• ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์(12ธ.ค.) ว่าไทยและกัมพูชาเห็นพ้องในข้อตกลงหยุดยิงรอบใหม่ แต่การสู้รบยังคงลากยาวต่อไป ในอีกแง่มุมมอง ทางซีเอ็นเอ สื่อมวลชนสิงคโปร์ ชี้ว่ามันถือเป็นบทเรียนของข้อจำกัดด้านอิทธิพลของอเมริกา ในยามที่ความรู้สึกชาตินิยมพุ่งสูง ขณะเดียวกันพวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าวอชิงตันเองและปักกิ่งอาจรู้เห็นเป็นใจกับไทย ในปฏิบัติการถล่มศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000121241

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันศุกร์(12ธ.ค.) ว่าไทยและกัมพูชาเห็นพ้องในข้อตกลงหยุดยิงรอบใหม่ แต่การสู้รบยังคงลากยาวต่อไป ในอีกแง่มุมมอง ทางซีเอ็นเอ สื่อมวลชนสิงคโปร์ ชี้ว่ามันถือเป็นบทเรียนของข้อจำกัดด้านอิทธิพลของอเมริกา ในยามที่ความรู้สึกชาตินิยมพุ่งสูง ขณะเดียวกันพวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าวอชิงตันเองและปักกิ่งอาจรู้เห็นเป็นใจกับไทย ในปฏิบัติการถล่มศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000121241 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อไทยเปิดตัว “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 1 ของพรรค ยืนยันไม่เป็นปัญหาเรื่องเครือญาติตระกูลชินวัตร ชี้เป็นโอกาสและจุดเด่นทางการเมือง
    .
    แกนนำพรรคย้ำชัด ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” พร้อมยืนยันการตัดสินใจเป็นอิสระ ร่วมกับคณะกรรมการบริหารพรรค
    .
    “สุริยะ” ยังมั่นใจเป้าหมาย 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ระบุใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ชนะใจประชาชน พร้อมประกาศสู้ทุกด่าน ทั้งอำนาจรัฐ กระสุน และกระแสชาตินิยม
    .
    “ยศชนัน” ชี้จุดยืนชัด อธิปไตยต้องมาก่อน พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ AI เพื่อพาไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000120955
    .
    #News1live #News1 #เพื่อไทย #ยศชนัน #แคนดิเดตนายก #การเมืองไทย #เลือกตั้ง2568 #พรรคเพื่อไทย
    เพื่อไทยเปิดตัว “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 1 ของพรรค ยืนยันไม่เป็นปัญหาเรื่องเครือญาติตระกูลชินวัตร ชี้เป็นโอกาสและจุดเด่นทางการเมือง . แกนนำพรรคย้ำชัด ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” พร้อมยืนยันการตัดสินใจเป็นอิสระ ร่วมกับคณะกรรมการบริหารพรรค . “สุริยะ” ยังมั่นใจเป้าหมาย 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ระบุใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ชนะใจประชาชน พร้อมประกาศสู้ทุกด่าน ทั้งอำนาจรัฐ กระสุน และกระแสชาตินิยม . “ยศชนัน” ชี้จุดยืนชัด อธิปไตยต้องมาก่อน พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และ AI เพื่อพาไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000120955 . #News1live #News1 #เพื่อไทย #ยศชนัน #แคนดิเดตนายก #การเมืองไทย #เลือกตั้ง2568 #พรรคเพื่อไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • แห่ร้องยี้ Trip.com จับมือกัมพูชาไม่บอกกล่าว

    แพลตฟอร์มออนไลน์ทราเวลเอเจนซี (OTA) สัญชาติจีนอย่าง Trip.com ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ครองตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ 60-70% และมีแพลตฟอร์มเทียบราคาตั๋วเครื่องบินในเครืออย่าง Skyscanner กำลังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนักทั้งในจีนและประเทศไทย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา นำโดยนายคิม มีเนีย (Kim Minea) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการตลาดและดิจิทัลกับ Trip.com โดยมีนายเฉิน กว่านฉี (Chen Guanqi) รองประธานบริษัทฯ เป็นผู้แทน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร Trip.com อย่างนางเจน ซัน (Jane Sun) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไปพบปะนอกรอบกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2567 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม 2024 เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น นอกจากนี้ สายการบินแห่งชาติอย่าง แคมโบเดียอังกอร์แอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ Trip.com เพื่อจัดตั้งบริการสนามบินอัจฉริยะ ที่สนามบินเสียมราฐ-อังกอร์อีกด้วย

    หลังชาวจีนทราบข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ต่างกังวลถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งาน อาจถูกนำไปออกแบบแคมเปญและผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวสำหรับกัมพูชา ยิ่งที่ผ่านมาประเทศกัมพูชา ถูกมองว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย เคยมีชาวจีนเคยตกเป็นเหยื่อมากมาย เมื่อ Trip.com เดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับกัมพูชา โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองข้อมูลแก่ผู้ใช้งาน ทำให้มีผู้ใช้งานในจีนจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชัน เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับความร่วมมือดังกล่าว

    ส่วนประเทศไทย นอกจากความกังวลถึงข้อมูลส่วนบุคคลจะตกไปอยู่ในมือกัมพูชาแล้ว กระแสชาตินิยมต่อต้านกัมพูชาทำสงครามกับไทย และมีทหารไทย รวมทั้งพลเรือนไทยสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต เมื่อทราบข่าวนี้ก็ทำให้ผู้ใช้งานในไทยจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชันตามมาอีกด้วย

    ร้อนถึง Trip.com Group ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การลงนามดังกล่าวเป็นเพียงความร่วมมือโปรโมทการท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์ม Ctrip ในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งได้ตกลงความร่วมมือร่วมกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อีกทั้งความร่วมมือดังกล่าวจำกัดขอบเขตอย่างเคร่งครัด เฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและนำเสนอจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเท่านั้น ไม่มีการแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ใดๆ ทั้งสิ้น

    #Newskit
    แห่ร้องยี้ Trip.com จับมือกัมพูชาไม่บอกกล่าว แพลตฟอร์มออนไลน์ทราเวลเอเจนซี (OTA) สัญชาติจีนอย่าง Trip.com ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ครองตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ 60-70% และมีแพลตฟอร์มเทียบราคาตั๋วเครื่องบินในเครืออย่าง Skyscanner กำลังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่างหนักทั้งในจีนและประเทศไทย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา นำโดยนายคิม มีเนีย (Kim Minea) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการตลาดและดิจิทัลกับ Trip.com โดยมีนายเฉิน กว่านฉี (Chen Guanqi) รองประธานบริษัทฯ เป็นผู้แทน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร Trip.com อย่างนางเจน ซัน (Jane Sun) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไปพบปะนอกรอบกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2567 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม 2024 เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนกัมพูชามากขึ้น นอกจากนี้ สายการบินแห่งชาติอย่าง แคมโบเดียอังกอร์แอร์ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ Trip.com เพื่อจัดตั้งบริการสนามบินอัจฉริยะ ที่สนามบินเสียมราฐ-อังกอร์อีกด้วย หลังชาวจีนทราบข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ต่างกังวลถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งาน อาจถูกนำไปออกแบบแคมเปญและผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวสำหรับกัมพูชา ยิ่งที่ผ่านมาประเทศกัมพูชา ถูกมองว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมาย เคยมีชาวจีนเคยตกเป็นเหยื่อมากมาย เมื่อ Trip.com เดินหน้าความร่วมมือเชิงลึกกับกัมพูชา โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองข้อมูลแก่ผู้ใช้งาน ทำให้มีผู้ใช้งานในจีนจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชัน เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับความร่วมมือดังกล่าว ส่วนประเทศไทย นอกจากความกังวลถึงข้อมูลส่วนบุคคลจะตกไปอยู่ในมือกัมพูชาแล้ว กระแสชาตินิยมต่อต้านกัมพูชาทำสงครามกับไทย และมีทหารไทย รวมทั้งพลเรือนไทยสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต เมื่อทราบข่าวนี้ก็ทำให้ผู้ใช้งานในไทยจำนวนมากต่างลบบัญชีผู้ใช้งาน และลบแอปพลิเคชันตามมาอีกด้วย ร้อนถึง Trip.com Group ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า การลงนามดังกล่าวเป็นเพียงความร่วมมือโปรโมทการท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์ม Ctrip ในประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งได้ตกลงความร่วมมือร่วมกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อีกทั้งความร่วมมือดังกล่าวจำกัดขอบเขตอย่างเคร่งครัด เฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและนำเสนอจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเท่านั้น ไม่มีการแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ใดๆ ทั้งสิ้น #Newskit
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • โง่ชิบหาย...!!!
    .
    ทำตัวเป็นเด็กยังไม่อย่านม ลงไปนอนกลิ้งจะเอาของเล่น
    .
    ประเทศชาติมีศึกสงคราม ไอ้พรรคการเมืองเหี้ยนี่ คิดอย่างเดียวจะแก้รัฐธรรมนูญ
    .
    กูจะแก้หมวด 1 หมวด 2 ด้วย...!!!
    ....
    ....
    หมวดที่ 1 บททั่วไป กำหนดหลักการพื้นฐาน
    .
    ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว และมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ กำหนดสถานะและบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ
    ....
    ....
    พวกมึงอยากจะแก้เหี้ยอะไร
    .
    จะแก้หมวด 1 หรือมึงอยากจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ แบ่งแยกดินแดนให้ BRN รึไง...???
    .
    จะแก้หมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ มึงจะแก้ไขสถานะพระมหากษัตริย์เหรอ...???
    ...
    ...
    ทุกลมหายใจคิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ คิดแต่จะจัดการสถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    เค้ารบกับ มึงก็ค้านดะ หาว่าทหารจะหาซีนหาแสง ห้ามมีกระแสชาตินิยมในประเทศไทยเด็ดขาด
    .
    ไปนั่งตรวจสอบทหาร ตรวจสอบคนบริจาคช่วยทหาร...
    .
    คิดว่าตัวเองคะแนนเสียงเยอะ ไม่พอใจก็โวยวายขู่จะอภิปราย ท้าให้เขายุบสภา
    .
    เขาเลยยุบสภาฟาดหน้ามึง...!!!
    .
    ทีนี้ทำยังไง...???
    .
    ไอ้หน้าโง่เอ้ย...!!!
    .
    ไก่อ่อน...
    .
    ถ้าประเทศชาติในยามสงครามได้พวกมึงมาบริหาร...
    .
    ไม่แคล้ว ได้หยุดสงคราม กราบตีน เขมร ลาก ไอ้ทรัมป์ มาเสือกอีกแน่นอน...
    .
    โง่แล้ว โง่อยู่ โง่ต่อไป...!!!
    โง่ชิบหาย...!!! . ทำตัวเป็นเด็กยังไม่อย่านม ลงไปนอนกลิ้งจะเอาของเล่น . ประเทศชาติมีศึกสงคราม ไอ้พรรคการเมืองเหี้ยนี่ คิดอย่างเดียวจะแก้รัฐธรรมนูญ . กูจะแก้หมวด 1 หมวด 2 ด้วย...!!! .... .... หมวดที่ 1 บททั่วไป กำหนดหลักการพื้นฐาน . ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว และมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ กำหนดสถานะและบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ .... .... พวกมึงอยากจะแก้เหี้ยอะไร . จะแก้หมวด 1 หรือมึงอยากจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ แบ่งแยกดินแดนให้ BRN รึไง...??? . จะแก้หมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ มึงจะแก้ไขสถานะพระมหากษัตริย์เหรอ...??? ... ... ทุกลมหายใจคิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ คิดแต่จะจัดการสถาบันพระมหากษัตริย์ . เค้ารบกับ มึงก็ค้านดะ หาว่าทหารจะหาซีนหาแสง ห้ามมีกระแสชาตินิยมในประเทศไทยเด็ดขาด . ไปนั่งตรวจสอบทหาร ตรวจสอบคนบริจาคช่วยทหาร... . คิดว่าตัวเองคะแนนเสียงเยอะ ไม่พอใจก็โวยวายขู่จะอภิปราย ท้าให้เขายุบสภา . เขาเลยยุบสภาฟาดหน้ามึง...!!! . ทีนี้ทำยังไง...??? . ไอ้หน้าโง่เอ้ย...!!! . ไก่อ่อน... . ถ้าประเทศชาติในยามสงครามได้พวกมึงมาบริหาร... . ไม่แคล้ว ได้หยุดสงคราม กราบตีน เขมร ลาก ไอ้ทรัมป์ มาเสือกอีกแน่นอน... . โง่แล้ว โง่อยู่ โง่ต่อไป...!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 764 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 12

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 12
    เล่าเรื่องซุนยัดเซน เสียยาว เพราะเขาเป็นตัวสำคัญ ในการโยงเรื่องของจีน กับเรื่องของญี่ปุ่น และเรื่องของเขา น่าจะทำให้เราเห็นชัดขึ้น เกี่ยวกับ การวางแผน และลงมือล่าเหยื่อของอังกฤษ และอเมริกา ที่วางแผนล่าข้ามศตวรรษเหมือนกัน และดูเหมือนตอนนี้ก็ยังล่าไม่ได้อย่างใจ เรื่องยังไม่จบ…
    ขณะที่ ซุนยัดเซ็น ยังวิ่งหาเงินเพื่อมาทำปฏิวัติอยู่ที่อเมริกา ในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ก็เกิดการระเบิดขึ้นที่เมืองหวูชาง มณทลหูไบ่ ทางการเตรียมกวาดล้างพวกก่อเหตุ เหตุการณ์ระเบิดจึงยกระดับ เป็นการลุกขึ้นของประชาชน แล้วก็กลายเป็นการปฏิวัติของประชาชน ฝ่ายทหารของมณทลย้ายข้าง มาอยู่กับพวกปฏิวัติด้วย หลังจากนั้น การปฏิวัติก็ลุกลามไปตามเมืองต่างๆ ซุนยัดเซ็นได้ข่าว จึงรีบเดินทางกลับมาจากอเมริกา
    ก็น่าสนใจว่า ปฏิวัติเริ่มโดยคนคิดทำปฏิวัตื ยังอยู่อีกฝั่งของโลก ตกลงใครทำปฏิวัติกันแน่
    หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ฝ่ายปฏิวัติก็ยึดครองจีนได้กว่าครึ่งประเทศ และ ราชวงศ์ชิงก็ล่มลง พวกปฏิวัติจึงพร้อมใจกันเลือกให้ ซุนยัดเซ็น เป็น ประธานาธิบดีคนแรก พร้อมกับการสถาปนา เป็นสาธารณรัฐจีน ในต้นปี ค.ศ.1912
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ได้ข่าวปฏิวัติจีน ก็โกรธจนคลั่ง บอกว่า อังกฤษจะไม่ทนกับการมีอเมริกา อีกแห่ง อยู่ในสนามหลังบ้าน ที่เอเซียอย่างเด็ดขาด เอะ พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ว่าแล้ว อังกฤษก็เรียกระดมกำลัง ทั้งพวกบนดิน ใต้ดิน และฝ่ายการเมืองมาวางแผนแก้เกม ซุนยัดเซ็น (หรือเกมอเมริกา?!) แล้วยวนชีไข่ Yuan Shi-kai ขุนนางใหญ่ ฝ่ายทหารของราชวงค์แมนจู จอมทะเยอทะยาน ที่อยากใหญ่เทียมฟ้ามานาน ก็ได้รับใบสั่งจากอังกฤษ ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ
    แม้พวกปฏิวัติ จะยึดทางใต้ได้หมด แต่ทางเหนือ และกองทหารทางนั้น ยังไม่ยอมเข้ากับพวกปฏิวัติ ซุนยัดเซ็นคงมองเห็นเงาอังกฤษยังค้างอยู่ จึงถอยกลับมาหนึ่งก้าว และยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้ ยวนชีไข่ คนใส่ปลอกคอยี่ห้ออังกฤษไปก่อน แล้วตัวเขาก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการรถไฟ เพื่อวางแผนสร้างทางรถไฟแทน เออ งง จริง หมากจีน นี่เล่นแปลก
    แล้วรายการขย่มขวัญก็เกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1913 ซ้ง เจียวเรน (Song Jiaoren) เพื่อนคู่คิดของซุนยัดเซ็น ตั้งแต่นั่งฝันเฟื่องด้วยกันที่ฮาวาย ถูกฆ่าตาย
    ซ้ง เจียวเรน เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ฮาวายที่ ซุน ฝากท้อง และปากเอาไว้ ทุกวัน ซุนจะไปนั่งกินข้าว (ฟรี) ที่ร้านของ ซ้ง และคุยให้ฟัง ถึงความฝันของเขา ที่จะไล่ฝรั่งออกไปให้พ้นจากจีน ซ้งฟังจนเคลิ้ม ในที่สุดก็ปิดร้านอาหาร และติดตามซุนไปทุกแห่ง และเป็น ซ้ง ที่เป็นคนคิดและจัดการตั้งสมาคม Teng Meng Hui และนำพรรคก๊กมินตั๋ง เข้าไปสู่การเลือกตั้ง จนได้ชัยชนะในปี ค.ศ.1912-1913
    การตายของ ซ้ง เจียวเรน ทำให้ ซุนยัดเซ็น ต้องหันกลับมาเดินหน้าใหม่ และถามหาผู้รับผิดชอบ แต่ยวนชีไข่ ไม่ให้ราคาซุนยัดเซ็น แรงกระเพื่อมจึงเกิดขึ้นมาใหม่จากฝ่ายปฏิวัติ
    ยวนชีไข่ แน่ใจว่า ตนเองมีแรงหนุนเต็มที่จากนายท่าน จึงสั่งจับซุนยัดเซ็น แล้วซุนยัดเซ็นก็เลยต้องเปิดแนบ หนีไปอยู่ญี่ปุ่นอีกรอบ ส่วน ยวนชีไข่ ก็ได้รางวัล นายท่านอนุญาตให้ตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี ซุนยัดเซ็นไม่กลับเข้ามาในจีนอีกเลย จนยวนสีไข่ ตายในปี ค.ศ.1916
    แม้ตัวจะไม่กลับเข้ามา แต่ ในปี ค.ศ.1915 จีนก็ได้รับหนังสือขู่จากญี่ปุ่น ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ ที่ตั้งญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่อง ไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม และเกี่ยวแบบไหน
    ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น ดูเหมือนรัศมี และอำนาจของซุนยัดเซ็นจะลดลงไปแยะ เมื่อเขาพยายามจะฟื้นพรรคปฏิวั ติ พรรคพวกเก่าๆ ก็ไม่กลับมา เมื่อ ยวนชีไข่ตาย ในปี ค.ศ.1916 ซุนยัดเซ็น จึงกลับเข้าในจีน ในปี ค.ศ.1917 เขาพยายามตั้งรัฐบาลแข่ง ที่กวางสู และเจียงไคเช็ค ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย แต่ก็ยังไปไม่รอด ซุนยัดเซ็น ก็ต้องหนีไปตั้งหลักที่ เซี่ยงไฮ้
    ซุนยัดเซ็น ยังไม่ถอดใจ ในปี ค.ศ.1919 เขาตั้ง ก๊กมินตั๋งจีนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อพรรคชาตินิยม Nationalist Party แต่ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ช่วงปี ค.ศ.1922 การต่อสู้ระหว่างเจ้าพ่อก๊กต่างๆ กลับเกิดขึ้นอย่างมากมาย รบกันไปทุกหัวระแหง และซุนยัดเซ็น ก็กลับไปตั้งหลัก ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาเห็นแล้วว่า ถ้าจะเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต…
    ปี ค.ศ.1923 ซุนยัดเซ็น จึงทำความตกลงกับโซเวียต และโซเวียต ก็ส่งที่ปรึกษา Mikail Boroden มาจัดระบบพรรคก๊กมินตั่ง หรือพรรคชาตินิยมให้ใหม่ ตั้งสถาบันทางการเมือง เพื่อให้ความรู้ และอบรม ด้านการระดมพล เคลื่อนพล และการโฆษณาชวนเชื่อ ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็น ก็ส่งเจียงไคเช็ค ไปโซเวียต เพื่อเข้าหลักสูตรการทหาร เมื่อเจียงไคเช็ค กลับมาถึงจีน ซุนยัดเซ็น ก็ให้ตั้งสถาบันการทหารวัมเปา Wampao Academy เพื่อให้การอบรมด้านการทหาร ให้แก่ทั้งก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ขณะเดียวกัน เจียงไคเช็ค ก็เริ่มสร้างอำนาจให้ตัวเอง
    หลังจากได้โซเวียตมาช่วยจัดระบบให้ และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เริ่มเข้ามาร่วมกับพรรคจีนก๊กมินตั๋ง แต่จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 พรรคต่างกันมาก ขณะที่ ก๊กมินตั๋งมีสมาชิกเป็นแสน พรรคคอมมิวนิสต์ มีแค่เป็นพัน (ในขณะนั้น)
    แล้วซุนยัดเซ็นก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1925 เจียงไคเช็ค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
    ตกลงซุนยัดเซ็น เป็นนักปฏิวัติ ที่มีอุดมการณ์น่านับถือ หรือเป็นเด็กสร้างของฝรั่ง หรือเขาเป็นเพียงหมาก ที่ฝรั่งใช้เดิน เพื่อผลประโชน์ของฝรั่งโดย เขาไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่คิดว่า เพื่อให้ถึงจุดหมายอุดมการณ์ของตัว ในขณะที่ปัจจัยยังไม่พร้อม ก็ต้องยอม หรือหลอก (ฝรั่ง) ไปพลางๆ ก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 12 เล่าเรื่องซุนยัดเซน เสียยาว เพราะเขาเป็นตัวสำคัญ ในการโยงเรื่องของจีน กับเรื่องของญี่ปุ่น และเรื่องของเขา น่าจะทำให้เราเห็นชัดขึ้น เกี่ยวกับ การวางแผน และลงมือล่าเหยื่อของอังกฤษ และอเมริกา ที่วางแผนล่าข้ามศตวรรษเหมือนกัน และดูเหมือนตอนนี้ก็ยังล่าไม่ได้อย่างใจ เรื่องยังไม่จบ… ขณะที่ ซุนยัดเซ็น ยังวิ่งหาเงินเพื่อมาทำปฏิวัติอยู่ที่อเมริกา ในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ.1911 ก็เกิดการระเบิดขึ้นที่เมืองหวูชาง มณทลหูไบ่ ทางการเตรียมกวาดล้างพวกก่อเหตุ เหตุการณ์ระเบิดจึงยกระดับ เป็นการลุกขึ้นของประชาชน แล้วก็กลายเป็นการปฏิวัติของประชาชน ฝ่ายทหารของมณทลย้ายข้าง มาอยู่กับพวกปฏิวัติด้วย หลังจากนั้น การปฏิวัติก็ลุกลามไปตามเมืองต่างๆ ซุนยัดเซ็นได้ข่าว จึงรีบเดินทางกลับมาจากอเมริกา ก็น่าสนใจว่า ปฏิวัติเริ่มโดยคนคิดทำปฏิวัตื ยังอยู่อีกฝั่งของโลก ตกลงใครทำปฏิวัติกันแน่ หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ฝ่ายปฏิวัติก็ยึดครองจีนได้กว่าครึ่งประเทศ และ ราชวงศ์ชิงก็ล่มลง พวกปฏิวัติจึงพร้อมใจกันเลือกให้ ซุนยัดเซ็น เป็น ประธานาธิบดีคนแรก พร้อมกับการสถาปนา เป็นสาธารณรัฐจีน ในต้นปี ค.ศ.1912 อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ได้ข่าวปฏิวัติจีน ก็โกรธจนคลั่ง บอกว่า อังกฤษจะไม่ทนกับการมีอเมริกา อีกแห่ง อยู่ในสนามหลังบ้าน ที่เอเซียอย่างเด็ดขาด เอะ พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ว่าแล้ว อังกฤษก็เรียกระดมกำลัง ทั้งพวกบนดิน ใต้ดิน และฝ่ายการเมืองมาวางแผนแก้เกม ซุนยัดเซ็น (หรือเกมอเมริกา?!) แล้วยวนชีไข่ Yuan Shi-kai ขุนนางใหญ่ ฝ่ายทหารของราชวงค์แมนจู จอมทะเยอทะยาน ที่อยากใหญ่เทียมฟ้ามานาน ก็ได้รับใบสั่งจากอังกฤษ ให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ แม้พวกปฏิวัติ จะยึดทางใต้ได้หมด แต่ทางเหนือ และกองทหารทางนั้น ยังไม่ยอมเข้ากับพวกปฏิวัติ ซุนยัดเซ็นคงมองเห็นเงาอังกฤษยังค้างอยู่ จึงถอยกลับมาหนึ่งก้าว และยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้ ยวนชีไข่ คนใส่ปลอกคอยี่ห้ออังกฤษไปก่อน แล้วตัวเขาก็ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการรถไฟ เพื่อวางแผนสร้างทางรถไฟแทน เออ งง จริง หมากจีน นี่เล่นแปลก แล้วรายการขย่มขวัญก็เกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1913 ซ้ง เจียวเรน (Song Jiaoren) เพื่อนคู่คิดของซุนยัดเซ็น ตั้งแต่นั่งฝันเฟื่องด้วยกันที่ฮาวาย ถูกฆ่าตาย ซ้ง เจียวเรน เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ฮาวายที่ ซุน ฝากท้อง และปากเอาไว้ ทุกวัน ซุนจะไปนั่งกินข้าว (ฟรี) ที่ร้านของ ซ้ง และคุยให้ฟัง ถึงความฝันของเขา ที่จะไล่ฝรั่งออกไปให้พ้นจากจีน ซ้งฟังจนเคลิ้ม ในที่สุดก็ปิดร้านอาหาร และติดตามซุนไปทุกแห่ง และเป็น ซ้ง ที่เป็นคนคิดและจัดการตั้งสมาคม Teng Meng Hui และนำพรรคก๊กมินตั๋ง เข้าไปสู่การเลือกตั้ง จนได้ชัยชนะในปี ค.ศ.1912-1913 การตายของ ซ้ง เจียวเรน ทำให้ ซุนยัดเซ็น ต้องหันกลับมาเดินหน้าใหม่ และถามหาผู้รับผิดชอบ แต่ยวนชีไข่ ไม่ให้ราคาซุนยัดเซ็น แรงกระเพื่อมจึงเกิดขึ้นมาใหม่จากฝ่ายปฏิวัติ ยวนชีไข่ แน่ใจว่า ตนเองมีแรงหนุนเต็มที่จากนายท่าน จึงสั่งจับซุนยัดเซ็น แล้วซุนยัดเซ็นก็เลยต้องเปิดแนบ หนีไปอยู่ญี่ปุ่นอีกรอบ ส่วน ยวนชีไข่ ก็ได้รางวัล นายท่านอนุญาตให้ตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี ซุนยัดเซ็นไม่กลับเข้ามาในจีนอีกเลย จนยวนสีไข่ ตายในปี ค.ศ.1916 แม้ตัวจะไม่กลับเข้ามา แต่ ในปี ค.ศ.1915 จีนก็ได้รับหนังสือขู่จากญี่ปุ่น ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ ที่ตั้งญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษาทุกเรื่อง ไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม และเกี่ยวแบบไหน ระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น ดูเหมือนรัศมี และอำนาจของซุนยัดเซ็นจะลดลงไปแยะ เมื่อเขาพยายามจะฟื้นพรรคปฏิวั ติ พรรคพวกเก่าๆ ก็ไม่กลับมา เมื่อ ยวนชีไข่ตาย ในปี ค.ศ.1916 ซุนยัดเซ็น จึงกลับเข้าในจีน ในปี ค.ศ.1917 เขาพยายามตั้งรัฐบาลแข่ง ที่กวางสู และเจียงไคเช็ค ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงด้วย แต่ก็ยังไปไม่รอด ซุนยัดเซ็น ก็ต้องหนีไปตั้งหลักที่ เซี่ยงไฮ้ ซุนยัดเซ็น ยังไม่ถอดใจ ในปี ค.ศ.1919 เขาตั้ง ก๊กมินตั๋งจีนขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อพรรคชาตินิยม Nationalist Party แต่ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ช่วงปี ค.ศ.1922 การต่อสู้ระหว่างเจ้าพ่อก๊กต่างๆ กลับเกิดขึ้นอย่างมากมาย รบกันไปทุกหัวระแหง และซุนยัดเซ็น ก็กลับไปตั้งหลัก ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ที่เซี่ยงไฮ้ เขาเห็นแล้วว่า ถ้าจะเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต… ปี ค.ศ.1923 ซุนยัดเซ็น จึงทำความตกลงกับโซเวียต และโซเวียต ก็ส่งที่ปรึกษา Mikail Boroden มาจัดระบบพรรคก๊กมินตั่ง หรือพรรคชาตินิยมให้ใหม่ ตั้งสถาบันทางการเมือง เพื่อให้ความรู้ และอบรม ด้านการระดมพล เคลื่อนพล และการโฆษณาชวนเชื่อ ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็น ก็ส่งเจียงไคเช็ค ไปโซเวียต เพื่อเข้าหลักสูตรการทหาร เมื่อเจียงไคเช็ค กลับมาถึงจีน ซุนยัดเซ็น ก็ให้ตั้งสถาบันการทหารวัมเปา Wampao Academy เพื่อให้การอบรมด้านการทหาร ให้แก่ทั้งก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์ ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ขณะเดียวกัน เจียงไคเช็ค ก็เริ่มสร้างอำนาจให้ตัวเอง หลังจากได้โซเวียตมาช่วยจัดระบบให้ และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เริ่มเข้ามาร่วมกับพรรคจีนก๊กมินตั๋ง แต่จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 พรรคต่างกันมาก ขณะที่ ก๊กมินตั๋งมีสมาชิกเป็นแสน พรรคคอมมิวนิสต์ มีแค่เป็นพัน (ในขณะนั้น) แล้วซุนยัดเซ็นก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในปี ค.ศ.1925 เจียงไคเช็ค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ตกลงซุนยัดเซ็น เป็นนักปฏิวัติ ที่มีอุดมการณ์น่านับถือ หรือเป็นเด็กสร้างของฝรั่ง หรือเขาเป็นเพียงหมาก ที่ฝรั่งใช้เดิน เพื่อผลประโชน์ของฝรั่งโดย เขาไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่คิดว่า เพื่อให้ถึงจุดหมายอุดมการณ์ของตัว ในขณะที่ปัจจัยยังไม่พร้อม ก็ต้องยอม หรือหลอก (ฝรั่ง) ไปพลางๆ ก่อน เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1132 มุมมอง 0 รีวิว
  • Namewee แร็ปเปอร์มาเลย์ฯ ถูกกล่าวหาคดียาเสพติด

    กลายเป็นข่าวดังในมาเลเซียและเอเชีย เมื่อ เนมวี (Namewee) หรือนายวี เหมิง จือ (Wee Meng Chee) แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักแสดงชาวมาเลเซียวัย 41 ปี ถูกตั้งข้อหาเสพและครอบครองยาเสพติด ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นิวสเตรทไทมส์ (NST) เปิดเผยว่า ดาโต๊ะ ฟาดิล มาร์ซุส ผู้บัญชาการตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์ ยืนยันว่าเจ้าตัวถูกจับกุมเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ต.ค. ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง จากการตรวจค้นพบยาเม็ด 9 เม็ด ซึ่งสงสัยว่าเป็นยาอี (Ecstasy) นอกจากนี้ ผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของนายวี พบสารแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน เคตามีน และ THC

    เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายวีถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดอันตราย ว่าด้วยการครอบครองและการเสพยาเสพติดของมาเลเซีย โดยมาตรา 39A(1) โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโบยไม่เกิน 9 ครั้ง หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด ส่วนมาตรา 15(1)(a) ว่าด้วยการเสพยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายวีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัว โดยมีผู้ค้ำประกันหนึ่งรายต่อหนึ่งข้อหา ศาลกำหนดวงเงินประกันตัวไว้ที่ 4,000 ริงกิตต่อข้อหา รวม 8,000 ริงกิต (ประมาณ 62,000 บาท) และนัดฟังการพิจารณาคดีในวันที่ 18 ธ.ค.

    ด้านเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยันว่าไม่ได้เสพและครอบครองยาเสพติด อย่างมากก็แค่ดื่มสุราบ่อยเท่านั้น รอให้รายงานของตำรวจออกมาก็จะรู้ความจริง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน ที่ยังไม่ตอบก่อนหน้านี้เพราะคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตนยังถูกแบล็กเมล์ พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงการเสียชีวิตของอินฟลูเอนเซอร์สาวแนวเซ็กซี่ Nurse Goddess (เทพธิดาพยาบาล) คือ น.ส.ไอริส เซียะ (Iris Hsieh) ชาวไต้หวันวัย 31 ปี ที่เสียชีวิตในโรงแรมเดียวกันนี้ ว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และตำหนิว่ารถพยาบาลมาช้าเกือบ 1 ชั่วโมงอีกด้วย

    สำหรับเนมวี เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองมัวร์ รัฐยะโฮร์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการสื่อสารมวลชน ที่มหาวิทยาลัยหมิงชวน ไต้หวัน มีชื่อเสียงในไทยจากเพลง Thai Love Song และ Thai Cha Cha ฟีเจอริ่งกับ บี้ เดอะสกา (นายกฤษณ์ บุญญะรัง) เผยแพร่เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาเคยมีข้อกล่าวหาเรื่องมิวสิควิดีโอเพลง Oh My God ถูกวิจารณ์ว่าดูหมิ่นความอ่อนไหวทางศาสนา และการออกเพลง Fragile ล้อเลียนชาตินิยมจีนและประเด็นทางการเมืองละเอียดอ่อน กลายเป็นเพลงต้องห้ามในจีน

    #Newskit
    Namewee แร็ปเปอร์มาเลย์ฯ ถูกกล่าวหาคดียาเสพติด กลายเป็นข่าวดังในมาเลเซียและเอเชีย เมื่อ เนมวี (Namewee) หรือนายวี เหมิง จือ (Wee Meng Chee) แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักแสดงชาวมาเลเซียวัย 41 ปี ถูกตั้งข้อหาเสพและครอบครองยาเสพติด ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นิวสเตรทไทมส์ (NST) เปิดเผยว่า ดาโต๊ะ ฟาดิล มาร์ซุส ผู้บัญชาการตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์ ยืนยันว่าเจ้าตัวถูกจับกุมเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ต.ค. ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง จากการตรวจค้นพบยาเม็ด 9 เม็ด ซึ่งสงสัยว่าเป็นยาอี (Ecstasy) นอกจากนี้ ผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของนายวี พบสารแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน เคตามีน และ THC เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายวีถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดอันตราย ว่าด้วยการครอบครองและการเสพยาเสพติดของมาเลเซีย โดยมาตรา 39A(1) โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโบยไม่เกิน 9 ครั้ง หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด ส่วนมาตรา 15(1)(a) ว่าด้วยการเสพยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายวีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัว โดยมีผู้ค้ำประกันหนึ่งรายต่อหนึ่งข้อหา ศาลกำหนดวงเงินประกันตัวไว้ที่ 4,000 ริงกิตต่อข้อหา รวม 8,000 ริงกิต (ประมาณ 62,000 บาท) และนัดฟังการพิจารณาคดีในวันที่ 18 ธ.ค. ด้านเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยันว่าไม่ได้เสพและครอบครองยาเสพติด อย่างมากก็แค่ดื่มสุราบ่อยเท่านั้น รอให้รายงานของตำรวจออกมาก็จะรู้ความจริง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน ที่ยังไม่ตอบก่อนหน้านี้เพราะคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตนยังถูกแบล็กเมล์ พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงการเสียชีวิตของอินฟลูเอนเซอร์สาวแนวเซ็กซี่ Nurse Goddess (เทพธิดาพยาบาล) คือ น.ส.ไอริส เซียะ (Iris Hsieh) ชาวไต้หวันวัย 31 ปี ที่เสียชีวิตในโรงแรมเดียวกันนี้ ว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และตำหนิว่ารถพยาบาลมาช้าเกือบ 1 ชั่วโมงอีกด้วย สำหรับเนมวี เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองมัวร์ รัฐยะโฮร์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการสื่อสารมวลชน ที่มหาวิทยาลัยหมิงชวน ไต้หวัน มีชื่อเสียงในไทยจากเพลง Thai Love Song และ Thai Cha Cha ฟีเจอริ่งกับ บี้ เดอะสกา (นายกฤษณ์ บุญญะรัง) เผยแพร่เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาเคยมีข้อกล่าวหาเรื่องมิวสิควิดีโอเพลง Oh My God ถูกวิจารณ์ว่าดูหมิ่นความอ่อนไหวทางศาสนา และการออกเพลง Fragile ล้อเลียนชาตินิยมจีนและประเด็นทางการเมืองละเอียดอ่อน กลายเป็นเพลงต้องห้ามในจีน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 717 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว
    พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม
    พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก
    พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น
    พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง
    พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว
    พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน
    พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา
    พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย
    พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน
    พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้
    พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า
    พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
    พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน
    พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง
    พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง
    พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
    พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ
    พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย
    พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก
    พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง
    พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้
    พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ
    พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย
    พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น

    มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    พ่อสู้เรื่องระบบน้ำชลประทาน ให้น้ำหมุนเวียนไปทั่ว พ่อสู้เรื่องเขื่อน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง ยามท่วม พ่อสู้เรื่องฝนเทียม ให้ชาวนา ชาวไร่ มีน้ำใช้ยามแล้งหนัก พ่อสู้เรื่องความยากจน กระจายรายได้ โครงการท้องถิ่น พ่อสู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง สอนช่วยตัวเอง พ่อสู้เรื่องความช่วยเหลือ อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว พ่อสู้เรื่องการเกษตร การใช้พื้นที่ การพัฒนายั่งยืน พ่อสู้เรื่องความเท่าเทียม แบ่งปัน และยกระดับการศึกษา พ่อสู้เรื่องการดนตรี ศิลปะ รากเหง้า อนุรักษ์ประเพณีไทย พ่อสู้เรื่องแนวคิด ปรัชญา สติ ปัญญา เหตุและผล สั่งสอน พ่อสู้เรื่องความประหยัด อดออมคุ้มค่า รีไซเคิล กลับมาใช้ พ่อสู้เรื่องป่าไม้ สัตว์ป่า สมดุลธรรมชาติ พันธุ์ไทย ปลูกป่า พ่อสู้เรื่องสินค้าไทย แปรรูป อาหาร ทะเล ผ้าไหม ผ้าฝ้าย พ่อสู้เรื่องความสามัคคี ปองครอง ยุติความขัดแย้งภายใน พ่อสู้เรื่องความเป็นชาตินิยม ภูมิใจความเป็นไทย ชื่อเสียง พ่อปกป้องแผ่นดินไทย การรุกรานจากต่างชาติ และมั่นคง พ่อเสียสละตนเอง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย พ่อเตือนสติ ให้ปัญญา พระบรมราโชวาททุกปี ตื่นคิด มีสติ พ่อแบ่งปันความรัก ความรู้ ไปยังเพื่อนบ้านรอบข้างด้วย พ่อสร้างมิตร เป็นที่รักชื่นชอบของทุกราชวงศ์ทั่วโลก พ่อไม่เคยโอ้อวดตนเอง และไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อแสดง พ่อทำนุบำรุงทุกศาสนาในชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พ่อเยี่ยมเยียนชาวบ้านทุกพื้นที่ทั้งแผ่นดิน ไปเยี่ยมเสมอ พ่อยึดถือทศพิษราชธรรมได้อย่างสมบูรณ์ จนวันสุดท้าย พ่อรู้ทุกอย่าง เข้าใจ เข้าถึง แก้ปัญหา พระบารมีเปี่ยมล้น มีอีกมากมายมหาศาล จนระลึกถึงน้ำพระคุณได้ไม่หมดสิ้น เป็นบุญของปวงชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่หัวใจหล่อมว๊ากที่สุดใน 3 โลก ไม่มีพ่อ ก็คงไม่มีวันนี้ ไม่มีบรรพกษัตริย์ไทย ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน "ราชวงศ์จักรี" จงเจริญยิ่งยืนนาน ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิกรเดชเผย ไทยขอบคุณสหรัฐฯ หวังเห็นสันติภาพชายแดน ขอมหาอำนาจช่วยผลักดัน 4 เงื่อนไขถึงกัมพูชา ถอนอาวุธหนัก-ปราบคอลเซ็นเตอร์-เก็บกู้ทุ่นระเบิด
    https://www.thai-tai.tv/news/21847/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ

    นิกรเดชเผย ไทยขอบคุณสหรัฐฯ หวังเห็นสันติภาพชายแดน ขอมหาอำนาจช่วยผลักดัน 4 เงื่อนไขถึงกัมพูชา ถอนอาวุธหนัก-ปราบคอลเซ็นเตอร์-เก็บกู้ทุ่นระเบิด https://www.thai-tai.tv/news/21847/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยร่วม “พลิกโฉม” ประเทศ สมัครสมาชิกพรรคในรูปแบบ One-stop service
    https://www.thai-tai.tv/news/21814/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ
    'พรรคไทยก้าวใหม่' ชวนคนไทยร่วม “พลิกโฉม” ประเทศ สมัครสมาชิกพรรคในรูปแบบ One-stop service https://www.thai-tai.tv/news/21814/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #ดรเอ้ #สุชัชวีร์ #การศึกษาฟรี #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #ปฏิรูประบบราชการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว

  • บทบาทของ UN ในการปลดปล่อยอาณานิคม
    การสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเอง: UN ยึดมั่นในหลักการของการตัดสินใจด้วยตนเองของประชาชน (self-determination) และสนับสนุนการให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม.
    การส่งเสริมการเจรจา: UN ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการเจรจาและการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลอาณานิคมและขบวนการชาตินิยมเพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยอาณานิคม.
    การประณามการปกครองของต่างชาติ: UN และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประณามการใช้กำลังและการกดขี่ที่เกิดขึ้นในดินแดนอาณานิคม และเรียกร้องให้ยุติการปกครองของต่างชาติ.
    การช่วยเหลือทางการเมือง: UN ให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่ประเทศที่ได้รับเอกราช และช่วยในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคหลังการปลดปล่อยอาณานิคม.


    กระทรวงการต่างประเทศไทยเราต้องเดินเรื่องหรือเรียกร้องหรือฟ้องดำเนินคดีกับประเทศฝรั่งเศสกับUNgaนี้ทันที,ด้วยที่ฝรั่งเศสมาปล้นอธิปไตยไทยแล้ว ปลดปล่อยอาณานิคมคืนผิดประเทศซึ่งจริงๆต้องปลดปล่อยอาณานิคมคืนแก่ประเทศไทยจึงจะถูกต้อง,ไทยมิได้ทำสนธิสัญญากับพวกไม่มีตัวตนใดๆในสมัยนั้นคือเขมรแต่เราทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสต้องจบเรื่องนี้กับไทยโดยตรง,คืนดินแดนเราผ่านUNgaทันทีตามเงื่อนไขที่ชาติล่าอาญานิคมต้องคืนหลังสิ้นสุดยุคล่าอาญานิคมตามเงื่อนไขUNการปลดปล่อยอาณานิคมต้องคืนดินแดนให้ชาติเจ้าของเดิมนั้น,ทั้งฝรั่งเศสปล้นดินแดนไทยชัดเจนด้วย, รับเงินของไทยไปแล้ว หรือค่าการซื้อแผ่นดินคืนไปแล้ว,มีพยานหลักฐานชัดเจน.
    ..ด้วยความสามรถทางการฑูตเราในปัจจุบันสามารถเชิญฑูตฝรั่งเศสมาเจรจาก่อน,ถ้าฝรั่งเศสปฏิเสธก็เชิญฑูตฝรั่งเศสและกิจการฝรั่งเศสทั้งหมดในไทย รวมไม่ว่าจะเป็นกิจการใดๆของฝรั่งเศส ทุนฝรั่งเศสทั้งหมดรวมถึงนอนินีฝรั่งเศสตลอดบริษัทแม่ลูกในเครือฝรั่งเศสทั้งหมดเชิญออกจากราชอาณาจักรไทยก่อนทันที,บวกรณรงค์คนไทยเราร่วมแบนฝรั่งเศสด้วย,จนกว่าเรื่องดินแดนไทยกับเขมรที่ได้ดินแดนผิดไปคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และมลฑลบูรพาเราทั้งหมดที่ฝรั่งปล้นไปด้วยปืนที่ว่าเหนือกว่าไทยในสมัยนั้นคืนมาทั้งหมดก่อนหรือเบื้องต้นคือสันปันน้ำเขตแดนทั้ง73เสาหลักปักเขตแดนที่ไทยกับฝรั่งเศสทำไว้1:1นี้ยุติลงโดยสมบูรณ์หรือเขมรคืนดินแดนไทยที่ว่ามาทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสชาติปกครองเขมรในสมัยนั้นแล้วฝรั่งเศสต้องนำมาคืนไทยบนเวทีUNสากลโลกอย่างเป็นทางการทันทีด้วย เรื่องทั้งหมดจึงจะจบลงอย่างสมบูรณ์ที่ฝรั่งเศสเองนี้ก่อเรื่องเองไว้แต่ต้นเรื่อง เป็นต้นเหตุของเรื่องของทุกๆปัญหาทั้งหมดที่ไทยมีกับเขมรในปัจจุบัน,ปัญหาไทยกับเขมรจะยุติลงที่ต้นเหตุทันที.
    ..รัฐบาลอนุทิน4เดือนแต่ทำงานเหมือน4ปีจะได้ใจคนไทยทันที นายกฯสมัยต่อไปหรือสมัยหน้าได้เป็นอีกแน่นอน.

    ..รัฐบาลอนุทินต้องสั่งการคนของตนคือ กต.ไปฟ้องดำเนินคดีกับประเทศฝรั่งเศสทันทีที่UNผ่านช่องทางUNเพราะเมื่อฝรั่งเศสผิดหลักการ กระทำการผิดเงื่อนไขการปฏิบัติที่ถูกต้องของUN,ไม่ทำตามกฎหมายกฎระเบียบสากลโลกที่UNกำหนดแต่มีนัยยะบ่อนทำลายความสงบสุขในภูมิภาคอาเชียน ส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับเขมร,สนับสนุนเขมรให้เป็นแหล่งก่ออาชญากรรมสงครามบนภูมิภาคอาเชียนและส่วนหนึ่งของเอเชียด้วย,จีน รัสเชีย อินเดีย ชาติเอเชียนและอาเชียนทั้งหมดสามารถกดดันฝรั่งเศสและUNให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้จาก ทำสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตไปแล้ว,ให้ไทยคือเคสกรณีศึกษาแรกของโลกด้วยเพื่อให้ชาติล่าอาณานิคมในอดีตมีจิตสำนึกทำสิ่งที่ต้องทำ ทำให้ถูกต้อง.

    https://youtube.com/shorts/08SI9Mj299c?si=VWXR9Ec619rbBOl2
    บทบาทของ UN ในการปลดปล่อยอาณานิคม การสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเอง: UN ยึดมั่นในหลักการของการตัดสินใจด้วยตนเองของประชาชน (self-determination) และสนับสนุนการให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม. การส่งเสริมการเจรจา: UN ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการเจรจาและการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลอาณานิคมและขบวนการชาตินิยมเพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยอาณานิคม. การประณามการปกครองของต่างชาติ: UN และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประณามการใช้กำลังและการกดขี่ที่เกิดขึ้นในดินแดนอาณานิคม และเรียกร้องให้ยุติการปกครองของต่างชาติ. การช่วยเหลือทางการเมือง: UN ให้การสนับสนุนทางการเมืองแก่ประเทศที่ได้รับเอกราช และช่วยในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคหลังการปลดปล่อยอาณานิคม. กระทรวงการต่างประเทศไทยเราต้องเดินเรื่องหรือเรียกร้องหรือฟ้องดำเนินคดีกับประเทศฝรั่งเศสกับUNgaนี้ทันที,ด้วยที่ฝรั่งเศสมาปล้นอธิปไตยไทยแล้ว ปลดปล่อยอาณานิคมคืนผิดประเทศซึ่งจริงๆต้องปลดปล่อยอาณานิคมคืนแก่ประเทศไทยจึงจะถูกต้อง,ไทยมิได้ทำสนธิสัญญากับพวกไม่มีตัวตนใดๆในสมัยนั้นคือเขมรแต่เราทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสต้องจบเรื่องนี้กับไทยโดยตรง,คืนดินแดนเราผ่านUNgaทันทีตามเงื่อนไขที่ชาติล่าอาญานิคมต้องคืนหลังสิ้นสุดยุคล่าอาญานิคมตามเงื่อนไขUNการปลดปล่อยอาณานิคมต้องคืนดินแดนให้ชาติเจ้าของเดิมนั้น,ทั้งฝรั่งเศสปล้นดินแดนไทยชัดเจนด้วย, รับเงินของไทยไปแล้ว หรือค่าการซื้อแผ่นดินคืนไปแล้ว,มีพยานหลักฐานชัดเจน. ..ด้วยความสามรถทางการฑูตเราในปัจจุบันสามารถเชิญฑูตฝรั่งเศสมาเจรจาก่อน,ถ้าฝรั่งเศสปฏิเสธก็เชิญฑูตฝรั่งเศสและกิจการฝรั่งเศสทั้งหมดในไทย รวมไม่ว่าจะเป็นกิจการใดๆของฝรั่งเศส ทุนฝรั่งเศสทั้งหมดรวมถึงนอนินีฝรั่งเศสตลอดบริษัทแม่ลูกในเครือฝรั่งเศสทั้งหมดเชิญออกจากราชอาณาจักรไทยก่อนทันที,บวกรณรงค์คนไทยเราร่วมแบนฝรั่งเศสด้วย,จนกว่าเรื่องดินแดนไทยกับเขมรที่ได้ดินแดนผิดไปคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และมลฑลบูรพาเราทั้งหมดที่ฝรั่งปล้นไปด้วยปืนที่ว่าเหนือกว่าไทยในสมัยนั้นคืนมาทั้งหมดก่อนหรือเบื้องต้นคือสันปันน้ำเขตแดนทั้ง73เสาหลักปักเขตแดนที่ไทยกับฝรั่งเศสทำไว้1:1นี้ยุติลงโดยสมบูรณ์หรือเขมรคืนดินแดนไทยที่ว่ามาทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศสชาติปกครองเขมรในสมัยนั้นแล้วฝรั่งเศสต้องนำมาคืนไทยบนเวทีUNสากลโลกอย่างเป็นทางการทันทีด้วย เรื่องทั้งหมดจึงจะจบลงอย่างสมบูรณ์ที่ฝรั่งเศสเองนี้ก่อเรื่องเองไว้แต่ต้นเรื่อง เป็นต้นเหตุของเรื่องของทุกๆปัญหาทั้งหมดที่ไทยมีกับเขมรในปัจจุบัน,ปัญหาไทยกับเขมรจะยุติลงที่ต้นเหตุทันที. ..รัฐบาลอนุทิน4เดือนแต่ทำงานเหมือน4ปีจะได้ใจคนไทยทันที นายกฯสมัยต่อไปหรือสมัยหน้าได้เป็นอีกแน่นอน. ..รัฐบาลอนุทินต้องสั่งการคนของตนคือ กต.ไปฟ้องดำเนินคดีกับประเทศฝรั่งเศสทันทีที่UNผ่านช่องทางUNเพราะเมื่อฝรั่งเศสผิดหลักการ กระทำการผิดเงื่อนไขการปฏิบัติที่ถูกต้องของUN,ไม่ทำตามกฎหมายกฎระเบียบสากลโลกที่UNกำหนดแต่มีนัยยะบ่อนทำลายความสงบสุขในภูมิภาคอาเชียน ส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับเขมร,สนับสนุนเขมรให้เป็นแหล่งก่ออาชญากรรมสงครามบนภูมิภาคอาเชียนและส่วนหนึ่งของเอเชียด้วย,จีน รัสเชีย อินเดีย ชาติเอเชียนและอาเชียนทั้งหมดสามารถกดดันฝรั่งเศสและUNให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้จาก ทำสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตไปแล้ว,ให้ไทยคือเคสกรณีศึกษาแรกของโลกด้วยเพื่อให้ชาติล่าอาณานิคมในอดีตมีจิตสำนึกทำสิ่งที่ต้องทำ ทำให้ถูกต้อง. https://youtube.com/shorts/08SI9Mj299c?si=VWXR9Ec619rbBOl2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ไทยก้าวใหม่' ตั้งเป้าปราบโกง ใช้ AI สร้างราชการโปร่งใส ปลูกฝังค่านิยมซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็ก มุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งอย่างยั่งยืน
    https://www.thai-tai.tv/news/21746/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ธนู4ดอก #การศึกษาคือทางรอด #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #AIปราบโกง #อาชีวะอินเตอร์ #ลดเหลื่อมล้ำ
    'ไทยก้าวใหม่' ตั้งเป้าปราบโกง ใช้ AI สร้างราชการโปร่งใส ปลูกฝังค่านิยมซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็ก มุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งอย่างยั่งยืน https://www.thai-tai.tv/news/21746/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ธนู4ดอก #การศึกษาคือทางรอด #เศรษฐกิจชาตินิยมใหม่ #AIปราบโกง #อาชีวะอินเตอร์ #ลดเหลื่อมล้ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง! เมื่อหญิงสาวชาวกัมพูชาคนหนึ่งออกมาโพสต์ความไม่พอใจ หลังซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ Mee Chiet ที่ผลิตในประเทศ แต่กลับพบว่าด้านในบรรจุเป็น “มาม่ารสหมูสับ” ของไทย เธอจึงเรียกร้องให้บริษัทออกมาชี้แจง โดยระบุว่าตั้งใจสนับสนุนสินค้าของชาติด้วยอุดมการณ์ชาตินิยม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090955

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง! เมื่อหญิงสาวชาวกัมพูชาคนหนึ่งออกมาโพสต์ความไม่พอใจ หลังซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ Mee Chiet ที่ผลิตในประเทศ แต่กลับพบว่าด้านในบรรจุเป็น “มาม่ารสหมูสับ” ของไทย เธอจึงเรียกร้องให้บริษัทออกมาชี้แจง โดยระบุว่าตั้งใจสนับสนุนสินค้าของชาติด้วยอุดมการณ์ชาตินิยม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090955 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘เพจดัง’ เห็นใจเขมร ซัดสื่อไทยทำข่าวปลุกปั่นครอบงำความคิด สร้างความเกลียดชังดูถูกคนกัมพูชา ยกย่อง 'ทหารไทย' เกินจริงกระตุ้นชาตินิยม
    https://www.thai-tai.tv/news/21567/
    .
    #ไทยไท #ตุ๊ดส์review #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ชายแดนไทยกัมพูชา #รู้เท่าทันสื่อ
    ‘เพจดัง’ เห็นใจเขมร ซัดสื่อไทยทำข่าวปลุกปั่นครอบงำความคิด สร้างความเกลียดชังดูถูกคนกัมพูชา ยกย่อง 'ทหารไทย' เกินจริงกระตุ้นชาตินิยม https://www.thai-tai.tv/news/21567/ . #ไทยไท #ตุ๊ดส์review #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ชายแดนไทยกัมพูชา #รู้เท่าทันสื่อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • หยุดก่อน “อรรถจักร-พวงทอง” ชาตินิยมต่างหากที่จะนำไทยไปรอด

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000089744
    หยุดก่อน “อรรถจักร-พวงทอง” ชาตินิยมต่างหากที่จะนำไทยไปรอด บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000089744
    MGRONLINE.COM
    หยุดก่อน“อรรถจักร-พวงทอง” ชาตินิยมต่างหากที่จะนำไทยไปรอด
    หยุดก่อน“อรรถจักร-พวงทอง” ชาตินิยมต่างหากที่จะนำไทยไปรอด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคมโบเดีย โคล่า น้ำอัดลมชาตินิยมเศรษฐีเขมร

    กระแสความไม่พอใจของชาวกัมพูชา หลังโคคา-โคล่า กัมพูชา ลบรูปแวนด้า (Vann Da) หรือ วัณณ์ฎา มาน (Vannda Mann) นักร้องเพลงแร็ปชาวเขมร ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มโคคา-โคล่าออกจากสื่อโฆษณา แม้นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะออกมาปรามว่าโคคา-โคล่า เป็นแบรนด์จากสหรัฐฯ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายในกัมพูชา ผลิตโดยแรงงานชาวกัมพูชา สร้างรายได้และเงินภาษีให้กับรัฐบาล หากโคคา-โคล่าถอนตัวออกจากกัมพูชา ประเทศจะเสียหาย ถึงกระนั้น ยังมีภาคธุรกิจชาวกัมพูชาอย่างชิปมงกรุ๊ป (Chip Mong Group) สบโอกาสเปิดตัวน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ แคมโบเดีย โคล่า (Cambodia Cola)

    แคมโบเดีย โคล่า ผลิตโดยบริษัทขแมร์เบเวอเรจ (Khmer Beverages) ในเครือชิปมงกรุ๊ป ในสโลแกน "เติมความซ่ากับรสชาติแห่งความสุข" (Fizz Up the Flavor of Joy) ปัดฝุ่นเพจเฟซบุ๊ก Vikingz ของเครื่องดื่มชูกำลังที่หยุดจำหน่ายไปแล้ว และมีผู้ติดตามเพจราว 4 หมื่นรายมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมเผยแพร่วิดีโอคลิปโฆษณาเชิงซีเอสอาร์ ชูความเป็นผลิตภัณฑ์เขมร ผลิตในโรงงานเขมร ของผู้ประกอบการเขมร 100% เชิญชวนมาอุดหนุนสินค้าเขมรด้วยกัน และกิจกรรมเยี่ยมครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมมอบเงินแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 20 ล้านเรียล และทหารที่บาดเจ็บ 2 ล้านเรียล

    อย่างไรก็ตาม แคมโบเดีย โคล่า ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเครื่องดื่ม เพราะขแมร์เบเวอเรจ เป็นผู้ผลิตเบียร์แคมโบเดีย (Cambodia Beer) และน้ำดื่มตราแคมโบเดียวอเตอร์ (Cambodia Water) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 7 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ผลิตน้ำอัดลมทั้งน้ำดำและน้ำสียี่ห้อไอซ์ (IZE) เครื่องดื่มชูกำลังตราเวิร์คซ์ (WURKZ) วางจำหน่ายในปี 2560 แม้จะออกผลิตภัณฑ์ซ้ำซ้อนกันแต่เป็นไปได้ว่าเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เน้นไปที่กระแสชาตินิยมสู้ศึกต่างชาติอย่างโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่

    สำหรับชิปมง กรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทในประเทศกัมพูชารายใหญ่ที่สุด ก่อตั้งโดยมาดามเพี๊ยบ เฮียก (Pheap Heak) เมื่อปี 2525 เริ่มจากนำเข้าเหล็ก ก่อนจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์กระป๋อง อาหารสัตว์ ค้าปลีก ศูนย์การค้า โรงแรมหรูอย่างไฮแอท รีเจนซี่ พนมเปญ และแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท พนมเปญ สนามกอล์ฟแกรนด์ รอยัล กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ธนาคารชิปมง มีบริษัทร่วมทุนกับประเทศไทย เช่น ชิปมงอินทรี ผลิตปูนซีเมนต์ในจังหวัดกำปอด ร่วมกับ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง และชิปมงฤทธา ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทฤทธา

    #Newskit
    แคมโบเดีย โคล่า น้ำอัดลมชาตินิยมเศรษฐีเขมร กระแสความไม่พอใจของชาวกัมพูชา หลังโคคา-โคล่า กัมพูชา ลบรูปแวนด้า (Vann Da) หรือ วัณณ์ฎา มาน (Vannda Mann) นักร้องเพลงแร็ปชาวเขมร ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มโคคา-โคล่าออกจากสื่อโฆษณา แม้นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จะออกมาปรามว่าโคคา-โคล่า เป็นแบรนด์จากสหรัฐฯ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายในกัมพูชา ผลิตโดยแรงงานชาวกัมพูชา สร้างรายได้และเงินภาษีให้กับรัฐบาล หากโคคา-โคล่าถอนตัวออกจากกัมพูชา ประเทศจะเสียหาย ถึงกระนั้น ยังมีภาคธุรกิจชาวกัมพูชาอย่างชิปมงกรุ๊ป (Chip Mong Group) สบโอกาสเปิดตัวน้ำอัดลมแบรนด์ใหม่ แคมโบเดีย โคล่า (Cambodia Cola) แคมโบเดีย โคล่า ผลิตโดยบริษัทขแมร์เบเวอเรจ (Khmer Beverages) ในเครือชิปมงกรุ๊ป ในสโลแกน "เติมความซ่ากับรสชาติแห่งความสุข" (Fizz Up the Flavor of Joy) ปัดฝุ่นเพจเฟซบุ๊ก Vikingz ของเครื่องดื่มชูกำลังที่หยุดจำหน่ายไปแล้ว และมีผู้ติดตามเพจราว 4 หมื่นรายมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมเผยแพร่วิดีโอคลิปโฆษณาเชิงซีเอสอาร์ ชูความเป็นผลิตภัณฑ์เขมร ผลิตในโรงงานเขมร ของผู้ประกอบการเขมร 100% เชิญชวนมาอุดหนุนสินค้าเขมรด้วยกัน และกิจกรรมเยี่ยมครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมมอบเงินแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 20 ล้านเรียล และทหารที่บาดเจ็บ 2 ล้านเรียล อย่างไรก็ตาม แคมโบเดีย โคล่า ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเครื่องดื่ม เพราะขแมร์เบเวอเรจ เป็นผู้ผลิตเบียร์แคมโบเดีย (Cambodia Beer) และน้ำดื่มตราแคมโบเดียวอเตอร์ (Cambodia Water) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 7 ล้านเฮกโตลิตรต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ผลิตน้ำอัดลมทั้งน้ำดำและน้ำสียี่ห้อไอซ์ (IZE) เครื่องดื่มชูกำลังตราเวิร์คซ์ (WURKZ) วางจำหน่ายในปี 2560 แม้จะออกผลิตภัณฑ์ซ้ำซ้อนกันแต่เป็นไปได้ว่าเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เน้นไปที่กระแสชาตินิยมสู้ศึกต่างชาติอย่างโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ สำหรับชิปมง กรุ๊ป เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทในประเทศกัมพูชารายใหญ่ที่สุด ก่อตั้งโดยมาดามเพี๊ยบ เฮียก (Pheap Heak) เมื่อปี 2525 เริ่มจากนำเข้าเหล็ก ก่อนจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์กระป๋อง อาหารสัตว์ ค้าปลีก ศูนย์การค้า โรงแรมหรูอย่างไฮแอท รีเจนซี่ พนมเปญ และแฟร์ฟิลด์ บาย แมริออท พนมเปญ สนามกอล์ฟแกรนด์ รอยัล กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ธนาคารชิปมง มีบริษัทร่วมทุนกับประเทศไทย เช่น ชิปมงอินทรี ผลิตปูนซีเมนต์ในจังหวัดกำปอด ร่วมกับ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง และชิปมงฤทธา ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทฤทธา #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 954 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย

    กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

    ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า

    นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

    ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่?

    #Newskit
    ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 764 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 15
    ทบทวนสันดานจิ๊กโก๋๋กันหน่อย สันดานจิ๊กโก๋๋รุ่นใหม่ คือต้องการคุมไปให้สุดซอย (สำนวนใครนะ คุ้นจัง)
    คุมมันให้อยู่หมัด จึงมีคำว่า “ระเบียบโลก” โผล่ขึ้นมา
    ระเบียบโลก หรือทฤษฏี New World Order คืออะไร มีนักวิชาการ เขียนกันยาวเหยียด หลายแบบ หลายคำแปล
    แต่สรุปสั้นๆ New World Order คือ ทฤษฏีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ที่พยายามจะให้โลกนี้มีระบบเดียวคือ ระบบทุนนิยม และมีรัฐบาลเดียว หรือมีผู้มีอำนาจควบคุมอยู่กลุ่มเดียว สั้นๆ แบบนี้ แต่ความหมายมันกว้างและลึก
    ท่านที่ตามอ่านนิทานมาถึงตอนนี้ คงพอนึกออก
    คุมให้สุดซอย หมายความว่า ต้องไม่มีอะไรมาปิดกั้น แม้แต่พรมแดน และกฎกติกา ต้องออกแบบมา เพื่อรองรับให้ทุนนิยม ขยายได้อย่างไม่มีขอบเขต ขจัดอุปสรรคทั้งปวง พูดง่ายๆ เหมือนกำหนดให้ตลอดซอยเป็นวันเวย์ วิ่งทางเดียว รถสวนไม่ได้ จอดไม่ได้ ไม่มีไม้กั้น ไม่มีกรวยวาง ไม่มีแม่ค้ามาขายของข้างถนน ถ้ามีต้องขายเฉพาะ สินค้าที่จิ๊กโก๋๋ผลิต หรือได้ค่าหัวคิวเท่านั้น ที่สำคัญ ใครอย่าสะเออะมาเป็นจราจรเด็ดขาด
    ถ้ามีของแท้ต้องติดตรา UN เท่านั้น เพราะจิ๊กโก๋๋ คุมจราจรอีกต่อ ฮา
    ทุนนิยมไม่ต้องการชาตินิยม ทุนนิยมไม่สนใจความเป็นชาติ ไม่ต้องการขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ต้อง การประมุขรัฐที่เข้มแข็ง
    ทุนนิยมเห็นว่า การเป็นชาตินิยม การภักดีต่อประเทศตนเอง ต่างๆเหล่านี้ จะสร้างให้เกิดความหวงแหน และความสามัคคี (ทำให้ขโมยยาก ฮา)
    เอ๊ะ นี่ผมกำลังเขียนเรื่องจิ๊กโก๋๋ปากซอยหัวทองตาฟ้านะคร้าบ แหม แต่สันดานมันคล้ายกับใครคนหนึ่งจังเลยนะ
    ก็มันเรื่องทุน เหมือนกันนี่นะ ทุนนิยม ทุนนิยมเสรี ทุนสามานย์
    มันก็เรื่องเดียวกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่า จะเรียกชื่ออย่างไร
    ปี ค.ศ.1990 วันที่ 1 ตุลาคม ประธานาธิบดีจอร์จ บุช (George Bush) คนพ่อ เสนอนโยบายจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ในที่ประชุมสหประชาชาติ ซึ่งทำให้เห็นธาตุแท้ของนักล่าอาณานิคม หรือ จิ๊กโก๋๋ปากซอย อย่างชัดเจนที่สุด และนโยบายนี้ก็ใช้มาตลอดในทุกรัฐบาลจิ๊กโก๋๋ ไม่ว่าจะเป็นพรรค
    เสรีนิยม(Liberal) หรือประชาธิปัตย์ (Democrat)
    แล้วงั้นใครล่ะที่คุมทั้ง จิ๊กโก๋๋น้ำเงิน จิ๊กโก๋๋แดง
    ก็เหล่าบรรษัทข้ามชาติ ที่มีทุน สร้างทุน อาศัยทุน เป็นตัวนำ ไงล่ะ
    เมื่อทุนหนาก็กำหนดกติกา เพื่อให้ทุนเดินไปทางไหนก็ได้ ผ่านประเทศไหน ผ่านรัฐบาลไหน ผ่านองค์ กรไหน หรือผ่านบุคคลใดก็ได้ ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อให้แน่ใจว่า ทรัพยากร ดินแดน แรงงาน ตลาดทุน ตลาดโลก ฯลฯ ได้อยู่ในการครอบครอง หรืออยู่ในอำนาจควบคุม ของพวกเขาทั้งหมด หรือเกือบหมด
    จำได้ไหม คาถา ของคนเล่านิทาน
    ทุน คือ อำนาจ และ อำนาจ คือ ทุน
    คาถานี้ ใช้ได้ทุกแห่ง ทุกสมัย โปรดจำไว้

    คนเล่านิทาน
    ตอน 15 ทบทวนสันดานจิ๊กโก๋๋กันหน่อย สันดานจิ๊กโก๋๋รุ่นใหม่ คือต้องการคุมไปให้สุดซอย (สำนวนใครนะ คุ้นจัง) คุมมันให้อยู่หมัด จึงมีคำว่า “ระเบียบโลก” โผล่ขึ้นมา ระเบียบโลก หรือทฤษฏี New World Order คืออะไร มีนักวิชาการ เขียนกันยาวเหยียด หลายแบบ หลายคำแปล แต่สรุปสั้นๆ New World Order คือ ทฤษฏีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ที่พยายามจะให้โลกนี้มีระบบเดียวคือ ระบบทุนนิยม และมีรัฐบาลเดียว หรือมีผู้มีอำนาจควบคุมอยู่กลุ่มเดียว สั้นๆ แบบนี้ แต่ความหมายมันกว้างและลึก ท่านที่ตามอ่านนิทานมาถึงตอนนี้ คงพอนึกออก คุมให้สุดซอย หมายความว่า ต้องไม่มีอะไรมาปิดกั้น แม้แต่พรมแดน และกฎกติกา ต้องออกแบบมา เพื่อรองรับให้ทุนนิยม ขยายได้อย่างไม่มีขอบเขต ขจัดอุปสรรคทั้งปวง พูดง่ายๆ เหมือนกำหนดให้ตลอดซอยเป็นวันเวย์ วิ่งทางเดียว รถสวนไม่ได้ จอดไม่ได้ ไม่มีไม้กั้น ไม่มีกรวยวาง ไม่มีแม่ค้ามาขายของข้างถนน ถ้ามีต้องขายเฉพาะ สินค้าที่จิ๊กโก๋๋ผลิต หรือได้ค่าหัวคิวเท่านั้น ที่สำคัญ ใครอย่าสะเออะมาเป็นจราจรเด็ดขาด ถ้ามีของแท้ต้องติดตรา UN เท่านั้น เพราะจิ๊กโก๋๋ คุมจราจรอีกต่อ ฮา ทุนนิยมไม่ต้องการชาตินิยม ทุนนิยมไม่สนใจความเป็นชาติ ไม่ต้องการขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ต้อง การประมุขรัฐที่เข้มแข็ง ทุนนิยมเห็นว่า การเป็นชาตินิยม การภักดีต่อประเทศตนเอง ต่างๆเหล่านี้ จะสร้างให้เกิดความหวงแหน และความสามัคคี (ทำให้ขโมยยาก ฮา) เอ๊ะ นี่ผมกำลังเขียนเรื่องจิ๊กโก๋๋ปากซอยหัวทองตาฟ้านะคร้าบ แหม แต่สันดานมันคล้ายกับใครคนหนึ่งจังเลยนะ ก็มันเรื่องทุน เหมือนกันนี่นะ ทุนนิยม ทุนนิยมเสรี ทุนสามานย์ มันก็เรื่องเดียวกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่า จะเรียกชื่ออย่างไร ปี ค.ศ.1990 วันที่ 1 ตุลาคม ประธานาธิบดีจอร์จ บุช (George Bush) คนพ่อ เสนอนโยบายจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ในที่ประชุมสหประชาชาติ ซึ่งทำให้เห็นธาตุแท้ของนักล่าอาณานิคม หรือ จิ๊กโก๋๋ปากซอย อย่างชัดเจนที่สุด และนโยบายนี้ก็ใช้มาตลอดในทุกรัฐบาลจิ๊กโก๋๋ ไม่ว่าจะเป็นพรรค เสรีนิยม(Liberal) หรือประชาธิปัตย์ (Democrat) แล้วงั้นใครล่ะที่คุมทั้ง จิ๊กโก๋๋น้ำเงิน จิ๊กโก๋๋แดง ก็เหล่าบรรษัทข้ามชาติ ที่มีทุน สร้างทุน อาศัยทุน เป็นตัวนำ ไงล่ะ เมื่อทุนหนาก็กำหนดกติกา เพื่อให้ทุนเดินไปทางไหนก็ได้ ผ่านประเทศไหน ผ่านรัฐบาลไหน ผ่านองค์ กรไหน หรือผ่านบุคคลใดก็ได้ ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อให้แน่ใจว่า ทรัพยากร ดินแดน แรงงาน ตลาดทุน ตลาดโลก ฯลฯ ได้อยู่ในการครอบครอง หรืออยู่ในอำนาจควบคุม ของพวกเขาทั้งหมด หรือเกือบหมด จำได้ไหม คาถา ของคนเล่านิทาน ทุน คือ อำนาจ และ อำนาจ คือ ทุน คาถานี้ ใช้ได้ทุกแห่ง ทุกสมัย โปรดจำไว้ คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 627 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 6
    ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด
    จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊
    แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่)
    พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ
    จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ
    เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ
    มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง)
    ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา…
    จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย
    เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ
    ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ
    (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555)
    สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย
    พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง
    แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น
    แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ)
    นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา)
    ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง
    มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร
    จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส
    น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน
    จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ!
    นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง
    รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย
    พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน
    คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย
    อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร
    อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น
    อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย
    วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก
    ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ
    พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้
    อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก
    แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน
    แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5
    ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน
    แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน
    เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้
    ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม
    พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ
    คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว
    ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก)
    รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ
    ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว
    รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม!
    19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย
    20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ
    CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ
    Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง)


    คนเล่านิทาน
    ตอน 6 ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊ แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่) พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง) ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา… จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555) สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ) นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา) ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ! นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้ อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5 ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้ ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก) รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม! 19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย 20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง) คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 980 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต'

    3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่

    1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ

    2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก

    3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน

    ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

    ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป

    แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง

    อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น

    #Newskit
    เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต' 3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ 1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ 2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก 3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1006 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาเซียนการละคร หยุดยิงหลังเที่ยงคืน

    เคยมีคำกล่าวว่า ปลายทางของสงครามมักจะจบลงที่การเจรจา เฉกเช่นการประชุมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นคนกลาง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ได้ข้อสรุปว่าไทยและกัมพูชาจะหยุดยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค.

    จากนั้นจะหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 4 และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. เวลา 07.00 น. ต่อด้วยประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 ส.ค.โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย ท่ามกลางสักขีพยานทั้งจากตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีน

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงไม่น่าไว้วางใจ เพราะยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย มีการคุกคามทางไซเบอร์ และมีแนวโน้มใช้อาวุธทางลึกอย่างขีปนาวุธ PHL03 ขณะที่สังคมไทยยังคาใจกับการกระทำของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และทหารจะถูกลืมหรือไม่ นอกจากต้องเจ็บปวดกับการเจรจาแทบจะไม่คิดถึงหัวใจคนไทยแล้ว ไทยจะเสียดินแดนโดยพฤตินัยให้กับกัมพูชาเพราะถูกยึดพื้นที่บางส่วนหรือไม่

    หรือท้ายที่สุดอาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของการเมืองโลก ที่ต่างฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ยื่นคำขาดว่าถ้าสองฝ่ายไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะใช้เป็นผลงานชูเรื่องสันติภาพ เช่นเดียวกับนายกฯ อันวาร์ของมาเลเซีย จะสร้างผลงานเป็นพระเอกในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาก็ได้คะแนนนิยมจากการปลุกกระแสชาตินิยม ทิ้งบาดแผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับกัมพูชาไม่มีวันเหมือนเดิม

    ทหารกัมพูชาใช้อาวุธหนักอย่าง BM-21 โจมตีพลเรือนในไทยอย่างไม่เลือกหน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ก่อนปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดแนวชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.ค. ประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 38 ราย (สาหัส 11 ราย) โรงพยาบาลเสียหาย 19 แห่ง ชาวบ้านต้องอพยพกว่า 150,000 คน บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ส่วนทหารเสียชีวิตนับสิบราย

    #Newskit
    อาเซียนการละคร หยุดยิงหลังเที่ยงคืน เคยมีคำกล่าวว่า ปลายทางของสงครามมักจะจบลงที่การเจรจา เฉกเช่นการประชุมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี กับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นคนกลาง เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ได้ข้อสรุปว่าไทยและกัมพูชาจะหยุดยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค. จากนั้นจะหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 4 และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. เวลา 07.00 น. ต่อด้วยประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 ส.ค.โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งจะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย ท่ามกลางสักขีพยานทั้งจากตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงไม่น่าไว้วางใจ เพราะยังตรวจพบทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่แนวหน้า มีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาหลายหน่วย มีการคุกคามทางไซเบอร์ และมีแนวโน้มใช้อาวุธทางลึกอย่างขีปนาวุธ PHL03 ขณะที่สังคมไทยยังคาใจกับการกระทำของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์และทหารจะถูกลืมหรือไม่ นอกจากต้องเจ็บปวดกับการเจรจาแทบจะไม่คิดถึงหัวใจคนไทยแล้ว ไทยจะเสียดินแดนโดยพฤตินัยให้กับกัมพูชาเพราะถูกยึดพื้นที่บางส่วนหรือไม่ หรือท้ายที่สุดอาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่งของการเมืองโลก ที่ต่างฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ยื่นคำขาดว่าถ้าสองฝ่ายไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะใช้เป็นผลงานชูเรื่องสันติภาพ เช่นเดียวกับนายกฯ อันวาร์ของมาเลเซีย จะสร้างผลงานเป็นพระเอกในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาก็ได้คะแนนนิยมจากการปลุกกระแสชาตินิยม ทิ้งบาดแผลความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับกัมพูชาไม่มีวันเหมือนเดิม ทหารกัมพูชาใช้อาวุธหนักอย่าง BM-21 โจมตีพลเรือนในไทยอย่างไม่เลือกหน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ก่อนปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย ตลอดแนวชายแดนจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.ค. ประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 38 ราย (สาหัส 11 ราย) โรงพยาบาลเสียหาย 19 แห่ง ชาวบ้านต้องอพยพกว่า 150,000 คน บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ส่วนทหารเสียชีวิตนับสิบราย #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 926 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไม่ได้ขัดแย้ง 2 ตระกูล!" ทักษิณชี้กัมพูชา "บ้าอยู่คนเดียว" ปลุกชาตินิยมจนระแวงไทย ย้ำรัฐบาลไม่แทรกแซง ขอปล่อยให้ยุทธการเดินหน้า
    https://www.thai-tai.tv/news/20561/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ชายแดนไทยกัมพูชา #ไม่ยืดเยื้อ #ไร้มนุษยธรรม #โดรน #สั่งสอนฮุนเซน #ยุทธการทหาร #ไม่แทรกแซง #สมช #ศักยภาพกองทัพ #ไทยไท
    "ไม่ได้ขัดแย้ง 2 ตระกูล!" ทักษิณชี้กัมพูชา "บ้าอยู่คนเดียว" ปลุกชาตินิยมจนระแวงไทย ย้ำรัฐบาลไม่แทรกแซง ขอปล่อยให้ยุทธการเดินหน้า https://www.thai-tai.tv/news/20561/ . #ทักษิณชินวัตร #ชายแดนไทยกัมพูชา #ไม่ยืดเยื้อ #ไร้มนุษยธรรม #โดรน #สั่งสอนฮุนเซน #ยุทธการทหาร #ไม่แทรกแซง #สมช #ศักยภาพกองทัพ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ได้เปรียบแล้ว!!!" รมว.มหาดไทยกัมพูชา "ซอร์ ซกคา" ประกาศชัยในสมรภูมิชายแดน ปลุกกระแสชาตินิยมหนุนทัพ
    https://www.thai-tai.tv/news/20515/
    .
    #ซอร์ซกคา #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #รักชาติ #ปลุกกระแส #สู้รบชายแดน #ความมั่นคง
    "ได้เปรียบแล้ว!!!" รมว.มหาดไทยกัมพูชา "ซอร์ ซกคา" ประกาศชัยในสมรภูมิชายแดน ปลุกกระแสชาตินิยมหนุนทัพ https://www.thai-tai.tv/news/20515/ . #ซอร์ซกคา #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพกัมพูชา #รักชาติ #ปลุกกระแส #สู้รบชายแดน #ความมั่นคง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts