ดีกับ บิน ลาเดน และเห็นว่า การที่โซเวียตพ่ายแพ้ถอยออกไปจากอาฟกานิสถานนั้น เป็นผลงานของ บิน ลาเดน ทีเดียว นาเยฟ มีความเห็นว่า ในตอนหลังที่มีการกล่าวหาว่า บิน ลาเดน เป็นผู้ก่อการร้ายนั้น มาจากการป้ายสีของอเมริกาทั้งสิ้น และ บิน ลาเดน ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อซาอุดิอารเบีย หรือราชวงศ์ซาอูดแต่อย่างใด และก็เป็นความเห็น ที่ไม่ต่างกับความเห็นของราชวงศ์ซาอูด เองด้วย เมื่อ George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ และเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านข่าวกรอง เตือนเจ้าชายนาเยฟว่า กลุ่มอัลไคดาสร้างอุโมงค์เครือข่ายใต้ดินอยู่เต็มซาอุดิ อารเบีย นาเยฟไม่เชื่อ เพราะนาเยฟ ไม่เคยวางใจการเข้ามาในซาอุดิอารเบีย ของอเมริกาเลยจนนิดเดียว นาเยฟ สุภาพกับเจ้าหน้าที่อเมริกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่เขาไม่ให้ความร่วมมือกับอเมริกา เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายชีอะ วางระเบิดฐานทัพอเมริกาที่ Khobar Tower ที่เมือง Dhahran ในปี ค.ศ.1996 ทำให้มีเจ้าหน้าที่การบินตายไป 19 คน นาเยฟ ไม่ยอมบอกข้อมูลกับฝ่ายอเมริกันว่า ผู้ก่อการร้ายอาจมีส่วนเกี่ยวพัน กับอิหร่าน เขาอ้างว่า ทางวอชิงตันอาจนำข้อมูลนี้มาใช้อ้างในการกล่าวหาอิหร่าน และลากเอาซาอุดิอารเบีย เข้าสู่สงครามกับอิหร่านไปด้วย แต่ฝ่ายอเมริกันบอกว่า นาเยฟ คงเกลียดอเมริกันมากกว่า เกลียดอิหร่านเสียอีก ….นี่ก็เป็นการเขียนบทความ “ดักคอ” ซาอุดิอารเบีย ของซีไอเอเก๋าอีกรายการ ที่น่าสนใจ…. อเมริกาบอกว่า นาเยฟ ยังไม่สนใจคำเตือนของฝ่ายอเมริกัน เกี่ยวกับเรื่อง อัลไคดาต่อไปอีกหลายปี แต่ในที่สุด จะไม่สนใจอีกต่อไป ไม่ได้แล้ว และคนที่ต้องมาจัดการเรื่องอัลไคดา ก็คือ บิน นาเยฟ หรือ MBN ลูกชายของ นาเยฟ นั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรฐานบัสเก่าแก่กลับมามีชีวิตใหม่

    GPIB หรือที่รู้จักกันในชื่อ HP-IB ถูกสร้างขึ้นโดย Hewlett-Packard ในปี 1972 เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์วัดและเครื่องมือในห้องแล็บเข้ากับคอมพิวเตอร์ มันถูกใช้แพร่หลายในเครื่องมืออย่างออสซิลโลสโคป, มัลติมิเตอร์ และเครื่องวิเคราะห์ตรรกะ ต่อมาได้รับการรับรองเป็นมาตรฐาน IEEE 488 ในปี 1975 และถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์ Commodore 64 และ Acorn ด้วย

    การเข้าสู่ Linux Kernel
    แม้ว่า GPIB จะถูกแทนที่ด้วยมาตรฐานใหม่อย่าง USB และ Ethernet แต่กลุ่มผู้สนใจฮาร์ดแวร์วินเทจยังคงพัฒนาไดรเวอร์ให้ใช้งานได้ ล่าสุดใน Linux Kernel 6.19 ทีมพัฒนาได้ย้าย GPIB ออกจาก staging tree และเข้าสู่ kernel หลักอย่างเป็นทางการ ทำให้การสนับสนุนอุปกรณ์เก่าเหล่านี้มีความเสถียรและใช้งานได้ง่ายขึ้น

    ความสำคัญต่อวงการวิจัยและการศึกษา
    การที่ GPIB ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการใน Linux หมายความว่าอุปกรณ์วัดเก่า ๆ ที่ยังคงใช้งานอยู่ในห้องแล็บทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ได้โดยตรง สิ่งนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ และยังเป็นการอนุรักษ์เทคโนโลยีที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    แม้จะมีการสนับสนุนแล้ว แต่ GPIB ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน ความเร็วสูงสุดเพียง 8 MB/s และข้อจำกัดด้านระยะทาง (20 เมตร) ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานอุปกรณ์วินเทจ มันยังคงเป็นเครื่องมือที่มีค่า

    สรุปสาระสำคัญ
    การกลับมาของ GPIB
    เปิดตัวครั้งแรกโดย HP ในปี 1972
    ได้รับรองเป็น IEEE 488 ในปี 1975

    การสนับสนุนใน Linux
    เข้าสู่ Linux Kernel 6.19 อย่างเป็นทางการ
    ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์วินเทจได้ง่ายขึ้น

    ความสำคัญ
    ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่องมือใหม่
    อนุรักษ์เทคโนโลยีเก่าแก่ในห้องแล็บ

    ข้อจำกัด
    ความเร็วสูงสุดเพียง 8 MB/s
    ระยะทางจำกัดเพียง 20 เมตร

    https://www.tomshardware.com/peripherals/cables-connectors/53-years-later-bus-standard-launched-by-hp-in-1972-gets-stable-linux-driver-general-purpose-interface-bus-has-blistering-8-mb-s-of-bandwidth
    🖥️ มาตรฐานบัสเก่าแก่กลับมามีชีวิตใหม่ GPIB หรือที่รู้จักกันในชื่อ HP-IB ถูกสร้างขึ้นโดย Hewlett-Packard ในปี 1972 เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์วัดและเครื่องมือในห้องแล็บเข้ากับคอมพิวเตอร์ มันถูกใช้แพร่หลายในเครื่องมืออย่างออสซิลโลสโคป, มัลติมิเตอร์ และเครื่องวิเคราะห์ตรรกะ ต่อมาได้รับการรับรองเป็นมาตรฐาน IEEE 488 ในปี 1975 และถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์ Commodore 64 และ Acorn ด้วย ⚙️ การเข้าสู่ Linux Kernel แม้ว่า GPIB จะถูกแทนที่ด้วยมาตรฐานใหม่อย่าง USB และ Ethernet แต่กลุ่มผู้สนใจฮาร์ดแวร์วินเทจยังคงพัฒนาไดรเวอร์ให้ใช้งานได้ ล่าสุดใน Linux Kernel 6.19 ทีมพัฒนาได้ย้าย GPIB ออกจาก staging tree และเข้าสู่ kernel หลักอย่างเป็นทางการ ทำให้การสนับสนุนอุปกรณ์เก่าเหล่านี้มีความเสถียรและใช้งานได้ง่ายขึ้น 🔬 ความสำคัญต่อวงการวิจัยและการศึกษา การที่ GPIB ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการใน Linux หมายความว่าอุปกรณ์วัดเก่า ๆ ที่ยังคงใช้งานอยู่ในห้องแล็บทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ได้โดยตรง สิ่งนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ และยังเป็นการอนุรักษ์เทคโนโลยีที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ⚠️ ข้อจำกัดและความท้าทาย แม้จะมีการสนับสนุนแล้ว แต่ GPIB ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน ความเร็วสูงสุดเพียง 8 MB/s และข้อจำกัดด้านระยะทาง (20 เมตร) ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานอุปกรณ์วินเทจ มันยังคงเป็นเครื่องมือที่มีค่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การกลับมาของ GPIB ➡️ เปิดตัวครั้งแรกโดย HP ในปี 1972 ➡️ ได้รับรองเป็น IEEE 488 ในปี 1975 ✅ การสนับสนุนใน Linux ➡️ เข้าสู่ Linux Kernel 6.19 อย่างเป็นทางการ ➡️ ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์วินเทจได้ง่ายขึ้น ✅ ความสำคัญ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ ➡️ อนุรักษ์เทคโนโลยีเก่าแก่ในห้องแล็บ ‼️ ข้อจำกัด ⛔ ความเร็วสูงสุดเพียง 8 MB/s ⛔ ระยะทางจำกัดเพียง 20 เมตร https://www.tomshardware.com/peripherals/cables-connectors/53-years-later-bus-standard-launched-by-hp-in-1972-gets-stable-linux-driver-general-purpose-interface-bus-has-blistering-8-mb-s-of-bandwidth
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    53 years later, bus standard launched by HP in 1972 gets stable Linux driver — General Purpose Interface Bus has blistering 8 MB/s of bandwidth
    GPIB was used on vintage lab instruments and similar hardware. It was later adopted by C64 and Acorn computer peripherals under the IEEE 488 banner.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองเชิง ตอนที่ 4

    “ลองเชิง”
    ตอน 4
    ตุรกี นกหลายหัว จอมพริ้ว ดูเหมือนจะเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุด จากเทศกาลอาหรับสปริง ก่อนปี ค.ศ.2011 ตุรกี ก็ไม่ค่อยมีปัญหากับเพื่อนบ้านเท่าไหร่ และตุรกีค่อยๆขยายฐานการเมือง การค้าขาย และวัฒนธรรมของตัวเองไปอย่างเงียบๆมาตลอดเวลา รับปากไปทั่ว และมักจะเลือกยืนถูกข้างในความขัดแย้ง คือข้างที่กำลังได้เปรียบ
    นายรอญับ ตอยยิบ เอร์โดกาน (Recep Tayyip Erdogan) ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของตุรกีขณะนั้น เป็นผู้นำต่างประเทศรายแรก ที่กระซิบดังๆ บอกให้ มูบารัค ของอิยิปต์ เก็บของลาออก กลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านได้แล้ว และเขายังเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกๆ อีกเหมือนกัน ที่หันหลังให้กับกัดดาฟี ของลิเบีย เมื่อกัดดาฟีถูกกลุ่มกบฏไล่ล่า ไม่ต่างกับที่เขาหันหลังให้อัสสาด ของซีเรียในตอนแรก เมื่อซีเรียเริ่มมีปัญหา
    แต่ เอร์โดกาน เป็นนักการเมืองที่เก๋า เขี้ยวยาว ไม่เสียชื่อเป็นนกหลายหัว เขาเริ่มค่อยๆถอยห่างจากอเมริกาสัก ประมาณ 2 ปีมานี้ และตั้งแต่ถอยห่าง การประท้วงสาระพัดในตุรกี ก็เกิดขึ้นตามสูตร แต่ตุรกีคงมองเห็นว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่กำลังจะได้เปรียบ ทั้งในซีเรีย และตะวันออกกลาง วันนี้ดูเหมือนเขาเลือกข้างแล้ว เป็นข้างที่ไม่ใช่อเมริกาเป็นผู้นำ แต่ก็ยังอึกอักว่าไม่รักอัสซาดของซีเรีย แต่ตอนนี้พวกลูกพี่ที่ตัวมาเกาะใหม่ เขากำลังจะมาช่วยอัสซาด ตุรกี จึงกำลังมึนหัว แต่สงสัยจะสายไปแล้วนะ จะกลับเป็นนกหลายหัวอีก อาจจะไม่เหลือสักหัว
    อีกรายที่ได้ประโยชน์ กระโดดข้ามมาอยู่แถวหน้า ทั้งๆที่เป็นประเทศเล็ก คือ การ์ต้า ซึ่งเริ่มเบ่งรัศมีของตนมาก่อน ค.ศ.2011 ไม่นาน ด้วยการยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศตัว และเมื่อน้ำมันบูม การ์ต้าที่พลเมืองน้อย แต่รวยน้ำมัน ก็เลยกระเป๋าบวมไปด้วย การ์ต้าใช้ความเป็นเสี่ยปั้มรุ่นเล็ก แต่มาแรง บวกกับการตั้งสื่อ อัลจาซีรา Al-Jazeera ของตน กระจายเสียง โฆษณาตัวเอง จนดังไปทั่วโลก คนวางแผนเก่งครับ
    รัฐบาลการ์ต้าเป็นรายแรกๆ ที่ขยับขาอ้าแขนรับเทศกาลอาหรับสปริง อัลจาซีรา รายงานแบบเอียงไปเอียงมา ไม่ต่างกับซีเอนเอน ในเรื่องของกัดดาฟีของลิเบียและอัสสาดของซีเรีย เขาเล่นตีกันเป็นระนาดวง กับซีเอนเอน บีบีซี เอาซะทั้ง กัดดาฟีและอัสซาด เป็นเผด็จการจอมโหดสมควรตาย
    แต่เมื่อบาห์เรนเพื่อนบ้านค่ายเดียวกัน มีปัญหาภายใน เรื่องราวก็คล้ายกัน อัลจาซีรา เกิดเป็นใบ้ หลอดขาด จานดาวเทียมส่งสัญญาณไม่ได้เสียอย่างนั้น ตอนอัลจาซีรา ตั้งขึ้นมาใหม่ๆ ใครไม่อ้างแหล่งข่าวอัลจาซีรานี่เชยสะบั้น แต่ตอนนี้ ใครอ้างอัลจาซีรา ผมว่าไม่เชยนะ แต่ง่าวจัด
    ถึงจะเป็นประเทศเล็ก แต่เงินแยะ และมีสื่อใหญ่ระดับโลกอยู่ในมือ การ์ต้า จึงคิดพองตัว สนับสนุนทั้งเงินทุนและกองกำลัง ไปร่วมโค่นกัดดาฟี และโค่นรัฐบาลในตูนีเซีย หวังให้รัฐบาลใหม่ของ 2 ประเทศ นับตนเองเป็นลูกพี่ เรียนเร็วนะไอ้หนู
    ส่วนประเทศที่ย่อยยับ ไปกับเทศกาลอาหรับสปริง ไม่มีใครเกินอียิปต์ รองมาก็คือซีเรีย และอีกประเทศที่กำลังเหงื่อแตก รีบปรับกระบวนท่าของตัวเองคือ อิสราเอล
    อาหรับสปริง เป็นตัวอย่างของการเดินแผนของอเมริกาในตะวันออกกลาง ที่แย่ที่สุด หรือเยี่ยมที่สุด ที่เราจะต้องค่อยๆดูกันต่อไป
    อิยิปต์ นับเป็นมิตรระดับสำคัญของอเมริกามานานนับ 70 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สถานทูตอเมริกาในอิยิปต์ ช่วงหนึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ย้อนไปก่อนนั้น อิยิปต์ก็มีความหมายมากกับมหา อำนาจตะวันตกอย่างอังกฤษ เช่นเดียวกัน ถึงเวลาหมดประโยชน์ หรือไม่ต้องการใช้ หรือมีแผนใหม่ อเมริกาก็ไล่ มูบารัค ประธานาธิบดีอิยิปต์ ที่อเมริกาใช้เหมือนพรมเช็ดเท้าให้เก็บของออกไปจากทำเนียบ ไม่ได้ออกไปกลับบ้าน แต่ออกไปนอนในคุกอีกด้วย รอดมาจากการโดนตัดสินประหารชีวิต นี่ก็บุญแล้ว แล้วอิยิปต์ ประเทศที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน เป็นประเทศในความฝันของคนที่อยากเห็นแหล่งอารยะธรรม ที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ก็เหลือแต่ซาก กับกองขยะ ผลงานใครครับ
    ซีเรีย กำลังตามมาติดๆ แต่อิยิปต์กับซีเรียต่างกัน อิยิปต์ตกเป็นพรมเช็ดเท้า ถึงเวลาพวกพรมเช็ดเท้าด้วยกัน แทนที่จะช่วยประคอง ดันช่วยกันเหยียบซ้ำ ส่วนซีเรีย เลือกอยู่กับค่ายสู้ตาย จับมือกับลูกพี่อิหร่าน ต่อต้านอเมริกามาด้วยกัน วันนี้อิหร่านไม่มีทางทิ้งซีเรีย
    แต่มีไอ้บ้าน้ำลายฟูมปาก ออกมาทำท่าหน้าเครียดตาขึง พูดให้ชาวโลกฟังในที่ประชุมสหประชาติ เมื่อสามสี่วันก่อน ว่า ซีเรียเป็นอย่างนี้ เพราะมีผู้นำฆ่าประชาชนของตัวเอง แบบนี้เลวมาก เออ … แล้วผู้นำประเทศอื่น ที่ทั้งฆ่าประชาชนของประเทศอื่น และทำลายประเทศของเขา จนแทบไม่เหลือที่ให้ประชาชนซุกหัว กี่ประเทศแล้วมึง ไม่ผิด ไม่เลว งั้นหรือครับ พวกมึงมันเกินสัตว์นรก เกินกว่าผมจะหาคำมาด่าแล้ว...
    อิสราเอล แม้จะไม่มีปัญหาในบ้าน แต่เทศกาลอาหรับสปริง ก็ทำให้อิสราเอลเหนื่อยขึ้นแยะ แม้ว่าจะมีกองทัพที่ดูเหมือนจะเข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากอเมริกา ก็เริ่มจะถูกโดดเดี่ยว นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ
    อิสราเอล เคยอาศัยอิยิปต์ เป็นทั้งกำแพงและตัวเชื่อมกับกลุ่มมุสลิม เมื่อ อิยิปต์ถูกจัดอันดับใหม่ ได้มุสลิมหัวรุนแรงมาปกครอง อิสราเอลก็ขาดตัวเชื่อม เป็นยิวอยู่ในดงมุสลิม ก็คงหาเพื่อนยาก ตุรกี ซึ่งเคยพอพูดกันได้ ก็ดันไปสนับสนุนกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด Muslim Brotherhood รัฐบาลใหม่ ของอิยิปต์ อิสราเอลเลยหมดผู้ที่จะไปพูดด้วยได้ในตะวันออกกลาง
    อย่างนี้ ต้องชื่นชมคนออกแบบอาหรับสปริง เลว ลึกซึ้งมาก
    นอกจากนี้ อาหรับสปริงยังทำให้กลุ่ม ฮามาส Hamas และฟัตตาห์ Fatah กองกำลังติดอาวุธในปาเลสไตน์ ได้อาวุธ ที่ใครไม่รู้ ยึดมาจากลิเบีย และเอามาแบ่งให้กลุ่มฮามาสด้วย 2 กลุ่มนี้ จึงเหมือนติดปีก พร้อมลุยอิสราเอล แถมกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด ที่ขึ้นมาปกครองอียิปต์ต่อจากมูบารัค ยังทำท่าเห็นใจ สนับสนุน พวกฮามาส อีกด้วย แบบนี้ อิสราเอลก็ต้องลดความกร่าง กลับไปใช้ภาษาดอกไม้กับอเมริกามากขึ้น เกมนี้แน่จริงพี่
    มาถึงคู่แข่งสำคัญ อิหร่านกับซาอุดิอารเบีย ที่ไม่มีวันจะรักกัน ใหญ่กันอยู่คนละมุม ต่างก็ถูกกระทบจากเทศกาลอาหรับสปริง ทั้งทางลบและทางบวก
    ฝ่ายซาอุ กล่าวหาว่าอิหร่าน ฉวยโอกาส จากการระส่ำระสายจากเทศกาลอาหรับสปริง เข้าไปดูแลอิรัค ส่วนที่นับถือนิกายชีอะห์ด้วยกัน อิรัคที่ยังไม่ฟื้น จากการถูกอเมริกากระทืบ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของอิหร่าน ทำให้เครือข่ายชีอะห์ของอิหร่านขยายใหญ่ เป็นการกดดัน ซาอุ ทางอ้อม และ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ ซีเรียบวกอิรัค ยังเป็นแนวที่อิหร่านใช้ยันกับ อิสราเอล และซาอุดิอารเบียกับพวกเสี่ยปั้มสิงห์สำอางทั้งหลาย ได้อีกด้วย
    ข้อกล่าวหาของซาอุ ฟังขึ้น เพราะอิหร่านก็ดูเหมือนจะทำจริง นอกจากจะสนับสนุนอิรัคแล้ว
    อิหร่านยังสนับสนุน ทั้งกลุ่มฮามาส กลุ่มเฮสบอลเลาะห์ พันธุ์ดุทั้งนั้น เอาไว้ต้านกลุ่มเสี่ยปั้ม และอิสราเอล หรือจริงๆ ก็เอาไว้ต้านอิทธิพลของอเมริกานั่นเอง
    นอกจากนี้ ทั้งอิหร่าน อิรัค ซีเรีย ตุรกี เลบานอน ยังเป็นแนวรอบนอก ที่ทำให้การเข้าไปถึงรัสเซียทาง ด้านนี้ยากขึ้นด้วย ส่วนอีก 2 ด้านสำคัญ ที่จะเข้าถึงรัสเซีย คือ ทางยูเครนและอาฟกานิสถาน และคงไม่ยากที่จะเข้าใจ ว่า ทำไมเรื่องยูเครนถึงยืดเยื้อ และเมื่อรัสเซียเข้ามาถึงซีเรีย ทางด้านอาฟกานิสถานก็อาจจะร้อนขึ้นมาอีก
    ด้วยความเกี่ยวพัน พึ่งพากันเช่นนี้ รัสเซียและอิหร่าน จึงคงเป็นเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกันอีกคู่หนึ่ง
    ซาอุดิอารเบีย เสี่ยปั้มใหญ่ ไม่ถนัดออกหน้า ถนัดแต่ชี้นิ้ว และขี้บ่น เขาว่าเป็นนิสัยประจำตัวของคนที่นึกว่ารวยแล้ว มีแต่คนง้อ คนเอาใจ แต่เงินไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง และการมีบ่อน้ำมัน บางครั้งก็เหมือนมีลาภลอย แบบสามล้อถูกหวย ถ้าไม่รู้จักเก็บรักษาให้ดี ไม่ถูกปล้นจนหมดตัว ก็มือเติบใช้จนหมดตูด กลับไปถีบสามล้อเหมือนเดิม
    หลังอาหรับสปริง เมื่อมูบารัคของอียิปต์ถูกย้ายจากทำเนียบไปอยู่ในคุก บาห์เรน เสี่ยปั้มในค่ายเอาอเมริกาอีกรายก็เกิดเรื่อง เล่นเอาซาอุดิประสาทแดก รีบส่งกองกำลังเข้าไปในบาห์เรน พร้อมควักกระเป๋าอีก 2 หมื่นล้านเหรียญให้บาห์เรนกับโอมาน ไป “คุย” กับเยเมนให้รู้เรื่อง ในฐานะบ้านอยู่ติดกัน แถมมีสภาพคุมปากอ่าวเหมือนกัน และตอนนั้น เยเมนก็กำลังระส่ำไม่รู้ใครสร้าง
    เอะ เยเมนอยู่ปากอ่าว คุมเส้นทางส่งน้ำมันของซาอุ ที่จะออกมาทางมหาสมุทรอินเดีย เหมือนอิยิปต์ที่คุมเส้นทางส่งออกน้ำมันของซาอุไปทางเมดิเตอร์เรเนียน มองเห็นอะไรไหมครับ
    แต่ซาอุ คงอ่านไม่แตกฉาน ใช้เวลากับประสาทแดกเรื่องอิหร่านมากไปหน่อย แทนที่จะคิดสร้างความเข้มแข็งให้เกิดในประเทศตัว ไม่ใช่คอยแต่หวังพึ่งคนนอก ซาอุ ไม่ใช่รวยธรรมดา รวยน้ำมันที่สุดในโลกด้วย แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นสามล้อถูกหวย น่าเสียดาย
    น่าคิด และน่าสนใจไหมครับว่า ตลอดเวลาที่อเมริกาแซงชั้นอิหร่าน อิหร่านไม่ได้อยู่อย่างหรุหราสุขสบายอย่างพวกเสี่ยปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก แต่อิหร่านอยู่ได้ และแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน มาถึงวันนี้ แกร่งถึงขนาด ตัดสินใจเข้าฉาก เล่นเรื่องซีเรีย เล่นฉากนี้เหมือนตั้งใจฉีกหน้าอเมริกาโดยตรง แสดงว่าอิหร่านต้องมีดี
    อิหร่านมีรัสเซีย และจีน เป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือยามยาก ในยามที่อิหร่านถูกแซงชั่น อย่างใจดำและเป็นเวลานาน เราคงพอมองเห็น ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ มันต้องอดทน ทนอด ไม่ท้อถ้อยทั้งนั้น ไม่งั้นก็เป็นพรมเช็ดเท้าเขาไปตลอด
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 4 “ลองเชิง” ตอน 4 ตุรกี นกหลายหัว จอมพริ้ว ดูเหมือนจะเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุด จากเทศกาลอาหรับสปริง ก่อนปี ค.ศ.2011 ตุรกี ก็ไม่ค่อยมีปัญหากับเพื่อนบ้านเท่าไหร่ และตุรกีค่อยๆขยายฐานการเมือง การค้าขาย และวัฒนธรรมของตัวเองไปอย่างเงียบๆมาตลอดเวลา รับปากไปทั่ว และมักจะเลือกยืนถูกข้างในความขัดแย้ง คือข้างที่กำลังได้เปรียบ นายรอญับ ตอยยิบ เอร์โดกาน (Recep Tayyip Erdogan) ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของตุรกีขณะนั้น เป็นผู้นำต่างประเทศรายแรก ที่กระซิบดังๆ บอกให้ มูบารัค ของอิยิปต์ เก็บของลาออก กลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านได้แล้ว และเขายังเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกๆ อีกเหมือนกัน ที่หันหลังให้กับกัดดาฟี ของลิเบีย เมื่อกัดดาฟีถูกกลุ่มกบฏไล่ล่า ไม่ต่างกับที่เขาหันหลังให้อัสสาด ของซีเรียในตอนแรก เมื่อซีเรียเริ่มมีปัญหา แต่ เอร์โดกาน เป็นนักการเมืองที่เก๋า เขี้ยวยาว ไม่เสียชื่อเป็นนกหลายหัว เขาเริ่มค่อยๆถอยห่างจากอเมริกาสัก ประมาณ 2 ปีมานี้ และตั้งแต่ถอยห่าง การประท้วงสาระพัดในตุรกี ก็เกิดขึ้นตามสูตร แต่ตุรกีคงมองเห็นว่า ฝ่ายไหนกันแน่ที่กำลังจะได้เปรียบ ทั้งในซีเรีย และตะวันออกกลาง วันนี้ดูเหมือนเขาเลือกข้างแล้ว เป็นข้างที่ไม่ใช่อเมริกาเป็นผู้นำ แต่ก็ยังอึกอักว่าไม่รักอัสซาดของซีเรีย แต่ตอนนี้พวกลูกพี่ที่ตัวมาเกาะใหม่ เขากำลังจะมาช่วยอัสซาด ตุรกี จึงกำลังมึนหัว แต่สงสัยจะสายไปแล้วนะ จะกลับเป็นนกหลายหัวอีก อาจจะไม่เหลือสักหัว อีกรายที่ได้ประโยชน์ กระโดดข้ามมาอยู่แถวหน้า ทั้งๆที่เป็นประเทศเล็ก คือ การ์ต้า ซึ่งเริ่มเบ่งรัศมีของตนมาก่อน ค.ศ.2011 ไม่นาน ด้วยการยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศตัว และเมื่อน้ำมันบูม การ์ต้าที่พลเมืองน้อย แต่รวยน้ำมัน ก็เลยกระเป๋าบวมไปด้วย การ์ต้าใช้ความเป็นเสี่ยปั้มรุ่นเล็ก แต่มาแรง บวกกับการตั้งสื่อ อัลจาซีรา Al-Jazeera ของตน กระจายเสียง โฆษณาตัวเอง จนดังไปทั่วโลก คนวางแผนเก่งครับ รัฐบาลการ์ต้าเป็นรายแรกๆ ที่ขยับขาอ้าแขนรับเทศกาลอาหรับสปริง อัลจาซีรา รายงานแบบเอียงไปเอียงมา ไม่ต่างกับซีเอนเอน ในเรื่องของกัดดาฟีของลิเบียและอัสสาดของซีเรีย เขาเล่นตีกันเป็นระนาดวง กับซีเอนเอน บีบีซี เอาซะทั้ง กัดดาฟีและอัสซาด เป็นเผด็จการจอมโหดสมควรตาย แต่เมื่อบาห์เรนเพื่อนบ้านค่ายเดียวกัน มีปัญหาภายใน เรื่องราวก็คล้ายกัน อัลจาซีรา เกิดเป็นใบ้ หลอดขาด จานดาวเทียมส่งสัญญาณไม่ได้เสียอย่างนั้น ตอนอัลจาซีรา ตั้งขึ้นมาใหม่ๆ ใครไม่อ้างแหล่งข่าวอัลจาซีรานี่เชยสะบั้น แต่ตอนนี้ ใครอ้างอัลจาซีรา ผมว่าไม่เชยนะ แต่ง่าวจัด ถึงจะเป็นประเทศเล็ก แต่เงินแยะ และมีสื่อใหญ่ระดับโลกอยู่ในมือ การ์ต้า จึงคิดพองตัว สนับสนุนทั้งเงินทุนและกองกำลัง ไปร่วมโค่นกัดดาฟี และโค่นรัฐบาลในตูนีเซีย หวังให้รัฐบาลใหม่ของ 2 ประเทศ นับตนเองเป็นลูกพี่ เรียนเร็วนะไอ้หนู ส่วนประเทศที่ย่อยยับ ไปกับเทศกาลอาหรับสปริง ไม่มีใครเกินอียิปต์ รองมาก็คือซีเรีย และอีกประเทศที่กำลังเหงื่อแตก รีบปรับกระบวนท่าของตัวเองคือ อิสราเอล อาหรับสปริง เป็นตัวอย่างของการเดินแผนของอเมริกาในตะวันออกกลาง ที่แย่ที่สุด หรือเยี่ยมที่สุด ที่เราจะต้องค่อยๆดูกันต่อไป อิยิปต์ นับเป็นมิตรระดับสำคัญของอเมริกามานานนับ 70 ปี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สถานทูตอเมริกาในอิยิปต์ ช่วงหนึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ย้อนไปก่อนนั้น อิยิปต์ก็มีความหมายมากกับมหา อำนาจตะวันตกอย่างอังกฤษ เช่นเดียวกัน ถึงเวลาหมดประโยชน์ หรือไม่ต้องการใช้ หรือมีแผนใหม่ อเมริกาก็ไล่ มูบารัค ประธานาธิบดีอิยิปต์ ที่อเมริกาใช้เหมือนพรมเช็ดเท้าให้เก็บของออกไปจากทำเนียบ ไม่ได้ออกไปกลับบ้าน แต่ออกไปนอนในคุกอีกด้วย รอดมาจากการโดนตัดสินประหารชีวิต นี่ก็บุญแล้ว แล้วอิยิปต์ ประเทศที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน เป็นประเทศในความฝันของคนที่อยากเห็นแหล่งอารยะธรรม ที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ก็เหลือแต่ซาก กับกองขยะ ผลงานใครครับ ซีเรีย กำลังตามมาติดๆ แต่อิยิปต์กับซีเรียต่างกัน อิยิปต์ตกเป็นพรมเช็ดเท้า ถึงเวลาพวกพรมเช็ดเท้าด้วยกัน แทนที่จะช่วยประคอง ดันช่วยกันเหยียบซ้ำ ส่วนซีเรีย เลือกอยู่กับค่ายสู้ตาย จับมือกับลูกพี่อิหร่าน ต่อต้านอเมริกามาด้วยกัน วันนี้อิหร่านไม่มีทางทิ้งซีเรีย แต่มีไอ้บ้าน้ำลายฟูมปาก ออกมาทำท่าหน้าเครียดตาขึง พูดให้ชาวโลกฟังในที่ประชุมสหประชาติ เมื่อสามสี่วันก่อน ว่า ซีเรียเป็นอย่างนี้ เพราะมีผู้นำฆ่าประชาชนของตัวเอง แบบนี้เลวมาก เออ … แล้วผู้นำประเทศอื่น ที่ทั้งฆ่าประชาชนของประเทศอื่น และทำลายประเทศของเขา จนแทบไม่เหลือที่ให้ประชาชนซุกหัว กี่ประเทศแล้วมึง ไม่ผิด ไม่เลว งั้นหรือครับ พวกมึงมันเกินสัตว์นรก เกินกว่าผมจะหาคำมาด่าแล้ว... อิสราเอล แม้จะไม่มีปัญหาในบ้าน แต่เทศกาลอาหรับสปริง ก็ทำให้อิสราเอลเหนื่อยขึ้นแยะ แม้ว่าจะมีกองทัพที่ดูเหมือนจะเข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค เพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากอเมริกา ก็เริ่มจะถูกโดดเดี่ยว นี่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ อิสราเอล เคยอาศัยอิยิปต์ เป็นทั้งกำแพงและตัวเชื่อมกับกลุ่มมุสลิม เมื่อ อิยิปต์ถูกจัดอันดับใหม่ ได้มุสลิมหัวรุนแรงมาปกครอง อิสราเอลก็ขาดตัวเชื่อม เป็นยิวอยู่ในดงมุสลิม ก็คงหาเพื่อนยาก ตุรกี ซึ่งเคยพอพูดกันได้ ก็ดันไปสนับสนุนกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด Muslim Brotherhood รัฐบาลใหม่ ของอิยิปต์ อิสราเอลเลยหมดผู้ที่จะไปพูดด้วยได้ในตะวันออกกลาง อย่างนี้ ต้องชื่นชมคนออกแบบอาหรับสปริง เลว ลึกซึ้งมาก นอกจากนี้ อาหรับสปริงยังทำให้กลุ่ม ฮามาส Hamas และฟัตตาห์ Fatah กองกำลังติดอาวุธในปาเลสไตน์ ได้อาวุธ ที่ใครไม่รู้ ยึดมาจากลิเบีย และเอามาแบ่งให้กลุ่มฮามาสด้วย 2 กลุ่มนี้ จึงเหมือนติดปีก พร้อมลุยอิสราเอล แถมกลุ่มมุสลิมบราเธอร์ฮูด ที่ขึ้นมาปกครองอียิปต์ต่อจากมูบารัค ยังทำท่าเห็นใจ สนับสนุน พวกฮามาส อีกด้วย แบบนี้ อิสราเอลก็ต้องลดความกร่าง กลับไปใช้ภาษาดอกไม้กับอเมริกามากขึ้น เกมนี้แน่จริงพี่ มาถึงคู่แข่งสำคัญ อิหร่านกับซาอุดิอารเบีย ที่ไม่มีวันจะรักกัน ใหญ่กันอยู่คนละมุม ต่างก็ถูกกระทบจากเทศกาลอาหรับสปริง ทั้งทางลบและทางบวก ฝ่ายซาอุ กล่าวหาว่าอิหร่าน ฉวยโอกาส จากการระส่ำระสายจากเทศกาลอาหรับสปริง เข้าไปดูแลอิรัค ส่วนที่นับถือนิกายชีอะห์ด้วยกัน อิรัคที่ยังไม่ฟื้น จากการถูกอเมริกากระทืบ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของอิหร่าน ทำให้เครือข่ายชีอะห์ของอิหร่านขยายใหญ่ เป็นการกดดัน ซาอุ ทางอ้อม และ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ ซีเรียบวกอิรัค ยังเป็นแนวที่อิหร่านใช้ยันกับ อิสราเอล และซาอุดิอารเบียกับพวกเสี่ยปั้มสิงห์สำอางทั้งหลาย ได้อีกด้วย ข้อกล่าวหาของซาอุ ฟังขึ้น เพราะอิหร่านก็ดูเหมือนจะทำจริง นอกจากจะสนับสนุนอิรัคแล้ว อิหร่านยังสนับสนุน ทั้งกลุ่มฮามาส กลุ่มเฮสบอลเลาะห์ พันธุ์ดุทั้งนั้น เอาไว้ต้านกลุ่มเสี่ยปั้ม และอิสราเอล หรือจริงๆ ก็เอาไว้ต้านอิทธิพลของอเมริกานั่นเอง นอกจากนี้ ทั้งอิหร่าน อิรัค ซีเรีย ตุรกี เลบานอน ยังเป็นแนวรอบนอก ที่ทำให้การเข้าไปถึงรัสเซียทาง ด้านนี้ยากขึ้นด้วย ส่วนอีก 2 ด้านสำคัญ ที่จะเข้าถึงรัสเซีย คือ ทางยูเครนและอาฟกานิสถาน และคงไม่ยากที่จะเข้าใจ ว่า ทำไมเรื่องยูเครนถึงยืดเยื้อ และเมื่อรัสเซียเข้ามาถึงซีเรีย ทางด้านอาฟกานิสถานก็อาจจะร้อนขึ้นมาอีก ด้วยความเกี่ยวพัน พึ่งพากันเช่นนี้ รัสเซียและอิหร่าน จึงคงเป็นเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกันอีกคู่หนึ่ง ซาอุดิอารเบีย เสี่ยปั้มใหญ่ ไม่ถนัดออกหน้า ถนัดแต่ชี้นิ้ว และขี้บ่น เขาว่าเป็นนิสัยประจำตัวของคนที่นึกว่ารวยแล้ว มีแต่คนง้อ คนเอาใจ แต่เงินไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง และการมีบ่อน้ำมัน บางครั้งก็เหมือนมีลาภลอย แบบสามล้อถูกหวย ถ้าไม่รู้จักเก็บรักษาให้ดี ไม่ถูกปล้นจนหมดตัว ก็มือเติบใช้จนหมดตูด กลับไปถีบสามล้อเหมือนเดิม หลังอาหรับสปริง เมื่อมูบารัคของอียิปต์ถูกย้ายจากทำเนียบไปอยู่ในคุก บาห์เรน เสี่ยปั้มในค่ายเอาอเมริกาอีกรายก็เกิดเรื่อง เล่นเอาซาอุดิประสาทแดก รีบส่งกองกำลังเข้าไปในบาห์เรน พร้อมควักกระเป๋าอีก 2 หมื่นล้านเหรียญให้บาห์เรนกับโอมาน ไป “คุย” กับเยเมนให้รู้เรื่อง ในฐานะบ้านอยู่ติดกัน แถมมีสภาพคุมปากอ่าวเหมือนกัน และตอนนั้น เยเมนก็กำลังระส่ำไม่รู้ใครสร้าง เอะ เยเมนอยู่ปากอ่าว คุมเส้นทางส่งน้ำมันของซาอุ ที่จะออกมาทางมหาสมุทรอินเดีย เหมือนอิยิปต์ที่คุมเส้นทางส่งออกน้ำมันของซาอุไปทางเมดิเตอร์เรเนียน มองเห็นอะไรไหมครับ แต่ซาอุ คงอ่านไม่แตกฉาน ใช้เวลากับประสาทแดกเรื่องอิหร่านมากไปหน่อย แทนที่จะคิดสร้างความเข้มแข็งให้เกิดในประเทศตัว ไม่ใช่คอยแต่หวังพึ่งคนนอก ซาอุ ไม่ใช่รวยธรรมดา รวยน้ำมันที่สุดในโลกด้วย แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นสามล้อถูกหวย น่าเสียดาย น่าคิด และน่าสนใจไหมครับว่า ตลอดเวลาที่อเมริกาแซงชั้นอิหร่าน อิหร่านไม่ได้อยู่อย่างหรุหราสุขสบายอย่างพวกเสี่ยปั้มใหญ่ ปั้มเล็ก แต่อิหร่านอยู่ได้ และแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน มาถึงวันนี้ แกร่งถึงขนาด ตัดสินใจเข้าฉาก เล่นเรื่องซีเรีย เล่นฉากนี้เหมือนตั้งใจฉีกหน้าอเมริกาโดยตรง แสดงว่าอิหร่านต้องมีดี อิหร่านมีรัสเซีย และจีน เป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือยามยาก ในยามที่อิหร่านถูกแซงชั่น อย่างใจดำและเป็นเวลานาน เราคงพอมองเห็น ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ มันต้องอดทน ทนอด ไม่ท้อถ้อยทั้งนั้น ไม่งั้นก็เป็นพรมเช็ดเท้าเขาไปตลอด สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุตสาหกรรมการผลิตกับภัย Ransomware: ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีช่องโหว่

    แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตจะมีการพัฒนาระบบป้องกันไซเบอร์ที่ดีขึ้น แต่รายงานล่าสุดเผยว่า กว่า 40% ของการโจมตี ransomware ยังสามารถเข้ารหัสข้อมูลได้ ซึ่งถือว่าลดลงจาก 74% ในปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาสำคัญคือ 39% ของบริษัทที่ถูกเข้ารหัสข้อมูลยังสูญเสียข้อมูลไปด้วย ทำให้การป้องกันยังไม่สมบูรณ์นัก.

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้บริษัทจะมีการป้องกันที่ดีขึ้น แต่ มากกว่าครึ่งของบริษัทที่ถูกโจมตีเลือกที่จะจ่ายค่าไถ่ โดยมีค่าเฉลี่ยราว €861,000 ต่อครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันและความเสียหายที่รุนแรงต่อธุรกิจ การจ่ายค่าไถ่ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้โจมตีดำเนินการต่อไป.

    อีกประเด็นที่สำคัญคือ การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดย 43% ของบริษัทระบุว่าเป็นสาเหตุหลักของการโจมตี ขณะเดียวกันยังมีการกล่าวถึงช่องโหว่ที่ไม่รู้จัก (42%) และการขาดมาตรการป้องกันที่เพียงพอ (41%) ซึ่งทำให้ทีม IT ต้องรับภาระหนักและเกิดความเครียดสูง.

    นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อโครงสร้างองค์กร เช่น 27% ของบริษัทที่ถูกโจมตีมีการเปลี่ยนผู้นำด้านความปลอดภัย สะท้อนว่าผลกระทบจาก ransomware ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูล แต่ยังส่งผลต่อเสถียรภาพขององค์กรโดยตรง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สถานการณ์การโจมตีในอุตสาหกรรมการผลิต
    อัตราการเข้ารหัสข้อมูลลดลงเหลือ 40% จาก 74% ในปีที่ผ่านมา
    39% ของบริษัทที่ถูกเข้ารหัสข้อมูลยังสูญเสียข้อมูลเพิ่มเติม

    การตอบสนองของบริษัทที่ถูกโจมตี
    มากกว่าครึ่งเลือกที่จะจ่ายค่าไถ่
    ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ €861,000 ต่อครั้ง

    สาเหตุที่ทำให้การโจมตีสำเร็จ
    ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านความปลอดภัย (43%)
    ช่องโหว่ที่ไม่รู้จัก (42%)
    มาตรการป้องกันไม่เพียงพอ (41%)

    ผลกระทบต่อองค์กร
    ทีม IT และความปลอดภัยมีความเครียดสูง (47%)
    ความกดดันจากผู้บริหารเพิ่มขึ้น (44%) 27% ของบริษัทมีการเปลี่ยนผู้นำด้านความปลอดภัย

    คำเตือนต่อธุรกิจการผลิต
    การจ่ายค่าไถ่เป็นการกระตุ้นให้ผู้โจมตีดำเนินการต่อ
    การขาดบุคลากรและมาตรการที่เพียงพอทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีซ้ำ
    ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูล แต่ยังส่งผลต่อโครงสร้างและเสถียรภาพองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/4101958/ransomware-high-proportion-of-ransom-payments-despite-better-defenses.html
    🏭 อุตสาหกรรมการผลิตกับภัย Ransomware: ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีช่องโหว่ แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตจะมีการพัฒนาระบบป้องกันไซเบอร์ที่ดีขึ้น แต่รายงานล่าสุดเผยว่า กว่า 40% ของการโจมตี ransomware ยังสามารถเข้ารหัสข้อมูลได้ ซึ่งถือว่าลดลงจาก 74% ในปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาสำคัญคือ 39% ของบริษัทที่ถูกเข้ารหัสข้อมูลยังสูญเสียข้อมูลไปด้วย ทำให้การป้องกันยังไม่สมบูรณ์นัก. สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้บริษัทจะมีการป้องกันที่ดีขึ้น แต่ มากกว่าครึ่งของบริษัทที่ถูกโจมตีเลือกที่จะจ่ายค่าไถ่ โดยมีค่าเฉลี่ยราว €861,000 ต่อครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันและความเสียหายที่รุนแรงต่อธุรกิจ การจ่ายค่าไถ่ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้โจมตีดำเนินการต่อไป. อีกประเด็นที่สำคัญคือ การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดย 43% ของบริษัทระบุว่าเป็นสาเหตุหลักของการโจมตี ขณะเดียวกันยังมีการกล่าวถึงช่องโหว่ที่ไม่รู้จัก (42%) และการขาดมาตรการป้องกันที่เพียงพอ (41%) ซึ่งทำให้ทีม IT ต้องรับภาระหนักและเกิดความเครียดสูง. นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อโครงสร้างองค์กร เช่น 27% ของบริษัทที่ถูกโจมตีมีการเปลี่ยนผู้นำด้านความปลอดภัย สะท้อนว่าผลกระทบจาก ransomware ไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูล แต่ยังส่งผลต่อเสถียรภาพขององค์กรโดยตรง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สถานการณ์การโจมตีในอุตสาหกรรมการผลิต ➡️ อัตราการเข้ารหัสข้อมูลลดลงเหลือ 40% จาก 74% ในปีที่ผ่านมา ➡️ 39% ของบริษัทที่ถูกเข้ารหัสข้อมูลยังสูญเสียข้อมูลเพิ่มเติม ✅ การตอบสนองของบริษัทที่ถูกโจมตี ➡️ มากกว่าครึ่งเลือกที่จะจ่ายค่าไถ่ ➡️ ค่าไถ่เฉลี่ยอยู่ที่ €861,000 ต่อครั้ง ✅ สาเหตุที่ทำให้การโจมตีสำเร็จ ➡️ ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านความปลอดภัย (43%) ➡️ ช่องโหว่ที่ไม่รู้จัก (42%) ➡️ มาตรการป้องกันไม่เพียงพอ (41%) ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ ทีม IT และความปลอดภัยมีความเครียดสูง (47%) ➡️ ความกดดันจากผู้บริหารเพิ่มขึ้น (44%) ➡️ 27% ของบริษัทมีการเปลี่ยนผู้นำด้านความปลอดภัย ‼️ คำเตือนต่อธุรกิจการผลิต ⛔ การจ่ายค่าไถ่เป็นการกระตุ้นให้ผู้โจมตีดำเนินการต่อ ⛔ การขาดบุคลากรและมาตรการที่เพียงพอทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีซ้ำ ⛔ ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ข้อมูล แต่ยังส่งผลต่อโครงสร้างและเสถียรภาพองค์กร https://www.csoonline.com/article/4101958/ransomware-high-proportion-of-ransom-payments-despite-better-defenses.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Manufacturing fares better against ransomware — with room for improvement
    Although defenses have improved, more than half of the affected manufacturing companies pay ransom, with 39% suffering data loss, according to a recent survey.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Android Canary Build ช่วยย้ายไป iPhone ได้ง่ายขึ้น

    Google และ Apple กำลังร่วมมือกันเพื่อทำให้การย้ายข้อมูลจาก Android ไป iPhone ง่ายขึ้น โดยมีการทดสอบใน Android Canary build สำหรับ Pixel ขณะที่ iOS 26.2 กำลังจะเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง แต่ยังไม่รวมการย้ายข้อมูลกลับไป Android

    Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Android Canary 2512 build สำหรับ Pixel ที่ทำให้การย้ายข้อมูลไปยัง iPhone เป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะทำงานในขั้นตอนการตั้งค่าเครื่องใหม่ และช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนย้ายไฟล์ส่วนตัวได้อย่างราบรื่น ถือเป็นความร่วมมือที่น่าสนใจระหว่าง Google และ Apple ในการเพิ่มความเข้ากันได้ระหว่างสองระบบ

    iOS 26.2 ใกล้เปิดตัว แต่ยังไม่มีฟีเจอร์ย้ายข้อมูล
    แม้ว่า Android จะเริ่มทดสอบฟีเจอร์นี้แล้ว แต่ iOS 26.2 ที่กำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์นี้ยังไม่รวมการย้ายข้อมูลจาก iPhone ไป Android โดย Apple เพิ่งปล่อย Release Candidate (RC) ที่สอง ซึ่งบ่งชี้ว่าเวอร์ชันเต็มใกล้จะพร้อมใช้งานแล้ว

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26.2
    iOS 26.2 มาพร้อมการปรับปรุงหลายอย่าง เช่น
    Podcast app: เพิ่มระบบ chapter อัตโนมัติ, ฟีเจอร์ “From This Episode” สำหรับเข้าถึงลิงก์ที่แชร์ในตอนนั้น
    Apple News app: เพิ่มหมวดใหม่ ได้แก่ Sports, Puzzles, Politics, Food
    Apple Games app: ปรับปรุงการกรองเกม, เพิ่มการอัปเดตคะแนนแบบเรียลไทม์, รองรับ controller ดีขึ้น
    CarPlay และ Lock Screen: สามารถลบ pinned messages และปรับแต่งนาฬิกาด้วย Liquid Glass slider
    Reminders app: ตั้งปลุกพร้อมตัวเลือก snooze หรือ mark as complete
    Sleep Score: เปลี่ยนระดับสูงสุดจาก “Excellent” เป็น “Very High”
    AirDrop และ EU users: แชร์ไฟล์กับผู้ใช้ที่ไม่อยู่ใน contact ได้ 30 วัน และเลือก digital assistant อื่นแทน Siri ได้

    ความหมายต่อผู้ใช้
    การร่วมมือกันครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองบริษัทในการทำให้ ecosystem ของตนเปิดกว้างขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าการย้ายข้ามแพลตฟอร์มจะง่ายขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนสมาร์ทโฟน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Android Canary Build
    ทำให้การย้ายข้อมูลจาก Pixel ไป iPhone ง่ายขึ้น
    ทำงานในขั้นตอนการตั้งค่าเครื่องใหม่

    สถานะของ iOS 26.2
    ใกล้เปิดตัวพร้อม Release Candidate ที่สอง
    ยังไม่รวมฟีเจอร์ย้ายข้อมูลไป Android

    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26.2
    Podcast app เพิ่ม chapter และลิงก์จากตอน
    Apple News เพิ่ม 4 หมวดใหม่
    Apple Games ปรับปรุงระบบกรองและ controller
    CarPlay, Lock Screen และ Reminders ได้ฟีเจอร์ใหม่
    Sleep Score เปลี่ยนระดับสูงสุด
    EU users เลือก digital assistant อื่นแทน Siri ได้

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ฟีเจอร์ย้ายข้อมูลยังไม่พร้อมใน iOS 26.2
    การทำงานร่วมกันของ Quick Share และ AirDrop อาจถูก Apple ปิดช่องทางได้
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจใช้ได้เฉพาะในบางภูมิภาค เช่น EU

    https://wccftech.com/a-new-android-build-makes-it-a-breeze-to-switch-to-an-iphone-as-ios-26-2-nears-release/
    📱 ข่าวใหญ่: Android Canary Build ช่วยย้ายไป iPhone ได้ง่ายขึ้น Google และ Apple กำลังร่วมมือกันเพื่อทำให้การย้ายข้อมูลจาก Android ไป iPhone ง่ายขึ้น โดยมีการทดสอบใน Android Canary build สำหรับ Pixel ขณะที่ iOS 26.2 กำลังจะเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง แต่ยังไม่รวมการย้ายข้อมูลกลับไป Android Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Android Canary 2512 build สำหรับ Pixel ที่ทำให้การย้ายข้อมูลไปยัง iPhone เป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะทำงานในขั้นตอนการตั้งค่าเครื่องใหม่ และช่วยให้ผู้ใช้สามารถโอนย้ายไฟล์ส่วนตัวได้อย่างราบรื่น ถือเป็นความร่วมมือที่น่าสนใจระหว่าง Google และ Apple ในการเพิ่มความเข้ากันได้ระหว่างสองระบบ ⚡ iOS 26.2 ใกล้เปิดตัว แต่ยังไม่มีฟีเจอร์ย้ายข้อมูล แม้ว่า Android จะเริ่มทดสอบฟีเจอร์นี้แล้ว แต่ iOS 26.2 ที่กำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์นี้ยังไม่รวมการย้ายข้อมูลจาก iPhone ไป Android โดย Apple เพิ่งปล่อย Release Candidate (RC) ที่สอง ซึ่งบ่งชี้ว่าเวอร์ชันเต็มใกล้จะพร้อมใช้งานแล้ว 🎧 ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26.2 iOS 26.2 มาพร้อมการปรับปรุงหลายอย่าง เช่น 🎗️ Podcast app: เพิ่มระบบ chapter อัตโนมัติ, ฟีเจอร์ “From This Episode” สำหรับเข้าถึงลิงก์ที่แชร์ในตอนนั้น 🎗️ Apple News app: เพิ่มหมวดใหม่ ได้แก่ Sports, Puzzles, Politics, Food 🎗️ Apple Games app: ปรับปรุงการกรองเกม, เพิ่มการอัปเดตคะแนนแบบเรียลไทม์, รองรับ controller ดีขึ้น 🎗️ CarPlay และ Lock Screen: สามารถลบ pinned messages และปรับแต่งนาฬิกาด้วย Liquid Glass slider 🎗️ Reminders app: ตั้งปลุกพร้อมตัวเลือก snooze หรือ mark as complete 🎗️ Sleep Score: เปลี่ยนระดับสูงสุดจาก “Excellent” เป็น “Very High” 🎗️ AirDrop และ EU users: แชร์ไฟล์กับผู้ใช้ที่ไม่อยู่ใน contact ได้ 30 วัน และเลือก digital assistant อื่นแทน Siri ได้ 🌍 ความหมายต่อผู้ใช้ การร่วมมือกันครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองบริษัทในการทำให้ ecosystem ของตนเปิดกว้างขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าการย้ายข้ามแพลตฟอร์มจะง่ายขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนสมาร์ทโฟน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Android Canary Build ➡️ ทำให้การย้ายข้อมูลจาก Pixel ไป iPhone ง่ายขึ้น ➡️ ทำงานในขั้นตอนการตั้งค่าเครื่องใหม่ ✅ สถานะของ iOS 26.2 ➡️ ใกล้เปิดตัวพร้อม Release Candidate ที่สอง ➡️ ยังไม่รวมฟีเจอร์ย้ายข้อมูลไป Android ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26.2 ➡️ Podcast app เพิ่ม chapter และลิงก์จากตอน ➡️ Apple News เพิ่ม 4 หมวดใหม่ ➡️ Apple Games ปรับปรุงระบบกรองและ controller ➡️ CarPlay, Lock Screen และ Reminders ได้ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Sleep Score เปลี่ยนระดับสูงสุด ➡️ EU users เลือก digital assistant อื่นแทน Siri ได้ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ย้ายข้อมูลยังไม่พร้อมใน iOS 26.2 ⛔ การทำงานร่วมกันของ Quick Share และ AirDrop อาจถูก Apple ปิดช่องทางได้ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจใช้ได้เฉพาะในบางภูมิภาค เช่น EU https://wccftech.com/a-new-android-build-makes-it-a-breeze-to-switch-to-an-iphone-as-ios-26-2-nears-release/
    WCCFTECH.COM
    Android's Next Build Makes Switching to An iPhone Surprisingly Easy
    The new Pixel Canary build includes a Google-Apple device switchover collaboration, but Apple has yet to implement its part in the iOS 26.2.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micron ยังโผล่ที่ Delhi Comic-Con หลังประกาศปิดแบรนด์ Crucial

    แม้ว่า Micron เพิ่งประกาศว่าจะ ยุติธุรกิจผู้บริโภคภายใต้แบรนด์ Crucial ภายในกุมภาพันธ์ 2026 แต่ที่งาน Delhi Comic-Con เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมีบูธที่ติดโลโก้ Micron และ Crucial พร้อมโชว์สินค้า RAM และ SSD ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็น ถือเป็นภาพที่สร้างความแปลกใจให้กับหลายคนในวงการ

    ทำไม Crucial ยังปรากฏตัว?
    การปรากฏตัวครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนใจของ Micron แต่เป็นผลจากการวางแผนล่วงหน้ากับพันธมิตรในอินเดีย ซึ่งจองพื้นที่งานไว้หลายเดือนก่อนแล้ว อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการ ระบายสต็อกสินค้าผู้บริโภคที่ยังเหลืออยู่ ก่อนที่บริษัทจะหันไปโฟกัสกับธุรกิจหน่วยความจำสำหรับ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น HBM (High Bandwidth Memory) และ DRAM สำหรับองค์กร

    การเปลี่ยนทิศทางสู่ AI Infrastructure
    Micron อธิบายว่าการเลิกแบรนด์ Crucial ไม่ได้เกิดจากยอดขายระยะสั้น แต่เป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับ ความต้องการหน่วยความจำความเร็วสูงในยุค AI โดย HBM สามารถซ้อนชิปหลายชั้นและเชื่อมต่อด้วย interconnects แนวตั้ง ทำให้ได้ แบนด์วิดท์ต่อวัตต์สูงกว่าหน่วยความจำ DDR แบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่

    มุมมองตลาดอินเดีย
    อินเดียยังคงเป็นตลาด PC ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการมีบูธ Crucial ในงาน Comic-Con จึงสะท้อนถึงความพยายามของผู้จัดจำหน่ายและรีเทลเลอร์ในการ เคลียร์สินค้าคงคลัง ก่อนที่แบรนด์จะหายไปจากตลาดโลก การจัดแสดงครั้งนี้จึงเป็นเพียง “ภาพสุดท้าย” ของ Crucial ในสายตาผู้บริโภค

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Micron ปิดแบรนด์ Crucial ภายในกุมภาพันธ์ 2026
    หันไปโฟกัสกับ HBM และ DRAM สำหรับ AI และดาต้าเซ็นเตอร์

    การปรากฏตัวที่ Delhi Comic-Con
    เป็นการวางแผนล่วงหน้ากับพันธมิตร ไม่ใช่การกลับลำ
    ใช้โอกาสนี้เพื่อระบายสต็อก RAM และ SSD

    กลยุทธ์ใหม่ของ Micron
    ลงทุนใน HBM ที่ให้แบนด์วิดท์ต่อวัตต์สูงกว่า DDR
    รองรับความต้องการของ hyperscalers และคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่

    คำเตือนต่อผู้บริโภค
    สินค้า Crucial ที่ยังเหลือในตลาดจะถูกเลิกผลิตเร็ว ๆ นี้
    ผู้ใช้ควรระวังการซื้อสินค้ารุ่นเก่า เพราะอาจไม่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/micron-branded-booth-appears-at-delhi-comic-con-days-after-company-confirms-crucial-shutdown
    🖥️ Micron ยังโผล่ที่ Delhi Comic-Con หลังประกาศปิดแบรนด์ Crucial แม้ว่า Micron เพิ่งประกาศว่าจะ ยุติธุรกิจผู้บริโภคภายใต้แบรนด์ Crucial ภายในกุมภาพันธ์ 2026 แต่ที่งาน Delhi Comic-Con เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมีบูธที่ติดโลโก้ Micron และ Crucial พร้อมโชว์สินค้า RAM และ SSD ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็น ถือเป็นภาพที่สร้างความแปลกใจให้กับหลายคนในวงการ 🎮 ทำไม Crucial ยังปรากฏตัว? การปรากฏตัวครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนใจของ Micron แต่เป็นผลจากการวางแผนล่วงหน้ากับพันธมิตรในอินเดีย ซึ่งจองพื้นที่งานไว้หลายเดือนก่อนแล้ว อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการ ระบายสต็อกสินค้าผู้บริโภคที่ยังเหลืออยู่ ก่อนที่บริษัทจะหันไปโฟกัสกับธุรกิจหน่วยความจำสำหรับ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น HBM (High Bandwidth Memory) และ DRAM สำหรับองค์กร ⚡ การเปลี่ยนทิศทางสู่ AI Infrastructure Micron อธิบายว่าการเลิกแบรนด์ Crucial ไม่ได้เกิดจากยอดขายระยะสั้น แต่เป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับ ความต้องการหน่วยความจำความเร็วสูงในยุค AI โดย HBM สามารถซ้อนชิปหลายชั้นและเชื่อมต่อด้วย interconnects แนวตั้ง ทำให้ได้ แบนด์วิดท์ต่อวัตต์สูงกว่าหน่วยความจำ DDR แบบเดิม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ 🛒 มุมมองตลาดอินเดีย อินเดียยังคงเป็นตลาด PC ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการมีบูธ Crucial ในงาน Comic-Con จึงสะท้อนถึงความพยายามของผู้จัดจำหน่ายและรีเทลเลอร์ในการ เคลียร์สินค้าคงคลัง ก่อนที่แบรนด์จะหายไปจากตลาดโลก การจัดแสดงครั้งนี้จึงเป็นเพียง “ภาพสุดท้าย” ของ Crucial ในสายตาผู้บริโภค 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Micron ปิดแบรนด์ Crucial ภายในกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ หันไปโฟกัสกับ HBM และ DRAM สำหรับ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ ✅ การปรากฏตัวที่ Delhi Comic-Con ➡️ เป็นการวางแผนล่วงหน้ากับพันธมิตร ไม่ใช่การกลับลำ ➡️ ใช้โอกาสนี้เพื่อระบายสต็อก RAM และ SSD ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Micron ➡️ ลงทุนใน HBM ที่ให้แบนด์วิดท์ต่อวัตต์สูงกว่า DDR ➡️ รองรับความต้องการของ hyperscalers และคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ‼️ คำเตือนต่อผู้บริโภค ⛔ สินค้า Crucial ที่ยังเหลือในตลาดจะถูกเลิกผลิตเร็ว ๆ นี้ ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการซื้อสินค้ารุ่นเก่า เพราะอาจไม่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/micron-branded-booth-appears-at-delhi-comic-con-days-after-company-confirms-crucial-shutdown
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • Aware Super เตือน “ไฟส้ม” ในการเงิน AI

    Simon Warner ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) คนใหม่ของกองทุนบำเหน็จบำนาญ Aware Super มูลค่า 210 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ออกมาเตือนว่ามี “ไฟส้ม” กะพริบในบางรูปแบบการจัดหาเงินทุนของอุตสาหกรรม AI แม้ว่าโดยรวมแล้วการเติบโตของรายได้ยังคงสนับสนุนมูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น

    สัญญาณเตือนในตลาด AI
    Warner ระบุว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนใน โมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) และ ศูนย์ข้อมูล ส่วนใหญ่ยังมาจากแหล่งเงินทุนที่มั่นคง เช่น กำไรสะสมของบริษัทเทคโนโลยี แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการใช้ circular financing และ conduit financing มากขึ้น ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้น “ไฟแดง” แต่ก็ถือเป็น “ไฟส้ม” ที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
    เขายังชี้ว่า มูลค่าการลงทุนในกลุ่ม “Magnificent Seven” (Microsoft, Nvidia, Apple, Alphabet, Meta ฯลฯ) มีความเชื่อมโยงกับ ความมั่งคั่งของผู้บริโภคและอุปสงค์ในสหรัฐฯ หากเสาหลักใดเสาหลักหนึ่งสะดุด อาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นโลก Warner ยกตัวอย่างดีลของ Meta ที่เพิ่งทำสัญญาเงินทุน 27 พันล้านดอลลาร์กับ Blue Owl Capital เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท

    ความเสี่ยงและโอกาส
    แม้จะมีความกังวล แต่ Warner ย้ำว่า การเติบโตของรายได้ในอุตสาหกรรม AI ยังรองรับมูลค่าหุ้นที่สูง อย่างไรก็ตาม หากระดับการลงทุนเริ่มชะลอตัวลง ก็อาจกระทบต่อการประเมินมูลค่าและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สัญญาณการเงิน AI
    เริ่มเห็น circular financing และ conduit financing มากขึ้น
    ยังไม่ถึงขั้น “ไฟแดง” แต่ถือเป็น “ไฟส้ม”

    ความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้น
    มูลค่าหุ้น Magnificent Seven มีผลต่อความมั่งคั่งและอุปสงค์ในสหรัฐฯ
    หากเสาหลักสะดุด อาจเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่

    ตัวอย่างการลงทุน
    Meta ทำดีลเงินทุน 27 พันล้านดอลลาร์กับ Blue Owl Capital
    Microsoft, Nvidia, Apple, Alphabet และ Meta เป็นหุ้นหลักในพอร์ตของ Aware Super

    คำเตือนจาก CIO
    หากการลงทุนเริ่มชะลอตัว อาจกระทบต่อการประเมินมูลค่า AI
    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอาจนำไปสู่การแกว่งตัวของตลาดโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/09/aware-super-cio-warns-of-039orange039-lights-in-ai-financing-as-valuations-soar
    📈 Aware Super เตือน “ไฟส้ม” ในการเงิน AI Simon Warner ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) คนใหม่ของกองทุนบำเหน็จบำนาญ Aware Super มูลค่า 210 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ออกมาเตือนว่ามี “ไฟส้ม” กะพริบในบางรูปแบบการจัดหาเงินทุนของอุตสาหกรรม AI แม้ว่าโดยรวมแล้วการเติบโตของรายได้ยังคงสนับสนุนมูลค่าหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น 💡 สัญญาณเตือนในตลาด AI Warner ระบุว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนใน โมเดลภาษาใหญ่ (LLMs) และ ศูนย์ข้อมูล ส่วนใหญ่ยังมาจากแหล่งเงินทุนที่มั่นคง เช่น กำไรสะสมของบริษัทเทคโนโลยี แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการใช้ circular financing และ conduit financing มากขึ้น ซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้น “ไฟแดง” แต่ก็ถือเป็น “ไฟส้ม” ที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด 🏦 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เขายังชี้ว่า มูลค่าการลงทุนในกลุ่ม “Magnificent Seven” (Microsoft, Nvidia, Apple, Alphabet, Meta ฯลฯ) มีความเชื่อมโยงกับ ความมั่งคั่งของผู้บริโภคและอุปสงค์ในสหรัฐฯ หากเสาหลักใดเสาหลักหนึ่งสะดุด อาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นโลก Warner ยกตัวอย่างดีลของ Meta ที่เพิ่งทำสัญญาเงินทุน 27 พันล้านดอลลาร์กับ Blue Owl Capital เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท 🔮 ความเสี่ยงและโอกาส แม้จะมีความกังวล แต่ Warner ย้ำว่า การเติบโตของรายได้ในอุตสาหกรรม AI ยังรองรับมูลค่าหุ้นที่สูง อย่างไรก็ตาม หากระดับการลงทุนเริ่มชะลอตัวลง ก็อาจกระทบต่อการประเมินมูลค่าและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สัญญาณการเงิน AI ➡️ เริ่มเห็น circular financing และ conduit financing มากขึ้น ➡️ ยังไม่ถึงขั้น “ไฟแดง” แต่ถือเป็น “ไฟส้ม” ✅ ความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้น ➡️ มูลค่าหุ้น Magnificent Seven มีผลต่อความมั่งคั่งและอุปสงค์ในสหรัฐฯ ➡️ หากเสาหลักสะดุด อาจเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ✅ ตัวอย่างการลงทุน ➡️ Meta ทำดีลเงินทุน 27 พันล้านดอลลาร์กับ Blue Owl Capital ➡️ Microsoft, Nvidia, Apple, Alphabet และ Meta เป็นหุ้นหลักในพอร์ตของ Aware Super ‼️ คำเตือนจาก CIO ⛔ หากการลงทุนเริ่มชะลอตัว อาจกระทบต่อการประเมินมูลค่า AI ⛔ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอาจนำไปสู่การแกว่งตัวของตลาดโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/09/aware-super-cio-warns-of-039orange039-lights-in-ai-financing-as-valuations-soar
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Aware Super CIO warns of 'orange' lights in AI financing as valuations soar
    SYDNEY, Dec 9 (Reuters) - The chief investment officer of Australian pension fund Aware Super says there are flashing "orange" lights in some funding arrangements in the global artificial intelligence industry but earnings growth is backing up the sector's current valuations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้โมเดลภาษาที่อิงกับ “bag of words” ซึ่งมองคำเป็นเพียงหน่วยแยก ๆ โดยไม่สนใจบริบท ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของภาษา

    แนวคิด Bag of Words (BoW) เป็นวิธีการประมวลผลภาษาธรรมชาติที่ใช้กันมานาน โดยมองข้อความเป็นเพียงชุดของคำที่ไม่เรียงลำดับและไม่สนใจความสัมพันธ์เชิงไวยากรณ์ แม้ว่าจะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อความเชิงสถิติทำได้ง่าย แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการลดทอนความซับซ้อนของภาษาให้เหลือเพียงตัวเลขและความถี่ของคำ

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ BoW ทำให้โมเดลไม่สามารถเข้าใจ ความหมายเชิงบริบท ได้จริง เช่น คำว่า “bank” อาจหมายถึงธนาคารหรือฝั่งแม่น้ำ แต่ BoW จะไม่สามารถแยกแยะได้หากไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม การละเลยบริบทเช่นนี้อาจนำไปสู่การตีความผิดพลาดและผลลัพธ์ที่ไม่แม่นยำ

    นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสะท้อนว่า การพึ่งพา BoW เป็นการ “ทำให้ภาษากลายเป็นเศษซาก” เพราะมันไม่สามารถจับความละเอียดอ่อนของการสื่อสารมนุษย์ได้ เช่น อารมณ์ เสียงประชด หรือการเล่นคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ภาษามีชีวิตชีวาและทรงพลัง การวิจารณ์นี้จึงเป็นการเรียกร้องให้วงการ NLP มุ่งไปสู่โมเดลที่เข้าใจความหมายเชิงลึกมากขึ้น

    ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าโมเดลใหม่ ๆ อย่าง Transformer และ LLMs จะก้าวข้ามข้อจำกัดของ BoW ไปแล้ว แต่บทความนี้เตือนว่าเรายังต้องระวังไม่ให้การลดทอนภาษากลายเป็นการทำลายความหมายที่แท้จริง เพราะแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่หากละเลยความซับซ้อนของภาษา ก็อาจทำให้ AI เข้าใจโลกได้เพียงผิวเผิน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    แนวคิด Bag of Words
    มองข้อความเป็นชุดคำที่ไม่เรียงลำดับ
    ใช้ง่ายแต่ไม่สนใจความสัมพันธ์เชิงไวยากรณ์

    ข้อจำกัดของ BoW
    ไม่สามารถเข้าใจความหมายเชิงบริบท เช่น คำที่มีหลายความหมาย
    ลดทอนความซับซ้อนของภาษาเหลือเพียงตัวเลขและความถี่

    การเปรียบเทียบกับโมเดลใหม่
    Transformer และ LLMs ก้าวข้ามข้อจำกัดของ BoW
    สามารถจับความหมายและบริบทได้ดีกว่า

    คำเตือนจากบทความ
    การลดทอนภาษามากเกินไปอาจทำลายความหมายที่แท้จริง
    AI อาจเข้าใจโลกเพียงผิวเผินหากละเลยความละเอียดอ่อนของภาษา

    https://www.experimental-history.com/p/bag-of-words-have-mercy-on-us
    🔡 การใช้โมเดลภาษาที่อิงกับ “bag of words” ซึ่งมองคำเป็นเพียงหน่วยแยก ๆ โดยไม่สนใจบริบท ทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของภาษา แนวคิด Bag of Words (BoW) เป็นวิธีการประมวลผลภาษาธรรมชาติที่ใช้กันมานาน โดยมองข้อความเป็นเพียงชุดของคำที่ไม่เรียงลำดับและไม่สนใจความสัมพันธ์เชิงไวยากรณ์ แม้ว่าจะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อความเชิงสถิติทำได้ง่าย แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการลดทอนความซับซ้อนของภาษาให้เหลือเพียงตัวเลขและความถี่ของคำ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ BoW ทำให้โมเดลไม่สามารถเข้าใจ ความหมายเชิงบริบท ได้จริง เช่น คำว่า “bank” อาจหมายถึงธนาคารหรือฝั่งแม่น้ำ แต่ BoW จะไม่สามารถแยกแยะได้หากไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม การละเลยบริบทเช่นนี้อาจนำไปสู่การตีความผิดพลาดและผลลัพธ์ที่ไม่แม่นยำ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสะท้อนว่า การพึ่งพา BoW เป็นการ “ทำให้ภาษากลายเป็นเศษซาก” เพราะมันไม่สามารถจับความละเอียดอ่อนของการสื่อสารมนุษย์ได้ เช่น อารมณ์ เสียงประชด หรือการเล่นคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ภาษามีชีวิตชีวาและทรงพลัง การวิจารณ์นี้จึงเป็นการเรียกร้องให้วงการ NLP มุ่งไปสู่โมเดลที่เข้าใจความหมายเชิงลึกมากขึ้น ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าโมเดลใหม่ ๆ อย่าง Transformer และ LLMs จะก้าวข้ามข้อจำกัดของ BoW ไปแล้ว แต่บทความนี้เตือนว่าเรายังต้องระวังไม่ให้การลดทอนภาษากลายเป็นการทำลายความหมายที่แท้จริง เพราะแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่หากละเลยความซับซ้อนของภาษา ก็อาจทำให้ AI เข้าใจโลกได้เพียงผิวเผิน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ แนวคิด Bag of Words ➡️ มองข้อความเป็นชุดคำที่ไม่เรียงลำดับ ➡️ ใช้ง่ายแต่ไม่สนใจความสัมพันธ์เชิงไวยากรณ์ ✅ ข้อจำกัดของ BoW ➡️ ไม่สามารถเข้าใจความหมายเชิงบริบท เช่น คำที่มีหลายความหมาย ➡️ ลดทอนความซับซ้อนของภาษาเหลือเพียงตัวเลขและความถี่ ✅ การเปรียบเทียบกับโมเดลใหม่ ➡️ Transformer และ LLMs ก้าวข้ามข้อจำกัดของ BoW ➡️ สามารถจับความหมายและบริบทได้ดีกว่า ‼️ คำเตือนจากบทความ ⛔ การลดทอนภาษามากเกินไปอาจทำลายความหมายที่แท้จริง ⛔ AI อาจเข้าใจโลกเพียงผิวเผินหากละเลยความละเอียดอ่อนของภาษา https://www.experimental-history.com/p/bag-of-words-have-mercy-on-us
    WWW.EXPERIMENTAL-HISTORY.COM
    Bag of words, have mercy on us
    OR: Claude will you go to prom with me?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ใหม่ FvncBot โจมตีผู้ใช้ mBank

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Intel 471 พบมัลแวร์ Android banking trojan ตัวใหม่ชื่อ FvncBot เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 โดยมันถูกปลอมตัวเป็นแอปชื่อ “Klucz bezpieczeństwa Mbank” (Security Key Mbank) เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้ แต่แท้จริงแล้วเป็น payload ที่ซ่อนอยู่ในแอป

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้เพิ่มส่วนประกอบ “Play” เพื่อเสริมความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการเรียกใช้โค้ดของ FvncBot ที่ถูกฝังไว้ใน assets ของแอปโดยไม่เข้ารหัส ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    FvncBot ไม่ใช่การดัดแปลงจาก trojan รุ่นเก่า แต่ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด มันใช้หลายเทคนิค เช่น keylogging ผ่าน accessibility services, web-inject attacks, และ HVNC (Hidden Virtual Network Computing) ที่ช่วยให้ผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ screen streaming ด้วย H.264 ทำให้ผู้โจมตีเห็นหน้าจอของเหยื่อแบบเรียลไทม์

    ความสามารถเหล่านี้ทำให้ FvncBot เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อผู้ใช้ mobile banking เพราะสามารถขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ และแม้กระทั่งทำธุรกรรมแทนผู้ใช้ได้โดยตรง

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    แม้ว่าเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ mBank ในโปแลนด์ แต่มัลแวร์ลักษณะนี้สามารถถูกปรับใช้กับธนาคารหรือผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้เช่นกัน การแพร่กระจายผ่านการปลอมตัวเป็นแอปที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง หากไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของแอปอย่างรอบคอบ

    นักวิจัยเตือนว่าผู้ใช้ควรดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store หรือแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น และควรตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างละเอียด หากพบว่ามีการขอสิทธิ์ที่ไม่จำเป็น เช่น การเข้าถึง accessibility services หรือการควบคุมหน้าจอ ควรหลีกเลี่ยงทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การค้นพบมัลแวร์ FvncBot
    ปลอมตัวเป็นแอป Security Key ของ mBank
    ถูกพบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2025

    ความสามารถของ FvncBot
    ใช้ HVNC เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    สตรีมหน้าจอด้วย H.264 แบบเรียลไทม์
    ทำ keylogging และ web-inject เพื่อขโมยข้อมูล

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้
    อาจถูกใช้โจมตีธนาคารอื่น ๆ นอกโปแลนด์
    ผู้ใช้ที่ติดตั้งแอปจากแหล่งไม่ปลอดภัยมีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store เท่านั้น
    ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอก่อนติดตั้งทุกครั้ง

    https://securityonline.info/new-fvncbot-android-trojan-targets-mbank-users-with-hvnc-and-h-264-screen-streaming/
    🔒 มัลแวร์ใหม่ FvncBot โจมตีผู้ใช้ mBank นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Intel 471 พบมัลแวร์ Android banking trojan ตัวใหม่ชื่อ FvncBot เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 โดยมันถูกปลอมตัวเป็นแอปชื่อ “Klucz bezpieczeństwa Mbank” (Security Key Mbank) เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้ แต่แท้จริงแล้วเป็น payload ที่ซ่อนอยู่ในแอป เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้เพิ่มส่วนประกอบ “Play” เพื่อเสริมความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการเรียกใช้โค้ดของ FvncBot ที่ถูกฝังไว้ใน assets ของแอปโดยไม่เข้ารหัส ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที 🖥️ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน FvncBot ไม่ใช่การดัดแปลงจาก trojan รุ่นเก่า แต่ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด มันใช้หลายเทคนิค เช่น keylogging ผ่าน accessibility services, web-inject attacks, และ HVNC (Hidden Virtual Network Computing) ที่ช่วยให้ผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ screen streaming ด้วย H.264 ทำให้ผู้โจมตีเห็นหน้าจอของเหยื่อแบบเรียลไทม์ ความสามารถเหล่านี้ทำให้ FvncBot เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อผู้ใช้ mobile banking เพราะสามารถขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ และแม้กระทั่งทำธุรกรรมแทนผู้ใช้ได้โดยตรง ⚠️ ความเสี่ยงและคำเตือน แม้ว่าเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ mBank ในโปแลนด์ แต่มัลแวร์ลักษณะนี้สามารถถูกปรับใช้กับธนาคารหรือผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้เช่นกัน การแพร่กระจายผ่านการปลอมตัวเป็นแอปที่ดูน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปมีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง หากไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของแอปอย่างรอบคอบ นักวิจัยเตือนว่าผู้ใช้ควรดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store หรือแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น และควรตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขออย่างละเอียด หากพบว่ามีการขอสิทธิ์ที่ไม่จำเป็น เช่น การเข้าถึง accessibility services หรือการควบคุมหน้าจอ ควรหลีกเลี่ยงทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การค้นพบมัลแวร์ FvncBot ➡️ ปลอมตัวเป็นแอป Security Key ของ mBank ➡️ ถูกพบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2025 ✅ ความสามารถของ FvncBot ➡️ ใช้ HVNC เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ สตรีมหน้าจอด้วย H.264 แบบเรียลไทม์ ➡️ ทำ keylogging และ web-inject เพื่อขโมยข้อมูล ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ ⛔ อาจถูกใช้โจมตีธนาคารอื่น ๆ นอกโปแลนด์ ⛔ ผู้ใช้ที่ติดตั้งแอปจากแหล่งไม่ปลอดภัยมีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ดาวน์โหลดแอปจาก Google Play Store เท่านั้น ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์ที่แอปขอก่อนติดตั้งทุกครั้ง https://securityonline.info/new-fvncbot-android-trojan-targets-mbank-users-with-hvnc-and-h-264-screen-streaming/
    SECURITYONLINE.INFO
    New FvncBot Android Trojan Targets mBank Users with HVNC and H.264 Screen Streaming
    A unique Android banking trojan, FvncBot, targets mBank (Poland) customers. It uses HVNC and H.264 to stream screens and performs web-inject attacks via FCM/WebSocket C2.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654)

    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล

    ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา

    แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory

    ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool
    เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6

    การแก้ไขที่ปลอดภัย
    อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository

    ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก
    หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที
    ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ

    https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    💽 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc Disk Tool (CVE-2025-13654) มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Duc ซึ่งเป็นเครื่องมือโอเพนซอร์สสำหรับการจัดทำดัชนีและแสดงผลการใช้พื้นที่ดิสก์บนระบบ Linux โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-13654 และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการจัดการข้อมูล ปัญหาหลักเกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ภายในไฟล์ buffer.c โดยการตรวจสอบความยาวใช้การลบแบบ unsigned subtraction ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วย input ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้เกิดการอ่านหน่วยความจำที่อยู่นอกขอบเขต (out-of-bounds read) ผ่านคำสั่ง memcpy() ส่งผลให้ข้อมูลที่ไม่ควรถูกเข้าถึงอาจรั่วไหลออกมา แม้ว่า Duc จะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายในระบบเป็นหลัก แต่หากมีการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งภายนอก เช่น ฐานข้อมูลหรือ input stream ที่ไม่เชื่อถือได้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial of Service) หรือดึงข้อมูลจากหน่วยความจำ (Information Disclosure) ได้ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสำคัญที่อยู่ใน stack memory ข่าวดีคือทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน Duc 1.4.6 โดยผู้ใช้ทุกคนควรอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น โดยเวอร์ชันก่อนหน้า 1.4.6 ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งหมด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13654 ใน Duc Disk Tool ➡️ เกิดจาก integer underflow ในฟังก์ชัน buffer_get ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ Denial of Service (DoS) และ Information Disclosure จากการอ่านหน่วยความจำผิดพลาด ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน Duc 1.4.6 ✅ การแก้ไขที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตเป็น Duc 1.4.6 จาก GitHub repository ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กรที่ใช้ข้อมูลจากภายนอก ⛔ หาก Duc ประมวลผล input ที่ไม่เชื่อถือได้ อาจถูกโจมตีจนระบบล่มหรือข้อมูลรั่ว ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตทันที ⛔ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำโดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษ https://securityonline.info/high-severity-duc-disk-tool-flaw-cve-2025-13654-risks-dos-and-information-leak-via-integer-underflow/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Duc Disk Tool Flaw (CVE-2025-13654) Risks DoS and Information Leak via Integer Underflow
    A High-severity flaw (CVE-2025-13654) in the Duc disk usage tool risks DoS and information leaks. An integer underflow in buffer.c allows out-of-bounds memory read. Update to v1.4.6 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?"

    บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่

    บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา

    แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป

    ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การใช้งาน QR Code บนมือถือ
    กล้องมือถือสแกนได้ทันที
    ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว

    การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์
    ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส
    ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา
    อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป
    การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    🔲 "QR Code สะดวกบนมือถือ แต่ไม่เป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์?" บทความจาก The Star วิเคราะห์ว่า QR Code แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวก แต่จริง ๆ แล้วเหมาะกับการใช้งานบนมือถือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ช่วยเพื่อนที่ได้รับ QR Code สำหรับกรอกฟอร์มบนคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่รู้วิธีเปิดลิงก์จาก QR Code บนหน้าจอใหญ่ บนมือถือ การสแกน QR Code ทำได้ง่าย เพียงเปิดกล้องแล้วแตะปุ่มที่ปรากฏ ระบบจะพาไปยังเว็บไซต์ทันที แต่บนคอมพิวเตอร์กลับยุ่งยากกว่า เพราะไม่มีฟีเจอร์สแกนในตัว ผู้ใช้ต้อง แคปหน้าจอแล้วอัปโหลดไปยังเว็บถอดรหัส หรือใช้เครื่องมือเสริม เช่น Google Lens บน Chrome ที่สามารถคลิกขวาแล้วเลือก “Search with Google Lens” เพื่อดึงลิงก์ออกมา แม้วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าการใช้งานบนมือถือ และบางครั้ง QR Code ที่ฝังอยู่ในกราฟิกใหญ่ ๆ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อนถึงจะใช้งานได้ ทำให้เห็นชัดว่า QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อ โลกของสมาร์ทโฟน มากกว่าเดสก์ท็อป ผู้เขียนสรุปว่า QR Code เป็นเหมือน “บุ๊กมาร์กที่ซ่อนอยู่ในภาพ” ซึ่งสะดวกเมื่อใช้กล้องมือถือ แต่ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการเข้าถึงลิงก์โดยตรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การใช้งาน QR Code บนมือถือ ➡️ กล้องมือถือสแกนได้ทันที ➡️ ระบบเปิดลิงก์อัตโนมัติ สะดวกและรวดเร็ว ✅ การใช้งาน QR Code บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องแคปภาพแล้วอัปโหลดไปเว็บถอดรหัส ➡️ ใช้ Google Lens บน Chrome เพื่อดึงลิงก์ออกมา ➡️ อาจต้องครอบภาพหรือเปิดในแท็บใหม่ก่อน ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ QR Code ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือ ไม่เหมาะกับเดสก์ท็อป ⛔ การใช้งานบนคอมพ์ยังไม่สะดวกและต้องใช้หลายขั้นตอน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/07/opinion-are-qr-codes-computer-friendly
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Are QR codes computer-friendly?
    I have a friend who calls me occasionally to come help him with various little things having to do with the technology at his house. This week, one of his requests was to learn more about QR codes and how they work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • "USB Port หนึ่งช่อง รองรับได้กี่อุปกรณ์กันแน่?"

    หลายคนที่ใช้โน้ตบุ๊กซึ่งมีพอร์ต USB จำกัด อาจสงสัยว่า การต่ออุปกรณ์หลายอย่างผ่าน Hub จะทำให้พอร์ตทำงานหนักเกินไปหรือไม่ ความจริงแล้ว USB ถูกออกแบบมาให้รองรับอุปกรณ์จำนวนมากกว่าที่เราคิด โดยในเชิงทฤษฎี USB รุ่นเก่าสามารถรองรับได้ถึง 127 อุปกรณ์ และในมาตรฐานใหม่อย่าง USB 3.0 ขึ้นไป สามารถรองรับได้สูงสุด 255 อุปกรณ์

    อย่างไรก็ตาม การใช้งานจริงไม่สามารถไปถึงตัวเลขนั้นได้ เนื่องจากต้องใช้การ daisy-chain hub หลายชั้น ซึ่งมีข้อจำกัดด้าน topology ของ USB ที่กำหนดให้มีได้ไม่เกิน 7 ชั้น อีกทั้ง hub แต่ละตัวก็มีจำนวนพอร์ตจำกัด และยังนับรวมเป็นอุปกรณ์หนึ่งด้วย ทำให้จำนวนจริงที่ใช้งานได้ต่ำกว่ามาก

    นอกจากนี้ ผู้ผลิตเมนบอร์ดมักตั้งข้อจำกัดเองเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากเกินไปจนระบบไม่เสถียร หรือการใช้พลังงานเกินกำลังของ power supply ซึ่งถือเป็น bottleneck สำคัญ เพราะการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์จำนวนมากพร้อมกันเกินขีดจำกัดอาจทำให้ระบบล่มได้

    ดังนั้น แม้ว่าในเชิงทฤษฎี USB จะรองรับอุปกรณ์ได้หลายร้อย แต่ในโลกจริง ข้อจำกัดด้านพลังงานและการออกแบบระบบ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้เพียงอุปกรณ์ที่จำเป็น และเลือก hub ที่มีคุณภาพ เพื่อให้การเชื่อมต่อเสถียรและปลอดภัยที่สุด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ขีดจำกัดเชิงทฤษฎีของ USB
    USB รุ่นเก่า: รองรับสูงสุด 127 อุปกรณ์
    USB 3.0+: รองรับสูงสุด 255 อุปกรณ์

    ข้อจำกัดทางเทคนิค
    Daisy-chain hub ได้ไม่เกิน 7 ชั้น
    Hub แต่ละตัวนับเป็นอุปกรณ์หนึ่ง

    ข้อควรระวังในการใช้งานจริง
    ผู้ผลิตเมนบอร์ดมักตั้งข้อจำกัดเองเพื่อป้องกันปัญหา
    การใช้พลังงานเกินกำลัง power supply อาจทำให้ระบบล่ม

    https://www.slashgear.com/2041880/how-many-devices-one-usb-port/
    🔌 "USB Port หนึ่งช่อง รองรับได้กี่อุปกรณ์กันแน่?" หลายคนที่ใช้โน้ตบุ๊กซึ่งมีพอร์ต USB จำกัด อาจสงสัยว่า การต่ออุปกรณ์หลายอย่างผ่าน Hub จะทำให้พอร์ตทำงานหนักเกินไปหรือไม่ ความจริงแล้ว USB ถูกออกแบบมาให้รองรับอุปกรณ์จำนวนมากกว่าที่เราคิด โดยในเชิงทฤษฎี USB รุ่นเก่าสามารถรองรับได้ถึง 127 อุปกรณ์ และในมาตรฐานใหม่อย่าง USB 3.0 ขึ้นไป สามารถรองรับได้สูงสุด 255 อุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม การใช้งานจริงไม่สามารถไปถึงตัวเลขนั้นได้ เนื่องจากต้องใช้การ daisy-chain hub หลายชั้น ซึ่งมีข้อจำกัดด้าน topology ของ USB ที่กำหนดให้มีได้ไม่เกิน 7 ชั้น อีกทั้ง hub แต่ละตัวก็มีจำนวนพอร์ตจำกัด และยังนับรวมเป็นอุปกรณ์หนึ่งด้วย ทำให้จำนวนจริงที่ใช้งานได้ต่ำกว่ามาก นอกจากนี้ ผู้ผลิตเมนบอร์ดมักตั้งข้อจำกัดเองเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากเกินไปจนระบบไม่เสถียร หรือการใช้พลังงานเกินกำลังของ power supply ซึ่งถือเป็น bottleneck สำคัญ เพราะการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์จำนวนมากพร้อมกันเกินขีดจำกัดอาจทำให้ระบบล่มได้ ดังนั้น แม้ว่าในเชิงทฤษฎี USB จะรองรับอุปกรณ์ได้หลายร้อย แต่ในโลกจริง ข้อจำกัดด้านพลังงานและการออกแบบระบบ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้เพียงอุปกรณ์ที่จำเป็น และเลือก hub ที่มีคุณภาพ เพื่อให้การเชื่อมต่อเสถียรและปลอดภัยที่สุด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ขีดจำกัดเชิงทฤษฎีของ USB ➡️ USB รุ่นเก่า: รองรับสูงสุด 127 อุปกรณ์ ➡️ USB 3.0+: รองรับสูงสุด 255 อุปกรณ์ ✅ ข้อจำกัดทางเทคนิค ➡️ Daisy-chain hub ได้ไม่เกิน 7 ชั้น ➡️ Hub แต่ละตัวนับเป็นอุปกรณ์หนึ่ง ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งานจริง ⛔ ผู้ผลิตเมนบอร์ดมักตั้งข้อจำกัดเองเพื่อป้องกันปัญหา ⛔ การใช้พลังงานเกินกำลัง power supply อาจทำให้ระบบล่ม https://www.slashgear.com/2041880/how-many-devices-one-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Many Devices Can One USB Port Handle? - SlashGear
    Newer USB supports as many as 255 devices per port on paper, but motherboard restrictions, hub depth, and power needs keep the real limit much lower.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่อวัดปากน้ำ รุ่นอุดมสมบูรณ์พูนสุข ปี2527
    เหรียญหลวงพ่อวัดปากน้ำ เนื้อกะหลั่ยทอง รุ่นอุดมสมบูรณ์พูนสุข ปี2527 // พระดีพิธีใหญ๋ งานสมโภชชนมายุครบ 100 ปี และบรรจุพระธรรมขันธ์ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณในด้านความอุดมสมบูรณ์พูนสุข เมตตาค้าขาย โชคลาภ ชนะทุกสรรพสิ่ง มหาอำนาจ ชนะคู่แข่ง ชนะอริศัตรู แคล้วคลาด มหานิยม **

    ** พระมงคลเทพมุนี นามเดิม สด อุปสมบท เดือนกรกฎาคม 2449 ขณะมีอายุย่างเข้า 22 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำได้บอกแก่ศิษยานุศิษย์เมื่ออายุได้ 70 ปี ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าท่านจะละสังขาร ต่อมาอีกราว 3 ปี ท่านเริ่มอาพาธเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปีเศษ แม้ว่าจะอาพาธ ท่านก็มิได้แสดงอาการรันทดใจใด ๆ เลย ท่านยังคงต้อนรับแขกด้วยอาการยิ้มแย้มเสมอ เวลาจะลุกจะนั่งท่านไม่พอใจให้ใครไปช่วยเหลือ ท่านพอใจทำเองผู้อื่นคอยตามเพื่อช่วยเหลือเวลาท่านเซไปเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 เวลา 15.05 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ สิริอายุได้ 74 ปี 3 เดือน 24 วัน นับอายุพรรษาได้ 53 พรรษา **

    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อวัดปากน้ำ รุ่นอุดมสมบูรณ์พูนสุข ปี2527 เหรียญหลวงพ่อวัดปากน้ำ เนื้อกะหลั่ยทอง รุ่นอุดมสมบูรณ์พูนสุข ปี2527 // พระดีพิธีใหญ๋ งานสมโภชชนมายุครบ 100 ปี และบรรจุพระธรรมขันธ์ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณในด้านความอุดมสมบูรณ์พูนสุข เมตตาค้าขาย โชคลาภ ชนะทุกสรรพสิ่ง มหาอำนาจ ชนะคู่แข่ง ชนะอริศัตรู แคล้วคลาด มหานิยม ** ** พระมงคลเทพมุนี นามเดิม สด อุปสมบท เดือนกรกฎาคม 2449 ขณะมีอายุย่างเข้า 22 ปี หลวงพ่อวัดปากน้ำได้บอกแก่ศิษยานุศิษย์เมื่ออายุได้ 70 ปี ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าท่านจะละสังขาร ต่อมาอีกราว 3 ปี ท่านเริ่มอาพาธเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปีเศษ แม้ว่าจะอาพาธ ท่านก็มิได้แสดงอาการรันทดใจใด ๆ เลย ท่านยังคงต้อนรับแขกด้วยอาการยิ้มแย้มเสมอ เวลาจะลุกจะนั่งท่านไม่พอใจให้ใครไปช่วยเหลือ ท่านพอใจทำเองผู้อื่นคอยตามเพื่อช่วยเหลือเวลาท่านเซไปเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 เวลา 15.05 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ สิริอายุได้ 74 ปี 3 เดือน 24 วัน นับอายุพรรษาได้ 53 พรรษา ** ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูหนังฟังเพลง
    ♡ขอบคุณที่มีเธอ♡
    เรื่องย่อ:หลินท่าและอันจือเซวี่ยรู้จักกันในงานรับสมัครนักเรียน ฝึกงานตอนปีสาม ทั้งสองเป็นรักแรกพบและคบกันเมื่อรู้จักกันดีขึ้น เมื่อเรียนจบ สองคนออกสู่สังคมด้วยกัน แม้ว่าเส้นทางชีวิตจะไม่ราบรื่นแต่พวกเขาก็เป็นกำลังใจ กันและค่อย ๆ มาถูกทาง เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้สวย หลินท่าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความหวังดับวูบลง แต่ภายใต้กำลังใจและความอบอุ่น ของครอบครัว แฟนและเพื่อน หลินท่าท้าทายโรคภัย อย่างกล้าหาญและเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบตัวในการ ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง
    #wetv
    #wetvthailand
    #เพลงไทย
    #ซีรีส์จีน
    #เพลงเพราะ
    #ชีวิตคือสมมุติ
    ดูหนังฟังเพลง ♡ขอบคุณที่มีเธอ♡ เรื่องย่อ:หลินท่าและอันจือเซวี่ยรู้จักกันในงานรับสมัครนักเรียน ฝึกงานตอนปีสาม ทั้งสองเป็นรักแรกพบและคบกันเมื่อรู้จักกันดีขึ้น เมื่อเรียนจบ สองคนออกสู่สังคมด้วยกัน แม้ว่าเส้นทางชีวิตจะไม่ราบรื่นแต่พวกเขาก็เป็นกำลังใจ กันและค่อย ๆ มาถูกทาง เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้สวย หลินท่าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ความหวังดับวูบลง แต่ภายใต้กำลังใจและความอบอุ่น ของครอบครัว แฟนและเพื่อน หลินท่าท้าทายโรคภัย อย่างกล้าหาญและเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบตัวในการ ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง #wetv #wetvthailand #เพลงไทย #ซีรีส์จีน #เพลงเพราะ #ชีวิตคือสมมุติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เบราว์เซอร์สาย Firefox – ทางเลือกใหม่แทน Chromium

    แม้ว่า Google Chrome จะครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยความสะดวกในการซิงก์และการใช้งาน แต่ก็ถูกวิจารณ์เรื่อง ความเป็นส่วนตัว อยู่บ่อยครั้ง ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดคือ Mozilla Firefox อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบ Firefox ดังนั้นจึงมีการพัฒนาเบราว์เซอร์ที่ใช้ฐาน Firefox แต่ปรับแต่งให้ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น เน้นความเป็นส่วนตัว ความเร็ว หรือการปรับแต่งหน้าตา

    LibreWolf และ Waterfox – สายความเป็นส่วนตัว
    LibreWolf มุ่งเน้นการลบ Telemetry และการเก็บข้อมูลทุกชนิด พร้อมตั้งค่าเริ่มต้นให้ใช้เสิร์ชเอนจินที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว เช่น DuckDuckGo และ Qwant รวมถึงติดตั้ง uBlock Origin มาในตัว

    Waterfox เน้นการป้องกันการติดตาม เช่น Oblivious DNS และการแชร์ลิงก์แบบสะอาด (Clean Link Sharing) พร้อมฟีเจอร์ใช้งานง่าย เช่น Vertical Tabs และ Container Tabs ที่ช่วยจัดการงานหลายอย่างได้สะดวก

    Zen และ Floorp – สายปรับแต่งและ Productivity
    Zen Browser โดดเด่นด้วย Sidebar แบบ Vertical Tabs, Split View สำหรับเปิดหลายแท็บพร้อมกัน และธีมที่ปรับแต่งได้หลากหลาย เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสวยงามและการทำงานหลายหน้าจอ

    Floorp Browser เน้นการปรับแต่ง UI อย่างอิสระ เช่น Tree-style Tabs, Containerized Workspaces และการบันทึกโน้ตในตัว เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ Productivity สูงและการจัดการงานหลายรูปแบบ

    Tor, Mullvad และ Pale Moon – สายความปลอดภัยและคลาสสิก
    Tor Browser ใช้ Onion Routing เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือความเร็วต่ำ

    Mullvad Browser คล้าย Tor แต่ไม่ใช้ Onion Routing เน้นการป้องกัน Fingerprinting และแนะนำให้ใช้คู่กับ VPN

    Pale Moon เป็น Fork รุ่นเก่าที่ใช้เอนจิน Goanna และยังรองรับปลั๊กอิน Legacy ของ Firefox เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์ดั้งเดิม

    สรุปสาระสำคัญ
    LibreWolf เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด
    ลบ Telemetry, ใช้เสิร์ชเอนจินปลอดภัย, มี uBlock Origin

    Waterfox เพิ่มฟีเจอร์ใช้งานง่าย
    Oblivious DNS, Vertical Tabs, Container Tabs

    Zen Browser เน้นความสวยงามและ Multitasking
    Vertical Sidebar, Split View, ธีมปรับแต่งได้

    Floorp Browser เหมาะกับ Productivity
    Workspaces, Split Tabs, Note Integration

    Tor Browser ปกป้องความเป็นส่วนตัวขั้นสูง
    Onion Routing, Fingerprinting Protection

    Mullvad Browser ลดการระบุตัวตน
    Anti-fingerprinting, DNS-over-HTTPS, ใช้คู่กับ VPN

    Pale Moon รักษาสไตล์ Firefox รุ่นเก่า
    ใช้เอนจิน Goanna, รองรับปลั๊กอิน Legacy

    Tor Browser อาจช้าและไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    ฟีเจอร์ที่ต้องใช้ Geolocation ทำงานไม่ดี

    Mullvad Browser ต้องใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
    มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมรายเดือน

    https://itsfoss.com/firefox-based-browsers/
    🌐 เบราว์เซอร์สาย Firefox – ทางเลือกใหม่แทน Chromium แม้ว่า Google Chrome จะครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยความสะดวกในการซิงก์และการใช้งาน แต่ก็ถูกวิจารณ์เรื่อง ความเป็นส่วนตัว อยู่บ่อยครั้ง ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดคือ Mozilla Firefox อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบ Firefox ดังนั้นจึงมีการพัฒนาเบราว์เซอร์ที่ใช้ฐาน Firefox แต่ปรับแต่งให้ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น เน้นความเป็นส่วนตัว ความเร็ว หรือการปรับแต่งหน้าตา 🔒 LibreWolf และ Waterfox – สายความเป็นส่วนตัว 💠 LibreWolf มุ่งเน้นการลบ Telemetry และการเก็บข้อมูลทุกชนิด พร้อมตั้งค่าเริ่มต้นให้ใช้เสิร์ชเอนจินที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว เช่น DuckDuckGo และ Qwant รวมถึงติดตั้ง uBlock Origin มาในตัว 💠 Waterfox เน้นการป้องกันการติดตาม เช่น Oblivious DNS และการแชร์ลิงก์แบบสะอาด (Clean Link Sharing) พร้อมฟีเจอร์ใช้งานง่าย เช่น Vertical Tabs และ Container Tabs ที่ช่วยจัดการงานหลายอย่างได้สะดวก 🎨 Zen และ Floorp – สายปรับแต่งและ Productivity 💠 Zen Browser โดดเด่นด้วย Sidebar แบบ Vertical Tabs, Split View สำหรับเปิดหลายแท็บพร้อมกัน และธีมที่ปรับแต่งได้หลากหลาย เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสวยงามและการทำงานหลายหน้าจอ 💠 Floorp Browser เน้นการปรับแต่ง UI อย่างอิสระ เช่น Tree-style Tabs, Containerized Workspaces และการบันทึกโน้ตในตัว เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ Productivity สูงและการจัดการงานหลายรูปแบบ 🕵️ Tor, Mullvad และ Pale Moon – สายความปลอดภัยและคลาสสิก 💠 Tor Browser ใช้ Onion Routing เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือความเร็วต่ำ 💠 Mullvad Browser คล้าย Tor แต่ไม่ใช้ Onion Routing เน้นการป้องกัน Fingerprinting และแนะนำให้ใช้คู่กับ VPN 💠 Pale Moon เป็น Fork รุ่นเก่าที่ใช้เอนจิน Goanna และยังรองรับปลั๊กอิน Legacy ของ Firefox เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสไตล์ดั้งเดิม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ LibreWolf เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด ➡️ ลบ Telemetry, ใช้เสิร์ชเอนจินปลอดภัย, มี uBlock Origin ✅ Waterfox เพิ่มฟีเจอร์ใช้งานง่าย ➡️ Oblivious DNS, Vertical Tabs, Container Tabs ✅ Zen Browser เน้นความสวยงามและ Multitasking ➡️ Vertical Sidebar, Split View, ธีมปรับแต่งได้ ✅ Floorp Browser เหมาะกับ Productivity ➡️ Workspaces, Split Tabs, Note Integration ✅ Tor Browser ปกป้องความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ➡️ Onion Routing, Fingerprinting Protection ✅ Mullvad Browser ลดการระบุตัวตน ➡️ Anti-fingerprinting, DNS-over-HTTPS, ใช้คู่กับ VPN ✅ Pale Moon รักษาสไตล์ Firefox รุ่นเก่า ➡️ ใช้เอนจิน Goanna, รองรับปลั๊กอิน Legacy ‼️ Tor Browser อาจช้าและไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ⛔ ฟีเจอร์ที่ต้องใช้ Geolocation ทำงานไม่ดี ‼️ Mullvad Browser ต้องใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ⛔ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมรายเดือน https://itsfoss.com/firefox-based-browsers/
    ITSFOSS.COM
    Not Every Browser is Built on Chrome: Explore These Firefox-based Options
    Think all popular browsers out there are Chromium based? Take a look at this Firefox-based options.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.36

    บรรพบุรุษ หรือผู้สืบสันดานก่อนหน้า เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งในทางสังคมและวัฒนธรรม แต่ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะหมวดว่าด้วยมรดก คำนี้กลับมีนัยที่จำกัดและเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ในการรับและถ่ายโอนทรัพย์สิน บทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดให้ "บรรพบุรุษ" คือบุคคลที่อยู่เหนือขึ้นไปตามสายโลหิตในลำดับญาติ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดลำดับ ทายาทโดยธรรม โดยลำดับของทายาทโดยธรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น ได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย และ ลุง ป้า น้า อา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็น "ผู้สืบสันดานก่อนหน้า" ในความหมายกว้าง แต่ในทางกฎหมายเฉพาะเจาะจงเมื่อพิจารณาสิทธิในการรับมรดก บิดามารดา และ ปู่ ย่า ตา ยาย นั้นเองที่จัดอยู่ในกลุ่มบรรพบุรุษโดยตรงของผู้ตายตามหลักความสัมพันธ์ทางสายโลหิต กฎหมายได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์นี้ โดยกำหนดให้ผู้สืบสันดานและบิดามารดาเป็นทายาทในลำดับต้นๆ ที่มีสิทธิรับมรดก การที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้สืบสันดานและบิดามารดาได้รับมรดกพร้อมกันนั้น เป็นการสะท้อนแนวคิดทางกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดทั้งในแนวลง (สู่ลูกหลาน) และในแนวย้อนขึ้น (สู่บรรพบุรุษผู้ให้กำเนิด) พร้อมกันไปหากผู้ตายไม่มีผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานคนใดตายไปก่อน การพิจารณาสิทธิของบรรพบุรุษ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ก็จะเข้ามามีบทบาทในลำดับถัดไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งมรดก การกำหนดสถานะทางกฎหมายของบรรพบุรุษจึงไม่ใช่เพียงการยกย่องตามจารีต แต่เป็นการกำหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายในการเข้าถือครองทรัพย์สินของผู้ตายตามเจตนารมณ์ที่สันนิษฐานของกฎหมายและหลักการยุติธรรมในการจัดสรรทรัพย์สินภายในครอบครัว การทำความเข้าใจมิติทางกฎหมายของคำว่าบรรพบุรุษจึงเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนมรดกและการจัดการทรัพย์สินเพื่อป้องกันข้อพิพาทอันอาจเกิดขึ้นในภายหลัง

    การสืบสันดานตามกฎหมายยังขยายขอบเขตไปถึงเรื่อง "การรับมรดกแทนที่" ที่อนุญาตให้ผู้สืบสันดานของทายาทโดยธรรมที่ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกแทนที่ในส่วนแบ่งที่ทายาทผู้นั้นจะพึงได้รับ หากบุคคลนั้นเป็นผู้สืบสันดานลำดับที่ 1 หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งหลักการนี้เป็นการรับรองและขยายแนวคิดการสืบทอดสายโลหิตต่อเนื่องไปอีกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในบริบทของการรับมรดกแทนที่ บรรพบุรุษไม่สามารถเข้ามารับมรดกแทนที่ได้ การรับมรดกแทนที่จำกัดเฉพาะในแนวลงเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญของกฎหมายมรดกที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดทรัพย์สินไปยังคนรุ่นหลังมากกว่าในแนวย้อนขึ้น กฎหมายมรดกยังคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของความสัมพันธ์ โดยมีการกำหนด "เหตุแห่งการถูกกำจัดมิให้รับมรดก" หรือ "การเป็นผู้ไม่สมควรได้รับมรดก" ซึ่งเป็นการตัดสิทธิของทายาท รวมถึงบรรพบุรุษ หากได้กระทำการอันเป็นความร้ายแรงต่อเจ้ามรดก เช่น ฆ่าหรือพยายามฆ่า หรือฟ้องร้องใส่ร้ายว่าเจ้ามรดกกระทำความผิดที่มีโทษหนัก การกำหนดเหตุผลในการตัดสิทธิเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ทางสายโลหิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องประกอบด้วยความเคารพและการปฏิบัติต่อกันตามหลักศีลธรรมอันดีงามด้วย นอกเหนือจากทายาทโดยธรรมแล้ว เจ้ามรดกยังมีสิทธิทำ "พินัยกรรม" เพื่อกำหนดให้บุคคลใดๆ รวมถึงบรรพบุรุษของตน ได้รับทรัพย์สินตามที่ตนปรารถนาตามเจตนารมณ์ แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิจากการเป็นทายาทโดยธรรมหรือไม่ก็ตาม การทำพินัยกรรมจึงเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการแสดงเจตจำนงสุดท้ายของเจ้ามรดกในการจัดการทรัพย์สินของตน ซึ่งจะเข้ามามีอำนาจเหนือบทบัญญัติว่าด้วยการแบ่งมรดกตามลำดับทายาทโดยธรรม แต่ทั้งนี้การทำพินัยกรรมก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและห้ามมิให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้รับพินัยกรรมที่มีข้อจำกัดตามกฎหมาย การพิจารณาความสมบูรณ์และผลบังคับของพินัยกรรมจึงเป็นอีกมิติหนึ่งที่นักกฎหมายและประชาชนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อทำให้การสืบทอดมรดกเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรม

    โดยสรุปแล้ว คำว่า "บรรพบุรุษ" ในบริบทของมรดกและครอบครัวตามกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นเพียงคำที่กล่าวถึงผู้ให้กำเนิด แต่เป็นการกำหนดสถานะและสิทธิในการรับการถ่ายโอนทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่เหนือขึ้นไปตามสายโลหิต การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงลำดับทายาทโดยธรรม ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับมรดกแทนที่ และการถูกกำจัดมิให้รับมรดก เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการความมั่งคั่งของครอบครัวและป้องกันข้อพิพาททางกฎหมาย การให้ความเคารพต่อความหมายทางกฎหมายของบรรพบุรุษจึงเป็นรากฐานสำคัญของการสืบทอดทรัพย์สินที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผู้ตายและกฎหมายบ้านเมือง
    บทความกฎหมาย EP.36 บรรพบุรุษ หรือผู้สืบสันดานก่อนหน้า เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งในทางสังคมและวัฒนธรรม แต่ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะหมวดว่าด้วยมรดก คำนี้กลับมีนัยที่จำกัดและเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่งเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ในการรับและถ่ายโอนทรัพย์สิน บทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดให้ "บรรพบุรุษ" คือบุคคลที่อยู่เหนือขึ้นไปตามสายโลหิตในลำดับญาติ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดลำดับ ทายาทโดยธรรม โดยลำดับของทายาทโดยธรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น ได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย และ ลุง ป้า น้า อา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็น "ผู้สืบสันดานก่อนหน้า" ในความหมายกว้าง แต่ในทางกฎหมายเฉพาะเจาะจงเมื่อพิจารณาสิทธิในการรับมรดก บิดามารดา และ ปู่ ย่า ตา ยาย นั้นเองที่จัดอยู่ในกลุ่มบรรพบุรุษโดยตรงของผู้ตายตามหลักความสัมพันธ์ทางสายโลหิต กฎหมายได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์นี้ โดยกำหนดให้ผู้สืบสันดานและบิดามารดาเป็นทายาทในลำดับต้นๆ ที่มีสิทธิรับมรดก การที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้สืบสันดานและบิดามารดาได้รับมรดกพร้อมกันนั้น เป็นการสะท้อนแนวคิดทางกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดทั้งในแนวลง (สู่ลูกหลาน) และในแนวย้อนขึ้น (สู่บรรพบุรุษผู้ให้กำเนิด) พร้อมกันไปหากผู้ตายไม่มีผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานคนใดตายไปก่อน การพิจารณาสิทธิของบรรพบุรุษ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ก็จะเข้ามามีบทบาทในลำดับถัดไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งมรดก การกำหนดสถานะทางกฎหมายของบรรพบุรุษจึงไม่ใช่เพียงการยกย่องตามจารีต แต่เป็นการกำหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายในการเข้าถือครองทรัพย์สินของผู้ตายตามเจตนารมณ์ที่สันนิษฐานของกฎหมายและหลักการยุติธรรมในการจัดสรรทรัพย์สินภายในครอบครัว การทำความเข้าใจมิติทางกฎหมายของคำว่าบรรพบุรุษจึงเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนมรดกและการจัดการทรัพย์สินเพื่อป้องกันข้อพิพาทอันอาจเกิดขึ้นในภายหลัง การสืบสันดานตามกฎหมายยังขยายขอบเขตไปถึงเรื่อง "การรับมรดกแทนที่" ที่อนุญาตให้ผู้สืบสันดานของทายาทโดยธรรมที่ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกแทนที่ในส่วนแบ่งที่ทายาทผู้นั้นจะพึงได้รับ หากบุคคลนั้นเป็นผู้สืบสันดานลำดับที่ 1 หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งหลักการนี้เป็นการรับรองและขยายแนวคิดการสืบทอดสายโลหิตต่อเนื่องไปอีกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในบริบทของการรับมรดกแทนที่ บรรพบุรุษไม่สามารถเข้ามารับมรดกแทนที่ได้ การรับมรดกแทนที่จำกัดเฉพาะในแนวลงเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญของกฎหมายมรดกที่ให้ความสำคัญกับการสืบทอดทรัพย์สินไปยังคนรุ่นหลังมากกว่าในแนวย้อนขึ้น กฎหมายมรดกยังคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของความสัมพันธ์ โดยมีการกำหนด "เหตุแห่งการถูกกำจัดมิให้รับมรดก" หรือ "การเป็นผู้ไม่สมควรได้รับมรดก" ซึ่งเป็นการตัดสิทธิของทายาท รวมถึงบรรพบุรุษ หากได้กระทำการอันเป็นความร้ายแรงต่อเจ้ามรดก เช่น ฆ่าหรือพยายามฆ่า หรือฟ้องร้องใส่ร้ายว่าเจ้ามรดกกระทำความผิดที่มีโทษหนัก การกำหนดเหตุผลในการตัดสิทธิเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ทางสายโลหิตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องประกอบด้วยความเคารพและการปฏิบัติต่อกันตามหลักศีลธรรมอันดีงามด้วย นอกเหนือจากทายาทโดยธรรมแล้ว เจ้ามรดกยังมีสิทธิทำ "พินัยกรรม" เพื่อกำหนดให้บุคคลใดๆ รวมถึงบรรพบุรุษของตน ได้รับทรัพย์สินตามที่ตนปรารถนาตามเจตนารมณ์ แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิจากการเป็นทายาทโดยธรรมหรือไม่ก็ตาม การทำพินัยกรรมจึงเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการแสดงเจตจำนงสุดท้ายของเจ้ามรดกในการจัดการทรัพย์สินของตน ซึ่งจะเข้ามามีอำนาจเหนือบทบัญญัติว่าด้วยการแบ่งมรดกตามลำดับทายาทโดยธรรม แต่ทั้งนี้การทำพินัยกรรมก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและห้ามมิให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้รับพินัยกรรมที่มีข้อจำกัดตามกฎหมาย การพิจารณาความสมบูรณ์และผลบังคับของพินัยกรรมจึงเป็นอีกมิติหนึ่งที่นักกฎหมายและประชาชนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อทำให้การสืบทอดมรดกเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรม โดยสรุปแล้ว คำว่า "บรรพบุรุษ" ในบริบทของมรดกและครอบครัวตามกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นเพียงคำที่กล่าวถึงผู้ให้กำเนิด แต่เป็นการกำหนดสถานะและสิทธิในการรับการถ่ายโอนทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่เหนือขึ้นไปตามสายโลหิต การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงลำดับทายาทโดยธรรม ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับมรดกแทนที่ และการถูกกำจัดมิให้รับมรดก เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการความมั่งคั่งของครอบครัวและป้องกันข้อพิพาททางกฎหมาย การให้ความเคารพต่อความหมายทางกฎหมายของบรรพบุรุษจึงเป็นรากฐานสำคัญของการสืบทอดทรัพย์สินที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผู้ตายและกฎหมายบ้านเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้”

    แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว

    หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ

    สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน

    สรุปสาระสำคัญ
    อุปกรณ์ความปลอดภัย
    เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว

    อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ
    นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า

    อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย
    ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ

    คำเตือน
    แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ
    มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว

    https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    🔋 “อุปกรณ์ที่ไม่ควรใช้แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้” แม้ว่าแบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้จะกลายเป็นมาตรฐานในชีวิตประจำวัน ทั้งสมาร์ทโฟน กล้อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่ก็มีบางกรณีที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว (disposable) ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหตุผลหลักคือ รูปแบบการคายประจุและแรงดันไฟฟ้า ที่แตกต่างกัน แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้จะคายประจุอย่างคงที่จนใกล้หมดแล้วแรงดันตกลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจะคายประจุอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรในระยะยาว หนึ่งในกลุ่มอุปกรณ์ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เครื่องตรวจจับควัน เครื่องตรวจจับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฟฉุกเฉิน ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถเก็บพลังงานได้นานโดยไม่ต้องดูแลบ่อย ๆ แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีอายุการเก็บรักษายาวนานและพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น อีกกลุ่มคือ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ที่ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อย เช่น นาฬิกาแขวน รีโมทคอนโทรล เทอร์โมสแตท และวิทยุขนาดเล็ก แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานโดยไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อย ๆ สุดท้ายคือ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย เช่น ไฟฉายสำหรับแคมป์หรือไฟฉุกเฉินในบ้าน เนื่องจากแบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวสามารถเก็บพลังงานได้นานหลายปีโดยไม่เสื่อม ทำให้มั่นใจได้ว่าเมื่อหยิบมาใช้จะยังมีไฟฟ้าเพียงพอ ต่างจากแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ที่อาจหมดประจุเองเมื่อเก็บไว้นาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ อุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เครื่องตรวจจับควัน, เครื่องตรวจจับ CO, ไฟฉุกเฉินควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียว ✅ อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังต่ำ ➡️ นาฬิกาแขวน, รีโมทคอนโทรล, เทอร์โมสแตท, วิทยุเล็ก ๆ ใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวได้ดีกว่า ✅ อุปกรณ์ที่ใช้ไม่บ่อย ➡️ ไฟฉายแคมป์, ไฟฉุกเฉิน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวเพื่อความมั่นใจ ‼️ คำเตือน ⛔ แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้มีแรงดันต่ำกว่า (1.2V เทียบกับ 1.5V) อาจทำให้อุปกรณ์บางชนิดทำงานผิดปกติ ⛔ มีการคายประจุเองแม้ไม่ได้ใช้งาน ทำให้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรระยะยาว https://www.slashgear.com/2039176/devices-should-not-use-rechargeable-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Devices Should Not Use Rechargeable Batteries? - SlashGear
    Avoid using rechargeable batteries in smoke alarms, wall clocks, and remotes. Their lower voltage and self-discharge rates make single-use alkalines safer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Airbus สั่งแก้ซอฟต์แวร์ด่วน หลังพบข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย

    Airbus ได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สายการบินทั่วโลกดำเนินการ อัปเดตซอฟต์แวร์บนเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่เครื่อง JetBlue A321 ต้องเบี่ยงเส้นทางกลางอากาศ เนื่องจากระบบควบคุมการบินเกิดพฤติกรรมผิดปกติ สาเหตุถูกระบุว่าเกิดจาก ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย (data corruption) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ รังสีดวงอาทิตย์ที่รุนแรง ในช่วงนั้น.

    หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป (EASA) ได้ออกคำสั่งบังคับให้สายการบินต้อง ย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ที่มีความเสถียร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ขณะที่สายการบินหลายแห่งต้องเร่งปรับตารางการบินเพื่อทำการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บางลำจำเป็นต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้เวลานานและส่งผลต่อการให้บริการ.

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ รังสีคอสมิก (cosmic rays) สามารถทำให้เกิด “bit flips” หรือการเปลี่ยนค่าข้อมูลในหน่วยความจำของระบบควบคุมการบิน แม้ว่าเครื่องบิน A320 จะมีระบบคอมพิวเตอร์แบบ triple-redundant และกลไก cross-checking เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้.

    Airbus ยืนยันว่าจะทำงานใกล้ชิดกับสายการบินเพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมขอโทษผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์จะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่การสอบสวนยังดำเนินต่อเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดนี้.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คำสั่งอัปเดตซอฟต์แวร์
    ครอบคลุมเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ
    ต้องย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า

    เหตุการณ์ JetBlue A321
    เกิดขึ้นวันที่ 30 ตุลาคม
    ระบบควบคุมการบินผิดปกติจนต้องเบี่ยงเส้นทาง
    มีผู้โดยสารบาดเจ็บจากเหตุการณ์

    สาเหตุที่เป็นไปได้
    รังสีดวงอาทิตย์ทำให้ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย
    เกิด “bit flips” ในหน่วยความจำของระบบ

    ผลกระทบต่อสายการบิน
    อัปเดตซอฟต์แวร์ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
    บางลำต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ส่งผลต่อการให้บริการ

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    แม้มีระบบ triple-redundant แต่ยังมีช่องโหว่จากรังสีคอสมิก
    อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำหากไม่แก้ไขอย่างเร่งด่วน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/airbus-orders-immediate-software-fix-for-6000-a320-jets
    ✈️ Airbus สั่งแก้ซอฟต์แวร์ด่วน หลังพบข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย Airbus ได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สายการบินทั่วโลกดำเนินการ อัปเดตซอฟต์แวร์บนเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่เครื่อง JetBlue A321 ต้องเบี่ยงเส้นทางกลางอากาศ เนื่องจากระบบควบคุมการบินเกิดพฤติกรรมผิดปกติ สาเหตุถูกระบุว่าเกิดจาก ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย (data corruption) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ รังสีดวงอาทิตย์ที่รุนแรง ในช่วงนั้น. หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป (EASA) ได้ออกคำสั่งบังคับให้สายการบินต้อง ย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ที่มีความเสถียร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ขณะที่สายการบินหลายแห่งต้องเร่งปรับตารางการบินเพื่อทำการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บางลำจำเป็นต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้เวลานานและส่งผลต่อการให้บริการ. เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ รังสีคอสมิก (cosmic rays) สามารถทำให้เกิด “bit flips” หรือการเปลี่ยนค่าข้อมูลในหน่วยความจำของระบบควบคุมการบิน แม้ว่าเครื่องบิน A320 จะมีระบบคอมพิวเตอร์แบบ triple-redundant และกลไก cross-checking เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้. Airbus ยืนยันว่าจะทำงานใกล้ชิดกับสายการบินเพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมขอโทษผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์จะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่การสอบสวนยังดำเนินต่อเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดนี้. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คำสั่งอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ ครอบคลุมเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ ➡️ ต้องย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ✅ เหตุการณ์ JetBlue A321 ➡️ เกิดขึ้นวันที่ 30 ตุลาคม ➡️ ระบบควบคุมการบินผิดปกติจนต้องเบี่ยงเส้นทาง ➡️ มีผู้โดยสารบาดเจ็บจากเหตุการณ์ ✅ สาเหตุที่เป็นไปได้ ➡️ รังสีดวงอาทิตย์ทำให้ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย ➡️ เกิด “bit flips” ในหน่วยความจำของระบบ ✅ ผลกระทบต่อสายการบิน ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ➡️ บางลำต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ส่งผลต่อการให้บริการ ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ แม้มีระบบ triple-redundant แต่ยังมีช่องโหว่จากรังสีคอสมิก ⛔ อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำหากไม่แก้ไขอย่างเร่งด่วน https://www.tomshardware.com/tech-industry/airbus-orders-immediate-software-fix-for-6000-a320-jets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 17

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 17
    อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ก่อนอเมริกาจะเข้าทำสงคราม ถังขยะความคิด Council on Foreign Relations (CFR) และกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ภายใต้การกำกับของ CFR ได้รวบรวมนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน ประมาณ 200 คน ระดมสมอง จัดทำโครงการ ที่เรียกว่า War and Peace Studies อย่างลับสุดยอด ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1940 โครงการนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการ และเงินทุนสนับสนุนทั้งหมด โดยมูลนิธืร้อกกี้เฟลเลอร์
    War and Peace Studies ได้วางแผนไว้เรียบร้อยว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก และกำหนดเส้นทางของอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจนว่า อเมริกาจะต้องเข้าครอบครอง และควบคุมบริเวณใดบ้างของโลกนี้ เพื่อสร้างความเจริญเติบโต แข็งแกร่ง ให้แก่เศรษฐกิจของอเมริกา บริเวณดังกล่าว รวมถึงลาตินอเมริกา ยุโรป อาณานิคมของจักรภพอังกฤษ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด War and Peace Studies เรียกบริเวณนี้ว่า ” Grand Area”
    โครงการ War and Peace Studies ยังบอกอีกว่า เราจะต้องได้เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเอาทรัพยากรในบริเวณนี้มาใช้เป็นวัตถุดิบ ให้ญี่ปุ่นทำอุตสาหกรรมผลิตสินค้า และส่งสินค้านั้นกลับไปขายในประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรที่เราไป (ปล้น) เอามานั่นแหละ ญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรม ที่มีต้นทุกถูกกว่าบ้านเรา โดยเราเป็นเจ้าของ
    และหลายปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงคราม หรืออาจจะก่อนที่ญี่ปุ่นเข้าสงครามด้วยซ้ำ อเมริกา (หรือ ร้อกกี้เฟลเลอร์ the great ) คิดไว้แล้วว่า เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อเมริกาจะเป็นผู้ครอบครอง และควบคุมญี่ปุ่นหลังสงครามแต่ผู้เดียว
    และอเมริกาก็ทำได้ อเมริกาน่าจะวางแผนนี้นานอย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 …
    นักล่าใบตองแห้งแน่จริงๆ วางแผนเป็นขั้นตอน ยาวนาน จนบัดนี้ก็ยังไม่หลุดแผน และยังไม่จบแผน…
    ในวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม อเมริกาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นแต่ผู้เดียวตามแผน ต่างกับเยอรมัน ซึ่งเมื่อแพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ละชาติ ต่างก็พากันตั้งหน่วยทหารของตนเป็นรัฐบาล ปกครองเขตตนในเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นมีเขตปกครองเดียวคือ เขตของอเมริกา และอเมริกาใช้รัฐบาลญี่ปุ่นขณะนั้น ปกครองญี่ปุ่นภายใต้การกำกับดูแลของอเมริกา
    ประธานาธิบดีทรูแมนแต่งตั้งให้ นายพลแมคอาร์อาเธอร์ มาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร Supreme Commander Allied Power (SCAP) มาดูแลญี่ปุ่น โดยผู้ชนะสงครามรายอื่นเช่น นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ,รวมทั้ง นายพลเจียงไคเช็ค ของจีน และแม้แต่สตาลิน ของโซเวียต ก็ไม่ (กล้า) ขัดใจอเมริกา
    และในช่วง 6 ปี ที่ นายพลแมค ใช้อำนาจในฐานะ SCAP ปกครองชาวญี่ปุ่น 83 ล้านคน เขาไม่สนใจกับคณะกรรมมาธิการพันธมิตรอีก 11 ประเทศ Far Eastern Commission ที่ตั้งขึ้นมาภายหลัง ที่หวังจะมีส่วนร่วมในการ “ดูแล” ญี่ปุ่น แม้แต่น้อย คณะ 11ประเทศ กลายเป็นแค่ “ผู้ดู”
    นายพลแมค มาถึงญี่ปุ่น พร้อมกับภาระกิจใหญ่ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกา คือ มาทำการปฏิรูปญี่ปุ่น
    แต่ขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่น ในวอชิงตันเองก็ไม่ได้มีความเห็นไปทางเดียวกันนัก การเมืองฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้เดินหน้าปฏิรูปญี่ปุ่น แต่การเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้การปฏิรูปล่มกลางคัน ท่านนายพลแมคน่าจะปวดหัว
    การ”ปฏิรูป” ญี่ปุ่น ที่อเมริกาหวังจะให้ดำเนินการด่วน ภายใต้อำนาจ ของ SCAP
    เรื่องแรก คือ ญี่ปุ่น โดยจักรพรรดิ ต้องออกมารับผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลก
    เรื่องที่สอง คือ ปฏิรูปกองทัพญี่ปุ่น หรือจริงๆ ก็คือ ยกเลิก หรือลดกองกำลังญี่ปุ่นให้เหลือเพียงแค่หยิบมือ ตามมาด้วย
    เรื่องที่สาม คือ จับตัวพวกที่มีส่วนในการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน ฯลฯ มาดำเนินคดี
    เรื่องใหญ่ทั้งนั้น นายพลแมคจะรับไหวหรือ แต่นายพลแมค ไม่ได้มาคนเดียว เดี่ยวๆ เขามี Laurence ร้อกกี้เฟลเลอร์ หลานของร้อกกี้ the greatมาเป็นผู้ช่วย และยังมี นายพล Bonner Fellers ประกบติดตัว นายพลแมค มาด้วย
    นายพล Feller มีชื่อเสียงในกองทัพว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่ จริงๆ เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับญี่ปุ่น และแถมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ เขาเป็นพวกเคว้กเกอร์ เช่นเดียวกับเมียของทูต Grew และรอบตัวของจักรพรรดินี แม่ของจักรพรรดิฮืโรฮิโต และเนื่องจากเป็นเคว้กเกอร์ เขารู้จักกับ ชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน ที่พวกเคว้กเกอร์สนับสนุนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่อเมริกา ตั้งแต่ระดับโรงเรียน จนถึงมหาวิทยาลัย ที่เป็นเครือข่ายของเคว้กเกอร์ที่อเมริกา เมื่อจบกลับมา หลายคนกลับมาเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น
    Feller ถูกประธานาธิบดี Herbert Hoover ส่งมาประจำกองทัพอเมริกา ที่ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1930 ต้นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะอยู่ญี่ปุ่น มากกว่าฟิลิปปินส์ และต่อมาเขากลายเป็นเชือกที่ Hoover ใช้ชักใย นายพลแมค ที่ปกครองญี่ปุ่น ตามอำนาจของ SCAP อ้อ Hoover ก็เป็นพวกเคว้กเกอร์ด้วยครับ
    แล้ว Hoover มาเกี่ยวอะไรกับ นายพลแมค และ SCAP
    Herbert Hoover เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ในช่วงปี ค.ศ.1929-1934 ช่วง Great Depression ของอเมริกา แม้ว่าจะมีคนมองว่า เขาอยู่ในพวกกลุ่มวอลสตรีท แต่เขากู้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ขึ้น และแยกทางกันเดินกับพวกมอร์แกนในภายหลัง แต่ที่น่าสนใจ Hoover จริงๆแล้ว เรียนจบมาด้านแร่วิทยา และเป็นผู้ชำนาญเรื่องแร่ เขายุ่งอยู่กับธุรกิจเหมืองแร่ ไปทั่วจนถึงออสเตรเลีย และถึงจีน และในช่วงปี ค.ศ.1899 – 1900 ที่เกิดกบฏนักมวย เขาบังเอิญติดอยู่ที่จีนในช่วงนั้นพอดี ตัวเขาและเมียพูดภาษาจีนแมนดารินได้ดี เล่ากันว่า เมื่อกลับมาอเมริกา และต้องย้ายบ้านไปอยู่ทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีกับท่านผู้หญิง จะส่งภาษาจีนกัน เวลาไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง ว่านินทา หรือด่าใคร
    เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่ปีแรกๆ อเมริกาตั้งตัวเป็นกลาง แต่การรบในยุโรปกำลังสาหัส และชาวยุโรปรับบาปเคราะห์ ขาดทั้งอาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม ปี ค.ศ.1914 Hoover ซึ่งรวยจนพอจากการเจอแร่สาระพัดแห่ง จึงมาทำการกุศล ช่วยบริหารองค์กรชื่อ Committee for Relief in Belgium (CRB) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึงเดือนละประมาณ 11 ล้านเหรียญ ดูเหมือนในรายชื่อผู้ใจบุญรายใหญ่ของ CRB จะมีชื่อมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์อยู่ด้วย
    เสร็จจากช่วยคนเจอภัยสงคราม Hoover ก็ไปใจดีต่อที่รัสเซีย ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งก็มีคนเจอภัยปฏิวัติ ช่วยคนไป มีเวลาก็สำรวจแร่ไป ในที่สุด นักธุรกิจใหญ่ๆอเมริกัน ก็เข้าไปขุดแร่ทำเหมืองในรัสเซียกันใหญ่ คงไม่ต้องบอกว่า มีชื่อใครบ้าง
    ปี ค.ศ.1927 เกิดน้ำท่วมใหญ่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่ ตอนนั้น Hoover เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ของอเมริกา เลยไปดูแลชาวบ้าน โดยระดมทั้งกองทหาร และกาชาดไปช่วย และด้วยเงินทุนจากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาตั้งหน่วยอนามัยขึ้นในแถบที่น้ำท่วม และหน่วยอนามัยนี้ ได้ช่วยรักษา ชาวบ้านที่ติดเชื้อมาเลเรีย เชื้อไทฟอยด์ ท้องร่วง ฯลฯ และก็บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งไปตั้งหน่วยค้นคว้าทางแพทย์อยู่ในจีน ก็กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเชื้อโรคสาระพัด และก็บังเอิญ เป็นช่วงเดียวกับ นายชิโร อิชิอิ Shiro Ishii แห่งหน่วย 731 ของญี่ปุ่น ก็ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งหน่วยทดลองการใช้อาวุธชีวภาพ และแบคทีเรียกับมนุษย์ และทดลองกับชาวจีน จนเจ็บป่วยทรมาน แสนสาหัส อยู่แถวทางเหนือของจีน
    เรื่องบังเอิญ มันแยะจริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 17 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 17 อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ก่อนอเมริกาจะเข้าทำสงคราม ถังขยะความคิด Council on Foreign Relations (CFR) และกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ภายใต้การกำกับของ CFR ได้รวบรวมนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน ประมาณ 200 คน ระดมสมอง จัดทำโครงการ ที่เรียกว่า War and Peace Studies อย่างลับสุดยอด ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1940 โครงการนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการ และเงินทุนสนับสนุนทั้งหมด โดยมูลนิธืร้อกกี้เฟลเลอร์ War and Peace Studies ได้วางแผนไว้เรียบร้อยว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก และกำหนดเส้นทางของอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจนว่า อเมริกาจะต้องเข้าครอบครอง และควบคุมบริเวณใดบ้างของโลกนี้ เพื่อสร้างความเจริญเติบโต แข็งแกร่ง ให้แก่เศรษฐกิจของอเมริกา บริเวณดังกล่าว รวมถึงลาตินอเมริกา ยุโรป อาณานิคมของจักรภพอังกฤษ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด War and Peace Studies เรียกบริเวณนี้ว่า ” Grand Area” โครงการ War and Peace Studies ยังบอกอีกว่า เราจะต้องได้เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเอาทรัพยากรในบริเวณนี้มาใช้เป็นวัตถุดิบ ให้ญี่ปุ่นทำอุตสาหกรรมผลิตสินค้า และส่งสินค้านั้นกลับไปขายในประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรที่เราไป (ปล้น) เอามานั่นแหละ ญี่ปุ่นจะเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรม ที่มีต้นทุกถูกกว่าบ้านเรา โดยเราเป็นเจ้าของ และหลายปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงคราม หรืออาจจะก่อนที่ญี่ปุ่นเข้าสงครามด้วยซ้ำ อเมริกา (หรือ ร้อกกี้เฟลเลอร์ the great ) คิดไว้แล้วว่า เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อเมริกาจะเป็นผู้ครอบครอง และควบคุมญี่ปุ่นหลังสงครามแต่ผู้เดียว และอเมริกาก็ทำได้ อเมริกาน่าจะวางแผนนี้นานอย่างน้อยตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 … นักล่าใบตองแห้งแน่จริงๆ วางแผนเป็นขั้นตอน ยาวนาน จนบัดนี้ก็ยังไม่หลุดแผน และยังไม่จบแผน… ในวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม อเมริกาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองญี่ปุ่นแต่ผู้เดียวตามแผน ต่างกับเยอรมัน ซึ่งเมื่อแพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ละชาติ ต่างก็พากันตั้งหน่วยทหารของตนเป็นรัฐบาล ปกครองเขตตนในเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นมีเขตปกครองเดียวคือ เขตของอเมริกา และอเมริกาใช้รัฐบาลญี่ปุ่นขณะนั้น ปกครองญี่ปุ่นภายใต้การกำกับดูแลของอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมนแต่งตั้งให้ นายพลแมคอาร์อาเธอร์ มาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร Supreme Commander Allied Power (SCAP) มาดูแลญี่ปุ่น โดยผู้ชนะสงครามรายอื่นเช่น นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ,รวมทั้ง นายพลเจียงไคเช็ค ของจีน และแม้แต่สตาลิน ของโซเวียต ก็ไม่ (กล้า) ขัดใจอเมริกา และในช่วง 6 ปี ที่ นายพลแมค ใช้อำนาจในฐานะ SCAP ปกครองชาวญี่ปุ่น 83 ล้านคน เขาไม่สนใจกับคณะกรรมมาธิการพันธมิตรอีก 11 ประเทศ Far Eastern Commission ที่ตั้งขึ้นมาภายหลัง ที่หวังจะมีส่วนร่วมในการ “ดูแล” ญี่ปุ่น แม้แต่น้อย คณะ 11ประเทศ กลายเป็นแค่ “ผู้ดู” นายพลแมค มาถึงญี่ปุ่น พร้อมกับภาระกิจใหญ่ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกา คือ มาทำการปฏิรูปญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่น ในวอชิงตันเองก็ไม่ได้มีความเห็นไปทางเดียวกันนัก การเมืองฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้เดินหน้าปฏิรูปญี่ปุ่น แต่การเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้การปฏิรูปล่มกลางคัน ท่านนายพลแมคน่าจะปวดหัว การ”ปฏิรูป” ญี่ปุ่น ที่อเมริกาหวังจะให้ดำเนินการด่วน ภายใต้อำนาจ ของ SCAP เรื่องแรก คือ ญี่ปุ่น โดยจักรพรรดิ ต้องออกมารับผิดในการพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลก เรื่องที่สอง คือ ปฏิรูปกองทัพญี่ปุ่น หรือจริงๆ ก็คือ ยกเลิก หรือลดกองกำลังญี่ปุ่นให้เหลือเพียงแค่หยิบมือ ตามมาด้วย เรื่องที่สาม คือ จับตัวพวกที่มีส่วนในการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน ฯลฯ มาดำเนินคดี เรื่องใหญ่ทั้งนั้น นายพลแมคจะรับไหวหรือ แต่นายพลแมค ไม่ได้มาคนเดียว เดี่ยวๆ เขามี Laurence ร้อกกี้เฟลเลอร์ หลานของร้อกกี้ the greatมาเป็นผู้ช่วย และยังมี นายพล Bonner Fellers ประกบติดตัว นายพลแมค มาด้วย นายพล Feller มีชื่อเสียงในกองทัพว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่ จริงๆ เขาไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับญี่ปุ่น และแถมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ เขาเป็นพวกเคว้กเกอร์ เช่นเดียวกับเมียของทูต Grew และรอบตัวของจักรพรรดินี แม่ของจักรพรรดิฮืโรฮิโต และเนื่องจากเป็นเคว้กเกอร์ เขารู้จักกับ ชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน ที่พวกเคว้กเกอร์สนับสนุนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่อเมริกา ตั้งแต่ระดับโรงเรียน จนถึงมหาวิทยาลัย ที่เป็นเครือข่ายของเคว้กเกอร์ที่อเมริกา เมื่อจบกลับมา หลายคนกลับมาเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น Feller ถูกประธานาธิบดี Herbert Hoover ส่งมาประจำกองทัพอเมริกา ที่ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1930 ต้นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะอยู่ญี่ปุ่น มากกว่าฟิลิปปินส์ และต่อมาเขากลายเป็นเชือกที่ Hoover ใช้ชักใย นายพลแมค ที่ปกครองญี่ปุ่น ตามอำนาจของ SCAP อ้อ Hoover ก็เป็นพวกเคว้กเกอร์ด้วยครับ แล้ว Hoover มาเกี่ยวอะไรกับ นายพลแมค และ SCAP Herbert Hoover เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา ในช่วงปี ค.ศ.1929-1934 ช่วง Great Depression ของอเมริกา แม้ว่าจะมีคนมองว่า เขาอยู่ในพวกกลุ่มวอลสตรีท แต่เขากู้เศรษฐกิจอเมริกาไม่ขึ้น และแยกทางกันเดินกับพวกมอร์แกนในภายหลัง แต่ที่น่าสนใจ Hoover จริงๆแล้ว เรียนจบมาด้านแร่วิทยา และเป็นผู้ชำนาญเรื่องแร่ เขายุ่งอยู่กับธุรกิจเหมืองแร่ ไปทั่วจนถึงออสเตรเลีย และถึงจีน และในช่วงปี ค.ศ.1899 – 1900 ที่เกิดกบฏนักมวย เขาบังเอิญติดอยู่ที่จีนในช่วงนั้นพอดี ตัวเขาและเมียพูดภาษาจีนแมนดารินได้ดี เล่ากันว่า เมื่อกลับมาอเมริกา และต้องย้ายบ้านไปอยู่ทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีกับท่านผู้หญิง จะส่งภาษาจีนกัน เวลาไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง ว่านินทา หรือด่าใคร เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่ปีแรกๆ อเมริกาตั้งตัวเป็นกลาง แต่การรบในยุโรปกำลังสาหัส และชาวยุโรปรับบาปเคราะห์ ขาดทั้งอาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม ปี ค.ศ.1914 Hoover ซึ่งรวยจนพอจากการเจอแร่สาระพัดแห่ง จึงมาทำการกุศล ช่วยบริหารองค์กรชื่อ Committee for Relief in Belgium (CRB) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึงเดือนละประมาณ 11 ล้านเหรียญ ดูเหมือนในรายชื่อผู้ใจบุญรายใหญ่ของ CRB จะมีชื่อมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์อยู่ด้วย เสร็จจากช่วยคนเจอภัยสงคราม Hoover ก็ไปใจดีต่อที่รัสเซีย ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งก็มีคนเจอภัยปฏิวัติ ช่วยคนไป มีเวลาก็สำรวจแร่ไป ในที่สุด นักธุรกิจใหญ่ๆอเมริกัน ก็เข้าไปขุดแร่ทำเหมืองในรัสเซียกันใหญ่ คงไม่ต้องบอกว่า มีชื่อใครบ้าง ปี ค.ศ.1927 เกิดน้ำท่วมใหญ่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่ ตอนนั้น Hoover เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ของอเมริกา เลยไปดูแลชาวบ้าน โดยระดมทั้งกองทหาร และกาชาดไปช่วย และด้วยเงินทุนจากมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ เขาตั้งหน่วยอนามัยขึ้นในแถบที่น้ำท่วม และหน่วยอนามัยนี้ ได้ช่วยรักษา ชาวบ้านที่ติดเชื้อมาเลเรีย เชื้อไทฟอยด์ ท้องร่วง ฯลฯ และก็บังเอิญเป็นช่วงเดียวกับที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งไปตั้งหน่วยค้นคว้าทางแพทย์อยู่ในจีน ก็กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องเชื้อโรคสาระพัด และก็บังเอิญ เป็นช่วงเดียวกับ นายชิโร อิชิอิ Shiro Ishii แห่งหน่วย 731 ของญี่ปุ่น ก็ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งหน่วยทดลองการใช้อาวุธชีวภาพ และแบคทีเรียกับมนุษย์ และทดลองกับชาวจีน จนเจ็บป่วยทรมาน แสนสาหัส อยู่แถวทางเหนือของจีน เรื่องบังเอิญ มันแยะจริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • Zombie Protocol: NTLM ยังหลอกหลอนโลกไซเบอร์ในปี 2025

    แม้ว่า NTLM จะเป็นโปรโตคอลการยืนยันตัวตนที่มีอายุกว่า 20 ปี แต่รายงานล่าสุดจาก Kaspersky ชี้ว่า NTLM ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและเป็นช่องทางโจมตีสำคัญในปี 2025 ช่องโหว่ใหม่ ๆ เช่น CVE-2024-43451 ทำให้ผู้โจมตีสามารถขโมยค่าแฮช NTLMv2 ได้โดยแทบไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้เลย

    ช่องโหว่ CVE-2024-43451 และการโจมตีจริง
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ MSHTML engine ที่ยังคงอยู่ใน Windows เพื่อรองรับการทำงานย้อนหลัง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ .url ที่เมื่อผู้ใช้คลิก ขยับ หรือแม้แต่ลบไฟล์ ก็จะกระตุ้นให้ระบบส่งข้อมูลยืนยันตัวตนไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที กรณีนี้ถูกใช้จริงโดยกลุ่มแฮกเกอร์หลายกลุ่ม เช่น BlindEagle ในโคลอมเบีย และ Head Mare ในรัสเซีย

    ช่องโหว่ NTLM อื่น ๆ ที่ร้ายแรง
    นอกจาก CVE-2024-43451 ยังมี CVE-2025-33073 ซึ่งเป็นช่องโหว่ NTLM Reflection ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถบังคับให้เครื่องยืนยันตัวตนกับตัวเอง และได้สิทธิ์ SYSTEM-level โดยตรง กรณีนี้ถูกพบในภาคการเงินของอุซเบกิสถาน และถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลจากหน่วยความจำ LSASS

    ความท้าทายของ Legacy Debt
    แม้ Microsoft จะพยายามผลักดันให้เลิกใช้ NTLM และเปลี่ยนไปใช้ Kerberos แต่หลายองค์กรยังคงมีระบบที่พึ่งพา NTLM อยู่ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Legacy Debt หรือหนี้ทางเทคโนโลยีที่ยากจะลบออกไปได้ทันที นักวิจัยแนะนำให้เร่งตรวจสอบเครือข่ายเพื่อหาการใช้งาน NTLM และบังคับใช้มาตรการป้องกัน เช่น SMB Signing และ Extended Protection for Authentication (EPA)

    สรุปสาระสำคัญ
    NTLM ยังคงถูกใช้งานในปี 2025
    แม้จะเป็นโปรโตคอลเก่า แต่ยังฝังอยู่ในระบบ Windows จำนวนมาก

    ช่องโหว่ CVE-2024-43451 ถูกใช้โจมตีจริง
    ใช้ไฟล์ .url เพื่อขโมยค่าแฮช NTLMv2 โดยไม่ต้องเปิดไฟล์

    CVE-2025-33073 เปิดช่องให้สิทธิ์ SYSTEM-level
    ใช้เทคนิค Reflection บังคับให้เครื่องยืนยันตัวตนกับตัวเอง

    กลุ่มแฮกเกอร์หลายประเทศใช้ช่องโหว่นี้
    BlindEagle (โคลอมเบีย), Head Mare (รัสเซีย/เบลารุส), Trojan Distribution (รัสเซีย)

    การคงอยู่ของ NTLM คือ Legacy Debt
    องค์กรที่ไม่เร่งเปลี่ยนไปใช้ Kerberos เสี่ยงต่อการถูกโจมตีซ้ำ

    การเผยแพร่สาธารณะของเทคนิคโจมตี
    เพิ่มโอกาสให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น

    https://securityonline.info/zombie-protocol-how-ntlm-flaws-like-cve-2024-43451-are-haunting-2025/
    🧟‍♂️ Zombie Protocol: NTLM ยังหลอกหลอนโลกไซเบอร์ในปี 2025 แม้ว่า NTLM จะเป็นโปรโตคอลการยืนยันตัวตนที่มีอายุกว่า 20 ปี แต่รายงานล่าสุดจาก Kaspersky ชี้ว่า NTLM ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและเป็นช่องทางโจมตีสำคัญในปี 2025 ช่องโหว่ใหม่ ๆ เช่น CVE-2024-43451 ทำให้ผู้โจมตีสามารถขโมยค่าแฮช NTLMv2 ได้โดยแทบไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้เลย ⚠️ ช่องโหว่ CVE-2024-43451 และการโจมตีจริง ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ MSHTML engine ที่ยังคงอยู่ใน Windows เพื่อรองรับการทำงานย้อนหลัง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ .url ที่เมื่อผู้ใช้คลิก ขยับ หรือแม้แต่ลบไฟล์ ก็จะกระตุ้นให้ระบบส่งข้อมูลยืนยันตัวตนไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที กรณีนี้ถูกใช้จริงโดยกลุ่มแฮกเกอร์หลายกลุ่ม เช่น BlindEagle ในโคลอมเบีย และ Head Mare ในรัสเซีย 🔑 ช่องโหว่ NTLM อื่น ๆ ที่ร้ายแรง นอกจาก CVE-2024-43451 ยังมี CVE-2025-33073 ซึ่งเป็นช่องโหว่ NTLM Reflection ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถบังคับให้เครื่องยืนยันตัวตนกับตัวเอง และได้สิทธิ์ SYSTEM-level โดยตรง กรณีนี้ถูกพบในภาคการเงินของอุซเบกิสถาน และถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลจากหน่วยความจำ LSASS 🌐 ความท้าทายของ Legacy Debt แม้ Microsoft จะพยายามผลักดันให้เลิกใช้ NTLM และเปลี่ยนไปใช้ Kerberos แต่หลายองค์กรยังคงมีระบบที่พึ่งพา NTLM อยู่ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Legacy Debt หรือหนี้ทางเทคโนโลยีที่ยากจะลบออกไปได้ทันที นักวิจัยแนะนำให้เร่งตรวจสอบเครือข่ายเพื่อหาการใช้งาน NTLM และบังคับใช้มาตรการป้องกัน เช่น SMB Signing และ Extended Protection for Authentication (EPA) 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ NTLM ยังคงถูกใช้งานในปี 2025 ➡️ แม้จะเป็นโปรโตคอลเก่า แต่ยังฝังอยู่ในระบบ Windows จำนวนมาก ✅ ช่องโหว่ CVE-2024-43451 ถูกใช้โจมตีจริง ➡️ ใช้ไฟล์ .url เพื่อขโมยค่าแฮช NTLMv2 โดยไม่ต้องเปิดไฟล์ ✅ CVE-2025-33073 เปิดช่องให้สิทธิ์ SYSTEM-level ➡️ ใช้เทคนิค Reflection บังคับให้เครื่องยืนยันตัวตนกับตัวเอง ✅ กลุ่มแฮกเกอร์หลายประเทศใช้ช่องโหว่นี้ ➡️ BlindEagle (โคลอมเบีย), Head Mare (รัสเซีย/เบลารุส), Trojan Distribution (รัสเซีย) ‼️ การคงอยู่ของ NTLM คือ Legacy Debt ⛔ องค์กรที่ไม่เร่งเปลี่ยนไปใช้ Kerberos เสี่ยงต่อการถูกโจมตีซ้ำ ‼️ การเผยแพร่สาธารณะของเทคนิคโจมตี ⛔ เพิ่มโอกาสให้ผู้โจมตีทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น https://securityonline.info/zombie-protocol-how-ntlm-flaws-like-cve-2024-43451-are-haunting-2025/
    SECURITYONLINE.INFO
    Zombie Protocol: How NTLM Flaws Like CVE-2024-43451 Are Haunting 2025
    Kaspersky reveals critical NTLM flaws active in 2025. Attackers use "clickless" exploits like CVE-2024-43451 to steal credentials and gain SYSTEM privileges.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts