• แผนชั่ว ตอนที่ 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 6
    ในที่สุด เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2007 CNPC หน่วยงานที่ดูแลด้านน้ำมัน ของรัฐบาลจีน ก็ตกลงทำสัญญากับรัฐบาลของชาด Chad ในการสร้างท่อส่งน้ำมัน หลังจากนั้น 2 ปี การก่อสร้างท่อส่งน้ำมันก็เริ่มดำเนินการ มันเป็นท่อส่งสำหรับน้ำมันบ่อใหม่ ที่จีน (แอบ) ไปลงทุนขุดใหม่ทางใต้ของชาด ห่างไปอีก 300 กิโลเมตร หลังจากนั้น กลุ่มเอ็นจีโอ ที่พวกตะวันตกสนับสนุน ก็ออกมาโว้ยว่า เป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ และเมื่อตอน Chevron ขุดน้ำมันแถวนั้น ในปี ค.ศ.2003 เอ็นจีโอกลุ่มเดียวกันนี้ ไม่ออกมาโวย ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเช่นเดียวกัน
    แล้วเดือนกรกฏาคม ค.ศ.2011 ชาดและจีน ก็ฉลองการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน ที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของชาด ที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมทุนกัน โรงกลั่นนี้ ว่าไปแล้ว ก็อยู่ไม่ไกลจากแหล่งสำรวจที่จีนไปลงทุนไว้ตอนแรก ในบริเวณดาร์ฟูที่ติดกับชาด และจีนถูกไม้กั้น ไม่เสี้ยม จนยังกินแห้วอยู่นั่นเอง แม้จะกินแห้วของดาร์ฟู แต่แหล่งที่จีนได้ใหม่ ที่ชาดก็น่าจะชดเชยของเดิม ที่ถูกถีบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
    จากการประเมินทางภูมิศาสตร์ สายน้ำมันน่าจะไหลมาจากดาร์ฟู ผ่านมาที่ชาด และต่อไปถึงแคเมอรูน ขนาดของแหล่งน้ำมันนี้ประเมินกันว่า ใหญ่มหาศาลนัก อาจจะเท่ากับแหล่งน้ำมันที่ซาอุดิอารเบียเสียด้วยซ้ำ การควบคุมซูดานใต้ ชาดและแคเมอรูน จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญรายการใหม่ ของสภาความมั่นคงของอเมริกา คราวนี้เป็น “ยุทธศาสตร์ขวางจีน” เต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้จีน เข้าไปสู่แหล่งพลังงานทุกแห่งในโลก โดยเฉพาะที่อาฟริกา
    หมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ขวางจีนในอาฟริกา เป็นผลสำเร็จหรือไม่ คือ กัดดาฟี แห่งลิเบีย เป็นกัดดาฟีที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และต่อสู้ทุกเม็ด ทุกหมากกับอเมริกา และอังกฤษ เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศตนและอาฟริกา รวมไปถีงประเทศในตะวันออกกลาง กัดดาฟี พยายามตั้งสถาบันการเงิน เหมือนธนาคารโลก เพื่อช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาฟริกา จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของก๊วนหน้าเลือด ใจร้าย World Bank, IMF และที่สำคัญ กัดดาฟี ไม่ปฏิเสธ ที่จะคบ และค้าขายกับรัสเซียและจีน
    เขาจึงเป็นบุคคลที่อเมริกา และอังกฤษรังเกียจยิ่งนัก
    ลิเบีย เป็นประเทศในอาฟริกา ที่ด้านเหนือ ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน ข้ามทะเลไปก็เป็นอิตาลี ซึ่งบริษัทน้ำมัน ENI ของอิตาลี เป็นผู้มาร่วมงานขุดเจาะน้ำมัน กับลิเบียอยู่นาน ตะวันตกของลิเบียติดกับ ตูนีเซีย และอัลจีเรีย ทางด้านใต้ ติดกับชาด ส่วนตะวันออกติดกับซูดาน ทั้งเหนือและใต้ และอียิปต์ ที่ตั้งของลิเบียจึงเหมือนอยู่กลางดงน้ำมัน คงมีใครมองว่า ลิเบียเหมาะที่จะใช้เป็นศูนย์กลาง ในการควบคุมดงน้ำมันอย่างยิ่ง
    ลิเบีย ไม่ให้ใครมาเป็นเจ้าของปั้มลิเบีย ลิเบียเป็นเจ้าของปั้มเอง ขายเอง ดูแลแหล่งน้ำมันที่มีคุณภาพสูงเอง ในปี ค.ศ.2006 ลิเบียเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่ได้รับการสำรวจและพิสูจน์ว่า มีน้ำมันแล้วถึง 35% ของน้ำมันทั้งหมดในอาฟริกา มีมากกว่าไนจีเรีย ที่อเมริกาคว้าคออยู่หมัดเสียอีก
    นอกจากนี้ ลิเบียยังให้สัมปทานน้ำมัน แก่รัฐบาลจีนด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล กับ รัฐบาล
    แบบนี้ อเมริกาจะทนดู ลิเบีย ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ในกลางดงน้ำมัน (ที่อเมริกาอยากครอบครอง) ได้หรือ อเมริกามองว่า ตราบใดที่รัฐบาลกัดดาฟีเข้มแข็ง มีอำนาจอยู่ที่เมืองทริโปลี และควบคุมแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในอาฟริกา แผนการของอเมริกา ตามยุทธศาสตร์ขวางจีน คงสำเร็จยาก การแบ่งแยกซูดานเป็น 2 ประเทศ และการยุ การเสี้ยมให้เกิดการกบฏในลิเบียต้องทำพร้อมกัน จึงพอจะมีทางเอากัดดาฟี่มาขึงพืดได้
    นี่จึงเป็นภาระกิจสำคัญและเป็น “งาน” ของจริง สำหรับ AFRICOM ที่คงไม่ได้แถลงกันในรัฐสภาให้คนอเมริกันรู้
    AFRICOM รับหน้าที่เป็นกองกำลังหลัก ในปฏิบัติการทำลายกัดดาฟีและลิเบีย รวมทั้งในการสร้างกบฏ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในตูนีเซีย อียิปต์ และสร้างรัฐซูดานใต้ทั้งหมด เพื่อให้แหล่งน้ำมันใหญ่ ในประเทศเหล่านี้ ไม่มีเจ้าของดูแลควบคุม อเมริกาและพวก จะได้เข้าไปควบคุมแทน
    มันเป็นปฏิบัติการเก็บเจ้าของปั้ม แล้วปล้นเอาปั้มเขามา นั่นเอง
    แต่อเมริกาไม่กล้ารบเดี่ยว อยากจะปล้น แต่ก็คงปอดแหกเหมือนกัน กัดดาฟีไม่ได้เคี้ยวง่ายเหมือนซูดาน กัดดาฟี มีทั้งเขี้ยวยาว และอาวุธทันสมัยที่ซื้อจากอเมริกาและรัสเซีย เก็บเงียบอยู่เต็มลิเบีย คราวนี้ อเมริกาจะใช้พระเอกหนังไปเดินทำหน้าเศร้า ก็คงไม่สำเร็จ อเมริกาจึงดึงนาโต้เข้ามาเล่นเต็มอัตรา
    ปี ค.ศ.2010 นาโต้ ไปกวาดต้อนเอาสาระพัดพันธ์ุ ตั้งแต่อดีตนักการเมืองที่เคยอยู่กับกัดดาฟี แต่บัดนี้ขัดใจกันแล้ว อดีตนักธุรกิจขี้โกงที่หนีคดี ไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนประกอบแบบนี้ คุ้นไหมครับ ส่วนประกอบที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือ เด็กในกระเป๋า ซีไอเอ ที่ได้รับการฝึก รับเงินและก็ไปร่วมรบกับ ซีไอเอ หลายที่ เช่น อาฟกานิสถาน อิรัค เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งคือ ทหารรับจ้าง หรือที่สมัยใหม่นี้ เรียกว่า ผู้รับเหมา contractor รับเหมาทำอะไรบ้าง ก็คงพอเดากันออก มันเป็นการผสมพันธุ์โหด ที่เตรียมเอาไว้เชือดกัดดาฟี
    กลุ่มสาระพัดพันธ์ุนี่ เรียกตัวเองว่า กลุ่ม TNC Transitional Nation Council
    กลุ่ม TNC ออกมาด่าว่า กัดดาฟี่เป็นเผด็จการรวบอำนาจ กดขี่ ประชาชน ต้องการให้ กัดดาฟีลาออก มีการเลือกตั้งใหม่ และปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แหม โรเนียวนี้ใช้จนเก่าเน่าแล้ว ไม่เปลี่ยนเลยหรือพี่
    กัดดาฟี เป็นเผด็จการจริง มีทั้งพวกที่บอกว่า เขาทำประโยชน์ให้กับชาวลิเบีย และก็มีพวกที่บอกว่า เขาข่มขู่บังคับชาวลิเบีย จึงคงมีทั้งพวกที่รักเขา และพวกที่เกลียดเขา แต่ลองดูจากหลายสิ่งที่เขาทำให้กับชาวลิเบีย มันก็พอบอกได้ว่า เขาดี เลวอย่างไรกับลิเบีย
    – ชาวลิเบีย ได้รับการรักษาพยาบาล และเรียนหนังสือฟรี ( อย่าบอกนะว่า เหมือน 30 บาท รักษาทุกโรค)
    – ชาวลิเบียไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า
    – ชาวลิเบียกู้เงินไม่เสียดอกเบี้ยจากธนาคารของรัฐ ซึ่งใหญ่มาก และกัดดาฟีมีแผนจะสร้าง ให้มีเงินทุนมากกว่า World Bank เพื่อให้ ชาวอาฟริกันกู้ด้วย
    – รัฐบาลกัดดาฟี สร้างระบบชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการสร้างแม่น้ำทั่วประเทศ ชาวลิเบีย ไม่มีการขาดน้ำตลอดปี
    – ถ้าชาวลิเบียต้องการทำฟาร์มเพาะ ปลูก และเลี้ยงสัตว์ รัฐจะยกที่ดินให้ฟรี แถมปลูกบ้านให้ พร้อมแจกพันธ์ุพืชและสัตว์ ฟรีหมด เพราะรัฐสนับสนุนให้สร้าง “อาหาร” จะได้ไม่อดตาย
    – เมื่อหญิงชาวลิเบียคลอดลูก จะได้รับเงินช่วยจากรัฐ จำนวน 5 พันเหรียญ เขาสนับสนุนให้มีชาวลิเบียอยู่ในโลก ไม่ใช่ถูกตอนพันธ์
    – รัฐบาลกัดดาฟี ยืนราคาน้ำมันขายในลิเบีย ที่ลิตรละ 14 เซ็นต์ (ประมาณ 5 บาท)
    – รัฐบาลกัดดาฟีส่งเสริมการศึกษา ก่อนเขาปกครอง มีคนอ่านหนังสือออกเพียง 25% ช่วง 40 ปี ที่กัดดาฟี ปกครองลิเบีย จำนวนคนอ่านหนังสือออก เพิ่มเป็นเกือบ 90% และมีคนศึกษาจบระดับปริญญา 25%
    TNC เป็นแนวหน้าที่นาโต้เตรียมไว้ให้ไปสู้ และตายแทนกองกำลังนาโต้ ส่วนทหารนาโต้ นั่งคอยดูผลงาน TNC ไปก่อน นี่เป็นเพียงก๊อก 1
    ก๊อก 1 เริ่มงานด้วยการ ออกมาประท้วงกัดดาฟีตามเมืองต่างๆว่า เป็นเผด็จการ พวกเขาต้องการประชาธิปไตย และการประท้วงครั้งแรกในลืเบีย ก็เกิดขึ้นที่เมือง Cyrenaica เมืองที่เป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ ทางตะวันออกของลิเบีย หลังจากนั้น การประท้วงก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวออกไป และในที่สุดก็ยึดเมืองสำคัญอย่าง เบงกาซี Benghazi ได้
    หลังจากนั้น กระป๋องสีย้อมข่าวใบใหญ่ ซีเอนเอน ก็รับช่วงรายงานข่าวทุกวันว่า กัดดาฟี ชั่วช้า กระทำรุนแรง ตั้งใจฆ่าประชาชน ด้วยการเอาเครื่องบินมาถล่มพวกกบฏมือเปล่า แบบนี้นานาชาติใจบุญ จะทนดูชาวลิเบียโดนระเบิดทุกวันไหวยังไง
    อังกฤษกับฝรั่งเศส รีบถลาไปเอาหน้าเกือบไม่ทัน บอกว่าไม่ได้นะ แบบนี่มันละเมิดกฏ “No Fly Zone” ของสหประชาชาติ ว่าเข้าไปโน่น สหประชาชาติ เลยมีมติกำหนดเขตห้ามบิน No Fly Zone ตามเมืองต่างๆในลิเบีย เครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลหรือกัดดาฟี บินไม่ได้ แต่ของกองกำลังผสมของนานาชาติบินได้ ทิ้งระเบิดได้ มีปัญหาไหม ไม่มีคร้าบ… พวกเอ็งมันใหญ่ค้ำโลกแล้ว ใครจะกล้ามีปัญหาด้วย
    ก๊อก 2 คือ กองกำลังผสมของนานาชาติ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันเชือด กัดดาฟี ทรัพยากรลิเบียแยะนัก กองกำลังร่วมเชือด เลยแยะตามไปด้วย หวังได้แบ่งส่วนบุญ กองกำลังผสม นำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา และลูกกระเป๋ง อย่าง กาต้าร์ สหรัฐเอมิเรต เบลเยี่ยม อิตาลี เดนมาร์ค นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์และสเปญ เอาชื่อมาโชว์ให้ดูหมด จะได้รู้ว่าใคร อยู่ตรงไหน… โถ นึกว่ารวยแล้วไม่ตะกระ …แถวบ้านผมเคยมี ที่รวยแล้ว ทั้งตะกระ ทั้งโกง….
    ช่วงแรก กองกำลังผสมบัญชาการโดยอเมริกา ช่วงหลัง บัญชาการโดยนาโต้ ไม่รู้จะดัดจริต เปลี่ยนทำไม ยังไงอเมริกาก็คุมนาโต้อยู่แล้ว
    จริงๆ ช่วงแรก อเมริกานำ ก็เพราะต้องการจะเข้าลิเบียไปก่อนใคร เพื่อค้นหาสมบัติของกัดดาฟี โดยเฉพาะ พวกอาวุธที่แอบเก็บตามโกดังนั่นแหละ ใครๆ ก็อยากงาบต่อทั้งนั้น
    แล้วกองกำลังผสมของชาติต่างๆ บวกกองกำลังของนาโต้เอง บวกกองกำลังฝ่ายกบฏ บวกกองกำลังของผู้รับเหมา บวกกองกำลังทหารของอเมริกา (เอะ นี่ผมตกกองอะไร ของใครอีกไหม มันแยะ เละไปหมด) ก็ไล่ล่ากัดดาฟีอยู่ 8 เดือน กัดดาฟีหนีไปเมืองไหน ยิงกันอย่างไร บ้านเรือนพังฉิบหายขนาดไหน คนเจ็บคนตายนอนน่าสมเพชเกลื่อน ถนนเท่าไหร่ ไอ้กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ซีเอนเอน รายงานข่าวละเอียดละออ ชาวบ้านได้ดูข่าวการไล่ล่า และไล่ฆ่า เป็นรายการสดทางทีวี ทุกวัน ทุกคืน
    เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2011 นาโต้ประกาศว่า ได้ทิ้งระเบิด ที่บริเวณบ้านใหญ่ ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีรอบใหญ่ บ้านพังฉิบหายยับ แต่ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย แต่มีคนอื่นตายแทน เป็นลูกชายคนเล็กของกัดดาฟี และหลานปู่เล็กๆ อีก 3 คน เวร…..
    แล้วในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2011 กัดดาฟี ก็ถูกฆ่าตายที่เมืองบ้านเกิดของเขา Sirte ขณะที่อยู่กับกองกำลังของตัว ที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง แต่มันมาทางจากข้างบน เป็นจรวดไล่ยิง จะไปคุ้มกันยังไงไหว เล่นยิงใส่ขบวนรถของพวกกัดดาฟี ที่กำลังขับหนีออกจาก Sirte รถกระเด็นพลิกคว่ำ บ้านเรือนแถบนั้นพังเป็นแถบ คนจะรอดหรือ แล้วกัดดาฟีพร้อมลูกชาย 2 คน และลูกน้องคนสนิทหลายคน ก็ตายเรียบ
    หลังจากนั้น เขาว่าพวกกบฏก็บุกเขาไปเอาร่างกัดดาฟีออกมา ลากไปตามถนนโห่ร้องยินดี บางข่าว บอกว่าเขาตายตั้งแต่โดนจรวด บางข่าวบอก เขายังไม่ตาย แค่เกือบ เขาหลุดออกมาจากรถ ไปแอบซ่อนตัวอยู่ในท่อ แต่มาตายตอนที่พวกกบฏลากตัวขึ้น มาจากท่อ ไปตามถนน ก่อนลาก ทุบเสียละเอียด ก่อน ทุบ จับแก้ผ้า และชำเราทางทวารหนักก่อน บางสื่อลงภาพเขานอนตาย หัวเป็นรู จากรอยกระสุน
    2 วัน ก่อนที่กัดดาฟีจะถูกจับ คุณนายคลินตัน สตรีหน้าโหด ( ผมเห็นหน้าคุณนายในทีวีทีไร ฝันร้ายทุกที ผู้หญิงอะไร น่ากลัวชะมัด) ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปที่เมือง ทริโปลี Tripoli ด้วยเครื่องบินทหาร ที่มีการคุ้มกันหลายชั้น แม้แต่แมลงวันที่คุ้นเคยกัน ก็คงเข้าไปตอมคุณนายไม่ถึง คุณนายประกาศเสียงดังฟังชัดว่า เราจะต้องจับตัวกัดดาฟี มาให้ได้ ไม่ว่า จับตาย หรือจับเป็น “dead or alive”
    นี่! มันยิ่งกว่าบทพระเอก ไปทำหน้าเศร้าที่ซูดานอีกนะ บทนี้มันเป็นบทนางสิงห์สั่งฆ่าเลย
    กัดดาฟี จะอย่างไรก็เป็นประมุขประเทศ เป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร ทำดี ทำชั่ว ศาลระหว่างประเทศมี อเมริกา และรัฐมนตรีต่างประเทศของตน ใช้สิทธิอะไร เที่ยวประกาศ ตัดสินว่า ประเทศไหน ต้องมีนโยบายอย่างไร ประมุขประเทศ ต้องทำตัวอย่างไร ตามใจอเมริกาอย่างไร ถ้าไม่ถูกใจนี่ อเมริกา สั่งฆ่าได้เลยหรือ เรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ และสะอิดสะเอียนที่สุด
    เรื่องนี้ สำนักข่าว Associated Press รายงานข่าวว่า
    … นางคลินตันพูดแบบไม่อ้อมค้อมเป็นพิเศษว่า อเมริกา ต้องการเห็น อดีตเผด็จการ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ถึงแก่ความตาย….
    … เราหวังว่า เขาจะถูกจับ หรือถูก ฆ่า เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป
    .. Clinton declared in unusually blunt terms that the United States would like to see former dictator Muammar Gaddafi dead..
    …We hope he can be captured or killed soon so that you don’t have to fear him any longer…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 6 ในที่สุด เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2007 CNPC หน่วยงานที่ดูแลด้านน้ำมัน ของรัฐบาลจีน ก็ตกลงทำสัญญากับรัฐบาลของชาด Chad ในการสร้างท่อส่งน้ำมัน หลังจากนั้น 2 ปี การก่อสร้างท่อส่งน้ำมันก็เริ่มดำเนินการ มันเป็นท่อส่งสำหรับน้ำมันบ่อใหม่ ที่จีน (แอบ) ไปลงทุนขุดใหม่ทางใต้ของชาด ห่างไปอีก 300 กิโลเมตร หลังจากนั้น กลุ่มเอ็นจีโอ ที่พวกตะวันตกสนับสนุน ก็ออกมาโว้ยว่า เป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ และเมื่อตอน Chevron ขุดน้ำมันแถวนั้น ในปี ค.ศ.2003 เอ็นจีโอกลุ่มเดียวกันนี้ ไม่ออกมาโวย ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเช่นเดียวกัน แล้วเดือนกรกฏาคม ค.ศ.2011 ชาดและจีน ก็ฉลองการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน ที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของชาด ที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมทุนกัน โรงกลั่นนี้ ว่าไปแล้ว ก็อยู่ไม่ไกลจากแหล่งสำรวจที่จีนไปลงทุนไว้ตอนแรก ในบริเวณดาร์ฟูที่ติดกับชาด และจีนถูกไม้กั้น ไม่เสี้ยม จนยังกินแห้วอยู่นั่นเอง แม้จะกินแห้วของดาร์ฟู แต่แหล่งที่จีนได้ใหม่ ที่ชาดก็น่าจะชดเชยของเดิม ที่ถูกถีบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง จากการประเมินทางภูมิศาสตร์ สายน้ำมันน่าจะไหลมาจากดาร์ฟู ผ่านมาที่ชาด และต่อไปถึงแคเมอรูน ขนาดของแหล่งน้ำมันนี้ประเมินกันว่า ใหญ่มหาศาลนัก อาจจะเท่ากับแหล่งน้ำมันที่ซาอุดิอารเบียเสียด้วยซ้ำ การควบคุมซูดานใต้ ชาดและแคเมอรูน จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญรายการใหม่ ของสภาความมั่นคงของอเมริกา คราวนี้เป็น “ยุทธศาสตร์ขวางจีน” เต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้จีน เข้าไปสู่แหล่งพลังงานทุกแห่งในโลก โดยเฉพาะที่อาฟริกา หมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ขวางจีนในอาฟริกา เป็นผลสำเร็จหรือไม่ คือ กัดดาฟี แห่งลิเบีย เป็นกัดดาฟีที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และต่อสู้ทุกเม็ด ทุกหมากกับอเมริกา และอังกฤษ เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศตนและอาฟริกา รวมไปถีงประเทศในตะวันออกกลาง กัดดาฟี พยายามตั้งสถาบันการเงิน เหมือนธนาคารโลก เพื่อช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาฟริกา จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของก๊วนหน้าเลือด ใจร้าย World Bank, IMF และที่สำคัญ กัดดาฟี ไม่ปฏิเสธ ที่จะคบ และค้าขายกับรัสเซียและจีน เขาจึงเป็นบุคคลที่อเมริกา และอังกฤษรังเกียจยิ่งนัก ลิเบีย เป็นประเทศในอาฟริกา ที่ด้านเหนือ ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน ข้ามทะเลไปก็เป็นอิตาลี ซึ่งบริษัทน้ำมัน ENI ของอิตาลี เป็นผู้มาร่วมงานขุดเจาะน้ำมัน กับลิเบียอยู่นาน ตะวันตกของลิเบียติดกับ ตูนีเซีย และอัลจีเรีย ทางด้านใต้ ติดกับชาด ส่วนตะวันออกติดกับซูดาน ทั้งเหนือและใต้ และอียิปต์ ที่ตั้งของลิเบียจึงเหมือนอยู่กลางดงน้ำมัน คงมีใครมองว่า ลิเบียเหมาะที่จะใช้เป็นศูนย์กลาง ในการควบคุมดงน้ำมันอย่างยิ่ง ลิเบีย ไม่ให้ใครมาเป็นเจ้าของปั้มลิเบีย ลิเบียเป็นเจ้าของปั้มเอง ขายเอง ดูแลแหล่งน้ำมันที่มีคุณภาพสูงเอง ในปี ค.ศ.2006 ลิเบียเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่ได้รับการสำรวจและพิสูจน์ว่า มีน้ำมันแล้วถึง 35% ของน้ำมันทั้งหมดในอาฟริกา มีมากกว่าไนจีเรีย ที่อเมริกาคว้าคออยู่หมัดเสียอีก นอกจากนี้ ลิเบียยังให้สัมปทานน้ำมัน แก่รัฐบาลจีนด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล กับ รัฐบาล แบบนี้ อเมริกาจะทนดู ลิเบีย ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ในกลางดงน้ำมัน (ที่อเมริกาอยากครอบครอง) ได้หรือ อเมริกามองว่า ตราบใดที่รัฐบาลกัดดาฟีเข้มแข็ง มีอำนาจอยู่ที่เมืองทริโปลี และควบคุมแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในอาฟริกา แผนการของอเมริกา ตามยุทธศาสตร์ขวางจีน คงสำเร็จยาก การแบ่งแยกซูดานเป็น 2 ประเทศ และการยุ การเสี้ยมให้เกิดการกบฏในลิเบียต้องทำพร้อมกัน จึงพอจะมีทางเอากัดดาฟี่มาขึงพืดได้ นี่จึงเป็นภาระกิจสำคัญและเป็น “งาน” ของจริง สำหรับ AFRICOM ที่คงไม่ได้แถลงกันในรัฐสภาให้คนอเมริกันรู้ AFRICOM รับหน้าที่เป็นกองกำลังหลัก ในปฏิบัติการทำลายกัดดาฟีและลิเบีย รวมทั้งในการสร้างกบฏ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในตูนีเซีย อียิปต์ และสร้างรัฐซูดานใต้ทั้งหมด เพื่อให้แหล่งน้ำมันใหญ่ ในประเทศเหล่านี้ ไม่มีเจ้าของดูแลควบคุม อเมริกาและพวก จะได้เข้าไปควบคุมแทน มันเป็นปฏิบัติการเก็บเจ้าของปั้ม แล้วปล้นเอาปั้มเขามา นั่นเอง แต่อเมริกาไม่กล้ารบเดี่ยว อยากจะปล้น แต่ก็คงปอดแหกเหมือนกัน กัดดาฟีไม่ได้เคี้ยวง่ายเหมือนซูดาน กัดดาฟี มีทั้งเขี้ยวยาว และอาวุธทันสมัยที่ซื้อจากอเมริกาและรัสเซีย เก็บเงียบอยู่เต็มลิเบีย คราวนี้ อเมริกาจะใช้พระเอกหนังไปเดินทำหน้าเศร้า ก็คงไม่สำเร็จ อเมริกาจึงดึงนาโต้เข้ามาเล่นเต็มอัตรา ปี ค.ศ.2010 นาโต้ ไปกวาดต้อนเอาสาระพัดพันธ์ุ ตั้งแต่อดีตนักการเมืองที่เคยอยู่กับกัดดาฟี แต่บัดนี้ขัดใจกันแล้ว อดีตนักธุรกิจขี้โกงที่หนีคดี ไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนประกอบแบบนี้ คุ้นไหมครับ ส่วนประกอบที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือ เด็กในกระเป๋า ซีไอเอ ที่ได้รับการฝึก รับเงินและก็ไปร่วมรบกับ ซีไอเอ หลายที่ เช่น อาฟกานิสถาน อิรัค เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งคือ ทหารรับจ้าง หรือที่สมัยใหม่นี้ เรียกว่า ผู้รับเหมา contractor รับเหมาทำอะไรบ้าง ก็คงพอเดากันออก มันเป็นการผสมพันธุ์โหด ที่เตรียมเอาไว้เชือดกัดดาฟี กลุ่มสาระพัดพันธ์ุนี่ เรียกตัวเองว่า กลุ่ม TNC Transitional Nation Council กลุ่ม TNC ออกมาด่าว่า กัดดาฟี่เป็นเผด็จการรวบอำนาจ กดขี่ ประชาชน ต้องการให้ กัดดาฟีลาออก มีการเลือกตั้งใหม่ และปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แหม โรเนียวนี้ใช้จนเก่าเน่าแล้ว ไม่เปลี่ยนเลยหรือพี่ กัดดาฟี เป็นเผด็จการจริง มีทั้งพวกที่บอกว่า เขาทำประโยชน์ให้กับชาวลิเบีย และก็มีพวกที่บอกว่า เขาข่มขู่บังคับชาวลิเบีย จึงคงมีทั้งพวกที่รักเขา และพวกที่เกลียดเขา แต่ลองดูจากหลายสิ่งที่เขาทำให้กับชาวลิเบีย มันก็พอบอกได้ว่า เขาดี เลวอย่างไรกับลิเบีย – ชาวลิเบีย ได้รับการรักษาพยาบาล และเรียนหนังสือฟรี ( อย่าบอกนะว่า เหมือน 30 บาท รักษาทุกโรค) – ชาวลิเบียไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า – ชาวลิเบียกู้เงินไม่เสียดอกเบี้ยจากธนาคารของรัฐ ซึ่งใหญ่มาก และกัดดาฟีมีแผนจะสร้าง ให้มีเงินทุนมากกว่า World Bank เพื่อให้ ชาวอาฟริกันกู้ด้วย – รัฐบาลกัดดาฟี สร้างระบบชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการสร้างแม่น้ำทั่วประเทศ ชาวลิเบีย ไม่มีการขาดน้ำตลอดปี – ถ้าชาวลิเบียต้องการทำฟาร์มเพาะ ปลูก และเลี้ยงสัตว์ รัฐจะยกที่ดินให้ฟรี แถมปลูกบ้านให้ พร้อมแจกพันธ์ุพืชและสัตว์ ฟรีหมด เพราะรัฐสนับสนุนให้สร้าง “อาหาร” จะได้ไม่อดตาย – เมื่อหญิงชาวลิเบียคลอดลูก จะได้รับเงินช่วยจากรัฐ จำนวน 5 พันเหรียญ เขาสนับสนุนให้มีชาวลิเบียอยู่ในโลก ไม่ใช่ถูกตอนพันธ์ – รัฐบาลกัดดาฟี ยืนราคาน้ำมันขายในลิเบีย ที่ลิตรละ 14 เซ็นต์ (ประมาณ 5 บาท) – รัฐบาลกัดดาฟีส่งเสริมการศึกษา ก่อนเขาปกครอง มีคนอ่านหนังสือออกเพียง 25% ช่วง 40 ปี ที่กัดดาฟี ปกครองลิเบีย จำนวนคนอ่านหนังสือออก เพิ่มเป็นเกือบ 90% และมีคนศึกษาจบระดับปริญญา 25% TNC เป็นแนวหน้าที่นาโต้เตรียมไว้ให้ไปสู้ และตายแทนกองกำลังนาโต้ ส่วนทหารนาโต้ นั่งคอยดูผลงาน TNC ไปก่อน นี่เป็นเพียงก๊อก 1 ก๊อก 1 เริ่มงานด้วยการ ออกมาประท้วงกัดดาฟีตามเมืองต่างๆว่า เป็นเผด็จการ พวกเขาต้องการประชาธิปไตย และการประท้วงครั้งแรกในลืเบีย ก็เกิดขึ้นที่เมือง Cyrenaica เมืองที่เป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ ทางตะวันออกของลิเบีย หลังจากนั้น การประท้วงก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวออกไป และในที่สุดก็ยึดเมืองสำคัญอย่าง เบงกาซี Benghazi ได้ หลังจากนั้น กระป๋องสีย้อมข่าวใบใหญ่ ซีเอนเอน ก็รับช่วงรายงานข่าวทุกวันว่า กัดดาฟี ชั่วช้า กระทำรุนแรง ตั้งใจฆ่าประชาชน ด้วยการเอาเครื่องบินมาถล่มพวกกบฏมือเปล่า แบบนี้นานาชาติใจบุญ จะทนดูชาวลิเบียโดนระเบิดทุกวันไหวยังไง อังกฤษกับฝรั่งเศส รีบถลาไปเอาหน้าเกือบไม่ทัน บอกว่าไม่ได้นะ แบบนี่มันละเมิดกฏ “No Fly Zone” ของสหประชาชาติ ว่าเข้าไปโน่น สหประชาชาติ เลยมีมติกำหนดเขตห้ามบิน No Fly Zone ตามเมืองต่างๆในลิเบีย เครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลหรือกัดดาฟี บินไม่ได้ แต่ของกองกำลังผสมของนานาชาติบินได้ ทิ้งระเบิดได้ มีปัญหาไหม ไม่มีคร้าบ… พวกเอ็งมันใหญ่ค้ำโลกแล้ว ใครจะกล้ามีปัญหาด้วย ก๊อก 2 คือ กองกำลังผสมของนานาชาติ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันเชือด กัดดาฟี ทรัพยากรลิเบียแยะนัก กองกำลังร่วมเชือด เลยแยะตามไปด้วย หวังได้แบ่งส่วนบุญ กองกำลังผสม นำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา และลูกกระเป๋ง อย่าง กาต้าร์ สหรัฐเอมิเรต เบลเยี่ยม อิตาลี เดนมาร์ค นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์และสเปญ เอาชื่อมาโชว์ให้ดูหมด จะได้รู้ว่าใคร อยู่ตรงไหน… โถ นึกว่ารวยแล้วไม่ตะกระ …แถวบ้านผมเคยมี ที่รวยแล้ว ทั้งตะกระ ทั้งโกง…. ช่วงแรก กองกำลังผสมบัญชาการโดยอเมริกา ช่วงหลัง บัญชาการโดยนาโต้ ไม่รู้จะดัดจริต เปลี่ยนทำไม ยังไงอเมริกาก็คุมนาโต้อยู่แล้ว จริงๆ ช่วงแรก อเมริกานำ ก็เพราะต้องการจะเข้าลิเบียไปก่อนใคร เพื่อค้นหาสมบัติของกัดดาฟี โดยเฉพาะ พวกอาวุธที่แอบเก็บตามโกดังนั่นแหละ ใครๆ ก็อยากงาบต่อทั้งนั้น แล้วกองกำลังผสมของชาติต่างๆ บวกกองกำลังของนาโต้เอง บวกกองกำลังฝ่ายกบฏ บวกกองกำลังของผู้รับเหมา บวกกองกำลังทหารของอเมริกา (เอะ นี่ผมตกกองอะไร ของใครอีกไหม มันแยะ เละไปหมด) ก็ไล่ล่ากัดดาฟีอยู่ 8 เดือน กัดดาฟีหนีไปเมืองไหน ยิงกันอย่างไร บ้านเรือนพังฉิบหายขนาดไหน คนเจ็บคนตายนอนน่าสมเพชเกลื่อน ถนนเท่าไหร่ ไอ้กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ซีเอนเอน รายงานข่าวละเอียดละออ ชาวบ้านได้ดูข่าวการไล่ล่า และไล่ฆ่า เป็นรายการสดทางทีวี ทุกวัน ทุกคืน เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2011 นาโต้ประกาศว่า ได้ทิ้งระเบิด ที่บริเวณบ้านใหญ่ ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีรอบใหญ่ บ้านพังฉิบหายยับ แต่ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย แต่มีคนอื่นตายแทน เป็นลูกชายคนเล็กของกัดดาฟี และหลานปู่เล็กๆ อีก 3 คน เวร….. แล้วในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2011 กัดดาฟี ก็ถูกฆ่าตายที่เมืองบ้านเกิดของเขา Sirte ขณะที่อยู่กับกองกำลังของตัว ที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง แต่มันมาทางจากข้างบน เป็นจรวดไล่ยิง จะไปคุ้มกันยังไงไหว เล่นยิงใส่ขบวนรถของพวกกัดดาฟี ที่กำลังขับหนีออกจาก Sirte รถกระเด็นพลิกคว่ำ บ้านเรือนแถบนั้นพังเป็นแถบ คนจะรอดหรือ แล้วกัดดาฟีพร้อมลูกชาย 2 คน และลูกน้องคนสนิทหลายคน ก็ตายเรียบ หลังจากนั้น เขาว่าพวกกบฏก็บุกเขาไปเอาร่างกัดดาฟีออกมา ลากไปตามถนนโห่ร้องยินดี บางข่าว บอกว่าเขาตายตั้งแต่โดนจรวด บางข่าวบอก เขายังไม่ตาย แค่เกือบ เขาหลุดออกมาจากรถ ไปแอบซ่อนตัวอยู่ในท่อ แต่มาตายตอนที่พวกกบฏลากตัวขึ้น มาจากท่อ ไปตามถนน ก่อนลาก ทุบเสียละเอียด ก่อน ทุบ จับแก้ผ้า และชำเราทางทวารหนักก่อน บางสื่อลงภาพเขานอนตาย หัวเป็นรู จากรอยกระสุน 2 วัน ก่อนที่กัดดาฟีจะถูกจับ คุณนายคลินตัน สตรีหน้าโหด ( ผมเห็นหน้าคุณนายในทีวีทีไร ฝันร้ายทุกที ผู้หญิงอะไร น่ากลัวชะมัด) ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปที่เมือง ทริโปลี Tripoli ด้วยเครื่องบินทหาร ที่มีการคุ้มกันหลายชั้น แม้แต่แมลงวันที่คุ้นเคยกัน ก็คงเข้าไปตอมคุณนายไม่ถึง คุณนายประกาศเสียงดังฟังชัดว่า เราจะต้องจับตัวกัดดาฟี มาให้ได้ ไม่ว่า จับตาย หรือจับเป็น “dead or alive” นี่! มันยิ่งกว่าบทพระเอก ไปทำหน้าเศร้าที่ซูดานอีกนะ บทนี้มันเป็นบทนางสิงห์สั่งฆ่าเลย กัดดาฟี จะอย่างไรก็เป็นประมุขประเทศ เป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร ทำดี ทำชั่ว ศาลระหว่างประเทศมี อเมริกา และรัฐมนตรีต่างประเทศของตน ใช้สิทธิอะไร เที่ยวประกาศ ตัดสินว่า ประเทศไหน ต้องมีนโยบายอย่างไร ประมุขประเทศ ต้องทำตัวอย่างไร ตามใจอเมริกาอย่างไร ถ้าไม่ถูกใจนี่ อเมริกา สั่งฆ่าได้เลยหรือ เรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ และสะอิดสะเอียนที่สุด เรื่องนี้ สำนักข่าว Associated Press รายงานข่าวว่า … นางคลินตันพูดแบบไม่อ้อมค้อมเป็นพิเศษว่า อเมริกา ต้องการเห็น อดีตเผด็จการ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ถึงแก่ความตาย…. … เราหวังว่า เขาจะถูกจับ หรือถูก ฆ่า เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป .. Clinton declared in unusually blunt terms that the United States would like to see former dictator Muammar Gaddafi dead.. …We hope he can be captured or killed soon so that you don’t have to fear him any longer… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเดินทางมนุษย์โบราณไปที่ดินแดน Sahul (ออสเตรเลีย-นิวกินี-แทสเมเนีย) เมื่อราว 60,000 ปีก่อน

    นักวิจัยวิเคราะห์ DNA มัยโตคอนเดรียกว่า 2,500 ตัวอย่าง จากชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย นิวกินี โอเชียเนีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบหลักฐานชัดเจนว่า การเข้ามาของมนุษย์ใน Sahul ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเส้นทางเดียว แต่มีทั้งสายพันธุ์ที่เดินทางผ่าน เส้นทางใต้ (Southern Route) และ เส้นทางเหนือ (Northern Route)

    เส้นทางใต้และเหนือ
    เส้นทางใต้: ผ่านมาเลเซีย ชวา และติมอร์ เข้าสู่ Sahul ทางฝั่งเมืองดาร์วินในปัจจุบัน
    เส้นทางเหนือ: ผ่านฟิลิปปินส์และสุลาเวสี เข้าสู่ปาปัวนิวกินีและตอนเหนือของควีนส์แลนด์

    การวิเคราะห์พบว่า 64% ของสายพันธุ์แรกเริ่มมาจากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มที่มาจากเส้นทางเหนือยังคงแพร่กระจายต่อไปถึงหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน

    ความหมายต่อประวัติศาสตร์มนุษย์
    ผลการศึกษานี้สนับสนุนทฤษฎี “Long Chronology” ที่เชื่อว่ามนุษย์เข้ามาในออสเตรเลียตั้งแต่ราว 60,000 ปีก่อน ไม่ใช่ 45,000–50,000 ปีตามทฤษฎีเดิม การค้นพบยังสะท้อนถึงความสามารถในการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรกที่น่าทึ่ง

    ก้าวต่อไป
    นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการขาดแคลน DNA โบราณจากเอเชียใต้และ Sahul ยังเป็นข้อจำกัด หากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยยืนยันรายละเอียดของการอพยพและการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มมนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    มนุษย์โบราณเข้าสู่ Sahul ราว 60,000 ปีก่อน
    สนับสนุนทฤษฎี Long Chronology

    มีสองเส้นทางหลักในการอพยพ
    เส้นทางใต้ผ่านชวา–ติมอร์
    เส้นทางเหนือผ่านฟิลิปปินส์–สุลาเวสี

    สัดส่วนการอพยพ
    64% จากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ

    เส้นทางเหนือแพร่กระจายต่อไปยังหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน
    แสดงถึงการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรก

    ยังขาดข้อมูล DNA โบราณจากบางภูมิภาค
    ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันรายละเอียดการอพยพ

    https://www.sciencealert.com/dna-analysis-reveals-two-routes-ancient-humans-used-to-reach-australia
    👣 การเดินทางมนุษย์โบราณไปที่ดินแดน Sahul (ออสเตรเลีย-นิวกินี-แทสเมเนีย) เมื่อราว 60,000 ปีก่อน นักวิจัยวิเคราะห์ DNA มัยโตคอนเดรียกว่า 2,500 ตัวอย่าง จากชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย นิวกินี โอเชียเนีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบหลักฐานชัดเจนว่า การเข้ามาของมนุษย์ใน Sahul ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเส้นทางเดียว แต่มีทั้งสายพันธุ์ที่เดินทางผ่าน เส้นทางใต้ (Southern Route) และ เส้นทางเหนือ (Northern Route) 🌍 เส้นทางใต้และเหนือ 🧭 เส้นทางใต้: ผ่านมาเลเซีย ชวา และติมอร์ เข้าสู่ Sahul ทางฝั่งเมืองดาร์วินในปัจจุบัน 🧭 เส้นทางเหนือ: ผ่านฟิลิปปินส์และสุลาเวสี เข้าสู่ปาปัวนิวกินีและตอนเหนือของควีนส์แลนด์ การวิเคราะห์พบว่า 64% ของสายพันธุ์แรกเริ่มมาจากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มที่มาจากเส้นทางเหนือยังคงแพร่กระจายต่อไปถึงหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน 🔬 ความหมายต่อประวัติศาสตร์มนุษย์ ผลการศึกษานี้สนับสนุนทฤษฎี “Long Chronology” ที่เชื่อว่ามนุษย์เข้ามาในออสเตรเลียตั้งแต่ราว 60,000 ปีก่อน ไม่ใช่ 45,000–50,000 ปีตามทฤษฎีเดิม การค้นพบยังสะท้อนถึงความสามารถในการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรกที่น่าทึ่ง 🚀 ก้าวต่อไป นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่าการขาดแคลน DNA โบราณจากเอเชียใต้และ Sahul ยังเป็นข้อจำกัด หากได้ข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยยืนยันรายละเอียดของการอพยพและการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มมนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ มนุษย์โบราณเข้าสู่ Sahul ราว 60,000 ปีก่อน ➡️ สนับสนุนทฤษฎี Long Chronology ✅ มีสองเส้นทางหลักในการอพยพ ➡️ เส้นทางใต้ผ่านชวา–ติมอร์ ➡️ เส้นทางเหนือผ่านฟิลิปปินส์–สุลาเวสี ✅ สัดส่วนการอพยพ ➡️ 64% จากเส้นทางใต้ และ 36% จากเส้นทางเหนือ ✅ เส้นทางเหนือแพร่กระจายต่อไปยังหมู่เกาะบิสมัคและโซโลมอน ➡️ แสดงถึงการเดินเรือและการปรับตัวของมนุษย์ยุคแรก ‼️ ยังขาดข้อมูล DNA โบราณจากบางภูมิภาค ⛔ ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันรายละเอียดการอพยพ https://www.sciencealert.com/dna-analysis-reveals-two-routes-ancient-humans-used-to-reach-australia
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA Analysis Reveals Two Routes Ancient Humans Used to Reach Australia
    The first humans arrived upon the landmass now known as Australia around 60,000 years ago along two distinct routes, according to a new genomics study.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผย คณะกรรมการธุรกรรมยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท คดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group คดีนายก๊ก อาน และคดีน.ส.แตงไทย เชื่อมโยงเส้นทางเงินไปยังนายเบน สมิธ ขยายผลคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล มีฐานใหญ่ในกัมพูชา ฟอกเงินโดยเปลี่ยนสภาพเงินแต่ละประเทศกับสินทรัพย์ดิจิทัล หลอกลวงหลายรูปแบบ หลายขั้นตอน ในลักษณะ ไฮบริดแสกม รวมถึงคดีที่พบข้อมูลการทำธุรกรรม เชื่อมโยงนายเบน สมิธ โดยทรัพย์สินที่ยึดได้มีหลายรายการ อาทิ ที่ดิน เรือยอร์ช และรถยนต์หรู
    นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผย คณะกรรมการธุรกรรมยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท คดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group คดีนายก๊ก อาน และคดีน.ส.แตงไทย เชื่อมโยงเส้นทางเงินไปยังนายเบน สมิธ ขยายผลคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล มีฐานใหญ่ในกัมพูชา ฟอกเงินโดยเปลี่ยนสภาพเงินแต่ละประเทศกับสินทรัพย์ดิจิทัล หลอกลวงหลายรูปแบบ หลายขั้นตอน ในลักษณะ ไฮบริดแสกม รวมถึงคดีที่พบข้อมูลการทำธุรกรรม เชื่อมโยงนายเบน สมิธ โดยทรัพย์สินที่ยึดได้มีหลายรายการ อาทิ ที่ดิน เรือยอร์ช และรถยนต์หรู
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.32

    ทรัพย์สินมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับมิติทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง สิทธิ และหน้าที่แก่เจ้าของ การทำความเข้าใจ "ทรัพย์สิน" ในฐานะของแนวคิดทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงและส่งต่อมรดกอย่างเป็นระบบ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้ให้นิยามของทรัพย์ไว้ว่าคือวัตถุที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย ดังนั้นทรัพย์สินจึงแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายถึงที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งการได้มา จำหน่ายจ่ายโอน หรือการก่อภาระผูกพันใดๆ ย่อมต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากขาดแบบพิธีทางกฎหมายนี้ สิทธินั้นย่อมไม่บริบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นหลักการที่เข้มงวดเพื่อสร้างความชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินซึ่งมีมูลค่าสูง ในขณะที่สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์สินอื่นๆ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์ ซึ่งการโอนสิทธิก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะนั้นๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีทะเบียน เช่น เงิน เครื่องประดับ หรือทรัพย์สินในชีวิตประจำวัน การซื้อขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์มักมีความยืดหยุ่นทางกฎหมายมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปของการทำนิติกรรมสัญญา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีมูลค่าทางกฎหมาย เช่น สิทธิเรียกร้องต่างๆ หุ้นในบริษัท สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อย่างลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ซึ่งทรัพย์สินประเภทหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางในการดำเนินการตามกฎหมาย ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิใช้สอย ได้ดอกผล จำหน่าย และทำลายทรัพย์สินของตนเอง รวมไปถึงสิทธิในการติดตามและเอาคืนทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล การจัดการทรัพย์สินจึงต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายเหล่านี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อขาย การจำนอง การจำนำ หรือแม้แต่การทำพินัยกรรมเพื่อเตรียมการส่งต่อทรัพย์สินเมื่อเจ้าของถึงแก่ความตาย การจัดการที่ดีจะช่วยให้การส่งมอบมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความขัดแย้งระหว่างทายาท และสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้รับช่วงต่อไป

    ในทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทุกประเภทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ การดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจส่งผลให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะหรือเป็นโมฆียะ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและข้อพิพาททางกฎหมายตามมา การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิ การจดทะเบียนที่ดิน การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ไปจนถึงการจัดตั้งกองมรดกหรือการมอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน ล้วนเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด การละเลยแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยในทางกฎหมายก็อาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิหรือการถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต ซึ่งหมายความว่าแม้การได้มาซึ่งทรัพย์สินของบุคคลใดอาจมีข้อบกพร่องทางกฎหมาย แต่ถ้าหากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน กฎหมายก็อาจให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกนั้นไว้ นี่คือความสมดุลที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจ การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องและเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

    ท้ายที่สุดนี้ ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือสิทธิทางปัญญา ล้วนเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงในชีวิต การบริหารจัดการทรัพย์สินจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความชัดเจน ความชอบธรรม และความยุติธรรมให้กับความเป็นเจ้าของ การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ที่มาพร้อมกับทรัพย์สิน การปฏิบัติตามแบบพิธีการทำนิติกรรม การวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และการเตรียมการเรื่องมรดกอย่างรอบคอบ คือรากฐานของการปกป้องทรัพย์สินที่เราสร้างมาด้วยความเพียรพยายาม การมีวินัยทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินจะนำไปสู่ความสงบสุขในครอบครัวและความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง และทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นมรดกที่มีคุณค่าและสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไปอย่างราบรื่นและชอบธรรมที่สุด
    บทความกฎหมาย EP.32 ทรัพย์สินมิได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับมิติทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง สิทธิ และหน้าที่แก่เจ้าของ การทำความเข้าใจ "ทรัพย์สิน" ในฐานะของแนวคิดทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงและส่งต่อมรดกอย่างเป็นระบบ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้ให้นิยามของทรัพย์ไว้ว่าคือวัตถุที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ รวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย ดังนั้นทรัพย์สินจึงแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายถึงที่ดินและทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ซึ่งการได้มา จำหน่ายจ่ายโอน หรือการก่อภาระผูกพันใดๆ ย่อมต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากขาดแบบพิธีทางกฎหมายนี้ สิทธินั้นย่อมไม่บริบูรณ์ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นหลักการที่เข้มงวดเพื่อสร้างความชัดเจนและป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินซึ่งมีมูลค่าสูง ในขณะที่สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์สินอื่นๆ นอกเหนือจากอสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น รถยนต์ ซึ่งการโอนสิทธิก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะนั้นๆ หรือสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีทะเบียน เช่น เงิน เครื่องประดับ หรือทรัพย์สินในชีวิตประจำวัน การซื้อขายหรือการโอนกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์มักมีความยืดหยุ่นทางกฎหมายมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ภายใต้หลักการทั่วไปของการทำนิติกรรมสัญญา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีมูลค่าทางกฎหมาย เช่น สิทธิเรียกร้องต่างๆ หุ้นในบริษัท สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา อย่างลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ซึ่งทรัพย์สินประเภทหลังนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางในการดำเนินการตามกฎหมาย ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิใช้สอย ได้ดอกผล จำหน่าย และทำลายทรัพย์สินของตนเอง รวมไปถึงสิทธิในการติดตามและเอาคืนทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานในการคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล การจัดการทรัพย์สินจึงต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายเหล่านี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อขาย การจำนอง การจำนำ หรือแม้แต่การทำพินัยกรรมเพื่อเตรียมการส่งต่อทรัพย์สินเมื่อเจ้าของถึงแก่ความตาย การจัดการที่ดีจะช่วยให้การส่งมอบมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความขัดแย้งระหว่างทายาท และสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้รับช่วงต่อไป ในทางปฏิบัติ การทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างถ่องแท้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การทำนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทุกประเภทจะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ การดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอาจส่งผลให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะหรือเป็นโมฆียะ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายและข้อพิพาททางกฎหมายตามมา การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิ การจดทะเบียนที่ดิน การจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด ไปจนถึงการจัดตั้งกองมรดกหรือการมอบอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน ล้วนเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด การละเลยแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยในทางกฎหมายก็อาจนำไปสู่การสูญเสียสิทธิหรือการถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลภายนอกผู้สุจริต ซึ่งหมายความว่าแม้การได้มาซึ่งทรัพย์สินของบุคคลใดอาจมีข้อบกพร่องทางกฎหมาย แต่ถ้าหากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน กฎหมายก็อาจให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกนั้นไว้ นี่คือความสมดุลที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจ การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องและเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ท้ายที่สุดนี้ ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินฝาก หรือสิทธิทางปัญญา ล้วนเป็นเสาหลักแห่งความมั่นคงในชีวิต การบริหารจัดการทรัพย์สินจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกฎหมายคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความชัดเจน ความชอบธรรม และความยุติธรรมให้กับความเป็นเจ้าของ การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ที่มาพร้อมกับทรัพย์สิน การปฏิบัติตามแบบพิธีการทำนิติกรรม การวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และการเตรียมการเรื่องมรดกอย่างรอบคอบ คือรากฐานของการปกป้องทรัพย์สินที่เราสร้างมาด้วยความเพียรพยายาม การมีวินัยทางกฎหมายในการจัดการทรัพย์สินจะนำไปสู่ความสงบสุขในครอบครัวและความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง และทำให้ทรัพย์สินนั้นกลายเป็นมรดกที่มีคุณค่าและสมบูรณ์พร้อมที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไปอย่างราบรื่นและชอบธรรมที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 6
    เล่าแต่เรื่องญี่ปุ่น ไม่เล่าถึงจีน ก็เหมือนดูหนังครึ่งจอ มันจะไปเห็นอะไรครบ แม้เรื่องมันดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆแล้ว มันเกี่ยวโยงกันทั้งนั้น
    จีนเป็นประเทศที่มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แถมร่ำรวยด้วยทรัพยากรหลากหลาย ในช่วงปลายๆของศตวรรษที่ 18 จีนมีประชากรประมาณ 450 ล้านคน อยู่ในประเทศที่มีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 4 ล้านตารางไมล์ ชาติตะวันตก ต่างจ้องอยากจะกินจีนมานานแล้ว แต่ด้วยความเป็นชาติใหญ่ พลเมืองแยะ กินจีนคำเดียวคงกลืนยาก แถมจะติดคอหอยตายเอา แต่ละชาติ จึงใช้ยุทธศาสตร์เพื่อกินจีนต่างกัน มีทั้ง ร่วมมือกัน และหักหลังกันเอง
    อังกฤษ นักล่ารุ่นเก๋า เป็นพวกตะวันตกรุ่นแรกๆ ที่อยากได้จีน จนน้ำลายหกเต็มพื้น แต่อังกฤษ เป็นเกาะใหญ่ มีเนื้อที่แค่ปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะกินจีนเข้าไปอย่างไร เหมือนงูเขียวคิดกลืนช้าง แต่ด้วยความเป็นนักล่ารุ่นเขี้ยวยาว จึงวางแผนล่าจีนอย่างมีขั้นตอน และใจเย็น สูตรสำเร็จตามสันดานของอังกฤษ ถ้าใช้อำนาจทางกองทัพและอาวุธ เข้าไปยึดเอามาทีเดียวไม่ได้ อังกฤษก็ใช้สูตร ทุบให้น่วมก่อน แล้วค่อยเข้ามาเคี้ยว ไม่ต่างกับวิธีการที่อังกฤษใช้กับจักรวรรดิออตโตมาน และจักรวรรดิรัสเซีย สำหรับจีน ก็เช่นเดียวกัน อังกฤษวางแผนที่จะทำให้จีนอ่อนแอจนน่วม ก่อนเข้าไปกิน
    ช่วงปี ค.ศ.1850 จีนปกครองโดยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นพวกแมนจู ที่รบชาวจีนชนะจึงปกครองจีนมาตั้งแต่ ประมาณปี ค.ศ.1644 จักรพรรดิแมนจู เปิดประเทศรูเล็กมาก สำหรับให้ต่างชาติแย่งกันรอดรูเข้ามาค้าขาย เพราะจีนเชื่อว่า ตนเองอยู่ได้เองโดยไม่ต้องพี่งต่างชาติ ไม่ว่าด้านสินค้า หรือด้านใด จีงเปิดทางเข้าอย่างเสียไม่ได้ ให้เพียงที่เดียว ที่ท่าเรือกวางตุ้ง
    อังกฤษเริ่มด้วยนำการค้าเข้ามาที่จีนก่อน แต่จีนบอก เราไม่ได้อยากได้อะไรจากพวกเจ้าเลย เราอยู่ของเราดีแล้ว ผ้าผ่อนแพรไหม กระเบื้องเครื่องใช้สวยงาม และแม้แต่ใบชาของเราก็ดีกว่าของพวกเจ้าทั้งนั้น
    แต่ชาวอังกฤษเอง ตอนนั้นเสพติด ต้องดื่มชาไปแล้ว เป็นอาการที่ติดเชื้อมาจากการที่ได้เหยื่อชื่ออินเดีย ใครที่ชอบดื่มชาอังกฤษ ถึงขนาดต้องจัดเทศกาลดื่มชาใน แดนสยาม ก็รู้ไว้ด้วยนะครับ ไม่ได้เดินตามก้นอังกฤษ แต่เดินตามก้นอาบัง ชาอินเดียมีแยะก็จริง แต่ชาของจีนก็ลือชื่อ มีตั้งแต่ชั้นดีหอมชื่นใจราคาแพง จนถึงชั้นเกือบดีและราคาไม่แพง พ่อค้าอังกฤษเลย ขนซื้อชา ผ้าไหม เครื่องกระเบื้องของจีน บรรทุกเต็มเรือ เอากลับไปขายได้กำไรบานที่อังกฤษ แต่ขามา เรือสินค้าอังกฤษว่างเปล่า เพราะคนจีนบอก ไม่เห็นมีอะไรของอังกฤษที่เราอยากได้เลย ยกเว้นแต่เงินแท่งอย่างดี ที่เราจะรับเป็นค่าชำระสินค้าให้เราเท่านั้น
    ค้าไปค้ามาแบบนี้อยู่พักใหญ่ อังกฤษ ที่ว่าจะมาล่าจีน ดูเหมือนจะถูกจีนล้วงกระเป๋าเสี ยละมากกว่า ตกลง อังกฤษรู้จักคำว่า เสียดุลยการค้า ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 17 ปิดเงียบเลยนะ ไหนคุยว่า ชาวเกาะใหญ่ นักล่าหมายเลขหนึ่ง เป็นต้นตำรับการเงินการค้า ฮาจริง(โว้ย) อังกฤษก็เลยต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์
    สมัยนั้นเจ้านาย ขุนนางจีน หรือชนชั้นสูงของจีน ก็ต้องสูบฝิ่นกันทั้งนั้น ถือเป็นเครื่องหมายวัดความร่ำรวยอย่างหนึ่ง เหมือนสมัยนี้ ที่ชาวสยามในสังคมคนรวยต้องดื่มไวน์ ยิ่งรวย ก็ยิ่งต้องดื่มยี่ห้อดีราคาแพง ขวดละ 2 แสน เอามาดื่มอวดแข่งกัน (จะ 2 แสน หรือ 200 มันก็เมาเท่ากันแหละครับ ผมยืนยัน)
    คนที่นำฝิ่นเข้ามาในจีนคร้ังแรก ก็คือ พ่อค้าปอร์ตุเกส ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1620 แต่พอถึงปี ค.ศ.1770 กว่า อังกฤษแก้เกม จากการเสียหน้า เสียดุลยการค้ากับจีน (ขอ ฮาอีกที) และที่สำคัญ อังกฤษหิวจัด อยากเคี้ยวจีนเต็มแก่แล้ว ยิ่งเห็นจีนมีแต่ทองแท่ง เงินแท่งเต็มท้องพระคลัง สินค้าที่อังกฤษนำติดเรือเข้ามาขายที่จีน จึงเป็นฝิ่น ที่ขนมาจนเต็มเรือเป็นฝิ่นที่อังกฤษเอามาจากตุรกีเสียส่วนใหญ่ ตอนนั้นยัง(หลอกว่า) รักกับตุรกี หรือ ออโตมานสมัยนั้นอยู่ ฝิ่นที่อังกฤษนำมา มีทั้งของดีราคาแพงขายไว้คนรวยชั้นสูง กับขี้ฝิ่น เอาไว้ขายคนทั่วไปที่ยังไม่เคยเสพ
    ผ่านไปไม่กี่สิบปี คนจีนไม่ว่าชั้นสูง ชั้นไม่สูง ต่างติดฝิ่นกันงอม เพราะอังกฤษเร่งเครื่องด้วยการจ่ายค่าแรงกุลีที่ขนของเป็นขี้ฝิ่น ถึงปี ค.ศ.1838 เจ้าหน้าที่ทำรายงานไปถึงฮ่องเต้ว่า ที่กวางตุ้งและฟูเจี้ยน มีจำนวนคนติดฝิ่นสูงมาก และการติดฝิ่นนี้ลามไปถึงขุนนาง และกองทัพ ประมาณว่า คนจีน 9 ใน 10 ติดฝิ่น ในรายงานบอกว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีกไม่กี่ปี เราคงไม่เหลือทหาร และประชาชน ที่แข็งแรงพร้อมรบ และไม่มีเงินจะบำรุงกองทัพ หรือสร้างกองทัพใหม่ด้วย
    จักรพรรดิตังกวง สั่งปิดท่าเรือทันที ห้ามไม่ให้ต่างชาติขนฝิ่นเข้ามาขายอีกต่อไป พร้อมทั้งสั่งยึดฝิ่นที่ฝรั่งขนมาทั้งหมด ให้เอาไปเผาทิ้ง และเพื่อให้แน่ใจว่า ฝิ่นจะต้องหมดไปจากจีน ฮ่องเต้ แต่งตั้ง หลินซื่อ ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์เอาจริง ให้ทำหน้าที่เป็นมือปราบฝิ่น
    ตัวแทนการค้าของอังกฤษ โดยบริษัทบริติชอีสท์อินเดีย ซึ่งจริงๆ คือตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษที่เป็นทั้งหูตามือตีน ขอเจรจากับหลินซื่อ ซี่งนอกจากไม่รับเจรจาด้วยแล้ว หลินซื่อยังสั่งทำลายโรงฝิ่น โกดังฝิ่น และควบคุมตัวพ่อค้าขายฝิ่น ให้มอบฝิ่นที่ซุกซ่อนออกมาทั้งหมด และนำมาเผาทิ้ง หลังจากนั้นสั่งปิดตายท่าเรือที่กวางตุ้ง
    อังกฤษควันออกทุกทวาร ประกาศว่า การที่จีนทำเช่นนี้เป็นการหยามหน้าอังกฤษ ว่าแล้วก็เอาเรือรบมาปิดปากน้ำของจีน เฮ้อ… เขียนมาถึงตรงนี้ แล้วคลื่นไส้จริงๆ มันเล่นเป็นแต่บทอย่างนี้หรือไง ไอ้พวกชาติมหาอำนาจ สร้างไมตรี สร้างการค้าขาย ที่เป็นธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบและบ่อนทำลาย น่ะ ทำเป็นไหม(วะ)
    หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็บานปลาย กลายเป็นสงคราม ที่เรียกว่าสงครามฝิ่น Opium War ครั้งที่ 1 ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1839-1842 เมื่ออังกฤษเอากองทัพเรือมาถล่มจีน และยกพลบุกจีนไล่ยึดเข้าไปถึงซินเกียงทางใต้ของจีน ซึ่งเป็นบริเวณปลูกข้าวที่กว้างใหญ่ของจีน อังกฤษอ้างว่า เป็นการสอนบทเรียนการค้าเสรีให้แก่จีน ถุด
    แล้วฮ่องเต้ ก็จำใจลงนามในสนธิสัญญานานกิง เปิดประตูกว้างให้ต่างชาติเข้ามาค้าขาย มาตั้งบ้านเรือนฝังรกฝังรากตามสบาย พร้อมกับเปิดท่าเรือเพิ่มให้เรือต่างชาติอีก 4 ท่า และเสียเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษตั้งแต่บัดนั้น ครั่งของตราประทับในสัญญายังไม่ทันแห้งดี อังกฤษก็นำกองทัพพ่อค้า ขนฝิ่นเข้ามาขาย… มากกว่าเดิม
    หลังจากอังกฤษนำทัพทำสัญญา อเมริกา ฝรั่งเศสก็ตามติดมาทำสัญญาโรเนียว เงื่อนไขเดียวกับอังกฤษ แค่เปลี่ยนชื่อประเทศ แล้วราชวงศ์ชิง ก็มีขุนนางติดฝิ่น ค้าฝิ่น ราชสำนัก กองทัพ และประชาชาอ่อนแอลงเรื่อยๆ หลินซื่อ คนเดียว สู้ไม่ไหว แถมถูกย้ายเข้ากรุ โทษฐานทำงานไม่สำเร็จ
    เวลาผ่านไปไม่กี่ปี อังกฤษ ก็ได้โอกาสเล่นงานจีนอีก ในปี ค.ศ.1856 เป็นสงครามฝิ่นหมายเลข 2 คราวนี้อังกฤษไม่มาเดี่ยว จับมือเอาฝรั่งเศสมาเล่นด้วย บีบให้จีนทำสนธิสัญญาเทียนสิน ค.ศ.1858 ให้จีนเปิดท่าเรือเพิ่ม รวมทั้งให้สิทธิต่างชาติเดินทางเข้าไปถึงด้านในของประเทศ เปิดทางให้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ทั่ว รวมทั้งถือครองที่ดินสร้างวัดได้ หลังจากนั้น อเมริกา และรัสเซียก็เรียงแถวตามมา
    การมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ถือเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่สุด ที่อังกฤษนำมาใช้กับจีน จีนที่ยิ่งใหญ่ถึงกับมืออ่อนขาอ่อน ยืนไม่อยู่ สมองเลิกทำงาน อยากแต่จะนอนซมดูดฝิ่น ผ่านมาร้อยกว่าปี การมอมเมาให้ประเทศชาติเป้าหมายอ่อนแอ ยังนำมาใช้กันอยู่ และใช้ได้แนบเนียนกว่าเดิม ขนาดคนถูกมอมเมา ไม่รู้ตัว น่าเศร้าใจครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 6 เล่าแต่เรื่องญี่ปุ่น ไม่เล่าถึงจีน ก็เหมือนดูหนังครึ่งจอ มันจะไปเห็นอะไรครบ แม้เรื่องมันดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆแล้ว มันเกี่ยวโยงกันทั้งนั้น จีนเป็นประเทศที่มีบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล แถมร่ำรวยด้วยทรัพยากรหลากหลาย ในช่วงปลายๆของศตวรรษที่ 18 จีนมีประชากรประมาณ 450 ล้านคน อยู่ในประเทศที่มีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 4 ล้านตารางไมล์ ชาติตะวันตก ต่างจ้องอยากจะกินจีนมานานแล้ว แต่ด้วยความเป็นชาติใหญ่ พลเมืองแยะ กินจีนคำเดียวคงกลืนยาก แถมจะติดคอหอยตายเอา แต่ละชาติ จึงใช้ยุทธศาสตร์เพื่อกินจีนต่างกัน มีทั้ง ร่วมมือกัน และหักหลังกันเอง อังกฤษ นักล่ารุ่นเก๋า เป็นพวกตะวันตกรุ่นแรกๆ ที่อยากได้จีน จนน้ำลายหกเต็มพื้น แต่อังกฤษ เป็นเกาะใหญ่ มีเนื้อที่แค่ปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะกินจีนเข้าไปอย่างไร เหมือนงูเขียวคิดกลืนช้าง แต่ด้วยความเป็นนักล่ารุ่นเขี้ยวยาว จึงวางแผนล่าจีนอย่างมีขั้นตอน และใจเย็น สูตรสำเร็จตามสันดานของอังกฤษ ถ้าใช้อำนาจทางกองทัพและอาวุธ เข้าไปยึดเอามาทีเดียวไม่ได้ อังกฤษก็ใช้สูตร ทุบให้น่วมก่อน แล้วค่อยเข้ามาเคี้ยว ไม่ต่างกับวิธีการที่อังกฤษใช้กับจักรวรรดิออตโตมาน และจักรวรรดิรัสเซีย สำหรับจีน ก็เช่นเดียวกัน อังกฤษวางแผนที่จะทำให้จีนอ่อนแอจนน่วม ก่อนเข้าไปกิน ช่วงปี ค.ศ.1850 จีนปกครองโดยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นพวกแมนจู ที่รบชาวจีนชนะจึงปกครองจีนมาตั้งแต่ ประมาณปี ค.ศ.1644 จักรพรรดิแมนจู เปิดประเทศรูเล็กมาก สำหรับให้ต่างชาติแย่งกันรอดรูเข้ามาค้าขาย เพราะจีนเชื่อว่า ตนเองอยู่ได้เองโดยไม่ต้องพี่งต่างชาติ ไม่ว่าด้านสินค้า หรือด้านใด จีงเปิดทางเข้าอย่างเสียไม่ได้ ให้เพียงที่เดียว ที่ท่าเรือกวางตุ้ง อังกฤษเริ่มด้วยนำการค้าเข้ามาที่จีนก่อน แต่จีนบอก เราไม่ได้อยากได้อะไรจากพวกเจ้าเลย เราอยู่ของเราดีแล้ว ผ้าผ่อนแพรไหม กระเบื้องเครื่องใช้สวยงาม และแม้แต่ใบชาของเราก็ดีกว่าของพวกเจ้าทั้งนั้น แต่ชาวอังกฤษเอง ตอนนั้นเสพติด ต้องดื่มชาไปแล้ว เป็นอาการที่ติดเชื้อมาจากการที่ได้เหยื่อชื่ออินเดีย ใครที่ชอบดื่มชาอังกฤษ ถึงขนาดต้องจัดเทศกาลดื่มชาใน แดนสยาม ก็รู้ไว้ด้วยนะครับ ไม่ได้เดินตามก้นอังกฤษ แต่เดินตามก้นอาบัง ชาอินเดียมีแยะก็จริง แต่ชาของจีนก็ลือชื่อ มีตั้งแต่ชั้นดีหอมชื่นใจราคาแพง จนถึงชั้นเกือบดีและราคาไม่แพง พ่อค้าอังกฤษเลย ขนซื้อชา ผ้าไหม เครื่องกระเบื้องของจีน บรรทุกเต็มเรือ เอากลับไปขายได้กำไรบานที่อังกฤษ แต่ขามา เรือสินค้าอังกฤษว่างเปล่า เพราะคนจีนบอก ไม่เห็นมีอะไรของอังกฤษที่เราอยากได้เลย ยกเว้นแต่เงินแท่งอย่างดี ที่เราจะรับเป็นค่าชำระสินค้าให้เราเท่านั้น ค้าไปค้ามาแบบนี้อยู่พักใหญ่ อังกฤษ ที่ว่าจะมาล่าจีน ดูเหมือนจะถูกจีนล้วงกระเป๋าเสี ยละมากกว่า ตกลง อังกฤษรู้จักคำว่า เสียดุลยการค้า ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 17 ปิดเงียบเลยนะ ไหนคุยว่า ชาวเกาะใหญ่ นักล่าหมายเลขหนึ่ง เป็นต้นตำรับการเงินการค้า ฮาจริง(โว้ย) อังกฤษก็เลยต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ สมัยนั้นเจ้านาย ขุนนางจีน หรือชนชั้นสูงของจีน ก็ต้องสูบฝิ่นกันทั้งนั้น ถือเป็นเครื่องหมายวัดความร่ำรวยอย่างหนึ่ง เหมือนสมัยนี้ ที่ชาวสยามในสังคมคนรวยต้องดื่มไวน์ ยิ่งรวย ก็ยิ่งต้องดื่มยี่ห้อดีราคาแพง ขวดละ 2 แสน เอามาดื่มอวดแข่งกัน (จะ 2 แสน หรือ 200 มันก็เมาเท่ากันแหละครับ ผมยืนยัน) คนที่นำฝิ่นเข้ามาในจีนคร้ังแรก ก็คือ พ่อค้าปอร์ตุเกส ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1620 แต่พอถึงปี ค.ศ.1770 กว่า อังกฤษแก้เกม จากการเสียหน้า เสียดุลยการค้ากับจีน (ขอ ฮาอีกที) และที่สำคัญ อังกฤษหิวจัด อยากเคี้ยวจีนเต็มแก่แล้ว ยิ่งเห็นจีนมีแต่ทองแท่ง เงินแท่งเต็มท้องพระคลัง สินค้าที่อังกฤษนำติดเรือเข้ามาขายที่จีน จึงเป็นฝิ่น ที่ขนมาจนเต็มเรือเป็นฝิ่นที่อังกฤษเอามาจากตุรกีเสียส่วนใหญ่ ตอนนั้นยัง(หลอกว่า) รักกับตุรกี หรือ ออโตมานสมัยนั้นอยู่ ฝิ่นที่อังกฤษนำมา มีทั้งของดีราคาแพงขายไว้คนรวยชั้นสูง กับขี้ฝิ่น เอาไว้ขายคนทั่วไปที่ยังไม่เคยเสพ ผ่านไปไม่กี่สิบปี คนจีนไม่ว่าชั้นสูง ชั้นไม่สูง ต่างติดฝิ่นกันงอม เพราะอังกฤษเร่งเครื่องด้วยการจ่ายค่าแรงกุลีที่ขนของเป็นขี้ฝิ่น ถึงปี ค.ศ.1838 เจ้าหน้าที่ทำรายงานไปถึงฮ่องเต้ว่า ที่กวางตุ้งและฟูเจี้ยน มีจำนวนคนติดฝิ่นสูงมาก และการติดฝิ่นนี้ลามไปถึงขุนนาง และกองทัพ ประมาณว่า คนจีน 9 ใน 10 ติดฝิ่น ในรายงานบอกว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีกไม่กี่ปี เราคงไม่เหลือทหาร และประชาชน ที่แข็งแรงพร้อมรบ และไม่มีเงินจะบำรุงกองทัพ หรือสร้างกองทัพใหม่ด้วย จักรพรรดิตังกวง สั่งปิดท่าเรือทันที ห้ามไม่ให้ต่างชาติขนฝิ่นเข้ามาขายอีกต่อไป พร้อมทั้งสั่งยึดฝิ่นที่ฝรั่งขนมาทั้งหมด ให้เอาไปเผาทิ้ง และเพื่อให้แน่ใจว่า ฝิ่นจะต้องหมดไปจากจีน ฮ่องเต้ แต่งตั้ง หลินซื่อ ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์เอาจริง ให้ทำหน้าที่เป็นมือปราบฝิ่น ตัวแทนการค้าของอังกฤษ โดยบริษัทบริติชอีสท์อินเดีย ซึ่งจริงๆ คือตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษที่เป็นทั้งหูตามือตีน ขอเจรจากับหลินซื่อ ซี่งนอกจากไม่รับเจรจาด้วยแล้ว หลินซื่อยังสั่งทำลายโรงฝิ่น โกดังฝิ่น และควบคุมตัวพ่อค้าขายฝิ่น ให้มอบฝิ่นที่ซุกซ่อนออกมาทั้งหมด และนำมาเผาทิ้ง หลังจากนั้นสั่งปิดตายท่าเรือที่กวางตุ้ง อังกฤษควันออกทุกทวาร ประกาศว่า การที่จีนทำเช่นนี้เป็นการหยามหน้าอังกฤษ ว่าแล้วก็เอาเรือรบมาปิดปากน้ำของจีน เฮ้อ… เขียนมาถึงตรงนี้ แล้วคลื่นไส้จริงๆ มันเล่นเป็นแต่บทอย่างนี้หรือไง ไอ้พวกชาติมหาอำนาจ สร้างไมตรี สร้างการค้าขาย ที่เป็นธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบและบ่อนทำลาย น่ะ ทำเป็นไหม(วะ) หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็บานปลาย กลายเป็นสงคราม ที่เรียกว่าสงครามฝิ่น Opium War ครั้งที่ 1 ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1839-1842 เมื่ออังกฤษเอากองทัพเรือมาถล่มจีน และยกพลบุกจีนไล่ยึดเข้าไปถึงซินเกียงทางใต้ของจีน ซึ่งเป็นบริเวณปลูกข้าวที่กว้างใหญ่ของจีน อังกฤษอ้างว่า เป็นการสอนบทเรียนการค้าเสรีให้แก่จีน ถุด แล้วฮ่องเต้ ก็จำใจลงนามในสนธิสัญญานานกิง เปิดประตูกว้างให้ต่างชาติเข้ามาค้าขาย มาตั้งบ้านเรือนฝังรกฝังรากตามสบาย พร้อมกับเปิดท่าเรือเพิ่มให้เรือต่างชาติอีก 4 ท่า และเสียเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษตั้งแต่บัดนั้น ครั่งของตราประทับในสัญญายังไม่ทันแห้งดี อังกฤษก็นำกองทัพพ่อค้า ขนฝิ่นเข้ามาขาย… มากกว่าเดิม หลังจากอังกฤษนำทัพทำสัญญา อเมริกา ฝรั่งเศสก็ตามติดมาทำสัญญาโรเนียว เงื่อนไขเดียวกับอังกฤษ แค่เปลี่ยนชื่อประเทศ แล้วราชวงศ์ชิง ก็มีขุนนางติดฝิ่น ค้าฝิ่น ราชสำนัก กองทัพ และประชาชาอ่อนแอลงเรื่อยๆ หลินซื่อ คนเดียว สู้ไม่ไหว แถมถูกย้ายเข้ากรุ โทษฐานทำงานไม่สำเร็จ เวลาผ่านไปไม่กี่ปี อังกฤษ ก็ได้โอกาสเล่นงานจีนอีก ในปี ค.ศ.1856 เป็นสงครามฝิ่นหมายเลข 2 คราวนี้อังกฤษไม่มาเดี่ยว จับมือเอาฝรั่งเศสมาเล่นด้วย บีบให้จีนทำสนธิสัญญาเทียนสิน ค.ศ.1858 ให้จีนเปิดท่าเรือเพิ่ม รวมทั้งให้สิทธิต่างชาติเดินทางเข้าไปถึงด้านในของประเทศ เปิดทางให้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้ทั่ว รวมทั้งถือครองที่ดินสร้างวัดได้ หลังจากนั้น อเมริกา และรัสเซียก็เรียงแถวตามมา การมอมเมาจีนด้วยฝิ่น ถือเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่สุด ที่อังกฤษนำมาใช้กับจีน จีนที่ยิ่งใหญ่ถึงกับมืออ่อนขาอ่อน ยืนไม่อยู่ สมองเลิกทำงาน อยากแต่จะนอนซมดูดฝิ่น ผ่านมาร้อยกว่าปี การมอมเมาให้ประเทศชาติเป้าหมายอ่อนแอ ยังนำมาใช้กันอยู่ และใช้ได้แนบเนียนกว่าเดิม ขนาดคนถูกมอมเมา ไม่รู้ตัว น่าเศร้าใจครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ขึ้นกล่าวบนเวที " ความจริงมีหนึ่งเดียว" ครั้งที่ 5 ปี 2568 หัวข้อ "ไทยแลนด์แดนสแกมเมอร์" ฉายภาพเมืองไทยเป็นดินแดนแห่งสแกมเมอร์ ยกความหมายคำ"สแกมเมอร์" หมายถึง การโกหกหลอกลวงเพื่อเอาผลประโยชน์เข้าหาตัวเอง สแกมเมอร์อยู่ในทุกองคาพยพของสังคมไทย
    ยกความจริงให้เห็นชัดเจน ทั้งพระสงฆ์หลอกเอาเงินประชาชน พรรคการเมืองต่างๆ ที่ล้วนไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียง อาทิ พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าจะปรับเงินเดือน 20,000 บาท พรรคภูมิใจไทย ที่ออกโครงการคนละครึ่ง พลัส บอกว่ารัฐบาลออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง แต่ที่จริงเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน ไปจนถึงหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น กรมที่ดิน และตำรวจ เปิดความจริงกัมพูชาประเทศศูนย์รวมสแกมเมอร์ระดับโลก
    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ขึ้นกล่าวบนเวที " ความจริงมีหนึ่งเดียว" ครั้งที่ 5 ปี 2568 หัวข้อ "ไทยแลนด์แดนสแกมเมอร์" ฉายภาพเมืองไทยเป็นดินแดนแห่งสแกมเมอร์ ยกความหมายคำ"สแกมเมอร์" หมายถึง การโกหกหลอกลวงเพื่อเอาผลประโยชน์เข้าหาตัวเอง สแกมเมอร์อยู่ในทุกองคาพยพของสังคมไทย ยกความจริงให้เห็นชัดเจน ทั้งพระสงฆ์หลอกเอาเงินประชาชน พรรคการเมืองต่างๆ ที่ล้วนไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียง อาทิ พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าจะปรับเงินเดือน 20,000 บาท พรรคภูมิใจไทย ที่ออกโครงการคนละครึ่ง พลัส บอกว่ารัฐบาลออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง แต่ที่จริงเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน ไปจนถึงหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น กรมที่ดิน และตำรวจ เปิดความจริงกัมพูชาประเทศศูนย์รวมสแกมเมอร์ระดับโลก
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • AI อัจฉริยะปัญญาประดิษฐ์ จริงๆ แล้ว สร้างมาเพื่อใคร !!??

    บทความ What AI is Really For โดย Christopher Butler วิเคราะห์ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูก โอเวอร์ไฮป์จนกลายเป็นฟองสบู่ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการสะสมทรัพยากรและอำนาจ มากกว่าการสร้างคุณค่าแท้จริงในงานหรือสังคม

    AI: เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูกโอเวอร์ไฮป์
    Christopher Butler ชี้ว่า AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ เช่น การสังเคราะห์ข้อมูล การค้นหา และการสรุป แต่เมื่อถูกนำไปใช้ในงานขนาดใหญ่ เช่น การแทนที่กระบวนการทำงานทั้งระบบ กลับมีค่าใช้จ่ายสูงและผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า เขาเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมและการโอเวอร์ไฮป์ของ Segway ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนโลก แต่สุดท้ายก็เป็นเพียง “สกู๊ตเตอร์” ที่ไม่สมกับคำโฆษณา

    ฟองสบู่และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
    ตลาด AI ปัจจุบันถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ลงทุนมหาศาลและพึ่งพากันเอง หากฟองสบู่แตก ผลกระทบจะรุนแรงกว่าฟองสบู่เทคโนโลยีในอดีต เพราะการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนรองรับ Butler เตือนว่าแม้ AI จะไม่ล้มเหลวทั้งหมด แต่การลดลงของมูลค่าตลาดจะส่งผลกระทบวงกว้าง

    ผลกระทบต่อสังคมและความจริง
    AI ยังสร้างความเสี่ยงต่อ “ความจริง” เพราะสามารถผลิตข้อมูลที่บิดเบือนและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าโซเชียลมีเดียในอดีต สิ่งนี้อาจทำให้สังคมสูญเสียความเชื่อมั่นในข้อมูลและระบบสื่อสาร Butler เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน “การทดลองระเบิดนิวเคลียร์กลางเมือง” ที่สร้างผลกระทบต่อสังคมโดยตรง

    จุดประสงค์ที่แท้จริง: โครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากร
    Butler เสนอ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า AI อาจเป็นเพียงหน้าฉากเพื่อการสะสมทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ และพลังงาน เนื่องจากการสร้างศูนย์ข้อมูล (datacenter) ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและประเทศ การควบคุมทรัพยากรเหล่านี้อาจสร้างอำนาจที่เหนือกว่ารัฐบาล และเปลี่ยนสมดุลอำนาจในสังคม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ
    เช่น การค้นหา สรุป และวิเคราะห์ข้อมูล
    แต่การใช้งานขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่คุ้มค่า

    ฟองสบู่ AI
    ตลาดถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย
    หากฟองสบู่แตกจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรง

    คำเตือนด้านสังคมและข้อมูล
    AI สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนและทำลายความเชื่อมั่นในความจริง
    เสี่ยงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและการควบคุมสังคม

    คำเตือนด้านทรัพยากรและอำนาจ
    การสร้าง datacenter ต้องใช้ที่ดิน น้ำ และพลังงานมหาศาล
    อาจนำไปสู่การสะสมอำนาจเหนือรัฐและสังคม

    https://www.chrbutler.com/what-ai-is-really-for
    🤖 AI อัจฉริยะปัญญาประดิษฐ์ จริงๆ แล้ว สร้างมาเพื่อใคร !!?? บทความ What AI is Really For โดย Christopher Butler วิเคราะห์ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูก โอเวอร์ไฮป์จนกลายเป็นฟองสบู่ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการสะสมทรัพยากรและอำนาจ มากกว่าการสร้างคุณค่าแท้จริงในงานหรือสังคม 💡 AI: เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูกโอเวอร์ไฮป์ Christopher Butler ชี้ว่า AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ เช่น การสังเคราะห์ข้อมูล การค้นหา และการสรุป แต่เมื่อถูกนำไปใช้ในงานขนาดใหญ่ เช่น การแทนที่กระบวนการทำงานทั้งระบบ กลับมีค่าใช้จ่ายสูงและผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า เขาเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมและการโอเวอร์ไฮป์ของ Segway ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนโลก แต่สุดท้ายก็เป็นเพียง “สกู๊ตเตอร์” ที่ไม่สมกับคำโฆษณา ⚖️ ฟองสบู่และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ตลาด AI ปัจจุบันถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ลงทุนมหาศาลและพึ่งพากันเอง หากฟองสบู่แตก ผลกระทบจะรุนแรงกว่าฟองสบู่เทคโนโลยีในอดีต เพราะการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนรองรับ Butler เตือนว่าแม้ AI จะไม่ล้มเหลวทั้งหมด แต่การลดลงของมูลค่าตลาดจะส่งผลกระทบวงกว้าง 🌍 ผลกระทบต่อสังคมและความจริง AI ยังสร้างความเสี่ยงต่อ “ความจริง” เพราะสามารถผลิตข้อมูลที่บิดเบือนและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าโซเชียลมีเดียในอดีต สิ่งนี้อาจทำให้สังคมสูญเสียความเชื่อมั่นในข้อมูลและระบบสื่อสาร Butler เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน “การทดลองระเบิดนิวเคลียร์กลางเมือง” ที่สร้างผลกระทบต่อสังคมโดยตรง 🏗️ จุดประสงค์ที่แท้จริง: โครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากร Butler เสนอ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า AI อาจเป็นเพียงหน้าฉากเพื่อการสะสมทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ และพลังงาน เนื่องจากการสร้างศูนย์ข้อมูล (datacenter) ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและประเทศ การควบคุมทรัพยากรเหล่านี้อาจสร้างอำนาจที่เหนือกว่ารัฐบาล และเปลี่ยนสมดุลอำนาจในสังคม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ ➡️ เช่น การค้นหา สรุป และวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ แต่การใช้งานขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่คุ้มค่า ✅ ฟองสบู่ AI ➡️ ตลาดถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย ➡️ หากฟองสบู่แตกจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรง ‼️ คำเตือนด้านสังคมและข้อมูล ⛔ AI สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนและทำลายความเชื่อมั่นในความจริง ⛔ เสี่ยงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและการควบคุมสังคม ‼️ คำเตือนด้านทรัพยากรและอำนาจ ⛔ การสร้าง datacenter ต้องใช้ที่ดิน น้ำ และพลังงานมหาศาล ⛔ อาจนำไปสู่การสะสมอำนาจเหนือรัฐและสังคม https://www.chrbutler.com/what-ai-is-really-for
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • นับหนึ่งใหม่รถไฟฟ้าสายสีแดง วงเวียนใหญ่-มหาชัย

    การรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดการประชุมปฐมนิเทศโครงการ เพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม แบบรายละเอียด จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย 2 เวที กรุงเทพฯ และสมุทรสาคร

    บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้นำเสนอแนวเส้นทาง เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ยกระดับที่ถนนลาดหญ้า เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนใหญ่ ผ่านสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย แบ่งเป็น 5 ทางเลือก ได้แก่

    ทางเลือกที่ 1 ระยะทาง 37.3 กิโลเมตร ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย เมื่อผ่านสถานีบ้านขอมแล้วเลี้ยวขวา ผ่านถนนเอกชัย ถนนพระรามที่ 2 ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่จะอยู่ที่ห้างบิ๊กซีมหาชัย (คลองครุ) ส่วนใหญ่ 75% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ปัญหาก็คือ ช่วงปลายทางผ่านแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ เวนคืนที่ดินยุ่งยาก และเมื่อตัดผ่านถนนพระรามที่ 2 ต้องก่อสร้างเป็นทางยกระดับเสาสูง ซึ่งมีค่าก่อสร้างสูงมาก

    ทางเลือกที่ 2 ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ตรงไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สิ้นสุดที่สถานีรถไฟมหาชัยเดิม กว่า 90% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ทำให้ลดพื้นที่เวนคืนลง จัดการพื้นที่เวนคืนได้ง่ายที่สุด ผู้โดยสารคุ้นเคย และมีระยะทางสั้นที่สุด แต่สถานีมหาชัยเดิมอยู่ในพื้นที่แออัด การพัฒนาพื้นที่รอบสถานียุ่งยาก และฝั่งตรงข้ามแม่น้ำท่าจีน (ท่าฉลอม) เป็นพื้นที่อ่อนไหว การออกแบบวางแนวต่อเชื่อมในอนาคตจึงไม่ง่าย

    ทางเลือกที่ 3 ระยะทาง 36.8 กิโลเมตร คล้ายทางเลือกที่ 1 แต่ไม่ไปถนนพระรามที่ 2 ใช้ถนนเอกชัยแทน ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่ อยู่ระหว่างโรงพยาบาลสมุทรสาคร กับสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร (สี่แยกโรงพัก) ปัญหาก็คือ แนวเส้นทางเบี่ยงจากสถานีบ้านขอมไปทางถนนเอกชัย มีรัศมีสั้น อาจต้องลดความเร็วในการเดินรถ

    ทางเลือกที่ 4 ระยะทาง 36.6 กิโลเมตร เมื่อเลยสถานีคอกควายไปแล้ว เลี้ยวขวาไปออกถนนเอกชัย บริเวณคลังสินค้าอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อให้มีรัศมีความโค้งยาวขึ้น ใช้ความเร็วในการเดินรถได้อย่างราบรื่น ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3

    ทางเลือกที่ 5 ระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จากสถานีวงเวียนใหญ่ เมื่อเลยสถานีวุฒากาศไปแล้ว จะเบี่ยงขวาไปทางถนนเอกชัย ตั้งแต่วัดราชโอรส ตลอดเส้นทาง ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 แต่ต้องเวนคืนที่ดิน มีแนวกระทบกับอาคารของวัดราชโอรส รวมทั้งช่วงที่ถนนแคบต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติมพอสมควร และการก่อสร้างมีผลกระทบต่อชุมชนและสังคมค่อนข้างมาก

    #Newskit
    นับหนึ่งใหม่รถไฟฟ้าสายสีแดง วงเวียนใหญ่-มหาชัย การรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดการประชุมปฐมนิเทศโครงการ เพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม แบบรายละเอียด จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้มช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย 2 เวที กรุงเทพฯ และสมุทรสาคร บริษัทที่ปรึกษาฯ ได้นำเสนอแนวเส้นทาง เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ยกระดับที่ถนนลาดหญ้า เลี้ยวซ้ายที่วงเวียนใหญ่ ผ่านสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย แบ่งเป็น 5 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ระยะทาง 37.3 กิโลเมตร ไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย เมื่อผ่านสถานีบ้านขอมแล้วเลี้ยวขวา ผ่านถนนเอกชัย ถนนพระรามที่ 2 ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่จะอยู่ที่ห้างบิ๊กซีมหาชัย (คลองครุ) ส่วนใหญ่ 75% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ปัญหาก็คือ ช่วงปลายทางผ่านแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ เวนคืนที่ดินยุ่งยาก และเมื่อตัดผ่านถนนพระรามที่ 2 ต้องก่อสร้างเป็นทางยกระดับเสาสูง ซึ่งมีค่าก่อสร้างสูงมาก ทางเลือกที่ 2 ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ตรงไปตามทางรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สิ้นสุดที่สถานีรถไฟมหาชัยเดิม กว่า 90% เป็นเขตทางรถไฟเดิม ทำให้ลดพื้นที่เวนคืนลง จัดการพื้นที่เวนคืนได้ง่ายที่สุด ผู้โดยสารคุ้นเคย และมีระยะทางสั้นที่สุด แต่สถานีมหาชัยเดิมอยู่ในพื้นที่แออัด การพัฒนาพื้นที่รอบสถานียุ่งยาก และฝั่งตรงข้ามแม่น้ำท่าจีน (ท่าฉลอม) เป็นพื้นที่อ่อนไหว การออกแบบวางแนวต่อเชื่อมในอนาคตจึงไม่ง่าย ทางเลือกที่ 3 ระยะทาง 36.8 กิโลเมตร คล้ายทางเลือกที่ 1 แต่ไม่ไปถนนพระรามที่ 2 ใช้ถนนเอกชัยแทน ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่ อยู่ระหว่างโรงพยาบาลสมุทรสาคร กับสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร (สี่แยกโรงพัก) ปัญหาก็คือ แนวเส้นทางเบี่ยงจากสถานีบ้านขอมไปทางถนนเอกชัย มีรัศมีสั้น อาจต้องลดความเร็วในการเดินรถ ทางเลือกที่ 4 ระยะทาง 36.6 กิโลเมตร เมื่อเลยสถานีคอกควายไปแล้ว เลี้ยวขวาไปออกถนนเอกชัย บริเวณคลังสินค้าอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อให้มีรัศมีความโค้งยาวขึ้น ใช้ความเร็วในการเดินรถได้อย่างราบรื่น ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 ทางเลือกที่ 5 ระยะทาง 36.3 กิโลเมตร จากสถานีวงเวียนใหญ่ เมื่อเลยสถานีวุฒากาศไปแล้ว จะเบี่ยงขวาไปทางถนนเอกชัย ตั้งแต่วัดราชโอรส ตลอดเส้นทาง ตัวสถานีมหาชัยแห่งใหม่เหมือนทางเลือกที่ 3 แต่ต้องเวนคืนที่ดิน มีแนวกระทบกับอาคารของวัดราชโอรส รวมทั้งช่วงที่ถนนแคบต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติมพอสมควร และการก่อสร้างมีผลกระทบต่อชุมชนและสังคมค่อนข้างมาก #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่อพระครูทองห่อ วัดคลองเจ้า จ.นนทบุรี ปี2515
    เหรียญหลวงพ่อพระครูทองห่อ เนื้อทองฝาบาตร (ทองเหลือง) วัดคลองเจ้า จ.นนทบุรี ปี2515 // พระดีพิธีขลัง!! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณป้องกันภัย แคล้วคลาดจากอันตราย กันเสนียดจัญไร คุณไสย เมตตามหานิยม โชคลาภและความสำเร็จ เสริมสร้างเสน่ห์ **

    ** วัดคลองเจ้าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2420 เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เดิมบริเวณนี้เป็นป่าทึบ จากนั้นจึงมีการหักร้างถางป่าและมีผู้คนเข้ามาทำนา หม่อมเจ้าทวีวัฒนาวงศ์ได้มาขุดคลองซึ่งเรียกกันว่าคลองเจ้า นายผัน จุ้ยจ้อย ได้บริจาคที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน และนางเขียน บุตรสาวของนายผันได้บริจาคเพิ่มอีก 5 ไร่ แล้วร่วมกับชาวบ้านสร้างวัดขึ้นโดยใช้ชื่อวัดตามชื่อคลองหน้าวัด **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อพระครูทองห่อ วัดคลองเจ้า จ.นนทบุรี ปี2515 เหรียญหลวงพ่อพระครูทองห่อ เนื้อทองฝาบาตร (ทองเหลือง) วัดคลองเจ้า จ.นนทบุรี ปี2515 // พระดีพิธีขลัง!! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณป้องกันภัย แคล้วคลาดจากอันตราย กันเสนียดจัญไร คุณไสย เมตตามหานิยม โชคลาภและความสำเร็จ เสริมสร้างเสน่ห์ ** ** วัดคลองเจ้าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2420 เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เดิมบริเวณนี้เป็นป่าทึบ จากนั้นจึงมีการหักร้างถางป่าและมีผู้คนเข้ามาทำนา หม่อมเจ้าทวีวัฒนาวงศ์ได้มาขุดคลองซึ่งเรียกกันว่าคลองเจ้า นายผัน จุ้ยจ้อย ได้บริจาคที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน และนางเขียน บุตรสาวของนายผันได้บริจาคเพิ่มอีก 5 ไร่ แล้วร่วมกับชาวบ้านสร้างวัดขึ้นโดยใช้ชื่อวัดตามชื่อคลองหน้าวัด ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้วมีเวลาจ่ายภาษี 30 วัน เงินไม่พอมียึดทรัพย์ รถหรู คอนโด ที่ดิน บ้านจันทร์ส่องหล้า
    #7ดอกจิก
    แม้วมีเวลาจ่ายภาษี 30 วัน เงินไม่พอมียึดทรัพย์ รถหรู คอนโด ที่ดิน บ้านจันทร์ส่องหล้า #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 3
    แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ
    ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา
    สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน
    ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม
    เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ
    เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง
    กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ
    เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน
    ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015
    ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน
    ##############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 4
    นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก
    ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ
    แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น …
    …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น…
    ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม
    พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ
    ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน
    ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์
    แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก
    สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก
    สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง
    มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า
    ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่
    ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
    เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่
    จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 3 แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015 ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน ############## “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 4 นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น … …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น… ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่ ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่ จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 807 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัตรการ "คืนศรัทธา" CIB ทวงคืนทรัพย์สินวัดพระบาทน้ำพุ ยึดโฉนดที่ดิน 411 ฉบับ รถยนต์ 60 คัน มูลค่ากว่า "หมื่นล้านบาท"
    https://www.thai-tai.tv/news/22345/
    .
    #ไทยไท #CIB #วัดพระบาทน้ำพุ #หมอบี #ทุจริตเงินบริจาค #คืนศรัทธา
    ปฏิบัตรการ "คืนศรัทธา" CIB ทวงคืนทรัพย์สินวัดพระบาทน้ำพุ ยึดโฉนดที่ดิน 411 ฉบับ รถยนต์ 60 คัน มูลค่ากว่า "หมื่นล้านบาท" https://www.thai-tai.tv/news/22345/ . #ไทยไท #CIB #วัดพระบาทน้ำพุ #หมอบี #ทุจริตเงินบริจาค #คืนศรัทธา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: "เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่คน กลายเป็นบุคคลตามกฎหมาย "

    ลองจินตนาการดูว่า...เรือ แม่น้ำ หรือแม้แต่เทพเจ้า กลายเป็น “บุคคล” ที่สามารถฟ้องร้องหรือถูกฟ้องได้ในศาล! ฟังดูเหมือนนิยายแฟนตาซี แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในหลายประเทศทั่วโลก และมีเหตุผลทางกฎหมายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

    เรือ: บุคคลแห่งท้องทะเล
    ในโลกของกฎหมายทางทะเล เรือไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่เป็น “บุคคล” ที่สามารถถูกฟ้องร้องได้หากก่อความเสียหาย เช่น ชนท่าเรือหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของเรือมารับผิดชอบ

    เรือมีสถานะเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อให้สามารถถูกยึดหรือฟ้องร้องได้
    สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าท่าและผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องตามหาเจ้าของเรือที่อาจอยู่ไกลหลายพันไมล์

    เรือมี “สิทธิในการกู้ภัย” (Salvage Rights)
    หากเรือลำหนึ่งช่วยอีกลำหนึ่งจากอันตรายกลางทะเล จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามหลัก “no cure, no pay”


    แม่น้ำ Whanganui: วิญญาณแห่งธรรมชาติที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย
    ในปี 2017 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศให้แม่น้ำ Whanganui เป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อยอมรับความเชื่อของชาวเมารีที่มองว่าแม่น้ำคือบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    แม่น้ำ Whanganui ได้รับสถานะเป็น “บุคคล” พร้อมสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    มีผู้ดูแล 2 ฝ่าย: ตัวแทนจากรัฐบาลและตัวแทนจากชนเผ่าเมารี

    รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและดูแลผลประโยชน์ของแม่น้ำในระยะยาว
    รวมกว่า 110 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์


    เทพเจ้าในศาสนาฮินดู: ผู้ถือครองทรัพย์สินและสิทธิในศาล
    ในอินเดีย เทพเจ้าฮินดูถือเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” ที่สามารถถือครองทรัพย์สินและมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมได้ โดยมี “ผู้ดูแล” หรือ “เพื่อนสนิท” เป็นผู้ดำเนินการแทน

    เทพเจ้าฮินดูมีสถานะเป็น “บุคคลทางกฎหมาย” (juristic person)
    สามารถถือครองที่ดินและทรัพย์สินได้

    มี “ผู้ดูแล” (shebait) หรือ “เพื่อนสนิท” ที่เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีแทนเทพเจ้า
    หากผู้ดูแลไม่ซื่อสัตย์ ผู้ศรัทธาคนอื่นสามารถฟ้องแทนเทพเจ้าได้

    คดีสำคัญ เช่น คดีที่ดินในเมืองอยุธยา (Ayodhya) ที่ศาลสูงสุดตัดสินให้เทพเจ้ารามเป็นเจ้าของที่ดิน
    มีการจัดตั้งทรัสต์เพื่อดูแลทรัพย์สินของเทพเจ้า


    เสริมความรู้: “บุคคลตามกฎหมาย” คืออะไร?
    คำว่า “บุคคลตามกฎหมาย” (legal person) ไม่ได้หมายถึงมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงองค์กร บริษัท หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตที่กฎหมายให้สิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคล

    ตัวอย่างของบุคคลตามกฎหมาย:
    บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ
    เรือ แม่น้ำ เทพเจ้า (ในบางประเทศ)

    บุคคลตามกฎหมายไม่ได้มีสิทธิเหมือนมนุษย์ทุกประการ
    เช่น ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิในชีวิตส่วนตัว

    https://bengoldhaber.substack.com/p/unexpected-things-that-are-people
    📰 หัวข้อข่าว: "เมื่อสิ่งที่ไม่ใช่คน กลายเป็นบุคคลตามกฎหมาย 🤖⚖️" ลองจินตนาการดูว่า...เรือ แม่น้ำ หรือแม้แต่เทพเจ้า กลายเป็น “บุคคล” ที่สามารถฟ้องร้องหรือถูกฟ้องได้ในศาล! ฟังดูเหมือนนิยายแฟนตาซี แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในหลายประเทศทั่วโลก และมีเหตุผลทางกฎหมายที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 🔖🔖🔖🔖🔖 🛳️ เรือ: บุคคลแห่งท้องทะเล ในโลกของกฎหมายทางทะเล เรือไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะ แต่เป็น “บุคคล” ที่สามารถถูกฟ้องร้องได้หากก่อความเสียหาย เช่น ชนท่าเรือหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของเรือมารับผิดชอบ ✅ เรือมีสถานะเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อให้สามารถถูกยึดหรือฟ้องร้องได้ ➡️ สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าท่าและผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องตามหาเจ้าของเรือที่อาจอยู่ไกลหลายพันไมล์ ✅ เรือมี “สิทธิในการกู้ภัย” (Salvage Rights) ➡️ หากเรือลำหนึ่งช่วยอีกลำหนึ่งจากอันตรายกลางทะเล จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามหลัก “no cure, no pay” 🔖🔖🔖🔖🔖 🌊 แม่น้ำ Whanganui: วิญญาณแห่งธรรมชาติที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ในปี 2017 รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ประกาศให้แม่น้ำ Whanganui เป็น “บุคคลตามกฎหมาย” เพื่อยอมรับความเชื่อของชาวเมารีที่มองว่าแม่น้ำคือบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ✅ แม่น้ำ Whanganui ได้รับสถานะเป็น “บุคคล” พร้อมสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ➡️ มีผู้ดูแล 2 ฝ่าย: ตัวแทนจากรัฐบาลและตัวแทนจากชนเผ่าเมารี ✅ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำและดูแลผลประโยชน์ของแม่น้ำในระยะยาว ➡️ รวมกว่า 110 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ 🔖🔖🔖🔖🔖 🛕 เทพเจ้าในศาสนาฮินดู: ผู้ถือครองทรัพย์สินและสิทธิในศาล ในอินเดีย เทพเจ้าฮินดูถือเป็น “บุคคลตามกฎหมาย” ที่สามารถถือครองทรัพย์สินและมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมได้ โดยมี “ผู้ดูแล” หรือ “เพื่อนสนิท” เป็นผู้ดำเนินการแทน ✅ เทพเจ้าฮินดูมีสถานะเป็น “บุคคลทางกฎหมาย” (juristic person) ➡️ สามารถถือครองที่ดินและทรัพย์สินได้ ✅ มี “ผู้ดูแล” (shebait) หรือ “เพื่อนสนิท” ที่เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีแทนเทพเจ้า ➡️ หากผู้ดูแลไม่ซื่อสัตย์ ผู้ศรัทธาคนอื่นสามารถฟ้องแทนเทพเจ้าได้ ✅ คดีสำคัญ เช่น คดีที่ดินในเมืองอยุธยา (Ayodhya) ที่ศาลสูงสุดตัดสินให้เทพเจ้ารามเป็นเจ้าของที่ดิน ➡️ มีการจัดตั้งทรัสต์เพื่อดูแลทรัพย์สินของเทพเจ้า 🔖🔖🔖🔖🔖 🧠 เสริมความรู้: “บุคคลตามกฎหมาย” คืออะไร? คำว่า “บุคคลตามกฎหมาย” (legal person) ไม่ได้หมายถึงมนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงองค์กร บริษัท หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตที่กฎหมายให้สิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคล ✅ ตัวอย่างของบุคคลตามกฎหมาย: ➡️ บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ ➡️ เรือ แม่น้ำ เทพเจ้า (ในบางประเทศ) ‼️ บุคคลตามกฎหมายไม่ได้มีสิทธิเหมือนมนุษย์ทุกประการ ⛔ เช่น ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิในชีวิตส่วนตัว https://bengoldhaber.substack.com/p/unexpected-things-that-are-people
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (1)

    เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก

    ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า

    นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น”
    เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race)

    มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง

    และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (2)
    ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์

    ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison

    ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก

    ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด
    แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine

    แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ

    พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา

    พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า

    ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse”
    เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ
    เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย

    อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า:

    “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว”

    พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน

    ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก

    การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (1) เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิวในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรก ระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปีมาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำพูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่า ว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไชล๊อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทางบวก ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เรื่อย แน่นอนมันไม่ใช่บทบาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบนี้ของชาวยิว เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของ เจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัย ฟาโรห์ของ อียิปต์นั่นเชียว โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัดการแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์ มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย ที่น่าจะเป็นต้นแบบของ “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น” เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวายทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอกาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race) มาจนถึงสมัยยุคกลาง Middle Ages จนถึง ยุค เกิดใหม่ Renaissance ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาวยืว Baron d’Holbach (นักปราชญ์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น ส่วน Voltaire (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่เแปลกใจเลยว่า คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ ส่วน Immanuel Kant (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง และจากข้อสังเกต หรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคม การสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น #################### “ฤทธิ์ยิว” (2) ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ. 1845 ยิวรุ่นแรก ที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกา คือ Levis Levin และ David Yulee ปี 1887 Washington Barlette ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ คาลิฟอร์เนีย และปี 1889 Solomon Hirsch เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดี Harrison ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวเป็นผู้เร่งอุณภูมิในรัสเซียให้สูงขี้นอย่างมาก จากการที่พวกก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ Alexander ที่ 2 สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี 1882 รัสเซียก็ออกกฏหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฏ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว Richard Wagner ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ ของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นที่พูดกันว่า ทุกวันนี้ พวกยิวกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว ช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึง ต้น 1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพลเมืองของเยอรมันทั้งหมด แต่ที่สำคัญที่สุด คือการกำเนิด ของกลุ่มไซออนนิสม์ Zionism ซึ่ง Theodor Herzl เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิวจึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็น Palestine แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติ เช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของหลักการ สร้างกำไรจากความหายนะ ” profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภายในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดันให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/extentnal ตามคำพูดของ Herzl ที่เขียนไว้เองว่า ” When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse” เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย อันที่จริง Herzl ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก Litman Rosenthal เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับ Herzl เมื่อปี ค.ศ. 1897 ซึ่งเขาอ้างว่า Herzl พูดว่า: “ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเขิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว” พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก การปฏิวัติ และสงคราม จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 810 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระไพศาลสิริวัฒน์ วัดนิคมคณาราม จ.ร้อยเอ็ด ปี2546
    เหรียญพระไพศาลสิริวัฒน์ วัดนิคมคณาราม ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ปี2546 //พระดีพิธีขลัง !! ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร อุดมด้วยโภคทรัพย์ ค้าขายดี เลื่อนยศเลื่อนตําแหน่ง มีความเจริญรุ่งเรือง มหาอุตย์ คงกระพัน เมตตามหานิยม และเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง **

    ** วัดนิคมคณาราม ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๙ เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ โดยมีนายจันทร์โท – นางสมณฑา ได้บริจาคที่ดิน ๒๑ ไร่ ๒ งาน ๗๔ ตารางวา พร้อมด้วยญาติโยมชาวโพนทองบริจาคทรัพย์สร้างขึ้นขณะนั้นหลวงนิคมคณารักษ์ (เทียนกำเนิดเพชร) เป็นนายอำเภอคนแรก พระครูวิมลจันทรคุณ (ปู่นวล) เป็นเจ้าสำนักมีพระภิกษุ สามเณร มากพอสมควร ได้ตั้งชื่อว่า วัดนิคมคณาราม ตามชื่อนายอำเภอ จึงขออนุญาตตั้งวัดขึ้น วันที่ ๑๙ เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ **

    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระไพศาลสิริวัฒน์ วัดนิคมคณาราม จ.ร้อยเอ็ด ปี2546 เหรียญพระไพศาลสิริวัฒน์ วัดนิคมคณาราม ตำบลแวง อำเภอโพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ปี2546 //พระดีพิธีขลัง !! ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร อุดมด้วยโภคทรัพย์ ค้าขายดี เลื่อนยศเลื่อนตําแหน่ง มีความเจริญรุ่งเรือง มหาอุตย์ คงกระพัน เมตตามหานิยม และเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง ** ** วัดนิคมคณาราม ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๙ เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ โดยมีนายจันทร์โท – นางสมณฑา ได้บริจาคที่ดิน ๒๑ ไร่ ๒ งาน ๗๔ ตารางวา พร้อมด้วยญาติโยมชาวโพนทองบริจาคทรัพย์สร้างขึ้นขณะนั้นหลวงนิคมคณารักษ์ (เทียนกำเนิดเพชร) เป็นนายอำเภอคนแรก พระครูวิมลจันทรคุณ (ปู่นวล) เป็นเจ้าสำนักมีพระภิกษุ สามเณร มากพอสมควร ได้ตั้งชื่อว่า วัดนิคมคณาราม ตามชื่อนายอำเภอ จึงขออนุญาตตั้งวัดขึ้น วันที่ ๑๙ เดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ** ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประเทศไทยมันเน่าเละหมดแล้ว ระบบปกครองจากนักการเมืองแบบปัจจุบันนี้ล้วนมีปัญหาหมด,ผู้นำไร้น้ำยาทำเพื่อประเทศไทยตนเองและประชาชนคนไทยจริง,ต่างเข้ามามุ่งแสวงหาประโยชน์ตนเองและพรรคตนเองกับทีมคณะตนเองเป็นสำคัญ ต่างปักธงว่า เข้ามาให้ประเทศบนแผ่นดินนี้เท่านั้นของจริง.
    ..ทางแก้ที่เด็ดขาดคือต้องมีคนแบบบิ๊กกุ้งยืนหนึ่งในชาติก่อน,บิ๊กปูและผบ.สส.ยืนสนับสนุนข้างหลังค้ำแผ่นดินไทยเป็นสำคัญ,จากนั้นกระตุ้นคนไทยหวงแหนแผ่นดินไทยตน ดำรงรักษาชาติร่วมกัน สามัคคีกันทั้งชาติร่วมกันปกป้องเป็นยามของชาติทุกๆตารางนิ้วร่วมกัน,แจ้งเตือนภัยระวังหน้าและระวังหลังช่วยกันในยามไม่ปกติของโลกช่วงเวลานี้ และใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเราอย่างจริงจัง,พึ่งพาตนเป็นสำคัญก่อน การพึ่งพาคนอื่นบนโลกยุคนี้,การล่าสมัยมีดีในตัวมัน แต่ล้ำสมัยทันโลกต้านการปกป้องตนเองของชาติตน.,เราพึ่งตนเองได้ทั้งพลังงานและความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศเรา,เราก็มั่นคงต้านทานต่อภัยภายนอกและภายในได้สบาย,ปัจจุบันเราผิดหมด พึ่งพาการท่องเที่ยวว่าได้มาโดยไม่ลงทุนอะไร หรือไปทำตลาดที่ต่างประเทศก็ไม่ใช่,เราต้องสไตล์ว่าเหลือกินเหลือใช้จะขายออกก็ได้ไม่ขายออกส่งออกก็ไม่เดือดร้อนอดตายหรือขาดทุนมากมายนักหรือลำบากเดือดร้อนอยู่ไม่ได้ เพราะเราควบคุมต้นทุนต่ำภายในได้สิ้นแล้ว ทั้งประชาชนเรายืนด้วยขาตนเองได้จริง,พึ่งพาตนด้านต่างๆได้สบายแล้ว อดตายไม่มีในคนไทย อดตังก็ไม่เดือดร้อนในภาระค่าใช้จ่ายเพราะเรา รัฐบาลไทยทหารเราดูแลกันเต็มที่ร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือเติมเต็มกันมิให้เดือดร้อนจนเป็นช่องว่างให้ศัตรูเข้าตีทำลายเราได้นั้นเอง.

    ...การเมืองการปกครองจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานเดียวจริงๆ,ปฏิวัติยึดอำนาจประเทศแล้วเขียนกฎหมายปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปบ่อยอิสระภาพประเทศไทย ปลดปล่อยคนไทยจึงสำคัญที่สุด,ทรัพยากรวัตถุดิบมากมายเต็มประเทศไทยเราก็จะกลับคืนสู่ประเทศไทยทั้งหมดจริงอีกครั้ง,มิใช่แบบการปกครองเหี้ยๆในปัจจุบันที่ทรัพยากรวัตถุดิบธรรมชาติประเทศไทยตนเองที่ใช้ในการพัฒนาชาติทุกๆมิติรอบด้านถูกปล้นชิงแย่งชิงไปจนหมดประเทศอย่างหน้าด้านๆของคนต่างประเทศแบบล่าสุดคือแร่เอิร์ธที่อเมริกามาปล้นชิงจากไทยเรานั้นเองแบบหน้าด้านๆกันคนชั่วเลวภาคการเมืองการเลือกตั้งไปสมคบคิดทรยศประเทศไทยอย่างชัดเจนไร้การนำเข้าสภาเพื่ออภิปรายเป็นวงกว้างให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้ค่าจริงความจริงไปด้วยแต่สันดานอดีตการปกครองเดิมแบบบ่อน้ำมันไทยเราบ่อทองคำไทยเราจึงเป็นแบบนี้,การยึดอำนาจมันจึงสมควรที่สุด คืิการกอบกู้เอกชนไทยไปด้วยกันทันทีชัดเจนนั้นเองในคราวเดียวกัน.

    ..โดยสถิติdeep stateตระกูลอีลิทโลกครองโลกมันปกครองมันควบคุมองค์กรทหาร ตำรวจ ศาล นักการเมือง สื่อและอีกมากมายในประเทศนั้นๆทั่วโลกก็อาจจริง,แต่สำหรับประเทศไทยอาจพิเศษกว่านั้นคือควบคุมได้บางจังหวะบางช่วงแค่นั้นแบบยุคนายกฯๆในอดีตหรือการยึดอำนาจๆในอดีตๆที่ๆผ่านๆมาอาจใช่ แต่ในเวลานี้อาจไม่ใช่ ทหารไทยที่ดีมากมายบนแผ่นดินไทยเรายังมีอยู่ เช่นกัน ตำรวจ ศาล อาจดีๆยังมีอยู่เช่นกันและกำลังขึ้นนำด้วย,จึงอาจคือโอกาสอันดีที่ทหารไทยเราทุกๆเหล่าทัพ ตำรวจไทยน้ำดีทุกๆท่าน รวมกันยึดอำนาจเอาประเทศไทย เอาสมบัติไทยเราคืน เอาทรัพยากรมีค่ามากมายเราคืนทั้งหมด เอาวัตถุดิบสร้างชาติปรุงแต่งพัฒนาชาติไทยเราคืนมาทั้งหมดหรือคือนี้คือแผ่นดินไทยเราคืนกลับมาทั้งหมดนั้นเอง ,ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะจบมันทั้งหมดที่รุ่นเรานี้ เรามีเวลาไม่มากแล้ว วัคซีนกำลังฆ่าเราทุกๆเวลาจากการลอบสังหารเราผ่านอาวุธเข็มวัคซีนนำพาโดยอดีตผู้นำและคณะก่ออาชญากรรมเลวชั่วหมายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทยให้ตายทั้งประเทศแล้วขนคนต่างถิ่นมาอยู่ยึดที่ดินผืนแผ่นดินไทยแทนคนไทยเรานั้นเอง,พวกนี้ต้องจับมาฆ่าทิ้งทุกๆตัวจงได้โดยทหารไทยกองทัพไทยน้ำดีฝ่ายแสงสว่างของประเทศไทยเรา.

    ..เรา..ไปไหน คนไทยเราไปด้วยกันหมด ยืนเคียงข้างทหารไทยที่รักขาติรักบ้านรักเมืองเราทุกๆนาย.

    #การปฏิวัติยึดอำนาจคือหนทางเดียวสำหรับประเทศไทยเพราะคนชั่วเลวเหล่านี้ไม่เคยสำนึกดีใดๆเลยตลอดเวลา

    #การประหารชีวิตนักปกครองชั่วเลวทั้งหมดคือการกวาดล้างที่ถูกต้อง.


    https://youtu.be/XXALSoWmqoY?si=R8XM_rJHfKcRKUEk
    ประเทศไทยมันเน่าเละหมดแล้ว ระบบปกครองจากนักการเมืองแบบปัจจุบันนี้ล้วนมีปัญหาหมด,ผู้นำไร้น้ำยาทำเพื่อประเทศไทยตนเองและประชาชนคนไทยจริง,ต่างเข้ามามุ่งแสวงหาประโยชน์ตนเองและพรรคตนเองกับทีมคณะตนเองเป็นสำคัญ ต่างปักธงว่า เข้ามาให้ประเทศบนแผ่นดินนี้เท่านั้นของจริง. ..ทางแก้ที่เด็ดขาดคือต้องมีคนแบบบิ๊กกุ้งยืนหนึ่งในชาติก่อน,บิ๊กปูและผบ.สส.ยืนสนับสนุนข้างหลังค้ำแผ่นดินไทยเป็นสำคัญ,จากนั้นกระตุ้นคนไทยหวงแหนแผ่นดินไทยตน ดำรงรักษาชาติร่วมกัน สามัคคีกันทั้งชาติร่วมกันปกป้องเป็นยามของชาติทุกๆตารางนิ้วร่วมกัน,แจ้งเตือนภัยระวังหน้าและระวังหลังช่วยกันในยามไม่ปกติของโลกช่วงเวลานี้ และใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเราอย่างจริงจัง,พึ่งพาตนเป็นสำคัญก่อน การพึ่งพาคนอื่นบนโลกยุคนี้,การล่าสมัยมีดีในตัวมัน แต่ล้ำสมัยทันโลกต้านการปกป้องตนเองของชาติตน.,เราพึ่งตนเองได้ทั้งพลังงานและความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศเรา,เราก็มั่นคงต้านทานต่อภัยภายนอกและภายในได้สบาย,ปัจจุบันเราผิดหมด พึ่งพาการท่องเที่ยวว่าได้มาโดยไม่ลงทุนอะไร หรือไปทำตลาดที่ต่างประเทศก็ไม่ใช่,เราต้องสไตล์ว่าเหลือกินเหลือใช้จะขายออกก็ได้ไม่ขายออกส่งออกก็ไม่เดือดร้อนอดตายหรือขาดทุนมากมายนักหรือลำบากเดือดร้อนอยู่ไม่ได้ เพราะเราควบคุมต้นทุนต่ำภายในได้สิ้นแล้ว ทั้งประชาชนเรายืนด้วยขาตนเองได้จริง,พึ่งพาตนด้านต่างๆได้สบายแล้ว อดตายไม่มีในคนไทย อดตังก็ไม่เดือดร้อนในภาระค่าใช้จ่ายเพราะเรา รัฐบาลไทยทหารเราดูแลกันเต็มที่ร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือเติมเต็มกันมิให้เดือดร้อนจนเป็นช่องว่างให้ศัตรูเข้าตีทำลายเราได้นั้นเอง. ...การเมืองการปกครองจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานเดียวจริงๆ,ปฏิวัติยึดอำนาจประเทศแล้วเขียนกฎหมายปกครองใหม่ทั้งหมดเพื่อปลดปบ่อยอิสระภาพประเทศไทย ปลดปล่อยคนไทยจึงสำคัญที่สุด,ทรัพยากรวัตถุดิบมากมายเต็มประเทศไทยเราก็จะกลับคืนสู่ประเทศไทยทั้งหมดจริงอีกครั้ง,มิใช่แบบการปกครองเหี้ยๆในปัจจุบันที่ทรัพยากรวัตถุดิบธรรมชาติประเทศไทยตนเองที่ใช้ในการพัฒนาชาติทุกๆมิติรอบด้านถูกปล้นชิงแย่งชิงไปจนหมดประเทศอย่างหน้าด้านๆของคนต่างประเทศแบบล่าสุดคือแร่เอิร์ธที่อเมริกามาปล้นชิงจากไทยเรานั้นเองแบบหน้าด้านๆกันคนชั่วเลวภาคการเมืองการเลือกตั้งไปสมคบคิดทรยศประเทศไทยอย่างชัดเจนไร้การนำเข้าสภาเพื่ออภิปรายเป็นวงกว้างให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้ค่าจริงความจริงไปด้วยแต่สันดานอดีตการปกครองเดิมแบบบ่อน้ำมันไทยเราบ่อทองคำไทยเราจึงเป็นแบบนี้,การยึดอำนาจมันจึงสมควรที่สุด คืิการกอบกู้เอกชนไทยไปด้วยกันทันทีชัดเจนนั้นเองในคราวเดียวกัน. ..โดยสถิติdeep stateตระกูลอีลิทโลกครองโลกมันปกครองมันควบคุมองค์กรทหาร ตำรวจ ศาล นักการเมือง สื่อและอีกมากมายในประเทศนั้นๆทั่วโลกก็อาจจริง,แต่สำหรับประเทศไทยอาจพิเศษกว่านั้นคือควบคุมได้บางจังหวะบางช่วงแค่นั้นแบบยุคนายกฯๆในอดีตหรือการยึดอำนาจๆในอดีตๆที่ๆผ่านๆมาอาจใช่ แต่ในเวลานี้อาจไม่ใช่ ทหารไทยที่ดีมากมายบนแผ่นดินไทยเรายังมีอยู่ เช่นกัน ตำรวจ ศาล อาจดีๆยังมีอยู่เช่นกันและกำลังขึ้นนำด้วย,จึงอาจคือโอกาสอันดีที่ทหารไทยเราทุกๆเหล่าทัพ ตำรวจไทยน้ำดีทุกๆท่าน รวมกันยึดอำนาจเอาประเทศไทย เอาสมบัติไทยเราคืน เอาทรัพยากรมีค่ามากมายเราคืนทั้งหมด เอาวัตถุดิบสร้างชาติปรุงแต่งพัฒนาชาติไทยเราคืนมาทั้งหมดหรือคือนี้คือแผ่นดินไทยเราคืนกลับมาทั้งหมดนั้นเอง ,ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะจบมันทั้งหมดที่รุ่นเรานี้ เรามีเวลาไม่มากแล้ว วัคซีนกำลังฆ่าเราทุกๆเวลาจากการลอบสังหารเราผ่านอาวุธเข็มวัคซีนนำพาโดยอดีตผู้นำและคณะก่ออาชญากรรมเลวชั่วหมายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทยให้ตายทั้งประเทศแล้วขนคนต่างถิ่นมาอยู่ยึดที่ดินผืนแผ่นดินไทยแทนคนไทยเรานั้นเอง,พวกนี้ต้องจับมาฆ่าทิ้งทุกๆตัวจงได้โดยทหารไทยกองทัพไทยน้ำดีฝ่ายแสงสว่างของประเทศไทยเรา. ..เรา..ไปไหน คนไทยเราไปด้วยกันหมด ยืนเคียงข้างทหารไทยที่รักขาติรักบ้านรักเมืองเราทุกๆนาย. #การปฏิวัติยึดอำนาจคือหนทางเดียวสำหรับประเทศไทยเพราะคนชั่วเลวเหล่านี้ไม่เคยสำนึกดีใดๆเลยตลอดเวลา #การประหารชีวิตนักปกครองชั่วเลวทั้งหมดคือการกวาดล้างที่ถูกต้อง. https://youtu.be/XXALSoWmqoY?si=R8XM_rJHfKcRKUEk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 700 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ส่วนตัวรับไม่ได้จริงๆ ลูกๆหลานๆเราคนไทย ฟันธงเลยว่า มาจากวัคซีนแน่นอน,มันคือความอำมหิตและบรมโคตรความเห็นแก่ได้แก่ตัว ความอยากใหญ่อยากอยู่ค้ำฟ้าของพวกสาระเลวชั่วชนชั้นปกครองในประเทศไทยเราที่เหี้ยและบัดสบโคตรพ่อโคตรแมร่งมันจริงๆ,และเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมายในไทยบอกเลยว่ามันเบี่ยงเบนความสนใจจากสงครามวัคซีนโควิด19นี้ล่ะที่ผ่านๆมาเพราะเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชสังหารคนไทยเราแล้ว,มันจึงสร้างสาระพัดเรื่องราวตีออกห่างจากเรื่องนี้เพราะหากคนไทยตื่นรู้ทั่วประเทศว่าเรากำลังจะตายจากพวกมันสั่งฉีดวัคซีน มันจะถูกการไล่ล่าและโดนแก้แค้นจากเราประชาชนคนไทย,พวกนี้ต้องตายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและอนุมัติการฉีดวัคซีน.
    ..พวกมันสมรู้ร่วมคิด สุมหัวรู้กาลกันหมดล่ะ ทั้งแดกค้ายาวัคซีนด้วย ทหารไทยเลวชั่ว จริงเหรอหน่วยข่าวกรองระดับเทพแบบมันจะไม่รู้ค่าจริง,ตำรวจไทยก็ด้วย,ทั้งหมดล้มเหลวในการปกครองเพื่อปกป้องชีวิตเรา..ประชาชนคนไทยชัดเชน จนนำไปสู่การส่งเสริมสนับสนุนการฉีดวัคซีนอย่างบ้าคลั่ง,มีแสดงหนังหน้าร่วมบริจาคค่ายาวัคซีนด้วย มันแกล้งโง่เพื่อฉีดคนไทยเราให้ตายหรือโง่จริงๆก็ไม่รู้.
    ..ขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและพิการตลอดจนสูญเสียชีวิตหรือตายกันเกือบยกบ้านยกครัวเลย,บางบ้านตายยกครัวจริงๆ,ลูกตายก่อน พ่อแม่ทำพินัยกรรมกว่าร้อยล้านรอไว้ให้แต่ไร้ลูกมารอรับน่าเศร้าใจมาก และพ่อแม่เองก็กำลังโดยสังหารก่ออาชญากรรมทางวัคซีนเข็มอาวุธชีวภาพด้วยเจ็บป่วยเรื้อรังโรครุมสาระพัดด้วย.,จึงแสดงความสุดเสียใจเป็นอันมากต่อพวกเราคนไทย,มันกะจะสังหารฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเรา..คนไทยจริงๆนะ,มันคนต่างชาติพวกไซออนิสต์และกบฎคนเนรคุณบรรพบุรุษรวมทั้งทรยศคนไทยเราทั้งประเทศด้วยจะแห่มาอยู่ในไทยแทนคนไทยที่ตายเกือบหมดประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ไง,มันก็ออกกฎหมายเตรียมรอไว้ให้ต่างชาติมาซื้อมาครองครอบที่ดินอิสระแบบขายไร่ละ40ล้านบาทที่เป็นข่าวในยุคลุงนั้นล่ะ ไม่รวมเช่าที่99ปีสำเร็จด้วย ตลอดboiให้ต่างชาติคนละ35ไร่ด้วยล่ะถ้าจำไม่ผิด,เรา..พร้อมสังหารอดีตผู้นำมาลงโทษทั้งหมดจริงจังหรือยัง,ความตายยังน้อยเกินไปกับความมันที่กะฆ่าคนไทยเราทั้งประเทศด้วยวัคซีนโควิดmRNAด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcn899PBd3j-3EJvE/
    ..ส่วนตัวรับไม่ได้จริงๆ ลูกๆหลานๆเราคนไทย ฟันธงเลยว่า มาจากวัคซีนแน่นอน,มันคือความอำมหิตและบรมโคตรความเห็นแก่ได้แก่ตัว ความอยากใหญ่อยากอยู่ค้ำฟ้าของพวกสาระเลวชั่วชนชั้นปกครองในประเทศไทยเราที่เหี้ยและบัดสบโคตรพ่อโคตรแมร่งมันจริงๆ,และเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมายในไทยบอกเลยว่ามันเบี่ยงเบนความสนใจจากสงครามวัคซีนโควิด19นี้ล่ะที่ผ่านๆมาเพราะเริ่มออกฤทธิ์ออกเดชสังหารคนไทยเราแล้ว,มันจึงสร้างสาระพัดเรื่องราวตีออกห่างจากเรื่องนี้เพราะหากคนไทยตื่นรู้ทั่วประเทศว่าเรากำลังจะตายจากพวกมันสั่งฉีดวัคซีน มันจะถูกการไล่ล่าและโดนแก้แค้นจากเราประชาชนคนไทย,พวกนี้ต้องตายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและอนุมัติการฉีดวัคซีน. ..พวกมันสมรู้ร่วมคิด สุมหัวรู้กาลกันหมดล่ะ ทั้งแดกค้ายาวัคซีนด้วย ทหารไทยเลวชั่ว จริงเหรอหน่วยข่าวกรองระดับเทพแบบมันจะไม่รู้ค่าจริง,ตำรวจไทยก็ด้วย,ทั้งหมดล้มเหลวในการปกครองเพื่อปกป้องชีวิตเรา..ประชาชนคนไทยชัดเชน จนนำไปสู่การส่งเสริมสนับสนุนการฉีดวัคซีนอย่างบ้าคลั่ง,มีแสดงหนังหน้าร่วมบริจาคค่ายาวัคซีนด้วย มันแกล้งโง่เพื่อฉีดคนไทยเราให้ตายหรือโง่จริงๆก็ไม่รู้. ..ขอแสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและพิการตลอดจนสูญเสียชีวิตหรือตายกันเกือบยกบ้านยกครัวเลย,บางบ้านตายยกครัวจริงๆ,ลูกตายก่อน พ่อแม่ทำพินัยกรรมกว่าร้อยล้านรอไว้ให้แต่ไร้ลูกมารอรับน่าเศร้าใจมาก และพ่อแม่เองก็กำลังโดยสังหารก่ออาชญากรรมทางวัคซีนเข็มอาวุธชีวภาพด้วยเจ็บป่วยเรื้อรังโรครุมสาระพัดด้วย.,จึงแสดงความสุดเสียใจเป็นอันมากต่อพวกเราคนไทย,มันกะจะสังหารฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเรา..คนไทยจริงๆนะ,มันคนต่างชาติพวกไซออนิสต์และกบฎคนเนรคุณบรรพบุรุษรวมทั้งทรยศคนไทยเราทั้งประเทศด้วยจะแห่มาอยู่ในไทยแทนคนไทยที่ตายเกือบหมดประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ไง,มันก็ออกกฎหมายเตรียมรอไว้ให้ต่างชาติมาซื้อมาครองครอบที่ดินอิสระแบบขายไร่ละ40ล้านบาทที่เป็นข่าวในยุคลุงนั้นล่ะ ไม่รวมเช่าที่99ปีสำเร็จด้วย ตลอดboiให้ต่างชาติคนละ35ไร่ด้วยล่ะถ้าจำไม่ผิด,เรา..พร้อมสังหารอดีตผู้นำมาลงโทษทั้งหมดจริงจังหรือยัง,ความตายยังน้อยเกินไปกับความมันที่กะฆ่าคนไทยเราทั้งประเทศด้วยวัคซีนโควิดmRNAด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcn899PBd3j-3EJvE/
    @thanyaporn538

    รูปถ่ายเรา 3 คน แม่ไม่เคยขออะไรลูกเลยนะ และไม่เคยอยากขอแต่ครั้งนี้แม่ขอนะ ขอร้องสู้ไปกับแม่ แม่รู้หนูรักแม่มาก เพราะงั้นหนูต้องห่วงแม่ ไม่ทิ้งแม่ไว้คนเดียว แม่พ่อและทุกคนรักหนูมากนะ 🤍

    ♬ เสียงต้นฉบับ - ว่างจากเลี้ยงลูกก็มารีวิว - ว่างจากเลี้ยงลูกก็มารีวิว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว

    ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท

    MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

    บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก"

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง

    #Newskit
    หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก" อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 5

    คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย

    และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ

    แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที

    หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ

    Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์

    Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ
    ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน

    คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต

    เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 6

    Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2

    Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ

    ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส

    เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง

    ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว

    Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง

    เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ

    ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย
    แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว
    Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน

    Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน

    Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย

    วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ

    คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด

    “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    10 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 5 คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์ Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 6 Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 10 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 684 มุมมอง 0 รีวิว



  • ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว.
    ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้,
    ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า.

    ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง.,
    ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว.

    https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    ..มามุกเดือดร้อนใหม่อีกแล้วคงไม่ต่างจากคริปโตฯตังดิจิดัล500,000ล้านหรอก,เตรียมคริปโต เตรียมบริษัทไว้รอพร้อมหมดแล้ว,สูบบุหรี่นอนรอนานแล้วนั้นเอง,ค่านั้นค่านี้สาระพัดตกลงกันลงตัวไว้แล้ว. ..เงินหลวงแม้โกงหรือทุจริตไป 1 บาท ก็คือคตโกง คือทุจริต คือไม่ซื่อสัตย์ โทษต้องสมควรหนักกว่าโจรปล้นร้านทองคำ นี้คือนักการเมืองด้วย 1บาทก็ต้องโทษหนัก เมื่ออาสามารับใช้ชาติรับใช้ประเทศ รับใช้คนไทย ,จริงๆแค่แฉเรื่องทุจริตต่างๆจะสแกมเมอร์จะฟอกเงินจะตำรวจยุ่งเกี่ยวจะรมต.คนนักการเมืองฝ่ายรัฐยุ่งเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์เขมรค้ามนุษย์ฟอกทองคำฟอกเงินฟอกตลาดหุ้น ไม่ซื่อสัตย์แค่1บาทก็สมควรลาออกให้เป็นแบบอย่างที่ดีเถอะ ทั้งรัฐบาลนั้นล่ะ ยุบสภาหนีไปเถอะ,ข่าวการแฉขนาดนี้, ..เรื่องหนี้นี้ จริงๆสมควรล้างหนี้นักศึกษาก่อน จากนั้นเกษตรกรทั่วประเทศที่เป็นชาวนาธกส.ก่อนเลย,จากนั้นล้างหนี้ทุกๆคนเป็นถือบัตรคนจนก่อนว่าเขามีหนี้กับรัฐอะไรบ้าง กลุ่มเปราะบางของแท้ จากนั้นให้ทุนเงินสัมมาอาชีพเขาสักก้อน บวกทุนเพิ่มเติมแหล่งเงินทุนรัฐจริงๆมิใช่ให้เขาแสวงหาหนี้นอกระบบอีกหรือแบงค์เอกชนที่เข้าไม่ถึงได้เลยในประชาชนธรรมดา,พร้อมสร้างกลุ่มภาคประชาชนที่เข้มแข็งรองรับยุคสมัยสัมมาอาชีพอนาคต เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลก.,รัฐไร้ฝีมือไร้น้ำยา คงไม่นำพาหรอกเพราะผู้ปกครองเรากาก กระจอก ทอดทิ้งประชาชน การฉีดตายกว่า60ล้านเข็มที่อำมหิตจึงถือกำเนิดขึ้นใส่ตัวประชาชนครไทยกันถ้วนหน้า. ..ล้างหนี้คือล้างหนี้ ยังจะมาหากำไรจากประชาชนตนคนไทยอีก,ถ้าการสมมุตินี้จริง ที่ว่า ประชาชนมี100 เอกชนมาซื้อหนี้ไป5บาท มาทวงคืนจากประชาชน10บาท,กำไร 5บาทถวายพานให้เอกชนเลย,ทำไมไม่แสดงเจตนาดีแจ้งชัดเจนก่อนให้เอกชนฟันกำไรส่วนต่าง5บาทนั้น,โดยให้ประชาชนมาซื้อหนี้เน่าตนเองเลย,หามาซื้อปิดหนี้เน่าตนทางตรงที่5บาทหรือ5%นี้ล่ะ,มีระยะเวลากำหนดว่าภายใน5ปีก็ว่าไป,ต้องนำมาปิดก่อนในส่วน5บาทหรือ5%นี้,เมื่อพ้นกำหนดนี้จึงจะขายหนี้ให้เอกชนแล้วทำตามเงื่อนไขขั้นต้นที่ว่านั้นก็ไม่เห็นว่าทางรัฐจะเสียหายใดๆแค่แบกก้อนหนี้นี้ของคนไทยปกติเพิ่ม5ปีเท่านั้น ไหนๆจะช่วยคนไทยจริง อย่างบริสุทธิ์ใจช่วยประชาชนคนไทย จากจะทิ้งหนี้เน่าไปเสียจึงไปตกลงเอกชนมารับซื้อหนี้นี้ไป,ทั้งในนามรัฐบาล ถามประชาชนแล้วหรือยังในนามครม.รัฐที่เป็นนโยบายระดับชาติบังคับใช้ระดับประเทศทั่วไทยขนาดนี้ว่าเขายินยอมให้ขายหนี้ของธนาคารรัฐไปให้เอกชนมั้ย ธนาคารรัฐละเมิดสิทธิ์ประชาชนถือว่าเป็นโมฆะได้,กฎหมายก็เขียนจากคนนี้ล่ะ,ใครมีอำนาจก็เขียนได้หมด,อีกทั้งรัฐบาลจากกรณีแร่เอิร์ธไม่อาจมีความไว้วางใจในการบริหารชาติได้อีกต่อไป และประเด็นปัญหากับเขมรสาระพัดเรื่องด้วย โดยเรื่องอาชญากรรมระดับชาติของเขมรที่โยงมาถึงคนในรัฐบาลชุดนี้อีกมากมาย,ไร้ความซื่อสัตย์สุจิตด้วย นโยบายมากมายจึงจะไว้ใจได้อย่างไรว่าไปเตะกำไรเงินทองผลประโยชน์ให้เอกชนเต็มๆหรือโอนสถานะทาสหนี้ ขายทาสกันว่าเล่นในสมมุตินี้ได้สบายนั้นเอง,รัฐไม่มีสิทธิย้ายสถานะหนี้ทาสแก้คนนอกเอกชนใดๆ,ลูกหนี้จะไร้ความปลอดภัยในการคุ้มครองจากอำนาจทางการทันทีนั้นเองเมื่อย้ายออกไป,นายหนี้ใหม่ยอมมีสิทธิขาดในการทำลายลูกหนี้ได้หมด กดขี่ข่มเหงได้หมด,อำนาจรัฐสามารถเขียนกฎหมายใหม่ให้ดีได้หมดแต่ไม่เคยทำ,ต่างพร้อมช่วยเจ้าสัวเจ้าของบริษัททำธุรกิจเงินทองเอาเปรียบประชาชนมาตลอดในอดีตทุกๆรัฐบาลที่ผ่านๆไร้ความจริงใจนั้นเอง., ..เป็นต้นว่า เขียนกฎหมายใหม่ทันทีว่า ลูกหนีัเป็นหนี้บ้านหนี้ที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อคอนโด เมื่อถูกยึดบ้านยึดคอนโดยึดบ้านยึดที่ดินยึดรถ สถานะหนี้บ้านหนี้รถหนี้ที่ดินหนี้จำนองทองคำหนี้จำนองโฉนดเป็นอันสิ้นสุดทันที,ต้องห้ามเจ้าหนี้เด็ดขาดในไทยธนาคารใดๆในไทยไปตามยึดทรัพย์สินอื่นๆใดๆอีกเพื่อมาบังคับใช้หนี้ให้เต็มส่วนตนในมูลค่าหนี้ที่ตนคิดเองในเงื่อนไขความเสี่ยงตนที่ตกลงว่าลูกหนี้ต้องจ่ายจนครบนั้นเป็นอันสิ้นสุด ยุติหนี้จบเสร็จสิ้นไป ห้ามทุกๆกรณี เจ้าหนี้ยึดบ้านจากหนี้บ้านก็จบ เจ้าหนี้ยึดที่ดินจากหนี้เงินกู้ใช้ที่ดินจำนองก็จบ,ยึดรถที่ลูกหนี้ซื้อก็จบ ให้สิ้นพันธะกันทันทีห้ามบีบบังคับใดๆอีก,หนี้ใดๆที่ลูกหนี้ผูกไว้ ประเมินไว้ ธนาคารรับความเสี่ยงแล้วจึงปล่อยกู้,ลูกหนี้ใช้ที่ดินโรงงานและกิจการตนโรงงานตนกู้เงิน ธนาคารยึดทรัพย์สินที่ดินและกิจการนั้นๆคือจบสถานะหนี้นั้นทันที,ไม่มีสิทธิไปยึดที่ดินแปลงอื่นอีกหรือโรงงานอื่นๆที่เขาทำกิจการต่างๆนั้น.,นี้กฎหมายไทยต้องเขียนชัดเจนลักษณะนีัเป็นพื้นฐานมาตรฐานก่อนเพื่อปกป้องประชาชนคนไทย ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมใดๆก็ไม่สมควรเอาเปรียบมากมายสาระพัดในอดีตที่ผ่านๆมาถึงปัจจุบัน.จึงถือว่าแบงค์ชาติไทยล้มเหลวทั้งหมดที่ผ่านๆมา,ไม่ก่อประโยชน์สูงสุดเป็นอรรถประโยชน์ที่แท้จริงแก่คนไทย,คนไทยเป็นอันมากต่างถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารเอกชนหรือกิจการปล่อยเงินกู้ทั้งหมดทั่วไทยชัดเจนมาก,ยามวิกฤติแบงค์ชาติไม่สมควรอำนวยธนาคารเอกชนแสวงหากำไรจากดอกเบี้ยจนแจ้งผลประกอบการผ่านตลาดทุนกำไรเป็นแสนล้านบาทอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทั้งที่ตลาดทั้งตลาดเกือบขาดทุนหมดบนวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศขนาดนั้น แต่แบงค์ชาติกลับไม่สนใจควบคุมธนาคารเอกชนในการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ จึงฟันกำไรจนบ้าคลั่งเอาเปรียบประชาชนคนไทยชัดเจน.นี้คือตย.ที่เป็นข่าวจริง,เรามีการปกครองที่ล้มเหลวจริงๆ,การอ้างประชาชนในการแสวงหาประโยชน์ใดๆบนแผ่นดินไทยนี้มันง่ายจริงๆ,มีอำนาจอ้างใดๆได้หมดอีกด้วย,ตอนไม่มีอำนาจก็อ้างความทุกข์ยากประชาชนสาระพัดอีก สาระพัดการอ้างเอาประชาชนบังหน้าในการแสวงหาประโยชน์ใดๆจึงง่ายแก่คนชั่วเลวมากจริงๆบนประเทศไทยนี้และไม่เคยมีพวกมันใดๆถูกจับมาลงโทษทั้งหมดให้สิ้นซากกันจริงๆจังๆอีกด้วย,และการหากินบนมวลชนแบบผูกขาดเช่นให้บริการการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน ขายไฟฟ้า ขายน้ำมัน ขายเช่าสัญญาณคลื่นมือถือคลื่นเน็ต มวลรวมคนใช้ทั้งประเทศ การโกงกินลักษณะนี้มันอร่อยคำโตและหอมหวานเป็นอันมาก,อำนาจจึงพากันอยากได้อยากมานั่งมาอยู่มาแสวงหามันนักตลอดตำแหน่งใดๆในราชการก็ด้วย เงินทองและอำนาจรวมเข้าในคนชั่วเลวมันชื่นชอบมาก,การกำจัดคนพวกนี้ ความตายจึงสมควรหยิบยื่นให้พวกมันทุกๆตัวบนแผ่นดินไทยในยุคสมัยนี้เวลานี้จริงๆ,การยึดอำนาจของทหารหาญผู้กอบกู้ชาติไทยเราจึงสำคัญมากและคือหนทางเดียวเท่านั้นบนกฎพิเศษ บนกติกาพิเศษ บนเงื่อนไขที่เงื่อนไขปกติมิอาจใช้ได้เหมาะสมกับปีศาจอสูรมารซาตานพวกนี้ได้.,นี้คือแผ่นดินไทย ถึงเวลาไล่ล่า กำจัดและกวาดล้างกันจริงๆจังๆได้แล้ว. https://youtube.com/watch?v=DZmbgMLkupo&si=0C_DGti4qhnEtDwE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวมหมวกนายกฯ ไปเปิดงานประชุมตำรวจอาเซียน ทั้งที่ตัวเองถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้วสว. ครอบครองโฉนดที่ดินเขากระโดง ใครไม่อายคิงส์อาย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สวมหมวกนายกฯ ไปเปิดงานประชุมตำรวจอาเซียน ทั้งที่ตัวเองถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้วสว. ครอบครองโฉนดที่ดินเขากระโดง ใครไม่อายคิงส์อาย #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวอร์จิเนีย—รัฐที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งดาต้าเซ็นเตอร์

    ใครจะคิดว่าเวอร์จิเนีย รัฐที่ไม่ได้อยู่ใกล้ Silicon Valley หรือมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี จะกลายเป็น “เมืองหลวงของดาต้าเซ็นเตอร์” ของโลก? ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์เกือบ 600 แห่งกระจายอยู่ทั่วรัฐ และยังมีแผนจะสร้างเพิ่มอีกมากมาย นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเวอร์จิเนียไปอย่างสิ้นเชิง.

    ทำไมเวอร์จิเนียถึงกลายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์?
    โครงสร้างพื้นฐานเก่าแก่จากยุค AOL
    Northern Virginia เคยเป็นฐานของบริษัทอินเทอร์เน็ตยุคแรกอย่าง America Online
    โครงสร้างพื้นฐานเดิมถูกนำมาใช้ต่อโดยผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์

    พลังงานราคาถูกและที่ดินพัฒนาได้
    ก่อนเกิดการบูม มีที่ดินราคาถูกจำนวนมาก
    อัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับรัฐอื่น

    ใกล้ศูนย์กลางการเมืองและธุรกิจ
    อยู่ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้สะดวกต่อการเจรจาธุรกิจ
    ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีให้มาตั้งฐานปฏิบัติการ

    ผลกระทบที่ตามมา
    การขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์รุกล้ำพื้นที่ชุมชน
    โครงสร้างขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแทนที่พื้นที่ชนบทและชานเมือง
    ทำให้ภูมิทัศน์เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้าน

    ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้สร้างงานในท้องถิ่นมากนัก
    แม้จะมีการลงทุนมหาศาล แต่การจ้างงานกลับน้อย
    ส่งผลต่อเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

    การใช้พลังงานและน้ำในปริมาณมหาศาล
    ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้ค่าไฟฟ้าในพื้นที่สูงขึ้น
    แม้บางบริษัท เช่น Amazon จะเริ่มปรับตัว แต่ปัญหายังไม่หมดไป


    สรุปภาพรวม: เวอร์จิเนียกับบทบาทใหม่ในโลกดิจิทัล

    มีดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
    เกือบ 600 แห่ง และยังมีแผนขยายเพิ่ม
    กลายเป็น “Data Center Alley” โดยเฉพาะบริเวณใกล้สนามบิน Dulles

    ปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโต
    โครงสร้างพื้นฐานเดิม, พลังงานราคาถูก, ที่ดินพัฒนาได้
    ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการเมือง

    ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
    รุกล้ำพื้นที่ชุมชน, ใช้ทรัพยากรสูง, ไม่สร้างงานมากนัก

    เวอร์จิเนียอาจไม่ใช่รัฐที่คุณนึกถึงเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี แต่วันนี้มันคือหัวใจของโลกดิจิทัลที่เต้นแรงที่สุดแห่งหนึ่ง

    https://www.slashgear.com/2011454/us-state-most-data-centers-in-the-world/
    🌐 เวอร์จิเนีย—รัฐที่กลายเป็นศูนย์กลางของโลกแห่งดาต้าเซ็นเตอร์ ใครจะคิดว่าเวอร์จิเนีย รัฐที่ไม่ได้อยู่ใกล้ Silicon Valley หรือมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี จะกลายเป็น “เมืองหลวงของดาต้าเซ็นเตอร์” ของโลก? ปัจจุบันมีดาต้าเซ็นเตอร์เกือบ 600 แห่งกระจายอยู่ทั่วรัฐ และยังมีแผนจะสร้างเพิ่มอีกมากมาย นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเวอร์จิเนียไปอย่างสิ้นเชิง. 🧠 ทำไมเวอร์จิเนียถึงกลายเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์? ✅ โครงสร้างพื้นฐานเก่าแก่จากยุค AOL ➡️ Northern Virginia เคยเป็นฐานของบริษัทอินเทอร์เน็ตยุคแรกอย่าง America Online ➡️ โครงสร้างพื้นฐานเดิมถูกนำมาใช้ต่อโดยผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ✅ พลังงานราคาถูกและที่ดินพัฒนาได้ ➡️ ก่อนเกิดการบูม มีที่ดินราคาถูกจำนวนมาก ➡️ อัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับรัฐอื่น ✅ ใกล้ศูนย์กลางการเมืองและธุรกิจ ➡️ อยู่ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้สะดวกต่อการเจรจาธุรกิจ ➡️ ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีให้มาตั้งฐานปฏิบัติการ ⚠️ ผลกระทบที่ตามมา ‼️ การขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์รุกล้ำพื้นที่ชุมชน ⛔ โครงสร้างขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแทนที่พื้นที่ชนบทและชานเมือง ⛔ ทำให้ภูมิทัศน์เปลี่ยนไปและเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้าน ‼️ ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้สร้างงานในท้องถิ่นมากนัก ⛔ แม้จะมีการลงทุนมหาศาล แต่การจ้างงานกลับน้อย ⛔ ส่งผลต่อเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว ‼️ การใช้พลังงานและน้ำในปริมาณมหาศาล ⛔ ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและอาจทำให้ค่าไฟฟ้าในพื้นที่สูงขึ้น ⛔ แม้บางบริษัท เช่น Amazon จะเริ่มปรับตัว แต่ปัญหายังไม่หมดไป สรุปภาพรวม: เวอร์จิเนียกับบทบาทใหม่ในโลกดิจิทัล ✅ มีดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน ➡️ เกือบ 600 แห่ง และยังมีแผนขยายเพิ่ม ➡️ กลายเป็น “Data Center Alley” โดยเฉพาะบริเวณใกล้สนามบิน Dulles ✅ ปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโต ➡️ โครงสร้างพื้นฐานเดิม, พลังงานราคาถูก, ที่ดินพัฒนาได้ ➡️ ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและการเมือง ‼️ ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ⛔ รุกล้ำพื้นที่ชุมชน, ใช้ทรัพยากรสูง, ไม่สร้างงานมากนัก เวอร์จิเนียอาจไม่ใช่รัฐที่คุณนึกถึงเมื่อพูดถึงเทคโนโลยี แต่วันนี้มันคือหัวใจของโลกดิจิทัลที่เต้นแรงที่สุดแห่งหนึ่ง 🌍 https://www.slashgear.com/2011454/us-state-most-data-centers-in-the-world/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This State Surprisingly Houses More Data Centers Than Anywhere Else On Earth - SlashGear
    Data centers are becoming more common across the country, and this one state is the surprising home to more data centers than any other in the US.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 3

    ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง

    Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด

    Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ
    มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table

    “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….”

    มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ

    และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 4

    พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย

    แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป

    Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย
    วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย”
    วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork :
    “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย”
    การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 :

    ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค

    ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ

    แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้
    แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ
    Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….”

    เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่

    ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย

    สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน

    และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 3 ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….” มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 4 พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย” วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork : “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย” การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 : ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้ แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….” เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่ ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 752 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระครูเหมเจติยานุรักษ์ รุ่นสร้างอุโบสถ วัดชลเฉนียน จ.นครศรีธรรมราช ปี2548
    เหรียญพระครูเหมเจติยานุรักษ์ รุ่นสร้างอุโบสถ เนื้อกะไหล่ทองลงยาสีเขียว วัดชลเฉนียน จ.นครศรีธรรมราช ปี2548 // พระดีพิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย **

    ** ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (เนียม ธมฺมปาโล) ได้ก่อตั้งเมื่อพ.ศ. ๒๔๔๒ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อใน พ.ศ. ๒๕๐๐ เดิมวัดชายคลองเป็นที่พักระหว่างซ่อมแซมพระบรมธาตุเจดีย์และเคยเป็นที่พักแรมของพระภิกษุสามเณรในช่วง พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๔๑ โดยมีท่านปาน (พระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปาฏมาภิบาล) เดินทางจากกรุงเทพฯ ได้ชักชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกันบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ที่ชำรุดทรุดโทรม และชาวบ้านที่มาจากต่างอำเภอซึ่งได้เดินทางมากับเรือและมาเทียบท่าที่วัดนี้ เสร็จภาระกิจการซ่อมแซมพระบรมธาตุและศาสนสถานแล้ว พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (เนียม ธัมมปาโล) เห็นว่าบริเวณนี้เหมาะจะสร้างวัด จึงได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านมาสร้างเป็นวัดปฏิบัติกรรมฐาน ปัจจุบันวัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) เห็นว่าบริเวณนี้เหมาะจะสร้างวัด จึงได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านมาสร้างเป็นวัดปฏิบัติกรรมฐาน ปัจจุบันวัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระครูเหมเจติยานุรักษ์ รุ่นสร้างอุโบสถ วัดชลเฉนียน จ.นครศรีธรรมราช ปี2548 เหรียญพระครูเหมเจติยานุรักษ์ รุ่นสร้างอุโบสถ เนื้อกะไหล่ทองลงยาสีเขียว วัดชลเฉนียน จ.นครศรีธรรมราช ปี2548 // พระดีพิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย ** ** ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (เนียม ธมฺมปาโล) ได้ก่อตั้งเมื่อพ.ศ. ๒๔๔๒ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อใน พ.ศ. ๒๕๐๐ เดิมวัดชายคลองเป็นที่พักระหว่างซ่อมแซมพระบรมธาตุเจดีย์และเคยเป็นที่พักแรมของพระภิกษุสามเณรในช่วง พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๔๑ โดยมีท่านปาน (พระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปาฏมาภิบาล) เดินทางจากกรุงเทพฯ ได้ชักชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกันบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ที่ชำรุดทรุดโทรม และชาวบ้านที่มาจากต่างอำเภอซึ่งได้เดินทางมากับเรือและมาเทียบท่าที่วัดนี้ เสร็จภาระกิจการซ่อมแซมพระบรมธาตุและศาสนสถานแล้ว พระครูเหมเจติยานุรักษ์ (เนียม ธัมมปาโล) เห็นว่าบริเวณนี้เหมาะจะสร้างวัด จึงได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านมาสร้างเป็นวัดปฏิบัติกรรมฐาน ปัจจุบันวัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) เห็นว่าบริเวณนี้เหมาะจะสร้างวัด จึงได้ซื้อที่ดินจากชาวบ้านมาสร้างเป็นวัดปฏิบัติกรรมฐาน ปัจจุบันวัดชลเฉนียน (วัดชายคลอง) ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • รฟท.ลุยไฟ ฟ้องอีก 90 แปลงรุกเขากระโดง มีแปลงใหญ่เพียบข้างสนามบอล สนามแข่งรถ และข้างที่ดินชิดชอบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    รฟท.ลุยไฟ ฟ้องอีก 90 แปลงรุกเขากระโดง มีแปลงใหญ่เพียบข้างสนามบอล สนามแข่งรถ และข้างที่ดินชิดชอบ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts