• 21-11-67/01 : หมี CNN / "ROCK N ROLL" EP.89 ชื่อตอน "MAKE WAR AS U NEED" ไอ้สัส! ใส่มา ใส่กลับ ไม่มีโกง! เป็นไงล่ะ FACE TO FACE อียิวบุกถล่มเลบานอน เฮซบอเลาะห์ถล่มถึงเมืองหลวงทันที อีเสี้ยนยายิงใส่รัสเซีย ปูตินสั่งสอนจนเยี่ยวแตก หายวับ 3 ฐานวันเดียว ดูความจริง ดูให้เป็น สิ่งที่เหี้ยทำได้ แค่ผิวเผิน แต่ขั้วใหม่ โต้กลับจุดยุทธศาสตร์ทุกดอก นั่นแปลว่า อาวุธขั้วใหม่เข้าถึงใจกลางสำคัญมรึงได้ทุกเมื่อ แต่มรึงมีปัญญาฆ่าแค่ชาวบ้านเท่านั้น ภาษาการศึก เค้าเรียก "ชี้เป้าให้รู้ตัว" แล้วทำไม ไม่เก็บมันให้เกลี้ยงไปเลยล่ะ? สงครามได้แค่ทำลาย แต่ฆ่าจริงโหดกว่าคือ "สิ้นหนทางทำมาหาแดร๊ก" สิ้นวาสนา ขี้ข้าหดหาย สิ้นเครดิต ไม่มีใครคบค้า สิ้นแผ่นดิน เพราะชดใช้หนี้ไม่หมด นี่คือ "เป้าหมายแท้จริง" ของขั้วใหม่ รบกันตายไปข้าง เพื่ออะไร? มรึงตายคาที่ แต่กูอยู่รอดสบายสิ นี่สิ เค้าถึงเรียก "โคตรเซียน" ใครคิดว่า อาวุธรัสเซีย จีน อิหร่าน หมด? มรึงควายยิ่งกว่า ไม่รู้เค้า รู้เรา เค้าจะวางแผนล่วงหน้าได้อย่างไร? ไอ้เกจิไทยปลอมทั้งหลาย มองแต่เปลือก มองแต่กรอบ ขั้วใหม่เค้าเดินสายนินจาฮาโตริ มรึงยังมองไม่ออกอีกเหรอ? อาวุธทั้งหมดที่มี ถูกผลิตขึ้นรายวัน 24 ชม. NON STOP นั่นแปลว่า ขณะที่โจมตีอยู่นั่น ของใหม่ก็เข้ามาทดแทนเติมตลอดเวลา ไม่อั้น ไม่มีหมด มีกระสุนเป็น 10000000 ล้านนัด แล้วมรึงล่ะ? เหลือเท่าไหร่? วัตถุดิบการผลิต สายพาย เทคโนโลยี ขั้วใหม่มีไม่อั้น มรึงจะเอาเหี้ยอะไรมาวัดกับเค้า นี่แค่ใช้ของ BASIC น่ะ ยังไม่ถึงขั้นสูงซะทีเดียว มรึงยังจะตายโหงขนาดนี้ ดูทรงแล้ว อาร์คติค ยุโรป แคริบเบี้ยน ลาติน ปูตินเอาหมดเกลี้ยงแน่? ใครจะกล้าขวางกันล่ะ?เล่นง่ายดีเน๊าะ! ก่อนจาก อีเอ๋อสั่งลุย สาบานตน อีทรัมปป์สั่งถอย โยนขี้ให้อีทรัมปป์ไปแก้ต่อ มรึงคิดว่าปูตินจะรอให้มรึงอนุญาตก่อนมั้ยล่ะ? ยังไม่ทันไร ฐานทัพเหี้ยทั่วตะวันออกกลางทั้งซีเรีย อิรัก ยูเครน แดร๊กขีปนาวุธร่อน MADE IN RUSSIA เต็มตรีน เชิญมรึงไปเล่นละครปาหี่แถวปากน้ำเหอะ ยิงมา ยิงกลับไม่มีโกง? ไม่มีใครสนใจใครอีกแล้ว และเมื่อมรึงสั่งให้ยูเครนยิงใส่กูได้ เท่ากับประกาศสงครามโดยตรงกับรัสเซียแล้ว แผนตบหัวและลูบหลัง เชิญมรึงไปใช้กับขี้ข้าเหอะ ดอกนี้ ปูตินสวนกลับ ถึงปากท้องเหี้ยโดยตรง นั่นคือพลังงาน ที่มาว่าทำไม ไม่ส่งแร่ยูเรเนียมให้อีกต่อไป พร้อมสั่งพันธมิตร ระงับส่งแร่พลังงานทุกชนิดให้เหี้ยทั่วโลก ดอกนี้ เจ็บกว่าตาย เพราะมันคือพลังงานที่มรึงต้องมีใช้ทุกวัน ขาดแล้วจะไปหาจากที่ไหน จะก่อสงครามยิ่งยาก!สภาแพทย์ เหลือบมันเยอะ ชื่อเป็นหมอ แต่หาแดร๊กยิ่งกว่าสัดเดรัจฉาน หากินกับความตายชาวบ้าน หวังแต่คอมมิชชั่น หวังรวย จรรยาบรรณชั้นหมา ไม่ล้างบางสภาแพทย์ รับรองเหี้ยเกลื่อนแผ่นดิน หมอ 1 คน รักษาคนได้เป็น 1000 เช่นกัน หมอ 1 คน ก็ฆ่าคนได้เป็น 1000000 เหมือนกัน อะไรที่อนุมัติให้ผ่าน ให้ใช้ ความรับผิดชอบ 1 ชีวิต ต่อ 1000000 ชีวิต แลกได้มั้ย? ตั้งแต่อีวัคซีนโควิทแล้ว MRNA เชื้อตาย มันฆ่าคนได้เป็นล้าน โดยที่ไม่รู้ตัว มรึงเห็นบทเรียนแล้วน่ะ อะไรที่มาจากเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโต การันตี ชาติชั่วทั้งนั้น ไทยเรารอดเพราะช่วงแรกมีจีนมาช่วย รัสเซียมาอุ้ม คิวบามาเสริม อย่าหวังพึ่งพาไอ้อีตะวันตกเลย ขนาดพวกมันกันเอง ยังขโมยวัคซีน อุปกรณ์การแพทย์หน้าด้านๆ ไปถามอีเบียร์ดูสิ ไทยส่งให้ตามสั่ง แต่อีเหี้ยมะกันขโมยซึ่งหน้าไปเฉย มรึงยังคบกันอยู่อีกเหรอ อ๋อ.. ขี้ข้า นี่หว่า?กูว่าแล้ว! เป็นเรื่องระดับชาติกันไปเลย ตั้งแต่ DRAMA เต้นฮากา กลางประชุมสภากีวี กระแสแรงโคตร รากเหง้า เผ่าพันธุ์มันฟ้อง บรรพบุรุษเรียกหา ชาวกีวี แห่ลงถนนประท้วงครั้งใหญ่ ในรอบ 184 ปี ลิดรอนสิทธิ์ ทั้งผิวขาว ผิวแทน ชาวเมารี คลั่งกันทั้งแผ่นดิน กาฮา อาละวาดเต็มพื้นที่แล้ว วิญญานเมารี เข้าสิง เรียกร้องแผ่นดินกูคืน ปชต. เน่าเฟะ อีกีวี จะรอดมั้ย? แค่ตอนนี้ หนีออก ย้ายออกไปทำงานในออสซี่ ยุโรป อาเซียน แทนกันหมดแล้ว เมื่อชาวเมารีฟื้นจิตวิญญานได้สำเร็จ มรึงคิดว่า อีออสซี่จะตามมุย? อะบอริจิ้น ทำอะไรอยู่จ๊ะ หรือยังเมามัวกับแสงสีเสียงที่โลกตะวันตกมอบให้ มองดูโลก แล้วย้อนมองดูเราเอง อโยธยา ศรีรามเทพนคร ไม่เคยสิ้นคนดี ปลุกผีปู่ผีย่างวดนี้ พลังแห่งแสงมาเต็มคาราเบล รอดูการเมืองทั่วโลกพลิกขั้ว รอดูระบบกษัตริย์จะกลับคืนหวนสู่บังลังก์อีกครั้งใครจะสู้กับกู? C909 บินพาณิชย์จีนนำร่อง สู่ตลาดโลกไปไม่นาน C919 ตามมากระทืบซ้ำความสำเร็จเข้าไปอีก สั่ง 1000 ลำทั่วโลก อีโบอิ้ง อีแอร์บัส ไปไม่เป็น มรึงขายง่ายจังฟ่ะ? คำตอบคือ ถูก ดี ไม่มีสอดแนม ไม่มียัดไส้ ประสิทธิภาพ AI เงื่อนไขไม่บัดซบ อะไหล่หาง่าย ไม่มีปัญหา ตรวจสอบได้จริง ที่สำคัญ โปรไฟไหม้ บริการหลังการขายสุดยอด ยังจะมีไอ้โง่ที่ไหนสั่งมรึงอีก อะไรน่ะ ครม.อีอุ้งๆ เหรอ? เอาให้เต็มที่ ผลาญให้เต็มคราบ เพราะจะถูกตามเช็คบิลหมดเกลี้ยงทุกเม็ด ทุกดอก อย่าคิดว่าผลาญแล้วไม่ต้องชดใช้ ศาลจ้องนานแล้ว ดีออก? เมื่อบินพาณิชย์จีนยกระดับ เริ่ด หรู ราคาถูกได้ ทำไมจะผลักยอด ตระกูลบินรบ J ไม่ได้ ล่าสุด สั่งกันกระจาย J-20/J-35A อาเซียนมาเต็มคาราเบล ตะวันออกกลางแห่จอง ไอ้สัส! แล้วอียิวมันจะทำมาหาแดร๊กอะไรได้อีกเนี่ย หลอกควายมาเป็นศตวรรษแล้ว กูเจ๊งทันที!ปล.มุกเดิมหาแดร๊ก โยกย้ายกากีประจำปี ขนขี้ข้าอีเหลี่ยมมาเต็มคาราเบล หวังปูทางให้อีพ่อ อีลูกรอด แต่ช้าก่อน คนกำหนดไม่สู้ฟ้าลิขิต ฝ่ายแสงก็ใช่ย่อย สอดไส้คาราเมลเข้ามายืนหนึ่งได้เช่นกัน(ทหารสั่ง คนที่คุณคุ้นเคย) ดูภายนอก เหมือนอีตระกูลเหี้ยจัญไร อีตะกวดส่องหล้าสั่งอีกรมตำหนวดได้หมด แต่หาใช่ไม่? นี่มันปีพศ.2567 แล้วน่ะ จะข้ามปีแล้ว ตำหนวดฝ่ายทหาร เค้าจับมือกันล็อบบี้อีอุ้งๆ งานนี้มีเงิบ สยาม ม้ามืด คุมเมืองหลวง อย่าคิดว่ามีแต่ฝ่ายเหี้ยเอาอยู่ แท้จริงอีบู๊ทตรีนโตคุมมาตั้งแต่ต้น ก่อนลุงตู่จะไปนั่นแหละ รอดูต่อไป ใครจะลายออกก่อนกัน? นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ใหญ่แค่ไหน ก็ระเบิดทั้งสถานี ทั้งสำนักงานใหญ่ได้ กร่างแค่ไหน ฉีกรัฐธรรมนูญคือจบทันที อำนาจหายวับ มันมีอะไรจริงแท้แน่นอนบ้าง? ศรีธนญชัยเล่นเป็น ค่อยๆ นวด ค่อยๆ กลืน บีบจนเหี้ยต้องคายของเก่าออกมาจนหมดเกลี้ยง ช่องหมาลอดยังมี ไปซะ อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดินพ่อกู อย่าช้า อย่าลีลา เพราะหากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ คือ "เอามรึงตายทั้งตระกูล" เบื้องบนให้โอกาสรอดมรึงแล้ว อย่าลีลาเยอะ ข้ามวิกแป๊บ : หมดยุคบินล่องหนแล้ว หลังจีนคิดค้นระบบใหม่ เรดาร์ใหม่ของจีน BEITOU จับได้หมดทุกบินรบเหี้ย โคตรกระจอก ไม่พัฒนาไปไหนเลย แช่อยู่กับที่มาเป็นสิบปีแล้ว คิดว่าคนอื่นตามไม่ทัน ที่ไหนได้ มรึงนั่นแหละ ล้าหลังเค้าอยู่ 20 ปี โดยเฉพาะโครงการด้านอวกาศ จุดนี้ ทำให้เงินลงทุนไปมหาศาลกับบินรบ STEALTH หมาทันที จะขายใครออกมุย? ที่สำคัญ จีนออก J-35A เซินเจิ้นมา ยอดขายดีกว่า F-35 ซะอีก ถูก ดี ไร้เงื่อนไข ประสิทธิภาพสูงกว่า และ AI ทั้งลำ หมาได้อีกมรึง? ยังไม่พอ รัสเซียโยกย้าย S-500 เข้าประจำการพรมแดนแนวหน้าแล้ว นี่มันคืออะไร? ดาวเทียมศัตรู หายวับแน่มรึง? อย่าว่านุ๊ก ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคเลย แม้แต่ UFO ยังร่วง เอาจริงดิ? ฉากหน้า ฉากหลัง สุดท้าย ต้องวัดกำลังหมี CNN(เริ่มโชว์กันออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ของดี ไม่โชว์บ่อย ทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน โสมแดง อาวุธในใต้หล้า หากเทียบเป็นชั้นกระบี่ ไอ้อีเหี้ยทั้งหลาย มรึงแค่ชั้นประถม จีน รัสเซีย เค้าไปถึงขั้นมหาเทพกันหมดแล้ว งบก็มีมากกว่า อุปกรณ์ก็พร้อมกว่า อาวุธไม่ใช่คำตอบ แผนที่เดินต่างหากคือจุดชี้เป็นชี้ตาย สู้ไม่ได้ รู้ตัว แค่ยื้อเวลา แต่ขั้วใหม่ ใช้เวลาที่มีอยู่ บีบแม่งทุกทิศทาง จนเหี้ยต้องยอมเสียค่าโง่ โลกสู้ ไทยสู้ อาเซียนสู้ ชนะชัวร์!)21 พฤศจิกายน 6711.30 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    21-11-67/01 : หมี CNN / "ROCK N ROLL" EP.89 ชื่อตอน "MAKE WAR AS U NEED" ไอ้สัส! ใส่มา ใส่กลับ ไม่มีโกง! เป็นไงล่ะ FACE TO FACE อียิวบุกถล่มเลบานอน เฮซบอเลาะห์ถล่มถึงเมืองหลวงทันที อีเสี้ยนยายิงใส่รัสเซีย ปูตินสั่งสอนจนเยี่ยวแตก หายวับ 3 ฐานวันเดียว ดูความจริง ดูให้เป็น สิ่งที่เหี้ยทำได้ แค่ผิวเผิน แต่ขั้วใหม่ โต้กลับจุดยุทธศาสตร์ทุกดอก นั่นแปลว่า อาวุธขั้วใหม่เข้าถึงใจกลางสำคัญมรึงได้ทุกเมื่อ แต่มรึงมีปัญญาฆ่าแค่ชาวบ้านเท่านั้น ภาษาการศึก เค้าเรียก "ชี้เป้าให้รู้ตัว" แล้วทำไม ไม่เก็บมันให้เกลี้ยงไปเลยล่ะ? สงครามได้แค่ทำลาย แต่ฆ่าจริงโหดกว่าคือ "สิ้นหนทางทำมาหาแดร๊ก" สิ้นวาสนา ขี้ข้าหดหาย สิ้นเครดิต ไม่มีใครคบค้า สิ้นแผ่นดิน เพราะชดใช้หนี้ไม่หมด นี่คือ "เป้าหมายแท้จริง" ของขั้วใหม่ รบกันตายไปข้าง เพื่ออะไร? มรึงตายคาที่ แต่กูอยู่รอดสบายสิ นี่สิ เค้าถึงเรียก "โคตรเซียน" ใครคิดว่า อาวุธรัสเซีย จีน อิหร่าน หมด? มรึงควายยิ่งกว่า ไม่รู้เค้า รู้เรา เค้าจะวางแผนล่วงหน้าได้อย่างไร? ไอ้เกจิไทยปลอมทั้งหลาย มองแต่เปลือก มองแต่กรอบ ขั้วใหม่เค้าเดินสายนินจาฮาโตริ มรึงยังมองไม่ออกอีกเหรอ? อาวุธทั้งหมดที่มี ถูกผลิตขึ้นรายวัน 24 ชม. NON STOP นั่นแปลว่า ขณะที่โจมตีอยู่นั่น ของใหม่ก็เข้ามาทดแทนเติมตลอดเวลา ไม่อั้น ไม่มีหมด มีกระสุนเป็น 10000000 ล้านนัด แล้วมรึงล่ะ? เหลือเท่าไหร่? วัตถุดิบการผลิต สายพาย เทคโนโลยี ขั้วใหม่มีไม่อั้น มรึงจะเอาเหี้ยอะไรมาวัดกับเค้า นี่แค่ใช้ของ BASIC น่ะ ยังไม่ถึงขั้นสูงซะทีเดียว มรึงยังจะตายโหงขนาดนี้ ดูทรงแล้ว อาร์คติค ยุโรป แคริบเบี้ยน ลาติน ปูตินเอาหมดเกลี้ยงแน่? ใครจะกล้าขวางกันล่ะ?เล่นง่ายดีเน๊าะ! ก่อนจาก อีเอ๋อสั่งลุย สาบานตน อีทรัมปป์สั่งถอย โยนขี้ให้อีทรัมปป์ไปแก้ต่อ มรึงคิดว่าปูตินจะรอให้มรึงอนุญาตก่อนมั้ยล่ะ? ยังไม่ทันไร ฐานทัพเหี้ยทั่วตะวันออกกลางทั้งซีเรีย อิรัก ยูเครน แดร๊กขีปนาวุธร่อน MADE IN RUSSIA เต็มตรีน เชิญมรึงไปเล่นละครปาหี่แถวปากน้ำเหอะ ยิงมา ยิงกลับไม่มีโกง? ไม่มีใครสนใจใครอีกแล้ว และเมื่อมรึงสั่งให้ยูเครนยิงใส่กูได้ เท่ากับประกาศสงครามโดยตรงกับรัสเซียแล้ว แผนตบหัวและลูบหลัง เชิญมรึงไปใช้กับขี้ข้าเหอะ ดอกนี้ ปูตินสวนกลับ ถึงปากท้องเหี้ยโดยตรง นั่นคือพลังงาน ที่มาว่าทำไม ไม่ส่งแร่ยูเรเนียมให้อีกต่อไป พร้อมสั่งพันธมิตร ระงับส่งแร่พลังงานทุกชนิดให้เหี้ยทั่วโลก ดอกนี้ เจ็บกว่าตาย เพราะมันคือพลังงานที่มรึงต้องมีใช้ทุกวัน ขาดแล้วจะไปหาจากที่ไหน จะก่อสงครามยิ่งยาก!สภาแพทย์ เหลือบมันเยอะ ชื่อเป็นหมอ แต่หาแดร๊กยิ่งกว่าสัดเดรัจฉาน หากินกับความตายชาวบ้าน หวังแต่คอมมิชชั่น หวังรวย จรรยาบรรณชั้นหมา ไม่ล้างบางสภาแพทย์ รับรองเหี้ยเกลื่อนแผ่นดิน หมอ 1 คน รักษาคนได้เป็น 1000 เช่นกัน หมอ 1 คน ก็ฆ่าคนได้เป็น 1000000 เหมือนกัน อะไรที่อนุมัติให้ผ่าน ให้ใช้ ความรับผิดชอบ 1 ชีวิต ต่อ 1000000 ชีวิต แลกได้มั้ย? ตั้งแต่อีวัคซีนโควิทแล้ว MRNA เชื้อตาย มันฆ่าคนได้เป็นล้าน โดยที่ไม่รู้ตัว มรึงเห็นบทเรียนแล้วน่ะ อะไรที่มาจากเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโต การันตี ชาติชั่วทั้งนั้น ไทยเรารอดเพราะช่วงแรกมีจีนมาช่วย รัสเซียมาอุ้ม คิวบามาเสริม อย่าหวังพึ่งพาไอ้อีตะวันตกเลย ขนาดพวกมันกันเอง ยังขโมยวัคซีน อุปกรณ์การแพทย์หน้าด้านๆ ไปถามอีเบียร์ดูสิ ไทยส่งให้ตามสั่ง แต่อีเหี้ยมะกันขโมยซึ่งหน้าไปเฉย มรึงยังคบกันอยู่อีกเหรอ อ๋อ.. ขี้ข้า นี่หว่า?กูว่าแล้ว! เป็นเรื่องระดับชาติกันไปเลย ตั้งแต่ DRAMA เต้นฮากา กลางประชุมสภากีวี กระแสแรงโคตร รากเหง้า เผ่าพันธุ์มันฟ้อง บรรพบุรุษเรียกหา ชาวกีวี แห่ลงถนนประท้วงครั้งใหญ่ ในรอบ 184 ปี ลิดรอนสิทธิ์ ทั้งผิวขาว ผิวแทน ชาวเมารี คลั่งกันทั้งแผ่นดิน กาฮา อาละวาดเต็มพื้นที่แล้ว วิญญานเมารี เข้าสิง เรียกร้องแผ่นดินกูคืน ปชต. เน่าเฟะ อีกีวี จะรอดมั้ย? แค่ตอนนี้ หนีออก ย้ายออกไปทำงานในออสซี่ ยุโรป อาเซียน แทนกันหมดแล้ว เมื่อชาวเมารีฟื้นจิตวิญญานได้สำเร็จ มรึงคิดว่า อีออสซี่จะตามมุย? อะบอริจิ้น ทำอะไรอยู่จ๊ะ หรือยังเมามัวกับแสงสีเสียงที่โลกตะวันตกมอบให้ มองดูโลก แล้วย้อนมองดูเราเอง อโยธยา ศรีรามเทพนคร ไม่เคยสิ้นคนดี ปลุกผีปู่ผีย่างวดนี้ พลังแห่งแสงมาเต็มคาราเบล รอดูการเมืองทั่วโลกพลิกขั้ว รอดูระบบกษัตริย์จะกลับคืนหวนสู่บังลังก์อีกครั้งใครจะสู้กับกู? C909 บินพาณิชย์จีนนำร่อง สู่ตลาดโลกไปไม่นาน C919 ตามมากระทืบซ้ำความสำเร็จเข้าไปอีก สั่ง 1000 ลำทั่วโลก อีโบอิ้ง อีแอร์บัส ไปไม่เป็น มรึงขายง่ายจังฟ่ะ? คำตอบคือ ถูก ดี ไม่มีสอดแนม ไม่มียัดไส้ ประสิทธิภาพ AI เงื่อนไขไม่บัดซบ อะไหล่หาง่าย ไม่มีปัญหา ตรวจสอบได้จริง ที่สำคัญ โปรไฟไหม้ บริการหลังการขายสุดยอด ยังจะมีไอ้โง่ที่ไหนสั่งมรึงอีก อะไรน่ะ ครม.อีอุ้งๆ เหรอ? เอาให้เต็มที่ ผลาญให้เต็มคราบ เพราะจะถูกตามเช็คบิลหมดเกลี้ยงทุกเม็ด ทุกดอก อย่าคิดว่าผลาญแล้วไม่ต้องชดใช้ ศาลจ้องนานแล้ว ดีออก? เมื่อบินพาณิชย์จีนยกระดับ เริ่ด หรู ราคาถูกได้ ทำไมจะผลักยอด ตระกูลบินรบ J ไม่ได้ ล่าสุด สั่งกันกระจาย J-20/J-35A อาเซียนมาเต็มคาราเบล ตะวันออกกลางแห่จอง ไอ้สัส! แล้วอียิวมันจะทำมาหาแดร๊กอะไรได้อีกเนี่ย หลอกควายมาเป็นศตวรรษแล้ว กูเจ๊งทันที!ปล.มุกเดิมหาแดร๊ก โยกย้ายกากีประจำปี ขนขี้ข้าอีเหลี่ยมมาเต็มคาราเบล หวังปูทางให้อีพ่อ อีลูกรอด แต่ช้าก่อน คนกำหนดไม่สู้ฟ้าลิขิต ฝ่ายแสงก็ใช่ย่อย สอดไส้คาราเมลเข้ามายืนหนึ่งได้เช่นกัน(ทหารสั่ง คนที่คุณคุ้นเคย) ดูภายนอก เหมือนอีตระกูลเหี้ยจัญไร อีตะกวดส่องหล้าสั่งอีกรมตำหนวดได้หมด แต่หาใช่ไม่? นี่มันปีพศ.2567 แล้วน่ะ จะข้ามปีแล้ว ตำหนวดฝ่ายทหาร เค้าจับมือกันล็อบบี้อีอุ้งๆ งานนี้มีเงิบ สยาม ม้ามืด คุมเมืองหลวง อย่าคิดว่ามีแต่ฝ่ายเหี้ยเอาอยู่ แท้จริงอีบู๊ทตรีนโตคุมมาตั้งแต่ต้น ก่อนลุงตู่จะไปนั่นแหละ รอดูต่อไป ใครจะลายออกก่อนกัน? นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ใหญ่แค่ไหน ก็ระเบิดทั้งสถานี ทั้งสำนักงานใหญ่ได้ กร่างแค่ไหน ฉีกรัฐธรรมนูญคือจบทันที อำนาจหายวับ มันมีอะไรจริงแท้แน่นอนบ้าง? ศรีธนญชัยเล่นเป็น ค่อยๆ นวด ค่อยๆ กลืน บีบจนเหี้ยต้องคายของเก่าออกมาจนหมดเกลี้ยง ช่องหมาลอดยังมี ไปซะ อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดินพ่อกู อย่าช้า อย่าลีลา เพราะหากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ คือ "เอามรึงตายทั้งตระกูล" เบื้องบนให้โอกาสรอดมรึงแล้ว อย่าลีลาเยอะ ข้ามวิกแป๊บ : หมดยุคบินล่องหนแล้ว หลังจีนคิดค้นระบบใหม่ เรดาร์ใหม่ของจีน BEITOU จับได้หมดทุกบินรบเหี้ย โคตรกระจอก ไม่พัฒนาไปไหนเลย แช่อยู่กับที่มาเป็นสิบปีแล้ว คิดว่าคนอื่นตามไม่ทัน ที่ไหนได้ มรึงนั่นแหละ ล้าหลังเค้าอยู่ 20 ปี โดยเฉพาะโครงการด้านอวกาศ จุดนี้ ทำให้เงินลงทุนไปมหาศาลกับบินรบ STEALTH หมาทันที จะขายใครออกมุย? ที่สำคัญ จีนออก J-35A เซินเจิ้นมา ยอดขายดีกว่า F-35 ซะอีก ถูก ดี ไร้เงื่อนไข ประสิทธิภาพสูงกว่า และ AI ทั้งลำ หมาได้อีกมรึง? ยังไม่พอ รัสเซียโยกย้าย S-500 เข้าประจำการพรมแดนแนวหน้าแล้ว นี่มันคืออะไร? ดาวเทียมศัตรู หายวับแน่มรึง? อย่าว่านุ๊ก ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคเลย แม้แต่ UFO ยังร่วง เอาจริงดิ? ฉากหน้า ฉากหลัง สุดท้าย ต้องวัดกำลังหมี CNN(เริ่มโชว์กันออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ของดี ไม่โชว์บ่อย ทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน โสมแดง อาวุธในใต้หล้า หากเทียบเป็นชั้นกระบี่ ไอ้อีเหี้ยทั้งหลาย มรึงแค่ชั้นประถม จีน รัสเซีย เค้าไปถึงขั้นมหาเทพกันหมดแล้ว งบก็มีมากกว่า อุปกรณ์ก็พร้อมกว่า อาวุธไม่ใช่คำตอบ แผนที่เดินต่างหากคือจุดชี้เป็นชี้ตาย สู้ไม่ได้ รู้ตัว แค่ยื้อเวลา แต่ขั้วใหม่ ใช้เวลาที่มีอยู่ บีบแม่งทุกทิศทาง จนเหี้ยต้องยอมเสียค่าโง่ โลกสู้ ไทยสู้ อาเซียนสู้ ชนะชัวร์!)21 พฤศจิกายน 6711.30 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • "The Chinese Revolution"

    ฉันเป็นชาวจีน(รุ่นใหม่) ที่อุตส่าห์ตะแบง ข้ามน้ำ ข้ามทะเล..ไปเรียนหนังสือกลับมา เริ่มมีเหตุผล(มากขึ้น) สได้ก่อการปฏิวัติกับครอบครัว โดยไม่ยอมเซ่นไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ ด้วยสุราและเนื้อสัตว์...แต่ยังคงเซ่นไหว้ตามพิธีดั้งเดิม ด้วยพืชผัก ผลไม้ ไม่จุดธูป ไม่จุดเทียน แต่ใช้เทียนและธูปไฟฟ้า โอนเงินทองไปสู่ปรภพด้วยบริการทางออนไลน์ เป็นผลสำเร็จมาแล้วหลายครอบครัว

    เป็นที่ทราบโดยชัดเจนว่า #มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งสามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์

    1) ชนิดของฟัน
    ธรรมชาติสร้างฟันมนุษย์เป็นฟันซี่เรียงแถว สำหรับกัด บด เคี้ยว #แตกต่างจากสัตว์กินเนื้อที่มีเขี้ยวสำหรับการฉีก ล่าเหยื่อ

    2) ความเป็นกรด-ด่างของน้ำลาย
    มนุษย์มีน้ำลายที่เป็นด่างสำหรับย่อยแป้งและเซลลูโลสจากพืช #ต่างจากน้ำลายสัตว์กินเนื้อที่เป็นกรด สัตว์กินเนื้อไม่ได้ล่าเหยื่อทุกวัน การล่าแต่ละครั้งสามารถกินได้หลายวัน น้ำลายที่เป็นกรดธรรมชาติประทานมาให้เพื่อใช้ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์จากบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้(ล่าเหยื่อ) และใช้ในการย่อยเนื้อสัตว์ที่บูดเน่า.

    3) ชนิดของกรดในกระเพาะอาหาร
    มนุษย์มีน้ำย่อยที่เป็นกรดอ่อน สำหรับการย่อยเซลลูโลสและแป้งในกลุ่มอะมีโลส และมีปริมาณน้ำย่อย(น้อย)ไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์
    #ต่างจากน้ำย่อยในกระเพาะสัตว์กินเนื้อ ที่เป็นเอ็มไซม์เพ็พซินและทริปซิน เป็นกรดอย่างแรงกว่า20เท่าและมีปริมาณมากกว่าน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของมนุษย์ 5เท่า สำหรับการย่อยเนื้อสัตว์และกระดูกโดยเฉพาะ

    4) สัดส่วนความยาวของลำไส้ ต่อ ความยาวลำตัว
    (ความยาวลำตัว=ความยาวปากถึงรูตูด)

    มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ธรรมชาติจึงออกแบบให้มีลำไส้ยาว 7-10เท่าของความยาวลำตัว เพื่อดูดซึมสารอาหารจากพืชได้สำเร็จใน 4-6ชั่วโมง หากมนุษย์กินเนื้อสัตว์ กระเพาะไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้หมด ต่อจากนั้น..เป็นหน้าที่ของลำไส้ใช้เวลาย่อยและดูดซึมเนื้อสัตว์ 48-72ชั่วโมง ทำให้เกิดการบูดเน่า เกิดสารพิษ และจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ แก๊สที่มีพิษ ซึ่งทำให้บั่นทอนสุขภาพ อายุสั้นด้วยโรคต่างๆและโรคมะเร็ง

    #ต่างจากลำไส้สัตว์กินเนื้อที่มีความยาวไม่เกิน3เท่าของความยาวลำตัว กิน ย่อย ถ่ายรวดเร็วไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นพิษในลำไส้.

    ครอบครัว..ให้ความเข้าใจและหันมากินผัก ผลไม้ ทำให้มีสุขภาพที่ดี มีอายุยืน(อายุขัยวัฒนา) กันทุกๆคน เมื่อจากโลกนี้ไปก็จะไปมีชิวิตนิรันดร์ในสายคริสต์ก็ไปอยู่บนสวรรค์กับพระผู้เป็นเจ้า สายพุทธศาสนาจะเข้าสู่โหมดนิพพาน(Nirvana)ได้ไม่ยากนัก เมื่อถือศีล(บริสุทธิ์)ย่อมเกิดสมาธิได้ไม่ยากนักเพราะไม่มีความพยาบาทอาฆาตแค้นจากชีวิตสัตว์มารบกวน จึงเกิดแสงสว่างแห่งปัญญานำไปตามทางสายเอกเข้าสู่นิพพานดับสูญ..ไม่ต้องเป็นสัมภเวสี ทนทุกข์ทรมาน เร่ร่อน ขอส่วนบุญตามสถานที่ต่างๆ หรือ วนเวียน ว่าย ตาย เกิด..อยู่เช่นนี้ ไม่เบื่อ บ้างหรือ?

    พระพุทธเจ้า ห้ามกินเนื้อสัตว์(อกัปปิยมังสะ) 10 ชนิด
    #และสัตว์ที่กินได้ต้องไม่เป็น ปวัตตมังสะ(ฆ่าเพื่อตน) และไม่เป็นอุททิสมังสะ(ฆ่าเพื่อผู้อื่น) หมายความว่า #เป็นสัตว์ที่ตายเองไม่ใช่สัตว์ทื่ถูกฆ่า จึงจะกินได้.

    ***แปลเป็นไทยว่า "สัตว์ที่ตายเอง ไม่ใช่สัตว์ที่ถูกฆ่า"
    ดังนั้น..การกินเนื้อสัตว์ ผิดทั้งพระและโยม นะจ๊ะ(ชาวพุทธ)

    สัตว์..มันก็คิดได้ คิดเป็น มนุษย์ลากมันเข้าหลักประหาร สัตว์มันรู้ มันรักตัว กลัวตาย มันร้องไห้ ดิ้นรน ไม่สงสารมันบ้างหรือไร?

    สัตว์มันมองดูมนุษย์เซ่นไหว้ เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ
    ตรุษจีน สาร์ทจีน..ฆ่าพวกกูไหว้เจ้า --->ได้บุญ
    พอปลายปีเทศกาลกินเจ..ไม่ฆ่าพวกกู-->ได้บุญ
    อย่าให้สัตว์พูดว่า "ตกลงพวกมึง จะเอายังงัยกับชีวิตของพวกมึง" !!!

    อมตะวาจา ของ Yeo MING กล่าวว่า
    "When the buying stops, the killing can too"
    อาจแปลได้ว่า "ผู้กินเนื้อสัตว์..คือหุ้นส่วนร่วมฆ่า" เช่นเดียวกัน ค่ะ
    .
    .
    Pachäree Wõng
    November20,2024
    Sausalito, California.
    "The Chinese Revolution" ฉันเป็นชาวจีน(รุ่นใหม่) ที่อุตส่าห์ตะแบง ข้ามน้ำ ข้ามทะเล..ไปเรียนหนังสือกลับมา เริ่มมีเหตุผล(มากขึ้น) สได้ก่อการปฏิวัติกับครอบครัว โดยไม่ยอมเซ่นไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ ด้วยสุราและเนื้อสัตว์...แต่ยังคงเซ่นไหว้ตามพิธีดั้งเดิม ด้วยพืชผัก ผลไม้ ไม่จุดธูป ไม่จุดเทียน แต่ใช้เทียนและธูปไฟฟ้า โอนเงินทองไปสู่ปรภพด้วยบริการทางออนไลน์ เป็นผลสำเร็จมาแล้วหลายครอบครัว เป็นที่ทราบโดยชัดเจนว่า #มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งสามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ 1) ชนิดของฟัน ธรรมชาติสร้างฟันมนุษย์เป็นฟันซี่เรียงแถว สำหรับกัด บด เคี้ยว #แตกต่างจากสัตว์กินเนื้อที่มีเขี้ยวสำหรับการฉีก ล่าเหยื่อ 2) ความเป็นกรด-ด่างของน้ำลาย มนุษย์มีน้ำลายที่เป็นด่างสำหรับย่อยแป้งและเซลลูโลสจากพืช #ต่างจากน้ำลายสัตว์กินเนื้อที่เป็นกรด สัตว์กินเนื้อไม่ได้ล่าเหยื่อทุกวัน การล่าแต่ละครั้งสามารถกินได้หลายวัน น้ำลายที่เป็นกรดธรรมชาติประทานมาให้เพื่อใช้ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์จากบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้(ล่าเหยื่อ) และใช้ในการย่อยเนื้อสัตว์ที่บูดเน่า. 3) ชนิดของกรดในกระเพาะอาหาร มนุษย์มีน้ำย่อยที่เป็นกรดอ่อน สำหรับการย่อยเซลลูโลสและแป้งในกลุ่มอะมีโลส และมีปริมาณน้ำย่อย(น้อย)ไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ #ต่างจากน้ำย่อยในกระเพาะสัตว์กินเนื้อ ที่เป็นเอ็มไซม์เพ็พซินและทริปซิน เป็นกรดอย่างแรงกว่า20เท่าและมีปริมาณมากกว่าน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของมนุษย์ 5เท่า สำหรับการย่อยเนื้อสัตว์และกระดูกโดยเฉพาะ 4) สัดส่วนความยาวของลำไส้ ต่อ ความยาวลำตัว (ความยาวลำตัว=ความยาวปากถึงรูตูด) มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ธรรมชาติจึงออกแบบให้มีลำไส้ยาว 7-10เท่าของความยาวลำตัว เพื่อดูดซึมสารอาหารจากพืชได้สำเร็จใน 4-6ชั่วโมง หากมนุษย์กินเนื้อสัตว์ กระเพาะไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ได้หมด ต่อจากนั้น..เป็นหน้าที่ของลำไส้ใช้เวลาย่อยและดูดซึมเนื้อสัตว์ 48-72ชั่วโมง ทำให้เกิดการบูดเน่า เกิดสารพิษ และจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ แก๊สที่มีพิษ ซึ่งทำให้บั่นทอนสุขภาพ อายุสั้นด้วยโรคต่างๆและโรคมะเร็ง #ต่างจากลำไส้สัตว์กินเนื้อที่มีความยาวไม่เกิน3เท่าของความยาวลำตัว กิน ย่อย ถ่ายรวดเร็วไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นพิษในลำไส้. ครอบครัว..ให้ความเข้าใจและหันมากินผัก ผลไม้ ทำให้มีสุขภาพที่ดี มีอายุยืน(อายุขัยวัฒนา) กันทุกๆคน เมื่อจากโลกนี้ไปก็จะไปมีชิวิตนิรันดร์ในสายคริสต์ก็ไปอยู่บนสวรรค์กับพระผู้เป็นเจ้า สายพุทธศาสนาจะเข้าสู่โหมดนิพพาน(Nirvana)ได้ไม่ยากนัก เมื่อถือศีล(บริสุทธิ์)ย่อมเกิดสมาธิได้ไม่ยากนักเพราะไม่มีความพยาบาทอาฆาตแค้นจากชีวิตสัตว์มารบกวน จึงเกิดแสงสว่างแห่งปัญญานำไปตามทางสายเอกเข้าสู่นิพพานดับสูญ..ไม่ต้องเป็นสัมภเวสี ทนทุกข์ทรมาน เร่ร่อน ขอส่วนบุญตามสถานที่ต่างๆ หรือ วนเวียน ว่าย ตาย เกิด..อยู่เช่นนี้ ไม่เบื่อ บ้างหรือ? พระพุทธเจ้า ห้ามกินเนื้อสัตว์(อกัปปิยมังสะ) 10 ชนิด #และสัตว์ที่กินได้ต้องไม่เป็น ปวัตตมังสะ(ฆ่าเพื่อตน) และไม่เป็นอุททิสมังสะ(ฆ่าเพื่อผู้อื่น) หมายความว่า #เป็นสัตว์ที่ตายเองไม่ใช่สัตว์ทื่ถูกฆ่า จึงจะกินได้. ***แปลเป็นไทยว่า "สัตว์ที่ตายเอง ไม่ใช่สัตว์ที่ถูกฆ่า" ดังนั้น..การกินเนื้อสัตว์ ผิดทั้งพระและโยม นะจ๊ะ(ชาวพุทธ) สัตว์..มันก็คิดได้ คิดเป็น มนุษย์ลากมันเข้าหลักประหาร สัตว์มันรู้ มันรักตัว กลัวตาย มันร้องไห้ ดิ้นรน ไม่สงสารมันบ้างหรือไร? สัตว์มันมองดูมนุษย์เซ่นไหว้ เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ตรุษจีน สาร์ทจีน..ฆ่าพวกกูไหว้เจ้า --->ได้บุญ พอปลายปีเทศกาลกินเจ..ไม่ฆ่าพวกกู-->ได้บุญ อย่าให้สัตว์พูดว่า "ตกลงพวกมึง จะเอายังงัยกับชีวิตของพวกมึง" !!! อมตะวาจา ของ Yeo MING กล่าวว่า "When the buying stops, the killing can too" อาจแปลได้ว่า "ผู้กินเนื้อสัตว์..คือหุ้นส่วนร่วมฆ่า" เช่นเดียวกัน ค่ะ . . Pachäree Wõng November20,2024 Sausalito, California.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 622 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก

    ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก

    รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม
    อย่าง บิดพริ้วไม่ได้

    ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย
    ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ
    อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม

    รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข
    ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

    และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ

    และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล

    ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ

    และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ
    ในตำราแพทย์ไทยนั้น

    ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ

    ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67
    https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU

    ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย
    ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้
    และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น
    1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน
    2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้
    3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์
    4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่
    5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ
    6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง
    ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง

    ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้

    สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด

    โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า
    ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย
    โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง
    เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก
    ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท

    สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้

    วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน

    นสพ มติชน ฉบับพิมพ์
    ท็อล์กออฟเดอะทาวน์
    10 พย 2567

    กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์

    รวบรวมข้อมูลโดย
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    สนธิสัญญาองค์การอนามัยโลก ประเทศไทยควรต้องสนใจกับข้อกำหนดสนธิสัญญากับองค์การอนามัยโลก รายชื่อคัดค้าน และรายละเอียด สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกที่ เมื่อตกลง ต้องทำตาม อย่าง บิดพริ้วไม่ได้ ปัจจุบันมีการลงขื่อ 60,000 ราย และ รวมทั้ง มีการคัดค้านจาก สมาพันธ์เครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นประชาชนรากหญ้าและได้รับผลกระทบ อย่างสูงเมื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงยาและสมุนไพรวิถีไทยจะถูกห้าม รายละเอียดเหล่านี้ ส่งถึง ท่าน รมต ประธานสภา และ กระทรวง สาธารณสุข ตั้งแต่พฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบันนี้ คนไทยยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และทางการ และรัฐบาล ควร ต้องชี้แจงให้คนไทยทุกคนทราบ และ รัฐบาล ทราบหรือไม่ว่า ควรต้องทำอะไร ทั้งๆที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกังวล ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีทรัพยากรสมุนไพรธรรมชาติที่ใช้กันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ถูกด้อยค่าไปตามลำดับ และต้องตระหนักว่าสมุนไพรเหล่านี้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเป็นยาและส่งกลับมาขาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และตัวอื่นๆ โดยศึกษาในขั้นโมเลกุลและผลตรงกับที่บรรพบุรุษไทยได้จารึกสรรพคุณไว้ตั้งแต่สมัยต้นรัชกาล ด้วยซ้ำ ในตำราแพทย์ไทยนั้น ยกตัวอย่างเช่นรูปลักษณะของฝีดาษได้บรรยายไว้ 12 ชนิด ซึ่งตรงกับ 12 ไวรัสในตระกูลฝีดาษที่เราทราบกันในปัจจุบัน และมีการระบุสมุนไพรแต่ละประเภทตามความรุนแรงของชนิดฝีดาษ ข้อมูลรายละเอียดของการคัดค้าน WHO 24 พค.67 https://drive.google.com/drive/folders/1GyWC2OcVnUkglL7YUtFRum8S_TqZvmIU ความสำคัญของ สนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกต่อภาคีเครือข่ายรวมกระทั่งถึงประเทศไทย ถ้าอยู่ภายใต้ สนธิสัญญานี้ จะบิดพริ้วมิได้ และจะเกิด ผลกระทบติดตามมากมาย หลายเรื่อง เช่น 1- องค์การอนามัยโลกสามารถประกาศโรคระบาดใดให้เป็น สถานการณ์โรค ระบาดทั้งโลกได้ โดยไม่ต้องฟัง ข้อมูลรายละเอียดจากพื้นที่ให้ครบทุกด้าน 2- เมื่อประกาศแล้วเราต้องทำตามทุกอย่าง และไม่สามารถทำอะไรที่ควรจะทำได้ 3- วัคซีนต้องฉีดตามองค์การอนามัยโลกสั่ง โดย องค์การอนามัยโลก ไม่ต้อง มีความรับผิดชอบ ถ้าเกิดมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะรุนแรงเท่าใด เพราะถือว่า ได้รับสิทธิ์และถืออำนาจสั่งการได้อย่างสมบูรณ์ 4-ยา ต้องใช้ตามที่สั่งโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือยาต้องสั่งจากต่างประเทศอย่างเดียว และยาที่ผลิตจากวัตถุดิบจากประเทศในเอเชียจะถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้มาตรฐานและมีอันตรายทันที หรือไม่ 5- สมุนไพรที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการใช้และจะมีการออกประกาศโดยกระทรวงทบวงกรมสถาบันโรงเรียนแพทย์โดยถือว่าเป็นคำสั่งหรือข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลกและผ่านมาทาง อย สหรัฐ ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคของสหรัฐ 6- สามารถที่จะเซ็นเซอร์ทุกอย่างได้ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ควรจะเป็น ไม่ว่าเป็นผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีนและยาที่องค์การอนามัยโลกสั่ง ประชาชนไม่สามารถสื่อสารการใช้ยาที่คนไทยใช้อยู่แล้วในพื้นที่ และมีหน่วยงานที่เซ็นเซอร์โดยจัดให้เป็นข้อมูลเท็จ misinformation ผ่านทางหน่วยงานของรัฐ จากองค์กร และสู่ประชาชนทั้งประเทศให้เชื่อฟัง ทั้งนี้จะมีหน่วยงานที่สอดส่องโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และทำการถอดถอนข้อมูล ดิสเครดิต ผู้ที่ให้ข้อมูลทันที มีหน่วยงานลักษณะนี้ รวมทั้งกระทรวงของรัฐที่ทำตามกระบวนการนี้ สิ่งที่กล่าวนี้เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงโควิด และเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องของผลกระทบผลข้างเคียง ของสิ่งที่ฉีด โดยที่ทางการของประเทศ ไทยเองประกาศทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2567 ว่า ผลกระทบร้ายแรงและถึงแก่ชีวิตทั้งประเทศมีเพียงห้าราย โดยที่ตัวเลขห้ารายนี้ จะเทียบกับหนึ่งในล้าน ซึ่ง เป็นตัวเลขที่ยอมรับได้ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ทั้งๆที่รายอื่นเป็น 10,000 เป็น 100,000 ถูกปัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง และถึงกระทั่งให้หาข้อพิสูจน์มา เอง โดยที่การพิสูจน์ หรือชันสูตรศพ ทาง วิทยาศาสตร์นั้นต้องการทุนไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นแล้วและจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าถ้าตกอยู่ในสนธิสัญญานี้ วัคซีนในปัจจุบันและต่อจากนี้ในมนุษย์และสัตว์ใช้เทคโนโลยี ที่ใช้กับโควิด ทั้งนี้โดยอ้างว่า ได้ใช้กับประชาชนทั่วโลกแล้วและผลกระทบไม่ได้เกิดจากวัคซีน นสพ มติชน ฉบับพิมพ์ ท็อล์กออฟเดอะทาวน์ 10 พย 2567 กระบวนการรวบรวมรายชื่อคัดค้านและนำส่งทางการของประเทศไทยโดยกลุ่มแพทย์และประชาชนไทยพิทักษ์สิทธิ์ รวบรวมข้อมูลโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 0 รีวิว
  • พวกมันจะขายชาติที่บรรพบุรุษแลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อและคราบน้ำตา🥺❤🇹🇭❤"เราคนไทยแท้ๆไม่ยอม✌
    พวกมันจะขายชาติที่บรรพบุรุษแลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อและคราบน้ำตา🥺❤🇹🇭❤"เราคนไทยแท้ๆไม่ยอม✌
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • ทำความรู้จัก อ.ธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ ซินแสชื่อดัง ทายาทเป็นผู้สืบทอดสายตรงศาสตร์ตี่ลี่ฮวงจุ้ย รุ่นที่ 15 มาจากบรรพบุรุษ และได้รับการฝึกฝนจากพ่อตั้งแต่อายุ 12 ปี

    “ฮวงจุ้ย” ถือเป็นอีกศาสตร์ของชาวจีน ที่ “ฮวงจุ้ย” หรือในภาษาจีนกลางคือ Feng Shui (เฟิงสุ่ย) มาจากคำสองคำคือ ‘เฟิง’ แปลว่า ‘ลม’ และ ‘สุ่ย’ แปลว่า ‘น้ำ’ ความหมายโดยรวมคือการสร้างสภาพแวดล้อมในธรรมชาติกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้มีความสมดุลและนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต

    สำหรับในไทย หมอดูฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงนั้นมีหลายคนมาก หนึ่งในนั้นคือ “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” หรือ อ.ธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ ทายาทเป็นผู้สืบทอดสายตรงศาสตร์ตี่ลี่ฮวงจุ้ย รุ่นที่ 15 มาจากบรรพบุรุษ นับเป็นบุตรคนเดียวที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นจากอาจารย์พ่อ (อ.จิระ จิระเจริญเวศน์) ผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ อ.ธนวันต์อายุเพียง 12 ปีเท่านั้น

    โดยคำว่า ตี่ลี่ มีความหมายว่า พื้นที่ ทำเล ภูมิศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วก็หมายถึงที่อยู่ของเรา โดยจะครอบคลุมในส่วน “ภายในทั้งหมดของตัวบ้านเรา” ซึ่งจุดนี้แหละที่อาจารย์จะต้องจัดบ้านภายในให้เหมาะสม และส่งเสริมคนในบ้าน ทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

    นอกจากนี้ “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” ยังได้ให้ความรู้เรื่องฮวงจุ้ยในรายการทีวีช่องดังอีกด้วย ทั้งยังมีช่องยูทูบให้ความรู้เรื่อง “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” ที่มีวิดีโอให้ความรู้มากถึง 1.8 พันคลิป และมีผู้ติดตามมากถึง 2.6 แสนคน

    #MGROnline #อาจารย์ตี่ลี่ #ตี่ลี่ฮวงจุ้ย #หมอดู #หมอดูฮวงจุ้ย #ฮวงจุ้ย #ดูดวง
    ทำความรู้จัก อ.ธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ ซินแสชื่อดัง ทายาทเป็นผู้สืบทอดสายตรงศาสตร์ตี่ลี่ฮวงจุ้ย รุ่นที่ 15 มาจากบรรพบุรุษ และได้รับการฝึกฝนจากพ่อตั้งแต่อายุ 12 ปี • “ฮวงจุ้ย” ถือเป็นอีกศาสตร์ของชาวจีน ที่ “ฮวงจุ้ย” หรือในภาษาจีนกลางคือ Feng Shui (เฟิงสุ่ย) มาจากคำสองคำคือ ‘เฟิง’ แปลว่า ‘ลม’ และ ‘สุ่ย’ แปลว่า ‘น้ำ’ ความหมายโดยรวมคือการสร้างสภาพแวดล้อมในธรรมชาติกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้มีความสมดุลและนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต • สำหรับในไทย หมอดูฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงนั้นมีหลายคนมาก หนึ่งในนั้นคือ “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” หรือ อ.ธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ ทายาทเป็นผู้สืบทอดสายตรงศาสตร์ตี่ลี่ฮวงจุ้ย รุ่นที่ 15 มาจากบรรพบุรุษ นับเป็นบุตรคนเดียวที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นจากอาจารย์พ่อ (อ.จิระ จิระเจริญเวศน์) ผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ อ.ธนวันต์อายุเพียง 12 ปีเท่านั้น • โดยคำว่า ตี่ลี่ มีความหมายว่า พื้นที่ ทำเล ภูมิศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วก็หมายถึงที่อยู่ของเรา โดยจะครอบคลุมในส่วน “ภายในทั้งหมดของตัวบ้านเรา” ซึ่งจุดนี้แหละที่อาจารย์จะต้องจัดบ้านภายในให้เหมาะสม และส่งเสริมคนในบ้าน ทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด • นอกจากนี้ “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” ยังได้ให้ความรู้เรื่องฮวงจุ้ยในรายการทีวีช่องดังอีกด้วย ทั้งยังมีช่องยูทูบให้ความรู้เรื่อง “ตี่ลี่ ฮวงจุ้ย” ที่มีวิดีโอให้ความรู้มากถึง 1.8 พันคลิป และมีผู้ติดตามมากถึง 2.6 แสนคน • #MGROnline #อาจารย์ตี่ลี่ #ตี่ลี่ฮวงจุ้ย #หมอดู #หมอดูฮวงจุ้ย #ฮวงจุ้ย #ดูดวง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เจ๊ไฝ‘ มิชลิน 1 ดาว เขย่า 'ซอฟต์พาวเวอร์' ถึงเวลารัฐบาลต้องตาสว่าง
    .
    แม้'ภิญญา จุนสุตะ' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เจ๊ไฝ' จะยืนยันว่ายังไม่คิดรีไทร์จากวงการอาหารในปี 2568 ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ในถ้อยคำหนึ่งของการสัมภาษณ์จากเจ๊ไฝนั้นก็ยอมรับส่วนหนึ่งว่ามีความคิดที่ว่านั้นเช่นกัน
    .
    "เรื่องราวเกิดจากไปช่วยยูเอ็นหาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่และมีทูตมาเยอะ โดยสิ่งแรกที่เขามาถามว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ ก็ตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องบานปลาย ที่บอกว่าจะเลิกนี่เลิกไม่ได้หรอก ยังมีงานที่ต่างประเทศรออยู่อีกเยอะ อย่างที่ฝรั่งเศสก็ยังต้องไป แล้วจะเลิกได้ยังไง มันยังติดพันกันอยู่" คำยืนยันจากเจ๊ไฝ
    .
    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ๊ไฝจะยืนหน้าเตาทำอาหารต่อไป หรือหันหลังบอกลาวงการ ต้องยอมรับว่ามีผลต่อแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยพอสมควร ถึงขนาดที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังซอฟต์พาวเวอร์ที่แฝงอยู่ในตัวของเจ๊ไฝนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน
    .
    กรณีของเจ๊ไฝนั้นถึงตอนนี้จะยังไม่รีไทร์ แต่ด้วยวัยเลยหลัก 80 ปีเข้าไปแล้ว หากจะประกาศวางมือก็คงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด และอาจดูเป็นเรื่องตลกกับคำถามที่ว่ารัฐบาลมีแผนรองรับในอนาคตอย่างไรหากเจ๊ไฝเจ้าของรางวัลมิชลิน 1 ดาว 7 ปีติดต่อกันประกาศวางมือในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๊ไฝเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นแรงดึงดูดระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ทำให้นักท่องเที่ยวและคนดังระดับโลกเดินทางมายังประเทศไทย ความนิยมในร้านเจ๊ไฝนั้นทำให้วงการอุตสาหกรรมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการร้านอาหารสูงขึ้น ส่งผลให้ร้านอาหารไทยหลายร้านที่ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกับเจ๊ไฝล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก
    .
    โดยนอกเหนือไปจากต้นทุนการผลิตอาหารที่สูงขึ้นแล้ว พบว่าอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ ทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งกรณีเจ๊ไฝก็เช่นเดียวกันที่ธุรกิจไม่ได้ส่งต่อไปยังทายาท ร้านอาหารชื่อดังระดับตำนานหลายร้านกำลังเผชิญกับปัญหานี้ หากคนรุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่ไม่สามารถแบกภาระทั้งด้านต้นทุนและสังขารต่อไป ตำนานก็คงต้องปิดตัวลงเช่นกัน
    .
    'ร้านอาหาร' เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแล้ว จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำหรับบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเสพงานศิลป์และเรื่องราวเบื้องหลังของจานอาหารเหล่านั้นด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องนามธรรมที่สร้างสามารถมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เหมือนกับที่ทุกวันนี้ได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างศาสนาต่อแถวเข้าชมพุทธสถานหลายแห่งในประเทศไทยปีละหลายล้านคน ตรงนี้เองที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ อันเป็นแรงดึงดูดให้หลายคนอยากเข้ามาประเทศไทย
    .
    อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจร้านอาหาร ถือเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การรักษาธุรกิจให้ตลอดรอดฝั่งนั้นทำได้ยาก หลายกิจการที่ยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ขณะที่ ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจนในจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจนี้ลดลง
    .
    หรือสติปัญญาของรัฐบาลต่อนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ จะมีแค่เพียงการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดล่าสุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมารับตำแหน่งเดิมที่นางสาวแพทองธารเคยทำงานในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น
    ..............
    Sondhi X
    'เจ๊ไฝ‘ มิชลิน 1 ดาว เขย่า 'ซอฟต์พาวเวอร์' ถึงเวลารัฐบาลต้องตาสว่าง . แม้'ภิญญา จุนสุตะ' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'เจ๊ไฝ' จะยืนยันว่ายังไม่คิดรีไทร์จากวงการอาหารในปี 2568 ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่ในถ้อยคำหนึ่งของการสัมภาษณ์จากเจ๊ไฝนั้นก็ยอมรับส่วนหนึ่งว่ามีความคิดที่ว่านั้นเช่นกัน . "เรื่องราวเกิดจากไปช่วยยูเอ็นหาเงินช่วยผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นงานใหญ่และมีทูตมาเยอะ โดยสิ่งแรกที่เขามาถามว่าอายุ 80 ปี แล้วยังไม่เลิกอีกเหรอ ก็ตอบไปแค่ว่า มันก็มีโครงการอยู่ในใจ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องบานปลาย ที่บอกว่าจะเลิกนี่เลิกไม่ได้หรอก ยังมีงานที่ต่างประเทศรออยู่อีกเยอะ อย่างที่ฝรั่งเศสก็ยังต้องไป แล้วจะเลิกได้ยังไง มันยังติดพันกันอยู่" คำยืนยันจากเจ๊ไฝ . อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ๊ไฝจะยืนหน้าเตาทำอาหารต่อไป หรือหันหลังบอกลาวงการ ต้องยอมรับว่ามีผลต่อแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยพอสมควร ถึงขนาดที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าพลังซอฟต์พาวเวอร์ที่แฝงอยู่ในตัวของเจ๊ไฝนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน . กรณีของเจ๊ไฝนั้นถึงตอนนี้จะยังไม่รีไทร์ แต่ด้วยวัยเลยหลัก 80 ปีเข้าไปแล้ว หากจะประกาศวางมือก็คงไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด และอาจดูเป็นเรื่องตลกกับคำถามที่ว่ารัฐบาลมีแผนรองรับในอนาคตอย่างไรหากเจ๊ไฝเจ้าของรางวัลมิชลิน 1 ดาว 7 ปีติดต่อกันประกาศวางมือในอนาคต . ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๊ไฝเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นแรงดึงดูดระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ทำให้นักท่องเที่ยวและคนดังระดับโลกเดินทางมายังประเทศไทย ความนิยมในร้านเจ๊ไฝนั้นทำให้วงการอุตสาหกรรมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการร้านอาหารสูงขึ้น ส่งผลให้ร้านอาหารไทยหลายร้านที่ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกับเจ๊ไฝล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก . โดยนอกเหนือไปจากต้นทุนการผลิตอาหารที่สูงขึ้นแล้ว พบว่าอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ ทายาทที่จะมาสืบทอดกิจการต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งกรณีเจ๊ไฝก็เช่นเดียวกันที่ธุรกิจไม่ได้ส่งต่อไปยังทายาท ร้านอาหารชื่อดังระดับตำนานหลายร้านกำลังเผชิญกับปัญหานี้ หากคนรุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่ไม่สามารถแบกภาระทั้งด้านต้นทุนและสังขารต่อไป ตำนานก็คงต้องปิดตัวลงเช่นกัน . 'ร้านอาหาร' เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแล้ว จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่สำหรับบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเสพงานศิลป์และเรื่องราวเบื้องหลังของจานอาหารเหล่านั้นด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องนามธรรมที่สร้างสามารถมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เหมือนกับที่ทุกวันนี้ได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างศาสนาต่อแถวเข้าชมพุทธสถานหลายแห่งในประเทศไทยปีละหลายล้านคน ตรงนี้เองที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ อันเป็นแรงดึงดูดให้หลายคนอยากเข้ามาประเทศไทย . อย่างที่ทราบกันดีว่าธุรกิจร้านอาหาร ถือเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การรักษาธุรกิจให้ตลอดรอดฝั่งนั้นทำได้ยาก หลายกิจการที่ยืนหยัดอยู่บนเส้นทางนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ขณะที่ ภาครัฐเองก็ไม่ได้มีแนวทางที่ชัดเจนในจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจนี้ลดลง . หรือสติปัญญาของรัฐบาลต่อนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ จะมีแค่เพียงการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดล่าสุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมารับตำแหน่งเดิมที่นางสาวแพทองธารเคยทำงานในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เท่านั้น .............. Sondhi X
    Like
    Yay
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 989 มุมมอง 0 รีวิว
  • การที่รัฐบาลนี้ไปพูดกับกัมพูชาว่า"จะใช้ศิลปวัฒนธรรมร่วม!!!"ซึ้งมันเป็นไปไม่ได้เลย คนไทยทุกคนคิดว่าอย่างไรกันคะ"บอกเป็นการเจรจาภาษาทางการฑูตคืออะไร?...บรรพบุรุษไทยสร้างสรรผลงานปราณีตละเอียดอ่อนสวยงามมาอย่างยาวนานจะยกให้ชาติอื่นมาเคลมง่ายๆจะได้หรือ ฟังยังไงก็รับไม่ได้หรอกทุกชนชาติเขาหวงแหนความเป็นอัตลักษณ์ในชาติตนทั้งนั้นไม่เช่นนั้นเขาจะจดสิทธิบัตรกันทำไม?"ใครจะว่าคลั่งชาติก็ดีกว่าขายชาติ....? 🤔"เพื่อนๆทนฟังเสียงบัวหน่อยนะต้องร้องเองเพราะไม่อยากติดลิขสิทธิ ดนตรีก็ไม่มี ต้องรอแอป"Thaitimes:นำเสียงเพลงมาใส่เพื่อเราจะได้สร้างคลิปวีดีโอได้ในที่ดียว รอๆคะ"30102024"05:08น.bkk Th
    การที่รัฐบาลนี้ไปพูดกับกัมพูชาว่า"จะใช้ศิลปวัฒนธรรมร่วม!!!"ซึ้งมันเป็นไปไม่ได้เลย คนไทยทุกคนคิดว่าอย่างไรกันคะ"บอกเป็นการเจรจาภาษาทางการฑูตคืออะไร?...บรรพบุรุษไทยสร้างสรรผลงานปราณีตละเอียดอ่อนสวยงามมาอย่างยาวนานจะยกให้ชาติอื่นมาเคลมง่ายๆจะได้หรือ ฟังยังไงก็รับไม่ได้หรอกทุกชนชาติเขาหวงแหนความเป็นอัตลักษณ์ในชาติตนทั้งนั้นไม่เช่นนั้นเขาจะจดสิทธิบัตรกันทำไม?"ใครจะว่าคลั่งชาติก็ดีกว่าขายชาติ....? 🤔"เพื่อนๆทนฟังเสียงบัวหน่อยนะต้องร้องเองเพราะไม่อยากติดลิขสิทธิ ดนตรีก็ไม่มี ต้องรอแอป"Thaitimes:นำเสียงเพลงมาใส่เพื่อเราจะได้สร้างคลิปวีดีโอได้ในที่ดียว รอๆคะ"30102024"05:08น.bkk Th
    Yay
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 82 0 รีวิว
  • 🙇‍♀️ลูกกราบเท้าขอบพระคุณ "พ่อแม่บรรพบุรุษ,ครูบาอาจารย์ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หนังสือตำราทุกๆเล่มบรรพชนผู้รักษาแผ่นดินทองแห่งนี้"🔆ได้มีโอกาสพบเส้นทางคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณอีกครั้ง ขอบคุณประเทศไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 🇹🇭🇹🇭🇹🇭❤💛🙇‍♀️
    🙇‍♀️ลูกกราบเท้าขอบพระคุณ "พ่อแม่บรรพบุรุษ,ครูบาอาจารย์ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หนังสือตำราทุกๆเล่มบรรพชนผู้รักษาแผ่นดินทองแห่งนี้"🔆ได้มีโอกาสพบเส้นทางคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณอีกครั้ง ขอบคุณประเทศไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 🇹🇭🇹🇭🇹🇭❤💛🙇‍♀️
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีจอร์เจีย แถลงการณ์ผ่านทีวีในวันนี้ โดยกล่าวหาอย่างชัดเจนว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง!!

    ประธานาธิบดีซาโลเม ซูราบิชวิลีแห่งจอร์เจียกล่าวหาว่า รัสเซียได้ดำเนินการ "ปฏิบัติการพิเศษ" ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งทำให้พรรค Georgian Dream ได้รับชัยชนะ

    “ในฐานะสถาบันอิสระแห่งสุดท้าย ฉันไม่สามารถยอมรับการเลือกตั้งเหล่านี้ได้ เพราะการเลือกตั้งจะทำให้การเข้ายึดครองจอร์เจียของรัสเซียถูกต้องตามกฎหมาย บรรพบุรุษของเราอดทนต่อความยากลำบากมากเกินกว่าที่เราจะยอมสละอนาคตในยุโรปของเรา”
    ประธานาธิบดีจอร์เจีย แถลงการณ์ผ่านทีวีในวันนี้ โดยกล่าวหาอย่างชัดเจนว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง!! ประธานาธิบดีซาโลเม ซูราบิชวิลีแห่งจอร์เจียกล่าวหาว่า รัสเซียได้ดำเนินการ "ปฏิบัติการพิเศษ" ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งทำให้พรรค Georgian Dream ได้รับชัยชนะ “ในฐานะสถาบันอิสระแห่งสุดท้าย ฉันไม่สามารถยอมรับการเลือกตั้งเหล่านี้ได้ เพราะการเลือกตั้งจะทำให้การเข้ายึดครองจอร์เจียของรัสเซียถูกต้องตามกฎหมาย บรรพบุรุษของเราอดทนต่อความยากลำบากมากเกินกว่าที่เราจะยอมสละอนาคตในยุโรปของเรา”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ

    ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ

    *

    ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้?

    *

    ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก

    *

    ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า

    *

    ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร

    *

    เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้

    เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว

    #thaitimes
    #ข้าราชการ
    #ข้อคิด
    #แนวคิด
    #บทความ
    #เตือนสติ
    #ทัวร์นรก
    สำหรับโพสต์นี้ ต้องกราบขออภัยคนในเครื่องแบบข้าราชการทุกคนที่ซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอดไว้ล่วงหน้าด้วยครับ เพราะข้าพเจ้ากำลังจะเขียนถึงเหล่าคนที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านเป็น หวังใจว่าคงไม่ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ในความเข้าใจของข้าพเจ้า ตัวการทำลายประเทศนี้แท้จริงไม่ใช่นักการเมืองที่มาแค่ชั่วคราว แล้วก็เปลี่ยนถ่ายไปสู่พรรคอื่น คนอื่นที่ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าใด แต่ควรจะเป็นข้าราชการประจำที่กระทำระยำตำบอนไว้อย่างมหาศาล แน่นอนว่าทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนชั่ว แต่มันแย่ตรงที่อาชีพข้าราชการนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดทั้งกับประชาชน และรัฐบาล รวมถึงสถาบันพระมหากษัตรย์ ดังนั้นถ้าทำดีก็จะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนสุดล้นพ้นประมาณ แต่หากทำชั่วก็จะสร้างความวิบัติหายนะได้อย่างที่คนชั่วในอาชีพอื่นมิอาจแซงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะส่วนตัว ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะใช้คำว่า อาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกในปริมาณมากสุด น่าจะไม่มีอาชีพใดเกินไปกว่าข้าราชการประจำ * ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้? * ถ้าว่ากันตามเหตุผล อาชีพอย่างนักฆ่า ไม่ว่ารับจ้างฆ่าคน หรือรับจ้างฆ่าสัตว์ น่าจะเป็นอาชีพที่มีโอกาสไปทัวร์นรกมากกว่า ด้วยเหตุว่าผิดศีลข้อ 1 ในศีล 5 ของศาสนาพุทธอย่างชัดเจน แต่ข้าพเจ้ามองอย่างนี้คือ อาชีพนักฆ่าเมื่อเทียบจำนวนกับข้าราชการประจำแล้วห่างไกลกันลิบลับ จริงหรือไม่ลองถามตัวเองดูเถิด ในประเทศนี้ คนที่อยากจะเป็นนักฆ่า คือตั้งใจว่าโตมาจะอยากฆ่าคน อยากฆ่าสัตว์ มันจะมีบ้างไหม เกือบทั้งหมดน่าจะด้วยเหตุผลและกรรมบันดาลอันไม่เต็มใจนัก แต่เรียกว่ายอมจำนนด้วยจิตใจที่อ่อนแอแพ้พ่ายต่อสิ่งเร้ามากกว่าเป็นด้วยความเต็มใจและปรารถนา ทีนี้มองไปทางอาชีพข้าราชการสิ คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีพื้นฐานความคิดค่านิยมอยากให้ลูกหลานทำอาชีพนี้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าด้วยการถูกฝังชิพมาแต่เล็ก หรือด้วยภาพจำของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นทวดไล่ขึ้นมาถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ตาม ล้วนหล่อหลอมให้คนไทยนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยังคงใฝ่ฝันที่จะอยากเข้าทำงานในวงข้าราชการเป็นส่วนมาก * ด้วยเหตุผลหลากหลาย อาทิเช่น ความสบายจนเคยชิน ความไม่อยากลำบาก ความต้องการอะไรที่แน่นอน มั่นคงในอาชีพ มีเกียรติในสังคม เพราะเป็นข้าราชการประจำ สามารถเบิกรัฐได้ยามเจ็บป่วย พ่อแม่ลูกคนในครอบครัวล้วนเบิกค่าใช้จ่ายได้ มากน้อยอีกเรื่อง มีวันหยุดเยอะ เวลาทำงานค่อนข้างแน่นอน จะขยันรึแอบขี้เกียจ ถึงสิ้นเดือนก็รับเงินเท่าเดิมที่เคยได้ แถมมีโอกาสและช่องทางมากกว่าอาชีพอื่นที่จะได้เงินในทางมิชอบ ได้เลื่อนตำแหน่งและได้เงินมากขึ้น ได้อภิสิทธิ์และการรับรองจากข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม ทั้งหมดนี้เหมือนจะเป็นอาชีพที่ดีมาก คนไทยจำนวนมากจึงพยายามเรียนและสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนคือหนึ่งในข้าราชการ ไม่ว่าจะแผนกไหน สังกัดหน่วยงาน กรม กอง กระทรวง ทบวงใด แต่เมื่อสอบได้สำเร็จสมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเบื้องต้นแล้ว จะคงเหลือข้าราชการที่เป็นตัวของตัวเอง ที่ขยันซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อประชาชน ต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สักกี่คน โดยไม่ถูกกระแสน้ำโสโครกที่เชี่ยวกรากลากดึงเอาจิตวิญญาณที่เคยตั้งใจดีไว้ ให้สูญสิ้นไปไม่เหลือเค้า * ที่เขาเรียกว่า "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" คือทั้งคดโกงต่อหน้าที่ หลอกลวงประชาชน และยังปิดบังซ่อนเร้นต่อรัฐบาล และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำตนเป็นผู้รับใช้นักการเมืองชั่ว ข่มเหงรังแกประชาชน นักการเมืองนั้น ต่อให้เลวทรามขนาดไหน ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือจากข้าราชการประจำที่ต่ำช้า โอกาสที่จะกระทำการอันบัดซบต่อชาติและประชาชน รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จผลนั้นนับว่าน้อยมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้บอกว่าอาชีพนี้มีปริมาณมากสุดที่จะมีโอกาสในการไปทัวร์นรกได้อย่างไร * เหตุเพราะอาชีพนี้เหมือนต้องสาป ถ้าทำดีก็เสมอตัว แต่ถ้าทำชั่วนี่สิ ทำให้คนทั้งประเทศต้องลำบากเดือดร้อน ทุกข์ทนแสนสาหัส ทั้งที่เงินซึ่งตนใช้ในการดำเนินชีวิตทุกอย่าง สวัสดิการที่ได้รับ บำเหน็จบำนาญ ล้วนมาจากคนทั้งประเทศ จะต้องใช้หนี้ที่ใหญ่เกินตัวไปอีกกี่ภพกี่ชาติจึงจะหลุดพ้นเป็นไทกับตนได้ เมื่อยังเด็กมีญาติหลายคนเคยแนะนำข้าพเจ้าว่าโตขึ้นให้ทำอาชีพรับราชการสิ ในใจ ณ เวลานั้น ไม่เคยอยากทำเลย ไม่ชอบแต่ตอบตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว #thaitimes #ข้าราชการ #ข้อคิด #แนวคิด #บทความ #เตือนสติ #ทัวร์นรก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 436 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇹🇭📣"แผ่นดินนี้สร้างมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของบรรพบุรุษ จะเอาชาติแลกผลประโยชน์ส่วนตัว คนไทยยอมไม่ได้หรอกคะ🤝💪🤜🤛✌❤"เลือดเราสีแดงลมหายใจเราแลกกัน🗣
    🇹🇭📣"แผ่นดินนี้สร้างมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของบรรพบุรุษ จะเอาชาติแลกผลประโยชน์ส่วนตัว คนไทยยอมไม่ได้หรอกคะ🤝💪🤜🤛✌❤"เลือดเราสีแดงลมหายใจเราแลกกัน🗣
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 61 0 รีวิว
  • 18-10-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.42 ชื่อตอนว่า "THE LAND OF NO HIA?" ไอ้สัส! โลกประกาศชัด มีโลก ไม่มีเหี้ย? ดาหน้าตายหมู่ อีมาครงปากดี จะเอาอียิวรอดหรือเผ่าพันธุ์มรึงรอดดีล่ะ? อาณานิคมจบแล้ว ยังจะเหลือเหี้ยอะไรให้แดร๊ก เจ๊งหมดทั้งภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม เบอร์ 1 ยุโรปอย่างอีเบียร์ยังทรุด จมดิ่งเหว งัดข้ออีเนรคุณทันยา ตบหน้าออกสื่อโลก "มรึงได้แผ่นดิน ตั้งรัฐยิว เพราะ UN" แถวบ้านเรียก "ทวงบุญคุณ" ไม่รีรอ อีเนรคุณทันยา ซัดกลับ กูได้เพราะไปไล่ยึดเค้ามา มติห่าอะไรก็ไม่ได้ช่วยให้กูมีแผ่นดิน หากไม่จบที่ปากกระบอกปืน ชัดพอมั้ย? ตรรกะเหี้ยชี้ชัด อยากได้ต้องใช้กำลังเท่านั้น! รัสเซีย จีน นอนกระดิกตรีนดูเหี้ยกัดกัน แม้แต่อีลูกเลิฟ สิงโตง่อย ยังหักหลังนายใหญ่ได้ หมดตูด ไม่เติม ไม่ส่ง กูจะสิ้นชาติอยู่แล้ว ช่วยตัวเองล่ะกัน นายจ๋า? โลกของเหี้ย ยามตกอับ หมาไม่แล ยามครองโลก ชะเลียเช้าเย็น นี่แหละ "โลกของทุนนิยมเหี้ยสามานย์" อย่าหวังความจริงใจในหมู่โจร! อ้าว..ไม่ช่วยอียิว พวกมรึงก็จะตายห่าด้วยน่ะ ใครบอกล่ะ? หลังม่านเหล็ก อีเศษฝรั่ง อีเบียร์ เตรียมย้ายขั้วแล้วจ๊ะ ที่มาว่าเลขา UN เตรียมไปประชุมกับ BRICS ตีโจทย์ให้แตก ใครเอาใครอยู่? สำหรับไอ้พวกเหี้ย ที่ใดคือแหล่งพลังงาน แหล่งทรัพยากร เจ้ามือโลกใหม่มา ใครไม่เกาะก็ไม่ใช่เหี้ย? คิดว่าจีน รัสเซีย จะปล่อยให้มรึงมาง่ายๆ เหรอ? ดอกนี้ มรึงต้องชดใช้กรรม เอาให้หมดสภาพ สั่งสอนที่คิด "วัดรอยตรีน" ประวัติศาสตร์มันฟ้อง รัสเซียถูก อีเบียร์ อีเศษฝรั่ง ลอบกัดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว งวดนี้ หากกูไม่ขยี้มรึงก่อน "กูไม่ใช่ปูติน" เอาเลือดเหี้ยมาล้างตรีนกู เป็นพิธีกรรม สะกดวิญญานเหี้ยให้อยู่ใต้ตรีนขั้วใหม่ไปตลอดกาล T WHO T IT? ด้านเหี้ยมะกัน คุย แอบย่องส่ง B2 ไปถล่มคลังแสงใต้ดินเยเมน จริงดิ? "มหกรรมตอแหลรายวัน" เรือรบมรึงกลายเป็นปะการังในมหาสมุทรเกลี้ยง จะล่อลูกยาว เอาบินทิ้งระเบิดมา คิดว่าเยเมน เค้าไม่เตรียมการรอเชือดไว้ก่อนเหรอไง? ทางน้ำเข้าไม่ถึง ทางบกไม่มีสิทธิ์ ก็เหลือแค่ทางอากาศ B2 มันรุ่นไหนแล้ว เอารุ่นปู่มาขู่ แล้วระเบิดมรึงเนี่ย คุยซะมากกว่าผลลัพธ์ซะอีก เยเมนซัดกลับ "สะกิดอะไรรึจ๊ะ" ทำได้แค่นี้เองเหยอ? เดี๋ยวตากูล่อกลับ อย่าร้องขอชีวิต เสพสื่อเหี้ย ให้ตีตรงกันข้ามให้หมด แล้วมรึงจะได้ความจริง! เรื่องง่ายๆ ที่ควายคิดไม่ทัน? เยเมน มีของดี ของหนักอยู่ครบ อย่าไปห่วง เลบานอน มีกองหนุนทั้งโลกอาหรับ มุสลิม แห่กันเข้ามาในพื้นที่หมดแล้ว อียิวมีปัญญาเหรอ? ดูโลกความเป็นจริง อย่ามโนกันเยอะ? ข้ามวิกแป๊บ : อีแดง อีส้มเน่า กำลังจะเผาตัวเอง มาตามนัด ดันนิรโทษกรรม มอ 112 สุดซอย เพราะไม่เหลือเหี้ยอะไรอีกแล้ว จะตามมาด้วยคำสั่ง "ยุบพรรค" และตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ชี้ชัดขัดรัฐธรรมนูญโดยตรง! แสดงตัวเป็นปฎิปักษ์ระบบการปกครอง ดอกนี้ ถึงขั้น "ประหารชีวิต" ทำไมเหี้ยมันจะไม่รู้? แต่เพราะพ่อยิวมันกำลังจะตาย ท่อน้ำเลี้ยงตัน เศษกระดาษขายไม่ออก ไม่ยึดไทย ก็คือจบ เข้าทางตรีนวังเต็มเหนี่ยว ได้เวลา "ราชาธิปไตยก้าวหน้า" แล้วสิน่ะ เพราะปชต.ตอแหล กำลังจะตายคาตรีนคนไทย ไทยโมเดลหอมหวล โลกรอดู จะฆ่าปชต.ตายห่ายังไงจ๊ะ? หลายชาติ แม้แต่ในยุโรป ที่เคยมีระบบกษัตริย์ ตอนนี้ แห่กันเรียกร้อง นำระบบราชาธิปไตยกลับมาอย่างถล่มทลาย เพราะรู้เช่นเห็นชาติแล้วว่า "ปชต.ตอแหล" มัน MADE IN JEW ZIONIST นี่หว่า? ควายโลกตื่นกันหมดแล้ว! เชิญแดร๊กปชต.ให้อิ่มท้องน่ะจ๊ะ เพราะพรุ่งนี้ มรึงจะไม่มีอะไรให้แดร๊กอีกต่อไป เหี้ยกับควาย คือของคู่กัน! ข้ามมาดูเกมส์โลก ลีลาปูติน ไม่ธรรมดา "อย่าน่ะ" อย่าเข้าร่วมยูเครนน่ะ NATO จะมาจริงดิ? กูกลัวจุงเบย อย่าน่ะ เดี๋ยวไม่พอตาย เพราะกูเตรียมระเบิดเกินจำนวนเหี้ยอย่างมรึงไว้เยอะเกิน คิดว่าจะมาเยอะ ที่ไหนได้ ตายห่าเกลี้ยงไปซะก่อน ฆ่าเหี้ยมันสบายตรีน กูต้องแสดงท่าทางท่าทีด้วยมุย? "กลัวแล้วจ๊ะ" อย่ามาน่ะ อย่าช้า ไอ้สัส! หลายคนสงสัย เมื่อไหร่จะล่ออีโปล ฟังสิจ๊ะ? เมื่อรัสเซียตั้งรัฐใหม่เรียบร้อย ยึดหัวหาดเบ็ดเสร็จ ครอบครองยุทธศาสตร์หลักหมดเกลี้ยง อีโปลแค่ประตูทางผ่าน เพราะไม่สามารถสกัดเหี้ยอะไรได้อีกแล้ว เป้าหมายคือลอนดอน อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง นั่นคือขนมหวาน ที่ต้องทำก่อนตอนนี้ คือยึดพื้นที่หลักให้เกลี้ยงในยูเครน ทันที ที่กองทัพรัสเซีย เข้าไปตั้งฐานทัพใหม่สวมแทนฐานทัพเก่า นั่นแหละ "ไคร์เมียร์" ถึงจะเป็นรัสเซียโดยสมบูรณ์ เพราะจะไม่มีใครเข้าใกล้ไคร์เมียร์ได้อีกต่อไป เพราะรอบข้างถูกกวาดล้างหมดแล้ว สรุปคือ "สร้างความมั่นคงให้ไคร์เมียร์จบ เดินหน้าต่อด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ" ยังไง พวกมรึงไม่รอดส้นตรีนกูแน่ รอก่อน ไม่นานเกินรอ? อีโปลก็รู้ อีผีดิบยิ่งรู้ อีสมันน้อยยิ่งรู้ดีกว่าใคร มันถึงได้พยายามจะย้ายขั้วทันที ที่สบโอกาส แต่เหี้ยยังไม่เปิดโอกาสในตอนนี้ พูดง่ายๆ ภาคยุโรป "รัสเซียครองยุโรปเบ็ดเสร็จไปแล้วในเชิงพฤตินัย" ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านและโลกอาหรับ มุสลิม ล้อมและขยี้เหี้ยยิวอย่างเมามันส์ มรึงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจะเปิด "สงครามนุ๊ก" ซึ่งเยรูซาเล็ม จะหายไปจากแผนที่โลกทันที ก่อเกิด รัฐปาเลสไตน์ใหม่แทนที่ นี่คือบทสรุป ที่โลกขีดเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เกจิดัง กุนซือ ระดับหัวกระทิโลก เค้ามองออก มองทะลุ อ่านขาดนานแล้ว ว่าเกมส์นี้ มันจะจบยังไง ข้ามเรื่องแป๊บ : กูเคยบอกแล้วชิมิ? กลียุค อะไรที่มรึงเคยเชื่อ อะไรที่มรึงเคยเห็น เคยเทิดทูล เคยคิดว่าดี เคยคิดว่าใช่ แสงทำงาน คือเปิดเผยความจริงทั้งหมด รู้เช่นเห็นชาติเกลี้ยง พระดี พระชั่ว พระตัณหากลับ พระปลอม โจรในคราบผ้าเหลือง มรึงจะได้เห็นหมดเปลือก "ตัณหา ราคะ กิเลส" ก็ไม่ยกเว้นพระ ไม่สำคัญว่ามรึงถือศีล จะอยู่ในเครื่องแบบไหน ความดี คิดดี มันอยู่ที่จิตใจมรึง เพราะมีสติ เพราะมีปัญญา ถึงได้ยับยั้งชั่งใจได้ หาไม่แล้ว คนก็ไม่ต่างอะไรกับสัดเดรัจฉาน ยิ่งเป็นพระ ยิ่งต้องระวังมากกว่า 100 เท่า สิ่งยั่วยวนมันเยอะ พระตบะแตกมากมาย ก็เพราะสีกาเล่นท่ายาก เสพอะไร ก็ได้อย่างนั้น กูถึงบอกไงล่ะว่า "I LOVE กลียุค" เพราะจะได้เห็นอะไรที่มรึงคาดไม่ถึงอีกเยอะ เหมือนที่ผ่านมา คนมีสติ จะแยกแยะออก เพราะมันเป็นเช่นนี้ นี่เอง? มีปม มีเหตุ จึงมีผลลัพธ์ตามมา เรื่องราวบนโลก แค่ใช้สติ ไม่มีอะไรที่มรึงแก้ไม่ได้ แค่ตรงใจมรึง หรือไม่ เท่านั้นเอง? พระดีดี พระที่มุ่งหาทางสว่าง จะไม่แตะ ไม่ต้อง สิ่งโสมมโดยไม่จำเป็น ที่ใช้คำว่าโดยไม่จำเป็น เพราะในบางสถานการณ์ หลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดจะช่วย คิดจะทำทาน คิดจะแผ่บุญกุศล บางครั้งจำเป็นจะต้องผ่านเครื่องมือ อุปกรณ์ ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงคนหมู่มาก เพื่ออานิสงค์แห่งธรรมไปทั่วถึง ดังนั้น พระจึงต้องมีสติมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่า ไม่ถูกดูดเข้าไปในโลกโลกีย์ แต่เท่าที่กูเห็นพระตาม TV บอกตรง "มันใช่กิจของพระเหรอ?" เทศน์ก็เรื่อง ก่อนเทศน์ ทำให้ได้ก่อนน่ะ ศาสนาไม่ได้ผิด ผิดที่ปัจเจกบุคคล องค์คณะ ดีชั่ว ต่างรู้เห็นแจ้งกันเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก?

    ปล.หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมช่วงหลัง เพ่หมี ต้องสอดไส้คาราเมล แฝง FACT ธรรม สติ ปัญญา เหมือนจะเทศก์ให้ฟัง หาได้ไม่? กูไม่ใช่พระ และกูก็คือหมีหื่น มีกิเลส ตัณหา เหมือนพวกมรึงหมดทุกคน หากแต่ว่า กูแค่ชี้ให้มรึงเห็นเต็ม 2 ตา ที่มาของทุกข์ ที่มาขอความสุขแท้จริง มันอยู่ที่มรึงเลือกทั้งนั้น ไม่มีใครไปบังคับใจมรึงได้ ใจเป็นของมรึง สติเป็นของมรึง เรื่องราวบนโลก สงคราม การเมือง แผ่นดิน คนดี คนชั่ว ล้วนถูกตัดสินจากการกระทำทั้งสิ้น ดังนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือสัจธรรม คือธรรมชาติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ มรึงฆ่าเค้า พรุ่งนี้ เค้าก็ฆ่ามรึง ไม่รู้จบ เมื่อเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาทั้งโลก มรึงก็จะเข้าใจชีวิต และตัวมรึงเอง ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป? ข่าวสาร กูซัดไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ข้อมูล วิเคราะห์ ไม่มีกั๊ก มี 100 ให้ไป 100 แต่สิ่งที่กูอยากจะให้ไม่แพ้ข้อมูลคือ "สติ" คนตามหมีมา 10 ปีกว่า ย่อมมีสติทุกคน ไม่งั้น มรึงคงได้กลายเป็นคนบ้าไปนานแล้ว เพราะเรื่องที่กูพูดมีหลายเรื่อง และแต่ละเรื่อง "มันยิ่งกว่า THE METRIX" หากไร้สติ มรึงจะไม่ GET ในสิ่งที่กูสื่อ เท่ากับกูได้คัดสรร เลือกผู้ที่คู่ควรจะได้อยู่บนโลกต่อนั่นเอง ส่วนกูจะไปดาวกุ๊กกูร่านสวาท ไปตามหาเพื่อน E.T ยามออกจากร่างเน่าเปื่อยนี้แล้ว ปิดท้ายด้วยเรื่อง "ผู้นำฮามาส" ตายอีกล่ะ กูถามคำเดียว มรึงรู้มั้ยว่า ฮามาส คือใคร? เกิดจากใคร? เป้าหมายเดียวคือ "ยึดแผ่นดินคานาอันคืนจากยิว" และไล่ฆ่าไอ้อียิวทุกตัวที่เข้ามาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกคนคือผู้นำฮามาสได้หมด เพราะสู้กันมานานกว่า 30 ปี ดังนั้น ยามศึก ผู้นำฮามาส คือนักรบนั่นเอง หน้าฉากคือผู้นำ หลังฉากคือผู้เสียสละ เพราะไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงว่าผู้นำฮามาส ที่สั่งการทั้งหมดคือใคร? เข้าใจยัง? ต่อให้ตั้งผู้นำฮามาส 100 คน ตายห่าพร้อมกัน ฮามาสก็ยังดำเนินแผนการรบต่อได้ปกติ เพราะสมองกล ผู้สั่งการทั้งหมด ไม่ได้ออกหน้า ที่พูดเรื่องนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ทั้งอิหร่าน ฮามาส เฮซบอเลาะห์ ฮูตี ใช้สูตรเดียวกันหมด ที่มาว่าทำไม รัสเซีย อเมริกา ถึงได้แพ้สงครามอัฟกานิสถาน เพราะหัวหน้าตัวจริงไม่เคยปรากฎตัวไงล่ะ เข้าใจวิถีนักรบอาหรับ เปอร์เซีย แล้วรึยัง? ไม่งั้น มรึงจะถามกูทุกวัน หัวหน้าฮามาสตาย หัวหน้าเฮซบอเลาะห์ตาย หัวหน้าฮูตีตาย? กูถามกลับคำเดียว "มรึงรู้เหรอ ใครคือหัวหน้าตัวจริง เสียงจริง?" เพราะในโลกลึกลับ ซับซ้อน มันมีอะไรที่มรึงยังไม่รู้อีกเยอะ สื่อรายงาน เพราะมาจากปากคน แล้วใครสามารถยืนยันจากปากใครได้ล่ะ? เค้าถึงเรียกว่า "ปั่น" ไงล่ะ หลอกกันไป หลอกกันมา สุดท้าย "ละครปาหี่ลวงโลกทั้งนั้น" สรุปให้ฟังคือ "โลกเปลี่ยนไปแล้ว จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว" รัสเซีย จีน จะได้นำโลกโดยสมบูรณ์ พันธมิตรขั้วใหม่จะรวยเละเทะ แบบไม่ต้องปรึกษาใคร? BRICS จะนำสันติสุขแท้จริงให้โลก เลิกฆ่าฟัน เลิกคว่ำบาตร แบ่งปัน กระจายสินค้าทั่วโลก ไม่มีกีดกันอีกต่อไป พลังงานเข้าถึงหมดทุกที่บนโลก ส่วน "ปชต.ตอแหล" จะกลายเป็นสิ่งอัปยศแก่คนรุ่นหลัง ยุคกษัตริย์จะเฟื่องฟู อยู่ให้ถึงวันนั้นน่ะ..ตะเอง ไทยคือ TOP10 โลก แม้แต่ยุโรปยังต้องกราบตรีน

    หมี CNN(เอาให้สุด ทะลุตับไตไส้พุง ไม่รู้ ต้องรู้ ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ สติมา ปัญญาเกิด คิดดีกว่าพูด พูดดีกว่าหลับ ชั่วดี ก็แค่ช่วงเวลา ผ่านมา และก็ผ่านไป อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริง เชื่อมั่นในบรรพบุรุษ เพราะเค้าผ่านอะไรมาเยอะมากกว่าเรา รักษาตนให้ดี ดูแลลูกหลานให้มั่น คือทำหน้าที่)
    18 ตุลาคม 67
    10.43 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172931801766776937
    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    18-10-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.42 ชื่อตอนว่า "THE LAND OF NO HIA?" ไอ้สัส! โลกประกาศชัด มีโลก ไม่มีเหี้ย? ดาหน้าตายหมู่ อีมาครงปากดี จะเอาอียิวรอดหรือเผ่าพันธุ์มรึงรอดดีล่ะ? อาณานิคมจบแล้ว ยังจะเหลือเหี้ยอะไรให้แดร๊ก เจ๊งหมดทั้งภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม เบอร์ 1 ยุโรปอย่างอีเบียร์ยังทรุด จมดิ่งเหว งัดข้ออีเนรคุณทันยา ตบหน้าออกสื่อโลก "มรึงได้แผ่นดิน ตั้งรัฐยิว เพราะ UN" แถวบ้านเรียก "ทวงบุญคุณ" ไม่รีรอ อีเนรคุณทันยา ซัดกลับ กูได้เพราะไปไล่ยึดเค้ามา มติห่าอะไรก็ไม่ได้ช่วยให้กูมีแผ่นดิน หากไม่จบที่ปากกระบอกปืน ชัดพอมั้ย? ตรรกะเหี้ยชี้ชัด อยากได้ต้องใช้กำลังเท่านั้น! รัสเซีย จีน นอนกระดิกตรีนดูเหี้ยกัดกัน แม้แต่อีลูกเลิฟ สิงโตง่อย ยังหักหลังนายใหญ่ได้ หมดตูด ไม่เติม ไม่ส่ง กูจะสิ้นชาติอยู่แล้ว ช่วยตัวเองล่ะกัน นายจ๋า? โลกของเหี้ย ยามตกอับ หมาไม่แล ยามครองโลก ชะเลียเช้าเย็น นี่แหละ "โลกของทุนนิยมเหี้ยสามานย์" อย่าหวังความจริงใจในหมู่โจร! อ้าว..ไม่ช่วยอียิว พวกมรึงก็จะตายห่าด้วยน่ะ ใครบอกล่ะ? หลังม่านเหล็ก อีเศษฝรั่ง อีเบียร์ เตรียมย้ายขั้วแล้วจ๊ะ ที่มาว่าเลขา UN เตรียมไปประชุมกับ BRICS ตีโจทย์ให้แตก ใครเอาใครอยู่? สำหรับไอ้พวกเหี้ย ที่ใดคือแหล่งพลังงาน แหล่งทรัพยากร เจ้ามือโลกใหม่มา ใครไม่เกาะก็ไม่ใช่เหี้ย? คิดว่าจีน รัสเซีย จะปล่อยให้มรึงมาง่ายๆ เหรอ? ดอกนี้ มรึงต้องชดใช้กรรม เอาให้หมดสภาพ สั่งสอนที่คิด "วัดรอยตรีน" ประวัติศาสตร์มันฟ้อง รัสเซียถูก อีเบียร์ อีเศษฝรั่ง ลอบกัดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว งวดนี้ หากกูไม่ขยี้มรึงก่อน "กูไม่ใช่ปูติน" เอาเลือดเหี้ยมาล้างตรีนกู เป็นพิธีกรรม สะกดวิญญานเหี้ยให้อยู่ใต้ตรีนขั้วใหม่ไปตลอดกาล T WHO T IT? ด้านเหี้ยมะกัน คุย แอบย่องส่ง B2 ไปถล่มคลังแสงใต้ดินเยเมน จริงดิ? "มหกรรมตอแหลรายวัน" เรือรบมรึงกลายเป็นปะการังในมหาสมุทรเกลี้ยง จะล่อลูกยาว เอาบินทิ้งระเบิดมา คิดว่าเยเมน เค้าไม่เตรียมการรอเชือดไว้ก่อนเหรอไง? ทางน้ำเข้าไม่ถึง ทางบกไม่มีสิทธิ์ ก็เหลือแค่ทางอากาศ B2 มันรุ่นไหนแล้ว เอารุ่นปู่มาขู่ แล้วระเบิดมรึงเนี่ย คุยซะมากกว่าผลลัพธ์ซะอีก เยเมนซัดกลับ "สะกิดอะไรรึจ๊ะ" ทำได้แค่นี้เองเหยอ? เดี๋ยวตากูล่อกลับ อย่าร้องขอชีวิต เสพสื่อเหี้ย ให้ตีตรงกันข้ามให้หมด แล้วมรึงจะได้ความจริง! เรื่องง่ายๆ ที่ควายคิดไม่ทัน? เยเมน มีของดี ของหนักอยู่ครบ อย่าไปห่วง เลบานอน มีกองหนุนทั้งโลกอาหรับ มุสลิม แห่กันเข้ามาในพื้นที่หมดแล้ว อียิวมีปัญญาเหรอ? ดูโลกความเป็นจริง อย่ามโนกันเยอะ? ข้ามวิกแป๊บ : อีแดง อีส้มเน่า กำลังจะเผาตัวเอง มาตามนัด ดันนิรโทษกรรม มอ 112 สุดซอย เพราะไม่เหลือเหี้ยอะไรอีกแล้ว จะตามมาด้วยคำสั่ง "ยุบพรรค" และตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ชี้ชัดขัดรัฐธรรมนูญโดยตรง! แสดงตัวเป็นปฎิปักษ์ระบบการปกครอง ดอกนี้ ถึงขั้น "ประหารชีวิต" ทำไมเหี้ยมันจะไม่รู้? แต่เพราะพ่อยิวมันกำลังจะตาย ท่อน้ำเลี้ยงตัน เศษกระดาษขายไม่ออก ไม่ยึดไทย ก็คือจบ เข้าทางตรีนวังเต็มเหนี่ยว ได้เวลา "ราชาธิปไตยก้าวหน้า" แล้วสิน่ะ เพราะปชต.ตอแหล กำลังจะตายคาตรีนคนไทย ไทยโมเดลหอมหวล โลกรอดู จะฆ่าปชต.ตายห่ายังไงจ๊ะ? หลายชาติ แม้แต่ในยุโรป ที่เคยมีระบบกษัตริย์ ตอนนี้ แห่กันเรียกร้อง นำระบบราชาธิปไตยกลับมาอย่างถล่มทลาย เพราะรู้เช่นเห็นชาติแล้วว่า "ปชต.ตอแหล" มัน MADE IN JEW ZIONIST นี่หว่า? ควายโลกตื่นกันหมดแล้ว! เชิญแดร๊กปชต.ให้อิ่มท้องน่ะจ๊ะ เพราะพรุ่งนี้ มรึงจะไม่มีอะไรให้แดร๊กอีกต่อไป เหี้ยกับควาย คือของคู่กัน! ข้ามมาดูเกมส์โลก ลีลาปูติน ไม่ธรรมดา "อย่าน่ะ" อย่าเข้าร่วมยูเครนน่ะ NATO จะมาจริงดิ? กูกลัวจุงเบย อย่าน่ะ เดี๋ยวไม่พอตาย เพราะกูเตรียมระเบิดเกินจำนวนเหี้ยอย่างมรึงไว้เยอะเกิน คิดว่าจะมาเยอะ ที่ไหนได้ ตายห่าเกลี้ยงไปซะก่อน ฆ่าเหี้ยมันสบายตรีน กูต้องแสดงท่าทางท่าทีด้วยมุย? "กลัวแล้วจ๊ะ" อย่ามาน่ะ อย่าช้า ไอ้สัส! หลายคนสงสัย เมื่อไหร่จะล่ออีโปล ฟังสิจ๊ะ? เมื่อรัสเซียตั้งรัฐใหม่เรียบร้อย ยึดหัวหาดเบ็ดเสร็จ ครอบครองยุทธศาสตร์หลักหมดเกลี้ยง อีโปลแค่ประตูทางผ่าน เพราะไม่สามารถสกัดเหี้ยอะไรได้อีกแล้ว เป้าหมายคือลอนดอน อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง นั่นคือขนมหวาน ที่ต้องทำก่อนตอนนี้ คือยึดพื้นที่หลักให้เกลี้ยงในยูเครน ทันที ที่กองทัพรัสเซีย เข้าไปตั้งฐานทัพใหม่สวมแทนฐานทัพเก่า นั่นแหละ "ไคร์เมียร์" ถึงจะเป็นรัสเซียโดยสมบูรณ์ เพราะจะไม่มีใครเข้าใกล้ไคร์เมียร์ได้อีกต่อไป เพราะรอบข้างถูกกวาดล้างหมดแล้ว สรุปคือ "สร้างความมั่นคงให้ไคร์เมียร์จบ เดินหน้าต่อด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ" ยังไง พวกมรึงไม่รอดส้นตรีนกูแน่ รอก่อน ไม่นานเกินรอ? อีโปลก็รู้ อีผีดิบยิ่งรู้ อีสมันน้อยยิ่งรู้ดีกว่าใคร มันถึงได้พยายามจะย้ายขั้วทันที ที่สบโอกาส แต่เหี้ยยังไม่เปิดโอกาสในตอนนี้ พูดง่ายๆ ภาคยุโรป "รัสเซียครองยุโรปเบ็ดเสร็จไปแล้วในเชิงพฤตินัย" ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านและโลกอาหรับ มุสลิม ล้อมและขยี้เหี้ยยิวอย่างเมามันส์ มรึงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจะเปิด "สงครามนุ๊ก" ซึ่งเยรูซาเล็ม จะหายไปจากแผนที่โลกทันที ก่อเกิด รัฐปาเลสไตน์ใหม่แทนที่ นี่คือบทสรุป ที่โลกขีดเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เกจิดัง กุนซือ ระดับหัวกระทิโลก เค้ามองออก มองทะลุ อ่านขาดนานแล้ว ว่าเกมส์นี้ มันจะจบยังไง ข้ามเรื่องแป๊บ : กูเคยบอกแล้วชิมิ? กลียุค อะไรที่มรึงเคยเชื่อ อะไรที่มรึงเคยเห็น เคยเทิดทูล เคยคิดว่าดี เคยคิดว่าใช่ แสงทำงาน คือเปิดเผยความจริงทั้งหมด รู้เช่นเห็นชาติเกลี้ยง พระดี พระชั่ว พระตัณหากลับ พระปลอม โจรในคราบผ้าเหลือง มรึงจะได้เห็นหมดเปลือก "ตัณหา ราคะ กิเลส" ก็ไม่ยกเว้นพระ ไม่สำคัญว่ามรึงถือศีล จะอยู่ในเครื่องแบบไหน ความดี คิดดี มันอยู่ที่จิตใจมรึง เพราะมีสติ เพราะมีปัญญา ถึงได้ยับยั้งชั่งใจได้ หาไม่แล้ว คนก็ไม่ต่างอะไรกับสัดเดรัจฉาน ยิ่งเป็นพระ ยิ่งต้องระวังมากกว่า 100 เท่า สิ่งยั่วยวนมันเยอะ พระตบะแตกมากมาย ก็เพราะสีกาเล่นท่ายาก เสพอะไร ก็ได้อย่างนั้น กูถึงบอกไงล่ะว่า "I LOVE กลียุค" เพราะจะได้เห็นอะไรที่มรึงคาดไม่ถึงอีกเยอะ เหมือนที่ผ่านมา คนมีสติ จะแยกแยะออก เพราะมันเป็นเช่นนี้ นี่เอง? มีปม มีเหตุ จึงมีผลลัพธ์ตามมา เรื่องราวบนโลก แค่ใช้สติ ไม่มีอะไรที่มรึงแก้ไม่ได้ แค่ตรงใจมรึง หรือไม่ เท่านั้นเอง? พระดีดี พระที่มุ่งหาทางสว่าง จะไม่แตะ ไม่ต้อง สิ่งโสมมโดยไม่จำเป็น ที่ใช้คำว่าโดยไม่จำเป็น เพราะในบางสถานการณ์ หลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดจะช่วย คิดจะทำทาน คิดจะแผ่บุญกุศล บางครั้งจำเป็นจะต้องผ่านเครื่องมือ อุปกรณ์ ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงคนหมู่มาก เพื่ออานิสงค์แห่งธรรมไปทั่วถึง ดังนั้น พระจึงต้องมีสติมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่า ไม่ถูกดูดเข้าไปในโลกโลกีย์ แต่เท่าที่กูเห็นพระตาม TV บอกตรง "มันใช่กิจของพระเหรอ?" เทศน์ก็เรื่อง ก่อนเทศน์ ทำให้ได้ก่อนน่ะ ศาสนาไม่ได้ผิด ผิดที่ปัจเจกบุคคล องค์คณะ ดีชั่ว ต่างรู้เห็นแจ้งกันเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก? ปล.หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมช่วงหลัง เพ่หมี ต้องสอดไส้คาราเมล แฝง FACT ธรรม สติ ปัญญา เหมือนจะเทศก์ให้ฟัง หาได้ไม่? กูไม่ใช่พระ และกูก็คือหมีหื่น มีกิเลส ตัณหา เหมือนพวกมรึงหมดทุกคน หากแต่ว่า กูแค่ชี้ให้มรึงเห็นเต็ม 2 ตา ที่มาของทุกข์ ที่มาขอความสุขแท้จริง มันอยู่ที่มรึงเลือกทั้งนั้น ไม่มีใครไปบังคับใจมรึงได้ ใจเป็นของมรึง สติเป็นของมรึง เรื่องราวบนโลก สงคราม การเมือง แผ่นดิน คนดี คนชั่ว ล้วนถูกตัดสินจากการกระทำทั้งสิ้น ดังนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือสัจธรรม คือธรรมชาติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้ มรึงฆ่าเค้า พรุ่งนี้ เค้าก็ฆ่ามรึง ไม่รู้จบ เมื่อเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาทั้งโลก มรึงก็จะเข้าใจชีวิต และตัวมรึงเอง ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป? ข่าวสาร กูซัดไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ข้อมูล วิเคราะห์ ไม่มีกั๊ก มี 100 ให้ไป 100 แต่สิ่งที่กูอยากจะให้ไม่แพ้ข้อมูลคือ "สติ" คนตามหมีมา 10 ปีกว่า ย่อมมีสติทุกคน ไม่งั้น มรึงคงได้กลายเป็นคนบ้าไปนานแล้ว เพราะเรื่องที่กูพูดมีหลายเรื่อง และแต่ละเรื่อง "มันยิ่งกว่า THE METRIX" หากไร้สติ มรึงจะไม่ GET ในสิ่งที่กูสื่อ เท่ากับกูได้คัดสรร เลือกผู้ที่คู่ควรจะได้อยู่บนโลกต่อนั่นเอง ส่วนกูจะไปดาวกุ๊กกูร่านสวาท ไปตามหาเพื่อน E.T ยามออกจากร่างเน่าเปื่อยนี้แล้ว ปิดท้ายด้วยเรื่อง "ผู้นำฮามาส" ตายอีกล่ะ กูถามคำเดียว มรึงรู้มั้ยว่า ฮามาส คือใคร? เกิดจากใคร? เป้าหมายเดียวคือ "ยึดแผ่นดินคานาอันคืนจากยิว" และไล่ฆ่าไอ้อียิวทุกตัวที่เข้ามาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกคนคือผู้นำฮามาสได้หมด เพราะสู้กันมานานกว่า 30 ปี ดังนั้น ยามศึก ผู้นำฮามาส คือนักรบนั่นเอง หน้าฉากคือผู้นำ หลังฉากคือผู้เสียสละ เพราะไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงว่าผู้นำฮามาส ที่สั่งการทั้งหมดคือใคร? เข้าใจยัง? ต่อให้ตั้งผู้นำฮามาส 100 คน ตายห่าพร้อมกัน ฮามาสก็ยังดำเนินแผนการรบต่อได้ปกติ เพราะสมองกล ผู้สั่งการทั้งหมด ไม่ได้ออกหน้า ที่พูดเรื่องนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ทั้งอิหร่าน ฮามาส เฮซบอเลาะห์ ฮูตี ใช้สูตรเดียวกันหมด ที่มาว่าทำไม รัสเซีย อเมริกา ถึงได้แพ้สงครามอัฟกานิสถาน เพราะหัวหน้าตัวจริงไม่เคยปรากฎตัวไงล่ะ เข้าใจวิถีนักรบอาหรับ เปอร์เซีย แล้วรึยัง? ไม่งั้น มรึงจะถามกูทุกวัน หัวหน้าฮามาสตาย หัวหน้าเฮซบอเลาะห์ตาย หัวหน้าฮูตีตาย? กูถามกลับคำเดียว "มรึงรู้เหรอ ใครคือหัวหน้าตัวจริง เสียงจริง?" เพราะในโลกลึกลับ ซับซ้อน มันมีอะไรที่มรึงยังไม่รู้อีกเยอะ สื่อรายงาน เพราะมาจากปากคน แล้วใครสามารถยืนยันจากปากใครได้ล่ะ? เค้าถึงเรียกว่า "ปั่น" ไงล่ะ หลอกกันไป หลอกกันมา สุดท้าย "ละครปาหี่ลวงโลกทั้งนั้น" สรุปให้ฟังคือ "โลกเปลี่ยนไปแล้ว จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว" รัสเซีย จีน จะได้นำโลกโดยสมบูรณ์ พันธมิตรขั้วใหม่จะรวยเละเทะ แบบไม่ต้องปรึกษาใคร? BRICS จะนำสันติสุขแท้จริงให้โลก เลิกฆ่าฟัน เลิกคว่ำบาตร แบ่งปัน กระจายสินค้าทั่วโลก ไม่มีกีดกันอีกต่อไป พลังงานเข้าถึงหมดทุกที่บนโลก ส่วน "ปชต.ตอแหล" จะกลายเป็นสิ่งอัปยศแก่คนรุ่นหลัง ยุคกษัตริย์จะเฟื่องฟู อยู่ให้ถึงวันนั้นน่ะ..ตะเอง ไทยคือ TOP10 โลก แม้แต่ยุโรปยังต้องกราบตรีน หมี CNN(เอาให้สุด ทะลุตับไตไส้พุง ไม่รู้ ต้องรู้ ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ สติมา ปัญญาเกิด คิดดีกว่าพูด พูดดีกว่าหลับ ชั่วดี ก็แค่ช่วงเวลา ผ่านมา และก็ผ่านไป อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริง เชื่อมั่นในบรรพบุรุษ เพราะเค้าผ่านอะไรมาเยอะมากกว่าเรา รักษาตนให้ดี ดูแลลูกหลานให้มั่น คือทำหน้าที่) 18 ตุลาคม 67 10.43 น. https://linevoom.line.me/post/1172931801766776937 ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีทั้งหมด 9 ข้อ
    หลายคนเคยสงสัยตัวเองมั้ย ว่าทำไมดูดวงกับหมอดู แล้วไม่ตรง ทั้งๆที่คนอื่นบอกว่าหมอคนนี้แม่นมาก เพราะอะไรลองมาดูกันค่ะ (จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ) สรุปได้ 9 ข้อ

    1.ดวงไม่สมพงษ์กับหมอดู หรือเราอาจจะไม่มีบุญสัมพันธ์ได้ดูกับหมอดูคนนั้น ดวงอาจจะขัดกัน

    2. มีเจ้ากรรมนายเวรที่ปิดกั้นดวงชะตา ไม่ยอมให้หมอดูแนะนำวิธีแก้ไข หรือเจ้ากรรมนายเวรไม่อยากได้บุญจากเรา ไม่อยากให้เราทำบุญสวดมนต์ไปให้ อยากจองเวร อยากทำให้ชีวิตเราแย่ต่อไป เพราะมีบางคนมาดูดวงแล้ว หมอดูก็จะบอกว่าติดขัดตรงไหน ส่วนใหญ่ก็จะให้ทำบุญสวดมนต์ ...บางคนถามว่าลงทุนแล้วดีไหม? ได้คำทำนายว่า ดีมาก ลงทุนเลย แต่ปรากฏว่าลงทุนแล้วเจ๊ง อาจจะเป็นเพราะดวงเขาต้องเป็นแบบนั้น หมอดูไม่ได้พูดมั่วนะคะ แต่เขาอาจจะเห็นว่าดวงเราเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนเขาโดนปิดกั้น ไม่ให้บอกคำทำนายที่แท้จริง หรือบางคนนัดกับหมอดูไว้ แล้วต้องมีเหตุการณ์ไม่ได้ดูกะทันหัน ติดธุระ มีเรื่องมีราว ทำให้ต้องเลื่อนนัด จะดูก็ไม่ได้ดูสักที หรือบางคนอาจจะไม่ได้ดูเลยก็ได้

    3. บุคคลที่มาดูดวงคนนั้น อาจจะมีเครื่องรางปิดกั้น ดวง มีการทำพิธีอะไรบางอย่าง เช่น ลงนะ สักยันต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเขาไว้ โดยเฉพาะคนที่ เอาดวงของคนอื่นมาดู หรือถามถึงคนอื่นโดยที่ตัวเขาไม่รู้ ไม่ได้ทำการอนุญาต การทำนายดวงอาจจะมีการคลาดเคลื่อน หรืออาจจะเจาะดวงเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าถ้าหมอดูคนนั้นอาจจะมีความสามารถจริงๆ เช่น มีการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ มีศีลภาวนา มีสัมผัสพิเศษ มีบุญบารมีที่สามารถล่วงรู้ได้มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ก็อาจจะรู้คำตอบ *ดังนั้นเวลาดูดวงทุกครั้ง เราควรที่จะต้องอธิษฐานจิตก่อนว่า...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเปิดดวงของเราด้วย เพื่อให้คำทำนายมีความแม่นยำและชัดเจน

    4.การดูดวงเรื่องหุ้น หว.ย ตัวเลข หรือเรื่องที่ผิดศีลธรรม เช่น ธุรกิจสีเทา เรื่องแนวนี้ ...มันจะได้รับคำตอบที่คลาดเคลื่อน เพราะเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะไม่เปิดดวง เพราะถือว่าเป็นอบายมุข การพนัน (มันสามารถทำนายได้ค่ะ แต่มันจะไม่ตรง และอาจจะเป็นบาปกับหมอดูด้วย)

    5. ประสบการณ์ของหมอดูคนนั้นอาจจะยังไม่มากพอ ทำให้การตีความมีการผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของหมอดูอาจจะยังไม่ได้อยู่ในศีลเพียงพอ หรือบางคนอาจจะมีหน้าม้า

    6.ถูกปิดกั้นดวงชะตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีการทำผิดศีล หรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติตนไม่ถูกทำนองครองธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เปิดทางให้รู้ดวงชะตาเพื่อให้หาวิธีแก้ไขได้ เพราะต้องการให้เรารับกรรม และชีวิตติดขัดต่อไป หรือ บางคนบนแล้วไม่ได้แก้ ติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    7.ตัวคนที่มาดูมีองค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษปกป้องดูแลอยู่ หรือถ้ามีบูชาอะไรเป็นพิเศษ ก็จำเป็นต้องขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเปิดดวง

    8.ตัวคนที่มาดูเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด มีการสวดมนต์ไหว้พระอยู่ตลอด รักษาศีลไม่บกพร่อง จนเรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่เหนือดวง หรือบางคนศึกษาเกี่ยวกับเวทมนต์คุณไสยที่มีการท่องคาถากำบังต่างๆ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถดูดวงได้ หรือเจาะดวงชะตาได้ยากมาก

    9. การดูดวงซ้ำๆ ถามคำถามเดิมๆ ในระยะเวลาสั้นๆโดยไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปก่อน แล้วค่อยถามคำถามนั้น ...จะทำให้โดนอาถรรพ์ คำทำนายจะไปในทิศทางที่ไม่ดี และยังทำให้เกิดความสับสนอีกด้วย เพราะถ้าตอนแรกบอกว่าดวงดี แล้วมาดูอีกทีไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าจะเชื่ออันไหน

    #สรุปให้ตรงนี้ค่ะว่าไม่มีหมอดูคนไหนดูได้ 100% แม่นยำ แบบไม่คาดเคลื่อน และหมอดูไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้แบบชัดเจน วันไหน เดือนไหน พ.ศ ไหน เวลาไหน เเบบเป๊ะๆ *แต่อาจจะมีบางส่วนก็ได้นะคะ ที่เขามีพลังบารมีสูงจริงๆ อาจจะหยั่งรู้ได้เหนือมนุษย์คนธรรมดา และการทำนายดวงก็เป็นการดูดวงตามศาสตร์ที่แต่ละคนได้ศึกษามา แต่ถ้าได้ดูแล้วมันมีความแม่นยำ 70% ขึ้นไป หมอก็คิดว่าน่าจะโอเคนะ

    #หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ามีการผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะหมอเขียนตามประสบการณ์ของหมอเท่านั้น ควรใช้วิจารณญาณ
    ------------
    #หมอฝนยิปซี #ดูดวง
    มีทั้งหมด 9 ข้อ หลายคนเคยสงสัยตัวเองมั้ย ว่าทำไมดูดวงกับหมอดู แล้วไม่ตรง ทั้งๆที่คนอื่นบอกว่าหมอคนนี้แม่นมาก เพราะอะไรลองมาดูกันค่ะ (จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ) สรุปได้ 9 ข้อ 1.ดวงไม่สมพงษ์กับหมอดู หรือเราอาจจะไม่มีบุญสัมพันธ์ได้ดูกับหมอดูคนนั้น ดวงอาจจะขัดกัน 2. มีเจ้ากรรมนายเวรที่ปิดกั้นดวงชะตา ไม่ยอมให้หมอดูแนะนำวิธีแก้ไข หรือเจ้ากรรมนายเวรไม่อยากได้บุญจากเรา ไม่อยากให้เราทำบุญสวดมนต์ไปให้ อยากจองเวร อยากทำให้ชีวิตเราแย่ต่อไป เพราะมีบางคนมาดูดวงแล้ว หมอดูก็จะบอกว่าติดขัดตรงไหน ส่วนใหญ่ก็จะให้ทำบุญสวดมนต์ ...บางคนถามว่าลงทุนแล้วดีไหม? ได้คำทำนายว่า ดีมาก ลงทุนเลย แต่ปรากฏว่าลงทุนแล้วเจ๊ง อาจจะเป็นเพราะดวงเขาต้องเป็นแบบนั้น หมอดูไม่ได้พูดมั่วนะคะ แต่เขาอาจจะเห็นว่าดวงเราเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนเขาโดนปิดกั้น ไม่ให้บอกคำทำนายที่แท้จริง หรือบางคนนัดกับหมอดูไว้ แล้วต้องมีเหตุการณ์ไม่ได้ดูกะทันหัน ติดธุระ มีเรื่องมีราว ทำให้ต้องเลื่อนนัด จะดูก็ไม่ได้ดูสักที หรือบางคนอาจจะไม่ได้ดูเลยก็ได้ 3. บุคคลที่มาดูดวงคนนั้น อาจจะมีเครื่องรางปิดกั้น ดวง มีการทำพิธีอะไรบางอย่าง เช่น ลงนะ สักยันต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเขาไว้ โดยเฉพาะคนที่ เอาดวงของคนอื่นมาดู หรือถามถึงคนอื่นโดยที่ตัวเขาไม่รู้ ไม่ได้ทำการอนุญาต การทำนายดวงอาจจะมีการคลาดเคลื่อน หรืออาจจะเจาะดวงเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าถ้าหมอดูคนนั้นอาจจะมีความสามารถจริงๆ เช่น มีการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ มีศีลภาวนา มีสัมผัสพิเศษ มีบุญบารมีที่สามารถล่วงรู้ได้มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ก็อาจจะรู้คำตอบ *ดังนั้นเวลาดูดวงทุกครั้ง เราควรที่จะต้องอธิษฐานจิตก่อนว่า...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเปิดดวงของเราด้วย เพื่อให้คำทำนายมีความแม่นยำและชัดเจน 4.การดูดวงเรื่องหุ้น หว.ย ตัวเลข หรือเรื่องที่ผิดศีลธรรม เช่น ธุรกิจสีเทา เรื่องแนวนี้ ...มันจะได้รับคำตอบที่คลาดเคลื่อน เพราะเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะไม่เปิดดวง เพราะถือว่าเป็นอบายมุข การพนัน (มันสามารถทำนายได้ค่ะ แต่มันจะไม่ตรง และอาจจะเป็นบาปกับหมอดูด้วย) 5. ประสบการณ์ของหมอดูคนนั้นอาจจะยังไม่มากพอ ทำให้การตีความมีการผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของหมอดูอาจจะยังไม่ได้อยู่ในศีลเพียงพอ หรือบางคนอาจจะมีหน้าม้า 6.ถูกปิดกั้นดวงชะตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีการทำผิดศีล หรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติตนไม่ถูกทำนองครองธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เปิดทางให้รู้ดวงชะตาเพื่อให้หาวิธีแก้ไขได้ เพราะต้องการให้เรารับกรรม และชีวิตติดขัดต่อไป หรือ บางคนบนแล้วไม่ได้แก้ ติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 7.ตัวคนที่มาดูมีองค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษปกป้องดูแลอยู่ หรือถ้ามีบูชาอะไรเป็นพิเศษ ก็จำเป็นต้องขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเปิดดวง 8.ตัวคนที่มาดูเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด มีการสวดมนต์ไหว้พระอยู่ตลอด รักษาศีลไม่บกพร่อง จนเรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่เหนือดวง หรือบางคนศึกษาเกี่ยวกับเวทมนต์คุณไสยที่มีการท่องคาถากำบังต่างๆ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถดูดวงได้ หรือเจาะดวงชะตาได้ยากมาก 9. การดูดวงซ้ำๆ ถามคำถามเดิมๆ ในระยะเวลาสั้นๆโดยไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปก่อน แล้วค่อยถามคำถามนั้น ...จะทำให้โดนอาถรรพ์ คำทำนายจะไปในทิศทางที่ไม่ดี และยังทำให้เกิดความสับสนอีกด้วย เพราะถ้าตอนแรกบอกว่าดวงดี แล้วมาดูอีกทีไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าจะเชื่ออันไหน #สรุปให้ตรงนี้ค่ะว่าไม่มีหมอดูคนไหนดูได้ 100% แม่นยำ แบบไม่คาดเคลื่อน และหมอดูไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้แบบชัดเจน วันไหน เดือนไหน พ.ศ ไหน เวลาไหน เเบบเป๊ะๆ *แต่อาจจะมีบางส่วนก็ได้นะคะ ที่เขามีพลังบารมีสูงจริงๆ อาจจะหยั่งรู้ได้เหนือมนุษย์คนธรรมดา และการทำนายดวงก็เป็นการดูดวงตามศาสตร์ที่แต่ละคนได้ศึกษามา แต่ถ้าได้ดูแล้วมันมีความแม่นยำ 70% ขึ้นไป หมอก็คิดว่าน่าจะโอเคนะ #หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ามีการผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะหมอเขียนตามประสบการณ์ของหมอเท่านั้น ควรใช้วิจารณญาณ ------------ #หมอฝนยิปซี #ดูดวง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมดูดวงแล้วไม่ตรง?
    มีทั้งหมด 9 ข้อ
    หลายคนเคยสงสัยตัวเองมั้ย ว่าทำไมดูดวงกับหมอดู แล้วไม่ตรง ทั้งๆที่คนอื่นบอกว่าหมอคนนี้แม่นมาก เพราะอะไรลองมาดูกันค่ะ (จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ) สรุปได้ 9 ข้อ

    1.ดวงไม่สมพงษ์กับหมอดู หรือเราอาจจะไม่มีบุญสัมพันธ์ได้ดูกับหมอดูคนนั้น ดวงอาจจะขัดกัน

    2. มีเจ้ากรรมนายเวรที่ปิดกั้นดวงชะตา ไม่ยอมให้หมอดูแนะนำวิธีแก้ไข หรือเจ้ากรรมนายเวรไม่อยากได้บุญจากเรา ไม่อยากให้เราทำบุญสวดมนต์ไปให้ อยากจองเวร อยากทำให้ชีวิตเราแย่ต่อไป เพราะมีบางคนมาดูดวงแล้ว หมอดูก็จะบอกว่าติดขัดตรงไหน ส่วนใหญ่ก็จะให้ทำบุญสวดมนต์ ...บางคนถามว่าลงทุนแล้วดีไหม? ได้คำทำนายว่า ดีมาก ลงทุนเลย แต่ปรากฏว่าลงทุนแล้วเจ๊ง อาจจะเป็นเพราะดวงเขาต้องเป็นแบบนั้น หมอดูไม่ได้พูดมั่วนะคะ แต่เขาอาจจะเห็นว่าดวงเราเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนเขาโดนปิดกั้น ไม่ให้บอกคำทำนายที่แท้จริง หรือบางคนนัดกับหมอดูไว้ แล้วต้องมีเหตุการณ์ไม่ได้ดูกะทันหัน ติดธุระ มีเรื่องมีราว ทำให้ต้องเลื่อนนัด จะดูก็ไม่ได้ดูสักที หรือบางคนอาจจะไม่ได้ดูเลยก็ได้

    3. บุคคลที่มาดูดวงคนนั้น อาจจะมีเครื่องรางปิดกั้น ดวง มีการทำพิธีอะไรบางอย่าง เช่น ลงนะ สักยันต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเขาไว้ โดยเฉพาะคนที่ เอาดวงของคนอื่นมาดู หรือถามถึงคนอื่นโดยที่ตัวเขาไม่รู้ ไม่ได้ทำการอนุญาต การทำนายดวงอาจจะมีการคลาดเคลื่อน หรืออาจจะเจาะดวงเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าถ้าหมอดูคนนั้นอาจจะมีความสามารถจริงๆ เช่น มีการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ มีศีลภาวนา มีสัมผัสพิเศษ มีบุญบารมีที่สามารถล่วงรู้ได้มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ก็อาจจะรู้คำตอบ *ดังนั้นเวลาดูดวงทุกครั้ง เราควรที่จะต้องอธิษฐานจิตก่อนว่า...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเปิดดวงของเราด้วย เพื่อให้คำทำนายมีความแม่นยำและชัดเจน

    4.การดูดวงเรื่องหุ้น หว.ย ตัวเลข หรือเรื่องที่ผิดศีลธรรม เช่น ธุรกิจสีเทา เรื่องแนวนี้ ...มันจะได้รับคำตอบที่คลาดเคลื่อน เพราะเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะไม่เปิดดวง เพราะถือว่าเป็นอบายมุข การพนัน (มันสามารถทำนายได้ค่ะ แต่มันจะไม่ตรง และอาจจะเป็นบาปกับหมอดูด้วย)

    5. ประสบการณ์ของหมอดูคนนั้นอาจจะยังไม่มากพอ ทำให้การตีความมีการผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของหมอดูอาจจะยังไม่ได้อยู่ในศีลเพียงพอ หรือบางคนอาจจะมีหน้าม้า

    6.ถูกปิดกั้นดวงชะตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีการทำผิดศีล หรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติตนไม่ถูกทำนองครองธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เปิดทางให้รู้ดวงชะตาเพื่อให้หาวิธีแก้ไขได้ เพราะต้องการให้เรารับกรรม และชีวิตติดขัดต่อไป หรือ บางคนบนแล้วไม่ได้แก้ ติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    7.ตัวคนที่มาดูมีองค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษปกป้องดูแลอยู่ หรือถ้ามีบูชาอะไรเป็นพิเศษ ก็จำเป็นต้องขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเปิดดวง

    8.ตัวคนที่มาดูเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด มีการสวดมนต์ไหว้พระอยู่ตลอด รักษาศีลไม่บกพร่อง จนเรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่เหนือดวง หรือบางคนศึกษาเกี่ยวกับเวทมนต์คุณไสยที่มีการท่องคาถากำบังต่างๆ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถดูดวงได้ หรือเจาะดวงชะตาได้ยากมาก

    9. การดูดวงซ้ำๆ ถามคำถามเดิมๆ ในระยะเวลาสั้นๆโดยไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปก่อน แล้วค่อยถามคำถามนั้น ...จะทำให้โดนอาถรรพ์ คำทำนายจะไปในทิศทางที่ไม่ดี และยังทำให้เกิดความสับสนอีกด้วย เพราะถ้าตอนแรกบอกว่าดวงดี แล้วมาดูอีกทีไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าจะเชื่ออันไหน

    #สรุปให้ตรงนี้ค่ะว่าไม่มีหมอดูคนไหนดูได้ 100% แม่นยำ แบบไม่คาดเคลื่อน และหมอดูไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้แบบชัดเจน วันไหน เดือนไหน พ.ศ ไหน เวลาไหน เเบบเป๊ะๆ *แต่อาจจะมีบางส่วนก็ได้นะคะ ที่เขามีพลังบารมีสูงจริงๆ อาจจะหยั่งรู้ได้เหนือมนุษย์คนธรรมดา และการทำนายดวงก็เป็นการดูดวงตามศาสตร์ที่แต่ละคนได้ศึกษามา แต่ถ้าได้ดูแล้วมันมีความแม่นยำ 70% ขึ้นไป หมอก็คิดว่าน่าจะโอเคนะ

    #หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ามีการผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะหมอเขียนตามประสบการณ์ของหมอเท่านั้น ควรใช้วิจารณญาณ
    ------------
    #หมอฝนยิปซี #ดูดวง
    ทำไมดูดวงแล้วไม่ตรง? มีทั้งหมด 9 ข้อ หลายคนเคยสงสัยตัวเองมั้ย ว่าทำไมดูดวงกับหมอดู แล้วไม่ตรง ทั้งๆที่คนอื่นบอกว่าหมอคนนี้แม่นมาก เพราะอะไรลองมาดูกันค่ะ (จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ) สรุปได้ 9 ข้อ 1.ดวงไม่สมพงษ์กับหมอดู หรือเราอาจจะไม่มีบุญสัมพันธ์ได้ดูกับหมอดูคนนั้น ดวงอาจจะขัดกัน 2. มีเจ้ากรรมนายเวรที่ปิดกั้นดวงชะตา ไม่ยอมให้หมอดูแนะนำวิธีแก้ไข หรือเจ้ากรรมนายเวรไม่อยากได้บุญจากเรา ไม่อยากให้เราทำบุญสวดมนต์ไปให้ อยากจองเวร อยากทำให้ชีวิตเราแย่ต่อไป เพราะมีบางคนมาดูดวงแล้ว หมอดูก็จะบอกว่าติดขัดตรงไหน ส่วนใหญ่ก็จะให้ทำบุญสวดมนต์ ...บางคนถามว่าลงทุนแล้วดีไหม? ได้คำทำนายว่า ดีมาก ลงทุนเลย แต่ปรากฏว่าลงทุนแล้วเจ๊ง อาจจะเป็นเพราะดวงเขาต้องเป็นแบบนั้น หมอดูไม่ได้พูดมั่วนะคะ แต่เขาอาจจะเห็นว่าดวงเราเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนเขาโดนปิดกั้น ไม่ให้บอกคำทำนายที่แท้จริง หรือบางคนนัดกับหมอดูไว้ แล้วต้องมีเหตุการณ์ไม่ได้ดูกะทันหัน ติดธุระ มีเรื่องมีราว ทำให้ต้องเลื่อนนัด จะดูก็ไม่ได้ดูสักที หรือบางคนอาจจะไม่ได้ดูเลยก็ได้ 3. บุคคลที่มาดูดวงคนนั้น อาจจะมีเครื่องรางปิดกั้น ดวง มีการทำพิธีอะไรบางอย่าง เช่น ลงนะ สักยันต์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเขาไว้ โดยเฉพาะคนที่ เอาดวงของคนอื่นมาดู หรือถามถึงคนอื่นโดยที่ตัวเขาไม่รู้ ไม่ได้ทำการอนุญาต การทำนายดวงอาจจะมีการคลาดเคลื่อน หรืออาจจะเจาะดวงเขาไม่ได้ ยกเว้นว่าถ้าหมอดูคนนั้นอาจจะมีความสามารถจริงๆ เช่น มีการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ มีศีลภาวนา มีสัมผัสพิเศษ มีบุญบารมีที่สามารถล่วงรู้ได้มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ก็อาจจะรู้คำตอบ *ดังนั้นเวลาดูดวงทุกครั้ง เราควรที่จะต้องอธิษฐานจิตก่อนว่า...ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร ช่วยเปิดดวงของเราด้วย เพื่อให้คำทำนายมีความแม่นยำและชัดเจน 4.การดูดวงเรื่องหุ้น หว.ย ตัวเลข หรือเรื่องที่ผิดศีลธรรม เช่น ธุรกิจสีเทา เรื่องแนวนี้ ...มันจะได้รับคำตอบที่คลาดเคลื่อน เพราะเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาจะไม่เปิดดวง เพราะถือว่าเป็นอบายมุข การพนัน (มันสามารถทำนายได้ค่ะ แต่มันจะไม่ตรง และอาจจะเป็นบาปกับหมอดูด้วย) 5. ประสบการณ์ของหมอดูคนนั้นอาจจะยังไม่มากพอ ทำให้การตีความมีการผิดพลาด คลาดเคลื่อน หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของหมอดูอาจจะยังไม่ได้อยู่ในศีลเพียงพอ หรือบางคนอาจจะมีหน้าม้า 6.ถูกปิดกั้นดวงชะตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีการทำผิดศีล หรือปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติตนไม่ถูกทำนองครองธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เปิดทางให้รู้ดวงชะตาเพื่อให้หาวิธีแก้ไขได้ เพราะต้องการให้เรารับกรรม และชีวิตติดขัดต่อไป หรือ บางคนบนแล้วไม่ได้แก้ ติดสัจจะวาจากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 7.ตัวคนที่มาดูมีองค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณบรรพบุรุษปกป้องดูแลอยู่ หรือถ้ามีบูชาอะไรเป็นพิเศษ ก็จำเป็นต้องขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเปิดดวง 8.ตัวคนที่มาดูเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด มีการสวดมนต์ไหว้พระอยู่ตลอด รักษาศีลไม่บกพร่อง จนเรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่เหนือดวง หรือบางคนศึกษาเกี่ยวกับเวทมนต์คุณไสยที่มีการท่องคาถากำบังต่างๆ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถดูดวงได้ หรือเจาะดวงชะตาได้ยากมาก 9. การดูดวงซ้ำๆ ถามคำถามเดิมๆ ในระยะเวลาสั้นๆโดยไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปก่อน แล้วค่อยถามคำถามนั้น ...จะทำให้โดนอาถรรพ์ คำทำนายจะไปในทิศทางที่ไม่ดี และยังทำให้เกิดความสับสนอีกด้วย เพราะถ้าตอนแรกบอกว่าดวงดี แล้วมาดูอีกทีไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าจะเชื่ออันไหน #สรุปให้ตรงนี้ค่ะว่าไม่มีหมอดูคนไหนดูได้ 100% แม่นยำ แบบไม่คาดเคลื่อน และหมอดูไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้แบบชัดเจน วันไหน เดือนไหน พ.ศ ไหน เวลาไหน เเบบเป๊ะๆ *แต่อาจจะมีบางส่วนก็ได้นะคะ ที่เขามีพลังบารมีสูงจริงๆ อาจจะหยั่งรู้ได้เหนือมนุษย์คนธรรมดา และการทำนายดวงก็เป็นการดูดวงตามศาสตร์ที่แต่ละคนได้ศึกษามา แต่ถ้าได้ดูแล้วมันมีความแม่นยำ 70% ขึ้นไป หมอก็คิดว่าน่าจะโอเคนะ #หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ามีการผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะหมอเขียนตามประสบการณ์ของหมอเท่านั้น ควรใช้วิจารณญาณ ------------ #หมอฝนยิปซี #ดูดวง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8/10/67

    หิวยิ่งสุขภาพแข็งแรง

    สำนวนจีนโบราณว่าไว้...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าปล่อยให้เหล่าทหารหิวโหย จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้รบ ความคิดนี้ถือว่าเก่าไปแล้ว เพราะมีการค้นพบใหม่ว่า "ความหิว" ส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ แค่ปล่อยให้ท้องหิวมากกว่าอิ่ม สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

    เมื่อรู้สึกหิว ยีนบางตัวจะเริ่มเคลื่อนไหว!!"โยะชิโนะริ นะงุโมะ" ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกของญี่ปุ่น ค้นพบความลับนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว ถามว่าทำไมการไม่กินอาหารตลอดเวลา และปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆถึงดีต่อสุขภาพ คำตอบอยู่ที่ "ยืนช่วยให้รอดชีวิต"การกระตุ้น "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" ฟื้นคืนชีพ จะช่วยให้มนุษย์เรามีอายุยืนและมีสุขภาพดี ซึ่ง

    "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" จะปรากฏขึ้นเฉพาะตอนอดอยากเท่านั้น ยิ่งเราหิวเท่าไหร่ ความสามารถในการอยู่รอดก็จะยิ่งทำงานและทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้งในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้เผชิญกับภาวะอดอยาก หรือความเหน็บหนาว "ยีนช่วยให้รอดชีวิต" ก็จะไม่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นการกินอย่างอิ่มหนำสำราญตลอดเวลาของมนุษย์ยุคนี้กลับทำให้ร่างกายแก่ชรา อัตราการเกิดลดลง และภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ตลอด 170,000 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามนุษย์เพิงเริมได้กินอิ่มครบ 3 มื้อ เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

    ซึ่งอย่างมากก็ไม่น่าจะถึง 100 ปี ประเทศญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะเริ่มกินอาหารวันละ 3 มื้อ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันที่จริงมนุษย์เราเริ่ม กินอาหารตามเวลา มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นก็หลังเกิดวัฒนธรรมการปลูกข้าวในจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของวัฒนธรรมการล่าสัตว์ ถ้าล่าสัตว์ไม่ได้ก็จะไม่มีอาหารกินไปหลายวัน

    ร่างกายของคนยุคปัจจุบันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความอิ่มได้ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเราได้รับยืนที่ช่วยให้รอดชีวิตจากการเผชิญกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องทนกับความอดอยากและเหน็บหนาว ทำให้มนุษย์เรามีโครงสร้างร่างกายที่สามารถปรับตัวเข้ากับความอดอยากและความเหน็บหนาวได้ แต่ไม่เหมาะกับความอิ่มเลย!!

    "โรคเบาหวาน" ถือเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเพื่อปรับตัวให้รอดชีวิตในยุคสมัยนี้ ยุคของการกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งขัดกับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ความลับของการปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆ และการกินอาหารวันละมื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกสุดเมื่อเริ่มกินอาหารวันละมื้อคือ อาการรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ตรงปากทางเข้าของลำไส้เล็กในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่

    ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมา ลำไส้เล็กจะรีบหลั่งฮอร์โมนโมติลินสำหรับย่อยอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะอาหาร บีบตัว เพื่อส่งของกินที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เป็นการบีบตัวเมื่อหิวและทำให้เกิดอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    ถ้าเราปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่กินอะไรเลย กระเพาะอาหารจะหลั่งฮอร์โมนเกรลินออกมา ซึ่งจะออกฤทธิ์ที่สมองทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว นี่เองคือความลับของการปล่อยให้ท้องร้อง จ๊อกๆเพราะความหิว


    ถึงท้องจะร้องดังแค่ไหนก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินกับโกรทฮอร์โมนสักครู่ เพื่อทำให้เรากลับไปเป็นหนุ่มสาว ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆนี่ล่ะ ความสามารถในการอยู่รอดจะพุ่งพล่านขึ้นมา บ่งบอกว่าได้เวลาทำงานของ "ยืนต่ออายุขัย" (ยืนเซอร์ทูอิน) ที่ขึ้นชื่อว่าจะทำให้อายุยืน จากการทดลองกับสัตว์ทุกชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่าตัว

    การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองมาทำให้ท้องร้องจ๊อกๆด้วยการกินอาหารวันละมื้อ โดยเลือกตามไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม แล้ว ยืนต่ออายุขัยจะช่วยสแกนยืนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูส่วนที่เสียหายความแก่ชราและโรคมะเร็งล้วนเกิดจากความผิดปกติของยืน เราสามารถกลับไปเป็นหนุ่มนุ่มสาวได้และป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็ง ด้วยการกินอาหารวันละมื้อ

    cr:www.thairath.co.th

    8/10/67 หิวยิ่งสุขภาพแข็งแรง สำนวนจีนโบราณว่าไว้...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าปล่อยให้เหล่าทหารหิวโหย จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสู้รบ ความคิดนี้ถือว่าเก่าไปแล้ว เพราะมีการค้นพบใหม่ว่า "ความหิว" ส่งผลดีต่อร่างกายมนุษย์ แค่ปล่อยให้ท้องหิวมากกว่าอิ่ม สุขภาพก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อรู้สึกหิว ยีนบางตัวจะเริ่มเคลื่อนไหว!!"โยะชิโนะริ นะงุโมะ" ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกของญี่ปุ่น ค้นพบความลับนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว ถามว่าทำไมการไม่กินอาหารตลอดเวลา และปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆถึงดีต่อสุขภาพ คำตอบอยู่ที่ "ยืนช่วยให้รอดชีวิต"การกระตุ้น "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" ฟื้นคืนชีพ จะช่วยให้มนุษย์เรามีอายุยืนและมีสุขภาพดี ซึ่ง "ยืนช่วยให้รอดชีวิต" จะปรากฏขึ้นเฉพาะตอนอดอยากเท่านั้น ยิ่งเราหิวเท่าไหร่ ความสามารถในการอยู่รอดก็จะยิ่งทำงานและทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้งในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้เผชิญกับภาวะอดอยาก หรือความเหน็บหนาว "ยีนช่วยให้รอดชีวิต" ก็จะไม่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นการกินอย่างอิ่มหนำสำราญตลอดเวลาของมนุษย์ยุคนี้กลับทำให้ร่างกายแก่ชรา อัตราการเกิดลดลง และภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ตลอด 170,000 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามนุษย์เพิงเริมได้กินอิ่มครบ 3 มื้อ เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอย่างมากก็ไม่น่าจะถึง 100 ปี ประเทศญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะเริ่มกินอาหารวันละ 3 มื้อ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันที่จริงมนุษย์เราเริ่ม กินอาหารตามเวลา มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นก็หลังเกิดวัฒนธรรมการปลูกข้าวในจีนเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้านั้นเป็นยุคของวัฒนธรรมการล่าสัตว์ ถ้าล่าสัตว์ไม่ได้ก็จะไม่มีอาหารกินไปหลายวัน ร่างกายของคนยุคปัจจุบันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความอิ่มได้ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเราได้รับยืนที่ช่วยให้รอดชีวิตจากการเผชิญกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องทนกับความอดอยากและเหน็บหนาว ทำให้มนุษย์เรามีโครงสร้างร่างกายที่สามารถปรับตัวเข้ากับความอดอยากและความเหน็บหนาวได้ แต่ไม่เหมาะกับความอิ่มเลย!! "โรคเบาหวาน" ถือเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเพื่อปรับตัวให้รอดชีวิตในยุคสมัยนี้ ยุคของการกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งขัดกับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ความลับของการปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆ และการกินอาหารวันละมื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกสุดเมื่อเริ่มกินอาหารวันละมื้อคือ อาการรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ตรงปากทางเข้าของลำไส้เล็กในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดจะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมา ลำไส้เล็กจะรีบหลั่งฮอร์โมนโมติลินสำหรับย่อยอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะอาหาร บีบตัว เพื่อส่งของกินที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เป็นการบีบตัวเมื่อหิวและทำให้เกิดอาการท้องร้องจ๊อกๆ ถ้าเราปล่อยให้ท้องร้องจ๊อกๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่กินอะไรเลย กระเพาะอาหารจะหลั่งฮอร์โมนเกรลินออกมา ซึ่งจะออกฤทธิ์ที่สมองทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว นี่เองคือความลับของการปล่อยให้ท้องร้อง จ๊อกๆเพราะความหิว ถึงท้องจะร้องดังแค่ไหนก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินกับโกรทฮอร์โมนสักครู่ เพื่อทำให้เรากลับไปเป็นหนุ่มสาว ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆนี่ล่ะ ความสามารถในการอยู่รอดจะพุ่งพล่านขึ้นมา บ่งบอกว่าได้เวลาทำงานของ "ยืนต่ออายุขัย" (ยืนเซอร์ทูอิน) ที่ขึ้นชื่อว่าจะทำให้อายุยืน จากการทดลองกับสัตว์ทุกชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่าตัว การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองมาทำให้ท้องร้องจ๊อกๆด้วยการกินอาหารวันละมื้อ โดยเลือกตามไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม แล้ว ยืนต่ออายุขัยจะช่วยสแกนยืนในร่างกายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับค่อยๆฟื้นฟูส่วนที่เสียหายความแก่ชราและโรคมะเร็งล้วนเกิดจากความผิดปกติของยืน เราสามารถกลับไปเป็นหนุ่มนุ่มสาวได้และป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็ง ด้วยการกินอาหารวันละมื้อ cr:www.thairath.co.th
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • สีแดงคือ"เลือด...ที่บรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อและชีวิตแลกแผ่นดิน"มาตุภูมิ"นี้มาให้เราได้มีบ้านอยู่อาศัยร่มเงาที่ร่มเย็น ยามนี้มีคนไทยใจทรราชชักศึกเข้าบ้าน พยายามทุกวิถีทางที่จะทำบ้านให้แตกแยก เราจะยอมให้ไทย🇹🇭:เป็นโมเดลยูเครนสองงั้นหรือแล้วเราจะอยู่ที่ไหนกัน🥺
    สีแดงคือ"เลือด...ที่บรรพบุรุษใช้เลือดเนื้อและชีวิตแลกแผ่นดิน"มาตุภูมิ"นี้มาให้เราได้มีบ้านอยู่อาศัยร่มเงาที่ร่มเย็น ยามนี้มีคนไทยใจทรราชชักศึกเข้าบ้าน พยายามทุกวิถีทางที่จะทำบ้านให้แตกแยก เราจะยอมให้ไทย🇹🇭:เป็นโมเดลยูเครนสองงั้นหรือแล้วเราจะอยู่ที่ไหนกัน🥺
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠

    ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา

    ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公)

    🥳หนึ่ง🥳

    เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927

    ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา

    เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน

    ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน"

    หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋)

    ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า:

    “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง”

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ

    ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)

    ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)"

    ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)"

    เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย

    ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้

    🥳สอง🥳

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ

    หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้

    หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง

    ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย

    แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛)

    หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ:

    เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง

    สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公)

    ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด

    ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

    อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10%

    นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น

    🥳สาม🥳

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว:

    ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ

    ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨)

    ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว

    หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ

    หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า

    ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ

    ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า:

    ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”

    หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร

    ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย

    หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป"

    เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#เรื่องเล่าของสองเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ต่างอุดมการณ์🤠 ปัจจุบันไต้หวันกลายเป็นความเจ็บปวดในใจคนจีน และสหรัฐฯ มักใช้ไต้หวันเพื่อยั่วยุจีน จุดประสงค์ของสหรัฐฯนั้นชัดเจน นั่นคือเพื่อยั่วยุกระตุ้นให้จีนดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง หลังจากนั้นแล้วขัดขวางก่อกวนยุทธศาสตร์ของจีน ซึ่งจะทำให้จีนอ่อนแอลงอีก ดังนั้นปัญหาไต้หวันถึงจุดที่ต้องแก้ไข หากไม่ได้รับการแก้ไข สหรัฐฯ จะยังคงเล่นเกมไพ่ไต้หวัน พวกเขายังจะสนับสนุนกองกำลัง "ปลดปล่อยเอกราชของไต้หวัน" ให้ก่อปัญหาอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็จะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำขณะทำการแก้ไขปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว ประเด็นของไต้หวันมีขึ้นตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เติ้งกง(邓公)ได้ส่งเสริมนำการแก้ปัญหาของไต้หวันมาดำเนินการ น่าเสียดายที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) 🥳หนึ่ง🥳 เพื่อนร่วมชั้นเรียนของ เติ้งกง(邓公) คือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทั้งสองเรียนในชั้นเรียนเดียวกันที่มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น(Sun Yat-sen University中山大学)ในสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง ค.ศ. 1927 ในปี ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาที่สหภาพโซเวียต ส่วนเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปศึกษาต่อต่างประเทศอาจกล่าวได้ว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น หรืออาจจะว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)หวังว่าลูกชายของเขาไปที่สหภาพโซเวียตเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่แท้จริงกลับมา เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ชื่อรอง เจี้ยนเฟิง(建丰) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นชื่อบรรพบุรุษของเขา และยังเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของเขาด้วย เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิดที่เมืองเฟิงฮว่า(奉化)เจ้อเจียง(浙江)เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1910 เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)และเหมา ฝูเหมย(毛福梅)ภรรยาคนแรกของเขา หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เกิด เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ก็ทำงานหนักนอกบ้านตลอด ดังนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงเติบโตมากับแม่และยายของเขา สิ่งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ค่อนข้างขี้ขลาด ตามที่ครูผู้สอนหนังสือ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวไว้ ตอนนั้นเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีอะไรนิดหน่อยมักจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน ในปีค.ศ. 1924 เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ส่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปโรงเรียนมัธยมต้นเซี่ยงไฮ้ผู่ตง(浦东) ในเวลานี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 14 ปีเป็นผู้ใหญ่มาก ในปี ค.ศ. 1925 หลังจากการสังหารหมู่30 พฤษภาคม(五卅惨案) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)วัย 15 ปีก็เข้าร่วมในการประท้วงด้วยความรักชาติด้วย แต่หลังจากที่ทางโรงเรียนค้นพบ เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากในความผิดว่า "ความคิดที่เป็นอันตรายและพฤติกรรมเบี่ยงเบน" หลังจากถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาจึงไปปักกิ่งเพื่อเรียนภาษาต่างประเทศ ในช่วงเวลานี้ เขาถูกจำคุกเป็นเวลาสองสัปดาห์เนื่องจากการเข้าร่วมขบวนการนักเรียนต่อต้านขุนศึกเป่ยหยาง(北洋) ขณะอยู่ในปักกิ่ง เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้พบกับหลี่ ต้าเจวา(李大钊) และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ เขาชื่นชมความรู้และความเชื่อของหลี่ ต้าเจวา(李大钊) ต่อมา หลี่ ต้าเจวา(李大钊)ได้แนะนำชาวโซเวียตจำนวนมากให้รู้จักกับ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เกี่ยวกับประสบการณ์นี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เล่าในภายหลังว่า: “เป่ยผิง(北平)เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และพรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ในใจของฉันก็สับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ และเปลี่ยนแผนการเรียนในฝรั่งเศสเดิมอย่างสิ้นเชิง” การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตัดสินใจศึกษาต่อในสหภาพโซเวียต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มาถึงสหภาพโซเวียต ในเวลานั้น มีบุตรของเจ้านายใหญ่หลายคน เช่น เซ่าจวื่อกาง(邵志刚)ลูกชาย ของเซ่า ลี่จวื๋อ(邵力子), เฝิงหงกั๋ว(冯洪国)ลูกชายของ เฝิง อวิ้เสียง(冯玉祥) พร้อมกับลูกสาว เฝิงฝูเหนิ่ง(冯弗能) และ อวิ้ ซิ่วจวือ(于秀芝) ลูกสาวของ อวิ้โย่วเยิ่น(于右任) รวมถึง จาง ซีย่วน(张锡媛) ภรรยาคนแรกของ เติ้งกง(邓公), หวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ระหว่างทางไปสหภาพโซเวียต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้อ่านหนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ "ABC of Communism" หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ปีที่สองก็คือปี ค.ศ.1926 ในชั้นเรียนของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)มีนักเรียนที่ย้ายมาจากปารีส ประเทศฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาคือเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平) ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)ชื่อเติ้ง ซีเสียน(邓希贤) เติ้งกง(邓公)มีอายุมากกว่าเจียงจิงกัว 5 ปี และยังมีชื่อภาษารัสเซียว่า "อีวาน เชโกวิช(Ivan Shegovich)" ในความประทับใจของ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เติ้งกง(邓公)เป็นคนร่าเริงมาก สามารถพูดได้ดีบนเวที และมีทักษะในการจัดองค์กรที่แข็งแกร่ง ในเวลานั้นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งฉายาให้เขาว่า "ปืนใหญ่เหล็กน้อย(小钢炮)" เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ากันได้ดี และทั้งสองคนรูปร่างไม่สูงนักเช่นกัน ทั้งสองมักจะเดินคุยกันริมแม่น้ำมอสโก ดังนั้น เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีมากอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1927 เติ้งกง(邓公)ได้รับมอบหมายจากองค์กรให้กลับไปทำงานที่ประเทศจีน และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ยังคงศึกษาต่อในสหภาพโซเวียตในเวลานี้ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ได้เปิดฉากเหตุการณ์ต่อต้านการปฏิวัติ "4.12"(“4.12”反革命事件) และสังหารหมู่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมาก ในฐานะบุตรชายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จึงถูกสหภาพโซเวียตตั้งคำถาม และหวังหมิง(王明)และคนอื่นๆ ก็ไม่ชอบเช่นกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปทำงานในโรงงานและแต่งงานกับหญิงชาวโซเวียต จนกระทั่งถึงหลังสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ด้วยการประสานงานของ โจวกง(周公)ถึงทำให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)สามารถเดินทางกลับประเทศจีนได้ 🥳สอง🥳 หลังจากที่เติ้งกง(邓公)เดินทางกลับจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1927 จนกระทั่งมีการสถาปนาจีนใหม่ เติ้งกง(邓公)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ไม่มีทางอื่นที่จะเลือกเดินอีกต่อไป ในเวลานั้น เติ้งกง(邓公)เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีชื่อเสียงของกองทัพของหลิว(刘)และเติ้ง(邓) เขาถูกมองว่าเป็นเสี้ยนหนามในฝ่ายของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มานานแล้ว และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ละทิ้งความเชื่ออุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ของเขาด้วย ได้ตัดสินใจที่จะทำตามพ่อซึ่งเป็นผู้นำของเขาและเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ หลังจากที่เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)พ่ายแพ้และถอยไปไต้หวันแล้ว เขาก็เริ่มติดต่อกับกลุ่มรัฐมนตรีผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยเป็นลูกน้องของเขา จุดประสงค์ของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ในการทำเช่นนี้คือปูทางเพื่อให้เชียงจิงกัวสามารถสืบทอดตำแหน่งได้ ท้ายที่สุดแล้วในจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ยังไม่กล้าส่งสัญญาณออกไปว่าให้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เข้ามารับหน้าที่สืบทอดแทน เขายังต้องคำนึงถึงหน้าตาความรู้สึกของรัฐมนตรีเก่าผู้มีประสบการณ์บางคนด้วย หากลูกชายเข้ามารับช่วงต่อ หลี่จงเหริน(李宗仁)จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)จะไม่ทำอย่างนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมก็สามารถเห็นได้ หลังจากที่ผู้เฒ่าเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)มาถึงไต้หวัน เมื่ออำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นแล้วหลังจากดูแลจัดการรัฐมนตรีคนเก่าของเขา และเขาก็เริ่มปล่อยมือให้ลูกชายทำงาน หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นเป็นประธานฝ่ายบริหาร สร้างไต้หวันตามแนวทางการปกครองของเขา ขณะนั้นไต้หวันมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเจี่ยงน้อย(小蒋)ก็ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างหนึ่ง นั่นคือการพัฒนาบริษัทผลิตชิป แม้จะมีราคาแพงสูงมาก แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ภายใต้การปกครองของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และในช่วงทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็กลายเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย แต่หลังจากที่พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋)เข้าบริหารปกครองไต้หวัน ก็เป็นตอนที่ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)มอบอำนาจเกือบทั้งหมดให้กับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ด้วยมีบางอย่างเกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของประธานเหมา(毛) หลังจากที่เติ้งกง(邓公)กลับคืนสู่รัฐบาลกลาง โจวกง(周公)ก็มอบงานการต่างประเทศจำนวนมากให้กับเติ้งกง(邓公) จากนั้นเติ้งกง(邓公)ก็ประกาศบางอย่างต่อสาธารณะ: เตรียมหารือปัญหาการรวมตัวกับไทเป(台北)โดยตรง สมาชิกก๊กมิ่นตั๋ง(国民党)บางคนในแผ่นดินใหญ่ยังสื่อสารส่งข้อความถึงพ่อลูกครอบครัวตระกูลเจี่ยง(蒋)ผ่านช่องทางสาธารณะหรือส่วนตัว เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งล้มป่วยอยู่นั้นก็ไม่มีแรงจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ซึ่งได้รับอำนาจเต็มในเวลานี้แล้ว ก็ยังเพิกเฉยไม่แยแสต่อความคิดริเริ่มของเติ้งกง(邓公) ในปีค.ศ. 1975 ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)เสียชีวิต และหยาน เจียก้าน(严家淦) เข้ามารับช่วงต่อ สามปีต่อมา หยาน เจียก้าน(严家淦)ได้มอบอำนาจคืนโดยอัตโนมัติ วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1978 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าเจี่ยง(蒋)และเจี่ยงน้อย(小蒋)ไม่คาดคิด ในปีค.ศ. 1972 พ่อลูกตระกูลเจี่ยง(蒋) ไม่ทราบเกี่ยวกับการเยือนจีนของริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon理查德·尼克松) เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石)ซึ่งโกรธมากจนสาปแช่ง นิกสัน(Nixon尼克松)ว่า “ไม่ใช่สิ่งของ” และแม้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็มี "แวดวงสนับสนุนไต้หวัน(亲台圈子)" ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาโดย จิมมี คาร์เตอร์(Jimmy Carter吉米·卡特) และเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)หารือกันเรื่องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในความมืด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 สิบสองชั่วโมงก่อนการประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ลีโอนาร์ด ไซด์มาน อังเกอร์ (Leonard Seidman Unger安克志)ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ได้รับโทรศัพท์ลับจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยขอให้เขาโทรหา ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)เลขาของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในตอนเช้า อังเกอร์ (Unger安克志)บอก ซ่งฉู่อวิ้(宋楚瑜James Soong Chu-yu)ว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องพบ เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตื่นขึ้นมากลางดึกและได้พบอังเกอร์ (Unger安克志)จึงเพิ่งทราบข่าวการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อังเกอร์ (Unger安克志)บอกกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ว่าอย่าให้ข่าวนี้รั่วไหลสู่โลกภายนอกก่อน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)โกรธมาก เขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีวิธีใดที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลังจากมีข่าวตลาดหุ้นไทเป(台北)ก็ร่วงลง 10% นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือครั้งแรกระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น 🥳สาม🥳 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 จอมพล สวีเซี่ยงเฉียน(徐向前)ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าว: ยุติการยิงปืนใหญ่โจมตีจินเหมิน(金门)อย่างเป็นทางการ ในวันนี้ สภาประชาชนแห่งชาติ(全国人大)ยังได้ออก "ข้อความถึงเพื่อนร่วมชาติในไต้หวัน(告台湾同胞书)" และเหลียว เฉิงจือ(廖承志)ซึ่งรับผิดชอบกิจการไต้หวัน ก็เผยแพร่จดหมายถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ต่อสาธารณะด้วย: เสนอความร่วมมือครั้งที่สามระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง(國民黨)และ พรรคคอมมิวนิสต์(共產黨) ถึงเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)รู้สึกอ่อนไหวต่อความคิดริเริ่มด้านสันติภาพของเติ้งกง(邓公)มาก เขาปฏิเสธการเยือนไต้หวันของเหลียว เฉิงจือ(廖承志) แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมข้ามช่องแคบ โดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไต้หวัน การแลกเปลี่ยนข้ามช่องแคบเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปีค.ศ. 1981 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้อนุญาตให้ ซีโข่ว(溪口) เจ้อเจียง(浙江)ปรับปรุงที่พักอาศัยเดิมของเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) และสุสานของมาดาม เหมา (毛)ซึ่งเป็นยายของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) ว่ากันว่าทั้ง เติ้งกง(邓公)และ เหลียว เฉิงจือ(廖承志)รู้ว่าเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)เป็นลูกกตัญญู ภาพถ่ายสิ่งต่างๆที่ได้รับการซ่อมแซมได้ถูกส่งไปยังเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) เห็นรูปถ่ายเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อสาธารณะ แต่เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เชื่อว่าถึงเวลาสำหรับการเจรจาแล้ว เขาจึงค้นเลือกหาคนกลาง และคนกลางคนนี้คือ ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀) เขาคิดว่าลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)ทำหน้าที่เป็นคนกลางน่าจะเหมาะสมกว่า ในปีค.ศ. 1981 เติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) เยือนสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบประสบการณ์ของสิงคโปร์ในด้านการปกครองระดับชาติ ในปีค.ศ. 1983 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวกับลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เป็นการส่วนตัวว่า: ภายใต้การปฏิรูปและการทูตเชิงปฏิบัติของเติ้ง เสี่ยวผิง(邓小平) แผ่นดินใหญ่จะแข็งแกร่งขึ้น “หากแผ่นดินใหญ่และไต้หวันรวมกัน อนาคตของจีนจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นจีนและอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการคืนฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1986 ลี กวนยู(Lee Kuan Yew李光耀)เดินทางไปไต้หวันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國) และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)กล่าวว่า: เขาจะเปลี่ยนแปลงไต้หวัน แต่เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเช่นไร ในปี ค.ศ. 1987 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในไต้หวัน พรรคก๊กมินตั๋ง(国民党)นอกเหนือจากการยกเลิกคำสั่งห้ามพรรคและการห้ามหนังสือพิมพ์แล้ว ยังอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ แต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1988 เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ก็เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการป่วย หลังจากข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ไปถึงปักกิ่ง เติ้งกง(邓公)ก็จัดการประชุมระดับสูงทันที หลังจากได้ฟังรายงานเกี่ยวกับการทำงานเรื่องไต้หวันแล้ว เขาเชื่อว่าการรวมชาติเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เมื่อเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)จากไป การรวมชาติอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ยากลำบาก เขาคร่ำครวญ: "เจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ตายเร็วเกินไป" เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นี้ เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)และเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ได้เผชิญหน้ากันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียต ทั้งสองมีความเชื่อร่วมกัน ต่อมาเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ทรยศต่อศรัทธาและติดตามเจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek蔣介石) จนกระทั่งเจี่ยง จิงกั๋ว(Chiang Ching-kuo蔣經國)ขึ้นสู่อำนาจที่ทั้งสองได้พบกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พบกันมาห้าสิบหรือหกสิบปีแล้ว แต่ทั้งสองก็คิดถึงประเด็นการรวมชาติ 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 2 ‘เยวี่ย’

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึง ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะที่สุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์พึงมี (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数)

    สัปดาห์ที่แล้วคุยกันเรื่องทักษะแรกคือห้าพิธีการ วันนี้คุยกันต่อถึงทักษะที่สองคือ ‘เยวี่ย’ เรียกรวมกว่าหกดนตรี ซึ่ง Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจหลายคนคงเข้าใจผิดเหมือน Storyฯ ว่ามันหมายถึงการเล่นดนตรี และภาพที่ลอยมาในหัวคือคุณชายดีดพิณหรือเป่าขลุ่ย

    แต่จริงๆ แล้ว ‘เยวี่ย’ ในบริบทของหกทักษะของสุภาพบุรุษนี้หมายถึงการเต้นรำ

    ใช่ค่ะ สุภาพบุรุษโบราณต้องเรียนรู้ที่จะเต้นรำ แต่มันไม่ใช่การเต้นรำทั่วไป หากแต่หมายถึงการเต้นรำหมู่ของบุรุษประกอบการบวงสรวงหรืองานสำคัญ ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในซีรีส์

    ‘ลิ่วเยวี่ย’ หรือหกดนตรี คือคำเรียกย่อของระบำหกยุคสมัย ‘ลิ่วไต้เยวี่ยอู่’ (六代乐舞) ซึ่งมีมาแต่หกยุคสมัยจีนโบราณบรรพกาล ประกอบด้วย
    (1) ‘อวิ๋นเหมินต้าเจวี้ยน’ (云门大卷/ระบำประตูเมฆ) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อวิ๋นเหมิน’ เป็นการงานเฉลิมฉลองร่วมกับประชาชนในสมัยของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้ ประมาณสองพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นการแซ่ซ้องคุณงามความดีและความเรืองรองของรัชสมัย จากรูปวาดโบราณจะเห็นว่าเป็นการเล่นเครื่องดนตรีบางชนิดไปพร้อมกับเดินเต้นไปด้วย ระบำนี้ในยุคสมัยโจวถูกใช้เป็นระบำหลักในการบวงสรวงฟ้าและเทพยดา
    (2) ‘เสียนฉือ’ (咸池) หรือ ‘ต้าเสียน’ (大咸) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิเหยา (ประมาณสองพันสามร้อยปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งคำว่าเสียนฉือเป็นชื่อเรียกเดิมของทิศพยัคฆ์ขาวหรือทิศตะวันตก ระบำเสียนฉือจึงถูกนำมาใช้เป็นระบำสักการะดินและเทพเจ้าแห่งผืนดิน
    (3) ‘ต้าสาว’ (大韶) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิซุ่น (ประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่เชิดชูความงดงามของธรรมชาติรอบกาย ผสมผสานบทกลอน ดนตรี และระบำเข้าด้วยกัน กล่าวคือมีคนอ่านกลอนเป็นท่วงทำนอง มีเสียงเครื่องดนตรีนับสิบชนิดบรรเลงประกอบโดยเน้นเสียงขลุ่ยเซียวเป็นหลัก และมีคนสวมหน้ากากแสดงเป็นเหล่าปักษาและนกเฟิ่งหวงฟ้อนรำ ถูกใช้เป็นระบำบวงสรวงสี่ทิศ
    (4) ‘ต้าเซี่ย’ (大夏) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์เซี่ย (ประมาณสองพันปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต้าสู่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถูกใช้เป็นระบำสักการะขุนเขาและสายน้ำ เป็นระบำโบราณเดียวที่ยังคงสืบทอดมาจวบจนปัจจุบันแม้ว่าจะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่น้อย(ดูรูปประกอบ)
    (5) ‘ต้าฮู่’ (大濩) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณหนึ่งพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์เซี่ยสำเร็จ ใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษ
    (6) ‘ต้าอู่’ (大武) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์โจว เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์ซางสำเร็จ ถูกใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษเช่นกัน

    ทั้งนี้ ระบำสี่แบบแรกเป็นแบบที่เรียกว่า ‘เหวิน’ (หรือบุ๋น) แต่ระบำสองแบบสุดท้ายเป็นแบบที่เรียกว่า ‘อู่’ (หรือบู๊) ซึ่งเป็นการแสดงออกแนวฮึกเหิม นักแสดงถือโล่และอาวุธเช่นขวาน (แต่ไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนใน <กำเนิดเทพเจ้า 1 อาณาจักรแห่งพายุ> นะ) ทั้งหมดนี้มีการกำหนดจัดเรียงแถวอย่างชัดเจน รวมแปดแถว แต่ละแถวแปดคน รวมหกสิบสี่คน และในงานใหญ่อาจมีการจัดการรำหลายแบบพร้อมกันบนลานกว้าง

    นอกจากนี้ ในงานใหญ่ยังมีการรำเสริมโดยเหล่าราชนิกุลชาย โดยกำหนดเป็นการรำอีกหกรูปแบบเรียกเป็น ‘รำเล็ก’ เพราะเป็นการรำเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดในชนิดของระบำ ทั้งนี้ ราชนิกุลชายในยุคราชวงศ์โจวเมื่ออายุสิบสามปีก็จะเริ่มเรียน ‘รำเล็ก’ อายุสิบห้าเรียนรำอาวุธ และเมื่ออายุได้ยี่สิบก็เรียน ‘รำใหญ่’ สำหรับพิธีบวงสรวงซึ่งก็คือหกระบำที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง และเมื่อสำเร็จการเรียนรู้ระบำต่างๆ เหล่านี้แล้วจึงเข้ารับราชการบรรจุเป็นขุนนางได้

    ทักษะด้านการรำนี้ ถูกใช้สอนในเรื่องของความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และช่วยปรับท่าทางการเดินเหินให้สง่าผึ่งผาย รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับงานสักการะต่างๆ แน่นอนว่าสุภาพบุรุษต้องเรียนรู้การเล่นดนตรี เพียงแต่มันได้ถูกระบุเป็นหกทักษะของสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง

    สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://app.xinhuanet.com/news/article.html?articleId=1e283da99d5077df8508b27c88bfaeae
    https://chinakongzi.org/zt/2021jikong/yange/202109/t20210922_521023.htm https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/六艺/238715
    https://m.jiemian.com/article/1154435.html
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083
    https://h.bkzx.cn/knowledge/1733

    #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    หกทักษะของสุภาพบุรุษ ตอน 2 ‘เยวี่ย’ สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึง ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะที่สุภาพบุรุษในตระกูลสูงศักดิ์พึงมี (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) ซึ่งในบันทึกพิธีการโจวหลี่ระบุไว้ว่าคือ 1. ห้าพิธีการ (หลี่/礼) 2. หกดนตรี (เยวี่ย/乐) 3. ห้าการยิงธนู (เซ่อ/射) 4. ห้าการขับขี่ (อวี้/御) 5. หกอักษร (ซู/书) และ 6. เก้าคำนวณ (ซู่/数) สัปดาห์ที่แล้วคุยกันเรื่องทักษะแรกคือห้าพิธีการ วันนี้คุยกันต่อถึงทักษะที่สองคือ ‘เยวี่ย’ เรียกรวมกว่าหกดนตรี ซึ่ง Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจหลายคนคงเข้าใจผิดเหมือน Storyฯ ว่ามันหมายถึงการเล่นดนตรี และภาพที่ลอยมาในหัวคือคุณชายดีดพิณหรือเป่าขลุ่ย แต่จริงๆ แล้ว ‘เยวี่ย’ ในบริบทของหกทักษะของสุภาพบุรุษนี้หมายถึงการเต้นรำ ใช่ค่ะ สุภาพบุรุษโบราณต้องเรียนรู้ที่จะเต้นรำ แต่มันไม่ใช่การเต้นรำทั่วไป หากแต่หมายถึงการเต้นรำหมู่ของบุรุษประกอบการบวงสรวงหรืองานสำคัญ ซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในซีรีส์ ‘ลิ่วเยวี่ย’ หรือหกดนตรี คือคำเรียกย่อของระบำหกยุคสมัย ‘ลิ่วไต้เยวี่ยอู่’ (六代乐舞) ซึ่งมีมาแต่หกยุคสมัยจีนโบราณบรรพกาล ประกอบด้วย (1) ‘อวิ๋นเหมินต้าเจวี้ยน’ (云门大卷/ระบำประตูเมฆ) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘อวิ๋นเหมิน’ เป็นการงานเฉลิมฉลองร่วมกับประชาชนในสมัยของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้ ประมาณสองพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นการแซ่ซ้องคุณงามความดีและความเรืองรองของรัชสมัย จากรูปวาดโบราณจะเห็นว่าเป็นการเล่นเครื่องดนตรีบางชนิดไปพร้อมกับเดินเต้นไปด้วย ระบำนี้ในยุคสมัยโจวถูกใช้เป็นระบำหลักในการบวงสรวงฟ้าและเทพยดา (2) ‘เสียนฉือ’ (咸池) หรือ ‘ต้าเสียน’ (大咸) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิเหยา (ประมาณสองพันสามร้อยปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งคำว่าเสียนฉือเป็นชื่อเรียกเดิมของทิศพยัคฆ์ขาวหรือทิศตะวันตก ระบำเสียนฉือจึงถูกนำมาใช้เป็นระบำสักการะดินและเทพเจ้าแห่งผืนดิน (3) ‘ต้าสาว’ (大韶) เป็นระบำจากยุคสมัยจักรพรรดิซุ่น (ประมาณสองพันสองร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่เชิดชูความงดงามของธรรมชาติรอบกาย ผสมผสานบทกลอน ดนตรี และระบำเข้าด้วยกัน กล่าวคือมีคนอ่านกลอนเป็นท่วงทำนอง มีเสียงเครื่องดนตรีนับสิบชนิดบรรเลงประกอบโดยเน้นเสียงขลุ่ยเซียวเป็นหลัก และมีคนสวมหน้ากากแสดงเป็นเหล่าปักษาและนกเฟิ่งหวงฟ้อนรำ ถูกใช้เป็นระบำบวงสรวงสี่ทิศ (4) ‘ต้าเซี่ย’ (大夏) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์เซี่ย (ประมาณสองพันปีก่อนคริสตกาล) เป็นระบำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต้าสู่แก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถูกใช้เป็นระบำสักการะขุนเขาและสายน้ำ เป็นระบำโบราณเดียวที่ยังคงสืบทอดมาจวบจนปัจจุบันแม้ว่าจะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาไม่น้อย(ดูรูปประกอบ) (5) ‘ต้าฮู่’ (大濩) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์ซาง (ประมาณหนึ่งพันหกร้อยปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์เซี่ยสำเร็จ ใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษ (6) ‘ต้าอู่’ (大武) เป็นระบำยุคสมัยราชวงศ์โจว เพื่อเฉลิมฉลองการล้มราชวงศ์ซางสำเร็จ ถูกใช้เป็นระบำสักการะบรรพบุรุษเช่นกัน ทั้งนี้ ระบำสี่แบบแรกเป็นแบบที่เรียกว่า ‘เหวิน’ (หรือบุ๋น) แต่ระบำสองแบบสุดท้ายเป็นแบบที่เรียกว่า ‘อู่’ (หรือบู๊) ซึ่งเป็นการแสดงออกแนวฮึกเหิม นักแสดงถือโล่และอาวุธเช่นขวาน (แต่ไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนใน <กำเนิดเทพเจ้า 1 อาณาจักรแห่งพายุ> นะ) ทั้งหมดนี้มีการกำหนดจัดเรียงแถวอย่างชัดเจน รวมแปดแถว แต่ละแถวแปดคน รวมหกสิบสี่คน และในงานใหญ่อาจมีการจัดการรำหลายแบบพร้อมกันบนลานกว้าง นอกจากนี้ ในงานใหญ่ยังมีการรำเสริมโดยเหล่าราชนิกุลชาย โดยกำหนดเป็นการรำอีกหกรูปแบบเรียกเป็น ‘รำเล็ก’ เพราะเป็นการรำเดี่ยวหรือกลุ่มเล็ก แต่ Storyฯ ขอไม่ลงรายละเอียดในชนิดของระบำ ทั้งนี้ ราชนิกุลชายในยุคราชวงศ์โจวเมื่ออายุสิบสามปีก็จะเริ่มเรียน ‘รำเล็ก’ อายุสิบห้าเรียนรำอาวุธ และเมื่ออายุได้ยี่สิบก็เรียน ‘รำใหญ่’ สำหรับพิธีบวงสรวงซึ่งก็คือหกระบำที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง และเมื่อสำเร็จการเรียนรู้ระบำต่างๆ เหล่านี้แล้วจึงเข้ารับราชการบรรจุเป็นขุนนางได้ ทักษะด้านการรำนี้ ถูกใช้สอนในเรื่องของความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และช่วยปรับท่าทางการเดินเหินให้สง่าผึ่งผาย รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับงานสักการะต่างๆ แน่นอนว่าสุภาพบุรุษต้องเรียนรู้การเล่นดนตรี เพียงแต่มันได้ถูกระบุเป็นหกทักษะของสุภาพบุรุษเท่านั้นเอง สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://app.xinhuanet.com/news/article.html?articleId=1e283da99d5077df8508b27c88bfaeae https://chinakongzi.org/zt/2021jikong/yange/202109/t20210922_521023.htm https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/六艺/238715 https://m.jiemian.com/article/1154435.html https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083 https://h.bkzx.cn/knowledge/1733 #กำเนิดเทพเจ้า #เฟิงเสิน #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2ตค.67 ตรงกับวันแรม15ค่ำเดือนสิบ เป็นวันทำบุญเดือนสิยครั้งที่2ของพี่น้องชาวพุทธปักษ์ใต้ เรานำข้าวปลาอาหารพร้อมขนมเดือนสิบไปทำบุญเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มีการส่งตายายและชิงเปรตกันในวันนี้
    2ตค.67 ตรงกับวันแรม15ค่ำเดือนสิบ เป็นวันทำบุญเดือนสิยครั้งที่2ของพี่น้องชาวพุทธปักษ์ใต้ เรานำข้าวปลาอาหารพร้อมขนมเดือนสิบไปทำบุญเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มีการส่งตายายและชิงเปรตกันในวันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠

    คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University)

    ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)

    ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง

    เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

    แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร

    น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ

    นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา

    นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต

    ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง

    ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน!

    ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน

    นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย

    อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์...

    ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ?

    ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา

    🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#ปู่ของปู่เล่าให้เขาว่า🤠 คนจีนคนไหนที่คนอเมริกันนับถือมากที่สุด? บางคนพูดว่าขงจื๊อ บางคนบอกว่าจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ บางคนบอกว่าหยางเจวิ้นหนิง(楊振寧) บางคนบอกว่าบรูซลี บางคนบอกว่าเฉิงหลง(成龍) และเจ็ต ลี(李連杰) ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาทั้งหมดประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในสาขาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขงจื๊อ การมีอิทธิพลกระทบในระดับโลกของเขาอาจกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์ตลอดทุกยุคสมัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือมีคนจีนที่ไม่มีผลการเรียนดีหรือเป็นที่รู้จัก ไม่มีใครรู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ แต่เขาอาศัยลำพังด้วยตัวคนเดียวก่อตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ชื่อเสียงซึ่งโด่งดังที่เราคุ้นเคยเช่น หูชื่อ(胡適) เถาสิงจวือ(陶行知) เฝิง อิ่วหลาน(馮友蘭) หม่า หยินชู(馬寅初) พาน กวงต้าน(潘光旦) สวี จวื่อหมอ(徐志摩) เหวิน อิตวอ(聞一多) ฯลฯ ล้วนมาจากที่นี่ – นี่คือภาควิชาเอเชียตะวันออกที่มีชื่อเสียงระดับโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย(Columbia University) ชื่อของเขาคือ ติงหลง(丁龍) (ทับศัพท์) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลกว่างตง(廣東)เมื่อปี ค.ศ. 1857 ในขณะนั้น ประเทศจีนกำลังประสบปัญหาภายในและภายนอก และอยู่ในความวุ่นวาย ชาวจีนจำนวนมากต้องหนีออกไปต่างประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ หรือถูกค้ามนุษย์ไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ โชคไม่ดีที่ ติงหลง(丁龍)วัย 18 ปีได้กลายเป็นหนึ่งในนั้นและถูกค้ามนุษย์ไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ลูกหมู" และกลายเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายพล นายพลคนนี้คือนายพลชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เป็นคนฉลาดและขยันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแต่เขาจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เขายังพูดปราศรัยในฐานะตัวแทนของบัณฑิตดีเด่นในปีนั้นด้วย หลังจากสำเร็จการศึกษาเขาได้เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกเพื่อพัฒนาอาชีพของเขา ในช่วงสมัยตื่นทองเขาประสบความสำเร็จในการสร้างตัว ต่อมาเขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งแคลิฟอร์เนีย(Bank Of California)และกลายเป็นประธานธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่ในดินแดนรกร้างของสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์( Auckland)" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ แนวเขื่อนกันคลื่น และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทางรถไฟสายแปซิฟิกตอนกลาง(Central Pacific Railroad) และเป็นประธานของบริษัทบริษัทโทรเลขแคลิฟอร์เนีย (California Telegraph) และ บริษัท โอเวอร์แลนด์เทเลกราฟ จำกัด(Overland Telegraph Company) ซึ่งก่อตั้งสายโทรเลขสายแรกที่เชื่อมชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เขายังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหารของบริษัทรถไฟหลายแห่งอีกด้วย เนื่องจากเขาเคยทำหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย เขาจึงเป็นที่รู้จักในนาม "นายพล" ในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสร้างเมืองใหม่เอี่ยมบนดินแดนร้างในสหรัฐอเมริกาโดยลำพัง โดยตั้งชื่อเมืองว่า "โอ๊คแลนด์" ประกาศตนเป็นนายกเทศมนตรี และสร้างโรงเรียน ท่าเรือ ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถือว่าความมั่งคั่งเป็นชีวิตของเขา มีอารมณ์ไม่ดี อยู่คนเดียวตลอดชีวิตและมักจะทุบตีและดุด่าคนรับใช้ของเขา วันหนึ่ง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)อารมณ์ไม่ดี ดื่มไวน์มาก ตะโกนใส่คนรับใช้ และพูดทันทีว่าเขาจะไล่ทุกคนออก รวมถึงติงหลง(丁龍)ด้วย คนรับใช้คนอื่นไม่พอใจ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)มานานแล้วและใช้โอกาสนี้จากไปทีละคน วันรุ่งขึ้น หลังจากที่สร่างเมา ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ก็ตระหนักถึงความผิดพลาดที่เขาทำและเตรียมที่จะต้องเผชิญกับการอดอาหาร น่าแปลกที่ ติงหลง(丁龍)ไม่เพียงแต่ไม่จากไป แต่ยังเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อยให้เขาตามปกติอีกด้วย ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)พูดด้วยความประหลาดใจ: ทำไมคุณไม่จากไปเหมือนพวกเขาล่ะ? ติงหลง(丁龍)พูดอย่างใจเย็น: แม้ว่าคุณจะมีอารมณ์ไม่ดี แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนดี นอกจากนี้ ตามคำสอนของขงจื๊อ ฉันไม่สามารถจากคุณไปอย่างกะทันหันได้ ขงจื๊อจีนเคยกล่าวไว้ว่า: จงภักดีต่อผู้อื่น เมื่อคุณได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น คนต้องภักดีต่อสิ่งต่างๆ นายพลท่านนี้ประหลาดใจมาก เขาคิดว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรม จึงพูดว่า: ขงจื๊อเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนเมื่อหลายพันปีก่อน ฉันไม่รู้ว่าคุณอ่านหนังสือและเข้าใจวิถีแห่งปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าติงหลง(丁龍)ตอบกลับมาว่า: ฉันไม่รู้หนังสือ แต่พ่อบอกฉันเอง ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)คิดว่าพ่อของเขาเป็นคนรู้หนังสือมีวัฒนธรรมหรือเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงอีกว่า ติงหลง(丁龍)ตอบว่า พ่อของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของฉันเล่าให้เขาฟัง แม้แต่ปู่ของฉันก็อ่านหนังสือไม่ออกและไม่อ่านหนังสือ ปู่ของปู่เล่าให้เขาฟังเอง สุงขึ้นไปกว่านั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สรุปได้ว่า ครอบครัวของฉันมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและไม่มีการศึกษา นายพลชาวอเมริกันตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าชาวจีนที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่น ติงหลง(丁龍)จะมีจิตใจที่เรียบง่ายและเที่ยงธรรมและความภักดีที่โดดเด่นเช่นนี้! ด้วยวิธีนี้ ติงหลง(丁龍) ได้รับความชื่นชมจาก ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) อย่างรวดเร็ว จากผู้ช่วยระดับต่ำสุดเขากลายเป็นแม่บ้านของ ฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) และในที่สุดก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต ติงหลง(丁龍) ขยันและประหยัด ภักดีต่อเจ้านายของเขา และไม่เคยแต่งงานในชีวิตนี้ ค่าตอบแทนที่เขาประหยัดได้จากการทำงานในปีต่อ ๆ มาก็เป็นเงินออมที่น่าทึ่งเช่นกัน เมื่อเขาเกษียณ เขาขอลาออกจากฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier) นายท่านไม่เต็มใจที่จะทิ้งคนรับใช้ที่อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับเขา และถามว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก อย่างไรก็ตาม คำตอบของติงหลง(丁龍)ทำให้นายพลตกใจอีกครั้ง ติงหลง(丁龍) เห็นว่าชาวจีนถูกรังแกในสหรัฐอเมริกา แทนที่จะขอเงินบำนาญจำนวนให้มากไว้เลี้ยงชีวิตในบั้นปลาย แต่เขาขอให้เจ้าของช่วยออกมาออกหน้าช่วยในการที่เขาบริจาคเงินออมทั้งชีวิตจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยขอให้มหาวิทยาลัยก่อตั้งแผนกภาควิชาภาษาจีนศึกษา เพื่อการศึกษา วัฒนธรรมมาตุภูมิของเขาเพื่อให้ชาวอเมริกันเข้าใจจีน! ปีนั้นเป็นปีแห่งความทุกข์ทรมานของจีน รัฐบาลชิง(清)ถูกบังคับให้ลงนามใน "สนธิสัญญาซินโจว(辛丑條約)" ชาวจีนถูกชาวตะวันตกดูหมิ่นมากยิ่งขึ้น เสียงต่อต้านจีนก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ชาวจีนผู้ต่ำต้อยคนนี้ ด้วยการกระทำที่ไม่ธรรมดาของเขา กลายเป็นความฉลาดที่หาได้ยากของคนจีนในปีสีเทานี้ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินก้อนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น แต่ก็ยังเป็นเพียงเศษสตางค์ในการสร้างแผนกในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)ไม่ท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยความจริงใจ: ท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ข้าพเจ้าขอมอบเช็คเงินสดจำนวน 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบริจาคให้กับกองทุนวิจัยจีนศึกษาของโรงเรียนของคุณ ลายเซ็นคือ: ติงหลง(丁龍) ชาวจีน เขาแนะนำติงหลง(丁龍) ดังนี้ นี่เป็นบุคคลที่หายาก มีความสม่ำเสมอ ดูมีระดับ มีน้ำใจ กล้าหาญ และใจดี ในด้านธรรมชาติและการศึกษาเขาเป็นผู้ศรัทธาในขงจื๊อ ในด้านพฤติกรรม เขาเป็นเหมือนคนเคร่งครัด ในด้านความเชื่อ เขาเป็น นับถือศาสนาพุทธ แต่โดยอุปนิสัยแล้ว เขาเป็นเหมือนคริสเตียน นายพลฮอเรซ วอลโพล คาร์เพนเทียร์ (Horace Walpole Carpentier)เองก็เพิ่มเงินเพิ่มอีก 500,000 ดอลลาร์ และต่อมาก็เพิ่มเงินอีก เขายังขายบ้านในแมนฮัตตันซึ่งเป็นเงินออมเกือบทั้งหมด ในสุดท้ายย้ายไปอยู่บ้านเก่าในชนบท ข่าวที่ว่ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้จัดตั้งภาควิชาภาษาจีนศึกษาได้แพร่กระจายไปทั่วเป่ยผิง (北平) ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับรัฐบาลแมนจูและราชวงศ์ชิง(清) จักรพรรดินีอัครมเหสีฉือซี(慈禧) บริจาคหนังสือมากกว่า 5,000 เล่ม หลี่หงจาง(李鴻章)และอู๋ถิงฟาง(伍廷芳)ทูตของรัฐบาลชิง(清)ประจำสหรัฐอเมริกา และคนอื่นๆ ต่างบริจาคเงิน รวมถึงหนังสืออ้างอิงที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น นั่นคือ คอลเลกชันหนังสือโบราณและสมัยใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิ(欽定古今圖書集成) จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ยังคงจัดแสดงอยู่ในห้องสมุดเอเชียตะวันออกของโคลัมเบีย อย่างไรก็ตาม ติงหลง(丁龍)หายตัวไปหลังปีค.ศ. 1906 บางคนบอกว่าเขาซื้อตั๋วเรือและกลับไปยังบ้านเกิดที่เขาใฝ่ฝัน บางคนบอกว่าเขากลับไปที่บ้านเกิดของนายพลคาโปนในนิวยอร์ก เพราะบางคนแปลกใจที่พบว่า ว่าในเมืองเล็กๆ นั้น มี "ถนนติงหลง" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของเขา กล่าวโดยสรุป ทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาหายไปอย่างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาและพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์... ในปีค.ศ. 2007 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่ประกาศเกี่ยวกับบุคคลสูญหายเกี่ยวกับ ติงหลง(丁龍)และ China Central Television ก็เข้าร่วมด้วย คนรับใช้ที่มีสถานะต่ำต้อย อาจสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองและทำให้บรรพบุรุษของเขาภูมิใจได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนและไม่แยแสต่อชื่อเสียงและโชคลาภ ด้วยร่างกายวิญญาณเช่นนี้ วิสัยทัศน์เช่นนี้ และจิตวิญญาณเช่นนี้ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีน มีสักกี่คนที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้ ? ? ชื่อ ติงหลง(丁龍)ที่ปรากฏอยู่นี้ ทุกคนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา ไม่มีใครไม่เคยได้ยินมา และไม่มีใครไม่รู้ว่า ตามที่แสดงความคิดเห็นในประกาศผู้สูญหาย: ติงหลง(丁龍)เป็นผู้บริจาคเงิน และที่สำคัญกว่านั้นคือมีส่วนสนับสนุนวิสัยทัศน์และอุดมคติของเขา 🥳โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ ธุรกิจที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จะประสบความสำเร็จเฮงๆสุดขีด ทำธุรกิจค้าของเก่าวัตถุโบราณจะได้ของดีมีราคา มีชื่อเสียง โชคดีมาเยือน (หากมีคนหัวล้านมาเยือนจะทำให้ยิ่งโชคดี) มีข่าวจากแดนไกล จะมีทรัพย์สมบัติสะสมได้รับมรดกทรัพย์สมบัติเก่าแก่จากบรรพบุรุษมาแบ่งปัน อีกทั้งลูกหนี้จะกลับมาติดต่อขอชำระหนี้แต่จะถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ติดคุกติดตะรางได้หากไปทำสัญญาปกปิดไม่เปิดเผยในที่ๆลับตา ทั้งเจ้าที่จะทวงถามคำมั่นที่เคยบนบานศาลกล่าวกันไว้ให้แก้บนแล้วก็จะดีขึ้น สุขภาพจะมีปัญหาที่ระบบย่อย เด็กรุ่นๆจะเจ็บป่วยที่ท้อง ลำไส้ แผ่นหลัง กระดูกสันหลัง แขน ขา นิ้ว สตรีเพศจะป่วยทางจิตสาเหตุจากการเป็นม่าย
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ ธุรกิจที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จะประสบความสำเร็จเฮงๆสุดขีด ทำธุรกิจค้าของเก่าวัตถุโบราณจะได้ของดีมีราคา มีชื่อเสียง โชคดีมาเยือน (หากมีคนหัวล้านมาเยือนจะทำให้ยิ่งโชคดี) มีข่าวจากแดนไกล จะมีทรัพย์สมบัติสะสมได้รับมรดกทรัพย์สมบัติเก่าแก่จากบรรพบุรุษมาแบ่งปัน อีกทั้งลูกหนี้จะกลับมาติดต่อขอชำระหนี้แต่จะถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ติดคุกติดตะรางได้หากไปทำสัญญาปกปิดไม่เปิดเผยในที่ๆลับตา ทั้งเจ้าที่จะทวงถามคำมั่นที่เคยบนบานศาลกล่าวกันไว้ให้แก้บนแล้วก็จะดีขึ้น สุขภาพจะมีปัญหาที่ระบบย่อย เด็กรุ่นๆจะเจ็บป่วยที่ท้อง ลำไส้ แผ่นหลัง กระดูกสันหลัง แขน ขา นิ้ว สตรีเพศจะป่วยทางจิตสาเหตุจากการเป็นม่าย ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • หกทักษะของสุภาพบุรุษจีนโบราณ ตอน 1 ‘หลี่’

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <องค์หญิงใหญ่> จะจำได้ว่าองค์หญิงหลี่หรงจัดงานเลี้ยงเพื่อทำความรู้จักกับแคนดิเดทราชบุตรเขย โดยในระหว่างงานเลี้ยงได้กำหนดให้เหล่าคุณชายแสดงความสามารถตาม ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะของสุภาพบุรุษ (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) และหกทักษะนี้ได้รับการกล่าวถึงในหลากหลายละครและนิยายจีนโบราณด้วยเช่นกัน

    หกทักษะนี้คือพื้นฐานความรู้ด้านต่างๆ อันแฝงไว้ซึ่งปรัชญาและคำสอนของขงจื๊อ เชื่อว่าเพื่อนเพจเคยผ่านตาผ่านหูว่า หกทักษะนี้คือ พิธีการ (หลี่/礼) ดนตรี (เยวี่ย/乐) ยิงธนู (เซ่อ/射) ขับขี่ (อวี้/御) อักษรศาสตร์ (ซู/书) และคำนวณ (ซู่/数) แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจคงไม่รู้ถึงรายละเอียดของมัน

    หกทักษะปรากฏอยู่ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ (เป็นบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นเพื่อรวมรวมข้อมูลพิธีการและความรู้ด้านต่างๆ จากสมัยราชวงศ์โจว) ในรายละเอียดประกอบด้วย ห้าพิธีการ หกดนตรี ห้าธนู ห้าขับขี่ หกอักษร และเก้าคำนวณ และมีการอธิบายไว้ชัดเจนว่าองค์ประกอบของมันมีอะไรบ้าง Storyฯ อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่เหนือความคาดหมาย เลยมาเล่าสู่กันฟัง แต่ขอแบ่งเล่าเป็นหลายตอนเพื่อไม่ให้บทความยาวเกินไป

    ทักษะแรกคือ ‘หลี่’ (礼) ซึ่งแปลได้ว่าพิธีการหรือมารยาท โดยบัณฑิตต้องรู้ถึงรายละเอียดของการเตรียมงาน ขั้นตอนในงาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางตัว เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ และคำพูดที่ถูกต้องเหมาะสม และห้า ‘หลี่’ ที่บัณฑิตต้องรู้คือ
    (1) จี๋หลี่ (吉礼) หมายถึงพิธีการเสริมดวงเสริมบารมี คืองานเซ่นไหว้สักการะและงานบวงสรวงทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ ตามเทศกาลสำคัญหรือกราบไหว้บรรพบุรุษ
    (2) ซยงหลี่ (凶礼) หมายถึงพิธีการเกี่ยวกับภยันตราย โดยหลักคืองานศพ และหมายรวมถึงพิธีการขับไล่สิ่งอัปมงคลในยามที่เกิดอุทกภัยหรือโรคระบาด หรือพิธีการเซ่นไหว้ไว้อาลัยหลังสงคราม
    (3) จวินหลี่ (军礼) หมายถึงพิธีการด้านการทหาร (การจัดขบวน การเคลื่อนทัพ การบวงสรวงต่างๆ เมื่อองค์กษัตริย์ทรงยาตราทัพเอง การเยี่ยมชมและตรวจการกองทัพ และการต้อนรับกองทัพที่กลับจากสงคราม โดยพิธีการมีจำแนกว่าชนะศึกหรือพ่ายศึกกลับมา ฯลฯ) และยังรวมถึงพิธีการเกี่ยวกับงานล่าสัตว์ประจำฤดูของกษัตริย์ และหมายรวมงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านมาร่วมทำเช่นอารามหลวง พระราชวัง ฯลฯ
    (4) ปินหลี่ (宾礼) หมายถึงมารยาทและพิธีการในการต้อนรับแขก โดยจำแนกตามยศศักดิ์ของแขกและผู้ที่ให้การต้อนรับ เช่น กษัตริย์ต้อนรับกษัตริย์แขกเมืองหรือขุนนาง ข้าราชการต้อนรับประชาชนธรรมดา ต้อนรับแขกเมืองระดับต่างๆ ฯลฯ
    (5) เจียหลี่ (嘉礼) หมายถึงพิธีการมงคล ซึ่งจำแนกรายละเอียดตามยศศักดิ์ของเจ้าของงาน เช่นงานราชพิธีต่างๆ (พิธีราชาภิเษก งานแต่งตั้งองค์รัชทายาท งานเลือกชายาและสนม ฯลฯ) งานมงคลสมรส พิธีปักปิ่น พิธีสวมหมวกกวาน พิธีการขอบคุณ พิธีการอำลา งานเลี้ยงสังสรรค์ทั่วไป เป็นต้น

    แน่นอนว่าแต่ละพิธีการเหล่านี้มีรายละเอียดอีกมากมายที่เราไม่ได้ลงรายละเอียดในที่นี้ (หมายเหตุ Storyฯ เคยกล่าวถึงบางพิธีการ เช่นพิธีการปักปิ่น ฯลฯ ลองค้นอ่านบทความเก่าได้จากสารบัญนะคะ) แต่โดยภาพรวมเราจะเห็นได้ว่า ทักษะว่าด้วย ‘หลี่’ นี้ หมายรวมถึงความเข้าใจอย่างละเอียดถึงพิธีการต่างๆ หลักการปฏิบัติและวางตนต่อผู้อื่นและมารยาททางสังคม โดยมาจากแนวคำสอนของขงจื๊อที่ว่า ผู้ที่บกพร่องในทักษะนี้ จะขาดการวางตนที่ดี ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นหรืออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง หรือทำให้เกิดความวุ่นวายสร้างความขุ่นเคืองหรือสับสนต่อผู้อื่นได้ และทำให้สังคมไม่สมานฉันท์

    สัปดาห์หน้าเรามาคุยกันต่อค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.upmedia.mg/news_info.php?Type=196&SerialNo=204949
    https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083
    https://baike.baidu.com/item/六艺/238715
    http://www.dfg.cn/gb/ssht/ly/07-junli.htm
    https://baike.baidu.com/item/五礼/491424

    #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน

    หกทักษะของสุภาพบุรุษจีนโบราณ ตอน 1 ‘หลี่’ สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <องค์หญิงใหญ่> จะจำได้ว่าองค์หญิงหลี่หรงจัดงานเลี้ยงเพื่อทำความรู้จักกับแคนดิเดทราชบุตรเขย โดยในระหว่างงานเลี้ยงได้กำหนดให้เหล่าคุณชายแสดงความสามารถตาม ‘จวินจื่อลิ่วอี้’ (君子六艺) หรือหกทักษะของสุภาพบุรุษ (หมายเหตุ อี้ แปลได้ว่าทักษะความสามารถ) และหกทักษะนี้ได้รับการกล่าวถึงในหลากหลายละครและนิยายจีนโบราณด้วยเช่นกัน หกทักษะนี้คือพื้นฐานความรู้ด้านต่างๆ อันแฝงไว้ซึ่งปรัชญาและคำสอนของขงจื๊อ เชื่อว่าเพื่อนเพจเคยผ่านตาผ่านหูว่า หกทักษะนี้คือ พิธีการ (หลี่/礼) ดนตรี (เยวี่ย/乐) ยิงธนู (เซ่อ/射) ขับขี่ (อวี้/御) อักษรศาสตร์ (ซู/书) และคำนวณ (ซู่/数) แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจคงไม่รู้ถึงรายละเอียดของมัน หกทักษะปรากฏอยู่ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ (เป็นบันทึกที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นเพื่อรวมรวมข้อมูลพิธีการและความรู้ด้านต่างๆ จากสมัยราชวงศ์โจว) ในรายละเอียดประกอบด้วย ห้าพิธีการ หกดนตรี ห้าธนู ห้าขับขี่ หกอักษร และเก้าคำนวณ และมีการอธิบายไว้ชัดเจนว่าองค์ประกอบของมันมีอะไรบ้าง Storyฯ อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่เหนือความคาดหมาย เลยมาเล่าสู่กันฟัง แต่ขอแบ่งเล่าเป็นหลายตอนเพื่อไม่ให้บทความยาวเกินไป ทักษะแรกคือ ‘หลี่’ (礼) ซึ่งแปลได้ว่าพิธีการหรือมารยาท โดยบัณฑิตต้องรู้ถึงรายละเอียดของการเตรียมงาน ขั้นตอนในงาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางตัว เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ และคำพูดที่ถูกต้องเหมาะสม และห้า ‘หลี่’ ที่บัณฑิตต้องรู้คือ (1) จี๋หลี่ (吉礼) หมายถึงพิธีการเสริมดวงเสริมบารมี คืองานเซ่นไหว้สักการะและงานบวงสรวงทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ ตามเทศกาลสำคัญหรือกราบไหว้บรรพบุรุษ (2) ซยงหลี่ (凶礼) หมายถึงพิธีการเกี่ยวกับภยันตราย โดยหลักคืองานศพ และหมายรวมถึงพิธีการขับไล่สิ่งอัปมงคลในยามที่เกิดอุทกภัยหรือโรคระบาด หรือพิธีการเซ่นไหว้ไว้อาลัยหลังสงคราม (3) จวินหลี่ (军礼) หมายถึงพิธีการด้านการทหาร (การจัดขบวน การเคลื่อนทัพ การบวงสรวงต่างๆ เมื่อองค์กษัตริย์ทรงยาตราทัพเอง การเยี่ยมชมและตรวจการกองทัพ และการต้อนรับกองทัพที่กลับจากสงคราม โดยพิธีการมีจำแนกว่าชนะศึกหรือพ่ายศึกกลับมา ฯลฯ) และยังรวมถึงพิธีการเกี่ยวกับงานล่าสัตว์ประจำฤดูของกษัตริย์ และหมายรวมงานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านมาร่วมทำเช่นอารามหลวง พระราชวัง ฯลฯ (4) ปินหลี่ (宾礼) หมายถึงมารยาทและพิธีการในการต้อนรับแขก โดยจำแนกตามยศศักดิ์ของแขกและผู้ที่ให้การต้อนรับ เช่น กษัตริย์ต้อนรับกษัตริย์แขกเมืองหรือขุนนาง ข้าราชการต้อนรับประชาชนธรรมดา ต้อนรับแขกเมืองระดับต่างๆ ฯลฯ (5) เจียหลี่ (嘉礼) หมายถึงพิธีการมงคล ซึ่งจำแนกรายละเอียดตามยศศักดิ์ของเจ้าของงาน เช่นงานราชพิธีต่างๆ (พิธีราชาภิเษก งานแต่งตั้งองค์รัชทายาท งานเลือกชายาและสนม ฯลฯ) งานมงคลสมรส พิธีปักปิ่น พิธีสวมหมวกกวาน พิธีการขอบคุณ พิธีการอำลา งานเลี้ยงสังสรรค์ทั่วไป เป็นต้น แน่นอนว่าแต่ละพิธีการเหล่านี้มีรายละเอียดอีกมากมายที่เราไม่ได้ลงรายละเอียดในที่นี้ (หมายเหตุ Storyฯ เคยกล่าวถึงบางพิธีการ เช่นพิธีการปักปิ่น ฯลฯ ลองค้นอ่านบทความเก่าได้จากสารบัญนะคะ) แต่โดยภาพรวมเราจะเห็นได้ว่า ทักษะว่าด้วย ‘หลี่’ นี้ หมายรวมถึงความเข้าใจอย่างละเอียดถึงพิธีการต่างๆ หลักการปฏิบัติและวางตนต่อผู้อื่นและมารยาททางสังคม โดยมาจากแนวคำสอนของขงจื๊อที่ว่า ผู้ที่บกพร่องในทักษะนี้ จะขาดการวางตนที่ดี ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อผู้อื่นหรืออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง หรือทำให้เกิดความวุ่นวายสร้างความขุ่นเคืองหรือสับสนต่อผู้อื่นได้ และทำให้สังคมไม่สมานฉันท์ สัปดาห์หน้าเรามาคุยกันต่อค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.upmedia.mg/news_info.php?Type=196&SerialNo=204949 https://guoxue.ifeng.com/c/7qhsbaO24FU Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_20109083 https://baike.baidu.com/item/六艺/238715 http://www.dfg.cn/gb/ssht/ly/07-junli.htm https://baike.baidu.com/item/五礼/491424 #องค์หญิงใหญ่ #ทักษะสุภาพบุรุษจีน #ศิลปะสุภาพบุรุษจีน #คำสอนขงจื๊อ #จวินจื่อลิ่วอี้ #สาระจีน
    WWW.UPMEDIA.MG
    張凌赫新劇《度華年》對打王星越《墨雨雲間》 他與趙今麥演歡喜冤家3關鍵獲好評--上報
    張凌赫近年事業蒸蒸日上,他2022年擔任王鶴棣、虞書欣的爆款劇《蒼蘭訣》男配嶄露頭角,接著又在2023年與虞......
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • บรรพบุรุษของไทยปกป้องบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลานทุกคน เราควรร่วมใจกันดูแลสืบไป
    บรรพบุรุษของไทยปกป้องบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลานทุกคน เราควรร่วมใจกันดูแลสืบไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ บรรพบุรุษสุดอับอาย แก้วตา ชุณหวัณ ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล บ่อนทำลายประเทศชาติ
    #7ดอกจิก
    ♣ บรรพบุรุษสุดอับอาย แก้วตา ชุณหวัณ ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล บ่อนทำลายประเทศชาติ #7ดอกจิก
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts