• https://youtu.be/ZN-1PEqrTzc?feature=shared
    https://youtu.be/ZN-1PEqrTzc?feature=shared
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • “GStreamer 1.26.6 อัปเดตใหม่ รองรับ WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 — เสริมพลังมัลติมีเดียให้ลินุกซ์ยุคใหม่”

    GStreamer เฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.6 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 6 ในซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถและเสถียรภาพให้กับระบบวิดีโอบน Linux โดยเฉพาะผ่าน API Video4Linux2 (V4L2)

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มการรองรับ codec WVC1 และ WMV3 ซึ่งเป็นฟอร์แมตวิดีโอยอดนิยมในยุคก่อน โดยเฉพาะในไฟล์ Windows Media Video ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในหลายระบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นไฟล์เก่าได้โดยไม่ต้องแปลงฟอร์แมต

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในหลายส่วน เช่น การเพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare เพื่อช่วยจัดการกับ block elements อย่าง sinks ที่ต้อง sync กับ clock, การอัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของ Spotify และการปรับปรุงประสิทธิภาพของปลั๊กอิน videorate เมื่อทำงานในโหมด drop-only

    ยังมีการแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหา decklinkvideosrc ที่เข้าสู่สถานะ unrecoverable เมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อมใช้งาน, การ parsing ของ directive ใน hlsdemux2, และการแก้ไข memory leak ในหลายองค์ประกอบ รวมถึงการปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และการลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system

    การอัปเดตนี้ยังแก้ regression ใน Python bindings และปรับปรุงเสถียรภาพโดยรวมของระบบ GStreamer ให้พร้อมสำหรับการใช้งานในระดับ production ทั้งในงานสตรีมมิ่ง การตัดต่อ และการพัฒนาแอปมัลติมีเดีย

    ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.6
    รองรับ codec WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 (V4L2)
    เพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare สำหรับการ sync กับ clock
    อัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับ Spotify รุ่นใหม่
    ปรับปรุงปลั๊กอิน videorate ให้ทำงานได้ดีขึ้นในโหมด drop-only

    การแก้ไขและปรับปรุงระบบ
    แก้ปัญหา decklinkvideosrc ที่ไม่สามารถเริ่มสตรีมเมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อม
    ปรับปรุงการ parsing directive ใน hlsdemux2 เช่น byterange และ init map
    แก้ไข memory leak และปรับปรุงเสถียรภาพใน transcriberbin และ fallbacksrc
    ปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WVC1 และ WMV3 เป็น codec ที่ใช้ในไฟล์วิดีโอ Windows Media ซึ่งยังพบในระบบเก่า
    Video4Linux2 เป็น API มาตรฐานสำหรับจัดการอุปกรณ์วิดีโอบน Linux
    librespot เป็นไลบรารีที่ใช้สำหรับการสตรีม Spotify แบบไม่เป็นทางการ
    GStreamer ถูกใช้ในแอปพลิเคชันหลากหลาย เช่น OBS Studio, PipeWire และ Firefox

    https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-6-adds-support-for-wvc1-and-wmv3-codecs-to-video4linux2
    🎬 “GStreamer 1.26.6 อัปเดตใหม่ รองรับ WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 — เสริมพลังมัลติมีเดียให้ลินุกซ์ยุคใหม่” GStreamer เฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.6 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 6 ในซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถและเสถียรภาพให้กับระบบวิดีโอบน Linux โดยเฉพาะผ่าน API Video4Linux2 (V4L2) หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มการรองรับ codec WVC1 และ WMV3 ซึ่งเป็นฟอร์แมตวิดีโอยอดนิยมในยุคก่อน โดยเฉพาะในไฟล์ Windows Media Video ที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในหลายระบบ การรองรับนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นไฟล์เก่าได้โดยไม่ต้องแปลงฟอร์แมต นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในหลายส่วน เช่น การเพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare เพื่อช่วยจัดการกับ block elements อย่าง sinks ที่ต้อง sync กับ clock, การอัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของ Spotify และการปรับปรุงประสิทธิภาพของปลั๊กอิน videorate เมื่อทำงานในโหมด drop-only ยังมีการแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น ปัญหา decklinkvideosrc ที่เข้าสู่สถานะ unrecoverable เมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อมใช้งาน, การ parsing ของ directive ใน hlsdemux2, และการแก้ไข memory leak ในหลายองค์ประกอบ รวมถึงการปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และการลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system การอัปเดตนี้ยังแก้ regression ใน Python bindings และปรับปรุงเสถียรภาพโดยรวมของระบบ GStreamer ให้พร้อมสำหรับการใช้งานในระดับ production ทั้งในงานสตรีมมิ่ง การตัดต่อ และการพัฒนาแอปมัลติมีเดีย ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.6 ➡️ รองรับ codec WVC1 และ WMV3 บน Video4Linux2 (V4L2) ➡️ เพิ่ม blocking adapter element ในปลั๊กอิน threadshare สำหรับการ sync กับ clock ➡️ อัปเดต librespot library เป็นเวอร์ชัน 0.7 เพื่อรองรับ Spotify รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงปลั๊กอิน videorate ให้ทำงานได้ดีขึ้นในโหมด drop-only ✅ การแก้ไขและปรับปรุงระบบ ➡️ แก้ปัญหา decklinkvideosrc ที่ไม่สามารถเริ่มสตรีมเมื่ออุปกรณ์ไม่พร้อม ➡️ ปรับปรุงการ parsing directive ใน hlsdemux2 เช่น byterange และ init map ➡️ แก้ไข memory leak และปรับปรุงเสถียรภาพใน transcriberbin และ fallbacksrc ➡️ ปรับปรุง decoder สำหรับ Vulkan และลดการใช้ทรัพยากรใน Cerbero build system ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WVC1 และ WMV3 เป็น codec ที่ใช้ในไฟล์วิดีโอ Windows Media ซึ่งยังพบในระบบเก่า ➡️ Video4Linux2 เป็น API มาตรฐานสำหรับจัดการอุปกรณ์วิดีโอบน Linux ➡️ librespot เป็นไลบรารีที่ใช้สำหรับการสตรีม Spotify แบบไม่เป็นทางการ ➡️ GStreamer ถูกใช้ในแอปพลิเคชันหลากหลาย เช่น OBS Studio, PipeWire และ Firefox https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-6-adds-support-for-wvc1-and-wmv3-codecs-to-video4linux2
    9TO5LINUX.COM
    GStreamer 1.26.6 Adds Support for WVC1 and WMV3 Codecs to Video4Linux2 - 9to5Linux
    GStreamer 1.26.6 open-source multimedia framework is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • mRNA ทำลาย 60% ของ ไข่ ในรังไข่ของ เด็กๆ และสาวๆ อย่าแปลกใจว่า ทำไม
    หลังฉีด mRNA แล้ว ประจำเดือนมาผิดปกติ
    แล้ว เข้าวัยทองเร็ว
    หรือ ฉีดแล้ว "เป็นหมัน"!!
    https://www.facebook.com/share/v/1CLgDfWYjt/
    ✍️mRNA ทำลาย 60% ของ ไข่ ในรังไข่ของ เด็กๆ และสาวๆ อย่าแปลกใจว่า ทำไม หลังฉีด 💉☠️ mRNA แล้ว ประจำเดือนมาผิดปกติ แล้ว เข้าวัยทองเร็ว หรือ ฉีดแล้ว "เป็นหมัน"!! https://www.facebook.com/share/v/1CLgDfWYjt/
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/p/16ttvAyJvk/
    https://www.facebook.com/share/p/16ttvAyJvk/
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด

    บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้

    แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

    ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก

    เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก

    ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน
    โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์)
    ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ

    การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต
    ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน
    ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก

    ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต
    ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่
    ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน

    การใช้แรงงานในครัวเรือน
    ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้
    ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี

    รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา
    ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน
    แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ
    การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน

    ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
    ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket)
    ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น

    https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชาวนา 3 คนถึงเจ้าที่ดิน: เมื่อแรงงานไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด บทความนี้พาเราไปสำรวจชีวิตของชาวนา 3 กลุ่ม—The Smalls, The Middles, และ The Biggs—ที่มีแรงงานในครัวเรือนต่างกัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน: พวกเขามีที่ดินน้อยเกินไปที่จะผลิตอาหารพอเลี้ยงครอบครัวได้ แม้จะมีแรงงานเหลือเฟือ แต่ที่ดินที่ถือครองจริงกลับมีขนาดเล็กมาก เช่น 3–6 iugera (ประมาณ 1.8–3.8 เอเคอร์) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการพื้นฐาน แม้จะใช้วิธีปลูกพืชที่ให้พลังงานสูงอย่างข้าวสาลี หรือเสริมด้วยสวนครัว ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทางออกเดียวคือ “การเช่าที่ดิน” จากเจ้าที่ดินหรือชาวนารวย ซึ่งมักมาในรูปแบบของการแบ่งผลผลิต (sharecropping) โดยชาวนาต้องแบ่งผลผลิตครึ่งหนึ่งให้เจ้าของที่ดิน แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยให้มีที่ดินทำกินเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตสุทธิต่อแรงงานลดลงอย่างมาก เมื่อรวมแรงงานที่ต้องใช้ในการทำไร่, ซ่อมแซมเครื่องมือ, และแรงงานที่ถูกสกัดออกไปในรูปแบบของภาษี, แรงงานบังคับ (corvée), หรือการเกณฑ์ทหาร ชาวนาจึงต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าคนทำงานในยุคปัจจุบัน แต่กลับได้ผลตอบแทนต่ำกว่ามาก ✅ ขนาดที่ดินของชาวนาในยุคก่อน ➡️ โดยเฉลี่ยถือครองเพียง 3–6 iugera (1.8–3.8 เอเคอร์) ➡️ ไม่เพียงพอต่อการผลิตอาหารให้ครบตามความต้องการ ✅ การเช่าที่ดินและระบบแบ่งผลผลิต ➡️ ชาวนาต้องแบ่งผลผลิต 50% ให้เจ้าของที่ดิน ➡️ ลดประสิทธิภาพการผลิตต่อแรงงานลงอย่างมาก ✅ ความพยายามในการเพิ่มผลผลิต ➡️ ปลูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มพลังงานต่อพื้นที่ ➡️ ใช้สวนครัวเพื่อเสริมอาหาร แต่ไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน ✅ การใช้แรงงานในครัวเรือน ➡️ ชาวนามีแรงงานเหลือเฟือแต่ไม่มีที่ดินพอใช้ ➡️ ต้องทำงานหนักถึง 2,500–3,600 ชั่วโมงต่อปี ✅ รูปแบบการสกัดแรงงานจากชาวนา ➡️ ภาษีสูงถึง 50% ในบางพื้นที่ เช่น อียิปต์ยุคโรมัน ➡️ แรงงานบังคับ (corvée) เช่น สร้างถนน, ป้อมปราการ ➡️ การเกณฑ์ทหาร เช่น ระบบ dilectus ของโรมัน ✅ ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ➡️ ชาวนาไม่สามารถเข้าถึง “ตะกร้าแห่งเกียรติ” (respectability basket) ➡️ ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อให้ได้แค่ “อยู่รอดและอีกนิด” เท่านั้น https://acoup.blog/2025/09/12/collections-life-work-death-and-the-peasant-part-ivc-rent-and-extraction/
    ACOUP.BLOG
    Collections: Life, Work, Death and the Peasant, Part IVc: Rent and Extraction
    This is the third piece of the fourth part of our series (I, II, IIIa, IIIb, IVa, IVb) looking at the lives of pre-modern peasant farmers – a majority of all of the humans who have ever lived. Last…
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B

    ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน

    Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2

    หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร

    ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ

    Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที

    สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next
    ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1)
    เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension
    ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว

    โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse
    มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step
    ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า
    ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก

    การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก
    ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm
    เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ
    normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง

    ประสิทธิภาพของโมเดล
    Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10%
    Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว
    Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark

    การใช้งานและ deployment
    รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN
    ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที
    รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module

    https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2 หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next ➡️ ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1) ➡️ เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension ➡️ ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว ✅ โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse ➡️ มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ➡️ ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า ➡️ ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก ✅ การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก ➡️ ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm ➡️ เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ ➡️ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง ✅ ประสิทธิภาพของโมเดล ➡️ Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10% ➡️ Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว ➡️ Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark ✅ การใช้งานและ deployment ➡️ รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN ➡️ ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที ➡️ รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร”

    Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง

    EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง

    การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้

    รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme
    เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์
    ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll
    ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล

    ความสามารถของแต่ละโมดูล
    EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ
    EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process
    EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย
    EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ
    EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้
    EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์
    เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี
    การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ
    เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร

    https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีน เจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — เงียบแต่ลึก พร้อมระบบสอดแนมครบวงจร” Bitdefender เผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับมัลแวร์ใหม่ชื่อ “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับจีนในการโจมตีบริษัทด้านการทหารของฟิลิปปินส์ โดยมัลแวร์นี้มีลักษณะ “fileless” คือไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในระบบไฟล์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก และสามารถฝังตัวในหน่วยความจำเพื่อสอดแนมและควบคุมระบบได้อย่างต่อเนื่อง EggStreme เป็นชุดเครื่องมือแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่ EggStremeFuel, EggStremeLoader, EggStremeReflectiveLoader, EggStremeAgent, EggStremeKeylogger และ EggStremeWizard ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างช่องทางสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2), ดึงข้อมูล, ควบคุมระบบ, และติดตั้ง backdoor สำรอง การโจมตีเริ่มจากการ sideload DLL ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ซึ่งถูกฝังในระบบผ่าน batch script ที่รันจาก SMB share โดยไม่ทราบวิธีการเข้าถึงในขั้นต้น จากนั้นมัลแวร์จะค่อย ๆ โหลด payload เข้าสู่หน่วยความจำ และเปิดช่องทางสื่อสารแบบ gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล EggStremeAgent ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบ มีคำสั่งมากถึง 58 แบบ เช่น การตรวจสอบระบบ, การยกระดับสิทธิ์, การเคลื่อนที่ในเครือข่าย, การดึงข้อมูล และการฝัง keylogger เพื่อเก็บข้อมูลการพิมพ์ของผู้ใช้ โดยมัลแวร์นี้ยังสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ Bitdefender จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ากลุ่มใดเป็นผู้โจมตี แต่เป้าหมายและวิธีการสอดคล้องกับกลุ่ม APT จากจีนที่เคยโจมตีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เวียดนาม ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ✅ รายละเอียดของมัลแวร์ EggStreme ➡️ เป็นมัลแวร์แบบ fileless ที่ทำงานในหน่วยความจำโดยไม่แตะระบบไฟล์ ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านโปรแกรมที่เชื่อถือได้ เช่น mscorsvc.dll ➡️ ประกอบด้วย 6 โมดูลหลักที่ทำงานร่วมกันแบบหลายขั้นตอน ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC เพื่อควบคุมระบบจากระยะไกล ✅ ความสามารถของแต่ละโมดูล ➡️ EggStremeFuel: โหลด DLL เริ่มต้น, เปิด reverse shell, ตรวจสอบระบบ ➡️ EggStremeLoader: อ่าน payload ที่เข้ารหัสและ inject เข้าสู่ process ➡️ EggStremeReflectiveLoader: ถอดรหัสและเรียกใช้ payload สุดท้าย ➡️ EggStremeAgent: backdoor หลัก มีคำสั่ง 58 แบบสำหรับควบคุมระบบ ➡️ EggStremeKeylogger: ดักจับการพิมพ์และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ EggStremeWizard: backdoor สำรองสำหรับ reverse shell และการอัปโหลดไฟล์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีเริ่มจาก batch script บน SMB share โดยไม่ทราบวิธีการวางไฟล์ ➡️ เทคนิค fileless และ DLL sideloading ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ดี ➡️ การใช้โมดูลแบบหลายขั้นตอนช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ ➡️ เป้าหมายของการโจมตีคือการสอดแนมระยะยาวและการเข้าถึงแบบถาวร https://www.techradar.com/pro/security/china-related-threat-actors-deployed-a-new-fileless-malware-against-the-philippines-military
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • “VirtualBox 7.2.2 รองรับ KVM API บน Linux 6.16 — ปรับปรุงประสิทธิภาพ VM พร้อมฟีเจอร์ใหม่ทั้งด้านเครือข่ายและ USB”

    Oracle ปล่อยอัปเดต VirtualBox 7.2.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 7.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux คือการรองรับ KVM API บนเคอร์เนล Linux 6.16 ขึ้นไป ทำให้สามารถเรียกใช้ VT-x ได้โดยตรงผ่าน KVM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบเสมือนจริงบน Linux hosts

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาใน Linux Guest Additions ที่เคยทำให้ VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ตอนเริ่มต้น และเพิ่มอะแดปเตอร์เครือข่ายแบบใหม่ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) ซึ่งต้องใช้ชิปเซ็ต ICH9 เนื่องจาก PIIX3 ไม่รองรับ MSIs

    ด้าน GUI มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การบังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ที่เกี่ยวข้อง และการรองรับธีมเก่าแบบ light/dark จาก Windows 10 บน Windows 11 hosts รวมถึงการแก้ไขปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น การลบ VM ทั้งหมด, การแสดง error notification เร็วเกินไป หรือ VM ที่มี snapshot จำนวนมาก

    ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น การแสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น, การรองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส, การลดการใช้ CPU บน ARM hosts และการแก้ไขปัญหา TPM ที่ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท รวมถึงการแก้ไข networking และ NAT บน macOS

    ฟีเจอร์ใหม่ใน VirtualBox 7.2.2
    รองรับ KVM API บน Linux kernel 6.16+ สำหรับการเรียกใช้ VT-x
    แก้ปัญหา VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ใน Linux Guest Additions
    เพิ่มอะแดปเตอร์ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) — ต้องใช้ ICH9 chipset
    แก้ปัญหา nameserver 127/8 ถูกส่งไปยัง guest โดยไม่ตั้งใจ

    การปรับปรุงด้าน GUI และการใช้งาน
    บังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service
    รองรับธีม light/dark แบบเก่าบน Windows 11 hosts
    แก้ปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น VM มี snapshot เยอะ
    ปรับปรุง tooltip แสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น

    การปรับปรุงด้านอุปกรณ์และระบบเสมือน
    รองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส
    แก้ปัญหา USB/IP passthrough ที่เคยล้มเหลว
    ลดการใช้ CPU บน ARM hosts เมื่อ VM อยู่ในสถานะ idle
    แก้ปัญหา TPM device ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KVM API ช่วยให้ VirtualBox ทำงานร่วมกับ Linux virtualization stack ได้ดีขึ้น
    e1000 รุ่น 82583V เป็นอะแดปเตอร์ที่มี latency ต่ำและ throughput สูง
    VirtualBox 7.2.2 รองรับการติดตั้งแบบ universal binary บนทุกดิสโทรหลัก
    Oracle เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ snapshot แบบ granular ในเวอร์ชันถัดไป

    https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-2-adds-support-for-kvm-apis-on-linux-kernel-6-16-and-newer
    🖥️ “VirtualBox 7.2.2 รองรับ KVM API บน Linux 6.16 — ปรับปรุงประสิทธิภาพ VM พร้อมฟีเจอร์ใหม่ทั้งด้านเครือข่ายและ USB” Oracle ปล่อยอัปเดต VirtualBox 7.2.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 7.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux คือการรองรับ KVM API บนเคอร์เนล Linux 6.16 ขึ้นไป ทำให้สามารถเรียกใช้ VT-x ได้โดยตรงผ่าน KVM ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเข้ากันได้กับระบบเสมือนจริงบน Linux hosts นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาใน Linux Guest Additions ที่เคยทำให้ VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ตอนเริ่มต้น และเพิ่มอะแดปเตอร์เครือข่ายแบบใหม่ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) ซึ่งต้องใช้ชิปเซ็ต ICH9 เนื่องจาก PIIX3 ไม่รองรับ MSIs ด้าน GUI มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การบังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ที่เกี่ยวข้อง และการรองรับธีมเก่าแบบ light/dark จาก Windows 10 บน Windows 11 hosts รวมถึงการแก้ไขปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น การลบ VM ทั้งหมด, การแสดง error notification เร็วเกินไป หรือ VM ที่มี snapshot จำนวนมาก ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น การแสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น, การรองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส, การลดการใช้ CPU บน ARM hosts และการแก้ไขปัญหา TPM ที่ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท รวมถึงการแก้ไข networking และ NAT บน macOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน VirtualBox 7.2.2 ➡️ รองรับ KVM API บน Linux kernel 6.16+ สำหรับการเรียกใช้ VT-x ➡️ แก้ปัญหา VBoxClient โหลด shared libraries ไม่ได้ใน Linux Guest Additions ➡️ เพิ่มอะแดปเตอร์ e1000 รุ่นทดลอง (82583V) — ต้องใช้ ICH9 chipset ➡️ แก้ปัญหา nameserver 127/8 ถูกส่งไปยัง guest โดยไม่ตั้งใจ ✅ การปรับปรุงด้าน GUI และการใช้งาน ➡️ บังคับใช้ธีม XDG Desktop Portal บน Linux เมื่อมี DBus service ➡️ รองรับธีม light/dark แบบเก่าบน Windows 11 hosts ➡️ แก้ปัญหา VBox Manager ค้างหรือแครชในหลายกรณี เช่น VM มี snapshot เยอะ ➡️ ปรับปรุง tooltip แสดง IP address ใน status bar ให้แม่นยำขึ้น ✅ การปรับปรุงด้านอุปกรณ์และระบบเสมือน ➡️ รองรับ virtual USB webcam ในแพ็กเกจโอเพ่นซอร์ส ➡️ แก้ปัญหา USB/IP passthrough ที่เคยล้มเหลว ➡️ ลดการใช้ CPU บน ARM hosts เมื่อ VM อยู่ในสถานะ idle ➡️ แก้ปัญหา TPM device ไม่ทำงานกับ guest บางประเภท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KVM API ช่วยให้ VirtualBox ทำงานร่วมกับ Linux virtualization stack ได้ดีขึ้น ➡️ e1000 รุ่น 82583V เป็นอะแดปเตอร์ที่มี latency ต่ำและ throughput สูง ➡️ VirtualBox 7.2.2 รองรับการติดตั้งแบบ universal binary บนทุกดิสโทรหลัก ➡️ Oracle เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ snapshot แบบ granular ในเวอร์ชันถัดไป https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-2-adds-support-for-kvm-apis-on-linux-kernel-6-16-and-newer
    9TO5LINUX.COM
    VirtualBox 7.2.2 Adds Support for KVM APIs on Linux Kernel 6.16 and Newer - 9to5Linux
    VirtualBox 7.2.2 open-source virtualization software is now available for download with support for using KVM APIs on Linux kernel 6.16.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

    Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

    EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่

    ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย

    นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก

    การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว

    โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme
    เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader
    EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก
    EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload
    ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่

    เทคนิคการแฝงตัว
    ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe
    payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution)
    สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส
    มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด

    เครื่องมือเสริมใน framework
    EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์
    Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก
    ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน
    framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share
    ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
    EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง
    นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี

    https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    🕵️‍♂️ “EggStreme: มัลแวร์ไร้ไฟล์จากจีนเจาะระบบทหารฟิลิปปินส์ — ปฏิบัติการลับที่ซับซ้อนที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” Bitdefender เผยการค้นพบมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “EggStreme” ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) จากจีนในการเจาะระบบของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพฟิลิปปินส์ และยังพบการใช้งานในองค์กรทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก EggStreme ไม่ใช่มัลแวร์ทั่วไป แต่เป็น “framework” ที่ประกอบด้วยหลายโมดูลทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจาก EggStremeFuel ซึ่งเป็นตัวโหลดที่เตรียมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงเรียกใช้ EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลักที่สามารถสอดแนมระบบ, ขโมยข้อมูล, ลบหรือแก้ไขไฟล์ และฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่มีการเปิด session ใหม่ ความน่ากลัวของ EggStreme คือมันเป็น “fileless malware” — ไม่มีไฟล์มัลแวร์อยู่บนดิสก์ แต่จะถอดรหัสและรัน payload ในหน่วยความจำเท่านั้น ทำให้ระบบป้องกันทั่วไปตรวจจับได้ยากมาก และยังใช้เทคนิค DLL sideloading เพื่อแอบแฝงตัวในโปรแกรมที่ดูปลอดภัย นอกจาก EggStremeAgent ยังมี EggStremeWizard ซึ่งเป็น backdoor รองที่ใช้ xwizard.exe ในการ sideload DLL และมีรายชื่อ fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) แม้เซิร์ฟเวอร์หลักจะถูกปิดไปแล้ว พร้อมกับเครื่องมือ proxy ชื่อว่า Stowaway ที่ช่วยให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลภายในเครือข่ายโดยไม่ถูกไฟร์วอลล์บล็อก การโจมตีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ซึ่งฟิลิปปินส์เผชิญกับการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดย EggStreme เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สะท้อนถึงการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของการจารกรรมไซเบอร์ — ไม่ใช่แค่เครื่องมือเดี่ยว แต่เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมเป้าหมายในระยะยาว ✅ โครงสร้างมัลแวร์ EggStreme ➡️ เริ่มจาก EggStremeFuel ที่เตรียมระบบและเรียกใช้ EggStremeLoader ➡️ EggStremeReflectiveLoader จะรัน EggStremeAgent ซึ่งเป็น backdoor หลัก ➡️ EggStremeAgent รองรับคำสั่ง 58 แบบ เช่น สแกนระบบ, ขโมยข้อมูล, ฝัง payload ➡️ ฝัง keylogger ลงใน explorer.exe ทุกครั้งที่เปิด session ใหม่ ✅ เทคนิคการแฝงตัว ➡️ ใช้ DLL sideloading ผ่านไฟล์ที่ดูปลอดภัย เช่น xwizard.exe ➡️ payload ถูกถอดรหัสและรันในหน่วยความจำเท่านั้น (fileless execution) ➡️ สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน gRPC แบบเข้ารหัส ➡️ มี fallback servers เพื่อรักษาการเชื่อมต่อแม้เซิร์ฟเวอร์หลักถูกปิด ✅ เครื่องมือเสริมใน framework ➡️ EggStremeWizard เป็น backdoor รองที่ให้ reverse shell และอัปโหลดไฟล์ ➡️ Stowaway proxy ช่วยส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายภายในโดยไม่ถูกบล็อก ➡️ ระบบสามารถเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย (lateral movement) ได้อย่างแนบเนียน ➡️ framework ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bitdefender พบการโจมตีครั้งแรกในต้นปี 2024 ผ่าน batch script บน SMB share ➡️ ฟิลิปปินส์เผชิญการโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 300% จากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ➡️ EggStreme เป็นตัวอย่างของการพัฒนา “ชุดเครื่องมือจารกรรม” ที่มีความซับซ้อนสูง ➡️ นักวิจัยเตือนว่าองค์กรใน APAC ควรใช้ IOC ที่เผยแพร่เพื่อป้องกันการโจมตี https://hackread.com/chinese-apt-philippine-military-eggstreme-fileless-malware/
    HACKREAD.COM
    Chinese APT Hits Philippine Military Firm with New EggStreme Fileless Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfrปีหกแปด เก้าเดือนเก้า เศร้าที่สุด
    ทุรบุรุษ ไร้เสรี ที่บางขวาง
    เดินทางไกล ทั่วหล้า มาสุดทาง
    เปลี่ยนที่บ้าง ไปคลองเปรม เต็มน้ำตา

    เหลือหนึ่งปี อภัยโทษ โคตรแสนสั้น
    จากแปดปี ที่ลงทัณฑ์ มันคุ้มค่า
    แต่หนึ่งปี ไร้เสรี แห่งชีวา
    นับเวลา ยาวนาน สะท้านทรวง

    เห็นสัจจะ ยุติธรรม ค้ำจุนหล้า
    ทุกชีวี มีค่า คุณใหญ่หลวง
    ไม่ว่ารวย หรือจน คนทั้งปวง
    ขังรัดบ่วง อิสรภาพ รับผลกรรม

    คุกคือคุก ถูกตรา หน้าคนผิด
    กำจัดสิทธิ์ ตามศาลสั่ง วันยังค่ำ
    แต่หนึ่งปี มีค่า ถ้าเห็นธรรม
    ขอเพียงแต่ อย่าผิดซ้ำ เป็นสำคัญ .

    @“จันผา”
    10.09.2568
    https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfrปีหกแปด เก้าเดือนเก้า เศร้าที่สุด ทุรบุรุษ ไร้เสรี ที่บางขวาง เดินทางไกล ทั่วหล้า มาสุดทาง เปลี่ยนที่บ้าง ไปคลองเปรม เต็มน้ำตา เหลือหนึ่งปี อภัยโทษ โคตรแสนสั้น จากแปดปี ที่ลงทัณฑ์ มันคุ้มค่า แต่หนึ่งปี ไร้เสรี แห่งชีวา นับเวลา ยาวนาน สะท้านทรวง เห็นสัจจะ ยุติธรรม ค้ำจุนหล้า ทุกชีวี มีค่า คุณใหญ่หลวง ไม่ว่ารวย หรือจน คนทั้งปวง ขังรัดบ่วง อิสรภาพ รับผลกรรม คุกคือคุก ถูกตรา หน้าคนผิด กำจัดสิทธิ์ ตามศาลสั่ง วันยังค่ำ แต่หนึ่งปี มีค่า ถ้าเห็นธรรม ขอเพียงแต่ อย่าผิดซ้ำ เป็นสำคัญ . @“จันผา” 10.09.2568
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfr
    https://www.facebook.com/share/p/15uSWN3vuq/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • VIDEO025 ซีรีย์จีนพากย์ไทยเรื่อง : คุณหนูตัวแทนรัก
    ฝดูซีรีย์จีนพากย์ไทยผ่าน แอป telegram :
    ซีรีย์จีนอัพเดตทุกวัน 1000 กว่าเรื่อง
    Google Play
    ลิ้งค์ดาสน์โหลด : https://play.google.com/store/apps/details?id=org.telegram.messenger&pcampaignid=web_share
    สำหรบสมาชิกทีมีแอป Telegra อยู่แล้วคลิ๊กทีลิ้งคี้ : :/https/t.me/pkextremechinaseries

    ฝากกดกดติดตามและกดแชร์เพจ Facebook ของเราด้วยนะครับ
    https://www.facebook.com/profile.php?id=100063955424118
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61580101866932
    https://www.facebook.com/hmextremechinaseries
    https://www.facebook.com/hieamaochinaseriesv2
    https://www.facebook.com/pkextreme2025
    https://www.facebook.com/thepsurachinaseriesv1

    ฝากสนับสนุนแอดมินด้วยนะครับตามความสมัครใจ
    https://promptpay.io/0638814705
    หรือสแกน QR CODE ท้ายคลิป ขอบคุณครับ

    กดลิ้งค์ด้านล่างเพื่อดูซีรีย์
    https://www.dropbox.com/scl/fi/wtm9rctbz6lksm47dbeum/025.-31-08-2025.mp4?rlkey=1p6ksmgv5v0x79ek5fdtkaqak&st=nyuqi6ex&dl=0
    https://www.bilibili.tv/th/space/1130517569
    #ร้านเฮียเมาเจ้พรตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่
    #โกดังเฮียเมาตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่
    #เฮียเมาซีรีย์จีน
    #เฮียเมาซีรีย์จีนV2
    #PKExtremeรวมซีรีย์
    #เทพสุราซีรีย์จีนV1
    #ดูจนตาเหลือกรวมซีรีย์

    VIDEO025 ซีรีย์จีนพากย์ไทยเรื่อง : คุณหนูตัวแทนรัก ฝดูซีรีย์จีนพากย์ไทยผ่าน แอป telegram : ซีรีย์จีนอัพเดตทุกวัน 1000 กว่าเรื่อง Google Play ลิ้งค์ดาสน์โหลด : https://play.google.com/store/apps/details?id=org.telegram.messenger&pcampaignid=web_share สำหรบสมาชิกทีมีแอป Telegra อยู่แล้วคลิ๊กทีลิ้งคี้ : :/https/t.me/pkextremechinaseries ฝากกดกดติดตามและกดแชร์เพจ Facebook ของเราด้วยนะครับ https://www.facebook.com/profile.php?id=100063955424118 https://www.facebook.com/profile.php?id=61580101866932 https://www.facebook.com/hmextremechinaseries https://www.facebook.com/hieamaochinaseriesv2 https://www.facebook.com/pkextreme2025 https://www.facebook.com/thepsurachinaseriesv1 ฝากสนับสนุนแอดมินด้วยนะครับตามความสมัครใจ https://promptpay.io/0638814705 หรือสแกน QR CODE ท้ายคลิป ขอบคุณครับ กดลิ้งค์ด้านล่างเพื่อดูซีรีย์ https://www.dropbox.com/scl/fi/wtm9rctbz6lksm47dbeum/025.-31-08-2025.mp4?rlkey=1p6ksmgv5v0x79ek5fdtkaqak&st=nyuqi6ex&dl=0 https://www.bilibili.tv/th/space/1130517569 #ร้านเฮียเมาเจ้พรตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่ #โกดังเฮียเมาตลาดปัฐวิกรณ์โครงการใหม่ #เฮียเมาซีรีย์จีน #เฮียเมาซีรีย์จีนV2 #PKExtremeรวมซีรีย์ #เทพสุราซีรีย์จีนV1 #ดูจนตาเหลือกรวมซีรีย์
    PLAY.GOOGLE.COM
    Telegram - Apps on Google Play
    Telegram is a messaging app with a focus on speed and security.
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • Why Capitalizing “Native American” Matters

    These days, social media is glut with excited folks who are sending off their cheek swabs to find out just what’s hiding in their DNA. Will they find out they had an ancestor on the Mayflower? Or, maybe they have a Native American ancestor?

    That would make them Native American too, right? Well, the definition of Native American is a lot more complicated than the genetics chart you get from your standard DNA testing center. You see, the term Native American refers to many, many different groups of people and not all of them identify with this term.

    Before we get to that, though, let’s start with the capitalization issue.

    Native American with a capital N

    The lexicographers have distinguished between native Americans and Native Americans. The first version, with the lowercase n, applies to anyone who was born here in the United States. After all, when used as an adjective, native is defined as “being the place or environment in which a person was born or a thing came into being.” If you were born in the United States of America, you are native to the country. Lowercase native American is an adjective that modifies the noun American. The lowercase native American is a noun phrase that describes someone as being an American citizen who is native to the United States.

    Simply being born in the good old US of A doesn’t make someone a Native American (capital N). Those two words are both capitalized because, when used together, they form what grammar experts refer to as a proper noun, or “a noun that is used to denote a particular person, place, or thing.” The term Native American is a very broad label that refers to a federally recognized category of Americans who are indigenous to the land that is now the United States (although some also extend the word’s usage to include all the the Indigenous Peoples of North and South America), and they make up at least two percent of the US population. They’re not just native to this area in the sense of having been born on American soil, but they have established American Indian or Alaska Native ancestry. As a general term, Native American is often used collectively to refer to the many different tribes of Indigenous Peoples who lived in the Americas long before the arrival of European colonizers. In reality, Native Americans are not a monolith, and they belong to many different tribes with their own cultures and languages. Note the words Native American should always be used together. It’s considered disparaging and offensive to refer to a group of people who are Native American simply as natives.

    Another good example of common nouns vs. proper nouns is New York City. When it’s written with a capital C, it’s specifically referring to the area that encompasses the five boroughs. When it’s written with a lowercase c, as in a New York city, it can refer to any large metropolis located anywhere in the state.

    DNA isn’t a definition

    So, all you need is a DNA test, and your ancestry falls under the definition of Native American, right? Well, that’s complicated.

    While the United States Department of Interior has its own rules regarding who qualifies for membership and enrollment in a tribe, the members of the tribes themselves don’t often agree with the government responsible for taking their lands and forcing them to live on reservations in the first place. Nor is there consensus among the more than 574 federally recognized tribal nations in the United States on what DNA results are required to establish heritage.

    Both the United Nations and Indigenous Peoples worldwide have denounced certain attempts at tracing human origins through DNA, including the Human Genome Diversity Project.

    If you feel that you have proven without a doubt that your lineage is Native American, you’ll have to turn to the individual tribe itself for the official opinion on the matter. And, even with a DNA test, you may find that you may be native American but not necessarily Native American.

    What about Indian?

    The department of the US federal government that oversees relations with the many Native American tribes is named the Bureau of Indian Affairs. The United States Census uses the term American Indian to refer to a person who identifies themself as a Native American. The term Indian referring to Native Americans has largely fallen out of general usage, and many Native American Peoples consider this term offensive. That being said, there are a significant number of Native American tribes and individuals that use the word Indian or the phrase American Indian to identify themselves.

    Even more common, though, is a group using the specific name of their tribe—especially the name used in their own language—to identify themselves. For example, a member of the Navajo tribe may refer to their particular group as Diné.

    As is often the case when it comes to language, people often have their own personal choice as to which words they prefer. If you are unsure about what words to use, the best choice is always to ask someone what they prefer.

    Native to Alaska

    The term Native American is sometimes used to include some Eskimo and Aleut peoples, specifically those whose families are native to the area now known as Alaska. The United States government uses the term Native Alaskan, and many other organizations prefer the term Alaska Native. Eskimo is still used as a self-designation by some people, while others consider it derogatory. Still other peoples will often prefer the specific name for their own people, tribe, or community—typically preferring a word from their own language. As is always the case, it’s best to let the person in question share their preferred terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Why Capitalizing “Native American” Matters These days, social media is glut with excited folks who are sending off their cheek swabs to find out just what’s hiding in their DNA. Will they find out they had an ancestor on the Mayflower? Or, maybe they have a Native American ancestor? That would make them Native American too, right? Well, the definition of Native American is a lot more complicated than the genetics chart you get from your standard DNA testing center. You see, the term Native American refers to many, many different groups of people and not all of them identify with this term. Before we get to that, though, let’s start with the capitalization issue. Native American with a capital N The lexicographers have distinguished between native Americans and Native Americans. The first version, with the lowercase n, applies to anyone who was born here in the United States. After all, when used as an adjective, native is defined as “being the place or environment in which a person was born or a thing came into being.” If you were born in the United States of America, you are native to the country. Lowercase native American is an adjective that modifies the noun American. The lowercase native American is a noun phrase that describes someone as being an American citizen who is native to the United States. Simply being born in the good old US of A doesn’t make someone a Native American (capital N). Those two words are both capitalized because, when used together, they form what grammar experts refer to as a proper noun, or “a noun that is used to denote a particular person, place, or thing.” The term Native American is a very broad label that refers to a federally recognized category of Americans who are indigenous to the land that is now the United States (although some also extend the word’s usage to include all the the Indigenous Peoples of North and South America), and they make up at least two percent of the US population. They’re not just native to this area in the sense of having been born on American soil, but they have established American Indian or Alaska Native ancestry. As a general term, Native American is often used collectively to refer to the many different tribes of Indigenous Peoples who lived in the Americas long before the arrival of European colonizers. In reality, Native Americans are not a monolith, and they belong to many different tribes with their own cultures and languages. Note the words Native American should always be used together. It’s considered disparaging and offensive to refer to a group of people who are Native American simply as natives. Another good example of common nouns vs. proper nouns is New York City. When it’s written with a capital C, it’s specifically referring to the area that encompasses the five boroughs. When it’s written with a lowercase c, as in a New York city, it can refer to any large metropolis located anywhere in the state. DNA isn’t a definition So, all you need is a DNA test, and your ancestry falls under the definition of Native American, right? Well, that’s complicated. While the United States Department of Interior has its own rules regarding who qualifies for membership and enrollment in a tribe, the members of the tribes themselves don’t often agree with the government responsible for taking their lands and forcing them to live on reservations in the first place. Nor is there consensus among the more than 574 federally recognized tribal nations in the United States on what DNA results are required to establish heritage. Both the United Nations and Indigenous Peoples worldwide have denounced certain attempts at tracing human origins through DNA, including the Human Genome Diversity Project. If you feel that you have proven without a doubt that your lineage is Native American, you’ll have to turn to the individual tribe itself for the official opinion on the matter. And, even with a DNA test, you may find that you may be native American but not necessarily Native American. What about Indian? The department of the US federal government that oversees relations with the many Native American tribes is named the Bureau of Indian Affairs. The United States Census uses the term American Indian to refer to a person who identifies themself as a Native American. The term Indian referring to Native Americans has largely fallen out of general usage, and many Native American Peoples consider this term offensive. That being said, there are a significant number of Native American tribes and individuals that use the word Indian or the phrase American Indian to identify themselves. Even more common, though, is a group using the specific name of their tribe—especially the name used in their own language—to identify themselves. For example, a member of the Navajo tribe may refer to their particular group as Diné. As is often the case when it comes to language, people often have their own personal choice as to which words they prefer. If you are unsure about what words to use, the best choice is always to ask someone what they prefer. Native to Alaska The term Native American is sometimes used to include some Eskimo and Aleut peoples, specifically those whose families are native to the area now known as Alaska. The United States government uses the term Native Alaskan, and many other organizations prefer the term Alaska Native. Eskimo is still used as a self-designation by some people, while others consider it derogatory. Still other peoples will often prefer the specific name for their own people, tribe, or community—typically preferring a word from their own language. As is always the case, it’s best to let the person in question share their preferred terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 339 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU

    Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา

    แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์

    ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow

    Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม

    แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน

    แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel
    รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว
    ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์

    จุดต่างจากเทคนิคเดิม
    คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย
    ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล
    มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์

    การใช้งานและความคาดหวัง
    เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
    หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์
    อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining

    ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์
    ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด
    ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core
    ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software

    https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pentium 4 ถึง Software Defined Super Core: เมื่อ Intel หยิบเทคนิคเก่า มาปรับใหม่เพื่ออนาคตของ CPU Intel ได้จดสิทธิบัตรใหม่ชื่อว่า “Software Defined Super Core” ซึ่งเป็นแนวคิดที่รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียวในสายตาของระบบปฏิบัติการ โดยคอร์ที่รวมกันจะทำงานแบบขนานก่อนจะจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานแบบ single-thread โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์หรือความเร็วสัญญาณนาฬิกา แนวคิดนี้คล้ายกับ “inverse hyper-threading” ที่เคยทดลองในยุค Pentium 4 แต่ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้ shared memory และ synchronization module ขนาดเล็กในแต่ละคอร์ พร้อมพื้นที่หน่วยความจำพิเศษชื่อ wormhole address space เพื่อจัดการการส่งข้อมูลระหว่างคอร์ ในทางปฏิบัติ ระบบปฏิบัติการจะต้องตัดสินใจว่า workload ใดควรใช้โหมด super core ซึ่งอาจทำให้การจัดตารางงานซับซ้อนขึ้น และต้องการการสนับสนุนจาก compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ดและใส่คำสั่งควบคุม flow Intel หวังว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่ม performance-per-watt โดยเฉพาะในงานที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ single-thread เช่น AI inference, mining, หรือ simulation ที่ไม่สามารถกระจายงานได้ดีบน multicore แบบเดิม แม้จะยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจน แต่แนวคิดนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง brute-force แบบเพิ่มจำนวนคอร์หรือขยายขนาด cache เหมือนที่ AMD และ Apple ใช้ในปัจจุบัน ✅ แนวคิด Software Defined Super Core ของ Intel ➡️ รวมคอร์จริงหลายตัวให้กลายเป็นคอร์เสมือนเดียว ➡️ ทำงานแบบขนานก่อนจัดเรียงคำสั่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ shared memory และ synchronization module ภายในคอร์ ✅ จุดต่างจากเทคนิคเดิม ➡️ คล้าย inverse hyper-threading แต่ปรับให้ทันสมัย ➡️ ต่างจาก AMD ที่ใช้ Clustered Multi-Threading โดยแบ่งคอร์เป็นโมดูล ➡️ มีการใช้ wormhole address space เพื่อจัดการข้อมูลระหว่างคอร์ ✅ การใช้งานและความคาดหวัง ➡️ เหมาะกับงาน single-thread ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ➡️ หวังว่าจะเพิ่ม performance-per-watt โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดคอร์ ➡️ อาจใช้ในงาน AI inference, simulation, หรือ mining ✅ ข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์ ➡️ ต้องการ compiler หรือ binary instrumentation เพื่อแบ่งโค้ด ➡️ ระบบปฏิบัติการต้องจัดการ scheduling ให้เหมาะกับโหมด super core ➡️ ต้องการการสนับสนุนจาก ecosystem ทั้ง hardware และ software https://www.techradar.com/pro/is-it-a-bird-is-it-a-plane-no-its-super-core-intels-latest-patent-revives-ancient-anti-hyperthreading-cpu-technique-in-attempt-to-boost-processor-performance-but-will-it-be-enough
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก shared สู่ private: เมื่อธุรกิจเริ่มหันหลังให้ cloud และกลับมาหาเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมได้จริง

    จากผลสำรวจของ Liquid Web ที่สอบถามผู้ใช้งานและผู้ตัดสินใจด้านเทคนิคกว่า 950 ราย พบว่า Virtual Private Server (VPS) กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักของธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้ shared hosting และ cloud มาก่อน

    กว่า 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS ระบุว่ามีแผนจะย้ายมาใช้ภายใน 12 เดือน โดยผู้ใช้ shared hosting เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงสุดในการเปลี่ยนมาใช้ VPS เพราะรู้สึกอึดอัดกับข้อจำกัดด้านการปรับแต่งระบบ

    ผู้ใช้ cloud hosting ส่วนใหญ่ระบุว่า “ต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนมาใช้ VPS ขณะที่ผู้ใช้ dedicated hosting ไม่พอใจกับประสิทธิภาพที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา

    สิ่งที่ทำให้ VPS ได้รับความนิยมคือ root-access ที่เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้เต็มที่ และ uptime guarantee ที่ช่วยให้ธุรกิจมั่นใจในความเสถียรของบริการ

    นอกจากนี้ยังพบว่า VPS ถูกใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น hosting เว็บไซต์และแอป (48%), การ deploy หรือปรับแต่งโมเดล AI (15%), การรัน automation script, การโฮสต์เกม (เช่น Minecraft), และการจัดการร้านค้าออนไลน์

    แม้ VPS จะเคยเป็นเครื่องมือของนักพัฒนาและ DevOps เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ใช้กลุ่ม hobbyist เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ VPS เพื่อโฮสต์เกม, เว็บไซต์ส่วนตัว, หรือแม้แต่ Discord bot

    ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้ใช้ VPS เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกและดู tutorial ออนไลน์ โดยมีเพียง 31% เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ

    อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งของผู้ใช้ VPS เคยเปลี่ยนผู้ให้บริการเพราะ “ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ” ซึ่งสะท้อนว่าการบริการหลังบ้านยังเป็นจุดอ่อนของหลายแบรนด์

    แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้ VPS
    27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS มีแผนจะย้ายภายใน 12 เดือน
    ผู้ใช้ shared hosting เปลี่ยนเพราะข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง
    ผู้ใช้ cloud hosting เปลี่ยนเพราะต้นทุน
    ผู้ใช้ dedicated hosting เปลี่ยนเพราะประสิทธิภาพไม่คุ้มค่า

    เหตุผลที่ VPS ได้รับความนิยม
    root-access ช่วยให้ควบคุมระบบได้เต็มที่
    uptime guarantee เพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน
    รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น AI, ecommerce, automation

    กลุ่มผู้ใช้งานและพฤติกรรม
    50% ของ IT pros ใช้ VPS สำหรับ DevOps และ automation
    19% เป็น hobbyist ที่ใช้ VPS เพื่อเกมและโปรเจกต์ส่วนตัว
    65% เรียนรู้จาก tutorial และ trial-and-error
    มีเพียง 31% ที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ

    ระบบปฏิบัติการที่นิยม
    Windows เป็นที่นิยมที่สุด (36%)
    Ubuntu ตามมาเป็นอันดับสอง (28%)
    CentOS ยังมีผู้ใช้อยู่บ้าง (9%)

    https://www.techradar.com/pro/sharing-might-be-caring-but-businesses-are-moving-towards-private-servers
    🎙️ เรื่องเล่าจาก shared สู่ private: เมื่อธุรกิจเริ่มหันหลังให้ cloud และกลับมาหาเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมได้จริง จากผลสำรวจของ Liquid Web ที่สอบถามผู้ใช้งานและผู้ตัดสินใจด้านเทคนิคกว่า 950 ราย พบว่า Virtual Private Server (VPS) กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักของธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะผู้ที่เคยใช้ shared hosting และ cloud มาก่อน กว่า 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS ระบุว่ามีแผนจะย้ายมาใช้ภายใน 12 เดือน โดยผู้ใช้ shared hosting เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงสุดในการเปลี่ยนมาใช้ VPS เพราะรู้สึกอึดอัดกับข้อจำกัดด้านการปรับแต่งระบบ ผู้ใช้ cloud hosting ส่วนใหญ่ระบุว่า “ต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักในการเปลี่ยนมาใช้ VPS ขณะที่ผู้ใช้ dedicated hosting ไม่พอใจกับประสิทธิภาพที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา สิ่งที่ทำให้ VPS ได้รับความนิยมคือ root-access ที่เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้เต็มที่ และ uptime guarantee ที่ช่วยให้ธุรกิจมั่นใจในความเสถียรของบริการ นอกจากนี้ยังพบว่า VPS ถูกใช้ในงานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น hosting เว็บไซต์และแอป (48%), การ deploy หรือปรับแต่งโมเดล AI (15%), การรัน automation script, การโฮสต์เกม (เช่น Minecraft), และการจัดการร้านค้าออนไลน์ แม้ VPS จะเคยเป็นเครื่องมือของนักพัฒนาและ DevOps เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ใช้กลุ่ม hobbyist เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ VPS เพื่อโฮสต์เกม, เว็บไซต์ส่วนตัว, หรือแม้แต่ Discord bot ที่น่าสนใจคือ 65% ของผู้ใช้ VPS เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกและดู tutorial ออนไลน์ โดยมีเพียง 31% เท่านั้นที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งของผู้ใช้ VPS เคยเปลี่ยนผู้ให้บริการเพราะ “ไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ” ซึ่งสะท้อนว่าการบริการหลังบ้านยังเป็นจุดอ่อนของหลายแบรนด์ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้ VPS ➡️ 27% ของผู้ใช้ที่ยังไม่ใช้ VPS มีแผนจะย้ายภายใน 12 เดือน ➡️ ผู้ใช้ shared hosting เปลี่ยนเพราะข้อจำกัดด้านการปรับแต่ง ➡️ ผู้ใช้ cloud hosting เปลี่ยนเพราะต้นทุน ➡️ ผู้ใช้ dedicated hosting เปลี่ยนเพราะประสิทธิภาพไม่คุ้มค่า ✅ เหตุผลที่ VPS ได้รับความนิยม ➡️ root-access ช่วยให้ควบคุมระบบได้เต็มที่ ➡️ uptime guarantee เพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน ➡️ รองรับการใช้งานหลากหลาย เช่น AI, ecommerce, automation ✅ กลุ่มผู้ใช้งานและพฤติกรรม ➡️ 50% ของ IT pros ใช้ VPS สำหรับ DevOps และ automation ➡️ 19% เป็น hobbyist ที่ใช้ VPS เพื่อเกมและโปรเจกต์ส่วนตัว ➡️ 65% เรียนรู้จาก tutorial และ trial-and-error ➡️ มีเพียง 31% ที่เคยได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ✅ ระบบปฏิบัติการที่นิยม ➡️ Windows เป็นที่นิยมที่สุด (36%) ➡️ Ubuntu ตามมาเป็นอันดับสอง (28%) ➡️ CentOS ยังมีผู้ใช้อยู่บ้าง (9%) https://www.techradar.com/pro/sharing-might-be-caring-but-businesses-are-moving-towards-private-servers
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sharing might be caring, but businesses are moving towards private servers
    VPS servers are becoming the server type of choice for IT pros and hobbyists alike
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Altera ถึง Arrow Lake: เมื่อ Intel ยอมรับว่า TSMC คือคู่ชีวิต และเงินจากรัฐบาลคือทางออกจากหนี้

    ในการประชุม Citi Global Tech 2025 ที่ซานฟรานซิสโก CFO ของ Intel, David Zinsner ประกาศว่า Intel จะใช้ TSMC “ตลอดไป” โดยระบุว่า “พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม” และยืนยันว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ของ Intel มาจาก TSMC แล้ว แม้จะมีแผนลดสัดส่วนในอนาคต แต่ก็ยังมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต

    Intel ยังยืนยันว่าจะใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้จาก CHIPS Act เพื่อชำระหนี้มูลค่า $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ พร้อมประกาศว่าเงินทุนที่เคยไม่แน่นอนตอนนี้กลายเป็น “หุ้น” ที่รัฐบาลถืออยู่ 10% และจะลงคะแนนตามมติของบอร์ดเท่านั้น

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมปิดดีลขายธุรกิจ Altera เพื่อรับเงินเพิ่มอีก $3.5 พันล้าน และรอเงินลงทุนจาก SoftBank ที่จะเข้ามาเสริมภายในไตรมาสนี้

    ในด้านเทคโนโลยี Zinsner ยอมรับว่า Intel “ใช้เงินล่วงหน้าก่อนมีดีมานด์” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้บริษัทต้องปรับแผนใหม่ โดยหันไปพัฒนา 14A process node ที่ใช้ High NA EUV และมีต้นทุนสูงกว่า 18A แต่มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า

    แม้จะยังไม่แยกธุรกิจ Foundry ออกเป็นบริษัทลูก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคต หากมีความพร้อมและความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน

    การใช้ TSMC เป็นพันธมิตรระยะยาว
    Intel ยืนยันว่าจะใช้ TSMC “ตลอดไป” สำหรับบางผลิตภัณฑ์
    ปัจจุบัน 30% ของผลิตภัณฑ์มาจาก TSMC เช่น Lunar Lake และ Arrow Lake
    แม้จะลดสัดส่วนในอนาคต แต่ยังมากกว่าระดับในอดีต

    การใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    Intel ได้รับเงินทุนจาก CHIPS Act รวม $7.9 พันล้าน (บางส่วนยังทยอยจ่าย)
    เงินทุนถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ที่รัฐบาลถืออยู่
    ใช้เงินเพื่อชำระหนี้ $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปี 2025

    การขายธุรกิจ Altera และเงินลงทุนจาก SoftBank
    เตรียมปิดดีลขาย Altera เพื่อรับเงิน $3.5 พันล้าน
    SoftBank จะลงทุนเพิ่มเติมหลังผ่านการอนุมัติด้านกฎระเบียบ
    เงินทั้งหมดจะใช้ชำระหนี้ ไม่รีไฟแนนซ์ใหม่

    การพัฒนาเทคโนโลยี 14A และการเปลี่ยนยุทธศาสตร์
    14A ใช้ High NA EUV และมีต้นทุน wafer สูงกว่า 18A
    มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า 18A
    ยังไม่มีแผนแยกธุรกิจ Foundry แต่เปิดโอกาสในอนาคต

    https://wccftech.com/intel-will-use-tsmc-forever-says-cfo-as-shares-rise-after-he-confirms-plan-to-use-us-funding-to-pay-back-debt/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Altera ถึง Arrow Lake: เมื่อ Intel ยอมรับว่า TSMC คือคู่ชีวิต และเงินจากรัฐบาลคือทางออกจากหนี้ ในการประชุม Citi Global Tech 2025 ที่ซานฟรานซิสโก CFO ของ Intel, David Zinsner ประกาศว่า Intel จะใช้ TSMC “ตลอดไป” โดยระบุว่า “พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม” และยืนยันว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ของ Intel มาจาก TSMC แล้ว แม้จะมีแผนลดสัดส่วนในอนาคต แต่ก็ยังมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต Intel ยังยืนยันว่าจะใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้จาก CHIPS Act เพื่อชำระหนี้มูลค่า $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ พร้อมประกาศว่าเงินทุนที่เคยไม่แน่นอนตอนนี้กลายเป็น “หุ้น” ที่รัฐบาลถืออยู่ 10% และจะลงคะแนนตามมติของบอร์ดเท่านั้น นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมปิดดีลขายธุรกิจ Altera เพื่อรับเงินเพิ่มอีก $3.5 พันล้าน และรอเงินลงทุนจาก SoftBank ที่จะเข้ามาเสริมภายในไตรมาสนี้ ในด้านเทคโนโลยี Zinsner ยอมรับว่า Intel “ใช้เงินล่วงหน้าก่อนมีดีมานด์” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้บริษัทต้องปรับแผนใหม่ โดยหันไปพัฒนา 14A process node ที่ใช้ High NA EUV และมีต้นทุนสูงกว่า 18A แต่มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า แม้จะยังไม่แยกธุรกิจ Foundry ออกเป็นบริษัทลูก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคต หากมีความพร้อมและความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน ✅ การใช้ TSMC เป็นพันธมิตรระยะยาว ➡️ Intel ยืนยันว่าจะใช้ TSMC “ตลอดไป” สำหรับบางผลิตภัณฑ์ ➡️ ปัจจุบัน 30% ของผลิตภัณฑ์มาจาก TSMC เช่น Lunar Lake และ Arrow Lake ➡️ แม้จะลดสัดส่วนในอนาคต แต่ยังมากกว่าระดับในอดีต ✅ การใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ Intel ได้รับเงินทุนจาก CHIPS Act รวม $7.9 พันล้าน (บางส่วนยังทยอยจ่าย) ➡️ เงินทุนถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ที่รัฐบาลถืออยู่ ➡️ ใช้เงินเพื่อชำระหนี้ $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปี 2025 ✅ การขายธุรกิจ Altera และเงินลงทุนจาก SoftBank ➡️ เตรียมปิดดีลขาย Altera เพื่อรับเงิน $3.5 พันล้าน ➡️ SoftBank จะลงทุนเพิ่มเติมหลังผ่านการอนุมัติด้านกฎระเบียบ ➡️ เงินทั้งหมดจะใช้ชำระหนี้ ไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 14A และการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ➡️ 14A ใช้ High NA EUV และมีต้นทุน wafer สูงกว่า 18A ➡️ มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า 18A ➡️ ยังไม่มีแผนแยกธุรกิจ Foundry แต่เปิดโอกาสในอนาคต https://wccftech.com/intel-will-use-tsmc-forever-says-cfo-as-shares-rise-after-he-confirms-plan-to-use-us-funding-to-pay-back-debt/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Use TSMC "Forever" Says CFO, As Shares Rise After He Confirms Plan To Use US Funding To Pay Back Debt
    Intel CFO outlines $10 billion government stake, plans to pay $3.8 billion in debt, and confirms continued reliance on TSMC.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Ironwood: เมื่อ Google สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาดและยืดหยุ่น” ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ในงาน Hot Chips 2025 Google ได้เปิดเผยรายละเอียดของ Ironwood TPU ซึ่งเป็นชิปรุ่นที่ 7 ของตระกูล Tensor Processing Unit โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inference ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ไม่ใช่การเทรนโมเดลเหมือนรุ่นก่อน ๆ

    แต่ละชิป Ironwood มีสถาปัตยกรรมแบบ dual-die ให้กำลังประมวลผล FP8 สูงถึง 4,614 TFLOPs และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM3e ขนาด 192GB ต่อชิป โดยมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 7.3TB/s

    ระบบสามารถขยายได้ถึง 9,216 ชิปต่อหนึ่ง pod โดยไม่ต้องใช้ glue logic และมี I/O bandwidth รวมถึง 1.2TBps ทำให้สามารถสร้างระบบที่มี shared memory ขนาด 1.77PB ได้—ซึ่งถือเป็นสถิติโลกใหม่สำหรับระบบ multi-CPU ที่ใช้ shared memory

    การเชื่อมต่อระหว่างแร็คใช้ optical circuit switch ที่สามารถ reconfigure ได้เมื่อมี node เสีย พร้อมระบบ checkpoint recovery และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น root of trust, built-in self test, และการตรวจจับ silent data corruption

    Ironwood ยังใช้ AI ในการออกแบบตัวเอง เช่น การ optimize ALU circuits และ floorplan พร้อมเพิ่ม SparseCore รุ่นที่ 4 เพื่อเร่งงาน embedding และ collective operations เช่น recommendation engine

    ระบบระบายความร้อนใช้ cold plate รุ่นที่ 3 ของ Google ซึ่งเป็น liquid cooling แบบเต็มรูปแบบ และมีการปรับแรงดันไฟฟ้าและความถี่แบบ dynamic เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์ให้ดีกว่ารุ่น Trillium ถึง 2 เท่า

    สเปกหลักของ Ironwood TPU
    Dual-die architecture ให้ 4,614 TFLOPs FP8 ต่อชิป
    หน่วยความจำ HBM3e ขนาด 192GB ต่อชิป พร้อมแบนด์วิดธ์ 7.3TB/s
    รองรับการขยายถึง 9,216 ชิปต่อ pod ด้วย I/O bandwidth 1.2TBps

    สถิติโลกด้าน shared memory
    ระบบมี shared memory ขนาด 1.77PB แบบ addressable โดยตรง
    ใช้ optical circuit switch เชื่อมต่อแร็คแบบ dynamic
    รองรับ workload recovery และ node reconfiguration

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ
    มี root of trust, built-in self test, และ logic repair
    ตรวจจับและป้องกัน silent data corruption
    ออกแบบเพื่อ RAS: reliability, availability, serviceability

    การออกแบบด้วย AI และการใช้งาน
    ใช้ AI ในการ optimize ALU และ floorplan
    เพิ่ม SparseCore รุ่นที่ 4 สำหรับ embedding และ collective ops
    รองรับงาน inference เช่น LLM, recommendation, simulation

    ระบบระบายความร้อนและประสิทธิภาพ
    ใช้ cold plate liquid cooling รุ่นที่ 3 ของ Google
    ปรับแรงดันและความถี่แบบ dynamic เพื่อเพิ่ม efficiency
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่ารุ่น Trillium ถึง 2 เท่า

    https://www.techradar.com/pro/googles-most-powerful-supercomputer-ever-has-a-combined-memory-of-1-77pb-apparently-a-new-world-record-for-shared-memory-multi-cpu-setups
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Ironwood: เมื่อ Google สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาดและยืดหยุ่น” ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในงาน Hot Chips 2025 Google ได้เปิดเผยรายละเอียดของ Ironwood TPU ซึ่งเป็นชิปรุ่นที่ 7 ของตระกูล Tensor Processing Unit โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inference ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ไม่ใช่การเทรนโมเดลเหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่ละชิป Ironwood มีสถาปัตยกรรมแบบ dual-die ให้กำลังประมวลผล FP8 สูงถึง 4,614 TFLOPs และมาพร้อมกับหน่วยความจำ HBM3e ขนาด 192GB ต่อชิป โดยมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 7.3TB/s ระบบสามารถขยายได้ถึง 9,216 ชิปต่อหนึ่ง pod โดยไม่ต้องใช้ glue logic และมี I/O bandwidth รวมถึง 1.2TBps ทำให้สามารถสร้างระบบที่มี shared memory ขนาด 1.77PB ได้—ซึ่งถือเป็นสถิติโลกใหม่สำหรับระบบ multi-CPU ที่ใช้ shared memory การเชื่อมต่อระหว่างแร็คใช้ optical circuit switch ที่สามารถ reconfigure ได้เมื่อมี node เสีย พร้อมระบบ checkpoint recovery และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น root of trust, built-in self test, และการตรวจจับ silent data corruption Ironwood ยังใช้ AI ในการออกแบบตัวเอง เช่น การ optimize ALU circuits และ floorplan พร้อมเพิ่ม SparseCore รุ่นที่ 4 เพื่อเร่งงาน embedding และ collective operations เช่น recommendation engine ระบบระบายความร้อนใช้ cold plate รุ่นที่ 3 ของ Google ซึ่งเป็น liquid cooling แบบเต็มรูปแบบ และมีการปรับแรงดันไฟฟ้าและความถี่แบบ dynamic เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์ให้ดีกว่ารุ่น Trillium ถึง 2 เท่า ✅ สเปกหลักของ Ironwood TPU ➡️ Dual-die architecture ให้ 4,614 TFLOPs FP8 ต่อชิป ➡️ หน่วยความจำ HBM3e ขนาด 192GB ต่อชิป พร้อมแบนด์วิดธ์ 7.3TB/s ➡️ รองรับการขยายถึง 9,216 ชิปต่อ pod ด้วย I/O bandwidth 1.2TBps ✅ สถิติโลกด้าน shared memory ➡️ ระบบมี shared memory ขนาด 1.77PB แบบ addressable โดยตรง ➡️ ใช้ optical circuit switch เชื่อมต่อแร็คแบบ dynamic ➡️ รองรับ workload recovery และ node reconfiguration ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ ➡️ มี root of trust, built-in self test, และ logic repair ➡️ ตรวจจับและป้องกัน silent data corruption ➡️ ออกแบบเพื่อ RAS: reliability, availability, serviceability ✅ การออกแบบด้วย AI และการใช้งาน ➡️ ใช้ AI ในการ optimize ALU และ floorplan ➡️ เพิ่ม SparseCore รุ่นที่ 4 สำหรับ embedding และ collective ops ➡️ รองรับงาน inference เช่น LLM, recommendation, simulation ✅ ระบบระบายความร้อนและประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ cold plate liquid cooling รุ่นที่ 3 ของ Google ➡️ ปรับแรงดันและความถี่แบบ dynamic เพื่อเพิ่ม efficiency ➡️ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีกว่ารุ่น Trillium ถึง 2 เท่า https://www.techradar.com/pro/googles-most-powerful-supercomputer-ever-has-a-combined-memory-of-1-77pb-apparently-a-new-world-record-for-shared-memory-multi-cpu-setups
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง

    สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก

    ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที

    แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ

    Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search
    มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง
    แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน
    ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง

    Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์
    มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง
    ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้
    AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล
    ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
    ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค

    การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์
    Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix
    Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder
    การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search ➡️ มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ➡️ แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน ➡️ ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง ✅ Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์ ➡️ มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง ➡️ ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล ➡️ ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ➡️ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค ✅ การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์ ➡️ Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix ➡️ Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder ➡️ การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • มาเป็นกำลังใจให้เด็กลพบุรีกันหน่อยนะครับ
    ____________
    เพลง เสือ prod.kop'ps(official mv)
    เฟี้ยว สหรัฐ

    https://youtu.be/KInTEDXW_Bw?si=9JXymvmRfc3aqNIv
    /////////////////////
    https://www.facebook.com/share/v/1JbqePYCdK/
    มาเป็นกำลังใจให้เด็กลพบุรีกันหน่อยนะครับ ____________ เพลง เสือ prod.kop'ps(official mv) เฟี้ยว สหรัฐ https://youtu.be/KInTEDXW_Bw?si=9JXymvmRfc3aqNIv ///////////////////// https://www.facebook.com/share/v/1JbqePYCdK/
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • หนึ่งในเทสต์ที่ ตรวจหาปัญหาจาก โปรตีนหนาม (spike protein) คือการวัดระดับ แอนตี้บอดี้ (SARS CoV2 spike Ab quantitative) ว่า มีมากน้อยแค่ไหน
    คำถามคือ แล้ว จะ"แปลผล"อย่างไร?
    * < 1000 iu/ml สบายใจได้ ไม่น่าเป็นอะไร
    * 1000-5000 iu/ml ถ้ามีอาการไม่สบายใดๆ เป็นไปได้ว่า อาการเหล่านั้นอาจจะเกิดจาก โปรตีนหนาม
    * 5000-10000 iu/ml มีโปรตีนหนามวนเวียนอยู่ในกระแสเลือด
    * 10000- 25000 iu/ml อาการที่ผิดปกติเป็นจากโปรตีนหนาม จากวัคซีนแน่นอน
    > 25000 iu/ml รีบล้างพิษ ด่วน !!!
    https://www.facebook.com/share/1Yympuyn1o/
    ✍️หนึ่งในเทสต์ที่ ตรวจหาปัญหาจาก โปรตีนหนาม (spike protein) คือการวัดระดับ แอนตี้บอดี้ (SARS CoV2 spike Ab quantitative) ว่า มีมากน้อยแค่ไหน คำถามคือ แล้ว จะ"แปลผล"อย่างไร? * < 1000 iu/ml สบายใจได้ ไม่น่าเป็นอะไร * 1000-5000 iu/ml ถ้ามีอาการไม่สบายใดๆ เป็นไปได้ว่า อาการเหล่านั้นอาจจะเกิดจาก โปรตีนหนาม * 5000-10000 iu/ml มีโปรตีนหนามวนเวียนอยู่ในกระแสเลือด * 10000- 25000 iu/ml อาการที่ผิดปกติเป็นจากโปรตีนหนาม จากวัคซีนแน่นอน > 25000 iu/ml รีบล้างพิษ ด่วน !!! https://www.facebook.com/share/1Yympuyn1o/
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน

    แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด

    Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว

    แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    ความสำเร็จของ Starship Flight 10
    เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ
    ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย
    ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง

    ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา
    แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา
    เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย
    grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด

    คำอธิบายจาก Elon Musk
    สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile
    จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ
    ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง

    ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ
    เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว
    Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง
    ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX

    https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ✅ ความสำเร็จของ Starship Flight 10 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ ➡️ ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย ➡️ ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง ✅ ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา ➡️ แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา ➡️ เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย ➡️ grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด ✅ คำอธิบายจาก Elon Musk ➡️ สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile ➡️ จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ ➡️ ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง ✅ ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ ➡️ เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว ➡️ Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง ➡️ ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX's Red Hot Starship Mars Rocket Images Share Stunning Flight 10 Views But Don't Answer Key Questions Related To The Mega Test Flight
    SpaceX released new images from Starship Flight 10, showcasing its heat shield and grid fin during reentry, marking significant test progress.
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Otherbranch: เมื่อการตามหาวิศวกรที่ “ดีที่สุด” กลายเป็นศัตรูของการจ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง”

    ในโลกของสตาร์ทอัพ การจ้างงานคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง แต่หลายบริษัทกลับติดกับดักความคิดว่า “เราต้องการคนที่ดีที่สุดเท่านั้น” โดยไม่รู้ว่าความคิดนี้กำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา เสียโอกาส และเสีย momentum ไปอย่างเงียบ ๆ

    บทความจาก Otherbranch ชี้ให้เห็นว่า “วิศวกรที่ดีที่สุด” มักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้—เงินเดือนสูงกว่าทั้งทีม, ต้องการ remote work, ไม่ยอมรับเทคโนโลยีที่มี tech debt, และไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction ชัดเจน พวกเขามีตัวเลือกมากมาย และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับสตาร์ทอัพที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเอง

    ในทางกลับกัน “วิศวกรที่ดีมาก” ซึ่งอาจไม่ใช่ระดับท็อปของโลก แต่มีความสามารถจริง พร้อมเรียนรู้ และสามารถ onboard ได้เร็ว กลับถูกมองข้ามเพราะไม่ตรงกับ “เช็กลิสต์ในฝัน” ที่ผู้ก่อตั้งตั้งไว้

    การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว และการยึดติดกับมาตรฐานที่ไม่มีใครผ่านได้ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ทั้งที่เวลาในสตาร์ทอัพคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

    ปัญหาของการตั้งเป้าหมาย “ต้องการคนที่ดีที่สุด”
    คนที่ดีที่สุดมักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้
    พวกเขาไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction หรือยัง early stage
    ต้องการเงินเดือนสูง, remote work, และอิสระในการตัดสินใจ

    ผลกระทบจากการยึดติดกับมาตรฐานสูงเกินไป
    ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม
    เสียเวลาในช่วงที่ควรเร่งสร้าง product และ iterate
    สุดท้ายต้อง “ยอม” จ้างคนที่ไม่ตรงสเปกหลังจากเสียเวลาไปนาน

    ทางเลือกที่ดีกว่า: จ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง”
    วิศวกร mid-level ที่มีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ onboard ได้เร็ว
    สามารถทำงานได้เต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ แทนที่จะรอคนที่ “พร้อมตั้งแต่วันแรก”
    ช่วยให้บริษัทเดินหน้าได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากการรอ

    แนวคิดการจ้างงานแบบมี trade-off
    การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว
    ต้องคิดว่า “วันนี้เราต้องการอะไรจริง ๆ” และยอมแลกบางอย่างเพื่อได้สิ่งนั้น
    การยอมลดบางเงื่อนไข เช่น ชั่วโมงทำงาน หรือประสบการณ์ startup อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

    https://www.otherbranch.com/shared/blog/no-you-dont-want-to-hire-the-best-engineers
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Otherbranch: เมื่อการตามหาวิศวกรที่ “ดีที่สุด” กลายเป็นศัตรูของการจ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง” ในโลกของสตาร์ทอัพ การจ้างงานคือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง แต่หลายบริษัทกลับติดกับดักความคิดว่า “เราต้องการคนที่ดีที่สุดเท่านั้น” โดยไม่รู้ว่าความคิดนี้กำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา เสียโอกาส และเสีย momentum ไปอย่างเงียบ ๆ บทความจาก Otherbranch ชี้ให้เห็นว่า “วิศวกรที่ดีที่สุด” มักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้—เงินเดือนสูงกว่าทั้งทีม, ต้องการ remote work, ไม่ยอมรับเทคโนโลยีที่มี tech debt, และไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction ชัดเจน พวกเขามีตัวเลือกมากมาย และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับสตาร์ทอัพที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเอง ในทางกลับกัน “วิศวกรที่ดีมาก” ซึ่งอาจไม่ใช่ระดับท็อปของโลก แต่มีความสามารถจริง พร้อมเรียนรู้ และสามารถ onboard ได้เร็ว กลับถูกมองข้ามเพราะไม่ตรงกับ “เช็กลิสต์ในฝัน” ที่ผู้ก่อตั้งตั้งไว้ การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว และการยึดติดกับมาตรฐานที่ไม่มีใครผ่านได้ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ทั้งที่เวลาในสตาร์ทอัพคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ✅ ปัญหาของการตั้งเป้าหมาย “ต้องการคนที่ดีที่สุด” ➡️ คนที่ดีที่สุดมักมีเงื่อนไขที่บริษัททั่วไปไม่สามารถให้ได้ ➡️ พวกเขาไม่สนใจบริษัทที่ยังไม่มี traction หรือยัง early stage ➡️ ต้องการเงินเดือนสูง, remote work, และอิสระในการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบจากการยึดติดกับมาตรฐานสูงเกินไป ➡️ ทำให้บริษัทต้องรอเป็นเดือน ๆ โดยไม่มีใครเข้ามาเติมทีม ➡️ เสียเวลาในช่วงที่ควรเร่งสร้าง product และ iterate ➡️ สุดท้ายต้อง “ยอม” จ้างคนที่ไม่ตรงสเปกหลังจากเสียเวลาไปนาน ✅ ทางเลือกที่ดีกว่า: จ้างคนที่ “ดีพอจะสร้างจริง” ➡️ วิศวกร mid-level ที่มีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ onboard ได้เร็ว ➡️ สามารถทำงานได้เต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ แทนที่จะรอคนที่ “พร้อมตั้งแต่วันแรก” ➡️ ช่วยให้บริษัทเดินหน้าได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากการรอ ✅ แนวคิดการจ้างงานแบบมี trade-off ➡️ การจ้างงานคือการเจรจา ไม่ใช่การคัดเลือกฝ่ายเดียว ➡️ ต้องคิดว่า “วันนี้เราต้องการอะไรจริง ๆ” และยอมแลกบางอย่างเพื่อได้สิ่งนั้น ➡️ การยอมลดบางเงื่อนไข เช่น ชั่วโมงทำงาน หรือประสบการณ์ startup อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า https://www.otherbranch.com/shared/blog/no-you-dont-want-to-hire-the-best-engineers
    WWW.OTHERBRANCH.COM
    No, you don't want to hire "the best engineers" - Otherbranch
    I think this might be the meanest thing I've ever written.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชิปเรือธง: เมื่อ Dimensity 9500 ไม่ใช่แค่รุ่นต่อยอด แต่เป็นการยกระดับทั้งระบบ

    MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ภายในเดือนกันยายน 2025 โดยมีข้อมูลหลุดจาก Digital Chat Station และ Geekbench ที่เผยให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่รุ่นอัปเกรดจาก 9400/9400+ แต่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้ง CPU, GPU, NPU และระบบหน่วยความจำ

    Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+3+4 โดยมีคอร์ Travis (Cortex-X930) ความเร็วสูงสุด 4.21GHz, คอร์ Alto ที่ 3.50GHz และคอร์ Gelas ประหยัดพลังงานที่ 2.70GHz พร้อม L3 cache ขนาด 16MB และ SLC cache 10MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง single-core และ multi-core อย่างชัดเจน

    GPU ใช้ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ที่ 1.00GHz พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ที่รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ส่วน NPU 9.0 สามารถประมวลผลได้ถึง 100 TOPS ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของ Snapdragon 8 Elite Gen 5

    ชิปนี้ยังรองรับ LPDDR5X แบบ 4-channel ที่ความเร็ว 10,667MHz และ UFS 4.1 แบบ 4-lane ซึ่งช่วยให้การโหลดแอปและการจัดการข้อมูลเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีคะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน ซึ่งเทียบเท่ากับ Snapdragon รุ่นท็อปในปีเดียวกัน

    นอกจากนี้ Dimensity 9500 ยังเป็นชิปแรกของ MediaTek ที่รองรับ ARM Scalable Matrix Extension (SME) ซึ่งช่วยให้การประมวลผล AI และกราฟิกมีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานที่ซับซ้อน

    โครงสร้าง CPU และประสิทธิภาพ
    ใช้โครงสร้าง 1+3+4: Travis 4.21GHz, Alto 3.50GHz, Gelas 2.70GHz
    L3 cache เพิ่มเป็น 16MB จาก 12MB ในรุ่นก่อน
    SLC cache 10MB เท่าเดิม

    GPU และการประมวลผลกราฟิก
    Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ความเร็ว 1.00GHz
    รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน
    สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ

    NPU และการประมวลผล AI
    NPU 9.0 รองรับ 100 TOPS
    รองรับ SME (Scalable Matrix Extension) เป็นครั้งแรก
    เหมาะกับงาน AI ที่ซับซ้อนและการประมวลผลภาพขั้นสูง

    หน่วยความจำและการจัดเก็บ
    LPDDR5X แบบ 4-channel ความเร็ว 10,667MHz
    UFS 4.1 แบบ 4-lane สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลเร็วขึ้น
    รองรับการใช้งานระดับ flagship อย่างเต็มรูปแบบ

    คะแนน Benchmark และการเปรียบเทียบ
    คะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน เทียบเท่า Snapdragon 8 Elite Gen 5
    คาดว่าจะเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ MediaTek ในปี 2025
    เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงและอุปกรณ์ AI แบบพกพา

    https://wccftech.com/dimensity-9500-partial-specifications-shared-before-official-launch/
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปเรือธง: เมื่อ Dimensity 9500 ไม่ใช่แค่รุ่นต่อยอด แต่เป็นการยกระดับทั้งระบบ MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ภายในเดือนกันยายน 2025 โดยมีข้อมูลหลุดจาก Digital Chat Station และ Geekbench ที่เผยให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่รุ่นอัปเกรดจาก 9400/9400+ แต่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้ง CPU, GPU, NPU และระบบหน่วยความจำ Dimensity 9500 ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+3+4 โดยมีคอร์ Travis (Cortex-X930) ความเร็วสูงสุด 4.21GHz, คอร์ Alto ที่ 3.50GHz และคอร์ Gelas ประหยัดพลังงานที่ 2.70GHz พร้อม L3 cache ขนาด 16MB และ SLC cache 10MB ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้ง single-core และ multi-core อย่างชัดเจน GPU ใช้ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ที่ 1.00GHz พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่ที่รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ส่วน NPU 9.0 สามารถประมวลผลได้ถึง 100 TOPS ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ชิปนี้ยังรองรับ LPDDR5X แบบ 4-channel ที่ความเร็ว 10,667MHz และ UFS 4.1 แบบ 4-lane ซึ่งช่วยให้การโหลดแอปและการจัดการข้อมูลเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีคะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน ซึ่งเทียบเท่ากับ Snapdragon รุ่นท็อปในปีเดียวกัน นอกจากนี้ Dimensity 9500 ยังเป็นชิปแรกของ MediaTek ที่รองรับ ARM Scalable Matrix Extension (SME) ซึ่งช่วยให้การประมวลผล AI และกราฟิกมีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานที่ซับซ้อน ✅ โครงสร้าง CPU และประสิทธิภาพ ➡️ ใช้โครงสร้าง 1+3+4: Travis 4.21GHz, Alto 3.50GHz, Gelas 2.70GHz ➡️ L3 cache เพิ่มเป็น 16MB จาก 12MB ในรุ่นก่อน ➡️ SLC cache 10MB เท่าเดิม ✅ GPU และการประมวลผลกราฟิก ➡️ Mali-G1 Ultra แบบ 12 คอร์ ความเร็ว 1.00GHz ➡️ รองรับ ray tracing และลดการใช้พลังงาน ➡️ สถาปัตยกรรมใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ ✅ NPU และการประมวลผล AI ➡️ NPU 9.0 รองรับ 100 TOPS ➡️ รองรับ SME (Scalable Matrix Extension) เป็นครั้งแรก ➡️ เหมาะกับงาน AI ที่ซับซ้อนและการประมวลผลภาพขั้นสูง ✅ หน่วยความจำและการจัดเก็บ ➡️ LPDDR5X แบบ 4-channel ความเร็ว 10,667MHz ➡️ UFS 4.1 แบบ 4-lane สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลเร็วขึ้น ➡️ รองรับการใช้งานระดับ flagship อย่างเต็มรูปแบบ ✅ คะแนน Benchmark และการเปรียบเทียบ ➡️ คะแนน AnTuTu ทะลุ 4 ล้าน เทียบเท่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ คาดว่าจะเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ MediaTek ในปี 2025 ➡️ เหมาะกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงและอุปกรณ์ AI แบบพกพา https://wccftech.com/dimensity-9500-partial-specifications-shared-before-official-launch/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500’s In-Depth Specifications Get Shared By Tipster Before Upcoming Launch, Will Arrive With All-Round Improvements
    A tipster has shared the partial specifications of the Dimensity 9500, which include the CPU cluster and a truckload of other details, showing the ‘on paper’ improvements of the chipset
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6]

    **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ Choawalit Chotwattanaphong เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron Choawalit Chotwattanaphong เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ Choawalit Chotwattanaphong

    ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน Choawalit Chotwattanaphong เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ Choawalit Chotwattanaphong

    มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส Choawalit Chotwattanaphong ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ Choawalit Chotwattanaphong

    **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13]

    **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16]

    สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18]

    โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน.

    https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0
    https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4

    https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    ✍️ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6] **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ [1] เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron [1] เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ [1] ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน [1] เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ [1] มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส [1] ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ [1] **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13] **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16] สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18] โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน. https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0 https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4 https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    0 Comments 0 Shares 318 Views 0 Reviews
  • "ฟังหูไว้หู"

    ไอ้นี่ก็เจ้าเล่ห์ และไม่ได้หวังดีกับไทยพอๆกับคนในรูป

    https://web.facebook.com/share/19maraPSM2/
    "ฟังหูไว้หู" ไอ้นี่ก็เจ้าเล่ห์ และไม่ได้หวังดีกับไทยพอๆกับคนในรูป https://web.facebook.com/share/19maraPSM2/
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
More Results