• บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙

    “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม

    ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ

    ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร

    ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!?

    ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น

    กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย

    แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า

    แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗”

    #Thaitimes
    บทความบางส่วนเรื่อง“ช้างบรรณาการ” จากรัชกาลที่ ๔ จบชีวิตที่ร้านขายเนื้อกรุงปารีสจริงหรือ?โดย ไกรฤกษ์ นานา นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน ๒๕๕๙ “ เครื่องราชบรรณาการจากสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ถึงฝรั่งเศส ไม่ได้มีเพียงพระมหามงกุฎเท่านั้น แต่ยังมีช้างสยามอีก ๒ เชือก ที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นนานกว่า ๑๐ ปี แต่อนิจจา ช้างทั้ง ๒ เชือก ต้องเผชิญชะตากรรมน่ารันทด และจบชีวิตลงด้วยฝีมือทหารฝรั่งเศส ใน ค.ศ.๑๘๗๐ เกิดอะไรขึ้นกับของขวัญจากสยาม ช้างบรรณาการจากสยามได้รับการต้อนรับที่ปารีสอย่างอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ได้ทรงมอบให้หน่วยงานของสวนสัตว์กรุงปารีสเป็นผู้ดูแลเป็นอย่างดี จนพอจะคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองหนาว และมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางกับเด็กๆ ที่มาเยี่ยมเยียนสวนสัตว์อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เมื่อใดที่มีการโฆษณาหรือพูดถึงสวนสัตว์ Jardin des Plantes ช้างสยาม ๒ เชือกนี้ก็จะเป็นดาวเด่นในใบโฆษณาเสมอ ที่ปารีสพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ได้พระราชทานชื่อใหม่อันโก้หร่านให้ช้างบรรณาการคู่นี้ว่า คาสเตอร์ และพอลลุกซ์ (Castor & Pollux) ตามชื่อของพระโอรสแฝดของเทพธิดาลีด และเทพเจ้าซีอุส (Leda & Zeus) ทำให้ช้างทั้งคู่มีสถานภาพค่อนข้างมีเส้นสายกับทางราชสำนักและมีกิตติศัพท์พอควร ช้างสยามทั้ง ๒ เชือก ใช้ชีวิตอยู่ภายในสวนสัตว์กรุงปารีสจนมีอายุราว ๑๔ ปี ก็เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นปลายรัชกาลของพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของช้างคู่นี้โดยตรง!? ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐-๗๑ เกิดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พวกสาธารณรัฐนิยมในปารีสฉวยโอกาสทำการปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ แล้วจัดตั้งระบอบสาธารณรัฐขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยโจมตีและประณามพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ว่าเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และอับจน ทรงถูกจับและเนรเทศออกนอกประเทศอย่างน่าเวทนา คุณความดีของราชวงศ์โบนาปาร์ตลบเลือนออกไปจากหัวใจของประชาชนจนหมดสิ้น กรุงปารีสถูกปิดล้อมนานหลายเดือน เกิดยุคข้าวยากหมากแพง แต่ในปารีสเป็นที่อยู่ของทั้งคนรวยและคนจน คนจนต้องจับหนู และเอาหมาแมวที่ตนเลี้ยงไว้มากินกันตาย แต่คนรวยที่อยู่ในปารีสก็ยังพอใช้เงินซื้อหาอาหารได้ แต่ที่ขาดแคลนคืออาหารชั้นดีที่คนมีฐานะต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของสังคมมีระดับปลายปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ทางการจึงตัดสินใจชำแหละเนื้อของสัตว์ในสวนสัตว์อันเป็นแหล่งเนื้อชั้นดีแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และกองกำลังป้องกันชาติตั้งกองกำลังดูแลสัตว์จากการถูกขโมยมาปีกว่า แต่แล้วในที่สุด ช้างสยาม ๒ เชือกสุดท้าย ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้ากรุงสยามก็ถูกสังเวยชีวิตเพื่อเอาใจคนมีฐานะ ถูกฆ่าและชำแหละที่ร้านขายเนื้อ เป็นเมนูอาหารชั้นเลิศ ณ ภัตตาคารหรูของปารีส เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วยุโรปต้นปี ค.ศ. ๑๘๑๗” #Thaitimes
    Sad
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 กันยายน 2567 -เปลว สีเงิน ผู้เขียนคอลัมน์”คนปลายซอย“ วิพากษ์วิจารณ์ ”พริษฐ วัชรสินธุ“'สส.พรรคประชาชน ที่เสนอ ๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญ เตือนอย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก เนื้อหาในบทความระบุว่า

    "นายพริษฐ์ วัชรสินธุ" ที่แสนจะน่าระอา

    ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้พลาสติก มีสี มีฟอร์ม

    แต่...ไม่มีกลิ่น!

    จึงแห้งแล้ง ไม่มีเสน่ห์ ไร้ราคา ค่าแค่มาลัยพลาสติกสวมจอมปลวก ไม่มีวาสนาขึ้นหิ้งบูชาพระ หรืองามสง่าคู่แจกันห้องรับแขก

    หรือถ้าเป็นม้าแข่ง

    ก็เป็น "ม้าพันทาง" วิชาความรู้ปรัชญาการเมืองตามกากตำราฝรั่งเป็น "กะบังตา" สวม

    ก็ไม่เห็นซ้าย-ไม่เห็นขวา เข้าใจว่า โลกนี้ มีแต่ข้างหน้า เป็นทางไปทางเดียวตามตำราบอก ก็วิ่งทื่อตะบึงตรงไป

    หมายถึงว่า อะไรที่ผิดไปจากตำรากูเรียน มันไม่ใช่...มันต้องผิดไปทั้งหมด!

    ดูๆ ไปก็น่าเวทนา...

    ยิ่งเห็นออกมายืนตาแข็งเหมือนตาปลาแช่น้ำยาตามห้องเย็น ท่องตำราประชาธิปไตยว่ากล่าว

    เสนอ "๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๖ ก.ย.๖๗) นี้ด้วยแล้ว

    ต้องร้องว่า...เฮ้อ!

    เป็นอะไรมากมั้ย คุณไอติม ถ้าไม่ไหวกับการแบกตำราละก็ ดื่มนม แล้วกินยานอนพักซะบ้างก็ดีนะ

    คุณตั้งค่ามาตรฐานว่า กฎหมายที่มาจาก สส.-สว. "ระบบรัฐสภา" เท่านั้นที่เป็น "ประชาธิปไตย" ยึดโยงประชาชน

    นอกนั้น ไม่ใช่...ไม่เป็นประชาธิปไตย

    เช่น กฎหมายยุค คสช.หรือยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

    คุณปฏิเสธ "รังเกียจ-ไม่ยอมรับ" ทั้งหมด!

    พร้อม "สวมกะบังตา" ฝรั่ง ชี้เป็นทางที่พรรคส้มจะชักลากไปเมื่อวาน ว่า

    "พรรค ปชน.ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย

    ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา

    ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเดินหน้า ๒ เส้นทางแบบคู่ขนาน นั่นคือ

    -การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับอีกเส้นทาง คือ

    -การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน

    พรรค ปชน.จึงนำเสนอแนวคิด, ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น ๗ แพ็กเกจ

    แพ็กเกจที่ ๑ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร

    แพ็กเกจที่ ๒ “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ

    แพ็กเกจที่ ๓ “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต”

    แพ็กเกจที่ ๔ “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน”

    แพ็กเกจที่ ๕ “ปฏิรูปกองทัพ”

    แพ็กเกจที่ ๖ “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา”

    แพ็กเกจที่ ๗ “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

    ฮึ่ๆ...

    ฟัง "ประชาธิปไตย" ที่พริษฐ์ยกเทิดทูนเป็นประทีปไร้แสงนำทางมืดบอดแล้ว

    นึกถึง "นิทานธรรม" ของหลวงปู่ชา "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)" วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

    ท่านพูดฝรั่งไม่ได้ซักคำ....

    แต่ท่านนำพุทธธรรมไปสอนฝรั่งในยุโรป ในสหรัฐฯ ในเอเชีย จนมีคน "ต่างชาติ-ต่างภาษา" ทั้งฝรั่งและคนเอเชีย ขอบวชเป็นพระ

    มีวัดและสำนักสงฆ์ในสายหลวงปู่ชาเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ แห่ง

    "หลวงปู่ชา" เป็นพระผู้เผยแผ่คำสอนพระพุทธองค์ไปยังตะวันตกเป็นรูปแรกๆ ก็พูดได้เช่นนั้น

    จนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาไปตั้งมั่นในยุโรปชนิด "เคร่งครัด-มั่นคง" ด้านปฏิบัติมุ่งตรง "แก่นพุทธธรรม" ยิ่งกว่าตามวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ

    เคยมีคนนำเรื่องการเมืองไปถามและแสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับ "หลวงปู่ชา"

    พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา

    ฉะนั้น "หลวงปู่ชา" ท่านจะไม่สอนคนตรงๆ แต่จะสอนผ่านอุปมา-อุปไมยเป็น "อุบายธรรม" ให้คนฟังใช้ปัญญาแทงทะลุเอาเอง

    อย่างกรณีโยมผู้นี้....

    เข้าไปกราบหลวงปู่แล้วพูดว่า

    "หลวงพ่อครับ ผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก"

    "มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม" หลวงปู่ชาท่านว่า โยมก็ย้อนถามว่า "ไม่ถูกต้องยังไงครับ?"

    หลวงปู่ชา ท่านก็กล่าวเป็นอุบายธรรมว่า....

    "ยกตัวอย่างมีแมลงวัน ๒๐ ตัว มีแมลงผึ้ง ๑๐ ตัว แมลงวัน ๒๐ ตัวบอกว่า "อุจจาระหอมหวาน อร่อยดี"

    แต่แมลงผึ้ง ๑๐ ตัว บอกว่า "น้ำผึ้งหอมหวาน อร่อยดี"

    ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตย "แมลงวันชนะ" แมลงผึ้ง เพราะคะแนนเสียง "มากกว่า"

    แมลงผึ้งแพ้ เพราะคะแนนเสียง "น้อยกว่า"

    เราเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" มีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น เราควรจะเชื่อใครดี?"

    "นิทานธรรม" เรื่องนี้ มีเผยแพร่ทั่วไป ผู้มีปัญญาก็จะตีความปริศนาธรรมนั้นเข้าใจ ตามที่หลวงปู่ยกเรื่องแมลงวันกับผึ้งเป็นอุปมา-อุปไมย

    หมายถึง "การตัดสินด้วย "หลักประชาธิปไตย" บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลัก "ธรรมาธิปไตย" เข้าไปตัดสิน"

    แล้วพริษฐ์ ....คุณเป็น "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน" ล่ะ?

    ดีกรี "ปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์" เหรียญทอง ออกซฟอร์ด มีปัญญาแยกแยะได้แน่!

    แต่ในการแยกแยะ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจ "สถานะ" ให้ชัด ว่าเราเป็นแมลงวันหรือผึ้ง

    หรือเป็นคนใน "สถานะมนุษย์"?

    เมื่อรู้สถานะ พริษฐ์ ก็คือ "สัตว์ประเสริฐ" ต้องมีปัญญามากกว่าสัตว์แน่นอน

    ฉะนั้น ไหน "ประชาธิปไตย" หรือ "ไม่ประชาธิปไตย" ต้องเข้าใจว่าจะชี้ขาดด้วยมือในระบบรัฐสภา "ประชาธิปไตยเลือกตั้ง" หรือในระบบ "เผด็จการประชาธิปไตย" ตายตัวไม่ได้

    ต้องใช้ "ธรรมาธิปไตย" เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด!

    นี่ไม่ใช่เอะอะ ผมลากเข้าวัดนะ

    ต้องเข้าใจ "ธรรมะ" คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไร "เป็นอยู่อย่างนั้นนิรันดร์"

    หรือพูดอีกที "ความหมุนเวียน-เปลี่ยนแปลง" นั่นแหละนิรันดร์

    ทุกสิ่ง ประกอบด้วยกาล ด้วยเวลา ด้วยสถานะ เมื่อถึงพร้อมแล้ว มันหมุนเวียน-เปลี่ยนผัน จากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ตามเหตุ-ปัจจัย ที่มันต้องเป็นด้วยตัวของมันเอง

    พริษฐ์ไม่ต้องเป็น "จอห์น ล็อก" บิดาแห่งประชาธิปไตยในศตวรรษที่ ๒๑ หรอก

    เป็นแฟน "ออนล็อกหยุ่น" ดีกว่า....

    ไปนั่งกิน breakfast ที่นั่นบ่อยๆ จะเป็นหนทางสร้างสมประสบการณ์ประชาธิปไตย จาก "หลายชีวิต-หลากรุ่น"

    บางที การได้สัมผัสวิถีประชาธิปไตยไทยแท้ๆ อาจทำให้ "ดอกไม้พลาสติก" มีกลิ่นหอมขึ้นมาก็ได้

    ทฤษฎี-หลักการตามตำรา นำมาชี้ขาด "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดดๆ ไม่ได้หรอก

    มันต้องประกอบด้วย "ประสบการณ์" เพราะสังคมหนึ่งๆ มีทั้งประชาชนผึ้ง ทั้งประชาชนแมลงวัน

    ฉะนั้น บางเรื่องจะใช้ "จำนวนมาก" ถือเป็นประชาธิปไตย

    นั่นมันหลักการ "พลเมืองแมลง"

    มันไม่ถูก-ไม่ชอบธรรมตามหลัก "พลเมืองมนุษย์"

    อย่างจะเขียนกฎหมายให้ง่ายต่อการแยก "ราชอาณาจักร" ไปเป็นสาธารณรัฐ

    เขียนกฎหมาย ไม่เน้น "ศีลธรรม-จริยธรรม" ให้เข้าง่าย กินง่าย-โกงง่าย-อยู่ง่าย

    แค่ "มือมาก" ในระบบสภายกให้ ก็หมายความว่า เหล่านั้น เป็นประชาธิปไตยถูกต้องแล้ว

    ถูกตามประชาธิปไตยแมลงวันละก็ใช่

    แต่มัน "ไม่ถูกต้อง-ไม่ชอบธรรม" ตามประชาธิปไตยมนุษย์ ที่ต้องมี "ธรรม" เป็นแกนในกฎ-กติกาสังคม

    พริษฐ์ ว่า "กฎหมายที่มีขณะนี้ "คสช.เขียน" ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด"

    ถ้าอย่างนั้น.....

    ระบอบประชาธิปไตยที่ "คณะราษฎร" สถาปนาเมื่อ ปี ๒๔๗๕ ก็ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้ง เพราะไม่ได้มาตามระบบรัฐสภา

    หากแต่มาจาก "คณะราษฎร" ใช้กำลังไปปล้นพระราชอำนาจจาก "พระมหากษัตริย์" มา

    นั่นเท่ากับคณะราษฎร เป็นเผด็จการ!

    และที่พริษฐ์บอก "รังเกียจ-ปฏิเสธ" ทุกกฎหมาย-ทุกคำสั่งของ คสช.ต้องยกเลิก เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน

    งั้น พริษฐ์และพรรคส้ม ต้องพ้นสภาพ สส.ไปวันนี้เลย

    เพราะ พวกคุณทุกคน ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ที่ให้มีเลือกตั้ง เมื่อรังเกียจ ให้ยกเลิกกฎหมายนั้น

    สส.พวกคุณและพรรคส้ม ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็น สส.ไม่ได้แล้ว!

    เห็นมั้ย พริษฐ์..."ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด" การพูดเอาเท่ ขาดประสบการณ์โลกจริง แยกเหตุ-แยกผล ไม่ได้ ก็ฉิบหายตัวเอง

    อย่าคิดต่ำกว่าหนอนในถังขี้เลย...พริษฐ์

    หนอน กินขี้เลี้ยงชีวิต มันรู้บุญคุณ มันไม่เคยเนรคุณถังขี้

    แต่พริษฐ์ เป็นมนุษย์ มีสมองคิดด้วยจิตสำนึกเหนือหนอน ฉะนั้น อย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก

    จะปฏิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร มีสงครามค่อยเกณฑ์

    พริษฐ์...หิวข้าวตอนไหน ค่อยไปทำตอนนั้น อย่างนั้นหรือ?

    นี่ถ้าวันนี้ไม่มีทหารละก็นะ

    พริษฐ์และคณะส้มต้องไปโกยเลนให้ชาวบ้านที่แม่สายแทน...เอามั้ย?

    กลับบ้าน อาบน้ำ ประแป้ง แล้วกินนมนอน ซะไป...พริษฐ์?!

    -เปลว สีเงิน

    ๒๗ กันยายน ๒๕๖๗

    คนปลายซอย

    ที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/663854/?#m1kerm3y94d8my69xxm

    #Thaitimes
    27 กันยายน 2567 -เปลว สีเงิน ผู้เขียนคอลัมน์”คนปลายซอย“ วิพากษ์วิจารณ์ ”พริษฐ วัชรสินธุ“'สส.พรรคประชาชน ที่เสนอ ๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญ เตือนอย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก เนื้อหาในบทความระบุว่า "นายพริษฐ์ วัชรสินธุ" ที่แสนจะน่าระอา ถ้าเป็นดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้พลาสติก มีสี มีฟอร์ม แต่...ไม่มีกลิ่น! จึงแห้งแล้ง ไม่มีเสน่ห์ ไร้ราคา ค่าแค่มาลัยพลาสติกสวมจอมปลวก ไม่มีวาสนาขึ้นหิ้งบูชาพระ หรืองามสง่าคู่แจกันห้องรับแขก หรือถ้าเป็นม้าแข่ง ก็เป็น "ม้าพันทาง" วิชาความรู้ปรัชญาการเมืองตามกากตำราฝรั่งเป็น "กะบังตา" สวม ก็ไม่เห็นซ้าย-ไม่เห็นขวา เข้าใจว่า โลกนี้ มีแต่ข้างหน้า เป็นทางไปทางเดียวตามตำราบอก ก็วิ่งทื่อตะบึงตรงไป หมายถึงว่า อะไรที่ผิดไปจากตำรากูเรียน มันไม่ใช่...มันต้องผิดไปทั้งหมด! ดูๆ ไปก็น่าเวทนา... ยิ่งเห็นออกมายืนตาแข็งเหมือนตาปลาแช่น้ำยาตามห้องเย็น ท่องตำราประชาธิปไตยว่ากล่าว เสนอ "๗ แพ็กเกจ" แก้รัฐธรรมนูญเมื่อวาน (๒๖ ก.ย.๖๗) นี้ด้วยแล้ว ต้องร้องว่า...เฮ้อ! เป็นอะไรมากมั้ย คุณไอติม ถ้าไม่ไหวกับการแบกตำราละก็ ดื่มนม แล้วกินยานอนพักซะบ้างก็ดีนะ คุณตั้งค่ามาตรฐานว่า กฎหมายที่มาจาก สส.-สว. "ระบบรัฐสภา" เท่านั้นที่เป็น "ประชาธิปไตย" ยึดโยงประชาชน นอกนั้น ไม่ใช่...ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น กฎหมายยุค คสช.หรือยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คุณปฏิเสธ "รังเกียจ-ไม่ยอมรับ" ทั้งหมด! พร้อม "สวมกะบังตา" ฝรั่ง ชี้เป็นทางที่พรรคส้มจะชักลากไปเมื่อวาน ว่า "พรรค ปชน.ยืนยันมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเดินหน้า ๒ เส้นทางแบบคู่ขนาน นั่นคือ -การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด กับอีกเส้นทาง คือ -การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน พรรค ปชน.จึงนำเสนอแนวคิด, ประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น ๗ แพ็กเกจ แพ็กเกจที่ ๑ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร แพ็กเกจที่ ๒ “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ แพ็กเกจที่ ๓ “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต” แพ็กเกจที่ ๔ “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน” แพ็กเกจที่ ๕ “ปฏิรูปกองทัพ” แพ็กเกจที่ ๖ “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา” แพ็กเกจที่ ๗ “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ฮึ่ๆ... ฟัง "ประชาธิปไตย" ที่พริษฐ์ยกเทิดทูนเป็นประทีปไร้แสงนำทางมืดบอดแล้ว นึกถึง "นิทานธรรม" ของหลวงปู่ชา "พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)" วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี ท่านพูดฝรั่งไม่ได้ซักคำ.... แต่ท่านนำพุทธธรรมไปสอนฝรั่งในยุโรป ในสหรัฐฯ ในเอเชีย จนมีคน "ต่างชาติ-ต่างภาษา" ทั้งฝรั่งและคนเอเชีย ขอบวชเป็นพระ มีวัดและสำนักสงฆ์ในสายหลวงปู่ชาเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ แห่ง "หลวงปู่ชา" เป็นพระผู้เผยแผ่คำสอนพระพุทธองค์ไปยังตะวันตกเป็นรูปแรกๆ ก็พูดได้เช่นนั้น จนทุกวันนี้ พระพุทธศาสนาไปตั้งมั่นในยุโรปชนิด "เคร่งครัด-มั่นคง" ด้านปฏิบัติมุ่งตรง "แก่นพุทธธรรม" ยิ่งกว่าตามวัดในเมืองไทยหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ เคยมีคนนำเรื่องการเมืองไปถามและแสดงทัศนะเกี่ยวกับประชาธิปไตยกับ "หลวงปู่ชา" พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา ฉะนั้น "หลวงปู่ชา" ท่านจะไม่สอนคนตรงๆ แต่จะสอนผ่านอุปมา-อุปไมยเป็น "อุบายธรรม" ให้คนฟังใช้ปัญญาแทงทะลุเอาเอง อย่างกรณีโยมผู้นี้.... เข้าไปกราบหลวงปู่แล้วพูดว่า "หลวงพ่อครับ ผมว่ามีประชาธิปไตยก็ดีนะครับ ผู้คนจะได้เคารพในการตัดสินใจของคนหมู่มากเป็นหลัก" "มันก็ไม่ถูกต้องเสมอไปหรอกโยม" หลวงปู่ชาท่านว่า โยมก็ย้อนถามว่า "ไม่ถูกต้องยังไงครับ?" หลวงปู่ชา ท่านก็กล่าวเป็นอุบายธรรมว่า.... "ยกตัวอย่างมีแมลงวัน ๒๐ ตัว มีแมลงผึ้ง ๑๐ ตัว แมลงวัน ๒๐ ตัวบอกว่า "อุจจาระหอมหวาน อร่อยดี" แต่แมลงผึ้ง ๑๐ ตัว บอกว่า "น้ำผึ้งหอมหวาน อร่อยดี" ถ้าพูดตามหลักประชาธิปไตย "แมลงวันชนะ" แมลงผึ้ง เพราะคะแนนเสียง "มากกว่า" แมลงผึ้งแพ้ เพราะคะแนนเสียง "น้อยกว่า" เราเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" มีปัญญามากกว่าสัตว์เหล่านั้น เราควรจะเชื่อใครดี?" "นิทานธรรม" เรื่องนี้ มีเผยแพร่ทั่วไป ผู้มีปัญญาก็จะตีความปริศนาธรรมนั้นเข้าใจ ตามที่หลวงปู่ยกเรื่องแมลงวันกับผึ้งเป็นอุปมา-อุปไมย หมายถึง "การตัดสินด้วย "หลักประชาธิปไตย" บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่เอาหลัก "ธรรมาธิปไตย" เข้าไปตัดสิน" แล้วพริษฐ์ ....คุณเป็น "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน" ล่ะ? ดีกรี "ปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์" เหรียญทอง ออกซฟอร์ด มีปัญญาแยกแยะได้แน่! แต่ในการแยกแยะ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจ "สถานะ" ให้ชัด ว่าเราเป็นแมลงวันหรือผึ้ง หรือเป็นคนใน "สถานะมนุษย์"? เมื่อรู้สถานะ พริษฐ์ ก็คือ "สัตว์ประเสริฐ" ต้องมีปัญญามากกว่าสัตว์แน่นอน ฉะนั้น ไหน "ประชาธิปไตย" หรือ "ไม่ประชาธิปไตย" ต้องเข้าใจว่าจะชี้ขาดด้วยมือในระบบรัฐสภา "ประชาธิปไตยเลือกตั้ง" หรือในระบบ "เผด็จการประชาธิปไตย" ตายตัวไม่ได้ ต้องใช้ "ธรรมาธิปไตย" เป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด! นี่ไม่ใช่เอะอะ ผมลากเข้าวัดนะ ต้องเข้าใจ "ธรรมะ" คือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ไม่มีอะไร "เป็นอยู่อย่างนั้นนิรันดร์" หรือพูดอีกที "ความหมุนเวียน-เปลี่ยนแปลง" นั่นแหละนิรันดร์ ทุกสิ่ง ประกอบด้วยกาล ด้วยเวลา ด้วยสถานะ เมื่อถึงพร้อมแล้ว มันหมุนเวียน-เปลี่ยนผัน จากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ตามเหตุ-ปัจจัย ที่มันต้องเป็นด้วยตัวของมันเอง พริษฐ์ไม่ต้องเป็น "จอห์น ล็อก" บิดาแห่งประชาธิปไตยในศตวรรษที่ ๒๑ หรอก เป็นแฟน "ออนล็อกหยุ่น" ดีกว่า.... ไปนั่งกิน breakfast ที่นั่นบ่อยๆ จะเป็นหนทางสร้างสมประสบการณ์ประชาธิปไตย จาก "หลายชีวิต-หลากรุ่น" บางที การได้สัมผัสวิถีประชาธิปไตยไทยแท้ๆ อาจทำให้ "ดอกไม้พลาสติก" มีกลิ่นหอมขึ้นมาก็ได้ ทฤษฎี-หลักการตามตำรา นำมาชี้ขาด "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดดๆ ไม่ได้หรอก มันต้องประกอบด้วย "ประสบการณ์" เพราะสังคมหนึ่งๆ มีทั้งประชาชนผึ้ง ทั้งประชาชนแมลงวัน ฉะนั้น บางเรื่องจะใช้ "จำนวนมาก" ถือเป็นประชาธิปไตย นั่นมันหลักการ "พลเมืองแมลง" มันไม่ถูก-ไม่ชอบธรรมตามหลัก "พลเมืองมนุษย์" อย่างจะเขียนกฎหมายให้ง่ายต่อการแยก "ราชอาณาจักร" ไปเป็นสาธารณรัฐ เขียนกฎหมาย ไม่เน้น "ศีลธรรม-จริยธรรม" ให้เข้าง่าย กินง่าย-โกงง่าย-อยู่ง่าย แค่ "มือมาก" ในระบบสภายกให้ ก็หมายความว่า เหล่านั้น เป็นประชาธิปไตยถูกต้องแล้ว ถูกตามประชาธิปไตยแมลงวันละก็ใช่ แต่มัน "ไม่ถูกต้อง-ไม่ชอบธรรม" ตามประชาธิปไตยมนุษย์ ที่ต้องมี "ธรรม" เป็นแกนในกฎ-กติกาสังคม พริษฐ์ ว่า "กฎหมายที่มีขณะนี้ "คสช.เขียน" ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้งทั้งหมด" ถ้าอย่างนั้น..... ระบอบประชาธิปไตยที่ "คณะราษฎร" สถาปนาเมื่อ ปี ๒๔๗๕ ก็ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องรื้อทิ้ง เพราะไม่ได้มาตามระบบรัฐสภา หากแต่มาจาก "คณะราษฎร" ใช้กำลังไปปล้นพระราชอำนาจจาก "พระมหากษัตริย์" มา นั่นเท่ากับคณะราษฎร เป็นเผด็จการ! และที่พริษฐ์บอก "รังเกียจ-ปฏิเสธ" ทุกกฎหมาย-ทุกคำสั่งของ คสช.ต้องยกเลิก เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน งั้น พริษฐ์และพรรคส้ม ต้องพ้นสภาพ สส.ไปวันนี้เลย เพราะ พวกคุณทุกคน ถือกำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญเผด็จการ ที่ให้มีเลือกตั้ง เมื่อรังเกียจ ให้ยกเลิกกฎหมายนั้น สส.พวกคุณและพรรคส้ม ก็ไม่มีกฎหมายรองรับ เป็น สส.ไม่ได้แล้ว! เห็นมั้ย พริษฐ์..."ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด" การพูดเอาเท่ ขาดประสบการณ์โลกจริง แยกเหตุ-แยกผล ไม่ได้ ก็ฉิบหายตัวเอง อย่าคิดต่ำกว่าหนอนในถังขี้เลย...พริษฐ์ หนอน กินขี้เลี้ยงชีวิต มันรู้บุญคุณ มันไม่เคยเนรคุณถังขี้ แต่พริษฐ์ เป็นมนุษย์ มีสมองคิดด้วยจิตสำนึกเหนือหนอน ฉะนั้น อย่าบ้า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" โดยไม่รู้จักแยกแยะด้วยเหตุและผลให้มากนัก จะปฏิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร มีสงครามค่อยเกณฑ์ พริษฐ์...หิวข้าวตอนไหน ค่อยไปทำตอนนั้น อย่างนั้นหรือ? นี่ถ้าวันนี้ไม่มีทหารละก็นะ พริษฐ์และคณะส้มต้องไปโกยเลนให้ชาวบ้านที่แม่สายแทน...เอามั้ย? กลับบ้าน อาบน้ำ ประแป้ง แล้วกินนมนอน ซะไป...พริษฐ์?! -เปลว สีเงิน ๒๗ กันยายน ๒๕๖๗ คนปลายซอย ที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/663854/?#m1kerm3y94d8my69xxm #Thaitimes
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 928 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทั้งผลประโยชน์ทั้งปมในใจทั้งความป๋วยทางจิตส่งผลให้โจเป็นแบบนี้
    เอาจริงๆ โจ เป็นคนที่อยู่ในสถานะบุคคลที่น่าเวทนานะ
    แต่โจ กลับไม่ได้แค่ป๋วย แต่โจ กลับเลือกที่จะซั่วด้วย
    ซั่ว ด้วยการคุ-กคามน้องแน๊ก ด้วยการให้ร้าย
    ที่สร้างสรรปั้นแต่งจากประสบการณ์และความป๋วยรวมถึงปมของตัวเองล้วนๆ
    โจวว มีปมเรื่อง เกิดมากับการที่อยู่ในครอบครัวของแม่เลี้ยงเดี่ยว
    โจ มณฑนี จึงมีปมที่อคติกับผู้ชายทุกคนบนโลก
    และโจ ได้ยัดเยียด ความเก..ียดชังผู้ชายที่ฝังในใจ
    มาโถมใส่น้องแน๊กชาลี เป็นเอาเป็นเอาตุย
    ตอนนี้ พี่คิงส์ยังไม่รู้เลยว่า ระหว่าง ปมของโจ หรือเงินของทุนดาร์ค
    ที่เป็นแรงขับเคลื่อนแรงจูงใจในการกระทำของโจมากกว่ากัน
    หรือพอๆกัน จากคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย
    -บ.ล้ม ละลาย เจ๊งงง แต่ล้างปมด้วยการสอนด้านการเงินทั้งๆที่ตัวเองไม่จบม.6 พ่อก็อุตส่าห์ส่งไปเรียนปวช.ปี 1 ก็ยังไม่จบ ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไรเลย มีแต่คิดไปเองมโนไปเอง จำเค้ามาเล่า
    -เรื่องความรักเรื่องคู่ครอง ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย ใช้แต่ปมขับเคลื่อนอคติ เปลี่ยนเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ และคำพูด และยัดเยียดให้คนอื่นคิดตาม
    พี่คิงส์ไม่อยากจะเจาะถึงเจตนาจริงๆที่โจเองอาจจะไม่รู้ตัว นั่นคือ
    โจ มีความอิจ..า ผู้หญิงทุกคนที่มีผู้ชายที่ดี โจจะแทรกเข้ามาเหมือนจะมีความอินกับความสุขนั้น แต่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขเหมือนอยู่ในความฝัน และโจมักคิดว่าตัวเอง กับกามิจ คือคนเดียวกันเสมอ แล้วสุดท้าย ความดีใจที่อยู่ในเบื้องลึกของโจคือ การตอกย้ำว่า ผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซั่วร้าย และผู้หญิงทุกคนบนโลก ควรมีชีวิตเหมือนตนเอง นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม สำหรับโจ มณฑนี
    -เรื่องอาการป๋วย ที่ยัดเยียดให้น้องแน๊ก นั่นก็เพราะตัวเอง ต้องจมดิ่งกับภาวะจิตมานานมาก ทั้งเ..พติดดราม่า และอื่นๆอีกมากมาย ที่โจเองก็ออกมายอมรับสารภาพ ทุกอย่างเพราะโจไม่เคยพบกับความสุข มีแต่ประสบการณ์ที่คั่งในใจ และพร้อมปะทุออกมาด้วยการโยนในสิ่งที่ตนเองเป็น ปมที่ตนเองซ่อนไว้ ให้ใครซักคน แบกรับไว้ เพื่อกลบเกลื่อนปมที่ตนเองมี
    -เรื่องการศึกษา เพราะโจ ฝังความคิดในหัวตัวเองว่า ตัวเองคือนางเอกชื่อกามิน เลยนำทุกอย่างที่เป็นเรื่องของกามิจ มาสวมเป็นเรื่องของตัวเอง และสร้างสารตั้งต้นความคิดว่า กามิจ จบป.โท ส่วนแน๊กจบม.6 สำนวนที่พวกทุยพลี รับไปก็จะออกมาแนวที่ว่า สงสารอิเหม็นที่ต้องมาเจอกับคนไร้การศึกษา บลาๆๆ
    ซึ่งเรื่องของเรื่องคือ โจ ไม่จบแม้กระทั่งม.6 เทอมแรก บอกพ่อเอง ไม่เรียนแล้วเว้ย พ่อก็ห่วงลูก พาลูกไปสมัครเรียนพาณิชย์ เลขานุการ เรียนยังไม่ทันไร ก็เลิก เป็นคนที่มีลักษณะตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล หาเหตุผลซัพพอตการตัดสินใจอันผิดพลาดของตัวเองเสมอ
    เอาหล่ะ เป็นไง ห-ม-อคิงส์ วินิจฉัยศ.ดร.มโนของ โจมณฑนี
    กระจ่าง สว่างวาบแล้วหรือยัง
    จิตวิทยาที่โจใช้อะ ขั้นพื้นฐานมาก
    จนพี่คิงส์และคนไทยไม่อยากเชื่อว่า
    จะมีคนเชื่อ ซึ่งก็จริง ไม่มีคน ที่เชื่อ มีแต่ทุย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ทั้งผลประโยชน์ทั้งปมในใจทั้งความป๋วยทางจิตส่งผลให้โจเป็นแบบนี้ เอาจริงๆ โจ เป็นคนที่อยู่ในสถานะบุคคลที่น่าเวทนานะ แต่โจ กลับไม่ได้แค่ป๋วย แต่โจ กลับเลือกที่จะซั่วด้วย ซั่ว ด้วยการคุ-กคามน้องแน๊ก ด้วยการให้ร้าย ที่สร้างสรรปั้นแต่งจากประสบการณ์และความป๋วยรวมถึงปมของตัวเองล้วนๆ โจวว มีปมเรื่อง เกิดมากับการที่อยู่ในครอบครัวของแม่เลี้ยงเดี่ยว โจ มณฑนี จึงมีปมที่อคติกับผู้ชายทุกคนบนโลก และโจ ได้ยัดเยียด ความเก..ียดชังผู้ชายที่ฝังในใจ มาโถมใส่น้องแน๊กชาลี เป็นเอาเป็นเอาตุย ตอนนี้ พี่คิงส์ยังไม่รู้เลยว่า ระหว่าง ปมของโจ หรือเงินของทุนดาร์ค ที่เป็นแรงขับเคลื่อนแรงจูงใจในการกระทำของโจมากกว่ากัน หรือพอๆกัน จากคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย -บ.ล้ม ละลาย เจ๊งงง แต่ล้างปมด้วยการสอนด้านการเงินทั้งๆที่ตัวเองไม่จบม.6 พ่อก็อุตส่าห์ส่งไปเรียนปวช.ปี 1 ก็ยังไม่จบ ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไรเลย มีแต่คิดไปเองมโนไปเอง จำเค้ามาเล่า -เรื่องความรักเรื่องคู่ครอง ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย ใช้แต่ปมขับเคลื่อนอคติ เปลี่ยนเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ และคำพูด และยัดเยียดให้คนอื่นคิดตาม พี่คิงส์ไม่อยากจะเจาะถึงเจตนาจริงๆที่โจเองอาจจะไม่รู้ตัว นั่นคือ โจ มีความอิจ..า ผู้หญิงทุกคนที่มีผู้ชายที่ดี โจจะแทรกเข้ามาเหมือนจะมีความอินกับความสุขนั้น แต่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขเหมือนอยู่ในความฝัน และโจมักคิดว่าตัวเอง กับกามิจ คือคนเดียวกันเสมอ แล้วสุดท้าย ความดีใจที่อยู่ในเบื้องลึกของโจคือ การตอกย้ำว่า ผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซั่วร้าย และผู้หญิงทุกคนบนโลก ควรมีชีวิตเหมือนตนเอง นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม สำหรับโจ มณฑนี -เรื่องอาการป๋วย ที่ยัดเยียดให้น้องแน๊ก นั่นก็เพราะตัวเอง ต้องจมดิ่งกับภาวะจิตมานานมาก ทั้งเ..พติดดราม่า และอื่นๆอีกมากมาย ที่โจเองก็ออกมายอมรับสารภาพ ทุกอย่างเพราะโจไม่เคยพบกับความสุข มีแต่ประสบการณ์ที่คั่งในใจ และพร้อมปะทุออกมาด้วยการโยนในสิ่งที่ตนเองเป็น ปมที่ตนเองซ่อนไว้ ให้ใครซักคน แบกรับไว้ เพื่อกลบเกลื่อนปมที่ตนเองมี -เรื่องการศึกษา เพราะโจ ฝังความคิดในหัวตัวเองว่า ตัวเองคือนางเอกชื่อกามิน เลยนำทุกอย่างที่เป็นเรื่องของกามิจ มาสวมเป็นเรื่องของตัวเอง และสร้างสารตั้งต้นความคิดว่า กามิจ จบป.โท ส่วนแน๊กจบม.6 สำนวนที่พวกทุยพลี รับไปก็จะออกมาแนวที่ว่า สงสารอิเหม็นที่ต้องมาเจอกับคนไร้การศึกษา บลาๆๆ ซึ่งเรื่องของเรื่องคือ โจ ไม่จบแม้กระทั่งม.6 เทอมแรก บอกพ่อเอง ไม่เรียนแล้วเว้ย พ่อก็ห่วงลูก พาลูกไปสมัครเรียนพาณิชย์ เลขานุการ เรียนยังไม่ทันไร ก็เลิก เป็นคนที่มีลักษณะตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล หาเหตุผลซัพพอตการตัดสินใจอันผิดพลาดของตัวเองเสมอ เอาหล่ะ เป็นไง ห-ม-อคิงส์ วินิจฉัยศ.ดร.มโนของ โจมณฑนี กระจ่าง สว่างวาบแล้วหรือยัง จิตวิทยาที่โจใช้อะ ขั้นพื้นฐานมาก จนพี่คิงส์และคนไทยไม่อยากเชื่อว่า จะมีคนเชื่อ ซึ่งก็จริง ไม่มีคน ที่เชื่อ มีแต่ทุย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1442 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โจงานงอกหาทางลงแต่คุมทุยไม่ได้
    เพจคิงส์โพธิ์แดงพบว่า โจ มณฑานี พยายามหาทางลง
    คุยกับบรรดาทุยหัวรุงแรง ว่าให้หยุดได้แล้ว
    แต่ พลังแห่งการสะกดจิตของโจที่สร้างวาทะกรรม
    มานานหลายเดือน มันฝังลงไปในดีเอ็นเอ
    ทำให้มนุษย์ กลายเป็นทุยโดยสมบูรณ์
    โดยพบว่า เมื่อคืนนี้ เป็นคืนแห่งความสุข
    ของคนไทยจำนวนมาก ที่ได้ฟังเพลงดี
    และได้ยินเสียงน้องชายแห่งชาติ
    ร้องเพลง คืองานดีมาก
    กับการร่วมงานกับวันเดอร์เฟรม
    ที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าขนลุก
    แต่น่าเวทนา ที่มีชนกลุ่มหนึ่ง
    กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเท่าหะมอยหมา
    คุ้ม คลั่ง ไประดมเล่นงานวันเดอร์เฟรม
    กับแค่เลือกใส่เสื้อในเอ็มวี มีดอกไม้
    ก็แปลความหมายได้ตลกโปกฮา
    เป็นที่ขบขันกันอย่างมาก
    อยากให้อิเหม็นมาเล่นเอ็มวีคนเดียว
    คิดได้ไง ไม่สงสารทีมงานที่ต้องทนกลิ่นเลยเหรอ
    น้ำท่าไม่อาบ ซกมกขนาดนั้น
    ที่สำคัญ ดังได้ด้วยตัวเอง แล้วจะมาเล่นเอ็มวีในไทยเพื่อ
    ประเด็นไม่ใช่เค้าเลือกแน๊ก ประเด็นคือต่อให้แน๊กไม่เล่น
    เค้าก็ไม่เอาอิเน่ามา ตอนนี้ใครเค้าก็รู้
    ว่ายูซผี เทรนทิพย์ทั้งนั้น พวกเมิงต้มสื่อได้แค่รอบเดียวแค่นั้นแหละ
    ตอนนี้ สื่อเค้าไม่แลตาแล้ว ไอ่ ฟาย
    เป็นไง สุดท้าย แบนยังไง ให้ยอดวิไปครึ่งล้านในคืนเดียว
    ตื่นเถิด ทุยไทย
    น่าเสียดาย ที่พวกทุยไม่ได้มีความสุขเหมือนคนไทยส่วนใหญ่
    ที่ได้รื่นรม
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #savecharlie
    #savethailand
    #โจงานงอกหาทางลงแต่คุมทุยไม่ได้ เพจคิงส์โพธิ์แดงพบว่า โจ มณฑานี พยายามหาทางลง คุยกับบรรดาทุยหัวรุงแรง ว่าให้หยุดได้แล้ว แต่ พลังแห่งการสะกดจิตของโจที่สร้างวาทะกรรม มานานหลายเดือน มันฝังลงไปในดีเอ็นเอ ทำให้มนุษย์ กลายเป็นทุยโดยสมบูรณ์ โดยพบว่า เมื่อคืนนี้ เป็นคืนแห่งความสุข ของคนไทยจำนวนมาก ที่ได้ฟังเพลงดี และได้ยินเสียงน้องชายแห่งชาติ ร้องเพลง คืองานดีมาก กับการร่วมงานกับวันเดอร์เฟรม ที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างน่าขนลุก แต่น่าเวทนา ที่มีชนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเท่าหะมอยหมา คุ้ม คลั่ง ไประดมเล่นงานวันเดอร์เฟรม กับแค่เลือกใส่เสื้อในเอ็มวี มีดอกไม้ ก็แปลความหมายได้ตลกโปกฮา เป็นที่ขบขันกันอย่างมาก อยากให้อิเหม็นมาเล่นเอ็มวีคนเดียว คิดได้ไง ไม่สงสารทีมงานที่ต้องทนกลิ่นเลยเหรอ น้ำท่าไม่อาบ ซกมกขนาดนั้น ที่สำคัญ ดังได้ด้วยตัวเอง แล้วจะมาเล่นเอ็มวีในไทยเพื่อ ประเด็นไม่ใช่เค้าเลือกแน๊ก ประเด็นคือต่อให้แน๊กไม่เล่น เค้าก็ไม่เอาอิเน่ามา ตอนนี้ใครเค้าก็รู้ ว่ายูซผี เทรนทิพย์ทั้งนั้น พวกเมิงต้มสื่อได้แค่รอบเดียวแค่นั้นแหละ ตอนนี้ สื่อเค้าไม่แลตาแล้ว ไอ่ ฟาย เป็นไง สุดท้าย แบนยังไง ให้ยอดวิไปครึ่งล้านในคืนเดียว ตื่นเถิด ทุยไทย น่าเสียดาย ที่พวกทุยไม่ได้มีความสุขเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ที่ได้รื่นรม #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #savecharlie #savethailand
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 598 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกเปิดผนึก 📝

    กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา

    คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง

    แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า

    🟢ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ

    🟢อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้

    🟢เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด

    🟢ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ

    🟢ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร

    🟢คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง

    และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป

    หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น

    🟢เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน

    🟢เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่

    🟢เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด

    🟢เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา

    🟢ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ

    🟢เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น

    🟢เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว

    🟢เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

    🟢ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที

    🟢แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์

    ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด

    ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง

    หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง

    ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง

    คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง

    เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว
    เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา

    #thaitimes
    #ความเมตตา
    #ข้อคิด
    #บทความ

    บันทึกเปิดผนึก 📝 กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า 🟢ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ 🟢อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้ 🟢เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด 🟢ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ 🟢ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร 🟢คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น 🟢เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน 🟢เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่ 🟢เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด 🟢เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา 🟢ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ 🟢เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น 🟢เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว 🟢เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต 🟢ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที 🟢แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์ ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา #thaitimes #ความเมตตา #ข้อคิด #บทความ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 786 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : น่าเวทนาเสียจริง "บิ๊กป้อม" อยากเป็นนายก จนถูกขายฝัน สูญเงินมหาศาล
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #น่าเวทนา #บิ๊กป้อม
    Newsstory : น่าเวทนาเสียจริง "บิ๊กป้อม" อยากเป็นนายก จนถูกขายฝัน สูญเงินมหาศาล #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #น่าเวทนา #บิ๊กป้อม
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    21
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1555 มุมมอง 941 1 รีวิว