• เห็นทุกข์ตามความจริง – เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนชีวิต
    ---

    1. ความเข้าใจเดิม:

    ทุกคนมักรู้สึกว่า “ฉันเหนื่อย” หรือ “ฉันทุกข์”

    มีความยึดมั่นว่าตัวตนเป็นผู้รับทุกข์โดยตรง

    ---

    2. มุมมองใหม่ตามพุทธศาสนา:

    > “กายใจเป็นทุกข์” ไม่ใช่ “ตัวตนเป็นทุกข์”

    เปลี่ยนจากมุมมองแบบยึดถือเป็น “ฉัน”

    มาเป็นมุมมองแบบเห็นตามความเป็นจริงว่า
    ทุกข์เป็นเพียงสภาวะ ไม่ใช่เจ้าของ

    ---

    3. วิธีฝึกให้เห็นกายใจเป็นทุกข์:

    เริ่มจากการ พิจารณาลมหายใจ
    เช่น สังเกตลมหายใจเข้าออก
    ดูว่ามีความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน สั้นบ้าง ยาวบ้าง
    บังคับไม่ได้เลย

    แล้วต่อยอดไปเห็น

    กายเคลื่อนไหวตลอด ไม่มีท่าไหนถาวร

    ใจผันแปร อารมณ์ ความคิด ความจำ
    เปลี่ยนอยู่ตลอด ไม่มีความเที่ยง

    ---

    4. ผลที่เกิดขึ้นจากการเห็นตามจริง:

    ค่อยๆ ถอนความรู้สึกว่า “ตัวเราเป็นทุกข์”

    เหลือเพียงการเห็นว่า “กายใจนี้เป็นทุกข์”

    ใจจะเบาขึ้น ปล่อยวางง่ายขึ้น และเริ่มเข้าถึงอิสรภาพจากทุกข์

    ---

    5. ข้อสำคัญ:

    ไม่จำเป็นต้องบวช ไม่จำเป็นต้องสิ้นกิเลสทันที

    แค่เปลี่ยนมุมมอง ก็สามารถมีชีวิตที่ เบาสบายกว่าเดิม

    ไม่ใช่เพราะไม่มีทุกข์ แต่เพราะไม่ยึดว่าตนเองเป็นทุกข์อีกต่อไป

    ---

    Essence สั้นๆ:

    “เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงในกายใจ
    คุณจะเลิกคิดว่ามีใครทุกข์
    และเริ่มเข้าใจว่าทุกข์...เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
    เห็นทุกข์ตามความจริง – เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนชีวิต --- 1. ความเข้าใจเดิม: ทุกคนมักรู้สึกว่า “ฉันเหนื่อย” หรือ “ฉันทุกข์” มีความยึดมั่นว่าตัวตนเป็นผู้รับทุกข์โดยตรง --- 2. มุมมองใหม่ตามพุทธศาสนา: > “กายใจเป็นทุกข์” ไม่ใช่ “ตัวตนเป็นทุกข์” เปลี่ยนจากมุมมองแบบยึดถือเป็น “ฉัน” มาเป็นมุมมองแบบเห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกข์เป็นเพียงสภาวะ ไม่ใช่เจ้าของ --- 3. วิธีฝึกให้เห็นกายใจเป็นทุกข์: เริ่มจากการ พิจารณาลมหายใจ เช่น สังเกตลมหายใจเข้าออก ดูว่ามีความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน สั้นบ้าง ยาวบ้าง บังคับไม่ได้เลย แล้วต่อยอดไปเห็น กายเคลื่อนไหวตลอด ไม่มีท่าไหนถาวร ใจผันแปร อารมณ์ ความคิด ความจำ เปลี่ยนอยู่ตลอด ไม่มีความเที่ยง --- 4. ผลที่เกิดขึ้นจากการเห็นตามจริง: ค่อยๆ ถอนความรู้สึกว่า “ตัวเราเป็นทุกข์” เหลือเพียงการเห็นว่า “กายใจนี้เป็นทุกข์” ใจจะเบาขึ้น ปล่อยวางง่ายขึ้น และเริ่มเข้าถึงอิสรภาพจากทุกข์ --- 5. ข้อสำคัญ: ไม่จำเป็นต้องบวช ไม่จำเป็นต้องสิ้นกิเลสทันที แค่เปลี่ยนมุมมอง ก็สามารถมีชีวิตที่ เบาสบายกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะไม่มีทุกข์ แต่เพราะไม่ยึดว่าตนเองเป็นทุกข์อีกต่อไป --- Essence สั้นๆ: “เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงในกายใจ คุณจะเลิกคิดว่ามีใครทุกข์ และเริ่มเข้าใจว่าทุกข์...เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาและบทบาทของฌานในการบรรลุมรรคผล

    ---

    1. เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา:

    > การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง (อรหัตผล)

    มิใช่เพียงศีล สมาธิ ญาณ หรือชื่อเสียง

    แต่คือ "การไม่กลับมากำเริบของกิเลสอีก"

    ---

    2. ผู้บรรลุมรรคผลรู้ได้อย่างไรว่าได้จริง?

    รู้จาก "การสิ้นไปของความยินดีในรูปนาม"

    เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน งอกใหม่ไม่ได้อีก

    คือ "รู้ด้วยใจ" ว่าจิตหลุดพ้นแล้วอย่างถาวร

    ---

    3. ฌานมีไว้เพื่ออะไร?

    ฌาน + ปัญญา = ใกล้นิพพาน

    เพียงฌานอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เพื่อพิจารณากายใจว่า ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา

    ---

    4. จำเป็นไหมต้องได้ฌานก่อนถึงมรรคผล?

    ไม่จำเป็นในบางกรณี

    เช่น ท่านอนาถบิณฑิก นางวิสาขา ได้โสดาภะผลจากการฟังธรรม

    แต่ต้องมีทุนบุญและปัญญาเก่ามาก

    จิตรวมเป็นหนึ่งเพียงชั่วฟังธรรมได้

    ---

    5. สำหรับคนทั่วไป การมีฌานคือทางลัด

    ฌานช่วยให้จิตรวม สงบ ห่างจากกิเลส

    ทำให้เห็นกายใจชัดขึ้น

    ง่ายต่อการพิจารณาเพื่อบรรลุธรรม

    ---

    Essence สั้น ๆ:

    ฌานเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการ "สิ้นกิเลส" ไม่ใช่การมีฌานเอง
    ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ ‘ไม่มีทางกลับไปยึดติดในรูปนามได้อีก’
    เป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาและบทบาทของฌานในการบรรลุมรรคผล --- 1. เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา: > การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง (อรหัตผล) มิใช่เพียงศีล สมาธิ ญาณ หรือชื่อเสียง แต่คือ "การไม่กลับมากำเริบของกิเลสอีก" --- 2. ผู้บรรลุมรรคผลรู้ได้อย่างไรว่าได้จริง? รู้จาก "การสิ้นไปของความยินดีในรูปนาม" เปรียบเหมือนตาลยอดด้วน งอกใหม่ไม่ได้อีก คือ "รู้ด้วยใจ" ว่าจิตหลุดพ้นแล้วอย่างถาวร --- 3. ฌานมีไว้เพื่ออะไร? ฌาน + ปัญญา = ใกล้นิพพาน เพียงฌานอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เพื่อพิจารณากายใจว่า ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา --- 4. จำเป็นไหมต้องได้ฌานก่อนถึงมรรคผล? ไม่จำเป็นในบางกรณี เช่น ท่านอนาถบิณฑิก นางวิสาขา ได้โสดาภะผลจากการฟังธรรม แต่ต้องมีทุนบุญและปัญญาเก่ามาก จิตรวมเป็นหนึ่งเพียงชั่วฟังธรรมได้ --- 5. สำหรับคนทั่วไป การมีฌานคือทางลัด ฌานช่วยให้จิตรวม สงบ ห่างจากกิเลส ทำให้เห็นกายใจชัดขึ้น ง่ายต่อการพิจารณาเพื่อบรรลุธรรม --- Essence สั้น ๆ: ฌานเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการ "สิ้นกิเลส" ไม่ใช่การมีฌานเอง ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ ‘ไม่มีทางกลับไปยึดติดในรูปนามได้อีก’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนา' ค้าน 'ร่างเอนเตอร์เทนเมนต์ฯ' จี้สภาถอด 'วันนอร์'
    https://www.thai-tai.tv/news/18106/
    'องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนา' ค้าน 'ร่างเอนเตอร์เทนเมนต์ฯ' จี้สภาถอด 'วันนอร์' https://www.thai-tai.tv/news/18106/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 243 ปี สำเร็จโทษ “พระเจ้าตาก” กษัตริย์ผู้กอบกู้ นักรบผู้เดียวดาย สู่ตำนานมหาราช เบื้องหลังความจริงของวันประหาร ที่ยังเป็นปริศนา

    📌 เรื่องราวสุดลึกซึ้งของ "พระเจ้าตากสินมหาราช" วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราช สู่ฉากอวสานที่ยังคลุมเครือ หลังผ่านมา 243 ปี ความจริงของวันสำเร็จโทษ ยังรอการค้นหา ข้อเท็จจริงและปริศนา ที่ยังรอการคลี่คลาย ✨

    🔥 "พระเจ้าตาก" ตำนานนักรบผู้เดียวดาย ที่ยังไม่ถูกลืม วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 วันนั้นไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นราชวงศ์จักรีเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือ “พระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จสวรรคตอย่างเป็นทางการ... หรืออาจจะไม่?

    243 ปี ผ่านไป เรื่องราวของพระองค์ยังคงเป็นที่ถกเถียง 😢 ทั้งในแวดวงวิชาการ ประวัติศาสตร์ และสังคมไทยโดยรวม เพราะแม้จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้ชาติ แต่จุดจบของพระองค์ กลับเต็มไปด้วยข้อสงสัย ความคลุมเครือ และคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบอย่างแท้จริง

    ย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวของ "พระเจ้าตากสิน" ตั้งแต่วีรกรรมกู้ชาติ ไปจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต เพื่อค้นหาความจริง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในตำนานของพระองค์

    👑 "พระเจ้าตากสิน" กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี

    🌊 จากนายทหาร สู่กษัตริย์ผู้กอบกู้ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า "สิน" เป็นบุตรของชาวจีนแต้จิ๋ว โดยทรงเข้ารับราชการในสมัย "สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์" รัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง

    เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 พระยาตากคือผู้นำที่ยืนหยัด และฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งหลักที่จันทบุรี 🐎 พร้อมกับรวบรวมผู้คนและกำลังพล จนสามารถกลับมากู้ชาติ และยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า ได้ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ✨

    หลังจากนั้น ทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่กรุงธนบุรี พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และสถาปนา “อาณาจักรธนบุรี” 🏰

    🌟 พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ "พระเจ้าตากสิน" มิได้เป็นเพียงนักรบ แต่ทรงเป็นนักปกครอง ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พระองค์ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม 🎨📚

    🔸 ส่งเสริมการค้ากับจีนและต่างประเทศ

    🔸 ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยให้มีการอุปสมบทพระสงฆ์ใหม่จำนวนมาก

    🔸 ส่งเสริมวรรณกรรม และการศึกษา

    🔸 รวบรวมดินแดนที่แตกแยก กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    พระองค์ยังได้รับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า “มหาราช” โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 💖

    ⚔️ จุดจบที่เป็นปริศนา วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน แม้พระองค์จะทรงกู้ชาติ และสร้างบ้านแปงเมือง แต่พระเจ้าตากก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายใน และการทรยศจากผู้ใกล้ชิด

    ในปี พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์กับพวกได้ก่อการกบฏ อ้างว่าพระเจ้าตากสินมีพระสติวิปลาส ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาคือรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ยกทัพกลับจากเขมรเข้ากรุงธนบุรี และสั่งสำเร็จโทษพระเจ้าตากสินโดยการ “ตัดศีรษะ” ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ในวันที่ 6 เมษายน 2325 👑

    🕯️ พระชนมพรรษา 48 ปี ครองราชย์รวม 15 ปี

    แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? หลักฐานและคำบอกเล่าต่างๆ กลับชี้ไปในทิศทางที่แตกต่างกัน...

    📚 พงศาวดาร หลากหลายข้อสันนิษฐาน

    1️⃣ ฉบับพระราชหัตถเลขา ประหารโดยตัดศีรษะ เล่าว่า... พระเจ้าตากถูกตัดศีรษะโดยเพชฌฆาต ไม่มีการใช้คำว่า “สวรรคต” แต่ใช้คำว่า “ถึงแก่พิราลัย” แสดงว่าอาจถูกริดรอนพระยศ ก่อนที่สำเร็จโทษ

    2️⃣ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ม็อบพาไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง ระบุว่า... “ทแกล้วทหารทั้งปวงมีใจเจ็บแค้น นำเอาพระเจ้าแผ่นดินไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง” โดยไม่ระบุวิธี

    3️⃣ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ชนหมู่มากฆ่าพระองค์ กล่าวว่า... “ชนทั้งหลายมีความโกรธ ชวนกันกำจัดเสียจากราชสมบัติ แล้วพิฆาฎฆ่าเสีย”

    4️⃣ พระยาทัศดาจัตุรงค์ หัวใจวายเฉียบพลัน เขียนว่า... “เกิดวิกลดลจิตประจุบัน ท้าวดับชีวัน” ซึ่งแปลว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการหัวใจวาย

    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าหลัง 2475 สร้างตำนานใหม่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เรื่องราวของพระเจ้าตาก ถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบใหม่ โดยเน้นไปที่... การเป็นวีรกษัตริย์ของประชาชน อาทิ วรรณกรรมเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน” ของภิกษุณีโพธิสัตว์ "วรมัย กบิลสิงห์" ซึ่งอ้างว่า “พระองค์ไม่ถูกประหาร แต่สับเปลี่ยนตัวกับนายมั่น”

    🔍 จุดมุ่งหมายคือ การสร้างความรู้สึกร่วมของคนไทย สร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเน้นความสามัคคีแห่งชาติ 🇹🇭

    🧠 ข้อวิเคราะห์ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ❓ พระเจ้าตากเสียสติจริงหรือ? เอกสารหลายฉบับระบุว่า พระองค์มีพระสติวิปลาส แต่บทสนทนาก่อนประหารที่ว่า “ขอเข้าเฝ้าสนทนาอีกสักสองสามคำ” นั้นชัดเจน และเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ 🤔

    ❓ มีการสับเปลี่ยนตัวจริงหรือ? ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนใด ๆ รองรับ แต่แนวคิดนี้ ปรากฏอย่างแพร่หลายในวรรณกรรม และความเชื่อของประชาชน

    📜 วันที่พระองค์ถูกลืม? วันที่ 6 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันจักรี" เพื่อระลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรี โดยไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าตากเลย ทั้งที่วันเดียวกันนั้น คือวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เช่นกัน

    ทำให้เกิดคำถามในใจใครหลายคนว่า พระเจ้าตากถูก “กลบ” จากประวัติศาสตร์หรือไม่? 😢

    🛕 พระเจ้าตากในความทรงจำของประชาชน แม้ประวัติศาสตร์ทางการจะบอกว่า พระองค์ถูกประหารชีวิต แต่ในความเชื่อของประชาชนทั่วไป พระเจ้าตากยังคงเป็น “วีรกษัตริย์ผู้ไม่เคยพ่าย” 🙏

    มีการสักการะพระบรมรูปที่วงเวียนใหญ่ คนไทยเชื้อสายจีนเรียกพระองค์ว่า “แต่อ่วงกง” มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพระองค์

    🧾 จากความจริง...สู่ตำนาน 243 ปีผ่านไป...วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราช ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ปริศนา และความรู้สึกค้างคาใจ ของคนไทยจำนวนมาก

    แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ... พระเจ้าตากมิใช่เพียงนักรบผู้เดียวดาย แต่คือบุคคลผู้เปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินนี้ ไว้ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 060744 เม.ย. 2568

    📱 #พระเจ้าตาก #สมเด็จพระเจ้าตากสิน #ประวัติศาสตร์ไทย #243ปีพระเจ้าตาก #ตำนานพระเจ้าตาก #วันประหารพระเจ้าตาก #วันจักรี #ราชวงศ์ธนบุรี #วีรกษัตริย์ไทย #กษัตริย์ผู้กอบกู้
    243 ปี สำเร็จโทษ “พระเจ้าตาก” กษัตริย์ผู้กอบกู้ นักรบผู้เดียวดาย สู่ตำนานมหาราช เบื้องหลังความจริงของวันประหาร ที่ยังเป็นปริศนา 📌 เรื่องราวสุดลึกซึ้งของ "พระเจ้าตากสินมหาราช" วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราช สู่ฉากอวสานที่ยังคลุมเครือ หลังผ่านมา 243 ปี ความจริงของวันสำเร็จโทษ ยังรอการค้นหา ข้อเท็จจริงและปริศนา ที่ยังรอการคลี่คลาย ✨ 🔥 "พระเจ้าตาก" ตำนานนักรบผู้เดียวดาย ที่ยังไม่ถูกลืม วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 วันนั้นไม่ใช่เพียงการเริ่มต้นราชวงศ์จักรีเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือ “พระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จสวรรคตอย่างเป็นทางการ... หรืออาจจะไม่? 243 ปี ผ่านไป เรื่องราวของพระองค์ยังคงเป็นที่ถกเถียง 😢 ทั้งในแวดวงวิชาการ ประวัติศาสตร์ และสังคมไทยโดยรวม เพราะแม้จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้ชาติ แต่จุดจบของพระองค์ กลับเต็มไปด้วยข้อสงสัย ความคลุมเครือ และคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบอย่างแท้จริง ย้อนเวลากลับไปสำรวจเรื่องราวของ "พระเจ้าตากสิน" ตั้งแต่วีรกรรมกู้ชาติ ไปจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต เพื่อค้นหาความจริง และความหมายที่ซ่อนอยู่ในตำนานของพระองค์ 👑 "พระเจ้าตากสิน" กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวแห่งกรุงธนบุรี 🌊 จากนายทหาร สู่กษัตริย์ผู้กอบกู้ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า "สิน" เป็นบุตรของชาวจีนแต้จิ๋ว โดยทรงเข้ารับราชการในสมัย "สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์" รัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 พระยาตากคือผู้นำที่ยืนหยัด และฝ่าทัพพม่าออกไปตั้งหลักที่จันทบุรี 🐎 พร้อมกับรวบรวมผู้คนและกำลังพล จนสามารถกลับมากู้ชาติ และยึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า ได้ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ✨ หลังจากนั้น ทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่กรุงธนบุรี พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และสถาปนา “อาณาจักรธนบุรี” 🏰 🌟 พระราชกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ "พระเจ้าตากสิน" มิได้เป็นเพียงนักรบ แต่ทรงเป็นนักปกครอง ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พระองค์ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม 🎨📚 🔸 ส่งเสริมการค้ากับจีนและต่างประเทศ 🔸 ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยให้มีการอุปสมบทพระสงฆ์ใหม่จำนวนมาก 🔸 ส่งเสริมวรรณกรรม และการศึกษา 🔸 รวบรวมดินแดนที่แตกแยก กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์ยังได้รับ การถวายพระราชสมัญญานามว่า “มหาราช” โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 💖 ⚔️ จุดจบที่เป็นปริศนา วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสิน แม้พระองค์จะทรงกู้ชาติ และสร้างบ้านแปงเมือง แต่พระเจ้าตากก็ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายใน และการทรยศจากผู้ใกล้ชิด ในปี พ.ศ. 2325 พระยาสรรค์กับพวกได้ก่อการกบฏ อ้างว่าพระเจ้าตากสินมีพระสติวิปลาส ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาคือรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ยกทัพกลับจากเขมรเข้ากรุงธนบุรี และสั่งสำเร็จโทษพระเจ้าตากสินโดยการ “ตัดศีรษะ” ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ในวันที่ 6 เมษายน 2325 👑 🕯️ พระชนมพรรษา 48 ปี ครองราชย์รวม 15 ปี แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? หลักฐานและคำบอกเล่าต่างๆ กลับชี้ไปในทิศทางที่แตกต่างกัน... 📚 พงศาวดาร หลากหลายข้อสันนิษฐาน 1️⃣ ฉบับพระราชหัตถเลขา ประหารโดยตัดศีรษะ เล่าว่า... พระเจ้าตากถูกตัดศีรษะโดยเพชฌฆาต ไม่มีการใช้คำว่า “สวรรคต” แต่ใช้คำว่า “ถึงแก่พิราลัย” แสดงว่าอาจถูกริดรอนพระยศ ก่อนที่สำเร็จโทษ 2️⃣ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ม็อบพาไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง ระบุว่า... “ทแกล้วทหารทั้งปวงมีใจเจ็บแค้น นำเอาพระเจ้าแผ่นดินไปสำเร็จ ณ ป้อมท้ายเมือง” โดยไม่ระบุวิธี 3️⃣ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ชนหมู่มากฆ่าพระองค์ กล่าวว่า... “ชนทั้งหลายมีความโกรธ ชวนกันกำจัดเสียจากราชสมบัติ แล้วพิฆาฎฆ่าเสีย” 4️⃣ พระยาทัศดาจัตุรงค์ หัวใจวายเฉียบพลัน เขียนว่า... “เกิดวิกลดลจิตประจุบัน ท้าวดับชีวัน” ซึ่งแปลว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยอาการหัวใจวาย 🕵️‍♂️ เรื่องเล่าหลัง 2475 สร้างตำนานใหม่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เรื่องราวของพระเจ้าตาก ถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบใหม่ โดยเน้นไปที่... การเป็นวีรกษัตริย์ของประชาชน อาทิ วรรณกรรมเรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้าตากสิน” ของภิกษุณีโพธิสัตว์ "วรมัย กบิลสิงห์" ซึ่งอ้างว่า “พระองค์ไม่ถูกประหาร แต่สับเปลี่ยนตัวกับนายมั่น” 🔍 จุดมุ่งหมายคือ การสร้างความรู้สึกร่วมของคนไทย สร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเน้นความสามัคคีแห่งชาติ 🇹🇭 🧠 ข้อวิเคราะห์ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ❓ พระเจ้าตากเสียสติจริงหรือ? เอกสารหลายฉบับระบุว่า พระองค์มีพระสติวิปลาส แต่บทสนทนาก่อนประหารที่ว่า “ขอเข้าเฝ้าสนทนาอีกสักสองสามคำ” นั้นชัดเจน และเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ 🤔 ❓ มีการสับเปลี่ยนตัวจริงหรือ? ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนใด ๆ รองรับ แต่แนวคิดนี้ ปรากฏอย่างแพร่หลายในวรรณกรรม และความเชื่อของประชาชน 📜 วันที่พระองค์ถูกลืม? วันที่ 6 เมษายน ถูกกำหนดให้เป็น "วันจักรี" เพื่อระลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรี โดยไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าตากเลย ทั้งที่วันเดียวกันนั้น คือวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เช่นกัน ทำให้เกิดคำถามในใจใครหลายคนว่า พระเจ้าตากถูก “กลบ” จากประวัติศาสตร์หรือไม่? 😢 🛕 พระเจ้าตากในความทรงจำของประชาชน แม้ประวัติศาสตร์ทางการจะบอกว่า พระองค์ถูกประหารชีวิต แต่ในความเชื่อของประชาชนทั่วไป พระเจ้าตากยังคงเป็น “วีรกษัตริย์ผู้ไม่เคยพ่าย” 🙏 มีการสักการะพระบรมรูปที่วงเวียนใหญ่ คนไทยเชื้อสายจีนเรียกพระองค์ว่า “แต่อ่วงกง” มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพระองค์ 🧾 จากความจริง...สู่ตำนาน 243 ปีผ่านไป...วาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราช ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม ปริศนา และความรู้สึกค้างคาใจ ของคนไทยจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ... พระเจ้าตากมิใช่เพียงนักรบผู้เดียวดาย แต่คือบุคคลผู้เปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินนี้ ไว้ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย 🇹🇭 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 060744 เม.ย. 2568 📱 #พระเจ้าตาก #สมเด็จพระเจ้าตากสิน #ประวัติศาสตร์ไทย #243ปีพระเจ้าตาก #ตำนานพระเจ้าตาก #วันประหารพระเจ้าตาก #วันจักรี #ราชวงศ์ธนบุรี #วีรกษัตริย์ไทย #กษัตริย์ผู้กอบกู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่เคยมีอยู่ในกมลสันดาลของคนในสกุลชินทุกคนที่เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ มีแต่มอมเมาคนโทยให้หลงทาง ให้มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทำลายรากฐานศาสนาและวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมให้มีนิกายบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างชัดแจ้ง ส่งทั้งพระและฆารวาสเข้าแทรกแซงองค์กรพระพุทธศาสนา ส่งเสริมการพนันออนไลด์ อันเป็นหนทางแห่งความพินาศฉิบหายของชาติ

    ผู้นำประเทศในสกุลนี้ ทำร้ายชาติมามากแล้ว มากเกือบจะไม่มีรากแก้วให้ค้ำยันต้นไม้ของพ่อแล้ว ขืนปล่อยเวลาให้เนิ่นนานต่อไป ประเทศไทยล้มสลายแน่
    คำว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่เคยมีอยู่ในกมลสันดาลของคนในสกุลชินทุกคนที่เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ มีแต่มอมเมาคนโทยให้หลงทาง ให้มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทำลายรากฐานศาสนาและวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมให้มีนิกายบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างชัดแจ้ง ส่งทั้งพระและฆารวาสเข้าแทรกแซงองค์กรพระพุทธศาสนา ส่งเสริมการพนันออนไลด์ อันเป็นหนทางแห่งความพินาศฉิบหายของชาติ ผู้นำประเทศในสกุลนี้ ทำร้ายชาติมามากแล้ว มากเกือบจะไม่มีรากแก้วให้ค้ำยันต้นไม้ของพ่อแล้ว ขืนปล่อยเวลาให้เนิ่นนานต่อไป ประเทศไทยล้มสลายแน่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลำปาง – ฤทธิ์แผ่นดินไหว..พบปูนโคนเสาวิหารวัดพระธาตุลำปางหลวง กะเทาะ-คานแตกร้าว หลังเกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระธาตุฯ ไร้รอยแตกร้าว

    วันนี้ (29 มี.ค.) วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง สถานที่ท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาของจังหวัดลำปาง ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้สักการะองค์พระธาตุ และเที่ยมชมโบราญสถาน โบราญวัตถุตามปกติ แม้ว่าภายในวัดจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เมื่อบ่ายวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา

    โดยองค์พระธาตุลำปางหลวง ยังคงปกติปลอดภัยไม่พบรอยแตกร้าว แต่โครงสร้างของวิหารหลวงของวัดพระธาตุลำปางหลวง ไม่ว่าจะเป็นโคนเสา คานรอยต่อไม้กับปูน เกิดการแตกร้าว ปูนกะเทาะออกมาหลายจุด ขณะที่ พระวิหารน้ำแต้ม ซึ่งเป็นพระวิหารโบราณ ก็พบว่าเสาเกือบทุกต้นปูนกะเทาะออกมา จนเห็นก้อนอิฐที่อยู่ภายใน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000030040

    #MGROnline #ลำปาง #แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #ประเทศไทย #เมียนมา #ThailandEarthquake
    ลำปาง – ฤทธิ์แผ่นดินไหว..พบปูนโคนเสาวิหารวัดพระธาตุลำปางหลวง กะเทาะ-คานแตกร้าว หลังเกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระธาตุฯ ไร้รอยแตกร้าว • วันนี้ (29 มี.ค.) วัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง สถานที่ท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาของจังหวัดลำปาง ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบไหว้สักการะองค์พระธาตุ และเที่ยมชมโบราญสถาน โบราญวัตถุตามปกติ แม้ว่าภายในวัดจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เมื่อบ่ายวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา • โดยองค์พระธาตุลำปางหลวง ยังคงปกติปลอดภัยไม่พบรอยแตกร้าว แต่โครงสร้างของวิหารหลวงของวัดพระธาตุลำปางหลวง ไม่ว่าจะเป็นโคนเสา คานรอยต่อไม้กับปูน เกิดการแตกร้าว ปูนกะเทาะออกมาหลายจุด ขณะที่ พระวิหารน้ำแต้ม ซึ่งเป็นพระวิหารโบราณ ก็พบว่าเสาเกือบทุกต้นปูนกะเทาะออกมา จนเห็นก้อนอิฐที่อยู่ภายใน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000030040 • #MGROnline #ลำปาง #แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #ประเทศไทย #เมียนมา #ThailandEarthquake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดเทอม หน้าร้อนวัดต่างๆทั่วประเทศไทย บวชเณรภาคฤดูร้อน ..ชาวพุทธก็ช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนา
    ปิดเทอม หน้าร้อนวัดต่างๆทั่วประเทศไทย บวชเณรภาคฤดูร้อน ..ชาวพุทธก็ช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าแด่เทพเทวดา ผู้เป็นสักขีพยานในการรักษาทรัพย์ ตั้งแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบัน บุญกุศลใดก็ตาม ทรัพย์ใดก็ตามที่ ข้าพเจ้าพึงสั่งสมมา ให้ข้าพเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าได้พบบวรพระพุทธศาสนา ได้พบพระศรีคเณศ ได้พบพญานาคราชหรือทวยเทพเทวดาพระองค์ใดที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอใช้เวลาที่มีอยู่ในภพชาตินี้ในการทำนุบำรุงประเทศชาติบ้านเมืองและศาสนา ขอการดูแลบำรุงอุดหนุนตนเองครอบครัววงศ์ตระกูลให้มีอิสรภาพให้สำเร็จสะดวกสบาย ทรัพย์ใดมีอยู่จริงทั้งที่ดิน ทั้งใต้น้ำ ทั้งที่อากาศ ขอให้หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า จะมาในรูปแบบใดก็ดี ขอให้มาอย่างถูกต้อง ขอให้มาเป็นภูมิปัญญาอันเป็นประเสริฐขอให้มาเป็นภูมิปัญญาอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวง
    #พลัมเฮร่า
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์

    น้อมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เชียง ปัณณวิชญ์
    ค่ะ...
    ข้าแด่เทพเทวดา ผู้เป็นสักขีพยานในการรักษาทรัพย์ ตั้งแต่อดีตชาติจวบจนปัจจุบัน บุญกุศลใดก็ตาม ทรัพย์ใดก็ตามที่ ข้าพเจ้าพึงสั่งสมมา ให้ข้าพเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าได้พบบวรพระพุทธศาสนา ได้พบพระศรีคเณศ ได้พบพญานาคราชหรือทวยเทพเทวดาพระองค์ใดที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอใช้เวลาที่มีอยู่ในภพชาตินี้ในการทำนุบำรุงประเทศชาติบ้านเมืองและศาสนา ขอการดูแลบำรุงอุดหนุนตนเองครอบครัววงศ์ตระกูลให้มีอิสรภาพให้สำเร็จสะดวกสบาย ทรัพย์ใดมีอยู่จริงทั้งที่ดิน ทั้งใต้น้ำ ทั้งที่อากาศ ขอให้หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า จะมาในรูปแบบใดก็ดี ขอให้มาอย่างถูกต้อง ขอให้มาเป็นภูมิปัญญาอันเป็นประเสริฐขอให้มาเป็นภูมิปัญญาอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทั้งปวง #พลัมเฮร่า #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์ น้อมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เชียง ปัณณวิชญ์ ค่ะ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเผชิญกับทุกข์คือบททดสอบพัฒนาจิตใจ
    ผู้ที่ยัง “ฟูมฟาย” หรือ “ซ่อน” ทุกข์ เป็นเพียงผู้หนีความจริง
    ผู้ที่เผชิญทุกข์ด้วยสติ คือผู้เดินเข้าสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์
    เพราะที่สุดของการฝึกฝนในพุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อเป็นคนเข้มแข็ง
    แต่เพื่อ “เลิกเห็นว่าตัวเราเป็นทุกข์” และเข้าถึงอิสรภาพภายในที่แท้จริง!
    การเผชิญกับทุกข์คือบททดสอบพัฒนาจิตใจ ผู้ที่ยัง “ฟูมฟาย” หรือ “ซ่อน” ทุกข์ เป็นเพียงผู้หนีความจริง ผู้ที่เผชิญทุกข์ด้วยสติ คือผู้เดินเข้าสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ เพราะที่สุดของการฝึกฝนในพุทธศาสนา ไม่ใช่เพื่อเป็นคนเข้มแข็ง แต่เพื่อ “เลิกเห็นว่าตัวเราเป็นทุกข์” และเข้าถึงอิสรภาพภายในที่แท้จริง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌿 ศาสนาพุทธ : เปลือกและแก่นของการทำบุญ 🌿


    ---

    🔵 1️⃣ เปลือกแรกของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจเป็นสุข

    ✅ เป้าหมาย → ทำบุญเพื่อให้ใจเบา สบาย และเป็นสุข
    ✅ วิธีการ

    ให้ทาน → สละออกเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น

    รักษาศีล → ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    ฝึกสมาธิ → ทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
    ✅ ผลลัพธ์

    ใจที่สละออก = ใจที่เบาขึ้น

    ใจที่ห้ามความชั่ว = ใจที่สะอาดขึ้น
    📌 "การทำบุญเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่แค่พิธีกรรม"



    ---

    🟢 2️⃣ แก่นแท้ของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจพ้นทุกข์

    ✅ เป้าหมาย → สละความเห็นผิด สละความยึดมั่นในตัวตน
    ✅ วิธีการ

    สละ ‘ความยึดมั่นถือมั่น’ → เห็นว่าทุกสิ่งเป็น ‘อนัตตา’

    รู้ทันจิต → เห็นการเปลี่ยนแปลงของกายและใจอย่างเป็นกลาง

    ใช้ชีวิตด้วยสติ → ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่กับธรรมชาติของชีวิต
    ✅ ผลลัพธ์

    จิตโปร่ง โล่ง เบา → ไม่ยึดติดความคิดว่า ‘เรา’ เป็นสิ่งใด

    ไม่มีตัวตนที่แท้จริง → ทุกสิ่งเป็นเพียง ‘การเปลี่ยนแปลง’ เท่านั้น
    📌 "พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้แค่ ‘ดี’ แต่สอนให้ ‘พ้นทุกข์’"



    ---

    🔶 3️⃣ ทำไมบางคนเรียนธรรมะแต่ยังทุกข์?

    📌 ปัญหา

    รู้หลักธรรมะ แต่ ‘ยังมีอัตตา’ → คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

    รู้ว่า ‘กายใจเป็นอนัตตา’ แต่ ‘ยังยึดติดความรู้’

    เข้าใจทฤษฎี แต่ยัง ‘โลภ โกรธ หลง’ อยู่


    📌 แนวทางแก้ไข

    เจริญสติในปัจจุบัน → รู้ลมหายใจ รู้กาย รู้จิตของตัวเอง

    ไม่ยึดติดความเป็นผู้รู้ → ไม่หลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

    ใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ → ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเอง


    📌 "การศึกษาธรรมะไม่ใช่การสะสมความรู้ แต่คือการลดอัตตา จนเหลือแต่จิตที่ว่างและเบาสบาย"


    ---

    🌅 4️⃣ การเจริญสติแบบพุทธ : ฝึก ‘รู้’ อย่างไรให้พ้นทุกข์

    ✅ ฝึกมองกายใจแบบแยกส่วน

    หายใจเข้า → รู้สึกโล่ง หรืออึดอัด?

    หายใจออก → รู้สึกสบาย หรือกดดัน?

    จิตฟุ้งซ่าน → แค่รู้ว่าฟุ้ง ไม่ต้องไปแก้

    จิตสงบ → แค่รู้ว่าสงบ ไม่ต้องไปยึด


    ✅ ฝึกเห็นว่า ‘ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง’

    อารมณ์ดี → เดี๋ยวก็หายไป

    อารมณ์ร้าย → เดี๋ยวก็หายไป

    ความสุข ความทุกข์ → ไม่เที่ยงทั้งคู่


    📌 "เห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกลาง ใจก็เบาและพ้นทุกข์"


    ---

    🔄 5️⃣ สรุป : พุทธศาสนาสอนอะไร?

    ✅ เปลือกแรก → ทำบุญให้ใจเป็นสุข
    ✅ แก่นแท้ → สละตัวตนเพื่อให้ใจพ้นทุกข์
    ✅ ทางปฏิบัติ → เจริญสติ ฝึกเห็นกายใจเป็น ‘อนัตตา’
    ✅ เป้าหมายสูงสุด → จิตโปร่ง โล่ง เบา ไม่ยึดติดอะไร

    📌 "พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการให้เราพ้นทุกข์อย่างแท้จริง" 🏔️

    🌿 ศาสนาพุทธ : เปลือกและแก่นของการทำบุญ 🌿 --- 🔵 1️⃣ เปลือกแรกของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจเป็นสุข ✅ เป้าหมาย → ทำบุญเพื่อให้ใจเบา สบาย และเป็นสุข ✅ วิธีการ ให้ทาน → สละออกเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น รักษาศีล → ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ฝึกสมาธิ → ทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ✅ ผลลัพธ์ ใจที่สละออก = ใจที่เบาขึ้น ใจที่ห้ามความชั่ว = ใจที่สะอาดขึ้น 📌 "การทำบุญเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่แค่พิธีกรรม" --- 🟢 2️⃣ แก่นแท้ของพุทธศาสนา: การทำบุญเพื่อให้ใจพ้นทุกข์ ✅ เป้าหมาย → สละความเห็นผิด สละความยึดมั่นในตัวตน ✅ วิธีการ สละ ‘ความยึดมั่นถือมั่น’ → เห็นว่าทุกสิ่งเป็น ‘อนัตตา’ รู้ทันจิต → เห็นการเปลี่ยนแปลงของกายและใจอย่างเป็นกลาง ใช้ชีวิตด้วยสติ → ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่กับธรรมชาติของชีวิต ✅ ผลลัพธ์ จิตโปร่ง โล่ง เบา → ไม่ยึดติดความคิดว่า ‘เรา’ เป็นสิ่งใด ไม่มีตัวตนที่แท้จริง → ทุกสิ่งเป็นเพียง ‘การเปลี่ยนแปลง’ เท่านั้น 📌 "พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้แค่ ‘ดี’ แต่สอนให้ ‘พ้นทุกข์’" --- 🔶 3️⃣ ทำไมบางคนเรียนธรรมะแต่ยังทุกข์? 📌 ปัญหา รู้หลักธรรมะ แต่ ‘ยังมีอัตตา’ → คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น รู้ว่า ‘กายใจเป็นอนัตตา’ แต่ ‘ยังยึดติดความรู้’ เข้าใจทฤษฎี แต่ยัง ‘โลภ โกรธ หลง’ อยู่ 📌 แนวทางแก้ไข เจริญสติในปัจจุบัน → รู้ลมหายใจ รู้กาย รู้จิตของตัวเอง ไม่ยึดติดความเป็นผู้รู้ → ไม่หลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ → ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดดันตัวเอง 📌 "การศึกษาธรรมะไม่ใช่การสะสมความรู้ แต่คือการลดอัตตา จนเหลือแต่จิตที่ว่างและเบาสบาย" --- 🌅 4️⃣ การเจริญสติแบบพุทธ : ฝึก ‘รู้’ อย่างไรให้พ้นทุกข์ ✅ ฝึกมองกายใจแบบแยกส่วน หายใจเข้า → รู้สึกโล่ง หรืออึดอัด? หายใจออก → รู้สึกสบาย หรือกดดัน? จิตฟุ้งซ่าน → แค่รู้ว่าฟุ้ง ไม่ต้องไปแก้ จิตสงบ → แค่รู้ว่าสงบ ไม่ต้องไปยึด ✅ ฝึกเห็นว่า ‘ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง’ อารมณ์ดี → เดี๋ยวก็หายไป อารมณ์ร้าย → เดี๋ยวก็หายไป ความสุข ความทุกข์ → ไม่เที่ยงทั้งคู่ 📌 "เห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกลาง ใจก็เบาและพ้นทุกข์" --- 🔄 5️⃣ สรุป : พุทธศาสนาสอนอะไร? ✅ เปลือกแรก → ทำบุญให้ใจเป็นสุข ✅ แก่นแท้ → สละตัวตนเพื่อให้ใจพ้นทุกข์ ✅ ทางปฏิบัติ → เจริญสติ ฝึกเห็นกายใจเป็น ‘อนัตตา’ ✅ เป้าหมายสูงสุด → จิตโปร่ง โล่ง เบา ไม่ยึดติดอะไร 📌 "พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการให้เราพ้นทุกข์อย่างแท้จริง" 🏔️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" ร้อง ตำรวจ ปอท. เอาผิดดารา-กลุ่มลัทธิเชื่อมจิต หลังพบมีภาพกราบไหว้บูชาเด็กชายวัย 9 ขวบ

    วันนี้ (17 มี.ค.) นายแทนคุณหรืออี้จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม หรือ พร้อมคณะเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท.เพื่อร้องขอให้พิจารณาดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิต และดารารายหนึ่งกรณีมีการเผยแพร่ภาพเด็กชายวัย 9 ปี ทำกิจกรรมเชื่อมจิต โดยมีผู้คนกราบไหว้ทั้งสองข้างทาง

    อี้ แทนคุณ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้รับการร้องเรียนจากพุทธศาสนานิกชนเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับเรื่องลัทธิเชื่อมจิต วันนี้จึงรวบรวมเอกสารทำหนังสือมายื่นกับ บก.ปอท. หลังจากที่มีภาพปรากฏเป็นข่าวว่ามีการทำกิจกรรมที่เป็นลักษณะให้ตัวเด็กชายวัย 9 ปี แต่งตัวเสมือนเทพพญานาคทำพิธี และมีผู้คนที่เป็นผู้สูงอายุกราบไหว้สองข้างทาง ซึ่งทำให้สร้างความไม่สบายใจแก่พุทธศาสนิกชน นอกจากนี้ยังมีภาพที่ไปลงในโซเชียลและมีคำพูดกล่าวอ้างว่าเด็กชายคนดังกล่าวเป็นตัวแทนของพระศากยมุณี ซึ่งการกล่าวอ้างในลักษณะนี้เป็นการทำผิดกฎหลักการของพระไตรปิฎก

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000025515

    #MGROnline #อี้แทนคุณ
    "อี้ แทนคุณ" ร้อง ตำรวจ ปอท. เอาผิดดารา-กลุ่มลัทธิเชื่อมจิต หลังพบมีภาพกราบไหว้บูชาเด็กชายวัย 9 ขวบ • วันนี้ (17 มี.ค.) นายแทนคุณหรืออี้จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม หรือ พร้อมคณะเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท.เพื่อร้องขอให้พิจารณาดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิต และดารารายหนึ่งกรณีมีการเผยแพร่ภาพเด็กชายวัย 9 ปี ทำกิจกรรมเชื่อมจิต โดยมีผู้คนกราบไหว้ทั้งสองข้างทาง • อี้ แทนคุณ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้รับการร้องเรียนจากพุทธศาสนานิกชนเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับเรื่องลัทธิเชื่อมจิต วันนี้จึงรวบรวมเอกสารทำหนังสือมายื่นกับ บก.ปอท. หลังจากที่มีภาพปรากฏเป็นข่าวว่ามีการทำกิจกรรมที่เป็นลักษณะให้ตัวเด็กชายวัย 9 ปี แต่งตัวเสมือนเทพพญานาคทำพิธี และมีผู้คนที่เป็นผู้สูงอายุกราบไหว้สองข้างทาง ซึ่งทำให้สร้างความไม่สบายใจแก่พุทธศาสนิกชน นอกจากนี้ยังมีภาพที่ไปลงในโซเชียลและมีคำพูดกล่าวอ้างว่าเด็กชายคนดังกล่าวเป็นตัวแทนของพระศากยมุณี ซึ่งการกล่าวอ้างในลักษณะนี้เป็นการทำผิดกฎหลักการของพระไตรปิฎก • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000025515 • #MGROnline #อี้แทนคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ)


    ---

    🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร"

    เป็นเพียง "กระบวนการของจิต"

    ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป


    📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น
    ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข
    ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่
    ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่
    ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน
    ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่

    💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

    ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต

    ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป"



    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง?

    📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง"
    สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก
    ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ
    ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่
    ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก
    ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด
    ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ

    💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว

    ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ

    แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ



    ---

    🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร?

    📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด
    แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ

    📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ
    ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง
    ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป
    ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน
    ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน

    💡 สุดท้ายจะเห็นว่า

    ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด

    ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป



    ---

    🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร?

    🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว"
    📌 ดังนั้น เราควร…
    ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น
    ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป
    ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์

    📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน
    ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต
    ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ
    ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น

    💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
    ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ
    ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์
    แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง


    ---

    ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ

    📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ
    📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต
    📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด
    📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด

    🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก"
    🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง"

    💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙

    📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ) --- 🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? 🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร" เป็นเพียง "กระบวนการของจิต" ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป 📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่ ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่ ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่ 💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป" --- 🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง? 📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง" สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่ ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ 💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ --- 🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร? 📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ 📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน 💡 สุดท้ายจะเห็นว่า ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป --- 🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร? 🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว" 📌 ดังนั้น เราควร… ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์ 📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น 💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?" ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์ แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง --- ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ 📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ 📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต 📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด 📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด 🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก" 🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง" 💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 613 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 ความรักในทางพุทธ : มีจริงแค่ไหน?

    (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และจิตวิทยาความรัก)


    ---

    🔍 1️⃣ รักแท้จริงๆ มีอยู่หรือไม่ในทางพุทธ?

    ในพระพุทธศาสนา "รัก" เป็นสังขารขันธ์

    คือ "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป"

    ไม่มีอะไรคงที่ ไม่ว่าเราจะอยากให้มันนิรันดร์แค่ไหน

    ความรักเกิดขึ้น-เปลี่ยนแปลง-ดับไป ตามเหตุปัจจัยเสมอ


    🌿 "รักนิรันดร์" ในแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีจริง
    แต่ "รักที่ดี" คือ รักที่ปรับตัวได้ตามเหตุปัจจัย

    📌 ความรักจึงขึ้นกับสิ่งเหล่านี้
    ✅ การมองเห็นคุณค่าของกันและกัน
    ✅ การช่วยเหลือ สนับสนุนกัน
    ✅ ความเข้าใจและการให้อภัย
    ✅ การมีจิตใจเกื้อกูล ไม่ใช่แค่ยึดครอง


    ---

    🔍 2️⃣ เหตุใดรักจึงขึ้นลง ไม่คงที่?

    พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
    แม้แต่จิตใจคน

    📌 เหตุที่ทำให้รักเปลี่ยนไป
    ❌ ภาวะทางอารมณ์ → วันหนึ่งรู้สึกดี อีกวันหงุดหงิด
    ❌ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป → คนรักอาจเปลี่ยนแปลง
    ❌ สภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอก → เช่น ปัญหาเงินทอง ครอบครัว
    ❌ การสะสมบุญกรรมร่วมกัน → คนที่รักกันแต่มีวิบากแตกต่างกัน อาจค่อยๆ ห่างกันไป

    💡 สรุป : ความรักเป็นสิ่งที่ "พัฒนาได้" หรือ "เสื่อมถอยได้"
    ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยที่ก่อร่างสร้างขึ้นในแต่ละวัน


    ---

    🔍 3️⃣ ทำไมคนบางคน "พิสูจน์รัก" จนเสียรักไป?

    📌 พฤติกรรมที่ทำลายความรักโดยไม่รู้ตัว
    ❌ "ถ้ารักฉัน ต้องรับได้ทุกอย่าง" → นี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความคาดหวัง
    ❌ "รักแท้ต้องทดสอบ" → การลองใจซ้ำๆ คือการผลักอีกฝ่ายออกไป
    ❌ "ต้องให้ฉันก่อน แล้วฉันถึงจะรัก" → นี่คือเงื่อนไข ไม่ใช่รักแท้

    💡 ความรักไม่ใช่สนามสอบ

    คนที่ต้องเจอการลองใจบ่อยๆ มักหมดแรงและเลือกเดินจากไป

    การรักใครอย่างแท้จริง คือการเป็นผู้ให้ โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร



    ---

    🔍 4️⃣ รักที่มั่นคงเป็นอย่างไร?

    🌿 รักที่มั่นคงในพุทธศาสนา ไม่ใช่รักที่ไม่เปลี่ยนแปลง
    แต่คือ รักที่ไม่ขึ้นลงตามอารมณ์ชั่ววูบ

    📌 รักแบบที่มีสติและปัญญา คือ
    ✅ เข้าใจว่า "ความรักต้องอาศัยเหตุปัจจัย"
    ✅ มีเมตตาต่อกัน ไม่ใช่แค่ต้องการครอบครอง
    ✅ ปรับตัวให้กันและกันได้
    ✅ มีความมั่นคงภายใน ไม่ต้องพึ่งพิงจนหมดตัวตน

    🌿 "รักที่ดี" ไม่ใช่รักที่ทนได้ทุกอย่าง
    แต่คือ รักที่ให้โอกาสกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของศีลและความเคารพกัน


    ---

    🔍 5️⃣ จะรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่เรามีเป็นรักแท้หรือไม่?

    💡 ไม่ต้องหาทางพิสูจน์หรือทดสอบ
    💡 ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด

    📌 วิธีเช็คความรักของคุณ
    ✅ คุณมีความสุขในการให้ โดยไม่ต้องรอรับหรือไม่?
    ✅ คุณสามารถเข้าใจและให้อภัยได้โดยไม่ฝืนใจหรือไม่?
    ✅ เวลาผ่านไป คุณยังอยากทำดีให้กันอยู่หรือไม่?
    ✅ คุณเห็นเขาเป็น "เพื่อนชีวิต" ที่ก้าวไปด้วยกัน หรือแค่ "คนที่ต้องทำให้คุณมีความสุข"?

    🌿 "ความรักที่แท้จริง" คือการเดินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่การคุมสอบกันไปตลอดทาง


    ---

    ✅ สรุป : ความรักที่ยั่งยืนในแบบพุทธ คืออะไร?

    📌 1. ยอมรับว่า "รักนิรันดร์แบบไม่เปลี่ยนแปลง" ไม่มีจริง
    📌 2. ความรักขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และสามารถพัฒนาได้
    📌 3. อย่าทดลองความรัก เพราะมันคือการผลักอีกฝ่ายออกไป
    📌 4. รักที่ดีต้องมี "เมตตา ศีล และปัญญา"
    📌 5. ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด อย่ารีบตัดสินแค่จากอารมณ์ชั่วคราว

    🌿 รักที่แท้ คือรักที่มีสติ เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน
    ไม่ใช่แค่รักที่หวังให้เหมือนเดิมตลอดไป! 💙

    📌 ความรักในทางพุทธ : มีจริงแค่ไหน? (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และจิตวิทยาความรัก) --- 🔍 1️⃣ รักแท้จริงๆ มีอยู่หรือไม่ในทางพุทธ? ในพระพุทธศาสนา "รัก" เป็นสังขารขันธ์ คือ "สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป" ไม่มีอะไรคงที่ ไม่ว่าเราจะอยากให้มันนิรันดร์แค่ไหน ความรักเกิดขึ้น-เปลี่ยนแปลง-ดับไป ตามเหตุปัจจัยเสมอ 🌿 "รักนิรันดร์" ในแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีจริง แต่ "รักที่ดี" คือ รักที่ปรับตัวได้ตามเหตุปัจจัย 📌 ความรักจึงขึ้นกับสิ่งเหล่านี้ ✅ การมองเห็นคุณค่าของกันและกัน ✅ การช่วยเหลือ สนับสนุนกัน ✅ ความเข้าใจและการให้อภัย ✅ การมีจิตใจเกื้อกูล ไม่ใช่แค่ยึดครอง --- 🔍 2️⃣ เหตุใดรักจึงขึ้นลง ไม่คงที่? พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แม้แต่จิตใจคน 📌 เหตุที่ทำให้รักเปลี่ยนไป ❌ ภาวะทางอารมณ์ → วันหนึ่งรู้สึกดี อีกวันหงุดหงิด ❌ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป → คนรักอาจเปลี่ยนแปลง ❌ สภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอก → เช่น ปัญหาเงินทอง ครอบครัว ❌ การสะสมบุญกรรมร่วมกัน → คนที่รักกันแต่มีวิบากแตกต่างกัน อาจค่อยๆ ห่างกันไป 💡 สรุป : ความรักเป็นสิ่งที่ "พัฒนาได้" หรือ "เสื่อมถอยได้" ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยที่ก่อร่างสร้างขึ้นในแต่ละวัน --- 🔍 3️⃣ ทำไมคนบางคน "พิสูจน์รัก" จนเสียรักไป? 📌 พฤติกรรมที่ทำลายความรักโดยไม่รู้ตัว ❌ "ถ้ารักฉัน ต้องรับได้ทุกอย่าง" → นี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความคาดหวัง ❌ "รักแท้ต้องทดสอบ" → การลองใจซ้ำๆ คือการผลักอีกฝ่ายออกไป ❌ "ต้องให้ฉันก่อน แล้วฉันถึงจะรัก" → นี่คือเงื่อนไข ไม่ใช่รักแท้ 💡 ความรักไม่ใช่สนามสอบ คนที่ต้องเจอการลองใจบ่อยๆ มักหมดแรงและเลือกเดินจากไป การรักใครอย่างแท้จริง คือการเป็นผู้ให้ โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร --- 🔍 4️⃣ รักที่มั่นคงเป็นอย่างไร? 🌿 รักที่มั่นคงในพุทธศาสนา ไม่ใช่รักที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คือ รักที่ไม่ขึ้นลงตามอารมณ์ชั่ววูบ 📌 รักแบบที่มีสติและปัญญา คือ ✅ เข้าใจว่า "ความรักต้องอาศัยเหตุปัจจัย" ✅ มีเมตตาต่อกัน ไม่ใช่แค่ต้องการครอบครอง ✅ ปรับตัวให้กันและกันได้ ✅ มีความมั่นคงภายใน ไม่ต้องพึ่งพิงจนหมดตัวตน 🌿 "รักที่ดี" ไม่ใช่รักที่ทนได้ทุกอย่าง แต่คือ รักที่ให้โอกาสกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของศีลและความเคารพกัน --- 🔍 5️⃣ จะรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่เรามีเป็นรักแท้หรือไม่? 💡 ไม่ต้องหาทางพิสูจน์หรือทดสอบ 💡 ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด 📌 วิธีเช็คความรักของคุณ ✅ คุณมีความสุขในการให้ โดยไม่ต้องรอรับหรือไม่? ✅ คุณสามารถเข้าใจและให้อภัยได้โดยไม่ฝืนใจหรือไม่? ✅ เวลาผ่านไป คุณยังอยากทำดีให้กันอยู่หรือไม่? ✅ คุณเห็นเขาเป็น "เพื่อนชีวิต" ที่ก้าวไปด้วยกัน หรือแค่ "คนที่ต้องทำให้คุณมีความสุข"? 🌿 "ความรักที่แท้จริง" คือการเดินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่การคุมสอบกันไปตลอดทาง --- ✅ สรุป : ความรักที่ยั่งยืนในแบบพุทธ คืออะไร? 📌 1. ยอมรับว่า "รักนิรันดร์แบบไม่เปลี่ยนแปลง" ไม่มีจริง 📌 2. ความรักขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย และสามารถพัฒนาได้ 📌 3. อย่าทดลองความรัก เพราะมันคือการผลักอีกฝ่ายออกไป 📌 4. รักที่ดีต้องมี "เมตตา ศีล และปัญญา" 📌 5. ใช้เวลาและชีวิตเป็นเครื่องวัด อย่ารีบตัดสินแค่จากอารมณ์ชั่วคราว 🌿 รักที่แท้ คือรักที่มีสติ เข้าใจ และเติบโตไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่รักที่หวังให้เหมือนเดิมตลอดไป! 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ]
    .
    เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต”
    .
    ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต”
    .
    เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
    .
    หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี
    .
    ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา
    .
    ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม
    .
    ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว”
    .
    ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น
    .
    การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น
    .
    ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย
    .
    อ้างอิง
    (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑.
    (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง
    (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘.
    (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓.
    (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ] . เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต” . ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้ . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต” . เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง . หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี . ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา . ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม . ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว” . ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น . การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น . ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย . อ้างอิง (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑. (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘. (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓. (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 เข้าใจ "สังขารขันธ์" ผ่านความชอบ-ความชัง

    (อ้างอิงจากหนังสือ "7 เดือนบรรลุธรรม" โดยดังตฤณ)


    ---

    🔍 1️⃣ ความชอบ-ความชัง คืออะไรในแง่พุทธศาสนา?

    สังขารขันธ์ หมายถึง กระบวนการปรุงแต่งของจิต
    ซึ่งแสดงออกผ่าน "ปฏิกิริยา" ที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว

    📌 ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน คือ
    ✅ "ความชอบ" → สิ่งที่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากได้
    ✅ "ความชัง" → สิ่งที่ไม่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากผลักไส

    💡 ทำไมสิ่งนี้สำคัญ?
    เพราะมันเป็น ตัวแปรหลักที่กำหนดทุกข์ของเรา
    ยิ่งชอบมาก → ยิ่งยึดมาก → ทุกข์มาก
    ยิ่งชังมาก → ยิ่งผลักไสมาก → ทุกข์มาก


    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมเราหนีความชอบ-ความชังไม่ได้?

    🌀 "หลีกเร้นจากโลก" ก็ไม่ช่วยให้พ้นจากสังขารขันธ์

    ต่อให้หลบเข้าป่า

    หรือหนีโลกไปอยู่ที่ไหน
    🚨 จิตก็ยังชอบ-ชังในสิ่งที่เข้ามากระทบเสมอ


    ✅ วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่การหลีกหนี
    แต่คือ "เฝ้าดู" และ "เข้าใจ" ว่ามันเกิดขึ้น-ดับไป


    ---

    🔍 3️⃣ การสังเกตความชอบ-ความชัง นำไปสู่การรู้แจ้งได้อย่างไร?

    🔎 หากเราตั้งสติสังเกตบ่อยๆ
    เราจะเริ่มเห็น "กลไกภายในจิต" ว่า

    1️⃣ ชอบหรือชังเกิดขึ้นได้อย่างไร
    2️⃣ เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่อะไรต่อ? (เช่น ทำให้ใจร้อน หงุดหงิด อยากเอาชนะ ฯลฯ)
    3️⃣ มันมีวาระ "เกิด" และ "ดับ" อยู่ตลอด

    🌿 เมื่อเห็นชัดว่าความชอบ-ชังเป็นของชั่วคราว
    → ใจจะไม่ไหลตาม
    → จะ "วางเฉย" ได้ง่ายขึ้น
    → ความทะยานอยาก (ตัณหา) ลดลง
    → ทุกข์ก็น้อยลงเองตามธรรมชาติ


    ---

    ✅ สรุป : ทางพ้นทุกข์อยู่ที่ไหน?

    🔹 ไม่ต้องพยายามห้ามชอบ-ชัง → เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิต
    🔹 ให้เฝ้าดูการเกิด-ดับของมัน → ด้วยสติที่แจ่มชัด
    🔹 เมื่อเห็นจริงว่า "มันมาแล้วไปเอง" → ใจก็คลายความยึดมั่น

    🌿 เมื่อเห็นแจ้ง ความทุกข์ก็ลดลงเอง!
    เพราะเรารู้ว่า "ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ"

    📌 วิธีเริ่มต้นง่ายๆ
    ✅ สังเกตตัวเองทุกวันว่าอะไรทำให้เราชอบ-ชัง
    ✅ ลองดูว่าใจเปลี่ยนแปลงไวแค่ไหน
    ✅ เห็นว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอด

    ✨ นี่คือก้าวแรกของ "สติปัฏฐาน" และการเข้าใจธรรมะจากชีวิตจริง! ✨

    📌 เข้าใจ "สังขารขันธ์" ผ่านความชอบ-ความชัง (อ้างอิงจากหนังสือ "7 เดือนบรรลุธรรม" โดยดังตฤณ) --- 🔍 1️⃣ ความชอบ-ความชัง คืออะไรในแง่พุทธศาสนา? สังขารขันธ์ หมายถึง กระบวนการปรุงแต่งของจิต ซึ่งแสดงออกผ่าน "ปฏิกิริยา" ที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว 📌 ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน คือ ✅ "ความชอบ" → สิ่งที่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากได้ ✅ "ความชัง" → สิ่งที่ไม่ถูกใจ ทำให้เกิดความอยากผลักไส 💡 ทำไมสิ่งนี้สำคัญ? เพราะมันเป็น ตัวแปรหลักที่กำหนดทุกข์ของเรา ยิ่งชอบมาก → ยิ่งยึดมาก → ทุกข์มาก ยิ่งชังมาก → ยิ่งผลักไสมาก → ทุกข์มาก --- 🔍 2️⃣ ทำไมเราหนีความชอบ-ความชังไม่ได้? 🌀 "หลีกเร้นจากโลก" ก็ไม่ช่วยให้พ้นจากสังขารขันธ์ ต่อให้หลบเข้าป่า หรือหนีโลกไปอยู่ที่ไหน 🚨 จิตก็ยังชอบ-ชังในสิ่งที่เข้ามากระทบเสมอ ✅ วิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่การหลีกหนี แต่คือ "เฝ้าดู" และ "เข้าใจ" ว่ามันเกิดขึ้น-ดับไป --- 🔍 3️⃣ การสังเกตความชอบ-ความชัง นำไปสู่การรู้แจ้งได้อย่างไร? 🔎 หากเราตั้งสติสังเกตบ่อยๆ เราจะเริ่มเห็น "กลไกภายในจิต" ว่า 1️⃣ ชอบหรือชังเกิดขึ้นได้อย่างไร 2️⃣ เกิดขึ้นแล้วนำไปสู่อะไรต่อ? (เช่น ทำให้ใจร้อน หงุดหงิด อยากเอาชนะ ฯลฯ) 3️⃣ มันมีวาระ "เกิด" และ "ดับ" อยู่ตลอด 🌿 เมื่อเห็นชัดว่าความชอบ-ชังเป็นของชั่วคราว → ใจจะไม่ไหลตาม → จะ "วางเฉย" ได้ง่ายขึ้น → ความทะยานอยาก (ตัณหา) ลดลง → ทุกข์ก็น้อยลงเองตามธรรมชาติ --- ✅ สรุป : ทางพ้นทุกข์อยู่ที่ไหน? 🔹 ไม่ต้องพยายามห้ามชอบ-ชัง → เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิต 🔹 ให้เฝ้าดูการเกิด-ดับของมัน → ด้วยสติที่แจ่มชัด 🔹 เมื่อเห็นจริงว่า "มันมาแล้วไปเอง" → ใจก็คลายความยึดมั่น 🌿 เมื่อเห็นแจ้ง ความทุกข์ก็ลดลงเอง! เพราะเรารู้ว่า "ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ" 📌 วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ✅ สังเกตตัวเองทุกวันว่าอะไรทำให้เราชอบ-ชัง ✅ ลองดูว่าใจเปลี่ยนแปลงไวแค่ไหน ✅ เห็นว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอด ✨ นี่คือก้าวแรกของ "สติปัฏฐาน" และการเข้าใจธรรมะจากชีวิตจริง! ✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดค้างคาว
    นนทบุรี

    วัดค้างคาว​ จากข่าวคราว​ การเสียชีวิตที่น่าสงสัย​ ของดาราสาวชื่อดัง​ คุณแตงโม​ ทำให้ชื่อเสียงวัดแห่งนี้โด่งดังขึ้นมา​ ด้วยเหตุที่มีการสันนิษฐาน​ว่า​ น่าจะเกี่ยวพันบางประการ​กับเหตุการณ์​ เห็น​ได้​จากปากคำเจ้าหน้าที​วัด​ เดิมที่วัดแห่งนั้เป็นวัดเงียบสงบ​ ก็เริ่มมีผู้สนใจแวะมาสักการะ​บ้าง

    วัดค้างคาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนกลางแล้วค่ะ โดยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่มาของชื่อวัดค้างคาวนั้น มาจากการที่บริเวณวัดมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จนมาได้รับการบูรณะใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น​ มีการปฏิรูปพุทธศาสนา​ให้เคร่งครัด​มากขึ้น​ ผ่านการก่อตั้งนิกายธรรมยุต​ิ​นั่นเอง

    เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณวัด​ เราจะเห็นอุโบสถโบราณหลังใหญ่​ ตัวอุโบสถนั้นจะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 10.35 เมตร ยาว 26 เมตร มีมุขยื่นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันไม้จำหลักลายรูปเทวดาประทับในปราสาท และล้อมรอบด้วยลายก้านต่อดอกและเทพพนม ส่วนของบานประตูหน้าต่างจำหลักเป็นลวดลาย มีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูป​สำคัญ​ คือ​ พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามญาติ ที่มีขนาดสูงเท่าคนปกติเลยนามว่า “หลวงพ่อเก้า” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้​ ว่ากันว่า​ มาขออะไรถ้าไม่ผิดศีลธรรม​ หลวงพ่อดลบันดาล​ให้​ได้​ คนนิยมแก้บนด้วยการจุดประทัด​ ล่าสุดมีคนมาแก้บน​ 1 ล้านดอก​ จุดกันเป็​น​ชั่วโมงครับ

    นอกจากนี้ด้านในอุโบสถยังประดิษฐานพระประธาน ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยอยุธยา และมีพระพุทธรูปรายล้อมอยู่อีก 28 องค์ ซึ่งจะหันหน้าไปยังทิศทั้ง 4 นับว่าสวยงดงามอย่างมากครับ​ ในซอยนี้​ นอกจากวัดค้างงคาว​ ยังมีวัดดัง​อาทิ​ วัดสังฆทาน​ วัดเขียน​ จังหวัด​นนทบุรี​ ใกล้แค่นี้​ มารับบุญ​ร่วมกัน​นะครับ
    วัดค้างคาว นนทบุรี วัดค้างคาว​ จากข่าวคราว​ การเสียชีวิตที่น่าสงสัย​ ของดาราสาวชื่อดัง​ คุณแตงโม​ ทำให้ชื่อเสียงวัดแห่งนี้โด่งดังขึ้นมา​ ด้วยเหตุที่มีการสันนิษฐาน​ว่า​ น่าจะเกี่ยวพันบางประการ​กับเหตุการณ์​ เห็น​ได้​จากปากคำเจ้าหน้าที​วัด​ เดิมที่วัดแห่งนั้เป็นวัดเงียบสงบ​ ก็เริ่มมีผู้สนใจแวะมาสักการะ​บ้าง วัดค้างคาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนกลางแล้วค่ะ โดยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่มาของชื่อวัดค้างคาวนั้น มาจากการที่บริเวณวัดมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จนมาได้รับการบูรณะใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น​ มีการปฏิรูปพุทธศาสนา​ให้เคร่งครัด​มากขึ้น​ ผ่านการก่อตั้งนิกายธรรมยุต​ิ​นั่นเอง เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณวัด​ เราจะเห็นอุโบสถโบราณหลังใหญ่​ ตัวอุโบสถนั้นจะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 10.35 เมตร ยาว 26 เมตร มีมุขยื่นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันไม้จำหลักลายรูปเทวดาประทับในปราสาท และล้อมรอบด้วยลายก้านต่อดอกและเทพพนม ส่วนของบานประตูหน้าต่างจำหลักเป็นลวดลาย มีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูป​สำคัญ​ คือ​ พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามญาติ ที่มีขนาดสูงเท่าคนปกติเลยนามว่า “หลวงพ่อเก้า” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้​ ว่ากันว่า​ มาขออะไรถ้าไม่ผิดศีลธรรม​ หลวงพ่อดลบันดาล​ให้​ได้​ คนนิยมแก้บนด้วยการจุดประทัด​ ล่าสุดมีคนมาแก้บน​ 1 ล้านดอก​ จุดกันเป็​น​ชั่วโมงครับ นอกจากนี้ด้านในอุโบสถยังประดิษฐานพระประธาน ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยอยุธยา และมีพระพุทธรูปรายล้อมอยู่อีก 28 องค์ ซึ่งจะหันหน้าไปยังทิศทั้ง 4 นับว่าสวยงดงามอย่างมากครับ​ ในซอยนี้​ นอกจากวัดค้างงคาว​ ยังมีวัดดัง​อาทิ​ วัดสังฆทาน​ วัดเขียน​ จังหวัด​นนทบุรี​ ใกล้แค่นี้​ มารับบุญ​ร่วมกัน​นะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 วิธีจัดการกับ "ความรู้สึก" ตามหลักพุทธศาสตร์

    (บทความโดย ดังตฤณ)


    ---

    🔍 1️⃣ ปัญหาที่ยากที่สุดในชีวิต: "จัดการกับความรู้สึก"

    😣 แม้จะเป็นคนที่ใช้เหตุผลเก่ง

    เข้าใจทุกอย่างทางทฤษฎี

    แต่หากควบคุมความรู้สึกไม่ได้ ก็ยังทุกข์อยู่ดี


    💡 ดังนั้น ทางออกคือการเข้าใจและรู้ทัน "ความรู้สึก" ของตัวเองให้ได้


    ---

    🧘‍♂️ 2️⃣ แนวทาง "เจริญสติ" เพื่อจัดการความรู้สึก

    ☸ พุทธศาสนาดั้งเดิมสอนให้โฟกัสที่ "ภายใน"
    ✅ เน้นให้เห็น ความจริงของกายและใจ
    ✅ เมื่อเข้าใจว่ากาย-ใจไม่ใช่ตัวตน ความทุกข์ก็ลดลง
    ✅ ฝึก รู้ความรู้สึกในปัจจุบันให้ได้ ไม่ใช่คิดไปข้างหน้า หรือจมอยู่กับอดีต

    🌀 ตัวอย่างการฝึกผ่านลมหายใจ

    หายใจเข้า → รู้ว่าอึดอัดหรือสบาย

    หายใจออก → รู้ว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์


    🎯 เมื่อสามารถ "รู้" ได้ตามจริง
    ✅ จะเข้าใจว่า สุขและทุกข์ไม่เที่ยง
    ✅ จะไม่ "จม" ไปกับความสุขหรือความทุกข์
    ✅ จะ รู้จริง ไม่ใช่แค่จำหลักการพุทธ


    ---

    🔄 3️⃣ เมื่อเข้าใจจริง: คุณจะ "ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรเลย"

    💡 เพราะทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ

    ทุกข์ที่รู้สึกว่าหนัก

    ความรู้สึกสูญเสีย

    ความกลัว หรือความยึดติด
    🎯 ล้วนเป็นของชั่วคราวที่มาผ่านไป


    💭 เมื่อเห็นแจ้งด้วยใจจริงๆ
    ✅ จะรู้สึกว่า "ไม่มีอะไรจริงเลย"
    ✅ จิตใจจะ เบาขึ้น ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น
    ✅ ไม่ต้องดิ้นรน "รักษา" หรือ "ไขว่คว้า" สิ่งที่ไม่จีรัง


    ---

    🎯 4️⃣ สรุป: วิธีจัดการความรู้สึกให้ใจ "ปล่อยวาง" ได้

    ✅ 1. ฝึกสังเกตความรู้สึกของตัวเอง
    🚫 ไม่ตัดสินว่าดีหรือร้าย แค่รู้ทัน

    ✅ 2. ใช้ลมหายใจเป็นจุดสังเกต
    🌬️ หายใจเข้า = อึดอัด หรือสบาย
    🌬️ หายใจออก = สุข หรือทุกข์

    ✅ 3. เข้าใจว่าสุขและทุกข์ "ไม่เที่ยง"
    🔄 วันนี้ทุกข์ พรุ่งนี้อาจสุข
    🔄 วันนี้สุข อีกไม่นานอาจกลับทุกข์

    ✅ 4. เมื่อเข้าใจแล้ว จะ "ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรเลย"
    🔓 เพราะ ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ

    💡 สุดท้าย คนที่ "รู้สึกจริงๆ" ว่าไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง
    ✅ จะ ปล่อยวางได้ตั้งแต่วันนี้
    ✅ จนกระทั่งถึง วันสุดท้ายของชีวิต!

    📌 วิธีจัดการกับ "ความรู้สึก" ตามหลักพุทธศาสตร์ (บทความโดย ดังตฤณ) --- 🔍 1️⃣ ปัญหาที่ยากที่สุดในชีวิต: "จัดการกับความรู้สึก" 😣 แม้จะเป็นคนที่ใช้เหตุผลเก่ง เข้าใจทุกอย่างทางทฤษฎี แต่หากควบคุมความรู้สึกไม่ได้ ก็ยังทุกข์อยู่ดี 💡 ดังนั้น ทางออกคือการเข้าใจและรู้ทัน "ความรู้สึก" ของตัวเองให้ได้ --- 🧘‍♂️ 2️⃣ แนวทาง "เจริญสติ" เพื่อจัดการความรู้สึก ☸ พุทธศาสนาดั้งเดิมสอนให้โฟกัสที่ "ภายใน" ✅ เน้นให้เห็น ความจริงของกายและใจ ✅ เมื่อเข้าใจว่ากาย-ใจไม่ใช่ตัวตน ความทุกข์ก็ลดลง ✅ ฝึก รู้ความรู้สึกในปัจจุบันให้ได้ ไม่ใช่คิดไปข้างหน้า หรือจมอยู่กับอดีต 🌀 ตัวอย่างการฝึกผ่านลมหายใจ หายใจเข้า → รู้ว่าอึดอัดหรือสบาย หายใจออก → รู้ว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ 🎯 เมื่อสามารถ "รู้" ได้ตามจริง ✅ จะเข้าใจว่า สุขและทุกข์ไม่เที่ยง ✅ จะไม่ "จม" ไปกับความสุขหรือความทุกข์ ✅ จะ รู้จริง ไม่ใช่แค่จำหลักการพุทธ --- 🔄 3️⃣ เมื่อเข้าใจจริง: คุณจะ "ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรเลย" 💡 เพราะทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกข์ที่รู้สึกว่าหนัก ความรู้สึกสูญเสีย ความกลัว หรือความยึดติด 🎯 ล้วนเป็นของชั่วคราวที่มาผ่านไป 💭 เมื่อเห็นแจ้งด้วยใจจริงๆ ✅ จะรู้สึกว่า "ไม่มีอะไรจริงเลย" ✅ จิตใจจะ เบาขึ้น ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น ✅ ไม่ต้องดิ้นรน "รักษา" หรือ "ไขว่คว้า" สิ่งที่ไม่จีรัง --- 🎯 4️⃣ สรุป: วิธีจัดการความรู้สึกให้ใจ "ปล่อยวาง" ได้ ✅ 1. ฝึกสังเกตความรู้สึกของตัวเอง 🚫 ไม่ตัดสินว่าดีหรือร้าย แค่รู้ทัน ✅ 2. ใช้ลมหายใจเป็นจุดสังเกต 🌬️ หายใจเข้า = อึดอัด หรือสบาย 🌬️ หายใจออก = สุข หรือทุกข์ ✅ 3. เข้าใจว่าสุขและทุกข์ "ไม่เที่ยง" 🔄 วันนี้ทุกข์ พรุ่งนี้อาจสุข 🔄 วันนี้สุข อีกไม่นานอาจกลับทุกข์ ✅ 4. เมื่อเข้าใจแล้ว จะ "ไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรเลย" 🔓 เพราะ ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ 💡 สุดท้าย คนที่ "รู้สึกจริงๆ" ว่าไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ✅ จะ ปล่อยวางได้ตั้งแต่วันนี้ ✅ จนกระทั่งถึง วันสุดท้ายของชีวิต!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • 343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

    ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ

    🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ

    วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ

    🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸

    🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด

    🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา

    ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง

    🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด

    หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย

    ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด"

    🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี

    ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน

    🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด
    🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา

    🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม
    - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้
    - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด
    - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ

    พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ

    🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด
    หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย

    ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า

    👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ"

    🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568

    🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    343 ปี สิ้น “หลวงปู่ทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด หนึ่งในสองอภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ย้อนรอย 343 ปี การมรณภาพของหลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งสยามประเทศ 🔹 หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ชื่อนี้เป็นที่รู้จัก และเคารพบูชาอย่างแพร่หลายทั่วประเทศไทย ด้วยพุทธคุณที่เป็นเลิศ ทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมไปถึงปาฏิหาริย์ ที่เล่าขานกันมาหลายศตวรรษ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 นับถึงวันนี้ เป็นวันครบรอบ 343 ปี แห่งการมรณภาพของหลวงปู่ทวด พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น หนึ่งในสองอภิมหาเกจิอาจารย์ของไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ในหมู่พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ 🔹 กำเนิดพระอริยสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงปู่ทวดมีนามเดิมว่า "ปู" เกิดในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2125 - 2131 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บิดาและมารดาคือ นายหู และนางจันทร์ ซึ่งเป็นชาวบ้านในเขตตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา 🔸 🔹 ปาฏิหาริย์ตั้งแต่แรกเกิด เล่ากันว่าขณะที่หลวงปู่ทวดยังเป็นทารก บิดามารดาได้นำเปลไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ ขณะออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนา ทันใดนั้น มีงูจงอางขนาดใหญ่ มาพันรอบเปล แต่แทนที่งูจะทำอันตราย มันกลับคลายตัวออก และทิ้งเม็ดแก้ววิเศษ ไว้บนหน้าอกของทารก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของวิเศษ ที่แสดงถึงบุญญาธิการอันสูงส่งของหลวงปู่ทวด ตั้งแต่แรกเกิด 🔹 เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือ ที่วัดดีหลวง โดยมีหลวงตาจวง เป็นครูสอนพื้นฐานทางพุทธศาสนา ด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด หลวงปู่ทวดสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัย ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสีหยัง ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาธรรม ในเมืองนครศรีธรรมราช และต่อมาได้เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกในระดับสูง 🔹 ปาฏิหาริย์ "เหยียบน้ำทะเลจืด" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขณะที่หลวงปู่ทวดเดินทางโดยเรือ เพื่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ถูกโจรสลัดจีนจับตัวไป และระหว่างการเดินทางบนเรือ กลุ่มโจรต้องประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำจืด หลวงปู่ทวดจึงเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล และทันใดนั้น น้ำทะเลอันเค็มจัด กลับกลายเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มได้อย่างอัศจรรย์! โจรสลัดพากันกราบไหว้ขอขมา และพากลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย ปาฏิหาริย์นี้ ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา และเป็นที่มาของ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" 🔹 หลังจากศึกษาธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน หลวงปู่ทวดได้เดินทางไปยังเมืองไทรบุรี ปัจจุบันคือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย และมรณภาพที่นั่น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 รวมสิริอายุได้ 100 ปี ศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารกลับมายังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผ่านเส้นทางที่มีจุดพักรวม 18 จุด จนถึงจุดหมายสุดท้ายที่วัดช้างให้ ซึ่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาในปัจจุบัน 🔹 ความศรัทธา และพระเครื่องหลวงปู่ทวด 🔸 อิทธิฤทธิ์และพุทธคุณ พระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นที่รู้จักในฐานะ "พระเครื่องที่มีพุทธคุณสูงสุดของไทย" โดยเชื่อกันว่า ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันตราย มีเมตตามหานิยม และเสริมดวงชะตา 🔸 พระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่ได้รับความนิยม - หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี 2497 รุ่นแรก วัดช้างให้ - หลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด - หลวงปู่ทวดหลังเตารีด วัดพะโคะ พระเครื่องหลวงปู่ทวดถือเป็น 1 ใน 5 พระเครื่องยอดนิยมของไทย และเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระเครื่องทั่วประเทศ 🔹 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ทวดได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 อภิมหาเกจิเถราจารย์ไทย คู่กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เปี่ยมบารมีอีกท่านหนึ่งของไทย ทั้งสองท่านได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า 👉 "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จโตเสกก้อนอิฐให้ลอยน้ำ" 🔹แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 343 ปี แต่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด ยังคงอยู่ในหัวใจของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ เป็นอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ 📌 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 061100 มี.ค. 2568 🔹 #หลวงปู่ทวด #เหยียบน้ำทะเลจืด #พระเครื่องหลวงปู่ทวด #วัดช้างให้ #ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย #อภิมหาเกจิไทย #สมเด็จโต #หลวงปู่ทวดมรณภาพ343ปี #ตำนานไทย #เกจิอาจารย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 859 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจเจกพุทธะ หมายถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สภาพธรรมด้วยตนเอง แต่บารมีไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ได้ประกาศพระศาสนา พระปัจจเกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นพร้อมกันๆ หลายพระองค์ได้ และจะอุบัติขึันได้เฉพาะในกาลสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนา หรือ ว่างจากการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น
    ปัจเจกพุทธะ หมายถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สภาพธรรมด้วยตนเอง แต่บารมีไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ได้ประกาศพระศาสนา พระปัจจเกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นพร้อมกันๆ หลายพระองค์ได้ และจะอุบัติขึันได้เฉพาะในกาลสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนา หรือ ว่างจากการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา
    .
    นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
    .
    นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้
    .
    1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ
    2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
    3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว
    ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน
    4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
    5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    .
    นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา
    .
    “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว
    ...........
    Sondhi X
    กระตุ้นท่องเที่ยว ปลดล็อคพื้นที่ขายเหล้า ประเดิมวันวิสาขบูชา . นโยบายของรัฐบาลในการการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ส่งผลให้เริ่มมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวออกมาเป็นระยะ หนึ่งใน คือ การปลดล็อคให้บางพื้นที่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา . นายประเสริฐ​ จันทรรวงทอง​ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอี​) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ระบุว่า ผลการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยปี 2568 Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 แม้ยังคงห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 5 วัน คือ วันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา แต่ได้ยกเว้นการขายในกรณีดังต่อไปนี้ . 1.ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2.การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ 3.การขายในสถานบริการ ประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะต้องมีมาตรการคัดกรอง และรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน 4.การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม 5.การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน ตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา . นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเดิม เนื่องจากจะขัดกับ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 เรื่องการกำหนดเวลาในการจำหน่ายสุราและการดื่มสุราในสถานที่ขายสุราได้เฉพาะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย โดยหลังจากนี้คณะกรรมการจะเอามติไปสอบถามความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์ โดยใช้เวลา 15 วัน ก่อนสรุปส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก่อนส่งต่อมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา . “เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะออกมาได้ทันก่อนวันที่ 11 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา” นายประเสริฐ กล่าว ........... Sondhi X
    Angry
    Like
    Sad
    Love
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2502 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันพระ หรือวันธรรมสวนะ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา โดยใน 1 เดือนจะมีทั้งหมด 4 วัน ได้แก่

    วันพฤหัสบดี ที่ 6 มีนาคม 2568 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง
    วันพฤหัสบดี ที่ 13 มีนาคม 2568 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง
    วันศุกร์ ที่ 21 มีนาคม 2568 แรม 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง
    วันศุกร์ ที่ 28 มีนาคม 2568 แรม 15 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง
    วันพระ หรือวันธรรมสวนะ เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา โดยใน 1 เดือนจะมีทั้งหมด 4 วัน ได้แก่ วันพฤหัสบดี ที่ 6 มีนาคม 2568 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง วันพฤหัสบดี ที่ 13 มีนาคม 2568 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง วันศุกร์ ที่ 21 มีนาคม 2568 แรม 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง วันศุกร์ ที่ 28 มีนาคม 2568 แรม 15 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ออกคำสั่งปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว จังหวัดเชียงใหม่ หลังว่าจ้างให้พระภิกษุรูปอื่น เข้าสอบบาลีสนามหลวง ประโยค ป.ธ.5 แทนตน ถือเป็นความผิดร้ายแรง และเป็นเหตุเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา

    วันนี้ (2 มี.ค.) เฟซบุ๊กเพจ The Buddh เผยแพร่คำสั่งเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 02/2568 เรื่อง ปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ (ศิวภัช ภทรญาโณ, ป.ธ.4, ศศบ.) จากตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว และเจ้าคณะตําบลมะขุนหวาน อําเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยปรากฏว่า พระครูภัทรญาณวิโรจน์ (ศิวภัช ภทรญาโณ, ป.ธ.4, ศศบ.) อายุ 35 พรรษา 15 เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว ตําบลมะขุนหวาน อําเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ และดํารงตําแหน่งเจ้าคณะตําบลมะขุนหวาน ได้กระทําการอันเป็นความผิดร้ายแรง และเป็นเหตุเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา ด้วยการว่าจ้างให้พระภิกษุรูปอื่น เข้าสอบบาลีสนามหลวง ประโยค ป.ธ.5 แทนตนซึ่งการกระทําดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คําสั่ง ข้อบังคับ และประกาศของมหาเถรสมาคม อีกทั้งยังเป็นการทุจริตในการสอบบาลีสนามหลวง อันเป็นกิจการสําาคัญของคณะสงฆ์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020289

    #MGROnline #เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ #ปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ #เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว #จังหวัดเชียงใหม่
    เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ออกคำสั่งปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว จังหวัดเชียงใหม่ หลังว่าจ้างให้พระภิกษุรูปอื่น เข้าสอบบาลีสนามหลวง ประโยค ป.ธ.5 แทนตน ถือเป็นความผิดร้ายแรง และเป็นเหตุเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา • วันนี้ (2 มี.ค.) เฟซบุ๊กเพจ The Buddh เผยแพร่คำสั่งเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 02/2568 เรื่อง ปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ (ศิวภัช ภทรญาโณ, ป.ธ.4, ศศบ.) จากตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว และเจ้าคณะตําบลมะขุนหวาน อําเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยปรากฏว่า พระครูภัทรญาณวิโรจน์ (ศิวภัช ภทรญาโณ, ป.ธ.4, ศศบ.) อายุ 35 พรรษา 15 เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว ตําบลมะขุนหวาน อําเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ และดํารงตําแหน่งเจ้าคณะตําบลมะขุนหวาน ได้กระทําการอันเป็นความผิดร้ายแรง และเป็นเหตุเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา ด้วยการว่าจ้างให้พระภิกษุรูปอื่น เข้าสอบบาลีสนามหลวง ประโยค ป.ธ.5 แทนตนซึ่งการกระทําดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คําสั่ง ข้อบังคับ และประกาศของมหาเถรสมาคม อีกทั้งยังเป็นการทุจริตในการสอบบาลีสนามหลวง อันเป็นกิจการสําาคัญของคณะสงฆ์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020289 • #MGROnline #เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ #ปลดพระครูภัทรญาณวิโรจน์ #เจ้าอาวาสวัดดงป่างิ้ว #จังหวัดเชียงใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

    โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา

    พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง

    ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ

    ขอบคุณมากๆ นะคะ
    ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28/2/68

    เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ

    หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
    แล้ววันหนึ่ง....

    แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ
    จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช

    อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
    มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน
    มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย

    หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ
    ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน
    บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน

    มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่
    แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน

    ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร
    เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี
    ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

    ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง

    ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย
    มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว

    ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า
    สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น

    ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้
    เราก็ไม่ควรเชื่อ

    ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
    ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน

    ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้

    ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม
    ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง…

    ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง
    น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้

    อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย
    มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้
    ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า…
    ทำไมต้องเป็นเราด้วย…

    วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ
    วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง……

    มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่……

    ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น
    ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้…..

    โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย
    ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ

    ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ
    ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง

    ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ
    เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ?

    แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ
    เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้

    มีคำถามในใจว่า...
    “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ”

    ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา
    จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม

    หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด
    ด้วยตัวเองแล้ว

    ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง
    ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม
    ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต...

    ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม

    เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่
    ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก

    อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย
    แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้…

    การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้

    แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ
    ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด
    ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน
    และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก

    ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ

    พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย

    แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ
    และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
    จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย

    พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา
    ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร

    การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา…

    สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย

    ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม
    พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก

    สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง
    เรื่องนี้ให้มาก

    หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ
    ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย

    คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
    แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้
    ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
    แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง

    การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา
    วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด…

    /////////

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ

    สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    28/2/68 เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แล้ววันหนึ่ง.... แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้ เราก็ไม่ควรเชื่อ ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้ ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง… ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้ ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า… ทำไมต้องเป็นเราด้วย… วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง…… มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่…… ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้….. โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ? แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้ มีคำถามในใจว่า... “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ” ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด ด้วยตัวเองแล้ว ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต... ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้… การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา… สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง เรื่องนี้ให้มาก หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด… ///////// ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 967 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้อยศาสตร์พันศิลป์ พระอันดากู ถูกสลักขึ้นโดยไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละองค์สลักขึ้นจากจินตนาการ ผสานพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระพุทธองค์ ช่างผู้สลักต้องใช้สมาธิขั้นสูง โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาแล้วเสร็จ จึงเป็นงานอกาลิโก ที่ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณ ความวิริยะอุตสาหะ ความพากเพียร จินตนาการที่ยิ่งใหญ่เกินขอบจักรวาล จึงก่อเกิดเป็นงานพุทธศิลป์อจินไตย ที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่า ผู้ที่ได้ครอบงานพุทธศิลป์ที่สะอาด บริสุทธิ์นี้นับว่าท่านมีบุญบารมี และมีบุญสัมพันธ์กันกับพระอันดากู โดยพระอันดากู ทุกองค์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา จึงมีพลังงานและญาณเทวดารักษาทุกองค์
    ……..เนย์ อันดากู……..
    ร้อยศาสตร์พันศิลป์ พระอันดากู ถูกสลักขึ้นโดยไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละองค์สลักขึ้นจากจินตนาการ ผสานพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพระพุทธองค์ ช่างผู้สลักต้องใช้สมาธิขั้นสูง โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาแล้วเสร็จ จึงเป็นงานอกาลิโก ที่ถ่ายทอดจากจิตวิญญาณ ความวิริยะอุตสาหะ ความพากเพียร จินตนาการที่ยิ่งใหญ่เกินขอบจักรวาล จึงก่อเกิดเป็นงานพุทธศิลป์อจินไตย ที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่า ผู้ที่ได้ครอบงานพุทธศิลป์ที่สะอาด บริสุทธิ์นี้นับว่าท่านมีบุญบารมี และมีบุญสัมพันธ์กันกับพระอันดากู โดยพระอันดากู ทุกองค์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตบริสุทธิ์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา จึงมีพลังงานและญาณเทวดารักษาทุกองค์ ……..เนย์ อันดากู……..
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts